เค้กรังผึ้ง เป็นขนมยอดฮิตของเวียดนาม จัดเป็นขนมสตรีทฟู้ดเพราะจะเห็นขายกันตามริมทาง เนื้อขนมนี้จะนุ่มเหนียวหนึบเพราะทำจากแป้งมันสำปะหลัง มีโพรงเป็นยวงเหมือนรังผึ้ง ส่วนใหญ่จะเป็นรสใบเตยสีเขียวสวย และสีน้ำตาลที่มีรสและกลิ่นหวานหอมจากน้ำตาลปี๊บ   ตามจริงแล้วเค้กนี้ทำกันมากในแถบเอเชียที่สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย บ้านเราก็ทำแต่เรียกว่า “ขนมถังแตก” ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นขนมโบราณ ต้องมีเตาเฉพาะในการทำที่ให้ความร้อนเฉพาะด้านล่าง   เค้กรังผึ้งนี้แถบยุโรปก็ทำกัน รวมถึงแถวยุโรปตะวันออก เช่น โรมาเนีย เยอรมนี สูตรของขนมนี้มีหลากหลาย ปัจจุบันมีรสต่างๆ มากมาย และมีหลายสีแล้วแต่ว่าชอบสีอะไรก็มักจะใส่สีนั้น เช่น สีแดงเป็นรสสตรอว์เบอร์รี สีเหลืองรสสับปะรด   ฉบับนี้ที่ทำเป็นขนมรังผึ้งตำรับเวียดนาม สีเขียวสวย   ส่วนผสม แป้งมันสำปะหลัง 120 กรัม ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 200 กรัม เกลือ 1/2 ช้อนชา กะทิ 400 กรัม ไข่ 5 ฟอง สีผสมอาหารสีเขียว วิธีทำ ใช้พิมพ์ Bundt ไม่ต้องทาเนย ใส่ในเตาอบที่อุณหภูมิ 165 องศาเซลเซียส นาน 10 นาที ใส่น้ำตาลทราย เกลือ และกะทิในอ่างผสม ใส่ไข่ (ใช้กรรไกรตัดให้ไข่แดงแตกแทนการใช้ส้อมตีเพื่อไม่ให้เกิดฟอง) คนพอเข้ากัน ร่อนแป้งและผงฟูลงในส่วนผสม ใส่สีผสมอาหารสีเขียว คนพอเข้ากัน กรองใส่ชามผสม และกรองอีกทีผ่านกระชอนก่อนใส่พิมพ์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 60 นาที (ถ้าเตาอบมีไฟล่างให้เปิดเฉพาะไฟล่าง) ใช้ไม้จิ้มดูถ้าไม่ติดไม้ก็ใช้ได้ เปิดประตูเตาอบแง้มไว้ อบต่ออีก 10 นาที เอาออกจากเตาอบ คว่ำลง พักไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง ก่อนเอาออกจากพิมพ์และตัดเป็นชิ้น

เค้กโรลสีสันสุดน่ารัก เนื้อเค้กทำจากผงโฮจิฉะหรือชาเขียวคั่ว เนื้อเค้กจึงมีกลิ่นหอมพิเศษ สีน้ำตาลสวย ตรงกลางเป็นครีมซากุระสีชมพูกลิ่นหอมหวาน ตกแต่งเค้กด้วยไวต์ช็อกโกแลตมัตฉะดูสวยงาม   ส่วนผสม แป้งเค้ก 60 กรัม ผงโฮจิฉะ 15 กรัม ไข่แดง 5 ฟอง น้ำตาลทราย (1) 50 กรัม นมฮอกไกโด 65 กรัม น้ำมันคาโนล่า 40 กรัม เกลือ 1/4 ช้อนชา ฝงฟู 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย (2) 50 กรัม ไข่ขาว 5 ฟอง ส่วนผสมและวิธีทำครีมซากุระ วิปปิงครีม 2 ถ้วย | น้ำเชื่อมดอกซากุระ | น้ำตาลไอซิง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำเชื่อมซากุระ น้ำตาลไอซิง และวิปปิงครีมให้เข้ากัน ตีด้วยเครื่องปั่นมือถือจนฟูตั้งยอดปานกลาง วิธีทำ ผสมไข่แดง น้ำตาลทราย (1) ตีให้เข้ากันจนขึ้นฟู ใส่นมฮอกไกโดและน้ำมันคาโนล่า ผสมให้เข้ากัน ร่อนแป้งเค้ก ผงโฮจิฉะ เกลือ และผงฟูใส่ลงไป คนให้เข้ากัน พักไว้ ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทราย (2) ให้เข้ากันจนฟูตั้งยอดปานกลาง ตักใส่แป้งเค้กที่ผสมไว้ ค่อยๆ ตะล่อมให้เข้ากัน เทใส่ถาดอบขนาด 37 × 29 เซนติเมตรที่รองด้วยกระดาษไข นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 15 นาทีจนสุก พักไว้ให้หายร้อน คว่ำถาดแล้วดึงกระดาษไขออก ตักครีมซากุระใส่ตรงกลาง ค่อยๆ ใช้มือม้วนและดึงให้แน่น พักไว้ในตู้เย็น 30 นาทีให้เซ็ตตัว หั่นเป็นชิ้นขนาดตามชอบ ราดด้วยไวต์ช็อกโกแลตมัตฉะ ตกแต่งด้วยดอกซากุระดองเกลือให้สวยงาม

บราวนี่มัตฉะที่ทำจากไวต์ช็อกโกแลตและผงมัตฉะ เนื้อสัมผัสหนึบ สีเขียวสวย รสหวานกำลังดี บนหน้าตกแต่งด้วยครีมชีสและครีมมาสคาร์โปเนรสเข้มข้น วาดลวดลายด้วยซอสมัตฉะให้เหมือนกับชิ้นงานศิลปะ   ส่วนผสม ไวต์ช็อกโกแลต 200 กรัม ไข่ไก่ 3 ฟอง เนยจืด 120 กรัม น้ำตาลทรายขาว 130 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 70 กรัม ผงมัตฉะ 15 กรัม เกลือ 1/4 ช้อนชา กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา ครีมชีส 1/2 ถ้วย ครีมมาสคาร์โปเน 1/2 ถ้วย น้ำตาลไอซิง 1/3 ถ้วย ซอสมัตฉะสำหรับตกแต่งเล็กน้อย วิธีทำ ละลายไวต์ช็อกโกแลตกับเนยจืดบนอ่างน้ำร้อนให้เข้ากัน ตีไข่ไก่และน้ำตาลทรายขาวให้ขึ้นฟูและมีสีเหลืองอ่อน ใส่ไวต์ช็อกโกแลตที่ละลายเตรียมไว้ ใส่แป้งสาลี ผงมัตฉะ และเกลือ คนให้เข้ากัน จากนั้นใส่กลิ่นวานิลลา ตักใส่พิมพ์ขนาด 1 ปอนด์ที่รองด้วยกระดาษไข นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 190 องศาเซลเซียส ประมาณ 12 นาที (เนื้อในจะฉ่ำ) พักไว้ให้หายร้อน ผสมครีมชีส ครีมมาสคาร์โปเน และน้ำตาลไอซิงให้เข้ากัน ปาดครีมลงบนเนื้อเค้กบราวนี่ เกลี่ยให้ทั่ว ค่อยๆ ใช้พายยางปาดซอสมัตฉะบนหน้า และตกแต่งด้วยแผ่นทองให้สวยงาม

ขนมเค้กไต้หวัน (หรือบางคนเรียกว่าขนมไข่ไต้หวัน) ที่รู้จักกันทั่วโลกมาจากขนมโปรตุเกสที่เรียกว่า Pão de Ló ทำด้วยไข่เป็นหลัก เนื้อขนมนุ่มฟูเบาทำให้นึกถึงขนมฝรั่งกุฎีจีนที่สมัยนี้กลายเป็น “ขนมไข่” ซึ่งเป็นขนมที่มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน   ขนมนี้ทำมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ต่อมาในศตวรรษที่ 16 เมื่อโปรตุเกสเดินทางค้าขายกับญี่ปุ่น นอกจากยาสูบ ปืน ก็ได้นำขนมที่เขาเรียกชื่อใหม่ว่า Pão de Castella ไปแพร่หลายด้วย ชาวญี่ปุ่นได้ปรับสูตรให้เข้ากับความนิยมและเรียกว่า Kasutera ซึ่งกลายเป็นขนมที่นิยมมากและทำกันทั่วไปในทุกวันนี้   ในปี ค.ศ. 1895 ไต้หวันตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ขนม Kasutera ก็ได้เดินทางไปด้วยและถูกปรับปรุงอีกครั้งให้มีเนื้อเบาขึ้นและหวานน้อยลง ชาวไต้หวันเรียกว่า Castella เค้กเบาๆ นี้มีหลายรส มักไม่มีหน้า บางร้านพิมพ์ตราของร้านลงบนขนม หรือใช้ปืนไฟพ่นให้มีลวดลายสวยงาม   เค้กนี้เป็นเค้กที่ทำง่ายมากๆ นอกจากมีขายตามร้านขนม ยังมีขายตามริมข้างทางด้วย เพราะใช้แค่ตะกร้อมือและเตาอบถ่าน ไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ   หลายคนที่ทำขนมไม่เป็นลองทำดูก็ทำได้เลย และผู้เขียนยังไม่เคยเห็นใครทำแล้วขนมออกมาเสียหายเลย   Taiwanese Castella ส่วนผสม ไข่เบอร์ 2 10 ฟอง แป้งเค้ก 130 กรัม เกลือ 1/2 ช้อนชา เนย 70 กรัม น้ำมันพืช 70 กรัม นม 70 กรัม น้ำผึ้ง 50 กรัม วานิลลา 20 กรัม น้ำตาลทราย 100 กรัม อุปกรณ์ พิมพ์ขนาด 9 × 9 นิ้ว กรุกระดาษไขและใส่ปลอกหรือหุ้มด้วยฟอยล์ข้างนอก ถาดขนมขนาดใหญ่กว่าพิมพ์สำหรับหล่อน้ำ วิธีทำ แยกไข่ขาว ไข่แดง เตรียมไว้ ร่อนแป้งกับเกลือ พักไว้ เอาเนย น้ำมัน และนมใส่หม้อ ตั้งไฟจนเนยละลาย ค่อยๆ เทลงในแป้ง คนต่อเนื่อง ค่อยๆ ใส่ไข่แดง คนจนเข้ากันดี เติมน้ำผึ้ง และวานิลลา (หรือรสอื่นตามต้องการ) คนให้เข้ากันดี ในอ่างผสมอีกใบใส่ไข่ขาวและตีพอขึ้น ค่อยๆ ใส่น้ำตาลทรายจนหมด และตีจนเป็นยอดอ่อน ตักส่วนผสมไข่ขาว 1/3 ส่วน ใส่ในส่วนผสมไข่แดง ตะล่อมให้เข้ากัน แล้วใส่ส่วนผสมไข่ขาวอีก 1/3 ส่วน ตะล่อมให้เข้ากัน จากนั้นใส่ส่วนผสมไข่ขาวที่เหลือ ตะล่อมให้เข้ากันดี เทใส่พิมพ์ที่มีกระดาษไขรองอยู่ เคาะพิมพ์บนโต๊ะ 2-3 ครั้งเพื่อไล่ฟองอากาศ วางพิมพ์ลงในถาดที่ใหญ่กว่า เทน้ำร้อนให้ถึงครึ่งถาด อบอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส นาน 65-70 นาที นำออกจากเตาอบ ยกพิมพ์ขนมออกจากถาดน้ำ วางบนตะแกรง เอาขนมออกจากพิมพ์ทันที และแกะกระดาษไขออก

“Ensaymada ค่ะ”   คุณนิ่ม-อังสนา ภูธนกูล เพื่อนรุ่นน้องอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ส่งภาพมาอวดด้วยความดีใจ บอกว่าสั่งญาติจากฟิลิปปินส์ที่มาเยือนไทยให้นำมาฝาก เพราะชอบกินมาก ร้านที่เคยซื้อในเมืองไทยหยุดทำขาย เลยอดกินมานาน   ป้าเจี๊ยบเห็นภาพแล้วจำได้ว่าสมัยไปฟิลิปปินส์ครั้งแรก มีคนบอกว่าต้องกินปังหน้าชีสของที่นั่นให้ได้นะ อร่อยมากกก ตอนนั้นนึกหน้าตาขนมไม่ออก แต่ในที่สุดก็พบว่าคือเอนเซย์มาดาชีสนี่เอง นิยมกินทั้งคนท้องถิ่นและคนต่างถิ่น   เอนเซย์มาดามีต้นกำเนิดมาจากสเปน แต่หน้าตาขนมแบบดั้งเดิมแตกต่างจากของฟิลิปปินส์อย่างสิ้นเชิง ชาวฟิลิปปินส์ปรับวิธีการทำเอนเซย์มาดาไปอย่างหลากหลายเพื่อให้เข้ากับรสนิยมของตัวเองบนเส้นทางอันยาวนาน 377 ปีที่เป็นอาณานิคมของสเปน   เอนเซย์มาดาของป้าเจี๊ยบก็ปรับให้เข้ากับรสนิยมคนไทยแบบป้าเจี๊ยบเช่นกันค่ะ อิอิ   ทำขนมปังกันค่ะ ป้าเจี๊ยบใส่ส่วนผสมต่อไปนี้ลงในโถนวดแป้งไฟฟ้า เริ่มด้วยไข่แดงของไข่ไก่เบอร์สอง 1 ฟอง นมสดรสจืด 125 กรัม น้ำตาลทราย 25 กรัม และเกลือ 1/2 ช้อนชา แล้วใช้ตะกร้อมือคนทั้งหมดให้เข้ากัน    จากนั้นใส่แป้งสาลีอเนกประสงค์ 210 กรัม ยีสต์ 1/2 ช้อนโต๊ะ เนยสดรสจืดละลาย 35 กรัม  ใช้พายซิลิโคนคนแค่พอหมดฝุ่นแป้ง ยกโถใส่เครื่อง กดปุ่มเบอร์สอง นวดประมาณ 5 นาที เพิ่มเป็นเบอร์สามอีกประมาณ 5 นาที จนโดเนื้อเนียน เอามือขึงเป็นแผ่นบางๆ ได้   นำโดออกมารวบเป็นก้อนกลมวางพักในชาม ทาน้ำมันคาโนล่าบางๆ คลุมผ้าพักไว้ประมาณ 40 นาที จากนั้นใช้กำปั้นกดไล่ลมออกแล้วแบ่งเป็น 12 ส่วนเท่าๆ กัน ป้าเจี๊ยบได้ก้อนละ 35 กรัมค่ะ   จัดการแป้งแต่ละก้อนโดยใช้มือดึงขอบโดยรอบเข้าหาจุดกลาง รวบเข้าให้เป็นก้อน คลึงให้กลม ใส่ในพิมพ์ก้นจีบขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 เซนติเมตร  คลุมผ้าพักไว้ประมาณ  30 นาทีให้โดขึ้นเท่าตัว   นำเข้าเตาอบซึ่งตั้งปุ่มไฟบน-ล่างไว้ล่วงหน้าที่ 175 องศาเซลเซียส หรือ 350 องศาฟาเรนไฮต์ หมุนปุ่มเวลาไปที่ 15 นาที หลังเสียงติ๊ง ยกถาดออก เอาปังออกจากพิมพ์มาวางพักไว้บนตะแกรง   ระหว่างอบปังป้าเจี๊ยบใช้ตะกร้อไฟฟ้าตีครีมชีส 125 กรัม เนยสดรสจืด 55 กรัม น้ำตาลไอซิงร่อนผ่านกระชอน 30 กรัมจนขึ้นฟูเป็นเนื้อเดียวกัน ตักใส่ถุงบีบ วางพักไว้ในตู้เย็น   เมื่อปังเย็นสนิทแล้ว นำปังแต่ละก้อนมาเจาะส่วนบนให้เป็นรู บีบครีมชีสเข้าไปประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ แล้วบีบเป็นวงกลมด้านบนอีก 1/2 ช้อนโต๊ะ ใช้พายซิลิโคนเกลี่ยให้เคลือบผิวปังส่วนครึ่งบนของก้อน  จากนั้น โรยชีสขูดเป็นเส้นฝอยๆ ปริมาณตามชอบ ป้าเจี๊ยบโปรดปรานชีสอีดัมก็ใช้อีดัมนะคะ ใครชอบชีสเชดดาร์หรือชีสชนิดอื่นก็เลือกตามจริตของตน อิอิ   ทำเสร็จส่งรูปไปให้คุณนิ่ม เธอตอบกลับทันทีว่าให้ทำขาย ป้าเจี๊ยบบอกไปว่าอยากกินเมื่อไหร่ก็บอก ไม่ต้องรอญาติมาเมืองไทย หุหุ   น้องแพรรับหน้าที่คิวซี กินไปบรรยายไป เค็มนิดๆ จากชีส... เปรี้ยวหน่อยๆ จากครีมชีส... หวานพอดีๆ จากปัง... ครบรสกลมกล่อม... หมด 1 ก้อนมีเปรยๆ ว่าจะอ้วนมั้ยเนี่ย? แล้วหยิบอีก 5 ก้อนใส่กล่องกลับบ้าน ฮา!   

ปี ค.ศ. 2025 เรียกได้ว่ากระแสของเบเกอรี่กลับมาแรงอีกครั้ง ฉบับนี้ G&C ขอเสนอขนมปังทำง่ายนำมาสร้างสรรค์กับมายองเนสตราคิวพี (Kewpie) ที่ช่วยเพิ่มความหวานมันและครีมมี่ให้ขนมปังมากยิ่งขึ้นอย่าง โรลขนมปังเบคอนกระเทียมชีส ขนมปังเนื้อนุ่มห่อเบคอน มายองเนส กระเทียม และชีส เมื่ออบเสร็จเนื้อขนมปังจะฉ่ำ หอมกลิ่นมายองเนส แล้วบีบมายองเนสให้เป็นลวดลายสวยงาม   เมนูขนมปังทำง่าย ทำที่บ้านได้อร่อย เบเกอรี่ร้านไหนทำก็รับรองว่าปัง!   ส่วนผสม แป้งโดขนมปัง (สูตรเดิม) แบ่งแป้งก้อนละ 90 กรัม 10 ลูก เบคอนหั่นสี่เหลี่ยม 10 ชิ้น เอฟเอส เบเกอรี่ มายองเนส ตราคิวพี 150 กรัม ชีสมอซซาเรลลา 1/2 ถ้วย กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ พาร์สลีย์สับ 1 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมเนยกระเทียม เนยจืดละลาย 1/3 ถ้วย | กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ | พาร์สลีย์สับ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่ส่วนผสมทั้งหมด ผสมให้เข้ากัน วิธีทำ ผสมเบคอน เอฟเอส เบเกอรี่ มายองเนส ตราคิวพี ชีสมอซซาเรลลา กระเทียมสับ และพาร์สลีย์สับให้เข้ากัน รีดแป้งขนมปังให้หนา 0.5 เซนติเมตร ความกว้างขนาดตามต้องการ จากนั้นใช้มีดตัดปลายแป้งให้เป็นเส้นเท่ากัน (เพื่อให้ม้วนออกมาจะเห็นเป็นเส้น) ใส่ไส้ตรงกลางแล้วม้วนแป้งจนสุด จับจีบแป้งให้แน่นสนิท วางใส่พิมพ์สี่เหลี่ยมขนาดตามต้องการ บีบมายองเนสตามร่องที่ตัดไว้ พักขนมปัง 45 นาทีจนขึ้นฟู ทาไข่บนหน้าขนมปังเล็กน้อย นำเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 15-20 นาที จนสุกมีสีเหลืองสวยงาม แล้วราดด้วยเนยกระเทียม

ปี ค.ศ. 2025 เรียกได้ว่ากระแสของเบเกอรี่กลับมาแรงอีกครั้ง G&C จึงขอเสนอขนมปังทำง่ายนำมาสร้างสรรค์กับมายองเนสตราคิวพี (Kewpie) ที่ช่วยเพิ่มความหวานมันและครีมมี่ให้ขนมปังมากยิ่งขึ้น อย่างเมนู ขนมปังคิวบ์หมูหย็องซอสไข่เค็มลาวา ขนมปังเนื้อเนียนหอมกลิ่นเนยสด สอดไส้ครีมไข่แดงผสมมายองเนส แล้วนำไปคลุกกับหมูหย็องผสมสาหร่าย   เมนูขนมปังทำง่าย ทำที่บ้านได้อร่อย เบเกอรี่ร้านไหนทำก็รับรองว่าปัง!   ส่วนผสมขนมปัง แป้งขนมปัง 500 กรัม | น้ำเย็น 100 กรัม | นมรสจืด 120 กรัม | น้ำตาลทราย 80 กรัม | ผงยีสต์ 15 กรัม | เกลือ 5กรัม | เนยจืด 70 กรัม   วิธีทำ ใส่ส่วนผสมทั้งหมดยกเว้นเนยลงในโถผสม ใช้หัวตะขอนวดให้เข้ากัน ใส่เนย นวดด้วยความเร็วปานกลางประมาณ 20 นาทีจนส่วนผสมเนื้อเนียน คลุมด้วยพลาสติก พักไว้ 15 นาที ตัตแบ่งเป็นก้อนละ 50 กรัม ใส่พิมพ์สี่เหลี่ยมจัตุรัส พักแป้งให้ขึ้นฟู 1 ชั่วโมง แล้วนำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 15 นาทีจนมีสีเหลืองสวยงาม พักไว้ให้หายร้อน ส่วนผสมครีมไข่เค็ม เอฟเอส สวีทเบเกอรี่ มายองเนส ตราคิวพี 200 กรัม | ไข่แดงเค็ม (อบสุก) 10 ฟอง | แป้งข้าวโพด 3 ช้อนโต๊ะ | นมรสจืด 2 ถ้วย | น้ำตาลทราย 80 กรัม | เกลือ 5 กรัม | หมูหย็องผสมสาหร่ายสำหรับคลุก   วิธีทำ ปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนเนื้อเนียน นำไปเคี่ยวจนส่วนผสมข้นขึ้น ใส่ถาดคลุมด้วยพลาสติกสำหรับห่ออาหาร พักไว้ให้หายร้อนแล้วตักใส่ถุงบีบ เตรียมไว้ บีบครีมไข่เค็มลงบนขนมปัง ทาครีมไข่เค็มให้ทั่วชิ้น นำลงคลุกกับหมูหย็องผสมสาหร่าย ตกแต่งด้วยครีมไข่เค็มให้สวยงาม

Pain d'épice แปลตรงตัวคือขนมปังเครื่องเทศ บางประเทศเรียกว่าขนมปังขิง เนื้อของขนมนี้ไม่ใช่ขนมปังแต่เป็นเค้กชนิดหนึ่ง มีขายทั่วไปแทบทุกร้านในยุโรป โดยเฉพาะในงานแฟร์ต่างๆ ยิ่งสิ้นปีใกล้เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ขนมปังนี้จะทานเป็นอาหารเช้าหรือของว่าง ทาเนยก็อร่อย นำไปปิ้งก็ทำให้หอมยิ่งขึ้น   ส่วนผสมหลักอย่างหนึ่งของขนมปังนี้คือน้ำผึ้ง ว่ากันว่าต้นตอมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์ กรีก และโรมันโบราณ (3,000 ปีก่อนคริสตกาล) ชาวอียิปต์คุ้นเคยกับการทานขนมปังน้ำผึ้ง เช่นเดียวกับชาวกรีกที่มี Melitounta ขนมปังทำด้วยแป้งและงาเคลือบด้วยน้ำผึ้ง ส่วนพวกโรมันก็ทาน Panis Mellitus   ในศตวรรษที่ 10 ชาวจีนทำขนมปังเครื่องเทศที่มีคุณค่าทางอาหาร เรียกว่า Mi Kong เพื่อให้พวกทหารพกไปกินในเวลาสงคราม ต่อมาในยุคสงครามครูเสด (Crusade) ศตวรรษที่12-13 พวกตะวันตกได้พบตำราขนมนี้แล้วนำกลับมาที่เยอรมันและฝรั่งเศสพร้อมกับเครื่องเทศที่ได้มาด้วย   คำว่า Pain d'épice ปรากฏขึ้นครั้งแรกในเยอรมนีในศตวรรษที่ 13 ตำราขนมนี้ได้แพร่หลายไปถึงแคว้น Alsace และแคว้นใกล้เคียงในฝรั่งเศส ต่อมาในศตวรรษที่ 16 สมาคมผู้เชี่ยวชาญการทำ Pain d'épice ได้ก่อตั้งขึ้น และพระเจ้าเฮนรีที่ 6 ให้การรับรอง และกำหนดให้ต้องใช้เวลา 4 ปีที่จะฝึกเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำขนมนี้   ในสมัยนั้นเมือง Reims ในฝรั่งเศสได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่ผลิตขนมปังนี้เพราะคุณภาพของน้ำผึ้งและความเชี่ยวชาญของคนทำ ในศตวรรษที่ 19 และ 20 เมือง Dijon ก็เป็นอีกเมืองที่ผลิตขนมปังนี้ ต่อมา Pain d'épice ก็ได้แพร่หลายและเป็นที่รู้จักกันทั่วยุโรปและอเมริกา   สูตรทำขนมปังนี้ดั้งเดิมของเมือง Reims มีส่วนผสมแค่ 3 อย่างคือ แป้งโฮลวีต น้ำผึ้ง และเครื่องเทศ ไม่มีไข่ นม เนย และน้ำตาล การทำใช้ยีสต์ธรรมชาติต้องหมักให้ขึ้นหลายสัปดาห์ ปัจจุบันถึงจะใช้เบกกิงโซดาแทนแต่ก็ยังต้องหมักหลายสัปดาห์ ส่วนสูตรของเมือง Dijon ก็ใช้วิธีหมักนานเช่นกัน   สูตรที่เราทำกันในฉบับนี้เป็นสูตรที่ทำกันตามบ้านในปัจจุบัน   Pain d'épice ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 235 กรัม เบกกิงโซดา 1 1/2 ช้อนชา              ผงฟู 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 75 กรัม เกลือ 1/2 ช้อนชา นม 160 กรัม เนย 75 กรัม น้ำผึ้ง 215 กรัม ผิวส้ม 1 ผล ผงเครื่องเทศ 2 ช้อนชา วานิลลา 1 ช้อนชา อุปกรณ์ พิมพ์โลฟ ขนาด 25 เซนติเมตร กรุกระดาษไขทาเนย   วิธีทำ ในอ่างผสมใส่แป้ง เบกกิงโซดา ผงฟู น้ำตาลทราย และเกลือ คนให้เข้ากัน พักไว้ ในหม้อผสมนม เนย น้ำผึ้ง ผิวส้ม และผงเครื่องเทศ ตั้งไฟจนเดือด ยกลง ใส่วานิลลา เทส่วนผสมของเหลวใส่ในส่วนผสมของแห้ง ตีด้วยตะกร้อมือจนเข้ากันดี เทลงพิมพ์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 50 นาที เอาออกจากพิมพ์ ห่อด้วยผ้าขาวบางหรือฟิล์มใส ห่อผ้าอีกที เก็บในอุณหภูมิห้อง 3-4 วัน ก่อนทาน ส่วนผสมเครื่องเทศ อบเชย 40 กรัม พริกไทยดำ 20 เม็ด เม็ดในกระวานเขียว 25 เม็ด โป๊ยกั๊ก (แกะเม็ดทิ้ง) 1 ดอก กานพลู 10 ดอก ลูกจันทน์เทศ 10 กรัม วิธีทำเครื่องเทศ ป่นทุกอย่างจนเป็นผงละเอียด

เซมลา…The Swedish King Killer!   ป้าแจงส่งคลิปเกี่ยวกับขนมที่พระราชาธิบดีแห่งสวีเดน อดอล์ฟ เฟรเดอริก เสวยไป 14 ชิ้นหลังพระกระยาหารค่ำ และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็สิ้นพระชนม์ด้วยพระอาการเส้นโลหิตในสมองแตก   ป้าเจี๊ยบเข้าใจว่าป้าแจงต้องการกินเซมลาเป็นของหวานในวันครอบครัวที่จะฉลองวันเกิดให้ป้าแจง ซึ่งก่อนหน้านั้นเจ้าตัวสั่งมาแต่เมนูคาวคือก๋วยเตี๋ยวเนื้อสับ มีตโลฟ มันบด และสลัดผลไม้   เพื่อเอาใจพี่สาวจึงทำการสืบค้นประวัติของเซมลาที่มีมายาวนานกว่า 250 ปี ป้าเจี๊ยบพบสูตรหลากหลายจนนับไม่ถ้วน สรุปได้ว่าส่วนประกอบหลักคือขนมปังหวาน อัลมอนด์กวน (Marzipan) วิปครีม และไอซิง ส่วนอื่นๆ ก็แล้วแต่จะปรุงแต่งกันไปตามชอบ ฉะนั้น เซมลาฉบับป้าเจี๊ยบต้องมาสิคะ   ทำขนมปังกันก่อนค่ะ เซมลาทั่วไปจะใช้ปังหวานแบบบริออช (Brioche) ที่ใส่คาร์ดามอม (Cardamom) ตามสไตล์ปังสวีเดนดั้งเดิม แต่ป้าเจี๊ยบชอบปังมันฝรั่งมากกว่า อิอิ   ปังมันฝรั่งของป้าเจี๊ยบใช้เวลาน้อยเพราะพักแป้งครั้งเดียว วิธีทำก็ไม่ยุ่งยาก เริ่มจากเตรียมชามเปียก มีมันฝรั่งบด 75 กรัม เนยสดรสจืด (อุณหภูมิห้อง) 25 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์สอง 1 ฟอง (แบ่งไข่แดงออกมาครึ่งฟอง ผสมน้ำเปล่า 1/2 ช้อนโต๊ะ สำหรับไว้ทาผิวปังก่อนอบ) ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน วางพักไว้   จากนั้นใส่แป้งสาลีอเนกประสงค์ 130 กรัม ยีสต์ 5 กรัม นมผง 5 กรัม น้ำตาลทราย 20 กรัม และเพิ่มความเป็นสวีเดนด้วยคาร์ดามอมบดละเอียด 1/8 ช้อนชาลงในโถนวดแป้งไฟฟ้า กดปุ่มเบอร์หนึ่งให้ตะขอคนส่วนผสมแค่พอเข้ากันแล้วเทชามเปียกลงไป เพิ่มความเร็วเป็นเบอร์สองนานประมาณ 5 นาที เพิ่มเป็นเบอร์สามอีกประมาณ 5-10 นาทีจนโดเนื้อเนียน เอามือขึงเป็นแผ่นบางๆ ได้   นำโดออกมาแบ่งเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กัน ป้าเจี๊ยบได้ก้อนละ 101 กรัมค่ะ จับแป้งดึง-พับ-หมุนให้เป็นก้อนกลมวางบนถาดอบ คลุมผ้าพักไว้ประมาณ 40 นาทีให้โดขึ้นเท่าตัว   ทาผิวด้วยไข่ที่เตรียมไว้แล้วนำเข้าเตาอบซึ่งตั้งปุ่มไฟล่างที่ 200 องศาเซลเซียส หรือ 425 องศาฟาเรนไฮต์ พอผ่านไป 5 นาที ก็ปรับเป็นไฟบน-ล่างที่ 175 องศาเซลเซียส หรือ 350 องศาฟาเรนไฮต์ ใช้เวลา 20 นาที หลังเสียงติ๊ง นำถาดออกมา หยิบปังวางพักไว้บนตะแกรง   ระหว่างอบปังป้าเจี๊ยบคั่วอัลมอนด์แบบซีก 115 กรัม พร้อมกับละลายเนยสดรสเค็ม 25 กรัม เตรียมไว้    เมื่อปังเย็นสนิทแล้ว นำปังแต่ละก้อนมาผ่าส่วนบนคว้านเนื้อปังด้านในออกมาจนคล้ายถ้วย โดยเหลือขอบไว้ประมาณ 1 เซนติเมตร จากนั้นแบ่งอัลมอนด์ที่คั่วไว้ 100 กรัม มาใส่เครื่องบดไฟฟ้า บดจนละเอียดแล้วใส่เนื้อปังที่คว้านออกมา เนยละลาย น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ และนมสด 4 ช้อนโต๊ะตามลงไป ปั่นต่อจนเนื้อเนียน ตักใส่ถ้วยปังที่คว้านไว้ในปริมาณเท่าๆ กัน รอเสิร์ฟ   หลังอาหารคาวที่แต่ละคนกินกระหน่ำแบบจุกๆ กันแล้ว ป้าเจี๊ยบเข้าครัวประกอบตัวเซมลา โดยบีบวิปครีมทับไส้อัลมอนด์ โรยอัลมอนด์คั่วที่แบ่งไว้ลงบนวิปครีม วางฝาปังไว้บนสุดแล้วโรยหน้าด้วยไอซิง สวยงามเชียวค่ะ   ตอนยกเซมลาออกมาวาง ป้าแจงถามว่าอะไร อ้าว! จำไม่ได้ว่าตัวเองส่งคลิปมา แต่ไม่เป็นไรค่ะ ป้าเจี๊ยบทำแค่ 3 ก้อน ตัดแบ่งก้อนละ 6 ชิ้น ชิมกันคนละคำพอดีๆ ถ้ามากไปแบบพระราชา เดี๋ยวจะไม่รอด...ฮา!

เข้าสู่ช่วงท้ายฤดูกาลของ มะยงชิด เราขอเสิร์ฟเมนูจากมะยงชิดที่มาแรงที่สุดในปีนี้ ชีสพายมะยะชิด รสเปรี้ยวอมหวานตัดด้วยความขมเบาๆ จากครัมเบิ้ลช็อกโกแลต อร่อยทำง่ายแถมไม่ต้องใช้เตาอบ   ส่วนผสม คุกกี้ช็อกโกแลตแซนด์วิชบดละเอียด 3 ถ้วย เนยสดเค็มละลาย 1/2 ถ้วย ครีมชีสสเปรด 200 กรัม วิปปิงครีม 3/4 ถ้วย น้ำตาลไอซิง 6 ช้อนโต๊ะ มะยงชิดปอกเปลือกคว้านเมล็ด 12 ผล ผงเจลาติน 1 1/2 ช้อนชา น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ผสมคุกกี้บดกับเนยละลายคลุกให้เข้ากัน กรุลงพิมพ์พายขนาด 7 นิ้ว แช่ผงเจลาตินในน้ำเปล่า คนให้เข้ากัน พักไว้ 5 นาที นำไปเข้าไมโครเวฟ 30-40 วินาทีให้ละลาย ตีครีมชีสสเปรด วิปปิงครีม และน้ำตาลไอซิงให้เข้ากัน ใส่เจลาตินละลาย คนให้เข้ากัน เทวิปครีมใส่ฐานพาย เกลี่ยให้ทั่ว เรียงมะยงชิดให้รอบ ตรงกลางใส่คุกกี้บด แช่เย็นก่อนตัดเป็นชิ้นจัดใส่จานเสิร์ฟ

โอกิโนวามีชื่อเสียงเรื่องมันม่วงหวาน (Purple Sweet Potato) ผลิตภัณฑ์จากมันม่วงเป็นโอทอป ประจำเมือง นักท่องเที่ยวทั้งญี่ปุ่นและต่างชาติมาที่นี่ต้องอุดหนุนสินค้านานาชนิดที่ทำจากมันม่วง    สินค้ายอดนิยมอันดับหนึ่งคือ Beni-imo ทาร์ตมันม่วงใช้พิมพ์รูปเรือยาวประมาณ 3 นิ้ว ป้าเจี๊ยบเป็นคนไม่ชอบกินทาร์ตสักเท่าไหร่ แต่น้องที่พาไปร้านดังของโอกินาวาบอกว่าอร่อย เป็นทาร์ตมันม่วงไส้ชีส ป้าเจี๊ยบจึงซื้อมาชิม   กัดเข้าไปหนึ่งคำ ลิ้นจำแนกรสเสร็จแล้วบอกตัวเองทันทีว่า ไม่มีส่วนผสมของชีสแน่นอน เพื่อความแน่ใจว่าต่อมรับรสถูกต้อง ป้าเจี๊ยบหยิบบรรจุภัณฑ์มาดู เปิดเครื่องแปลภาษาอ่านส่วนผสม ได้คำตอบว่าไม่มีชีส!   ป้าเจี๊ยบอดไม่ได้ต้องบอกน้องไปว่าทาร์ตมันม่วงที่แนะนำมานั้นไม่ใส่ชีสนะคะ น้องรีบขอโทษ  บอกว่าเข้าใจผิดมาตลอด พาใครมาที่ร้านก็บอกว่าเป็นทาร์ตมันม่วงไส้ชีส สรุปคือทาร์ตมันม่วงโอกินาวาเป็นไส้คัสตาร์ดธรรมดา สำหรับป้าเจี๊ยบแล้วรสชาติยังไม่โดนใจให้อยากกินอีก หุหุ   กลับจากโอกินาวาป้าเจี๊ยบลงมือทำทาร์ตมันม่วงแบบไส้ชีสที่ตัวเองอยากจะกินให้มันแล้วใจไปเล้ยยย!   มันม่วงไทยกิโลละหลักสิบ แต่มันม่วงญี่ปุ่นกิโลละหลักร้อย ป้าเจี๊ยบชอบทั้งนั้น มันม่วงโอกินาวาเนื้อสีม่วงแต่เปลือกสีน้ำตาลอ่อนนะคะ มันเปลือกสีม่วงเนื้อสีเหลืองเป็นคนละพันธุ์กัน   ป้าเจี๊ยบนำมันม่วงโอกินาวาสด 2 หัวมาทำความสะอาดแล้วหั่นเป็นท่อนๆ นำไปนึ่งประมาณ 15 นาที จากนั้นลอกเปลือกออกแล้วบดขยี้ผ่านกระชอน ได้เนื้อมันม่วงเนียนละเอียดประมาณ 200 กรัม  ใส่เนยสดรสเค็ม (อุณหภูมิห้อง) 15 กรัมลงไปคนให้เข้ากันแล้วตักใส่ถุงบีบเตรียมไว้ ป้าเจี๊ยบไม่ได้ใส่น้ำตาลเพราะชิมแล้วมีรสหวานตามธรรมชาติพอเหมาะพอดี และคิดว่าต่อไปถ้าต้องใช้มันม่วงหรือมันเทศไทย อาจต้องใส่น้ำตาลหรือสารเพิ่มความหวาน   แป้งทาร์ตสำหรับมันม่วงของป้าเจี๊ยบเป็นแบบเนื้อค่อนข้างกรอบร่วนนะคะ เพราะอยากได้เนื้อสัมผัสที่ตัดกับความเนียนนุ่มของมันม่วง เริ่มทำด้วยการเตรียมชามเปียกก่อน มีไข่แดง (ไข่ไก่เบอร์ 2) 1 ฟอง และเนยสดรสเค็ม (อุณหภูมิห้อง) 65 กรัม คนให้เข้ากันด้วยส้อมแล้ววางพักไว้    ต่อด้วยทำชามแห้งมีแป้งสาลีอเนกประสงค์ 85 กรัม แป้งข้าวโพด 20 กรัม นมผง 10 กรัม น้ำตาลไอซิง 20 กรัม ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมกลมกลืนกันแล้วทำเป็นบ่อตรงกลาง เทชามเปียกลงไป ใช้ส้อมผสมของเปียกกับของแห้งให้เข้ากัน ใช้มือนวดแป้งโดนิดหน่อยแค่พอเข้ากัน ห่อด้วยแผ่นฟิล์มถนอมอาหาร นำไปพักไว้ในตู้เย็นประมาณ 15 นาที   จากนั้นนำแป้งโดออกมาคลึงเป็นแผ่นหนาประมาณ 1/8 นิ้ว ตัดเป็นวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 นิ้ว กรุลงในพิมพ์ทรงกลมขนาด 2 นิ้ว ได้ 10 ถ้วย วางถ้วยในถาดอบ ยกเข้าเตาอบซึ่งตั้งปุ่มความร้อนไว้ที่อุณหภูมิ 190 องศาเซลเซียส หรือ 375 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง และปุ่มเวลา 7 นาที เมื่อได้ยินเสียงติ๊ง ยกถาดออกมาวางพักไว้   ต่อไปทำไส้โดยการใช้ตะกร้อมือตีครีมชีส 65 กรัม กับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 15 กรัมจนเนียน จากนั้นใส่ไข่ไก่เบอร์สอง 1 ฟอง ไข่ขาว 1 ฟอง (ที่เหลือจากทำแป้งทาร์ต) น้ำตาลทราย 20 กรัม และเนยสดรสเค็มละลาย 15 กรัมลงไป ตีต่อไปจนส่วนผสมเข้ากันดี แล้วกรองผ่านกระชอน     แคะแป้งทาร์ตออกจากพิมพ์วางเรียงไว้ในถาด ตักส่วนผสมของครีมชีสใส่ถ้วยแป้งทาร์ตปริมาณเท่าๆ กัน ยกถาดเข้าเตาอบซึ่งตั้งปุ่มความร้อนไว้ที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส หรือ 325 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง และปุ่มเวลา 15 นาที เมื่อได้ยินเสียงติ๊ง ยกถาดออกมาวางพักไว้ พอเย็นสนิทดีแล้วนำมันม่วงบดที่ใส่ไว้ในถุงบีบมาบีบลงบนหน้าทาร์ต   ป้าเจี๊ยบชิมตอนทำเสร็จใหม่ๆ ไป 1 ชิ้น รสชาติถูกปากตามต้องการ เปรียบเทียบกับอีกชิ้นที่ใส่กล่องบ่มไว้ในตู้เย็นไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง พบว่า...ชิ้นหลังอร่อยเพิ่มขึ้นอีก อิอิ

ใครเบื่อคุกกี้แบบเดิมๆ มาลองทำ คุกกี้ดินสอสีกัน! คุกกี้เนยหอมๆ กรอบกำลังดี รูปทรงเรียวยาวแบบแท่งดินสอสี น่ารักจนแทบอยากหยิบไปวาดภาพเลย!   ส่วนผสม เนยสดเค็มอุณหภูมิห้อง 250 กรัม น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 130 กรัม เกลือป่น 1/8 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 1 ฟอง แป้งสาลีอเนกประสงค์ 350 กรัม ผงวานิลลา 1 ช้อนชา สีผสมอาหาร เขียว แดง เหลือง น้ำเงิน วิธีทำ  คนเนยสดกับน้ำตาลทรายและเกลือเข้าด้วยกัน ใส่ไข่แดง คนให้เข้ากัน  ใส่แป้งสาลีและผงวานิลลา คนให้เข้ากัน แบ่งแป้งโด 1/2 ส่วน แล้วแบ่งเป็น 4 ส่วน ผสมสีแต่ละส่วน พักไว้  นำแป้งโดแต่ละสีมาแบ่งเป็นก้อนเล็ก คลึงเป็นแท่ง เรียงใส่ถาด แช่เย็นไว้  แบ่งแป้งโดมารีดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมหนา 4 มิลลิเมตร วางแป้งสีเป็นไส้ดินสอสี ม้วนพอให้ชายแป้งชนกัน บีบชายแป้งให้เรียบร้อย เรียงใส่ถาดอบ  นำไปเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เวลา 10-12 นาที พักไว้ให้เย็น  นำคุกกี้มาขูดปลายให้เห็นสีแป้งที่อยู่ด้านใน เรียงใส่จานเสิร์ฟ 

G&C มีของหวานอร่อยและทำตามได้ง่ายๆ โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ถั่วและธัญพืชจากไร่ทิพย์ เมล็ดสวย สะอาดและมีคุณภาพ นำมาทำเมนู ทาร์ตเปียกลูกเดือยมะพร้าวอ่อน ลูกเดือยนำไปต้มกับกะทิและครีมจนเนื้อนุ่มหนึบ หอมกลิ่นมะพร้าวอ่อน    ส่วนผสม  ลูกเดือย ตราไร่ทิพย์ 1 ถ้วย  กะทิสด 2 ถ้วย  น้ำมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย วิปปิงครีม 1/2 ถ้วย  เนื้อมะพร้าวอ่อน 1/2 ถ้วย  แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย  เกลือทะเล 1/2 ช้อนชา  ใบเตย 2 ใบ  แป้งทาร์ตอบขนาดตามชอบ  เนื้อมะพร้าวอ่อนสำหรับตกแต่งเล็กน้อย วิธีทำ  ล้างลูกเดือยให้สะอาด แช่ในน้ำเปล่าไว้ข้ามคืน นำไปต้มนาน 20-30 นาทีให้พอสุก กรองน้ำออก เตรียมไว้ ใส่กะทิ น้ำมะพร้าวอ่อน ใบเตย เนื้อมะพร้าวอ่อน แป้งข้าวโพด และวิปปิงครีม คนให้เข้ากันแล้วต้มให้เดือด ใส่ลูกเดือยต้ม น้ำตาลทราย และเกลือทะเล ชิมรสตามชอบ พักไว้ให้พออุ่น ตักใส่แป้งทาร์ต ตกแต่งด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อนให้สวยงาม

ฉบับนี้ G&C มีของหวานอร่อยและทำตามได้ง่ายๆ โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ถั่วและธัญพืชจากไร่ทิพย์ เมล็ดสวย สะอาดและมีคุณภาพ นำมาทำเมนูเค้กกล้วยตากเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เค้กเนื้อหนึบหอมกลิ่นน้ำตาลมะพร้าวคาราเมลกับกล้วยตาก โรยหน้าด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์แบบจุใจ   ส่วนผสม   แป้งเค้ก 120 กรัม  ผงฟู 1/2 ช้อนชา  เนื้อกล้วยตากหั่นเต๋า 1 ถ้วย  บราวน์บัตเตอร์ 1 ถ้วย  กะทิ 1/3 ถ้วย  น้ำตาลมะพร้าวคาราเมล 1/2 ถ้วย  น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วย        เกลือทะเล 1/4 ช้อนชา  ไข่ไก่ 3 ฟอง  เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบสับ ตราไร่ทิพย์                                                     เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ตราไร่ทิพย์ สำหรับโรยหน้า  วิธีทำ  ในชามผสมตีไข่ไก่ บราวน์บัตเตอร์ น้ำตาลมะพร้าว และน้ำตาลทรายแดงให้เข้ากันจนเนื้อเนียน ใส่กะทิ คนส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้ง ร่อนแป้ง ผงฟู และเกลือลงในส่วนผสม คนให้พอเข้ากัน   ใส่เนื้อกล้วยตากและเม็ดมะม่วงหิมพานต์สับ ตะล่อมให้เข้ากัน ตักส่วนผสมใส่พิมพ์ปริมาณตามชอบ โรยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 165 องศาเซลเซียส นาน 20-25 นาทีจนเค้กสุก 

ขนมหัวเราะ หรือที่บางคนเรียกกันว่า “คุกกี้หัวเราะ” เป็นขนมไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมจีน ซึ่งมีชื่อเรียกในภาษาจีนแปลเป็นไทยว่า “ขนมทอดงาปากอ้า” สะท้อนถึงลักษณะเฉพาะของขนมที่มีรอยแยกหรือปากอ้าเมื่อทอดเสร็จ และด้วยลักษณะนี้เองที่ทำให้ขนมดูเหมือนรอยยิ้ม จึงได้รับการตั้งชื่อว่า “ขนมหัวเราะ” ขนมหัวเราะนิยมรับประทานคู่กับชา กาแฟ ในสูตรดั้งเดิมเพิ่มความหอมและเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยการใช้น้ำมันหมู ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ได้รับอิทธิพลจากขนมของจีนในยุคก่อน ปัจจุบันขนมหัวเราะได้รับความนิยมในภาคใต้ สามารถพบได้ในร้านน้ำชา เสน่ห์ของขนมนี้ไม่เพียงอยู่ที่ความหอม และเนื้อสัมผัสกรอบร่วนอร่อย แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมระหว่างไทยและจีนอย่างลึกซึ้งอีกด้วย ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 285 กรัม แป้งข้าวโพด 15 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา เกลือ 1 ช้อนชา ไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำตาลไอซิง 105 กรัม น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด 2 ช้อนโต๊ะ งาขาวดิบ 4 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืช สำหรับทอด วิธีทำ ร่อนแป้งสาลี แป้งข้าวโพด ผงฟู และเกลือเข้าด้วยกัน พักไว้ ตีไข่ไก่ น้ำมันมะพร้าว น้ำสะอาด และน้ำตาลไอซิงให้เข้ากันจนส่วนผสมเนียน ใส่ส่วนผสมแป้งลงไปทีละครึ่ง แล้วนวดให้เข้ากันดีจนเนื้อเนียน แบ่งส่วนผสมเป็นชิ้นขนาด 15 หรือ 20 กรัมตามขนาดที่ต้องการ เตรียมถาดที่รองด้วยผ้าสะอาดชุบน้ำหมาดๆ นำขนมแต่ละชิ้นลงไปกลิ้งให้ผิวเปียกหมาดๆ คลุกขนมกับงาขาวให้ทั่ว แล้วนำมาคลึงกดให้งาติดเนื้อขนมดี ทำซ้ำจนหมด ตั้งน้ำมันสำหรับทอดที่อุณหภูมิ 140-150 องศาเซลเซียส นำขนมลงทอด ผิวของขนมจะค่อยๆ แตกออก แล้วลอยขึ้นบนผิวน้ำมัน ทอดจนสีสวย ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน พักบนตะแกรงให้เย็นลงก่อนรับประทาน

Pithiviers (ปีตีเวี่ย) ขนมคลาสสิกของฝรั่งเศสมีรูปร่างกลมคล้ายกับดวงอาทิตย์ ซึ่งหมายถึงความยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น และเป็นการเริ่มต้นของการทำขนมที่เป็นลายหยัก โดยตกแต่งหน้าเป็นเส้นเกลียว ด้านข้างทำเป็นลายหยักสวยงาม   ขนมนี้รูปร่างแบบเดียวกับ Galette des Rois ไส้ของ Pithiviers มีทั้งหวานและเค็ม ไส้หวานจะเป็น Crème d'Amande ซึ่งทำจากผงอัลมอนด์ ส่วนไส้เค็มมีหลากหลาย เช่น แฮม ชีส เห็ด   ขนมของฝรั่งเศสที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 17 ในช่วงนั้น Feuillet เชฟขนมของ Prince de Condé คิดทำแป้งหลายชั้นขึ้น ทำให้ขนมที่หนักมีความเบาขึ้นมาก แป้งพัฟในภาษาฝรั่งเศสจึงเรียกว่า Pâte Feuilletée (ซึ่งแปลว่าแป้งที่เป็นชั้นๆ ในภาษาอังกฤษคือ Puff Pastry) ส่วน Pithiviers ก็เกิดขึ้นในสมัยนั้น และได้ชื่อมาจากเมือง Pithiviers ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส   ขนมนี้ไม่ได้มีขายทั่วไป แต่ทำกันในงานเลี้ยงหรือมีคนสั่ง เพราะต้องกินกันหลายคน ถ้าทำเองก็ไม่ยาก ฉบับนี้เราจะทำทั้งไส้หวานและเค็ม แป้งพัฟจะซื้อสำเร็จรูปก็ได้ แต่ทำเองแบบง่ายๆ ก็ใช้เวลาไม่มาก   Pithivier ส่วนผสม Feuilletée Rapide เนย 200 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 210 กรัม น้ำเย็นจัด 100 กรัม เกลือ 5 กรัม วิธีทำ หั่นเนยเป็นก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ 1 เซนติเมตร แช่แข็งอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ใส่เนย แป้งสาลี เกลือ และน้ำในอ่างผสม ใช้มือขยำจนแป้งไม่เหลือติดอ่าง เทลงบนโต๊ะแล้วตะล่อมให้เป็นก้อน คลึงออกเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนา 4 มิลลิเมตร ม้วนให้แน่นเป็นแท่ง ม้วนให้เป็นก้นหอย แช่เย็น 30 นาที แบ่งเป็น 2 ส่วน คลึงทั้งสองส่วนออกเป็นวงกลมหนา 3 มิลลิเมตร วางแป้งแผ่นหนึ่งลงบนกระดาษไข ขีดเป็นวงกลม 20 เซนติเมตร ตักครีม Crème d'Amande (หรือไส้เค็ม) ใส่ลงตรงกลาง ทาไข่ส่วนที่ขีดไว้ให้ทั่ว วางแป้งอีกแผ่นทับ ใช้นิ้วกดรอบวงเบาๆ ทำลายโค้งตามชอบ ขีดเส้นให้สวย ทาไข่ให้ทั่ว พัก 15 นาที ทาไข่ซ้ำอีกรอบ นำเข้าตู้เย็น 12 ชั่วโมง นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส 10 นาที ลดไฟลงเหลืออุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส อบต่ออีก 25-30 นาที หรือจนหน้าเหลืองสวย ส่วนผสม Crème d'Amande เนยนุ่ม 100 กรัม น้ำตาลทราย 100 กรัม ผงอัลมอนด์ 100 กรัม ไข่ 1 ฟอง ไข่แดง 1 ฟอง กลิ่นรัม 1/4 ช้อนชา แป้งสาลีอเนกประสงค์ 10 กรัม วิธีทำ Crème d'Amande ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในอ่างผสมและตีให้เข้ากัน ใส่ตู้เย็นไว้ระหว่างคลึงแป้ง   ส่วนผสมไส้เค็ม แฮม | เนยแข็งตามชอบ เช่น เชดดาร์ พาร์เมซานขูด | เห็ดแชมปิญองหั่นบางคั่วน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ + เนย 1 ช้อนโต๊ะ ปรุงรส   ส่วนผสม Béchamel Sauce นม 125 กรัม วิปปิงครีม 125 กรัม เนย 25 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ พริกไทย นัตเมก วิธีทำ Béchamel Sauce ละลายเนยด้วยไฟอ่อนๆ ใส่แป้งสาลี คนให้เข้ากัน ใส่นม และวิปปิงครีม คนต่อไปจนข้น ใส่เกลือ พริกไทย และนัตเมก ชิมรสตามชอบ ทาซอสเบชาเมลบนแผ่นแป้ง วางเห็ด แฮม ชีส ประกบแป้งอีกแผ่น ทำลวดลายให้สวยงาม

โอกินาวา…ตามมาหลังกลับจากอินเดียครบหนึ่งเดือนพอดี ป้าเจี๊ยบมีแรงไปต่อ...อิอิ   เกาะใต้สุดของญี่ปุ่นแห่งนี้ป้าเจี๊ยบอยากไปมานานแล้วค่ะ แต่หาเครื่องบินที่บินตรงไม่ได้สักที เห็นชั่วโมงบินแล้วท้อ จนสมัยนี้ใช้เวลาบินแค่ 4 ชั่วโมงก็ไปเดินเล่นที่นาฮะ เมืองหลวงของเกาะแบบสบายๆ เดินทางคนเดียวค่ะ เที่ยวเนิบๆ สมวัย ตามสถานที่ยอดนิยมทั้งหลาย อาทิ ปราสาทชูริ ศาลเจ้านามิโนอูเอกุ หมู่บ้านอเมริกันมิฮามะ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุระอุมิ ถ้ำเกียวคุเซนโดะ ฯลฯ    ขณะอยู่ที่ชุระอุมิ ป้าเจี๊ยบเห็นป้ายเขียนว่า “โอกินาวาโดนัท” เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งหน้าร้านมีคิวยาวเหยียด พอไปที่อื่นๆ ก็พบขนมแป้งทอด ลูกกลมๆ หน้าแตกแบบเดียวกันวางขายทั่วไป ขนมนี้ชื่อว่าซาตาอันดากี เป็นภาษาถิ่นของโอกินาวา ซาตาคือน้ำตาล อันดากีคือทอดน้ำมัน ชิมแล้วชอบค่ะ กรอบนอก นุ่มใน เคี้ยวเพลินดี ป้าเจี๊ยบเห็นแป้งสำเร็จรูปสำหรับทำขนมนี้ขายในแหล่งท่องเที่ยวและซูเปอร์มาร์เก็ตด้วย ไม่ได้ซื้อกลับบ้านเหมือนตอนซื้อแป้งไมด้ามาจากอินเดีย   เมื่อกลับมาแล้ว รายการกินกันวันเสาร์ของครอบครัวย่อมต้องเป็นอาหารโอกินาวา และของหวานก็ต้องซาตาอันดากี...โดนัทโอกินาวาค่ะ ก่อนทำเลี้ยงครอบครัวป้าเจี๊ยบลงมือทำกินเองก่อนเพื่อพิสูจน์คำแนะนำของคนที่นั่นว่า ให้กินโดนัทนี้ตอนที่ทิ้งไว้จนเย็นสนิท หรือเก็บไว้ 1 วันก่อนกินจะกรอบนอกนุ่มในกว่า และรสชาติดีกว่ากินตอนทอดออกมาร้อนๆ    ทำง่ายมากค่ะ เริ่มจากเตรียมชามแห้ง มีแป้งเค้ก 110 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ใส่ตะแกรงร่อนแล้ววางพักไว้ ทำชามเปียกโดยใช้ตะกร้อมือตีไข่ไก่เบอร์สอง 1 ฟอง (50 กรัม) กับผงน้ำตาลดำโคคุโตะ 60 กรัม และน้ำมันงาญี่ปุ่น 1 ช้อนชาจนกระทั่งน้ำตาลละลาย ส่วนผสมเป็นครีม        เทชามแห้งลงในชามเปียกแล้วใช้พายซิลิโคนตะล่อมอย่างเบามือจนส่วนผสมไม่เห็นเป็นแป้งขาวก็หยุดทันที หยิบผ้ามาคลุมชาม พักแป้งโดไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นแบ่งเป็นก้อนๆ น้ำหนักประมาณก้อนละ 20 กรัม นำก้อนแป้งมากลิ้งบนฝ่ามือที่แตะน้ำมันคาโนล่านิดหน่อยเพื่อกันแป้งติดมือจนเป็นลูกกลมๆ วางเรียงไว้ในถาด ป้าเจี๊ยบทำได้ 14 ลูก   ลูกกลมๆ พร้อมนำไปทอดในน้ำมันพืชแล้วค่ะ ใช้หม้อทอดใบเล็กจะได้ไม่เปลืองน้ำมัน ใส่น้ำมันสูงระดับท่วมลูกกลม แบ่งทอด 2 ครั้งจะได้ไม่แน่นหม้อเวลาที่แป้งพองตัวขึ้น เมื่อน้ำมันอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ป้าเจี๊ยบหยิบลูกกลมลงทอด บางลูกต้องปั้นบนมืออีกนิดหน่อยเพราะแป้งโดค่อนข้างนิ่ม เวลาหยิบขึ้นมากลายเป็นลูกเบี้ยวซะนี่   ใช้เวลาทอดประมาณ 5-6 นาที ลูกกลมก็จะแตกออกมาเหมือนดอกไม้บาน พอสุกทั่วทั้งลูกก็คีบขึ้นมาพักไว้บนกระดาษซับน้ำมันหนาๆ ป้าเจี๊ยบกินทดสอบทั้ง 3 แบบแล้ว พบว่ากินตอนเสร็จใหม่ๆ อร่อยน้อยที่สุด จริงตามที่เจ้าถิ่นบอกมา ป้าเจี๊ยบเลยทำโดนัทโอกินาวาใส่กล่องปิดสนิทไว้ล่วงหน้า 1 วัน   เมื่อได้เวลาเสิร์ฟของหวาน ป้าเจี๊ยบแถมซอสช็อกโกแลตไว้ให้จิ้ม โดยใส่ช็อกโกแลตกึ่งหวาน 50 กรัม วิปครีม 50 กรัมในถ้วยแก้ว นำเข้าไมโครเวฟสลับกับการคนให้เข้ากัน 2-3 ครั้งๆ ละ 30 วินาทีก็เรียบร้อย พร้อมกับเตรียมน้ำร้อนสำหรับชงน้ำขิงและชามัตฉะ ซึ่งเจ้าถิ่นแนะนำว่าเข้ากันกับซาตาอันดากีมากกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่น จัดไปตามนั้นสิคะ   ถูกปากถูกใจกันถ้วนหน้าไปเลย...เย้!

ผู้เขียนได้ทำขนมมาหลากหลายมาก ผู้อ่านบางคนอยากให้ทำขนมปังบ้าง ขนมปังง่ายๆ ก็ทำมาแล้ว ฉบับนี้จะทำ Kaiser Rolls ขนมปังก้อนกลมที่กรอบนอกนุ่มใน แพร่หลายมากในประเทศออสเตรียจนเรียกได้ว่าเป็นอาหารประจำชาติก็ว่าได้   Kaiser Rolls ทำขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เพื่อเป็นเกียรติแด่จักรพรรดิ Franz Joseph 1 Kaiser จักรพรรดิแห่งออสเตรีย (ไคเซอร์ ในภาษาเยอรมันแปลว่า จักรพรรดิ) ขนมปังนี้มีหลายรูปแบบ แต่ที่ทำกันทั่วไปเป็นก้อนกลมที่มี 5 ขีด ดั้งเดิมปั้นด้วยมือ แต่ปัจจุบันใช้พิมพ์   ในประเทศออสเตรีย Kaiser Rolls แพร่หลายมาก มีขายในร้านขนมปังทุกร้าน ร้านสะดวกซื้อทั่วไป แม้ร้านรถเข็นขายไส้กรอกก็จะมีขนมปังนี้ด้วย ทาเนยเป็นอาหารเช้า ใส่ไส้ต่างๆ ทำเป็นแซนด์วิช ประเทศเยอรมนีและประเทศอื่นๆ ในแถบนั้นก็ทานขนมปังนี้ แต่เรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น Emperor Roll Weiner, Kaisersemmel Hand Roll ฯลฯ   ขนมปังนี้ทำง่ายและใช้เวลาไม่นาน เมื่ออบใหม่ๆ แล้วทานทันทีจะอร่อยที่สุด   Kaiser Rolls ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 360 กรัม ผงยีสต์ 10 กรัม น้ำตาลทราย 8 กรัม (ใส่น้ำผึ้งแทนได้) เกลือ 5 กรัม ไข่ 1 ฟอง น้ำอุ่น 165 กรัม เนยนุ่ม 30 กรัม นมสำหรับทา วิธีทำ ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น ใช้หัวตีรูปขอตี 4-5 นาที หรือนวดด้วยมือ 10 นาที เทแป้งโดใส่อ่างอีกใบ ปิดผ้า พักให้ขึ้นเท่าตัว แบ่งแป้งออกเป็น  6 ส่วน ปั้นเป็นก้อนกลม วางบนกระดาษไข คลุมด้วยผ้าและพักให้ขึ้น 2 เท่า ใช้เครื่องสำหรับทำลายขนมกดแป้งลงจนเกือบถึงพื้น ทานมบนหน้าขนมปัง นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 220 องศาเซลเซียส ประมาณ 12-14 นาที หรือจนเนื้อเบาและผิวเป็นสีทอง นำออกจากเตาอบ วางบนตะแกรงให้หายร้อน          

ขนมไทย ในรูปแบบเค้ก จะหอมหวานดีงามขนาดไหน แนะนำให้จดสูตรแล้วทำเมนู เค้กข้าวโพดสาคูมะพร้าวอ่อน กันดู หน้าตาสวยรสชาตินุ่มนวลลิ้นไม่ผิดหวังเลย   ส่วนผสมเค้ก ไข่แดงเบอร์หนึ่ง 4 ฟอง น้ำมันพืช 1/4 ถ้วย นมสดจืด 1/2 ถ้วย แป้งเค้ก 1 1/4 ถ้วย ผงวานิลลา 1/2 ช้อนชา ผงฟู 1 ช้อนชา ไข่ขาวเบอร์หนึ่ง 4 ฟอง ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย ส่วนผสมไส้สาคูมะพร้าวข้าวโพด สาคูต้มสุก 3/4 ถ้วย นมสดจืด 3/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย น้ำมะพร้าว 1/2 ถ้วย แป้งข้าวโพด 2 1/2 ถ้วย ข้าวโพดต้มฝาน 3/4 ถ้วย เนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นเส้น 1 ถ้วย ส่วนผสมครีมแต่งหน้า นมสด 1 ถ้วย ผงคัสตาร์ด 3 ช้อนโต๊ะ วิปปิงครีม 1 ถ้วย น้ำตาลไอซิง 3 ช้อนโต๊ะ ข้าวโพดย่างเนยฝาน วิธีทำ ทำเค้กเตรียมไว้โดยผสมไข่แดง น้ำมัน และนมสด คนให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้ก ผงวานิลลา และผงฟู คนให้เข้ากัน ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาร์ทาร์ให้เข้ากัน ค่อยๆ ใส่น้ำตาลทราย ตีให้เข้ากันจนขึ้นฟูเป็นโฟม นำไปผสมกับส่วนผสมไข่แดง ตะล่อมให้เข้ากัน เทใส่ถาด นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส เวลา 20-25 นาทีจนสุก พักให้เย็น ตัดตามขวางเป็น 2 ชิ้น ทำไส้ครีมสาคูโดยผสมนมสด น้ำตาลทราย น้ำมะพร้าว และแป้งข้าวโพด คนให้เข้ากัน ตั้งไฟให้สุกข้น ใส่สาคูต้มสุก เมล็ดข้าวโพดต้ม และเนื้อมะพร้าวอ่อน คนให้เข้ากัน พักไว้ ทำครีมแต่งหน้าโดยผสมผงคัสตาร์ดกับนมสดครึ่งหนึ่ง คนให้เข้ากัน ใส่นมสดที่เหลือ ตั้งไฟคนให้ข้น พักไว้ให้เย็น ตีวิปปิงครีมกับน้ำตาลไอซิงให้ขึ้นฟูอยู่ตัว ใส่คัสตาร์ด ตีให้เข้ากัน  วิธีประกอบเค้ก วางเค้กชิ้นที่ 1 ลงในพิมพ์ ใส่ไส้สาคูเกลี่ยให้ทั่ว วางเค้กชิ้นที่ 2 ใส่ครีมปาดให้เรียบ ตัดเป็นชิ้น แต่งด้วยข้าวโพดย่างเนย   

มูสเค้กชิ้นใหญ่สีขาวสวย เนื้อในเป็นมูสมะม่วงผสมกับเนื้อส้มได้รสเปรี้ยวหวานสดชื่น หอมกลิ่นวานิลลาจากดอยอาข่า สอดไส้แยมมะม่วงน้ำดอกไม้ กินคู่กับซอสส้มวานิลลาเข้ากันได้อย่างลงตัว   ส่วนผสม ไข่แดง 4 ฟอง | น้ำตาลทราย 180 กรัม | ไวต์ช็อกโกแลต 80 กรัม | วิปครีม 250 กรัม | น้ำมะม่วง 120 กรัม | น้ำส้ม 50 กรัม | ฝักวานิลลาจากดอยอาข่า 1 ฝัก (ขูดเฉพาะเนื้อ) | เจลาตินละลาย 2 ช้อนโต๊ะ | แยมมะม่วง 250 กรัม | เค้กชิฟฟอน (ตัดเป็นแผ่นบางทรงกลม) 1 ชิ้น   วิธีทำ ตีไข่แดงกับน้ำตาลทรายบนหม้อน้ำร้อน (Double Boiling) จนละลายเข้ากันดีและขึ้นฟูเล็กน้อย ใส่ไวต์ช็อกโกแลต คนให้ละลาย ยกออกจากหม้อน้ำร้อน ใส่วิปครีม น้ำมะม่วง น้ำส้ม เนื้อฝักวานิลลา และเจลาติน ตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน เทใส่พิมพ์ซิลิโคนครึ่งพิมพ์ ใส่แยมมะม่วง ใส่ครีม 3/4 ของพิมพ์ ปิดด้วยเนื้อเค้กชิฟฟอน นำไปแช่ในช่องแช่แข็งข้ามคืน ส่วนผสมและวิธีทำซอสส้มวานิลลา น้ำส้ม 1 ถ้วย | ไข่แดง 3 ฟอง | น้ำตาลทราย 80 กรัม | วิปปิงครีม 50 กรัม | เนื้อวานิลลา 1/2 ฝัก | เหล้าส้ม 1/2 ช้อนโต๊ะ ผสมส่วนผสมทั้งหมดบนหม้อน้ำร้อนจนส่วนผสมข้นขึ้น ปิดด้วยพลาสติกแรปให้แนบหน้า พักไว้ให้หายร้อน ส่วนผสมเกลซ ไวต์ช็อกโกแลต 180 กรัม | คอร์นไซรัป 150 กรัม | น้ำตาลทราย 80 กรัม | น้ำเปล่า 150 กรัม | เจลาตินละลาย 20 กรัม   วิธีทำ ต้มคอร์นไซรัป น้ำตาลทราย และน้ำเปล่าให้พอเดือด เทใส่ไวต์ช็อกโกแลตแล้วคนให้เข้ากัน ปั่นด้วยเครื่องปั่นมือถือจนเนื้อเนียน คลุมด้วยพลาสติกแรปให้แนบหน้า พักไว้ให้หายร้อน (อุณหภูมิ 26 องศาเซลเซียส) แกะมูสเค้กออกจากพิมพ์ วางบนตะแกรง ค่อยๆ ราดเกลซให้ทั่วชิ้น พักไว้ให้เซ็ตตัว ตกแต่งด้วยซอสส้มวานิลลา วิปครีม เนื้อส้มสดและดอกไม้กินได้ให้สวยงาม