ชื่อร้าน Hina มาจากเทศกาล Hina Matsuri หรือเทศกาลวันเด็กผู้หญิงที่ชาวญี่ปุ่นจะทำตุ๊กตาเจ้าหญิง (Hina) เพื่อขอพรให้ลูกสาวมีความสุข สุขภาพแข็งแรง และทุกคนในครอบครัวก็จะถือโอกาสนี้มาร่วมฉลองเทศกาลด้วยกัน ร้านฮินะจึงนำแรงบันดาลใจจากเทศกาลแห่งความสุขและปรารถนาดีนี้ส่งต่อให้กับทุกคนที่มาเยือนได้กินอาหารญี่ปุ่นร่วมกันอย่างเอร็ดอร่อยและมีความสุข โดยเน้นวัตถุดิบนำเข้าตามฤดูกาลเพื่อให้ลูกค้าได้ลิ้มรสความสดใหม่เหมือนนั่งกินอยู่ในประเทศญี่ปุ่นจริงๆ       เริ่มต้นที่เมนูกินเล่น เกี๊ยวซ่า เสิร์ฟมาพร้อมกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ แป้งด้านนอกของเกี๊ยวซ่ากรอบเกรียมนิดหน่อยพอให้เคี้ยวหนึบ ส่วนด้านในยังคงรักษาความชุ่มฉ่ำเอาไว้ เวลาเคี้ยวพร้อมกันกับไส้หมูสับผัดกับกะหล่ำปลีด้านในจึงเต็มไปด้วยรสสัมผัสที่หลากหลายในคำเดียว ไม่ว่าใครก็เทใจให้จานนี้     ต่อด้วยเมนูชูโรง Hina Sakura Roll ข้าวห่อปลาดิบรวมราดด้วยซอสสูตรเฉพาะของร้าน เชฟเลือกใช้ปลาหลายชนิดเน้นเฉพาะที่มีสีสันสดใส เปรียบเสมือนช่วงเวลาของการชมดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิอันแสนงดงาม     Salmon Shio Yaki แซลมอนย่างเกลือเสิร์ฟมาบนเตาฮิดะ ความพิเศษของเตาดินเผาชนิดนี้จะปั้นจากดินชั้นดีและเจาะรูด้านข้างเพื่อช่วยระบายอากาศและควัน ความหอมของดินขณะย่างยังช่วยชูกลิ่นหอมของเนื้อปลาให้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งผิวสัมผัสของเนื้อปลาด้านนอกจะกรอบหอมส่วนด้านในจะนุ่มนวลฉ่ำลิ้น มีรสเค็มนิดๆ แซมด้วยรสหวานตามธรรมชาติของเนื้อปลา ปิดท้ายด้วยรสเปรี้ยวชวนสดชื่นของเลมอน ยกให้เป็นเมนูเรียบง่ายที่ได้ใจไปเต็มๆ     Hina Four Season Set นำวัตถุดิบชั้นดีหลายชนิดที่เป็นตัวแทนจาก 4 ฤดูของประเทศญี่ปุ่นมารวมไว้ในเมนูเดียว อาทิ โฮตาเตะตัวแทนจากฤดูใบไม้ผลิ กุ้งอะมาเอบิตัวแทนจากฤดูร้อน แซลมอนตัวแทนจากฤดูใบไม้ร่วง และปลาฮามาจิตัวแทนจากฤดูหนาว รวมทั้งพระเอกอย่างปลามากุโร่ที่มีเนื้อแน่นรสหวาน ทั้งหมดเสิร์ฟเก๋ๆ ในโดมน้ำแข็งสุดอลังการ     ปิดท้ายด้วยขุมทรัพย์แห่งท้องทะเลญี่ปุ่น Treasure Sushi Set ซูชิหน้าปลาดิบรวมพิเศษ เสิร์ฟให้กินจุใจ อาทิ มากุโร่ แซลมอน ฮามาจิ อุนางิ โฮตาเตะ อะมาเอบิ อิคุระ เป็นต้น แนะนำพอเรียกน้ำย่อยส่วนที่เหลือต้องตามไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง  

  คนย่านทองหล่อที่ชื่นชอบข้าวแกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่นและเป็นแฟนคลับร้าน Aoringo Japanese Curry Place ไม่ต้องเดินทางฝ่ารถติดเข้ามาถึงสาขาธนิยะอีกต่อไป เพราะทางร้านขยายสาขามาเอาใจคนย่านนี้และละแวกใกล้เคียงให้ได้ท่องไปในโลกของข้าวแกงกะหรี่ที่แสนเอร็ดอร่อยได้แบบไม่น้อยหน้ากัน  ตัวร้านตั้งอยู่บนชั้น 2 ของโครงการนิฮอนมูระตกแต่งพื้นที่ชวนนั่งสบายสไตล์โมเดิร์นด้วยผนังลายปูนเปลือยสลับอิฐแดง รวมทั้งกระจกบานใหญ่เปิดรับแสงสว่างจากภายนอกได้อย่างเต็มที่ช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความผ่อนคลายและเจริญอาหารดีทีเดียว       รักแรกพบยกให้ข้าวแกงกะหรี่หน้าหมูทอดมอซซาเรลลาชีส เสิร์ฟมาพร้อมสีสันชวนกินของออมเล็ทฉ่ำๆ เยิ้มๆ เต็มจานมองไม่เห็นเมล็ดข้าวด้านล่าง เพิ่มดีกรีความอร่อยด้วยไก่ชุบแป้งทอดชิ้นใหญ่ทางร้านทอดมางานดีทีเดียวทั้งกรอบนอกนุ่มในและไม่อมน้ำมัน ไม่หมดเพียงเท่านี้เพราะยังมีทีเด็ดซ่อนอยู่ในชิ้นไก่ที่เซอร์ไพรส์เราด้วยรสชาติเข้มข้นเค็มมันของมอซซาเรลลาชีสยืดๆ สายชีสให้คะแนนไม่ทันเลย     เดินหน้ากันต่อกับข้าวแกงกะหรี่หน้าปูนิ่มทอดกรอบ ถึงอกถึงใจคนชอบปูนิ่มเพราะใส่มาให้ฟินถึง 2 ตัว เนื้อปูนุ่มนวลกินได้ทั้งก้ามและกระดอง รสชาติเค็มมันฉ่ำซอสแกงกะหรี่เข้มข้น     ข้าวแกงกะหรี่หน้าไก่เทริยากิ ยกให้เป็นจานที่เรียบง่ายแต่ครองใจสายกินมายาวนาน จุดเด่นอยู่ที่ความนุ่มของเนื้อไก่และกลิ่นหอมควันไฟจากการย่างจางๆ แนะนำให้สั่งไข่ลวกหรือไข่ต้มมากินคู่จะยิ่งชูรส ทางร้านจัดเครื่องเคียงผักดอง อาทิ ไชเท้า รากบัว ต้นหอม พร้อมประจำการไว้ตามโต๊ะให้ลูกค้าตักกินแก้เลี่ยนได้มากเท่าที่ต้องการ     ไม่ต้องบินไปไกลถึงญี่ปุ่นก็ได้ลิ้มรสความอร่อยแบบต้นตำรับเหมือนกัน

ด้วยทำเลในซอยสาทร 11 ถ้าเราไม่สังเกตให้ดีก็อาจไม่พบกับร้านอาหารญี่ปุ่นขนาดกะทัดรัดที่แฝงตัวอยู่ แต่ด้วยความตั้งใจของคุณกิ๊ฟและหุ้นส่วนทำให้ Charm Shabu & Donburi โดดเด่นขึ้นมาในเวลารวดเร็ว คุณกิ๊ฟเล่าให้ฟังว่าที่นี่นำความชอบของทุกๆ คนมารวมกันกลายเป็นร้านสไตล์ฮอกไกโดเน้นใช้วัตถุดิบคุณภาพในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ ทั้งยังคิดเมนูเผื่อไว้ให้ทุกวัยมาสั่งอาหารได้ตรงใจแบบไม่มีใครต้องเคอะเขินอีกด้วย     เราชอบหน้าร้านที่แบ่งเปิดเป็นโซนให้สั่งเครื่องดื่มสุดฮอตอย่าง ชานมไข่มุกสไตล์ญี่ปุ่น กลับบ้านได้สะดวก มีทั้งชานม ชาใส และนมไฮไกโดกินกับไข่มุกเคี้ยวหนุบหนับเพลินๆ แล้วที่ชวนให้ใจเต้นไปกว่านั้นคือ ไอศกรีมซอฟ์ทเสิร์ฟจากนมฮอกไกโด ทั้งซอฟ์ทเสิร์ฟลาเวนเดอร์สีสวย ซอฟ์ทเสิร์ฟเมลอนหอมๆ หรือซอฟ์ทเสิร์ฟนมฮอกไกโดสั่งตรงมาจากญี่ปุ่นก็รสนวล ละมุนจับใจ   ส่วนในร้านนำเสนอความเป็นฮอกไกโดตั้งแต่การเพ้นท์ผนัง รวมถึงเมนูอาหารที่เน้นรสชาติวัตถุดิบเป็นหลักนำเข้าจากญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด ยกเว้นแซลมอนจากนอร์เวย์ที่เป็นฟาร์มเลี้ยงแซลมอนที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง ซึ่งนอกจากชื่อร้านจะพอบอกเราได้บ้างว่าที่นี่มีเมนูอะไรให้ลองแล้ว ที่เราประทับใจยิ่งไปกว่าคือ โอมากาเสะ ราคาดีงาม โดยคุณกิ๊ฟก็เลือกมาแล้วว่าเชฟเบ็นซ์นี่ล่ะ คือมือขวาของร้านพร้อมนำเสนอสุดยอดคอร์สอาหารให้เราได้เอร็ดอร่อยกัน     ตัวอย่างคอร์สราคา 2000 บาท ( 9 คำ) เชฟเบ็นซ์จะเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุดในฤดูกาลนั้นๆ (ตามแบบโอมากาเสะ) มาเสิร์ฟไล่เรียงตั้งแต่ซาชิมิ ซูชิ คาสเทลล่า และซุป อย่างช่วงนี้คือช่วงฤดูหนาวของญี่ปุ่นจะมีปลาซาดีนที่นอกฤดูไม่นิยมนำมากิน เพราะเลือดเยอะและไขมันน้อย หรือปลาเข็มทะเลหวานอร่อย  เนื้อแน่นนุ่มลิ้น เชฟนำมาทำซูชิโดยไม่ปรุงรสเพื่อให้เราสัมผัสรสชาติและความสดเด้งของปลาแบบเต็มคำซึ่งลงตัวแบบพอดิบพอดีกับข้าวซูชิที่ใช้น้ำส้มแดงอย่างดีจากญี่ปุ่น             ซูชิกุ้งอมาเอบิ คำนี้ก็รสชาติแปลกใหม่ต่างจากที่เราเคยกิน เชฟเพิ่มความน่าสนใจด้วยไข่ปลากระบอกตากแห้งรสเค็มๆ มันๆ ฝนโรยบนตัวกุ้งแล้วบีบเลมอนตัดรส ส่วนใครชอบอูนิกับไข่ปลาแซลมอนต้องตาลุกวาว! เพราะเชฟเลือกไข่ปลาแซลมอนลูกกลมโตสีสวยสั่งพิเศษจากฮอกไกโด และอูนิพันธุ์บาฟุนชิ้นใหญ่เนื้อนุ่มเนียนวางบนข้าวห่อสาหร่าย เคี้ยวแล้วนวลนัวจับใจ จากนั้นตามมาด้วยอีกหลายคำอร่อยที่เราอยากให้ทุกคนมาลองสัมผัสด้วยตัวเอง         ยังไม่หมดเพียงเท่านี้! ยังมีเมนูอะลาคาร์ทหน้าตาชวนหิวเรียงคิวมาให้เราตักเข้าปากรัวๆ อีก เช่น Sushi Burger ข้าวซูชิสลับชั้นกับแซลมอนสไปซ์ซี อะโวคาโด มะม่วงสุกหอมๆ จุใจด้วยแซลมอนพันเป็นกุหลาบชิ้นใหญ่เต็มคำ หรือ Hokkaido Style Don ข้าวหน้ารวมวัตถุดิบสดหวานทั้งไข่ปลาแซลมอน หอยเชลล์ อูนิ ทูน่า แซลมอน ฯลฯ ตามมาติดๆ ด้วย Kagoshima Chuck Gyu Roll เนื้อคาโกชิมาโรลตับห่าน ไข่ปลาแซลมอน และอะโวคาโด ถูกใจคนรักเนื้อ         ปิดท้ายให้อิ่มพุงกางด้วย Buta Nabe ชุดหม้อไฟน้ำซุปดาชิร้อนๆ รสกลมกล่อม เข้ากันกับสันคอหมูนุ่มๆ และน้ำจิ้มรสเด็ด เรียกว่าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่คนรักอาหารญี่ปุ่นไม่ควรพลาดเด็ดขาดเชียว!  

การมาของ Masa – Otaru Masazushi น่าจะเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ความอร่อยของบ้านเราเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากซูชิร้านดังที่สืบทอดตำนานกว่า 80 ปี แห่งเมืองโอตารุ ฮอกไกโด (สาขา 2 และ 3 อยู่ในกินซ่าและชินจุกุ) ได้ขยายสาขาในต่างประเทศเป็นครั้งแรกแล้ว นี่ยังนับเป็นโอกาสดีที่คนไทยจะมาทำความรู้จักซูชิตำรับฮอกไกโดกันอย่างใกล้ชิด     ก่อนอื่นคงต้องบอกว่าซูชิที่คนไทยรู้จักและคุ้นลิ้นกันนั้นจะเป็นซูชิสไตล์โตเกียวหรือที่เรียกกันว่าเอโดะมาเอะ (Edomae Sushi) ซึ่งนับเป็นวัฒนธรรมในการรักษาความอร่อยของข้าวและปลาให้คงอยู่ได้นาน เนื่องจากสมัยก่อนนั้นยังไม่มีตู้เย็นที่จะรักษาความสดใหม่ ทำให้ปลาบนข้าวส่วนใหญ่มักจะผ่านการหมัก ปรุงรส ต้ม ไปจนถึงย่าง ทำให้ได้ซูชิที่มีรสชาติซับซ้อนและหลากหลายในคำเดียว       แต่สำหรับซูชิสไตล์ฮอกไกโดหรือเอโซะมาเอะ (Ezomae Sushi) จะชูจุดเด่นจากทำเลที่ตั้งอันเต็มไปด้วยอาหารทะเลชั้นเลิศ จึงนิยมนำวัตถุดิบสดๆ มาทำเป็นซูชิเลย หรือปรุงรสเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เสน่ห์ความอร่อยเลยอยู่ที่การได้ลิ้มรสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบที่มีทั้งความหวานละมุนและนุ่มนวลอยู่ภายใน ทำให้สาขานี้มีการหมุนเวียนวัตถุดิบในฤดูกาลมาให้เลือกลอง (แทบจะส่งกันวันต่อวัน) อย่างช่วงนี้จะเป็นฤดูของ กุ้งโบตัน ปูขน ปลานิชชิน (ปลาเฮอร์ริง) หอยเชลล์ฮอกไกโด หอยตลับ ไปจนถึงชิราโกะ (Shirako) หรือถุงสเปิร์มของปลาคอดที่เขาว่าช่วงนี้อร่อยที่สุด     และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เรายังได้เจอกับเชฟนากามุระ ทาคายูกิ (Nakamura Takayuki) ทายาทรุ่นที่ 3 มาประจำการนำเสนอความอร่อยกันแบบคำต่อคำ โดยมีให้เลือกทั้งแบบจานเดียวและโอมากาเสะ (สั่งเป็นคอร์ส)     ประเดิมด้วยเมนูต้นตำรับที่ชาวประมงเมืองโอตารุคิดค้นอย่าง Ika-Somen ที่นำปลาหมึกมาสไลซ์เป็นเส้นบางๆ คล้ายโซเมน เสิร์ฟพร้อมกับหัวไช้เท้า สาหร่าย และไข่หอยเม่น พร้อมด้วยซอสรสเค็มที่มีไข่แดงอยู่ในนั้น วิธีกินให้นำเอาไข่หอยเม่นคลุกเคล้ากับไข่แดงในน้ำซอสก่อน (ถึงตรงนี้เราลังเลมาก แต่เชฟบอกว่าอย่าเสียดายไข่หอยเม่นเลย เพื่อแลกกับซอสรสเข้มข้น) จากนั้นให้นำเส้นปลาหมึกลงจุ่มแล้วส่งเข้าปาก ซึ่งรสชาติที่ได้ขอบอกว่าเต็มปากเต็มคำและฉ่ำมาก ปลาหมึกกรุบกรอบ ส่วนซอสก็ให้รสเค็มๆ หวานๆ มันๆ         ต่อด้วยเมนูเด่นในฤดูกาลอย่าง Nishin Herring ซูชิปลาเฮอร์ริงแล่เป็นริ้วสวยชิ้นพอดีคำทาด้วยซอสสูตรพิเศษอีกเล็กน้อยโรยด้วยต้นหอมก็ได้ความอร่อยอย่างสูงสุด ซึ่งเชฟนากามุระเล่าให้ฟังว่าปลาชนิดนี้เป็นปลาที่จับได้มากในช่วงต้นปีแบบนี้ และเพราะอยู่ในฤดูกาลก็เลยได้ปลาที่มีทั้งความสดและความหวานกรอบที่ห้ามลองอย่างเด็ดขาด     ส่วนคนรักกุ้งก็ห้ามพลาด Botan-Ebi กุ้งโบตันไซส์ใหญ่ (ใหญ่มากที่สุดที่เราเคยเห็นมา) ที่นำมาแยกเสิร์ฟเป็นส่วนหัวและส่วนลำตัว โดยส่วนหัวซึ่งก็คือมันกุ้งสีออกเขียวๆ จะถูกนำมาเสิร์ฟบนข้าวห่อสาหร่ายในแบบฉบับกุนกังมากิเพื่อให้สาหร่ายเติมความหอมและตัดความเข้มข้นของมันกุ้ง ขณะที่ส่วนลำตัวยาวเนื้อนุ่มแน่นจะถูกวางลงบนข้าวให้เราได้สัมผัสรสชาติความหวานอร่อยที่แท้จริง     แล้วมาปิดท้ายด้วยความเข้มข้นสุดครีมมี่ของ Kaisui-Uni ไข่หอยเม่นที่ถูกแช่ในน้ำทะเลด้วยวิธีธรรมชาติมาเสิร์ฟบนข้าวญี่ปุ่นที่ให้รสชาติหวานอมเปรี้ยวก็ดูเป็นความอร่อยที่เข้าคู่กันอย่างที่สุด หรือจะบอกว่าอร่อยจนหลับตาพริ้มก็ไม่น่าผิด  

ร้านอาหารญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ มีอยู่มากมายแต่ที่มีสไตล์โดดเด่นไม่ซ้ำใครมากที่สุดต้องยกให้ร้านอาหารญี่ปุ่นร่วมสมัย “เท็นชิโนะ”       เมื่อก้าวเข้ามาในร้านก็ตื่นตากับการตกแต่งสไตล์โบฮีเมียนชิก ที่ใช้โทนสีเขียววินเทจสวยไม่เหมือนใคร ภายในร้านแบ่งที่นั่งให้เลือกหลายแบบทั้งโต๊ะยาวเหมาะกับสังสรรค์กลุ่มเพื่อน โซฟานุ่มสบายที่เป็นมุมส่วนตัวเหมาะสำหรับคู่รัก หรือจะนั่งหน้าบาร์เพื่อจิบค็อกเทลสไตล์ญี่ปุ่นก่อนมื้ออาหารก็ได้       อาหารจานเด่นเราขอยกให้กับ Wagyu Beef Suki สุกี้เนื้อวากิว ใช้เนื้อวัว A5 จากเมืองคาโกชิม่าที่ขึ้นชื่อในเรื่องความนุ่ม เสิร์ฟพร้อมน้ำซุปสุกี้ใส่เหล้าสาเกส่งกลิ่นหอมฟุ้ง เมื่อนำเนื้อวัวสไลด์ลงจุ่มในน้ำซุปร้อนๆ และยกขึ้นมาจุ่มไข่ดิบ สัมผัสของเนื้อเนียนนุ่มละลายในปากเข้ากับรสมันของไข่ดิบ ตามด้วยน้ำซุปรสเค็มหวานกลมกล่อมเข้ากันลงตัว       ร้านอาหารญี่ปุ่นจะพลาดสั่งซูชิและซาชิมิได้อย่างไร ต้องลอง Sushi of the Day ใช้ปลานำเข้าจากตลาดปลาโทโยสุ ได้แก่ ปลาทูน่าหรือมากูโร่ส่วนอากามิเนื้อสีแดงสดรสเข้มข้น ปลาทูน่าส่วนเนื้อติดมันที่เรียกว่าชูโทโร่ ปลามาได หอยเชลล์โฮตาเตะ และปลาไหลทะเลอะนาโกะ กินพร้อมกับข้าวซูชิที่มีรสเปรี้ยวกำลังดี     มาถึงเมนูเรียกยอดไลค์กันบ้างกับกับ Live Lobster and Seaweed Butter กุ้งล็อบสเตอร์ตัวโตย่างกับเนยรสสาหร่ายได้ทั้งกลิ่นหอมชอบกินและได้รสอูมามิจากสาหร่าย เนื้อล็อบสเตอร์เด้งหวาน ราดด้วยซอสเปรี้ยวที่มีส่วนผสมของส้มยูสุให้กลิ่นหอมสดชื่น     สุดท้ายคือ Azuki-Matcha Mochi โมจิก้อนกลมแป้งสีดำทำจากชาร์โคล์ ไส้ถั่วแดงญี่ปุ่นกวน ตัวแป้งเหนียวนุ่ม ไส้ถั่วแดงหวานกำลังดี เสิร์ฟมาในนมรสชาเขียว กินแล้วให้คะแนนเต็มเรียบง่ายแต่อร่อยสมเป็นญี่ปุ่น     จะนัดปาร์ตี้หรือกินเลี้ยงมื้อสำคัญก็อย่าพลาดร้านนี้

ใครที่เป็นแฟนคลับของเชฟมาซาโตะแห่งร้านซูชิมาซาโตะ ตอนนี้ไม่ต้องจองคิวนานก็ได้กินซูชิฝีมือเชฟมาซาโตะแบบไม่ต้องรออีกต่อไป เพราะบนชั้น 3 ของร้านเปิด Raw Bar สไตล์ญี่ปุ่นซึ่งมีคุณเรียวหุ้นส่วนชาวเจแปน เพื่อนสมัยนิวยอร์กของเชฟมาช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด     คุณเรียวใส่ใจทั้งการตกแต่งที่ให้อารมณ์เหมือนร้านในเมืองเกียวโตบ้านเกิด วัตถุดิบต่างๆ สั่งตรงจากตลาดปลาโทโยสุเพื่อให้ได้ความอร่อยจากวัตถุดิบดั้งเดิม รวมถึงบาร์เครื่องดื่มเฮาส์ค็อกเทลสไตล์ญี่ปุ่นก็คิดมาแล้วว่าอยากให้ไปด้วยกันได้ดีกับอาหาร ทั้งหมดทั้งมวลแล้วทำให้เราดื่มด่ำความเป็นเจแปนทุกมุมมองแบบไม่ต้องเดินทางไกลเลย       จานแรกที่คุณเรียวและเชฟมาซาโตะภูมิใจนำเสนอคือ Sea Urchin Assemblage อุนิพันธุ์บาฟุน มุราซากิ และอุนิในน้ำทะเล เสิร์ฟมาในถ้วยขนาดย่อมให้เราใช้ช้อนมุกตักอุนิเนื้อหวานนวลเนียนกินแบบจุใจกันไปข้างนึง แต่ถ้ายังอยากต่ออีกหน่อย ลองสั่ง Uni Soba ดู เส้นโซบะหอมๆ เข้ากันได้ดีกับน้ำซุปโซบะเย็นขลุกขลิกหอมปลาแห้งและโชยุ ที่สำคัญขาดไม่ได้คืออุนิชิ้นใหญ่ละมุนลิ้น แจมด้วยไข่คาเวียร์ และวาซาบิสด กินด้วยกันแล้วต้องร้องว่าสุโก้ย!       ส่วนคนรักเนื้อห้ามพลาด Wagyu Filet Mignon Sandwich เด็ดขาด! มัตสึซากะเกรด A5 เนื้อนุ่มฉ่ำ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ลงตัวกับซอสที่ทำจากน้ำมันของเนื้อต้มกับไวน์แดงและหอมหัวใหญ่     จากนั้นตามมาติดๆ ด้วย Ikura Canape แพนเค้กพอดีคำจากแป้งโซบะ เสิร์ฟพร้อมทอปปิง อย่าง ซาวร์ครีมรสเปรี้ยวละมุน ต้นหอมญี่ปุ่นซอย ไข่แดง และไข่ปลาแซลมอนลูกกลมโต ก่อนปิดท้ายด้วย Okimari Sushi (Chef’s Assorted Selection of Sushi) ซูชิคำอร่อยตามฤดูกาลจากเชฟมาซาโตะ เลือกฟินได้ตั้งแต่ 5 คำขึ้นไป       ก่อนอิ่มอย่าลืมหันไปสั่งเครื่องดื่มมาแพริ่งด้วยนะ สาวๆ เราแนะนำ Yume หอมกลิ่นเหล้าส้มยูซุและเหล้าบ๊วย รสเปรี้ยวๆ เค็มๆ ให้รสบาลานซ์ที่ดีทีเดียว แต่ถ้าใครคอแข็งขึ้นมาหน่อยลอง Japanese Old Fashion เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิสกี้ญี่ปุ่นรสนุ่ม หอมซินนามอนและส้ม เสิร์ฟพร้อมเกาลัดหวานมันที่มีมากในฤดูนี้ แล้วไต่ระดับไปที่ Bullet Train Martini จินและเหล้ายูซุทำให้เลือดสูบฉีดมากถึงมากที่สุด ใครมาช้าตามเพื่อนไม่ทันล่ะก็ บาเทนเดอร์แนะนำแก้วนี้ไปเลย หรือถ้าอยากให้บาเทนเดอร์ครีเอทเครื่องดื่มรสชาติที่ชอบและเหมาะกับอาหารที่สั่งขึ้นมาใหม่ก็รีเควสได้เลย รับรองว่าคืนนี้นั่งกันยาวแน่นอน!      

เรียกว่าคนรักข้าวหน้าปลาไหลได้ฟินกันสมใจ เพราะในที่สุด “Unatoto” ร้านข้าวหน้าปลาไหลยอดนิยมขวัญใจเหล่านักท่องเที่ยวก็มาเปิดสาขาแรกในกรุงเทพฯ ให้ไปชิมกันแบบสบายๆ ในซอยสุขุมวิท 33 โดยคุณหนิง เจ้าของร้านการันตีว่ารสชาติความอร่อยไม่ผิดเพี้ยนไปจากทั้ง 15 สาขาของญี่ปุ่นอย่างแน่นอน       ความโดดเด่นของ Unatoto อยู่ที่การเสิร์ฟปลาไหลเนื้อแน่นตัวโตได้มาตรฐาน ย่างบนเตาถ่านร้อนๆ โดยใช้เทคนิคพิเศษที่ทำให้เสิร์ฟค่อนข้างเร็ว แต่ไม่เสียความอร่อย นอกจากนี้ซอสสูตรเฉพาะรสกลมกล่อมและไม่หวานจนเกินไปยังทำให้เราได้สัมผัสรสชาติของปลาไหลแบบเต็มๆ เมื่อกินพร้อมข้าวนุ่มหนึบซึ่งคัดสรรมาแล้วว่าเข้ากับปลาไหลย่างก็ยิ่งลงตัว       เมนูเด่นที่ต้องลองคือ Unadon Double เนื้อปลาไหลส่วนท้องนุ่มแทบละลายในปาก ชิ้นโตเต็มคำ แต่ถ้าชอบเนื้อเน้นๆ ไม่มันมาก เราแนะนำ Unaju Tokujou ที่เพิ่มส่วนหางปลาไหลที่มีมันน้อยและหายากมาให้ได้ชิม เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง อาทิ สลัดมันฝรั่งและกระเจี๊ยบญี่ปุ่น       ส่วนใครอยากลองความแปลกใหม่ Hitsumabushi ตอบโจทย์สุดๆ เพราะชุดข้าวหน้าปลาไหลนี้จะกินทันทีกับข้าวและสาหร่าย ใส่ซอสวาซาบิเพิ่มรสชาติ หรือตักแยกออกมาแล้วราดน้ำซุปยูสุร้อนๆ ให้กลายเป็นข้าวต้มปลาไหลก็อร่อยทั้ง 3 สไตล์       แล้วอย่าลืมตบท้ายด้วยของหวานสไตล์ญี่ปุ่นอย่าง Matcha Ice-Cream ไอศกรีมชาเขียวมัตฉะเข้มข้นท็อปด้วยถั่วแดงบดที่บอกได้เลยว่าถ้วยเดียวคงไม่พอ  

หลังเปิดประจำการมาให้สาวกข้าวหน้าญี่ปุ่นได้อิ่มอร่อยกันมาพักใหญ่ มาตอนนี้ “คาคาชิ” (Kakashi) ก็พร้อมที่จะยกระดับความประทับใจไปอีกขั้นด้วยบรรยากาศที่สดใสขึ้น ร่วมด้วยเมนูใหม่ล่าสุดอย่าง “ข้าวหน้าล้น” ที่เพิ่มเนื้อในชามถึงสองเท่า! เพื่อเอาใจนักกินกันโดยเฉพาะ         นำทัพความอร่อยกันด้วย ข้าวหน้าล้นหมูสไปซี่ไข่ออนเซ็น (149 บาท) ที่นำเนื้อหมูส่วนสันคอและสามชั้นมาสไลซ์ก่อนผัดกับซอสสไปซี่รสเผ็ดหอมจนเข้าเนื้อ ก่อนจะท็อปปิงด้วยไข่ออนเซ็นให้มาคลุกเคล้าเพิ่มความหอม     ตามด้วย ข้าวหน้าล้นเบคอนย่าง (149 บาท) ที่มีทีเด็ดตรงที่เบคอนชิ้นหนาพิเศษย่างบนเปลวไฟอ่อนๆ เสิร์ฟพร้อมกับไข่มุกซอสพอนสึนวัตกรรมการกินล่าสุดที่จะช่วยเพิ่มความอร่อยให้กับข้าวทุกคำ อร่อยแบบไม่ต้องหาซอสมาเพิ่ม เพราะซอสจะแตกโพละในปากเราเลยทีเดียว     ร่วมด้วย ข้าวหน้าล้นไก่กรอบซอสมาโย (139 บาท) เนื้อสะโพกสุดนุ่มมาหมักกับเครื่องเทศก่อนนำลงทอดจนกรอบนอกนุ่มใน แล้วราดด้วยซอสมาโยรสเปรี้ยวอมหวานก็เข้าคู่กับข้าวได้อย่างลงตัว แต่ถ้ารักเนื้อนุ่มๆ ก็ต้องชิม ข้าวหน้าล้นเนื้อต้มซอสญี่ปุ่น (149 บาท) เนื้อสไลซ์ต้มซอสญี่ปุ่นรสเค็มๆ หวานๆ เสิร์ฟพร้อมกับหอมหัวใหญ่และเห็ดหอมที่เข้ากับข้าวสวยร้อนๆ อย่างที่สุด       นอกจากนี้ยังมีเมนูกินเล่นกินอร่อยอย่าง ยากิเกี๊ยวซ่าชีส (79 บาท) เกี๊ยวซ่าของโปรดของใครหลายคน ถูกนำมาทำให้สนุกขึ้นด้วยชีสยืดๆ และปลาโอแห้งเพิ่มความหอม หรือจะมาจัดจ้านกับ ปูอัดอลาสก้าวาซาบิแซ่บ (89 บาท) ปูอัดอลาสก้าเนื้อแน่นราดด้วยจ้ำจิ้มซีฟู้ดกินคู่กับกะหล่ำปลีกรอบๆ และกุ้งทอดอิซากายะ (89 บาท) กุ้งกรอบเคี้ยวเพลินเกินห้ามใจ       สัมผัสความอร่อยได้ที่คาคาชิทุกสาขาใกล้บ้านได้แล้ววันนี้

เรื่องโดย : ชญานุศภัฒค์ พิมพ์สีทอง   เราขอเอาใจคนรักเส้นกับร้านราเมงเปิดใหม่ในตึก RSU Tower ริมถนนสุขุมวิทกับร้าน Mensho Tokyo BKK สาขาแรกในประเทศไทยที่ก่อตั้งโดย Hyper Ramen Creators เชฟโทโมะฮารุ โชโนะ เจ้าของร้านราเมงเจ้าดังในญี่ปุ่นที่มีมากถึง 8 สาขา ซึ่งนำเข้าโดย บริษัท เดลิคาซี่ จำกัด นั่นเอง       คอนเซ็ปต์ของ Mensho Tokyo ทำให้เราประทับใจด้วยการทำราเมงเส้นสดทุกวัน กินแล้วสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมๆ จากแป้งสาลีและความหนุบหนับของเส้นหยักและเส้นเรียบที่ทำขนาดพอเหมาะ กักเก็บน้ำซุปไก่ที่ใช้เวลาเคี่ยวนานจนได้รสชาติจากเนื้อไก่เต็มคำ รสชาติแปลกใหม่  แต่ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ความ Original ของราเมงตามแบบฉบับประเทศญี่ปุ่นเอาไว้     เริ่มต้นด้วยเมนูแรก Shio Ramen น้ำซุปไก่สีใสและหอยพื้นเมือง 3 ชนิด ที่เคี่ยวจนน้ำซุปรสชาติหวาน มีกลิ่นอายของทะเล พร้อมเครื่องเคียงอย่างชาชูหมูที่หมักจนนุ่มได้ที่ หน่อไม้เมนมะ ต้นหอม คะน้าไทย และตะไคร้เจียวหั่นฝอย เรียกว่าเพิ่มความเป็นไทยตามที่เชฟตั้งใจได้อย่างน่าสนใจทีเดียว     ต่อด้วยเมนู Shoyu Ramen ซุปไก่ใส่โชยุ Tamari รสชาติอุมามิเข้มข้นกลมกล่อมหอมปลาแห้งและซีอิ๊วญี่ปุ่น ตามด้วยเครื่องเคียงอย่างชาชูหมูและชาชูเป็ดที่ผ่านการซูวีย์และนำมาย่างจนหอมฉุยชวนหิว     ปิดท้ายกับเมนูซิกเนเจอร์ห้ามพลาด Tori Paitan ซุปสีครีมเข้มข้นจากการเคี่ยวไก่แล้วนำไปปั่นทั้งตัว (กลายเป็นน้ำซุป) เข้ากันกับชาชูเป็ด ชาชูหมู และซอส GYOKAI ที่มีส่วนผสมของน้ำสต็อกชิตาเกะและน้ำซอสชาชู คุณโอ๊ตแนะนำวิธีกินว่าให้ซดน้ำซุปรสครีมมีจนหนำใจเสียก่อนแล้วค่อยละลายซอส GYOKAI ให้นัวเข้ากันเพื่อเปลี่ยนรสชาติให้อร่อยต่างไปจากเดิม     ส่วนถ้าใครติดใจทอปปิงนานาชนิดที่ใช้เวลาและขั้นตอนการทำอย่างคุ้มค่าเช่น ชาชูเป็ด ชาชูหมู ไข่ต้มซีอิ๊วญี่ปุ่น ฯลฯ ก็สามารถสั่งเพิ่มได้ตามความชอบ อีกทั้งเร็วๆ นี้ที่ร้านกำลังจะออกเมนูใหม่เป็น ราเมงมังสวิรัติ เอาใจคนไม่กินเนื้อสัตว์ แถมยังมีทีเด็ดในหลายๆ เมนูที่กำลังจะตามมาอีกมาก เราอยากให้ไปลองกัน  

ใครที่หลงใหลวิถีการกินแบบโอมากาเสะ (หรือการกินแบบตามใจเชฟ) คงพอทราบว่าไม่ได้จำกัดเพียงแค่ซูชิเท่านั้น แต่ยังมี ‘โอมากาเสะเทมปุระ’ ซึ่งมีเสน่ห์ไม่แพ้กัน เพราะเป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะตัวของเชฟเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับร้าน Ginza Tenharu โอมากาเสะเทมปุระจากกินซ่า ประเทศญี่ปุ่น ที่เพิ่งเปิดสาขาที่เกษร วิลเลจ นับเป็นแห่งที่สามต่อจากสิงคโปร์       สำหรับคอนเซ็ปต์ร้านยังคงความเป็น “ร้านเทมปุระเล็กๆ” ที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว มีที่นั่งล้อมรอบเทมปุระบาร์ให้เห็นเฮดเชฟ คาวากุจิ ไดกิ ทอดเทมปุระแบบคำต่อคำ วัตถุดิบนำเข้าจากญี่ปุ่นทุกวัน ที่โดดเด่นคือ Nodoguro หรือปลาคอดำเนื้อหวานมัน หากินยาก ส่วนแป้งสำหรับทำเทมปุระเป็นสีขาวละเอียด ใช้น้ำมันทานตะวันสกัดเย็นทอดในอุณหภูมิที่ 190 องศาเซลเซียส เชฟตั้งใจให้แป้งเคลือบวัตถุดิบบางที่สุด ทุกคำจึงกรอบและไม่อมน้ำมัน กินคู่เกลือ Maarui Shio จากเกาะโกโตะ เมืองนางาซากิ และเครื่องจิ้มอีก 6 ชนิดช่วยชูรสชาติ       อีกหนึ่งความความโดดเด่นของที่ร้านคือการดีไซน์ตู้กระจกล้อมรอบเตาเพื่อป้องกันการกระเด็น และหมดห่วงเรื่องกลิ่นติดตัว แถมมีลวดลายดอกซากุระสะท้อนกระจกสื่อถึงชื่อร้านที่หมายถึงท้องฟ้าของฤดูใบไม้ผลิ เริ่มคอร์สด้วย Appetizer ที่หมุนเวียนไปตามฤดูกาล เราได้ชิมผักตั้งโอ๋โรยไข่ปลาแซลมอน แปะก๊วยเทมปุระ ปลาโนโดะคุโร่ย่าง และบาฟุนอูนิวางบนอังกิโมะย่าง กระตุ้นความอยากอาหารได้ดีเยี่ยม ตามด้วยเทมปุระอีกหลายคำหลายคำ อาทิ ปลา Wagasaki ตัวเรียวขนาดกำลังดี เนื้อมีความมันอร่อย เชฟวางเสิร์ฟ 2 ตัวตั้งคู่กันให้เราคีบส่งต่อเข้าปากเคี้ยวได้ทั้งตัว         Kuruma Ebi กุ้งลายเสือเนื้อสดหวานสีสวยน่ากินที่แม้จะถูกเคลือบด้วยแป้ง แต่เนื้อในยังคงความเด้งอยู่ กินได้ทั้งตัวเช่นกัน ตามด้วยคำไฮไลต์ Sukiyaki Wagyu Tempura ซิกเนเจอร์ของทางร้าน เนื้อวากิว A5 การันตีความนุ่มละลาย เชฟนำมาพันวนรอบเป็นก้อนกลม แล้วนำลงไปทอดแล้วผ่าครึ่ง ก่อนกินใช้ตะเกียบคีบเนื้อลงไปจุ่มในซอสที่มีไข่ออนเซ็น เหมือนได้กินสุกี้ยากี้คำโตๆ       รวมถึงคำที่เราหลงรัก Ooba Umi บาฟุนอูนิห่อด้วยใบโอบะคลุกแป้งบางๆ แล้วทอด คำนี้ได้รสชาติหวานละมุนของบาฟุนอูนิเต็มปากและคงเนื้อสัมผัสสุดครีมมี่เอาไว้ได้อย่างน่าประทับใจ  

หนึ่งในเมนูทอปลิสต์ของแฟนๆ ซูชิและซาชิมิ พูดเลยว่าต้องมี “อูนิ” หรือ “ไข่หอยเม่น” ที่ถ้าได้กินแบบสดๆ แล้วจะต้องหลงไหลในความหวานนุ่มละมุนลิ้นของอูนิกันทุกราย แต่เวลาไปกินที่ร้านก็มักไม่ค่อยฟิน อยากกินหลายๆ คำ ราคาก็โหดเอาการ G&C เลยมีทางเลือกมาบอกต่อสำหรับการสั่ง “อูนิ เดลิเวอรี” ผ่านโซเชียลมีเดีย ส่งตรงอูนิเกรดพรีเมียมจากญี่ปุ่นแบบเป็นถาดมาล้อมวงกินแบบฟินๆ ล้นๆ กันที่บ้าน เห็นช่องทางอร่อยแบบนี้เราไม่รอช้า รีบสั่งมาลองทันที     เริ่มด้วยเข้าไปที่ไอจี @mr_uni_shop ซึ่งเป็นช่องทางที่ดีที่เราจะได้ดูภาพตัวอย่างสินค้าวิธีการสั่ง และโปรโมชั่น (ช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมามีโปรโมชั่นแรงเชียว แต่เรามาช้าเลยอด เศร้าแป้บ) ตัวสินค้านั้นมีให้เลือก 3 เซ็ต คือ เซ็ต S ขนาด 100 กรัม ราคา 2,999 บาท เซ็ต M ขนาด 150 กรัม ราคา 3,999 บาท และเซ็ต L ขนาด 250 กรัม ราคา 4,999 บาท โดยในเซ็ตจะมีข้าวญี่ปุ่น สาหร่าย วาซาบิ และโชยุให้ 1 ชุด ส่วนวิธีการสั่ง จะมีรอบในการสั่งออเดอร์ทุกวันพุธและศุกร์ ส่วนรอบในการส่งของคือวันอังคารและศุกร์ ลองกะให้ดีว่าอยากกินวันไหน สำหรับอูนิ เราแนะนำว่ากินทันทีจะดีที่สุด แต่หากต้องเก็บไว้ก็ไม่ควรเกิน 3 วัน เพราะความสดจะลดลง ยิ่งข้าวด้วยแล้ว หากเก็บไว้นานก็จะไม่นุ่มอร่อย     ทางร้านให้ช่องทางในการสั่งไว้หลากหลายทาง ทั้งทางไลน์ เฟซบุค โทรศัพท์ และสั่งผ่านไอจีได้เลย ถ้าอยากถามเพิ่มเติมก็ส่งข้อความทักไปได้ จากการสอบถามพบว่าทางร้านมีอูนิจากฮอกไกโดให้เลือก 2 สายพันธุ์คือ “บาฟุน” กับ “มุราซากิ” (ซึ่ง G&C เคยสัมภาษณ์เชฟมาซาโตะไว้ถึงทั้ง 2 สายพันธุ์แล้ว ว่าต่างกันอย่างไร อ่านเพิ่มเติมที่ >> เรื่องโอมากาเสะซูชิไว้ใจเชฟมาซาโตะ ชิมิสุ!) โดยไม่ว่าจะเลือกแบบไหนก็จ่ายราคาเดียวกัน แต่ถ้าลูกค้าไม่ได้เฉพาะเจาะจง ทางร้านก็จะเลือกอูนิที่คุณภาพดีที่สุดในรอบนั้นมาให้ เมื่อเลือกสายพันธุ์และเซ็ตที่ต้องการแล้วก็สั่งออเดอร์ได้เลย G&C ซะอย่าง (ด้วยความหิว) เลยเลือกสั่งเซ็ต L ถาดใหญ่ที่สุด เป็นสายพันธุ์ที่ทางร้านแนะนำคือบาฟุน ส่วนการชำระเงินทำได้ง่ายดายผ่านแอปพลิเคชัน ทันใจวัยรุ่นยุค 5G มากๆ       เมื่อถึงวันส่งทางร้านแจ้งเวลาส่ง 5 โมงเย็น ซึ่งก็มาส่งตรงเวลา อูนิ ข้าวญี่ปุ่น (ไม่ได้ปรุงรสแบบข้าวซูชิ) สาหร่ายปรุงรส 2 ซอง วาซาบิ และโชยุ แพ็คแยกกันมาอย่างดีบรรจุมาในถุงกระดาษ โดยมีไอซ์แพคขนาดใหญ่รองใต้ถาดอูนิมาด้วย แต่ไม่มีตะเกียบมาให้ ซึ่งเราว่าก็ดี ช่วยๆ กันลดขยะ     ส่วนไฮไลท์คืออูนินั้น บอกเลยว่าดีงามไม่ผิดหวัง อูนิชิ้นโตสมราคาเรียงตัวสวยอยู่บนถาดในสภาพสมบูรณ์ ยังคงความเย็นจากไอซ์แพค รสหวานละมุน เนื้อนุ่มแต่ไม่เละ ไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อย ปริมาณอูนิกับข้าวก็พอเหมาะกันดี ส่วนสาหร่ายอาจจะน้อยไปนิด รสชาติของโชยุและวาซาบิที่ให้มาก็จัดว่าดี ถาดนี้ทางร้านบอกว่ากินได้ 2-3 คน แต่หากมีเมนูอื่นเสริมด้วย เราว่าสามารถแชร์กันได้ถึง 4 – 5 คนเลยแหละ     ถูกใจแบบนี้ เราเลยสอบถามไปทางร้านอีกครั้ง พบว่าก่อตั้งและดำเนินการโดย 2 นักธุรกิจรุ่นใหม่ คุณมิลกี้ รตนพร อมฤตวาริน และคุณเท็น วริทธ์ วีระภุชงค์ ทั้งคู่ยังศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย โดยคุณเท็นนั้นศึกษาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น และเห็นว่าคนไทยที่ชอบทานอูนิมีเพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่ราคาอูนิที่ร้านอาหารในเมืองไทยนั้นสูงกว่าที่ญี่ปุ่นมาก จึงมองเห็นช่องทางธุรกิจขึ้นมา ในอนาคตอันใกล้ หากมีเวลามากขึ้น Mr. Uni อาจพัฒนาเมนูใหม่ๆ สำหรับส่งเดลิเวอรีเพิ่มเติมด้วย อยากกินอูนิอร่อยๆ ที่บ้านและอุดหนุนธุรกิจคนรุ่นใหม่ ก็สั่งเลย ที่ IG : mr_uni_shop หรือ Line : @mr.uni

ยังคงเป็นขวัญใจสายกินดื่มอย่างต่อเนื่อง สำหรับ Kenshin Izakaya ร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์อิซากายะที่เคยสร้างความฮือฮาด้วยเบียร์ลาเวนเดอร์สีม่วงและเบียร์ซากุระสีชมพูแก้วยักษ์มาแล้วในย่านอโศก  ครั้งนี้ถึงเวลาสำรวจสาขาใหม่ล่าสุดที่เดินทางง่ายขึ้นมาอีกนิดที่ชั้น 2 Groove @CentralWorld     แน่นอนว่าที่ร้านยังคงคาแรกเตอร์ของตัวเองไว้ได้อย่างครบถ้วน เริ่มตั้งแต่การตกแต่งร้านให้เหมือนได้ไปนั่งอยู่ใต้ต้นซากุระที่ญี่ปุ่น (เก้าอี้ที่ทำจากลังเบียร์ก็ขนมาด้วย) เสียงพนักงานที่ต้อนรับอย่างแข็งขัน  และบรรยากาศการชนแก้วสุดครื้นเครง เอ้า คัมไป!       เริ่มต้นเมนูอาหารรองท้องกันก่อน ใครที่เคยติดใจเมนู Aburi Chimesaba ซาบะดองเบิร์นไฟของร้านนี้ ลองปันใจมาชิมเมนูใหม่เอี่ยม Aburi Salmon แซลมอนชิ้นหนาจุใจเสิร์ฟบนไม้ไผ่แล้วมาเบิร์นไฟโชว์กันถึงที่โต๊ะ ได้ทั้งกลิ่นหอมและความมัน ฟินไม่แพ้ซาบะดอง ต่อด้วย Unagi –Yaki ปลาไหลย่างสไตล์คันไซ อร่อยที่ซอสรสเค็มหวานที่เคลือบอยู่บนเนื้อปลาไหลที่ทั้งนุ่มและหอม ส่วนอีก 1 เซอร์ไพรส์ ต้องยกให้ของหวานอันเก๋ไก๋ Aburi Mango มะม่วงน้ำดอกไม้ของบ้านเราที่ทางร้านใช้ไฟเบิร์นบางๆ ก่อนแล้วนำไปแช่เย็นก่อนเสิร์ฟ เพิ่มความหวานเย็นชื่นใจ ได้ใจทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวไทยไปเลย         ส่วนเรื่องเครื่องดื่ม เบียร์ลาเวนเดอร์สีม่วงเข้มเสิร์ฟในแก้วแช่เย็นเจี๊ยบยังเป็นพระเอกของร้านเช่นเคย รวมถึงเครื่องดื่มอื่นๆ อย่างสาเก วิสกี้ โชจู และค็อกเทล ก็มีให้เลือกหลากหลายมากขึ้น  แต่ที่ลองแล้วอยากบอกต่อขอยกให้ Oni Urara สาเกผสมส้มมิคังที่เสิร์ฟในผลส้ม (ถ่ายรูปออกมาน่ารักมาก) ความพิเศษอยู่ที่สาเกกลั่นจากน้ำแร่ธรรมชาติ รสบางและหอมกลิ่นเปลือกส้ม เราชอบที่ด้านล่างมีเกร็ดน้ำแข็งอยู่ด้วย  ส่วนสายเหล้าบ๊วยลองสั่ง Ume Pon ดื่มง่าย จะสั่งแบบผสมโซดาก็สดชื่น หรือแบบออนเดอะร็อกก็ได้เช่นกัน       เอ้า คัมไป!

ราเมนเลิฟเวอร์เตรียมขยับมาใกล้ๆ กันได้เลย เพราะตอนนี้สยามสแควร์ได้เป็นแหล่งพำนักของร้านราเมนน้องใหม่ที่นอกจากจะพกพาทั้งความสดใสและความสนุกจากการตกแต่งมาเต็มพิกัดแล้ว ทีเด็ดความอร่อยยังอยู่ที่น้ำซุปที่ผสานความหอมอมเปรี้ยวที่ไม่เหมือนใครของส้มยูซุ อีกทั้งยังสามารถเติมแต่งรสชาติจัดจ้านได้จากเครื่องปรุงอย่างพริกเผาและผักดองที่ส่งมาจากญี่ปุ่น       “ผมอยากให้ที่นี่เป็นราเมนซุปยซุแห่งแรกในประเทศไทยครับ” คุณปรมินทร์ เปรื่องเมธางกูร บอกเล่าให้ฟังถึงความตั้งใจว่าอยากทำราเมนในรสชาติที่คนไทยชอบแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นตำรับญี่ปุ่นแท้ด้วยก็เลยนำเอาสูตรน้ำซุปราเมนสุดเข้มข้นจากฟูกุโอกะที่ต้องใช้เวลาต้มนานถึง 8 ชั่วโมง โดยแบ่งน้ำซุปที่ใช้เป็นเบส 2 ชนิด ได้แก่ “ซุปใส” รสกลมกล่อมที่ได้มากจากผักและปลาแห้ง และน้ำ “ซุปข้น” ที่ได้จากกระดูกหมูจนได้น้ำซุปสีขาวรสหวานเค็มมัน และที่ขาดไม่ได้ก็คือ “น้ำส้มยุซุ” ที่เพิ่มกลิ่นหอมพร้อมรสชาติเปรี้ยวนิดๆ ที่นอกจากจะช่วยแก้เลี่ยนแล้ว ยังเติมเต็มความสดชื่นได้อีกด้วย       ก่อนจะชิมราเมนเรามารองท้องกันด้วย Gyoza Combo (140 บาท) คอมโบความกรอบเกรียวของเกี๊ยวซ่าทอดที่รวมมาให้ชิมกันทั้ง 3 ไส้ อย่างไส้หมู ไส้หมูเผือก และไส้หมูมันม่วง ตามด้วย Spicy Tuna Tartare (290 บาท) ทูน่าทาร์ทาร์สูตรเด็ดในซอสรสเผ็ดคลุกเคล้าเกล็ดขนมปังจะกินเดี่ยวๆ หรือห่อกินคู่กับสาหร่ายและผักดองก็เก๋ไม่แพ้กัน       หรือจะลอง Red Shiso Plum Fried Rice (180 บาท) ข้าวผัดมินิโบล์วเสิร์ฟพร้อมบ๊วยดองรสเค็มสดชื่น ก่อนจะแต่งแต้มกลิ่นหอมๆ ของใบชิโสะและกากหมูกรุบกรอบมาให้คลุกเคล้า หลังจากวอร์มอัพกันไปแล้วก็ได้เวลาลองราเมนสูตรเด็ดอย่าง Spicy Yuzu Tonkotsu (320 บาท) ราเมนซุปกระดูกหมูรสเผ็ดที่นำมาจับคู่กับเส้นกลมเหนียวนุ่ม หมูชาบู และไข่ต้มได้อย่างเหมาะเจาะ แต่แอบสร้างเซอร์ไพร์สด้วยรสเปรี้ยวหอมของส้มยูซุมาปิดท้าย         แต่ถ้าใครชอบซุปใสซดคล่องคอก็ต้อง Shoyu Ramen (220 บาท) โชยุราเมนขวัญใจคนไทยตลอดกาล แน่นอนว่าจุดเด่นคงไม่พ้นความหวานละมุนที่แทรกในทุกอณูของซุป ส่วนคนชอบความแปลกใหม่ต้องลอง Truffle Ramen (790 บาท) ราเมนในซุปหอมฟุ้งอบอวลจากซอสทรัฟเฟิลผสมเนื้อเห็ดแชมปิญองอีกเล็กน้อย แต่ทีเด็ดคงไม่พ้นเห็ดทรัฟเฟิลสไลซ์บางๆ ที่โรยมาด้วยกัน ร่วมด้วยเมนูใหม่ล่าสุดอย่าง Tsukemen ราเมนแบบจุ่มเสิร์ฟพร้อมซุปสีแดงที่แฝงรสหวานอมเปรี้ยว ยิ่งจุ่มยิ่งสูดเส้นยิ่งสดชื่น     แล้วอย่าลืมล้างปากด้วย Yuzu Honey Slushies (140 บาท) น้ำส้มยูซุผสมน้ำผึ้งปั่นที่ช่วยเติมเต็มให้วันนี้สดใสอย่างที่สุด  

ไม่ทันไร “โออิชิ ราเมน” (Oishi Ramen) อยู่เป็นเพื่อนเวลาหิวของคนรักเส้นมานานกว่า 17 ปีแล้ว สำหรับปีที่ 18 ร้านราเมนชื่อดังจึงได้ถือโอกาสเปลี่ยนโฉมและเมนูใหม่เกือบทั้งหมดเพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสกับความเป็นญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้นในธีม “The Tasty Ramen Story” ที่ชูโรงการใช้วัตถุดิบชั้นดี ปรุงอย่างพิถีพิถันในทุกชาม โดยเฉพาะน้ำซุปที่ส่งตรงมาจากญี่ปุ่นเลยทีเดียว     พระเอกของงานจึงไม่พ้นราเมนเส้นเหนียวนุ่มใน 3 น้ำซุปที่เคียงคู่มากับท็อปปิ้งแสนอร่อย หากใครยังคิดไม่ออกเราขอแนะนำ ทงคตสึ ชาชู ราเมน (179 บาท) ราเมนต้นตำรับรสเข้มข้นจากฟุกุโอกะ มาพร้อมหมูชาชูหมักเนื้อหนานุ่มย่างไฟอ่อนที่เราขอบอกว่าชิ้นใหญ่โตกว่าเดิมมากจริงๆ ตามด้วย มิโสะ แซลมอน ราเมน (219 บาท) ราเมนในน้ำซุปมิโสะร้อนๆ รสชาติเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมแซลมอนชิ้นโตย่างหอมในซุปมิโสะและสาหร่ายวากาเมะ ชามนี้จึงให้รสชาติกลิ่นอายแบบท้องทะเล       แต่ถ้าชอบซุปใสก็ห้ามพลาด โชยุ คาคุนิ ราเมน (189 บาท) ราเมนในซุปโชยุขวัญใจใครหลายคน เพราะรสชาติกินง่ายซดคล่องคอ เราเลยสั่งท็อปปิ้งเป็นหมูสามชั้นตุ๋นนุ่มละลายในปากที่ให้มาด้วยกันถึงสองชิ้นแถวยาวอร่อยมาก ร่วมด้วย ต้มยำซีฟู้ด นาเบะ ราเมน (249 บาท) ที่นำต้มยำรสแซ่บมาเติมความอร่อยร้อนแรงในรูปแบบของนาเบะที่อัดแน่นด้วยผักสดและอาหารทะเลสดๆ อย่าง ปลาแซลมอน หอยแมลงภู่ และกุ้งตัวใหญ่ ที่ซ่อนเส้นราเมนนุ่มหนึบไว้ภายใน       หากยังไม่อิ่มก็อย่าลืมมารองท้องกันด้วยของกินเล่นกรุบกริบที่มีให้เลือกลองอย่างหลากหลายที่เราได้ลองก็มี เกี๊ยวซ่าทรงเครื่อง (79 บาท) เกี๊ยวซ่าทอดไส้หมูสับและต้นหอม หอมอร่อยแบบไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้ม และ ปูอัดชีส เทมปุระ (79 บาท) ที่เราขอรับประกับความอร่อยเด็ดจากชีสยืดร้อนๆ ซุกซ่อนในแป้งบางกรอบ       ส่วนของหวานก็มี ไอศกรีมมัทฉะกับเค้กช็อกโกแลตลาวา (69 บาท) ไอศกรีมชาเขียวรสละมุนตัดรสชาติด้วยความเข้มข้นของเค้กช็อกโกแลตลาวา และห้ามพลาด ไอศกรีมมัทฉะชูครีม ที่นำเอาไอศกรีมมาสอดไส้ในชูครีมเนื้อนุ่ม อร่อยชื่นใจกันสุดๆ    

ไม่ว่าเชฟมิชลินสตาร์ชื่อดังอย่าง “กากั้น อนันต์” จะทำอะไรก็เรียกกระแสให้กับวงการอาหาร ทั้งข่าวการปิดร้านกากั้นที่กรุงเทพฯ การเปิดร้านใหม่ร่วมกับเชฟเพื่อนซี้ “ทาเคชิ ฟุกุชิมะ” (เชฟโก) ที่ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งเปิดร้านเต้าหู้โอมากาเสะแห่งใหม่บนถนนสาทร     ร้านมิฮาระ โตฟุเทน เริ่มเมื่อ 57 ปีที่แล้วจากโรงงานผลิตเต้าหู้ของตระกูลมิฮาระ จากนั้นได้เปิดร้านอาหารสไตล์อิซากายะใกล้ๆ กับโรงงาน เป็นร้านกินดื่มที่มีเต้าหู้ย่างเป็นตัวชูโรง และเมื่อเชฟกากั้นได้ชิมเต้าหู้มิฮาระ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของร้านเต้าหู้โอมากาเสะสาขากรุงเทพในที่สุด     แม้ร้านที่นี่จะแตกต่างจากที่ญี่ปุ่น แต่รสชาติความอร่อยของเต้าหู้ตระกูลมิฮาระยังคงเดิม เพราะเต้าหู้จะถูกส่งมากรุงเทพฯ ทุกๆ 3 วัน รวมทั้งเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้สดๆ จากตลาดสึกิจิอีกด้วย     เรานั่งตรงเคาท์เตอร์บาร์รูปตัวแอล ใกล้ชิดติดครัวเห็นเชฟเตรียมเมนูทุกขั้นตอน อาหารจะเสิร์ฟสไตล์โอมากาเสะมาทีละคอร์ส เริ่มต้นจาก 1.น้ำเต้าหู้สด เมื่อดื่มและตามด้วยแยมยูสุให้ความรู้สึกสดชื่นจากน้ำเต้าหู้เย็นๆ และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากนั้นเป็นของกินเล่นในเบนโตะที่มี 2.เต้าหู้ยูกิ เนื้อนุ่มนิ่มครีมมี่ พรมด้วยน้ำมันเลมอนหอมๆ โรยเกลือเกล็ดฟูเบาจากโอกินาว่า 3.เต้าหู้โกมะ เต้าหู้โมจิเนื้อหนึบเหนียวสีน้ำตาลอ่อนผสมงา และ 4.เต้าหู้ยูบะมิลเฟย ทำจากฟองเต้าหู้ซ้อนกันเป็นชั้นบางๆ เนื้อนุ่มแน่น       5.เต้าหู้คินุ คล้ายเต้าหู้ยูกิ ทอดให้ผิวพอตึง เสิร์ฟในซุปเนื้อปูซูไวและลูกชิ้นปลา รสหอมหวาน 6.กลาสปาโชมะเขือเทศ ทำเป็นเจลลี่รสเปรี้ยวสดชื่น กับกับเต้าหู้มิโสะเค็มๆ 7.ปลาค้อดดำหมักโคจิ กับเต้าหู้เนื้อนุ่มฟูเบา         8.ข้าวดงบุริ กับหอยเป๋าฮื้อและเต้าหู้ยูบะ ไข่ปลาและวาซาบิ 9.เต้าหู้ซารุทอด เต้าหู้เป็นทรงตะกร้าเนื้อผิวกรอบเนื้อในนุ่ม ราดไข่ปลาแซลมอน 10.ไข่ตุ๋น ก้นถ้วยเป็นเต้าหู้โมจินุ่มๆ ใส่เห็ดชิตาเกะปั่นและหอยฮามากุริ 11.เต้าหู้ยากิ DIY  คอร์สนี้สนุกเพราะให้เราตักเต้าหู้ใส่ในสาหร่ายโนริแทนข้าว ท๊อปด้วยอุนิมันๆ           ที่ขาดไม่ได้คือเมนูจานหลักอย่าง 12.เต้าหู้โมเมนสุกี้ยากี้ เชฟต้มพร้อมกับเนื้อวากิวเอ 5 นุ่ม หวานอร่อยในซุปหอมหัวใหญ่สไตล์ฝรั่งเศส และ 13.โซเมนในน้ำเต้าหู้ดาชิ เส้นโซเมนเหนียวนุ่มจุ่มในน้ำดาชิผสมน้ำเต้าหู้ได้รสเค็มและหวานลงตัว       มาถึงของหวานคือ 14.ไอศกรีมเต้าหู้ เนื้อเนียนดี หอม 15.เต้าหู้นุ่มเด้งราดน้ำเชื่อมเอสเพรสโซ่ 16.ช็อกโกแลตสดใส่น้ำเต้าหู้ มีรสพิตาชิโอ รัมเรซิน โกโก้และมัชฉะ     ไม่น่าเชื่อว่าเต้าหู้จะมีความหลากหลายและนำมาปรุงอาหารได้หลายชนิด บวกกับการเสิร์ฟที่พิถีพิถัน ภาชนะจานชามที่สวยงามสไตล์ญี่ปุ่น รวมทั้งการสร้างสรรค์เมนูจากสุดยอดเชฟ ทำให้เราได้สัมผัสถึงความละเมียดละไมเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ในการกินเต้าหู้ได้เป็นอย่างดี บอกเลยว่าคนรักเต้าหู้ต้องห้ามพลาด

Tatsu ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจของคุณยุทธกล เจ้าของร้านที่อยากมีพื้นที่สำหรับคนที่ต้องการผ่อนคลายความเครียดหลังเลิกงานได้มาสังสรรค์ดื่มกิน พูดคุยหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน รวมถึงพ่อแม่รับลูกกลับจากโรงเรียนก็แวะมานั่งกินอาหารเย็นก่อนเข้าบ้านได้สบายๆ ในคอนเซ็ปต์กิน ดื่ม เพื่อน ครอบครัว       ร้านตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น เรียบง่ายแต่แฝงความอบอุ่นชวนนั่งไว้ทุกอณู ที่สำคัญเป็นกันเองเหมือนนั่งกินข้าวบ้านเพื่อน ลูกค้าสามารถเดินไปชมวัตถุดิบสดใหม่หน้าเคาน์เตอร์หรือพูดคุยกับเชฟที่ยินดีให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุดิบต่างๆ อย่างสนุกสนาน ทางร้านเลือกใช้แต่ของดีนำเข้าจากญี่ปุ่นและแหล่งวัตถุดิบชั้นเลิศจากทั่วโลกซึ่งคุณยุทธเจ้าของร้านภูมิใจนำเสนอโดยบอกว่า “ผมกินอย่างไรลูกค้าจะได้กินอย่างนั้น ด้วยความที่ผมเป็นคนช่างเลือก จึงมั่นใจได้ว่าสิ่งที่ผมกินจะต้องอร่อยและดีแน่นอน”  เริ่มต้นที่เมนูขายดี อุนางิ-อิคุระซุปเปอร์ด้ง “อร่อย สดชื่น แตกโป๊ะในปาก” นี่คือคำจำกัดความสื่อถึงอิคุระ ไข่ปลาเม็ดกลมสีส้มใสแจ๋วได้อย่างเข้าถึงอารมณ์ตอนกินสุดๆ ทางร้านใช้อิคุระเกรดเอ เม็ดสมบูรณ์ ไม่เกาะกันเป็นก้อน ตักกินแต่ละคำฉ่ำไปทั้งปาก เมนูนี้มาพร้อมคู่ซี้อุนางิหรือปลาไหลย่างซอส รสชาติหอมหวานชวนกิน     ฟินกันต่อกับอุนางิย่างเกลือ ปลาไหลจากธรรมชาติ เนื้อปลาไร้กลิ่นคาวแล่เป็นชิ้นเสียบไม้ย่าง ยกเสิร์ฟทั้งเตาถ่านเพื่อให้กลิ่นของเตาดินเผายิ่งชูกลิ่นหอมของปลาไหลให้โดดเด่นชวนน้ำลายสอยิ่งขึ้น     ชุดซาชิมิ เมนูสีสันคัลเลอร์ฟูล เสิร์ฟเนื้อปลาสดหั่นชิ้นหนาให้กินได้เต็มปากเต็มคำ นำทัพโดยโอโทโร่ ราชาแห่งความนุ่มละมุนละลายในปาก ต่อด้วยฮามาจิ แซลมอน แซลม่อนโทโร่ โฮตาเตะ โรยอิคุระเพิ่มกิมมิกชวนกิน     ต่อด้วยซูชิฟิวชั่น เสิร์ฟ 3 คำสุดพรีเมียม ได้แก่ อากามิทอปด้วยเอบิเนื้อสดเด้ง แซลมอนเบิร์นไฟทอปด้วยไข่กุ้งและซอสสูตรเด็ดของร้าน สุดท้ายโฮตาเตะเนื้อหนึบฉ่ำซอส โรยอิคุระเพิ่มความกรุบอร่อย     หากกำลังมองหาสถานที่สังสรรค์กินดื่ม Tatsu คือคำตอบ

หลังจากได้ยินเหล่าแฟนคลับของ Kyo Roll En เรียกร้องถึงอาหารคาวกันมาพักใหญ่ ในที่สุดร้านขนมหวานสไตล์เกียวโตก็ได้ฤกษ์เปิดคอนเซปต์ Café & Meal ด้วยการเพิ่มเติมความอร่อยแบบอิ่มแปล้แกล้มของหวานไปพร้อมกัน โดยประเดิมความอร่อยที่สาขาเซ็นทรัล พลาซ่า แกรนด์ พระราม 9 เป็นสาขาแรก       แม้คอนเซปต์ใหม่จะขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารกินเอาอิ่ม แต่หน้าตาของทุกเมนูกลับไม่ทิ้งลายความน่ารักน่ากินเหมือนดังเช่นขนม และหาก Kyo Roll En เดิมมีจุดเด่นอยู่ที่เค้กโรล ส่วนของอาหารก็มีพระเอกอย่าง “ซุปดาชิ” สูตรโฮมเมดที่เคี่ยวจากปลาแห้งคัตสึโอะและสาหร่ายคอมบุนานกว่า 8 ชั่วโมง มาสร้างสรรค์เป็นความอร่อย 3 หมวดหลัก ได้แก่ ข้าวต้ม (Chazuke) โซเมน/โซบะ (Somen/Soba) และพาสต้า (Pasta)     ขอเริ่มกันด้วยข้าวต้มที่ว่ากันว่าเป็นอาหารเช้ายอดนิยมของชาวเกียวโต เมนูแนะนำต้องยกให้ Salmon Chazuke (159 บาท) ข้าวสวยหุงร้อนๆ ท็อปด้วยปลาแซลมอนและไข่ปลาแซลมอน ก่อนกินให้ลองเติมสาหร่ายและข้าวพอง แล้วจึงค่อยๆ รินน้ำซุปดาชิตามความชอบ อาจเติมรสชาติด้วยต้นหอมและวาซาบิเพิ่มความสดชื่น หรือจะกินแกล้มกับผักดองก็อร่อยไม่แพ้กัน     ตามด้วย Hot Somen (135 บาท) โซเมนเส้นเล็กเหนียวหนึบที่มักจะกินแบบเย็น แต่เมนูซิกเนเจอร์ของที่นี่จะเสิร์ฟในซุปดาชิร้อนๆ พร้อมด้วยไก่ชาชูหรือไก่ม้วนเนื้อนุ่มหอม ทอดมันปลา สาหร่ายทะเล และเห็ดไมตาเกะ     แต่ถ้าใครชอบกินแบบดั้งเดิมก็ต้องสั่ง Somen (Combo 145 บาท) เส้นโซเมนเย็นที่เราขอโลภมากสั่งทั้งเส้นโซเมนปกติและ CHA-Soba โซบะชาเขียวมาในจานเดียว ก่อนจะคีบจิ้มจุ่มในซอสดาชิ-โชยุ รสกลมกล่อมแฝงรสเค็มนิดๆ แต่ถ้าชอบความสดชื่นตื่นตัวก็อย่าลืมเติมวาซาบิลงไป       ส่วนคนรักพาสต้าที่นี่ก็มีให้ลองหลากเมนู แต่ที่เราขอเทใจให้คงไม่พ้น “Kyo” Spaghetti (165 บาท) สปาเก็ตตี้คาโบนาร่าที่ตอกย้ำความเข้มข้นหอมกรุ่นปอีกขั้นด้วยผงชาเขียวมัตฉะและซุปดาชิ จนได้ซอสสีเขียวละมุนผสมผสานทั้งความหอมหวานและความมัน อีกทั้งยังเต็มปากเต็มคำด้วยแซลมอนย่างและหน่อไม้ฝรั่งกรุบกรอบ     นอกจากนี้ ยังมีของกินเล่นอย่างโอเด้งร้อนๆ ซุปข้าวโพด และสลัดต่างๆ ให้เลือกตามความชอบ หรือจะมาจับคู่กับจานหลักก็แสนเก๋ เพราะเขามาในราคาพิเศษอีกด้วยแหละ  

แม้จะเป็นอาหารที่ดูสุดแสนธรรมดา แต่เมื่อเป็นตำรับจากญี่ปุ่นเมื่อไหร่ ย่อมมีความพิเศษซ่อนอยู่ในนั้นเสมอ เช่นเดียวกับ “คิมุคัตสึ” (Kimukatsu) ที่นำเสนอความอร่อยของ “มิลฟิลคัตสึ” หรือหมูทอดทงคัตสึที่เนื้อในเรียงชั้นสวยไม่ต่างจากมิลเฟย (Mille Feuille) ขนมสุดอร่อยของชาวฝรั่งเศส     ต้นกำเนิดของคิมุคัตสึเริ่มต้นขึ้นที่ย่านเอบิสึ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อมิสเตอร์คิมูระต้องการสร้างสรรค์เมนูหมูทอดให้มีความแตกต่างจากที่อื่น เขาจึงคิดค้นหมูทอดสุดนุ่มสูตรพิเศษที่ไม่ว่าใครได้ชิมจะต้องติดใจกับความกรอบนอกนุ่มในของเนื้อหมูสันในสไลด์บาง 25 ชั้น ที่บรรจงใส่ไส้ต่างๆ และห่ออย่างพิถีพิถัน ก่อนจะนำไปชุบแป้ง ไข่ และเกล็ดขนมปังจนทั่วชิ้น ลงทอดในน้ำมันดอกคาโนลาที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพและดีต่อสุขภาพ     ด้วยความอร่อย กินง่าย และไม่เหมือนใครนี้เอง ก็ทำให้คิมุคัตสึได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนสามารถขยายสาขาได้มากถึง 20 สาขาทั่วโลก ทั้งในญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ก่อนจะมาที่ประเทศไทย     แต่ใช่ว่าความพิเศษจะอยู่ที่เนื้อหมูเท่านั้น เพราะความดีงามยังอยู่ที่ข้าวญี่ปุ่นหุงสดใหม่เสิร์ฟจานต่อจาน ทำให้ทุกออเดอร์ต้องรออย่างน้อย 15 นาที ดังนั้นก่อนจะไปชิมหมูทอดร้อนๆ พร้อมข้าวนุ่มๆ ขอเริ่มด้วยอาหารกินเล่นอย่าง Negishio Tufu (100 บาท) เต้าหู้สดปรุงรสด้วยเกลือโรยด้วยต้นหอมญี่ปุ่นและซอสงา หรือจะลอง Spicy Ebimayo (120 บาท) กุ้งชุบเกล็ดขนมปังทอดราดด้วยซอสมายองเนสรสเผ็ดปลายลิ้น       มิลฟิลคัตสึของที่นี่มีให้เลือกกันถึง 6 ไส้ด้วยกัน ได้แก่ รสต้นตำรับ รสเชดด้าชีส รสกระเทียม รสพริกไทยดำ รสต้นหอมญี่ปุ่น และรสยูสุโคโช ซึ่งเราได้ลอง Kimukatsu Signature Cheese Set (330 บาท) หมูทอดไส้ชีสเยิ้มๆ และ Kimukatsu Signature Garlic Set (330 บาท) หมูทอดไส้กระเทียมหอมกรุ่น โดยทั้งสองเซ็ตเสิร์ฟพร้อมข้าว ซุปมิโสะ กะหล่ำปลี และผักดอง       แม้ว่าหมูทอดจะอร่อยในตัวเองอยู่แล้ว แต่เพื่อความอร่อยอย่างสูงสุดก็อย่าลืมกินคู่กับ “ซอสทงคัตสึ” รสหวานอมเปรี้ยว แต่ถ้าใครชอบรสแหลมปะแล่มขึ้นมาหน่อยก็ต้องจิ้มกับ “ซอสพอนสึ” ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกิบชาบูหมูทอดอย่างไรอย่างนั้น     ส่วนของหวานก็ห้ามพลาด Traditional Green Tea Ice Cream (90 บาท) ไอศกรีมชาเขียวรสเข้มข้นที่มาคู่กับชีสเค้กชิ้นเล็กๆ สุดนุ่ม และ Ice Cream Mochi Blueberry (90 บาท) โมจิเนื้อเนียนสอดไส้ไอศกรีมบลูเบอร์รี่โฮมเมดกินพร้อมกับครีมสดก็ชื่นใจอย่างที่สุด       แล้วเตรียมพบกับเมนูพิเศษที่จะหมุนเวียนมาให้ชิมกันเรื่อยๆ อย่างที่ผ่านมาเขาก็มีหมูทอดทงคัตสึไส้เขียวหวานเสิร์ฟกันด้วยแหละ  

สาขาใหม่ล่าสุดของ “Sushi Cyu” ร้านอาหารญี่ปุ่นขวัญใจนักชิมที่แตกต่างจาก 2 สาขาแรก ด้วยการขยายเวลาเสิร์ฟโอมากาเสะให้อร่อยกันได้ตลอดทั้งวันตั้งแต่เปิดร้าน (เฉพาะช่วงเย็นจะแบ่งเป็นรอบ 18.00 น. และ 20.00 น.) เรียกว่าเดินเล่นชิลๆ อยู่ในเซ็นทรัลเวิลด์แล้วอยากกินเมื่อไรก็แวะมาได้ทันที       นอกจากกินได้ทั้งวันแล้ว เสน่ห์ของโอมากาเสะของที่นี่อยู่ที่วัตถุดิบสดใหม่ส่งตรงจากญี่ปุ่นสัปดาห์ละ 3 วัน โดยเน้นวัตถุดิบตามฤดูกาลเพื่อความอร่อยได้คุณภาพแบบไม่เบียดเบียนธรรมชาติ รวมทั้งศิลปะการสร้างสรรค์แต่ละเมนูของเชฟมากฝีมือทั้งชาวไทยและญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน ที่สำคัญคือราคาที่เข้าถึงได้และไม่แพงจนเกินไป โดยเริ่มต้นที่ 10 คำ ราคา 1,850 บาท ++       เราเริ่มต้นคำแรกกับซูชิปลาฮิราเมะ เนื้อปลาสดหวาน ปรุงรสด้วยชิโอะคอมบุและโชยุ ต่อด้วย ซูชิปลาอะจิ ท็อปด้วยขิงกับหอมซอยเพิ่มความสดชื่น และซูชิปลากินเมได ที่เบิร์นไฟเล็กน้อย โรยเกลือและบีบมะนาว         คำที่ 4 เป็นเมนูยอดนิยม โอโทโร เนื้อปลานุ่มมันแทบละลายในปาก ก่อนเชฟจะเบรกความมันด้วยซูชิหอยงวงช้างที่รู้สึกได้ถึงความกรุบและสดหวาน จากนั้นถึงทีของอิกุระ ข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอนเค็มมัน ซึ่งแม้จะเสิร์ฟมาแบบถ้วยขนาดกะทัดรัด แต่ตักกินได้เพลินๆ จนเกือบอิ่มเลยทีเดียว         ต่อด้วยคำที่ 7 อุนิ ซูชิหน้าไข่หอยเม่นสดหวาน กินแล้วได้รสชาติท้องทะเลอวลอยู่ในปาก โดยเชฟโรยเกลือหิมาลายาเล็กน้อย แต่งด้วยสาหร่ายฉลุลายสวยงาม ทำให้ซูชิคำนี้พิเศษยิ่งขึ้น แล้วตามด้วยข้าวหน้าโทโรสับ มาพร้อมหัวไชเท้าดอง ต้นหอม และไข่กุ้ง เวลากินให้คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันแล้วห่อด้วยสาหร่าย       ส่วนคำต่อมา อะนะโงะ ซูชิปลาไหลทะเลที่มาแบบ 2 คำ 2 สไตล์ ทั้งราดซอสปลาไหลรสหวานและโรยเกลือบีบมะนาว ก่อนปิดท้ายด้วยอะสึยะกิ ทะมะโกะ ไข่หวานย่างสูตรพิเศษที่ใช้เวลาทำนานกว่า 2 ชั่วโมง เนื้อนุ่มเนียนหอมหวานเหมือนคัสตาร์ด       จบ 10 คำแล้ว หากยังไม่จุใจ ที่นี่ยังมีทีเด็ดเป็นเมนูพิเศษ ซึ่งเชฟจะนำวัตถุดิบตามฤดูกาลที่จะมีให้ชิมในช่วงเวลานั้นๆ มาสร้างสรรค์ เราได้ลองคะมะสึหรือปลาน้ำดอกไม้ ที่หากกินตามซีซั่นเนื้อปลาจะสดหวานเป็นพิเศษ โฮตารุอิกะ ปลาหมึกหิ่งห้อยที่อัดแน่นไปด้วยไข่และมัน ตัดคาวด้วยขิงและหอมซอย และคะสึโกได ลูกของปลามาไดที่หนังนิ่มและเนื้อหวานกว่า เสิร์ฟพร้อมเมียวงะ (ขิงญี่ปุ่น) และสาหร่ายวะกะเมะ         แต่ถ้าใครไม่ใช่สายปลาดิบ ที่นี่ยังเมนู A La Carte ให้เลือกชิมอีกมากมาย เราแนะนำ Sashimi Salad สลัดปลาดิบรวม ที่มีทั้งแซลมอน ฮามาจิ มากุโระ อิกะ ทาโกะ และโฮตาเตะ ราดเดรสซิงวอลนัตสูตรเด็ด และ Buri Kama Teriyaki แก้มปลาฮามาจิย่างซอสเทอริยากิหวานเค็ม    

เดี๋ยวนี้เราหันซ้ายแลขวาไปทางไหนก็เจออาหารสไตล์โอมากาเสะมากขึ้นจริงๆ เราเองก็เป็นหนึ่งในโอมากาเสะเลิฟเวอร์ด้วยเพราะตกหลุมรักในความตื่นเต้น แปลกใหม่ และเซอร์ไพรส์กับวัตถุดิบคุณภาพที่เชฟนำเสนอ ซึ่งนำมาประกอบกับศาสตร์ความรู้และมุมมองศิลป์ที่สื่อผ่านเมนูและการตกแต่งจานอาหาร นอกจากจะทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินในมื้อนั้นๆ แล้ว การกินแบบโอมากาเสะยังได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวอาหารกับเชฟโดยตรงอีกด้วย เรียกว่าเพิ่มราคาจากร้านญี่ปุ่นธรรมดาขึ้นมานิดหน่อยก็ได้เสพสุนทรียะทางอาหารเฉพาะทางที่พิเศษมากขึ้นกว่าเดิม       โอมากาเสะที่ห้องอาหารอิชิกะก็เป็นเช่นนั้น เพราะอยากให้ทุกคนที่มาได้สัมผัสกับการกินโอมากาเสะด้วยรูป รส และกลิ่นแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ที่นี่จึงไม่ได้นำเข้าวัตถุดิบจากตลาดปลาสึกิจิเพียงอย่างเดียว แต่ยังนำวัตถุดิบขึ้นชื่อของแต่ละภูมิภาคทั่วญี่ปุ่นและวัตถุดิบตามฤดูกาลมาผสมผสานกันเป็นเมนูสุดอร่อยในหนึ่งคำนั่นเอง โดยเชฟอคิระ เชฟประจำห้องอาหารที่ชำนาญการทำอาหารญี่ปุ่นมา 28 ปี เริ่มต้นทำ Mozuku Junsai เมนูเรียกน้ำย่อยให้เราชิม สาหร่ายโมสุคุกินกับเจลนุ่มลื่นที่มาจากยอดอ่อนของใบบัว(จุนไซ) ได้รสเปรี้ยวและกลิ่นหอมอ่อนๆ เสิร์ฟมาในแก้วใสใบจิ๋วทรงสูง เราว่าเปิดต่อมรับรสได้ดี     ต่อด้วย Jindara Saikyo ปลาจินดาระเนื้อนุ่ม ดองเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นก่อนนำมาย่างให้หอม กินกับผักภูเขาดองจำพวกหน่อไม้และเห็ดกรุบกรอบ จากนั้นมาสู่จานหลักอย่างซูชิ Shima Aji ปลาชิมะอาจิ ตระกูลเดียวกับปลาทูญี่ปุ่นเนื้อนุ่มมัน กรอบ หวาน แต้มบ๊วยสับนิดหน่อย เข้ากันกับข้าวซูชิหมักน้ำส้มสายชูแดงจากกากอ้อยกลิ่นหอม Kinmedai ก็ชวนเราปลื้มไม่แพ้กัน เนื้อปลาสีขาวใส เนียนละเอียด แต้มเพียงวาซาบินิดหน่อยก็อร่อยแล้ว หรือจะเป็น Otoro เนื้อท้องส่วนหน้าของปลามากูโร มีไขมันสูง เนื้อนุ่มละลายในปาก เพิ่มความน่ากินขึ้นอีกขั้นด้วยไข่ปลาคาเวียร์ วาซาบิ และทองคำเปลว 100 เปอร์เซ็นต์     นอกจากนี้ยังมี Shiro Ebi Uni กุ้งขาวญี่ปุ่นสดหวาน กินกับไข่หอยเม่นพันธุ์บาฟุนที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติครีมมี่ หวานชุ่มฉ่ำเป็นพิเศษ แล้วตามด้วย Tamagoyaki ไข่นุ่มฟูเนื้อนวลเนียนคล้ายกับเค้กและ Suimono Soup ซุปปลาแห้งและสาหร่ายญี่ปุ่น ได้กลิ่นส้มยูซุหอมอ่อนๆ ซดคล่องคอ สดชื่นดี       ก่อนปิดท้ายกับ Ichigo สตรอว์เบอร์รี่ลูกใหญ่หวานฉ่ำจากญี่ปุ่น ทอปด้วยวิปปิงครีมรสนุ่มนวล เป็นการจบมื้ออาหารแบบสมบูรณ์ที่สุด