เมนูผสมผสานอาหารไทยและเวสเทิร์น เนื้อสันในห่อด้วยดุกเซลเห็ดคลุกกับซอสพะแนงรสเข้มข้น คลุมด้วยแป้งพัฟและปาร์มาแฮม กับซอสพะแนงที่เชฟตั้งใจเสิร์ฟแบบเข้มข้น ส่วนผสมดุกเซลเห็ด (Mushroom Duxelles) เห็ดแชมปิญอง 100 กรัม | เห็ดนางรม 100 กรัม | หอมแดง 4 หัว | เนยจืด | เกลือทะเลและพริกไทยขาวป่น | แกงพะแนง   วิธีทำ  ผัดหอมแดงกับเนยจนสุกและนิ่ม ใส่เห็ดทั้ง 2 ชนิดที่สับละเอียด ผัดต่อจนแห้งสักครู่ ปรุงรสด้วยเกลือทะเลและพริกไทย ใส่พริกแกงพะแนง คลุกกับเห็ดให้เข้ากัน ชิมรส ปรุงตามชอบ เตรียมนำมาห่อเนื้อสันในเพื่อให้มีกลิ่นหอมของเครื่องแกงเพิ่มมากขึ้น ส่วนผสมแกงพะแนง พริกชี้ฟ้าแดงแห้งแช่น้ำ 40 กรัม | ตะไคร้ 30 กรัม | ข่า 15 กรัม | หอมแดง 30 กรัม | กระเทียมไทย 15 กรัม | ผิวมะกรูด 5 กรัม | รากผักชี 8 กรัม | เม็ดพริกไทยขาว 2 กรัม | ลูกผักชี 4 กรัม | เม็ดยี่หร่า 2 กรัม | ถั่วลิสงคั่วตำละเอียด 20 กรัม | เกลือทะเล 5 กรัม | กะปิ 10 กรัม | หัวกะทิ 300 กรัม | หางกะทิ 300 กรัม | น้ำตาลปี๊บ 30 กรัม | น้ำปลา 20 กรัม   วิธีทำ คั่วเม็ดพริกไทยขาว ลูกผักชี เกลือ และเม็ดยี่หร่าให้หอม ใส่ครกแล้วตำให้ละเอียด ใส่พริกชี้ฟ้า กะปิและสมุนไพร ตำรวมกันจนเนื้อเนียน ใส่ถั่วลิสง ตำให้พอเข้ากัน เตรียมไว้ เคี่ยวหัวกะทิให้แตกมัน ใส่พริกแกงพะแนงลงผัดจนหอมและแตกมันเล็กน้อย ใส่หางกะทิ ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บและน้ำปลา ส่วนผสมแป้งเครปสำหรับห่อเนื้อ แป้ง T55 หรือแป้งสาลีอเนกประสงค์ 130 กรัม | ไข่ 2 ฟอง | น้ำตาลทราย 20 กรัม | เกลือป่นเล็กน้อย | น้ำเปล่า 375 กรัม | น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ   วิธีทำ ผสมแป้ง น้ำตาลทราย และเกลือให้เข้ากัน ใส่ไข่และน้ำเปล่า ผสมให้เข้ากัน กรองผ่านกระชอนแล้วแช่ในตู้เย็นข้ามคืนก่อนนำมาใช้ ใส่น้ำมันพืชเป็นส่วนผสมอย่างสุดท้าย นำไปทอดในกระทะด้วยไฟอ่อน ให้แป้งเครปสุกมีสีเหลืองทอง พักไว้ให้เย็น เตรียมไว้ ส่วนผสมแป้งพัฟเพสตรี (Quick Puff Pastry) แป้ง T55 หรือแป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม | เกลือทะเล 5 กรัม | น้ำสะอาด 125 กรัม | เนยเย็น 200 กรัม   วิธีทำ ผสมแป้ง เกลือ น้ำสะอาด และเนย นวดให้เข้ากันเล็กน้อย จากนั้นนำมารีดให้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบ่งแป้งเป็น 3 ส่วน แล้วนำมาทบเข้าหากัน รีดแป้งให้เรียบ ทำซ้ำอีกประมาณ 4-5 รอบจนเห็นเป็นชั้น แช่ไว้ในตู้เย็น  ส่วนผสมและวิธีทำเนื้อสำหรับเตรียมห่อ เนื้อวัวส่วนสันใน 250 กรัม | เกลือทะเลและพริกไทย | น้ำมันพืช | โรสแมรี่สำหรับตกแต่ง โรยเกลือและพริกไทยให้ทั่วชิ้นเนื้อ นำลงจี่ในกระทะด้วยไฟแรงให้สุกเฉพาะผิวนอก รีดแป้งพัฟเพสตรีให้บาง 0.5 เซนติเมตร วางบนฟิล์มถนอมอาหาร วางแผ่นแป้งเครป ปาร์มาแฮม ปาดดุกเซลเห็ดให้บางประมาณ 1 เซนติเมตร วางเนื้อสันในแล้วม้วนให้แน่น นำเข้าช่องแช่แข็งเพื่อให้เซ็ตตัวประมาณ 15 นาที นำแป้งอีกชิ้นมาทำเป็นตาข่ายคลุมบนแป้งอีกชั้น ทาไข่ไก่ผสมกับครีมเล็กน้อย ตกแต่งด้วยโรสแมรี่ให้สวยงาม ปิดขอบตกแต่งให้เรียบร้อย นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส นาน 10 นาที หลังจากนั้นลดไฟลงเหลือ 180 องศาเซลเซียส แล้วอบต่อจนเนื้อในอุณหภูมิได้ 45 องศาเซลเซียส พักไว้ประมาณ 15-20 นาที วิธีจัดเสิร์ฟ หั่นพะแนงเนื้อเวลลิงตันจัดลงจาน ท็อปด้วยซอสพะแนงเข้มข้น ตกแต่งดอกไม้กินได้ให้สวยงาม 

ส่วนผสมมิโซะเด็งกะคุ (สำหรับ 4 ที่) มิโซะซากุระ (Sakura Miso) 120 กรัม | มิโซะขาว (White Miso) 50 กรัม | น้ำตาลทราย 100 กรัม | มิริน 15 มิลลิลิตร | เหล้าสาเก 15 กรัม | ไข่แดง 1 ฟอง | ใบโฮบะ 4 ใบ (สำหรับเสิร์ฟ) | ไม้เสียบ (Matsuba Skewer) 4 ไม้   วิธีทำ ผสมส่วนผสมทั้งหมดคนให้เข้ากันในหม้อใบเล็ก นำขึ้นตั้งไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน (ระวังมิโซะไหม้) ลดเป็นไฟอ่อนแล้วคนต่ออีกประมาณ 5 นาที ชิมรส ปิดไฟ แช่ใบโฮบะในน้ำ เตรียมไว้ ส่วนผสมสำหรับย่าง กุ้งลายเสือ 4 ตัว | เนื้อวากิวส่วนสันนอก 240 กรัม | มะเขือม่วงผลใหญ่หั่นชิ้นพอดีคำ (Aubergine) 1 ผล | เห็ดนางรมหลวงหั่นครึ่ง 1 ชิ้น | หน่อไม้ฝรั่ง 2 ชิ้น | มันฝรั่งหวานปอกเปลือกหั่นชิ้นพอดีคำ 4 ชิ้น | ไพน์นัตคั่วสำหรับโรยหน้าเล็กน้อย | เกลือทะเลสำหรับปรุงรส   วิธีทำ ผ่าหลังกุ้งและล้างให้สะอาด ต้มกุ้งในน้ำเดือดที่ใส่เกลือเล็กน้อยจนสุก ตักขึ้นพักไว้ในน้ำเย็นแล้วซับให้แห้ง เตรียมไว้ ปรุงรสเนื้อวากิวด้วยเกลือทะเลและพริกไทยเล็กน้อย ย่างบนกระทะให้พอขึ้นสีแล้วหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ วางบนถาด นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 5 นาที ให้สุกตามชอบ พักไว้ ทอดผัดต่างๆ ทีละชนิดให้สุกและสีเหลืองสวย พักไว้บนตะแกรง วางมิโซะเด็งกะคุตรงกลางใบโฮบะ ตามด้วยเนื้อวากิวย่าง กุ้งต้ม และเครื่องที่เตรียมไว้ ราดด้วยมิโซะอีกเล็กน้อย ห่อใบโฮบะแล้วกลัดด้วยก้าน นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 5 นาที จัดเสิร์ฟบนเตาย่าง

เนื้อวากิวเกรด A5 จากเมืองมัตสึซากะ ย่างกินคู่กับซอสมิโซะ รสเค็มหวานและอมเปรี้ยวจากบ๊วยดอง ตัดเลี่ยนด้วยชัตนีย์บ๊วยรสเปรี้ยวหวาน กินคู่กับผักย่างและหน่อไม้ญี่ปุ่นดอง เสิร์ฟบนหินร้อนเสียงฉู่ฉ่า   ส่วนผสมและวิธีทำซอสบ๊วยมิโซะ (สำหรับ 2 ที่) มิริน 1 ช้อนโต๊ะ | น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ | ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ | มิโซะ 3 ช้อนโต๊ะ | เนื้อบ๊วยดองสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันจนเนื้อข้นเล็กน้อย ชิมรสแล้วปรุงตามชอบ เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำชัตนีย์บ๊วย เนื้อบ๊วยหั่นเต๋า 1/4 ถ้วย | น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ | ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ | มิริน 1 ช้อนโต๊ะ | สาเก 2 ช้อนโต๊ะ เคี่ยวส่วนผสมทั้งหมดในหม้อใบเล็กด้วยไฟปานกลาง จนส่วนผสมงวดเล็กน้อย พักให้เย็น ส่วนผสมและวิธีย่าง เนื้อวากิวจากเมืองมัตสึซากะ 4-6 ชิ้น | เครื่องเคียงตามชอบ เช่น กระเจี๊ยบ เห็ดชิเมะจิ เห็ดชิตาเกะ เม็ดบ๊วยสีแดงและเขียว หอมหัวใหญ่ | ใบโฮบะแห้งแช่น้ำ 1-2 ใบ (สำหรับวางย่าง) ตักซอสบ๊วยมิโซะวางบนใบโฮบะประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ วางเนื้อวากิว ท็อปด้วยชัตนีย์บ๊วย วางเครื่องเคียงต่างๆ ที่ต้องการย่างไว้ข้างๆ นำขึ้นวางบนหินร้อน เสิร์ฟพร้อมหน่อไม้ญี่ปุ่นดอง

ฉ่ำนุ่มละมุนลิ้นด้วยเนื้อทอดระดับความสุกแบบแรร์ ราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บถูกปากสายเนื้อแน่นอน   ส่วนผสม เนื้อวัว (ชิ้นละ 150 กรัม) 2 ชิ้น ซอสปรุงรส 1 1/2 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่น 1 ช้อนชา เกลือป่น 1 ช้อนชา ผักสลัดตามชอบ น้ำมันพืชสำหรับทอด ส่วนผสมน้ำจิ้ม พริกขี้หนูเขียว/แดง 6 เม็ด กระเทียมกลีบใหญ่ 3 กลีบ      น้ำมะนาว 2 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ น้ำเชื่อม 2 ช้อนชา ต้นหอมซอย 1 ต้น วิธีทำ หมักเนื้อวัวด้วยซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทย และเกลือ คลุกให้เข้ากัน พักไว้ 20 นาที เตรียมน้ำจิ้มโดยผสมพริกขี้หนู กระเทียม น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำเชื่อม และต้นหอมซอย คนให้เข้ากัน ตั้งกระทะน้ำมันให้ร้อนจัด ใส่เนื้อลงทอดด้านละประมาณ 40 วินาที ให้เนื้อสุกแต่ผิวนอก ตักขึ้น หั่นเนื้อเป็นชิ้นพอคำ จัดใส่จานไว้ เทน้ำมันทอดออกให้เหลือประมาณ 1/2 ถ้วย ตั้งไฟให้ร้อน ใส่ซอสปรุงรสที่เหลือ พอซอสเดือด ยกลง ตักน้ำมันราดบนเนื้อให้ทั่ว เสิร์ฟกับผักสลัดและน้ำจิ้ม

เมนูไทยโบราณจากตำรับของท่านผู้หญิงกลีบ มหิธร ใส่ความร่วมสมัยโดยใช้เนื้อวากิวเคี่ยวกับเครื่องแกงจนนุ่ม หอมกลิ่นมะกรูดที่เป็นเอกลักษณ์ของแกงนี้ ส่วนผสม เนื้อวากิวหั่นเต๋าใหญ่ (ส่วนสะโพกหรือเนื้อส่วนที่มีมันแทรก) 800 กรัม กะทิ 600 กรัม พริกแกงเนื้ออร่อย 180 กรัม ใบมะกรูด 8 กรัม น้ำปลา 32 กรัม น้ำตาลมะพร้าว 30 กรัม ส่วนผสมเครื่องพริกแกง (1 สูตร จะได้พริกแกงประมาณ 340 กรัม) พริกชี้ฟ้าแห้งเม็ดใหญ่ (แช่น้ำ) 6 เม็ด เกลือไทย 1/4 ช้อนชา ข่า 1 ช้อนโต๊ะ ผิวมะกรูด 1 ช้อนโต๊ะ หอมแดง 2 ช้อนโต๊ะ กระเทียมไทย 3 ช้อนโต๊ะ กะปิ 1 ช้อนชา ลูกผักชีคั่วป่น 2 ช้อนชา ยี่หร่าคั่วป่น 1 ช้อนชา วิธีทำ ปั่นพริกชี้ฟ้าแห้ง ข่า ผิวมะกรูด หอมแดง และกระเทียมด้วยเครื่องปั่นให้ละเอียด ใส่เกลือ กะปิ ลูกผักชีและยี่หร่าคั่วป่น ปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้ นำเนื้อใส่ในหม้อ ใส่กะทิลงไปให้ท่วม ตั้งไฟปานกลางถึงอ่อน ตุ๋นจนเนื้อเปื่อยนุ่มแล้วตักเนื้อออก นำเนื้อตุ๋นใส่ในหม้อสำหรับแกง ตั้งไฟ ใส่น้ำกะทิที่ได้จากการตุ๋นเนื้อประมาณ 200 กรัม ผัดกะทิกับพริกแกงจนหอมและแตกมัน ใส่ใบมะกรูดฉีกลงไปเล็กน้อย ตักใส่ในหม้อเนื้อตุ๋น ปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำตาลมะพร้าว ใส่น้ำกะทิที่เหลือลงไปในหม้อ คนทุกอย่างให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตั้งแกงตุ๋นด้วยไฟอ่อนให้น้ำแกงซึมเข้าไปในเนื้อประมาณ 30 นาที จนเนื้อกับน้ำแกงเข้ากันดี ตักเสิร์ฟ ตกแต่งด้วยผลมะกรูดฝานบาง

คนที่ต้องการลดน้ำหนักหรืออยากลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วนน่าจะต้องรู้จักคีโตฯ ไดเอต (Ketogenic Diet) ซึ่งโดยหลักการบอกไว้ว่าภายใน 1 สัปดาห์ น้ำหนักจะลดลง 1-2 กิโลกรัม   หลักการของคีโตฯ ไดเอตนั้นขึ้นอยู่กับอาหารการกินล้วนๆ เพราะแนวความคิดนี้มีหลักการว่าต้องลดคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย และกินไขมันเพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานแทน เมื่อเราลดคาร์โบไฮเดรตร่างกายก็ต้องหาแหล่งพลังงานใหม่มาทดแทน นั่นก็คือไขมัน ไขมันที่ถูกเก็บสะสมไว้ก็จะถูกนำมาใช้เป็นพลังงานแทน น้ำหนักตัวเราจึงลดลง นอกจากคาร์โบไฮเดรตที่ให้กินข้าวได้วันละประมาณ 1 ทัพพี ขนมปังไม่เกิน 3 แผ่น น้ำตาลหรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน เช่น ชานมไข่มุก ก็อยู่ในข้อห้ามด้วย รวมทั้งผลไม้รสหวานโดยเฉพาะผลไม้อบแห้งที่มีน้ำตาลสูง พืชผักหัวที่มีน้ำตาลก็ไม่ควรกิน ถ้ากินผักก็ควรกินเฉพาะผักใบเขียว   ส่วนไขมันและโปรตีนกินได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นไขมันอิ่มตัวอย่างน้ำมันจากสัตว์ ไขมันไม่อิ่มตัวอย่างเนื้อปลา และโปรตีนชนิดต่างๆ ทั้งเนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว เป็นต้น สำหรับบางคนการกินคีโตฯ ไม่น่าจะยากเพราะอาหารอร่อยที่เป็นเนื้อสัตว์มีอยู่รอบๆ ตัว หาได้ไม่ยากเลย ตั้งแต่สเต๊ก ไก่ย่าง เป็ดย่าง หมูกรอบ หมูย่าง เบคอน และชีสต่างๆ หรือถ้าอยากทำก็ยังทำเองได้ง่ายๆ อย่างเช่นพัฟมัสมั่นเนื้อสูตรนี้ เนื้อวัว 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 250 กิโลแคลอรี มีโปรตีน 20 กรัม ส่วนไขมันขึ้นอยู่กับว่าเนื้อส่วนไหนและสายพันธุ์อะไร สายพันธุ์วากิวจะมีไขมันเหมือนลวดลายหินอ่อนแทรกอยู่ในเนื้อและมีระดับไขมันที่แตกต่างไป ถ้าต้องการไขมันน้อยและส่วนที่มีโปรตีนมากควรจะเลือกเนื้อสันส่วนบน เป็นต้น โปรตีนในเนื้อวัวช่วยพัฒนากล้ามเนื้อและรักษามวลกล้ามเนื้อในร่างกายได้อย่างดี ทั้งยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่ดีต่อร่างกายอีกหลากหลาย เช่น วิตามินบี 2 วิตามินบี 12 ช่วยในกระบวนการสร้างพลังงาน สังกะสี ช่วยให้ผม เล็บ และผิวหนังสุขภาพดี ทั้งยังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยรักษาฟันและกระดูกให้แข็งแรง เนื้อวัวยังมีธาตุเหล็กและสารอาหารที่สำคัญในการสร้างเม็ดเลือด และช่วยป้องกันโรคโลหิตจางด้วย   พัฟมัสมั่นเนื้อสูตรนี้อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมัน ทั้งจากไขมันที่ติดและแทรกอยู่ในเนื้อ เนื้อจึงนุ่มเมื่อนำมาเคี่ยวกับกะทิซึ่งมีไขมันจากพืชอยู่เต็มเปี่ยม กะทิ 100 กรัม มีไขมันประมาณ 24 กรัม เครื่องแกงมัสมั่นก็หอมกรุ่นไปด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศนานาชนิดที่ให้กลิ่นหอม ใส่มันฝรั่งเพื่อให้เคี้ยวได้นุ่มอร่อย ปิดด้วยแป้งพัฟที่มีเนยสอดแทรกระหว่างชั้นแป้งบางๆ เมื่อนำไปอบจึงพองและกรอบนุ่ม   เมนูนี้จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยไขมันและโปรตีน ทั้งไขมันจากเนื้อสัตว์และไขมันจากพืช ซึ่งเข้ากับหลักการและแนวทางของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักตามคีโตฯ ไดเอต แต่สำหรับคนที่มองหาเมนูอร่อยๆ เมนูนี้ก็ตอบโจทย์ แต่ต้องระวังไขมันในคนที่มีไขมันสูงอยู่แล้ว ส่วนผสม เนื้อวัวติดมันหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม 500 กรัม เครื่องแกงมัสมั่น 1/2 ถ้วย หัวกะทิ 2 ถ้วย มันฝรั่งหัวใหญ่ 1 หัว หอมแขกหั่นชิ้นสี่เหลี่ยม 3 หัว ถั่วลิสงคั่ว 1/3 ถ้วย น้ำตาลปี๊บ 1/4 ถ้วย น้ำส้มมะขาม 3-4 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 2-3 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่สำหรับทาหน้า 1 ฟอง แป้งพัฟสำเร็จรูป หอมเจียวสำหรับโรยหน้า วิธีทำ ผัดเนื้อกับน้ำมันเล็กน้อยให้ผิวเนื้อตึง ตักขึ้น ผัดเครื่องแกงกับหัวกะทิให้หอมและมัน ใส่เนื้อที่ผัดไว้ เติมน้ำเล็กน้อยให้พอท่วมเนื้อ ปิดฝา ต้มไฟอ่อน ต้มมันฝรั่งให้สุกประมาณ 70% พักให้เย็น หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเต๋าขนาดเท่าเนื้อ พอเนื้อเริ่มนุ่มใส่มันฝรั่ง หอมแขก ถั่วลิสง เติมกะทิหรือน้ำเล็กน้อย ต้มต่อรวมกันสักครู่ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ น้ำส้มมะขาม ชิมรสให้เข้มข้น ต้มต่อจนทุกอย่างสุกนุ่ม พักไว้ให้เย็น (ตักน้ำมันที่ลอยหน้าออก) ตักแกงมัสมั่นเนื้อใส่ถ้วยสำหรับอบ รีดแป้งพัฟแล้วนำมาปิดหน้า ตัดขอบให้พอดี ม้วนแป้งเพื่อเก็บขอบ ตีไข่ให้เข้ากัน ทาหน้าแป้งพัฟให้ทั่ว กรีดกากบาทแป้งตรงกลาง นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส นานประมาณ 20 นาทีจนหน้าสุกเหลืองสวย นำออกจากเตาอบ โรยหอมเจียว

เริ่มต้นปีใหม่ทั้งที โต๊ะอาหารที่บ้านต้องมีแต่ของอร่อย เริ่มจากเลือกสรรวัตถุดิบชั้นดีกันก่อนเลย อย่างเมนูข้าวผัดมันเนื้อจานนี้ที่เพิ่มความพิเศษด้วยผลิตภัณฑ์เนื้อและไวน์เกรดพรีเมียมจากออสเตรเลีย อัปเกรดเป็น Beef Fat Fried Rice with mussels, mozzarella, and Butter (ข้าวผัดมันเนื้อ ท็อปด้วยสเต็กเนื้อออสเตรเลีย หอยแมลงภู่อบเนยและมอสซาเรลล่าชีส) ซึ่งทำได้ง่ายและรวดเร็ว มอบรสชาติที่หอมอร่อยเหมาะกับอาหารมื้อพิเศษ โดยสามารถหาซื้อวัตถุดิบได้จากซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ ข้าวผัดมันเนื้อ ท็อปด้วยสเต็กเนื้อออสเตรเลีย หอยแมลงภู่อบเนยและมอสซาเรลล่าชีส ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) เนื้อวัวออสเตรเลียส่วนสะโพก 350-400 กรัม หอยแมลงภู่ออสเตรเลีย 4 ตัว เนยอลาวรี 10 กรัม ชีสมอสซาเรลล่าออสเตรเลียขูด 15 กรัม ข้าวสวย 1 ถ้วย (ประมาณ 250 กรัม) ซอสถั่วเหลือง 1 ½ ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียม 10 กรัม เกลือ ½ ช้อนโต๊ะ พริกไทย ½ ช้อนโต๊ะ วิธีทำ   1. วิธีปรุงและขั้นตอนการเตรียมเนื้อ นำเนื้อวัวออสเตรเลียส่วนสะโพกออกจากตู้เย็นมาวางพักไว้ที่อุณหภูมิห้อง 2-3 ชั่วโมงก่อนปรุง 2. เลาะส่วนไขมันออกจากชิ้นเนื้อและหั่นเป็นชิ้นเพื่อนำมาผัดกับข้าวสวย 3. ปรุงรสเนื้อด้วยเกลือและพริกไทย 4. อุ่นกระทะเคลือบหรือกระทะย่างด้วยไฟกลาง นำเนื้อลงย่างจนได้ระดับความสุกตามชอบ 5. ยกเนื้อขึ้นพักประมาณ 10-15 นาที (ใช้ภาชนะที่เก็บความอุ่นได้) หลังจากนั้นหั่นเป็นชิ้นสเต็กพอดีคำ เตรียมไว้ 6. วิธีปรุงและขั้นตอนการเตรียมข้าวผัด อุ่นกระทะใส่เนยออสเตรเลียและมันเนื้อและผัดพอส่งกลิ่นหอม ใส่ข้าวสวย ซอสถั่วเหลือง น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว และน้ำตาล ผัดข้าวประมาณ 3-4 นาที จนน้ำมันเนื้อและเนยเคลือบทั่วเมล็ดข้าวนำขึ้นพักไว้ในภาชนะที่เก็บรักษาความอุ่นได้ 7. ขั้นตอนการเตรียมหอยแมลงภู่และการจัดจาน เติมน้ำใส่หม้อนึ่งประมาณ 5 ซม. หรือ 1 นิ้ว ต้มให้เดือด ใส่หอยแมลงภู่ ต้มจนเปลือกหอยเปิดอ้าเล็กน้อย (แสดงว่าเนื้อหอยสุกแล้ว) 8. นำขึ้นจากหม้อและถอดเปลือกด้านหนึ่งออกทิ้ง 9. ทาเนยและกระเทียมบนเนื้อหอย โรยด้วยชีสมอสซาเรลลา พ่นไฟให้ชีสละลาย   วิธีจัดลงจาน ตักข้าวผัดใส่จาน วางเนื้อวัวย่างและหอยแมลงภู่ ตกแต่งด้วยดอกไม้กินได้และยกเสิร์ฟ ไวน์ออสเตรเลียสำหรับจับคู่กับเมนู Beef Fat Fried Rice with mussels, mozzarella and Butter อาหารจานนี้เหมาะทานคู่กับทั้งไวน์ Cabernet Sauvignon หรือ Shiraz พันธุ์องุ่นที่ใช้ผลิตไวน์ Shiraz มีการเพาะปลูกในแทบทุกเขตของออสเตรเลีย แต่ด้วยภูมิอากาศ ลักษณะดิน และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทำให้ไวน์ Shiraz จากออสเตรเลียขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายและคุณภาพที่ดีเยี่ยมระดับโลก ส่วนไวน์ Cabernet Sauvignon มีการผลิตและหาซื้อได้ทั่วประเทศออสเตรเลีย โดยมีทั้งระดับ Medium-bodied ไปจนถึง Fullbodied ซึ่งเป็นไวน์ที่ให้รสเข้ม แฝงความฝาดและความเปรี้ยวที่มอบความสดชื่น  

ชีวิตเร่งรีบของคนเมืองซึ่งต้องทำอะไรที่รวดเร็ว โดยเฉพาะอาหารที่ต้องปรุงในเวลาอันจำกัด และพกพาไปกินได้ด้วย การปรุงด้วยซอสสำเร็จที่มีติดครัวไว้ง่ายๆ จึงน่าจะช่วยได้เป็นอย่างดี   ฉบับนี้เรานำซอสไทยที่ปรุงกับอะไรก็อร่อยมาผสมผสานเป็นเมนูพกพาง่ายๆ กินแล้วอิ่มท้อง เช่น ซอสจิ้มแจ่วรสแซ่บคลุกกับเนื้อย่างและผักต่างๆ ใส่ในแป้งพิตา แซนด์วิชไส้อกไก่ฉีกคลุกซอสสะเต๊ะ รสเค็มมันหวานนิดๆ สอดไส้ชีส และแร็ปตอร์ติญาสโมกแซลมอนกินกับน้ำสลัดซอสศรีราชาและครีมชีส รสชาติเปรี้ยวเผ็ด หอมกลิ่นซอสพริก   เรียกได้ว่าเพียงซอสแค่ขวดเดียวก็ทำเมนูอร่อยและง่ายได้ไม่ซ้ำใคร   ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) เนื้อวัวส่วนสันคอ (น้ำหนัก 300 กรัม) 1 ชิ้น แป้งพิตาเบรด 2 แผ่น เกลือทะเล และพริกไทยดำบดหยาบสำหรับหมักเนื้อเล็กน้อย ส่วนผสมซอสหมักเนื้อ ซอสน้ำจิ้มแจ่ว 3/4 ถ้วย เนื้อวัวย่างหั่นชิ้นบาง 1 ถ้วย หอมแขกหั่นบาง 1/4 ถ้วย ใบสะระแหน่ 2 ช้อนโต๊ะ ผักชี 2 ช้อนโต๊ะ ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนโต๊ะ ข้าวคั่ว 2 ช้อนชา ผักสลัดมิกซ์ปริมาณตามชอบ วิธีทำ หมักเนื้อวัวด้วยเกลือและพริกไทย พักไว้ 10-15 นาที ตั้งกระทะให้ร้อนจัด ย่างเนื้อให้สุกตามชอบ ตักขึ้นพักไว้ 5 นาที หั่นเป็นชิ้น ในชามผสมใส่เนื้อย่าง ซอสแจ่ว หอมแขก สะระแหน่ ผักชี ผักชีฝรั่ง และข้าวคั่ว คลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรส ปรุงรสเพิ่มได้ตามชอบ เตรียมไว้ อุ่นแป้งพิตาเบรดโดยนาบกระทะให้ร้อน นำมาสไลซ์ด้านข้าง ใส่ผักสลัดมิกซ์และเนื้อย่าง

สตูเนื้อซี่โครงสีดำเข้มดูลึกลับจนคาดเดารสชาติได้ยาก สูตรนี้นำมาตุ๋นกับน้ำส้มและผิวส้ม รสชาติกลมกล่อมหอมสดชื่นจากผิวส้มและมะนาว หอมกลิ่นเครื่องเทศ ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่) เนื้อวัวส่วนติดซี่โครง (Short Ribs) 6 ชิ้น น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ หอมหัวใหญ่สับ 1 หัว กระเทียมบุบ 6 กลีบ เซเลรีสับ 3 ก้าน แครอตสับ 1 หัว มะเขือเทศบด (Tomato Paste) 1 1/2 ช้อนโต๊ะ ลูกผักชีป่น 1/4 ช้อนชา ยี่หร่าป่น 1/4 ช้อนชา พริกป่น 1/2 ช้อนชา ออริกาโน 4 กิ่ง ผิวส้ม 2 ผล น้ำส้มคั้นสด 1/2 ถ้วย น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า ประมาณ 3 ถ้วย เกลือทะเล และพริกไทยดำบดหยาบสำหรับปรุงรส ผิวส้มขูด และผักชีสำหรับตกแต่ง วิธีทำ ปรุงรสเนื้อด้วยเกลือและพริกไทยเรียงไว้บนถาด แช่เย็นไว้ (ไม่ต้องปิด) อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือข้ามคืน ใส่น้ำมันในหม้อก้นหนา นำเนื้อลงนาบให้มีสีน้ำตาลสวย (ด้านละ 5 นาที) ตักขึ้น พักไว้ ในหม้อใบเดิมผัดหอมหัวใหญ่ กระเทียม เซเลรี และแครอตพอสลด ใส่มะเขือเทศบด ลูกผักชี ยี่หร่า และพริกป่น ผัดจนผักสุกนุ่ม กลิ่นหอม มะเขือเทศบดเป็นสีน้ำตาลเข้ม ใส่เนื้อและน้ำที่ได้จากการย่างเนื้อ ใส่ออริกาโน ผิวส้ม น้ำส้ม และน้ำเปล่าพอท่วมเนื้อ ต้มให้เดือด ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย ปิดฝา นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส ประมาณ 2-3 ชั่วโมงจนเนื้อนุ่ม ยกออกจากเตา ใส่น้ำมะนาว โรยด้วยผิวส้มขูด และผักชีก่อนเสิร์ฟ

  แกงอ่อมเนื้อสไตล์อีสาน เมนูทำง่าย อร่อย เลือกเนื้อติดมันนิดๆ ผัดกับพริกแกงที่เต็มไปด้วยสมุนไพร ใส่น้ำปลาร้า ผัดจนเนื้อมีกลิ่นหอม เติมผักพื้นบ้านให้แกงชามนี้มีรสอร่อยจากธรรมชาติ   ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่) เนื้อสันนอกผสมเนื้อติดมันหั่นชิ้นพอคำ 500 กรัม ตะไคร้ซอย 1/2 ถ้วย พริกแห้งเม็ดเล็กแช่น้ำ 15 เม็ด ข่าหั่นชิ้นเล็ก 2 ช้อนโต๊ะ หอมแดง 1/2 ถ้วย ใบมะกรูด 5 ใบ น้ำปลาร้า 1/4 ถ้วย ข้าวคั่ว 1-2 ช้อนโต๊ะ มะเขือเปราะผ่า 4 (แช่น้ำเกลือ) 6-8 ผล ผักกาดหิ่น ผักกวางตุ้งดอก ต้นหอม ผักชีลาว และใบแมงลัก ปริมาณตามชอบ วิธีทำ ตำตะไคร้ พริกแห้ง ข่า และหอมแดงให้แหลกพอหยาบๆ ใส่เครื่องที่ตำลงในหม้อ คั่วให้พอมีกลิ่นหอม ใส่เนื้อ น้ำปลาร้า และใบมะกรูด รวนให้เนื้อพอสุกและมีกลิ่นหอม เติมน้ำเปล่าให้พอท่วมเนื้อ ต้มจนเนื้อนุ่ม (ถ้าน้ำน้อยค่อยๆ เติม) พอน้ำเดือด ใส่มะเขือเปราะ ปิดฝาให้เนื้อและมะเขือสุก ใส่ผักกาดหิ่น ผักกวางตุ้งดอก ต้นหอม ผักชีลาว และใบแมงลัก ต้มจนผักสุก ชิมและปรุงรสเพิ่มตามชอบ ใส่ข้าวคั่ว คนให้เข้ากัน ตักใส่ชาม

ตัวอักษรสีแดงที่เขียนว่า “ร้านลาบ” ยังไม่สะดุดตาเท่ากับสไตล์ของร้านที่ดูแปลกหูแปลกตาไปจากขนบร้านลาบแบบเดิมๆ คุณวูดดี้-วัชรพงษ์ สวัสดิ์วงศ์ไชย นักร้องนำจากวง ON THE PLATEAU พื้นเพเป็นคนขอนแก่น และเป็นเจ้าของร้านลาบกรุงที่ตั้งอยู่บนถนนลาดปลาเค้า แล้วยังเป็นเจ้าของสูตรอาหารที่อยู่ภายในร้านนี้ทั้งหมด   ร้านลาบกรุงที่เราเห็นในทุกวันนี้เป็นร้านในเวอร์ชันที่ 2 หลังจากเหล่าคนรู้จักของคุณวูดดี้มาร่วมไม้ร่วมมือกันเนรมิตห้องแถวหน้าตาเดิมๆ ให้กลายเป็นร้านลาบถูกใจวัยรุ่น ภาพถ่ายของหญิงสาวในชุดวาบหวิวทำหน้าตาเอร็ดอร่อยกับเมนูลาบและต้มแซ่บในมือ เพิ่มบรรยากาศความสนุกสนานให้ร้านอีกเป็นเท่าตัว     สำหรับร้านลาบกรุงในเวอร์ชันเริ่มแรกนั้นเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดอย่างหนักหน่วงในช่วงปีก่อน อาชีพนักร้องกลางคืนนั้นสร้างรายได้เป็นศูนย์ คุณวูดดี้จึงนำความรู้ติดตัวนั่นคือการทำอาหารอีสาน ซึ่งเมนูโปรดของเขาคือ “เสือคั่ว” มาทำกินเองและขายให้กับแวดวงคนรู้จัก ส่งฟรีในระยะ 10 กิโลเมตร “บางคนอยู่ไกลกว่านั้น 20-30 กิโลเมตรผมก็ไปส่ง เพราะอยากให้เขาได้กินอาหารฝีมือเรา” จากนั้นคุณวูดดี้จึงชวนคุณแม่จากจังหวัดขอนแก่นมาเปิดร้านลาบกรุงเป็นครั้งแรกในห้องแถวแห่งนี้ที่เรานั่งคุยกันอยู่นี่เอง   “ผมทำอาหารได้ แต่ขายไม่เป็น” จึงได้รับความช่วยเหลือจากคนรู้จักในแวดวงดนตรีมาช่วยกันรีโนเวตร้านใหม่ จนกลายเป็นลาบกรุงอย่างที่เป็นในวันนี้ แต่ภายใต้ใบหน้าที่ดูวัยรุ่น เมนูอาหารทุกอย่างยังคงรสชาติแบบอีสานไว้ไม่มีเปลี่ยน   แน่นอนว่าเมนูเริ่มแรกของร้านอย่าง “เสือคั่ว” กลายเป็นเมนูยอดนิยมของร้านตลอดกาลที่จัดเต็มทั้งเลือดวัวและดีวัว ผสมผสานกับเนื้อส่วนเสือร้องไห้ซึ่งมีสัมผัสเหนียวเด้งสู้ฟัน เคล้ากลิ่นหอมของข้าวคั่วผสานสมุนไพรท้องถิ่นอย่างใบมะกรูด ต้นหอม และผักชีใบเลื่อย   “อาหารอีสานที่ผมทำ ผมขอไม่อิงกับอีสานแบบต้นตำรับ แต่เป็นอาหารอีสานในแบบที่ผมและคนในครอบครัวกินจริงๆ”   เพราะฉะนั้นเรื่องรสชาติความเป็นอีสานไว้ใจหนุ่มขอนแก่นคนนี้ได้เลย     เสือคั่ว ส่วนผสม เนื้อติดมัน 100 กรัม พริกป่น 3/4 ช้อนโต๊ะ ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 2/4 ช้อนโต๊ะ ผงชูรส 1/4 ช้อนโต๊ะ ดีวัว 2/4 ช้อนโต๊ะ เลือดวัวสด 2 ช้อนโต๊ะ ใบมะกรูดซอย ต้นหอมซอย ผักชีใบเลื่อยซอย วิธีทำ ใส่เนื้อติดมันในหม้อลาบ ตามด้วยน้ำสต๊อกเล็กน้อย ปรุงด้วยพริก ข้าวคั่ว น้ำปลา ผงชูรส และดีวัว แล้วคั่วจนสุก ใส่ใบมะกรูดซอยและเลือดวัวสด คั่วด้วยไฟอ่อนจนเลือดข้น ปิดไฟ ใส่ต้นหอมซอยและผักชีใบเลื่อย คลุกให้เข้ากัน ชิมรส ตักใส่จานแล้วโรยหน้าด้วยผักชีใบเลื่อย

  สตูเนื้อเมนูสำหรับครอบครัว สูตรนี้ตุ๋นเนื้อกับกาแฟและเบียร์ดำจนนุ่ม ใส่ลูกพรุนเพิ่มรสจะได้สตูสีเข้ม รสชาติเข้มข้นอร่อย เสิร์ฟพร้อมกับขนมปังหรือมันฝรั่งบด   ส่วนผสม (สำหรับ 4-6 ที่) เนื้อวัวสำหรับทำสตูหั่นชิ้นประมาณ 1 1/2 นิ้ว 700 กรัม น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ หอมหัวใหญ่สับ 1 หัว แครอตสับ 1/2 หัว เซเลรีสับ 1 ก้าน กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ เบคอนอิตาเลียนหั่นเต๋า 200 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 3 ช้อนโต๊ะ เบียร์ดำ 1 ขวด (375 มิลลิลิตร)       มะเขือเทศบด (Tomato Paste) 4 ช้อนโต๊ะ น้ำสต๊อก 1 ถ้วย ใบเบย์ 2 ใบ กาแฟเอสเปรสโซ ตราเซกาเฟรโด ซาเนตติ เอ็กซ์ตร้าสตรอง พักให้เย็น 350 มิลลิลิตร มันฝรั่งหัวเล็ก 8 หัว แครอตหั่นแว่น 1 หัว ลูกพรุนสับหยาบ 5 ผล เกลือทะเล และพริกไทยดำบดหยาบสำหรับปรุงรส อิตาเลียนพาร์สลีย์สำหรับโรยหน้า ขนมปังสำหรับเสิร์ฟ วิธีทำ ใส่น้ำมันมะกอกในหม้อก้นหนา ใส่เนื้อวัวลงผัดให้มีสีเหลืองน้ำตาล ตักขึ้นพักไว้ ในหม้อใบเดิมใส่หอมหัวใหญ่ลงผัดพอสุกใส ใส่กระเทียมลงผัดให้มีกลิ่นหอม ใส่แครอตสับและเซเลรี ผัดต่อจนสุก ใส่เบคอนลงผัดต่อจนเหลืองหอม เติมแป้งสาลี ผัดสักครู่ ใส่มะเขือเทศบด และเนื้อลงผัดให้ทั่ว ค่อยๆ เติมเบียร์ดำ น้ำกาแฟ และน้ำสต๊อก คนให้เข้ากัน ใส่ใบเบย์ ปิดฝาต้มไฟอ่อนประมาณ 2 ชั่วโมงจนสุกนุ่ม ใส่มันฝรั่ง แครอตหั่นแว่น และลูกพรุน ต้มต่อจนสุกทั่ว ชิมและปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย โรยอิตาเลียนพาร์สลีย์ เสิร์ฟกับขนมปังตามชอบ

  เนื้อย่างสไตล์ญี่ปุ่น เลือกเนื้อส่วนที่ชอบย่างบนเตาพร้อมผัก อร่อยเด็ดที่น้ำจิ้มหลากรสชาติ ทั้งน้ำจิ้มเนื้อย่างรสเค็มหวาน น้ำจิ้มพริกเขียวผสมยูซุกลิ่นหอม และวาซาบิดองรสเผ็ดฉุน   ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่) เนื้อวัวสไลซ์สำหรับย่างประมาณ 400-500 กรัม ผักสำหรับย่าง เช่น กระเจี๊ยบเขียว เห็ดออรินจิ ฟักทองญี่ปุ่น มันฝรั่ง มะเขือเทศเชอร์รี ปริมาณตามชอบ น้ำจิ้ม เช่น น้ำจิ้มเนื้อย่าง น้ำจิ้มยูซุพริกเขียว วาซาบิดอง วิธีทำ ตั้งกระทะหรือเตาสำหรับย่างพอร้อน วางเนื้อลงย่างให้สุกตามความชอบ ย่างผักทั้งหมดให้สุก จัดใส่จานสำหรับเสิร์ฟ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม

  เมนูแดดเดียว อาหารที่เหมาะกับสถานการณ์โควิด19  เนื่องจากสามารถเก็บไว้ได้นาน วิธีการทำก็ง่าย สูตรนี้สามารถใช้เตาอบแทนการตากแดดแทนได้ จับคู่กับข้าวเหนียวและน้ำจิ้มแจ่วสุดแซ่บ เข้ากันเป็นที่สุด   ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่) เนื้อวัวติดมัน  650 กรัม น้ำปลา  3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา ลูกผักชีคั่วตำละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ แล่เนื้อวัวเป็นชิ้นบางใส่ชามผสม ปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำปลา เกลือ และลูกผักชี คลุกให้เข้ากันจนแห้ง พักไว้ 10 นาที เรียงเนื้อบนตะแกรง นำไปตากแดดจัดประมาณ 1-2 ชั่วโมงจนแห้ง กลับอีกด้านตากต่ออีก 1 ชั่วโมงให้แห้ง (หรือนำเข้าเตาอบใช้พัดลมอย่างเดียวอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ประมาณ 2 ชั่วโมงก็แห้ง) ตั้งหม้อน้ำมันให้ร้อน ใส่เนื้อเค็มลงทอดให้สุก ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จานเสิร์ฟกับข้าวเหนียว และน้ำจิ้มแจ่ว

  แก้มวัวเคี่ยวกับน้ำพริกแกงขี้เหล็กที่ตำเองจนนุ่ม รสเค็มเผ็ด กลิ่นหอม และรสของใบขี้เหล็กที่ไม่ขมมาก   ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) แก้มวัวไทยตุ๋น พริกแกงขี้เหล็ก ใบและดอกขี้เหล็ก 1 ถ้วย กะทิสด 1 ถ้วย น้ำคั้นใบย่านาง 1 ถ้วย น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำปลาอย่างดี 2 ช้อนโต๊ะ ปลาอินทรีเค็มทอดโขลกละเอียด 1 ชิ้นเล็ก ส่วนผสมและวิธีทำน้ำพริกแกงขี้เหล็ก พริกแห้งเอาเมล็ดออกแช่น้ำ 10-12 เม็ด โขลกกับพริกกะเหรี่ยงแดง 5 เม็ด (ปรับรสเผ็ดมากน้อยได้ตามชอบ) กระเทียมไทย 1 หัว หอมแดง 3-4 หัว กระชายครึ่งราก ข่าแก่หั่นซอย 3-4 แว่น ตะไคร้ซอย 1 ต้น ผิวมะกรูด 1-2 ผล กะปิเคยใต้ 1 ช้อนชา เกลือแกงหรือดีเกลือ 1/2 ช้อนชา วิธีทำ ล้างแก้มวัวให้สะอาด จี่บนกระทะใช้ไฟแรง พอเริ่มตึงนำไปต้มกับเครื่องสมุนไพร เช่น หอมแดง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด อย่างละเล็กน้อยจนเนื้อแก้มวัวเปื่อย (แต่ไม่เละ) ใส่กะทิและพริกแกงลงหม้อ เคี่ยวจนแตกมัน ใส่ส่วนผสมที่เหลือทั้งหมด เคี่ยวต่อด้วยไฟอ่อนจนแก้มวัวเปื่อยตามที่ต้องการ ชิมรส

  ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่ช่วยให้เจริญอาหาร แก้ท้องอืด เมนูนี้นำตะไคร้มาหมักกับเนื้อ ใส่ขมิ้นและกระเทียมเพิ่มแล้วนำมาย่าง กลิ่นหอมกรุ่น เสิร์ฟกับอาจาดตะไคร้รสเปรี้ยวหวาน แนมกับผักสดได้ประโยชน์เต็มเปี่ยม   ส่วนผสม (สำหรับ 4-6 ที่) เนื้อสันนอกส่วนติดมันสไลซ์บางเหมือนเนื้อสะเต๊ะ 500 กรัม ผักสำหรับเสิร์ฟ เช่น ผักแพว ผักกาดคอส ผักชีฝรั่ง แตงกวา ใบชะพลู ส่วนผสมสำหรับหมัก ตะไคร้สับประมาณ 1 ถ้วย กระเทียมสับ 1/3 ถ้วย น้ำมันขมิ้นชัน 2 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา เกลือทะเล 1/2 ช้อนชา น้ำปลา 1 ช้อนชา ส่วนผสมอาจาดตะไคร้ หอมแดงซอย แตงกวาซอย ตะไคร้ซอย และพริกชี้ฟ้าแดงหั่นชิ้นเล็กอย่างละเล็กน้อย น้ำส้มสายชูหมัก 1/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะพูน เกลือป่นเล็กน้อย วิธีทำ หมักเนื้อกับส่วนผสมหมักทั้งหมด เคล้าให้เข้ากัน แช่เย็นไว้ 1 คืน นำมาเสียบไม้เตรียมไว้ ทำอาจาดโดยผสมน้ำส้มสายชูหมัก น้ำตาล และเกลือ คนให้ละลายเข้ากัน ใส่ลงในส่วนผสมผัก ย่างเนื้อบนกระทะย่างให้สุก เสิร์ฟพร้อมอาจาดและผักตามชอบ

“อยากทำแต่ไม่อยากกิน” เชฟเทเบิลชื่อกวนๆ ของเชฟบิ๊ก-อรรถสิทธิ์ พัฒนเสถียรกุล เชฟหนุ่มหน้าตี๋ที่เปิดชั้น 2 ของโรงพิมพ์ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวให้เป็นเชฟเทเบิลเล็กๆ แต่ฮิตจนคิวจองยาวหลายเดือน   แม้จะหน้าตาละอ่อนแต่เชฟบิ๊กก็มีประสบการณ์สายครัวมาอย่างเข้มข้น เขาเรียนจบปริญญาโทด้านการบริหารโรงแรมจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่ไม่อยากอยู่หน้าแท่นพิมพ์กิจการของที่บ้าน จึงออกหาประสบการณ์หน้าเตาแทน เขาทำงานที่ร้านอาหารดังๆ ในยุโรป รวมทั้งร้านของเชฟมิชลินสตาร์ชื่อดังในเมืองไทยอย่างเชฟกากั้นมาแล้ว     เมื่อช่วงล็อกดาวน์โควิดปีที่แล้วเชฟบิ๊กได้เปิดครัวที่บ้านทำเมนูเดลิเวอรี เช่น เมนูพาสตา สเต๊ก อุนิ ฟัวกราส์ และหอยเป๋าฮื้อ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีราคาแพง แต่ก็มีคนสั่งแบบไม่ขาดสาย เมื่อได้ผลตอบรับดีเชฟจึงปรับให้เป็นเชฟเทเบิลในที่สุด   นอกจากอาหารฝรั่งเศสคลาสสิกซึ่งเป็นทีเด็ดของเชฟบิ๊กแล้ว ความสนุกสนานเป็นกันเองของเชฟที่เราสามารถนั่งคุยกันแบบใกล้ชิดติดขอบเตาเป็นอีกเสน่ห์ของร้านเชฟเทเบิลเล็กๆ แห่งนี้ ครัวของเชฟมีแค่เตาแก๊ส เตาอบมาตรฐาน และโต๊ะรับประทานอาหารเพียงแค่โต๊ะเดียว รับลูกค้าได้สูงสุดรอบละ 9 คนเท่านั้น จึงเป็นเชฟเทเบิลที่อบอุ่นกะทัดรัดและเชฟใส่ใจปรุงอาหารแบบจานต่อจานได้อย่างไม่มีผิดพลาด   เห็นได้จากจานไฮไลต์อย่าง Beef Wellington เชฟทำออกมาได้สมบูรณ์แบบ เนื้อสันในส่วนฟิเลมิยองที่ย่างจนมีกลิ่นหอมทาด้วยมัสตาร์ด ห่อด้วยเห็ดและผักโขมที่ผัดกับเนย หุ้มด้วยแป้งพัฟเพสตรี แล้วอบจนแป้งชั้นนอกฟูเหลืองกรอบ เนื้อในอุณหภูมิที่ 40 องศาเซลเซียส นำออกมาพักแล้วหั่นเป็นชิ้น เนื้อยังมีสีชมพูเรื่อๆ เสิร์ฟพร้อมซอสทรัฟเฟิลรสเข้มข้นเข้ากัน   เป็นเมนูสุดเพอร์เฟกต์ที่ผ่านการทำแบบใส่ใจ     Beef Wellington ส่วนผสม (สำหรับ 2-4 ที่) เนื้อสันในส่วนฟิเลมิยอง 500 กรัม แป้งพัฟเพสตรี (Puff Pastry) 200 กรัม เห็ดแชมปิญอง 300 กรัม ผักโขม 100 กรัม มัสตาร์ด 1 ช้อนโต๊ะ เกลือทะเลและพริกไทยดำบดสำหรับปรุงรส ไวน์ขาวและเนยจืดสำหรับผัด ไข่ไก่ตีให้เข้ากันสำหรับทาแป้ง วิธีทำ ตัดแต่งเนื้อสันในให้เป็นทรงสวย ย่างในกระทะด้วยไฟแรงจนเนื้อเป็นสีน้ำตาลสวยและมีกลิ่นหอม (ระวังเนื้อในสุก) ระหว่างที่เนื้อร้อนระอุอยู่ทาด้วยมัสตาร์ดให้ทั่วชิ้น สับเห็ดแชมปิญองให้ละเอียด ผัดกับเนยจนน้ำระเหยและแห้ง พักไว้ ผัดผักโขมกับเนยพอสลด ใส่ไวน์ขาวเล็กน้อยเพื่อให้มีกลิ่นหอม พักไว้ รีดแป้งพัฟเพสตรีให้หนา 0.5 เซนติเมตร ตักเห็ดและผักโขมที่ผัดแล้วลงบนแป้ง ปาดให้ทั่ว วางเนื้อสันใน ห่อให้มิด ทาไข่ให้แป้งติดกัน นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียสนาน 35 นาที หรือจนกว่าอุณหภูมิข้างในเนื้อร้อนถึง 40 องศาเซลเซียสและแป้งพัฟเป็นสีเหลืองทอง ยกเนื้อออกจากเตา พักไว้ 20 นาทีแล้วจึงหั่นเสิร์ฟ

  สเต๊กเนื้อไทยสูตรนี้หมักด้วยโชยุ วูสเตอร์ซอส และน้ำส้มสายชูบัลซามิก ทำให้ได้รสเข้มข้น ย่างแล้วมีกลิ่นหอม เสิร์ฟร้อนๆ พร้อมกับเนยกระเทียมและสมุนไพรสด เมื่อเนยละลายเนื้อจะชุ่มฉ่ำอร่อยไม่แพ้เนื้อนำเข้า   ส่วนผสม (สำหรับ 2-4 ที่) เนื้อสเต๊กสันนอกและริบอาย 2 ชิ้น ส่วนผสมสำหรับหมัก น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ โชยุ 2 ช้อนโต๊ะ วูสเตอร์ซอส 2 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชูบัลซามิก 2 ช้อนโต๊ะ กระเทียมบุบ 3 กลีบ ไทม์แห้ง 1/4 ช้อนชา ปาปริกาป่น 1/4 ช้อนชา เกลือทะเลและพริกไทยดำบดอย่างละ 1/4 ช้อนชา ส่วนผสมเนยกระเทียม เนยจืดพักไว้ให้นุ่ม 1 ก้อน (225 กรัม) กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นและพริกไทยป่นอย่างละ 1/4 ช้อนชา สมุนไพรสับ เช่น พาร์สลีย์ โรสแมรี่ ออริกาโน รวมกัน 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ทำเนยกระเทียมโดยผสมเนยนุ่ม กระเทียมสับ เกลือ พริกไทย และสมุนไพรให้เข้ากัน ตักใส่กระดาษไขหรือพลาสติกแร็ปแล้วม้วนให้เป็นแท่ง แช่เย็นไว้ 1-2 ชั่วโมงจนแข็งดี หั่นเป็นชิ้นหนาประมาณ 1 เซนติเมตร ผสมส่วนผสมสำหรับหมัก ใส่เนื้อลงหมักนาน 30 นาที ย่างเนื้อให้สุกปานกลางหรือสุกตามชอบ ตักขึ้น วางเนยกระเทียมขณะที่เนื้อยังร้อนอยู่ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงตามชอบ

เมื่อคิดถึงเนื้อ ทุกคนมักจะนึกถึงสเต๊ก สตู หรือผัดและแกงต่างๆ แต่มีอาหารจานหนึ่งที่คนฝรั่งเศสนิยมทำทานกันที่บ้าน เมนูนี้มีชื่อว่า Boeuf à la Ficelle แปลตรงๆ ว่า “เนื้อผูกเชือก”   Boeuf à la Ficelle เป็นคอมฟอร์ตฟู้ด (Comfort Food) ของพวกฝรั่งเศส ทำง่ายและเร็ว คล้ายกับ Boeuf à la Mode หรือ Pot Roast ของชาวอเมริกัน และ Tafelspitz ของออสเตรีย ในอดีตมักทานกันช่วงอากาศหนาวเย็น ปัจจุบันทานกันตลอดปี เนื้อที่ใช้เป็นเนื้อที่ไม่เหนียว เช่น เนื้อสันใน เพราะใช้เวลาต้มเพียง 20 นาที ขณะที่เนื้อต้มของประเทศอื่นใช้เวลาต้มหลายชั่วโมง และใช้เนื้อส่วนไหนก็ได้แล้วแต่ชอบ ปัจจุบันมีเสิร์ฟตามร้านอาหารชั้นดีโดยใช้เนื้อวากิวและเนื้อดีๆ อย่างอื่น   วิธีทำอาหารจานนี้เป็นไปตามคำแปลคือต้องนำเนื้อมาผูกเชือกหรือมัดก่อน เมื่อต้มสุกแล้วเนื้อจึงจะยังเป็นชิ้นสวย และต้องไม่ให้เนื้อแตะก้นหม้อ เพราะจะทำให้เนื้อกระด้าง จึงต้องผูกเนื้อกับไม้เพื่อให้เนื้อลอยในน้ำซุป เมื่อต้มสุกก็หั่นเป็นชิ้น วางคู่กับผักที่ต้ม ทานเป็นอาหารจานหลักหลังจากทานน้ำซุปที่ต้มเนื้อแล้ว   จัดเป็นอาหารฝรั่งเศสง่ายๆ ที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นได้อย่างดี       Boeuf à la Ficelle (Beef on a String) ส่วนผสม เนื้อสันใน แครอตหั่นชิ้นใหญ่ ต้นลีกหั่นแล้วผูกเชือก หัวไช้เท้า หอมหัวใหญ่ปักกานพลู 2-3 ดอก ซุกกินี มันฝรั่ง น้ำซุปเนื้อ เกลือ พริกไทย  และเบย์ลีฟ วิธีทำ ใช้เชือก (สำหรับทำอาหาร) มัดเนื้อทั้งชิ้นให้อยู่ทรง ผูกเชือกกับไม้ (ที่ยาวพาดบนปากหม้อได้)ประเมินให้เนื้อจมลงในน้ำซุปแต่ไม่แตะก้นหม้อ พักไว้ ต้มน้ำซุปเนื้อกับผักต่างๆ และเบย์ลีฟโดยใช้ไฟปานกลาง เติมเกลือ พริกไทย ชิมให้ได้รสจัด ต้มจนผักสุก ใส่เนื้อที่เตรียมไว้ลงต้ม (เนื้อน้ำหนัก 100 กรัมต้ม 5-8 นาที) ต้มจนสุกตามชอบ เมื่อเนื้อสุกตามชอบแล้วตักใส่จานเสิร์ฟ ตัดเชือกทิ้ง หั่นเป็นชิ้น วางผักรอบจาน คลุมด้วยฟอยล์ พักไว้  นำน้ำซุปตั้งไฟให้ร้อนจัด เติม Dry Sherry ตามชอบ ทานซุปก่อนทานเนื้อ  

  ยำเนื้อย่างรสจัดจ้านแบบไทย ใช้เนื้อสันส่วนคอนุ่มๆ มีไขมันแทรก ย่างแล้วสไลซ์บาง ยำกับแตงกวาและหอมแขก ใส่ถั่ว Great Northern Beans เม็ดขาวอวบเคี้ยวมัน ช่วยผสานรสให้ยำจานนี้นัวอร่อย   ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) เนื้อวัวส่วนสันคอ น้ำหนัก 200 กรัม 1 ชิ้น ถั่ว Great Northern Beans ต้มสุก 1 ถ้วย แตงกวาหั่นแฉลบ 2 ผล ผักชีซอย 1 ต้น มะเขือเทศสีดาหั่นเสี้ยว 4 ผล หอมแขกสไลซ์ 1 หัว เกลือป่นและพริกไทยป่นสำหรับหมักเนื้อเล็กน้อย น้ำมันพืชเล็กน้อย ส่วนผสมน้ำยำ น้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูแดงหั่นแฉลบ 3-4 เม็ด เกลือป่นเล็กน้อย ผสมส่วนผสมให้เข้ากัน ปรุงรสเพิ่มตามชอบ วิธีทำ หมักเนื้อวัวด้วยเกลือและพริกไทย พักไว้ 1 ชั่วโมง ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันเล็กน้อย รอจนกระทะร้อนใส่เนื้อลงย่างให้สุกปานกลาง ตักขึ้น พักเนื้อไว้ 5 นาที สไลซ์เป็นชิ้นบาง ทำยำโดยเคล้าถั่ว Great Northern Beans กับแตงกวา มะเขือเทศสีดา หอมแขก เนื้อย่าง และผักชีซอย ใส่น้ำยำ เคล้าเบาๆ ให้เข้ากัน เสิร์ฟทันที