ส่วนผสมและวิธีทำครัวซองต์ (สำหรับ 4 ที่) แป้ง T45 860 กรัม เกลือป่น 17 กรัม น้ำตาลทราย 70 กรัม น้ำตาลมะพร้าว 30 กรัม น้ำผึ้ง 20 กรัม กะทิ 360 กรัม ผิวมะกรูด 10 กรัม ยีสต์ 45 กรัม น้ำ 150 กรัม ดรายบัตเตอร์ (Dry Butter) 500 กรัม ผสมส่วนผสมทั้งหมดลงในโถตี ยกเว้นดรายบัตเตอร์ ตีผสมด้วยหัวตีตะขอ ใช้ความเร็วต่ำประมาณ 5 นาที จากนั้นตีด้วยความเร็วปานกลาง 12-15 นาที พักโดข้ามคืนในตู้เย็น รีดแป้งโดเป็นแผ่น วางดรายบัตเตอร์ที่รีดเป็นแผ่นไว้ตรงกลางแป้งโด พับแป้งด้านข้างมาทับดรายบัตเตอร์ให้แป้งห่อดรายบัตเตอร์ รีดดรายบัตเตอร์ให้ทั่วแผ่นแป้งโดและพับแบบดับเบิลเทิร์น (Double Turn) นำเข้าพักในตู้เย็น 30 นาที แล้วจึงรีดแป้งและพับแบบซิงเกิลเทิร์น (Single Turn) พักแป้งในตู้เย็นไว้ 30 นาที ก่อนนำมารีดขั้นตอนสุดท้าย รีดแป้งบาง 3 มม. ตัดเป็นทรงสามเหลี่ยม ขนาด 38x8 ซม.ม้วนแป้งจากฐานขึ้นไปบนยอดสามเหลี่ยมเป็นทรงครัวซองต์และวางบนถาดอบ พักแป้งในตู้ปรู๊ฟนาน 2 ชั่วโมง ทาไข่ไก่ (Egg Wash) บนครัวซองต์ให้ทั่ว นำเข้าเตาอบลมร้อนที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียสนาน16 นาที นำออกมาพักให้เย็นบนตะแกรง ส่วนผสมและวิธีทำพริกแกงฉู่ฉี่กุ้งแม่น้ำ ส่วนผสมเครื่องแกง พริกชี้ฟ้าแห้งแช่น้ำ 40 กรัม ตะไคร้ 30 กรัม ข่า 15 กรัม กระเทียมไทย 15 กรัม ผิวมะกรูด 5 กรัม รากผักชี 8 กรัม พริกไทยขาวเม็ด 2 กรัม เกลือป่น 5 กรัม กะปิ 10 กรัม ส่วนผสมแกงฉู่ฉี่ เนื้อกุ้งแม่น้ำ 400 กรัม หัวกะทิ 400 กรัม กะทิกลาง 200 กรัม น้ำตาลมะพร้าว 30 กรัม น้ำปลา 20 กรัม ใบมะกรูด และพริกชี้ฟ้าซอย (สำหรับตกแต่ง) กะทิ 100 กรัม แป้งข้าวเจ้า 1 กรัม ตำเครื่องแกงจนละเอียด ผัดหัวกะทิกับน้ำพริกแกงฉู่ฉี่จนแตกมัน ใส่กะทิกลางต้มจนเดือด ปรุงรสเล็กน้อย แล้วเคี่ยวต่อ ใส่กุ้งปิดฝาจนกุ้งสุกดี ปรุงและชิมรส ใส่ใบมะกรูดซอย คนต่อเล็กน้อย ปิดไฟและปิดฝา พักไว้ ทำกะทิราดหน้าโดยตั้งหม้อใส่กะทิกับแป้งข้าวเจ้า ตั้งไฟปานกลางคนจนส่วนผสมข้น ปิดไฟ พักไว้ ส่วนผสมและวิธีทำพริกแกงฉู่ฉี่มันกุ้งสเปรด น้ำพริกแกงฉู่ฉี่ 40 กรัม มันหัวกุ้ง 50 กรัม กะทิ 50 กรัม น้ำตาลมะพร้าว 10 กรัม น้ำปลา 5 กรัม ตั้งหม้อใบเล็กผัดน้ำพริกแกง กะทิ และมันกุ้งจนแตกมันเล็กน้อย ชิมและปรุงรส ปิดไฟ พักไว้ ส่วนผสมและวิธีทำโฟมซอสฉู่ฉี่ น้ำพริกแกงฉู่ฉี่ 80 กรัม กะทิ 120 กรัม น้ำตาลมะพร้าว 15 กรัม น้ำปลา 15 กรัม แซนแทนกัม (Xanthan Gum) 1 กรัม ตั้งกระทะผัดพริกแกงกับกะทิจนสุกหอม ปรุงรสด้วยน้ำตาลมะพร้าวและน้ำปลา ใส่ผงแซนแทนกัม กรองใส่กระบอกฉีดโฟมอัดแก๊สเพื่อฉีดโฟม พักไว้ ส่วนผสมและวิธีทำเจลอาจาด น้ำตาลทราย 120 กรัม น้ำส้มสายชู 80 กรัม เกลือป่น 4 กรัม น้ำเปล่า 200 กรัม หอมแดง 20 กรัม ผงวุ้น 2 กรัม พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบสำหรับตกแต่ง ต้มน้ำตาลทรายกับน้ำส้มสายชู เกลือ และน้ำเปล่า ใช้ไฟปานกลางคนให้ละลาย ใส่หอมแดง ต้มสักครู่แล้วกรองออก ใส่ผงวุ้น ต้มให้เดือดอีกครั้ง เทใส่ถาดแช่ตู้เย็นจนเซ็ตตัว ปั่นวุ้นที่เซ็ตตัวแล้วจนเป็นเนื้อเจล ใส่ขวดบีบ เตรียมไว้ วิธีทำผงใบมะกรูด ลวกใบมะกรูด 10 ใบในน้ำเดือด ประมาณ 8-10 วินาที ตักขึ้นใส่น้ำเย็นจัด และพักให้แห้ง นำมาตากแห้งในเครื่องอบอาหารอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส นาน 2 ชั่วโมง หรือจนใบมะกรูดแห้งกรอบ นำใบมะกรูดมาป่น และร่อนจนเป็นผงละเอียด วิธีจัดจาน ผ่าครึ่งครัวซองต์ ทาฉู่ฉี่สเปรดบนครัวซองต์ วางเนื้อกุ้งแม่น้ำ บีบโฟมซอสฉู่ฉี่ข้างครัวซองต์ บีบเจลอาจาดรอบๆ ตกแต่งด้วยพริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ ผงใบมะกรูด และดอกไม้ตามชอบ  

พุดดิงเนื้อหนึบได้รสหวานจากกล้วยตาก กินคู่กับซอสบัตเตอร์สกอตช์และไอศกรีมวานิลลาอร่อยลงตัว ทำเป็นเค้กชิ้นเล็กน่ารัก ปักด้วยเทียนวันเกิดให้สวยงาม   ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่) กล้วยตาก 200 กรัม น้ำร้อน 3/4 ถ้วยตวง เบกกิงโซดา 1 ช้อนชา ส่วนผสมเนื้อเค้ก เนยจืด 85 กรัม น้ำตาลทรายแดง 3/4 ถ้วยตวง ไขไก่ (เบอร์ 2) 2 ฟอง แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 1/2 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา เบกกิงโซดา 1 ช้อนชา ผงฟู 1 ช้อนชา วิธีทำ หั่นกล้วยตากเป็นชิ้นเล็กๆ แช่ในน้ำร้อนผสมเบกกิงโซดา พักไว้ให้นุ่ม ตีน้ำตาลทรายแดงกับเนยในเครื่องตีจนขึ้นฟู ใส่ไข่ไก่ลงไป ตีให้เข้ากัน ใส่กล้วยตากที่นุ่มแล้วลงไปผสม ใส่ส่วนผสมของแห้งทั้งหมดลงไปผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน เทใส่พิมพ์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส ประมาณ 20-30 นาทีจนสุก ยกออกจากเตา พักไว้และคว่ำออกจากพิมพ์ ส่วนผสมซอสบัตเตอร์สกอตช์ เนยจืด 125 กรัม น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วย ครีม 3/4 ถ้วย เกลือ 1/4 ช้อนชา ผสมทุกอย่างลงในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟจนเดือดเบาๆ 5 นาที ยกลง พักให้เย็น และตักใส่ถุงบีบ วิธีประกอบ วางสติกกี้พุดดิงลงบนจานสำหรับเสิร์ฟ บีบซอสบัตเตอร์สกอตช์บนเค้กให้สวยงาม เสิร์ฟพร้อมกับไอศกรีมวานิลลา

เจลลีผลไม้เนื้อนุ่มๆ ผลไม้สีสันสวยงาม รสหวานหอมกลมกล่อม กินคู่กับผลไม้รสหวานเปรี้ยว กินด้วยกันแล้วฟิน ส่วนผสมนมเจลลี น้ำเปล่า 1 1/2 ถ้วย ผงวุ้น 3 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย วิปปิงครีม 1 ถ้วย กลิ่นวานิลลา 1 1/2 ช้อนชา ส่วนผสมเจลลีผลไม้ ผงเจลาติน 1 ช้อนชา ผงวุ้น 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย น้ำเปล่า 3/4 ถ้วย สตรอว์เบอร์รี ส้ม กีวี วิธีทำ เตรียมพิมพ์สำหรับทำนมเจลลีโดยหั่นส้ม กีวี และสตรอว์เบอร์รีเป็นแผ่นบาง นำไปติดขอบพิมพ์เค้กขนาด 0.5 ปอนด์ แช่เย็นไว้ ทำนมเจลลีโดยต้มน้ำกับผงวุ้นให้ละลายหมด ใส่น้ำตาล คนให้ละลาย ใส่วิปปิงครีมและกลิ่นวานิลลาคนให้เข้ากัน ยกลง คนเบาๆ ให้คลายความร้อน เทใส่พิมพ์เค้กที่เรียงผลไม้ไว้ แช่เย็นไว้จนแข็งตัว นำนมเจลลีออกจากตู้เย็นแล้วคว่ำออกจากพิมพ์ ใช้พิมพ์วงกลมกดตรงกลางแล้วตักเฉพาะเนื้อในออก พักไว้ ทำเจลลีโดยต้มน้ำใส่ผงเจลาตินและผงวุ้นให้เดือด ลดไฟ เคี่ยวจนผงวุ้นและผงเจลาตินละลายหมด ใส่น้ำตาล คนให้ละลายหมด ยกลงแล้วคนต่อจนส่วนผสมคลายความร้อน ใส่ผลไม้หั่นชิ้นเล็กตรงกลางนมเจลลีที่ตักเอาเนื้อออก ใส่เจลลีที่คลายร้อนแล้วให้เต็มพอดี แช่เย็นต่อจนเจลลีแข็งตัว จัดใส่จาน เสิร์ฟเย็นๆ

เครปเค้กที่ตกแต่งสวยน่ารัก แผ่นเครปเนื้อนุ่มสลับชั้นด้วยเลมอนเคิร์ดครีมและครีมชีส รสเปรี้ยวมัน ตกแต่งด้วยผลไม้และดอกไม้ให้สวยงาม ส่วนผสมเครป (สำหรับ 10 แผ่น) เนยเค็ม 37 กรัม (3 ช้อนโต๊ะ) ไข่ไก่ 150 กรัม (3 ฟอง) น้ำตาลทราย 12 กรัม (1 ช้อนโต๊ะ) แป้งสาลีอเนกประสงค์ 75 กรัม (3/4 ถ้วยตวง) นมสด 375 กรัม (1 1/2 ถ้วยตวง) กลิ่นวานิลลา 4 กรัม (1 ช้อนชา) วิธีทำ ทำ Brown Butter โดยใส่เนยเค็มในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟปานกลางจนเนยเดือดมีสีน้ำตาลเข้ม ยกลงกรองด้วยผ้าขาวบาง พักไว้ ผสมไข่ไก่และน้ำตาลทรายด้วยตะกร้อมือ ร่อนแป้งสาลีอเนกประสงค์ใส่ คนให้เข้ากัน ใส่ Brown Butter กลิ่นวานิลลา และนมสด คนผสมให้เข้ากัน พักส่วนผสมแป้งไว้ในตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจนเซ็ตตัวดี ตั้งกระทะใช้ไฟอ่อน ตักแป้งประมาณ 1/4 ถ้วยตวง เทลงให้ทั่วกระทะ ให้มีความหนาเท่าๆ กัน ทอดจนแผ่นแป้งเครปสุก สังเกตแป้งจะเริ่มล่อนออกจากกระทะได้ง่าย ตักแผ่นแป้งออก พักไว้ให้เย็น ส่วนผสมชิฟฟอนเค้ก (สำหรับ 3 ก้อน) แป้งเค้ก 70 กรัม (3/4 ถ้วยตวง) ผงฟู 4 กรัม (1 ช้อนชา) เกลือป่น 1 หยิบมือ ไข่แดง 60 กรัม (4 ฟอง) น้ำมันรำข้าว 50 กรัม กลิ่นวานิลลา 4 กรัม นมสด 90 กรัม ไข่ขาว 162 กรัม (4 ฟอง) น้ำตาลทราย 50 กรัม วิธีทำ อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส และเตรียมพิมพ์ขนาด 10x15 นิ้ว ตัดกระดาษไขกรุลงในพิมพ์ ร่อนแป้งเค้ก ผงฟู และเกลือลงในอ่างผสม ใส่น้ำมันรำข้าว ไข่แดง นมสด และกลิ่นวานิลลา ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทรายจนตั้งยอดเหมือนเมอแรงก์ ตักแป้งใส่ ใช้พายยางตะล่อมให้เข้ากันอย่างเบามือ เทใส่พิมพ์ เกลี่ยส่วนผสมให้หนาเท่ากัน นำเข้าเตาอบประมาณ 14 นาทีจนสุก พักให้เย็นแล้วตัดเค้กเป็นทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 ซม. ส่วนผสมเลมอนเคิร์ด น้ำเลมอน 90 กรัม ผิวเลมอนขูด 1 ผล ผงคัสตาร์ด 6 กรัม น้ำตาลทราย 90 กรัม ไข่ไก่ 130 กรัม เนยจืด 70 กรัม วิปปิงครีม 200 กรัม วิธีทำ ตีไข่ไก่ด้วยตะกร้อมือ พักไว้ ผสมน้ำเลมอน ผิวเลมอนขูด ผงคัสตาร์ด และน้ำตาลทรายลงในหม้อ ตั้งไฟปานกลางจนเดือด ค่อยๆ เทลงผสมกับไข่ คนให้เข้ากัน เทส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อ ใช้ไฟอ่อน คนจนส่วนผสมข้น และเดือดเล็กน้อย ยกลงจากเตา กรองด้วยกระชอน ใส่เนยจืด คนผสมให้เข้ากัน พักไว้ในตู้เย็นนาน 30 นาที ทำเลมอนเคิร์ดครีมโดยแบ่งเลมอนเคิร์ดมา 150 กรัม ผสมกับวิปครีมที่ตีจนตั้งยอดแข็ง ตะล่อมให้เข้ากัน ตักใส่ถุงบีบ (เลมอนเคิร์ดที่เหลือใส่ถุงบีบ แช่ตู้เย็นไว้)   ส่วนผสมครีมชีส ครีมชีส 150 กรัม น้ำตาลทราย 30 กรัม (2 ช้อนโต๊ะ) กลิ่นวานิลลา 4 กรัม (1 ช้อนชา) วิปปิงครีม 200 กรัม วิธีทำ พักครีมชีสไว้ที่อุณหภูมิห้อง ตีครีมชีสกับน้ำตาลทรายและกลิ่นวานิลลาด้วยตะกร้อมือจนเนื้อเนียน ตีวิปปิงครีมให้ตั้งยอดแข็ง นำมาคนผสมกับครีมชีส โดยแบ่งผสม 3 ครั้งเพื่อไม่ให้วิปครีมยุบตัว ตักส่วนผสมใส่ถุงบีบ พักไว้ในตู้เย็น วิธีประกอบเค้ก วางชิฟฟอนเค้กบนฐานรองเค้ก ชั้นที่ 1  บีบเลมอนเคิร์ดครีมบนชิฟฟอนเค้กเป็นวงรอบนอก บีบครีมชีสเป็นวงถัดมาข้างใน และบีบเป็นวงสลับกันจนเต็มหน้าเค้ก สามารถใส่เลมอนเคิร์ด เป็นจุดๆ กระจายให้ทั่วชั้นครีมเพื่อเพิ่มความเข้มข้นได้ตามชอบ วางแผ่นเครปบนครีม จากนั้นจึงเริ่มชั้นที่ 2 โดยบีบครีมเป็นวงเช่นเดียวกับชั้นที่ 1 แต่เริ่มต้นด้วยครีมชีสที่วงนอก สลับกับเลมอนเคิร์ดครีมจนเต็มแผ่นเครป นำเครปอีกแผ่นวางลงไป ทำซ้ำจนครบทุกชั้น แช่เค้กไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ตกแต่งหน้าเค้กด้วยเลมอนเคิร์ด วิปครีม เลมอน และบลูเบอร์รีตามชอบ

เค้กสไตล์ผสมผสาน เนื้อเค้กเป็นขนมบ้าบิ่น หน้าเค้กเป็นอินทผลัมกับน้ำตาลโตนด เป็น Upside-Down Cake โรยหน้าด้วยมะพร้าวทึนทึกขูด ดูเก๋และอร่อย ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่) น้ำตาลโตนด (1)​​ 350 กรัม หัวกะทิ (1)​​ 45 มิลลิลิตร อินทผลัมแกะเมล็ด 300 กรัม น้ำตาลโตนด (2)​​ 400 กรัม หัวกะทิ (2)​​ 250 มิลลิลิตร เกลือ​​​ป่น 1/4 ช้อนชา แป้งข้าวเหนียว​​ 100 กรัม แป้งสาลี​​​อเนกประสงค์ 40 กรัม แป้งเท้ายายม่อม 40 กรัม แป้งข้าวเจ้า 40 กรัม ไข่เป็ด 4 ฟอง เนื้อมะพร้าวทึนทึกขูด (1)​ 200 กรัม น้ำมันมะพร้าว​​ 20 มิลลิลิตร เนื้อมะพร้าวทึนทึกขูด (2)​ 45 กรัม วิธีทำ อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส นำพิมพ์ขนมเข้าไปอุ่นไว้ให้ร้อน ละลายน้ำตาลโตนด (1) กับหัวกะทิ (1) ในหม้อ ใส่อินทผลัมลงไป เคี่ยวด้วยไฟอ่อนให้เนื้ออินทผลัมพอนุ่ม ยกลงจากเตา พักไว้ ละลายน้ำตาลโตนด (2) กับหัวกะทิ (2) และเกลือป่น เคี่ยวให้เป็นคาราเมล พักไว้ให้เย็น ร่อนแป้งทั้ง 4 ชนิดเข้าด้วยกัน พักไว้ ตีไข่เป็ดให้ฟูด้วยตะกร้อให้พอตั้งยอดอ่อนๆ ตะล่อมแป้งให้เข้ากับไข่เป็ด ใส่คาราเมลที่เย็นแล้ว และเนื้อมะพร้าวขูด (1) คนให้เข้ากัน นำพิมพ์ออกจากเตา ปูด้วยกระดาษไข ทาน้ำมันมะพร้าวบางๆ เทส่วนผสมอินทผลัมเคี่ยวลงในพิมพ์ เกลี่ยให้ทั่ว เทส่วนผสมแป้งลงไป เคาะพิมพ์ให้แป้งเสมอกัน นำเข้าเตาอบนาน 35-45 นาทีจนเค้กสุก เร่งไฟเตาอบเป็น 220 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2-3 นาที ให้หน้าขนมมีสีน้ำตาลสวย ยกออกจากเตา พักให้เค้กเย็น คว่ำขนมลงบนจานสำหรับเสิร์ฟให้คาราเมลอินทผลัมอยู่ด้านบน โรยหน้าด้วยมะพร้าวขูด (2)

ชีสเค้กเป็นขนมที่รู้จักกันทั่วโลก ที่ลือชื่อที่สุดน่าจะเป็นชีสเค้กจากร้าน Lindy’s ในนิวยอร์ก   เนื้อแน่นหนักและเนียน สำหรับในเมืองไทยที่ชื่นชอบกันก็ต้องเป็นชีสเค้กแบบญี่ปุ่นที่เนื้อเบาแบบเค้กชิฟฟอนและมีหลากหลายรส   แต่ระหว่างชีสเค้ก 2 ชนิดนี้ ที่เนื้อไม่หนัก ไม่เบา เนื้อเนียน รสไม่หวานมาก ต้องเป็นชีสเค้กที่มาจากแถบ Basque แคว้นที่อยู่ทางเหนือของสเปนและทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ในแถบเมืองเก่าของ San Sebastian มีร้านอาหารชื่อ La Vina ที่ทำชีสเค้กมาหลายสิบปี ซึ่งมีอีกหลายร้านในแถวนั้นที่ทำเลียนแบบ ชีสเค้กของที่นี่ไม่มีส่วนผสมของอะไรเลยนอกจากครีมชีสและวิปปิงครีม เพราะวัวของแถบนี้กินหญ้าริมทะเลเป็นอาหาร นมจึงมีกลิ่นหอมและมีเอกลักษณ์โดดเด่น   วันหนึ่งมีเชฟดังจากสหรัฐอเมริกา 3 คน ตระเวนหาแรงบันดาลใจ พอได้ชิมก็ชอบ และได้กลับไปลองทำ ชีสเค้กนี้ไม่มีฐานแป้ง หน้าและขอบไหม้ๆ ทำให้มีกลิ่นหอมคล้ายคาราเมล ชีสเค้กนี้จึงเริ่มดังในอเมริกา และมาดังสุดเมื่อหนังสือพิมพ์ New York Times ลงว่าเป็นฟู้ดเทรนด์ และเป็นรสแห่งปี ค.ศ. 2021 จึงได้รับความนิยมมากขึ้น   ชีสเค้กที่เห็นในบ้านเราที่ตกแต่งด้วยผลไม้ให้สวยงามเพิ่งมีขึ้นเมื่อภายหลังนี้เอง   Basque Cheesecake ส่วนผสม ครีมชีส 680 กรัม  วิปปิงครีม 170 กรัม  น้ำตาลทราย 200 กรัม เกลือ 1/2 ช้อนชา ไข่เบอร์ 0 5 ฟอง  ผงวานิลลา 1 ช้อนชา อุปกรณ์ พิมพ์ถอดข้างได้ ขนาด 9 นิ้ว และกระดาษไข 2 แผ่น ขยำให้ยู่ยี่ (รอยนี้จะเป็นลายของครีมชีส) นำไปกรุพิมพ์ ปล่อยปลายให้เกินขอบเล็กน้อย ไม่ต้องทาอะไรเลย วิธีทำ  เตรียมส่วนผสมทุกอย่างให้อยู่ในอุณหภูมิห้อง นำครีมชีสใส่อ่างผสม ตีด้วยหัวตีใบพายด้วยความเร็วต่ำจนเนื้อเนียน (ตีด้วยตะกร้อมือก็ได้) เติมน้ำตาลทราย ตีพอเข้ากัน ใส่ไข่ทั้งหมด เกลือ ผงวานิลลา และวิปปิงครีม ตีให้เข้ากันจนเนื้อเนียน เทลงในพิมพ์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 260 องศาเซลเซียส (หรืออุณหภูมิสูงสุดที่เตาอบมี) อบนาน 25 นาที หน้าจะมีสีน้ำตาลไหม้ ใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดความร้อนของขนมให้ได้ 85 องศาเซลเซียส เพื่อไม่ให้เนื้อขนมแข็งเกินไป นำออกจากเตาอบ วางบนตะแกรงพักไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง หน้าขนมจะยุบลง ตัดเป็นชิ้นเสิร์ฟ

“บราวนี่อร่อยมาก” เพื่อนสมัยมัธยมทั้ง 8 คนที่มากินข้าวที่บ้านป้าเจี๊ยบเอ่ยปากชม โดยเฉพาะเสียงทิพย์ถามทันทีว่าสูตรของใคร จะทำกินเองบ้าง   ป้าเจี๊ยบบอกว่าสูตรคิดเอง เพราะลองทำตามสูตรที่ใครต่อใครนำเสนอในยูทูบและเว็บไซต์ต่างๆ แล้ว ไม่โดนใจเลยสักที ตอนนี้ปรับปรุงสูตรลงตัวแล้ว ได้แบบที่ต้องการจึงจัดให้เพื่อนๆ ได้ชิมกัน   ดีใจมากค่ะที่เพื่อนทุกคนชอบ!   ความชอบบราวนี่ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  บราวนี่ที่คนหนึ่งชอบ อีกคนอาจไม่ชอบ บราวนี่จึงมีหน้าตาและรสชาติที่แตกต่างกันไป เป็นของหวานที่ทำให้ถูกใจทุกคนได้ยากมาก   บราวนี่ของป้าเจี๊ยบเนื้อไม่โปร่งร่วน ไม่เป็นแบบเนื้อเค้ก แต่เนื้อแน่น นุ่มหนึบ ไม่หวานมาก ติดขมนิดๆ ที่ปลายลิ้น ความที่มีรสเข้มข้นมากป้าเจี๊ยบจึงตัดเสิร์ฟเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดประมาณ 1x1 นิ้วเท่านั้น เวลากินก็บอกเพื่อนๆ ว่าค่อยๆ เล็มกินไปทีละนิด...อิอิ   วิธีทำวอลนัตบราวนี่ของป้าเจี๊ยบง่ายสุดสุดเลยค่ะ เริ่มด้วยการใส่เนยแท้รสจืดละลาย 1/4 ถ้วยตวง น้ำตาลทรายแดง (ร่อนแล้ว) 1/2 ถ้วยตวง เกลือป่น 1/4 ช้อนชา โกโก้ผง 1/4 ถ้วยตวง กาแฟผงสำเร็จรูป 1/2 ช้อนชา และไข่ไก่เบอร์สอง 1 ฟองลงในชามผสม ใช้ตะกร้อมือคนไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมทั้งหมดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน   จากนั้นใส่แป้งอัลมอนด์ 2 ช้อนโต๊ะ แป้งสาลีอเนกประสงค์ (ร่อนแล้ว) 2 ช้อนโต๊ะ และช็อกโกแลตชิปกึ่งหวาน 1/3 ถ้วยตวงลงไป ใช้พายซิลิโคนตะล่อมให้ส่วนผสมเข้ากันดีแล้วเทลงถาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 5.5 x 6.6 นิ้ว สูง 2 นิ้วที่ปูกระดาษรองอบไว้แล้ว ใช้พายเกลี่ยให้ผิวหน้าเรียบเสมอกัน   จัดวางวอลนัตครึ่งซีก 30 ชิ้นลงบนผิวหน้า โดยวางเว้นระยะห่างเท่าๆ กันให้เป็นแถวๆ ละ 5 ชิ้น จำนวน 6 แถว เสร็จแล้วยกถาดขึ้นกระแทกเบาๆ กับผิวโต๊ะ 2-3 ครั้ง นำเข้าเตาอบซึ่งตั้งปุ่มความร้อนไว้ 160 องศาเซลเซียส ปุ่มไฟบน-ล่าง ปุ่มเวลา 15 นาที เมื่อได้ยินเสียงติ๊ง ป้าเจี๊ยบเปิดฝาเตาอบไว้ ปล่อยให้ถาดบราวนี่เย็นสนิทจึงยกออกมา   ป้าเจี๊ยบยกกระดาษรองอบที่มีบราวนี่ออกจากถาด นำมาวางบนโต๊ะ ใช้มีดพลาสติกตัดบราวนี่เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมตามจำนวนวอลนัตที่วางไว้ด้านบน ป้าเจี๊ยบใช้มีดพลาสติกเพราะเวลาตัดบราวนี่จะไม่ติดใบมีดเหมือนใช้มีดโลหะค่ะ   จัดวางบราวนี่ 30 ชิ้นลงในกล่องปิดฝาสนิท นำเข้าไปบ่มต่อในตู้เย็นอีกอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนแจกจ่ายกันกิน   ช่วงนี้สถานการณ์โควิดดีขึ้นบ้างแล้ว เพื่อนมัธยมจึงนัดมากินข้าวที่บ้านป้าเจี๊ยบเดือนละครั้งเช่นเคย  วอลนัตบราวนี่เป็นของหวานในวันที่กินอาหารเปอร์เซียและอินเดียกันค่ะ   ป้าเจี๊ยบจัดชามาซาลา (Masala Tea) จากเนปาล และชากุหลาบ (Rose Tea) จากอิหร่านให้เป็นเครื่องดื่ม ปรากฏว่าเข้ากันได้ดี๊ดีกับวอลนัตบราวนี่สูตรเข้มข้น  

เตาอบในบ้านก็สามารถอบขนมปังเนื้อนุ่มหอมได้เหมือนกัน อย่างโชกุปัง ขนมปังเนื้อขาวสไตล์ญี่ปุ่น เนื้อเหนียวแน่นแต่นุ่ม ขอบบาง มีรสชาติหวานอ่อนๆ สูตรที่นำมาฝากใช้เทคนิคการใส่ก้อนแป้งที่เรียกว่า เทคนิคยูดาเนะ (Yudane Method) เป็นการผสมแป้งกับน้ำร้อนและพักข้ามคืน ก่อนนำไปผสมกับส่วนผสมอื่นในวันรุ่งขึ้น เป็นวิธีที่ช่วยให้ขนมปังเหนียวนุ่มโดยไม่ต้องใส่สารเสริม ใช้เวลาเล็กน้อยแต่ไม่ยุ่งยาก แนะนำให้ลองดูครับ   ส่วนผสมแป้งยูดาเนะ (ทำล่วงหน้า 8-12 ชั่วโมง) แป้งขนมปัง 100 กรัม น้ำร้อน (อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส) 80 มิลลิลิตร ส่วนผสมโชกุปัง นมสด (อุณหภูมิห้อง) 300 กรัม น้ำตาลทราย 30 กรัม ยีสต์แห้ง 6 กรัม เนย 20 กรัม แป้งขนมปัง 400 กรัม เกลือ 10 กรัม วิธีทำ ทำก้อนแป้งยูดาเนะโดยผสมแป้งขนมปังกับน้ำร้อน นวดให้เข้ากัน ห่อด้วยฟิล์มถนอมอาหาร พักในตู้เย็น 8-12 ชั่วโมง ในวันรุ่งขึ้นนำก้อนแป้งออกมาพักนอกตู้เย็นสัก 5-10 นาที ใส่นมสด น้ำตาลทราย ยีสต์ เนย แป้งขนมปัง และเกลือในโถผสม ฉีกก้อนแป้งยูดาเนะลงไป ตีด้วยหัวตีตะขอ ใช้ความเร็วต่ำ พอเข้ากันดีเร่งเป็นความเร็วปานกลาง ตี 20-25 นาทีจนแป้งหลุดออกจากข้างโถ และสามารถดึงขึงเป็นฟิล์มบางๆ คลึงแป้งโดให้หน้าเนียนดี พักในโถ ปิดหน้าด้วยฟิล์ม 45-60 นาทีจนขึ้นตัวหนึ่งเท่า (ใช้นิ้วจุ่มแป้งจิ้มลงตรงกลางโด ถ้าทิ้งรอยบุ๋มไว้คือใช้ได้) ตบไล่อากาศและแบ่งโดเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน (ประมาณ 230 กรัม) คลึงเล็กน้อย คลุมหน้าโดไม่ให้สัมผัสอากาศ หรือคลุมด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ พัก 20 นาที (Bench Time) นวลแป้ง (แป้งขนมปัง) เล็กน้อย รีดโดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมขนาด 15x20 เซนติเมตร รวบขอบด้านกว้างสองข้างเข้าตรงกลาง แล้วม้วนตามทางยาว  ทาเนยบางๆ หรือฉีดสเปรย์น้ำมันลงในพิมพ์ขนมปังขนาด 9x16 เซนติเมตร 2 พิมพ์ วางโดที่ขึ้นรูปแล้วลงไป 2 ก้อน คลุมด้วยฟิล์มถนอมอาหาร พักให้ขึ้นตัวอีกครั้ง 30-40 นาที ตีไข่ กรองให้เนียน ทาหน้าขนมปัง นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 185 องศาเซลเซียส โปรแกรมไฟล่าง-ไฟบน เป็นเวลา 25-30 นาที เมื่ออบเสร็จนำขนมปังออกจากพิมพ์ พักให้เย็นลง

  เค้กน่ารักที่ทำรูปทรงเหมือนเทียนจริง มีไส้เทียนที่จุดไฟได้จริง เหมาะกับวันพิเศษฉลองครบรอบ เนื้อเค้กบัตเตอร์ใส่เกล็ดน้ำตาลกลิตเตอร์สี สอดไส้ด้วยราสป์เบอร์รีเจลลี เคลือบด้วยไวต์ช็อกโกแลต   ส่วนผสมตัวเทียน (สำหรับ 5 ชิ้น) ไวต์ช็อกโกแลต 400 กรัม Mycryo 8 กรัม ส่วนผสมและวิธีทำมูสไวต์ช็อกโกแลต ไวต์ช็อกโกแลต 300 กรัม น้ำผึ้ง 20 กรัม วิปปิงครีม 330 กรัม (ตีให้ข้นเหมือนโยเกิร์ต) ละลายไวต์ช็อกโกแลตในชามโดยวางบนหม้อต้มน้ำร้อน หรือเข้าไมโครเวฟครั้งละ 10 วินาที จนช็อกโกแลตละลายทั้งหมด ใส่น้ำผึ้งลงไป แบ่งวิปครีมใส่ผสมกับช็อกโกแลต 5 รอบ ค่อยๆ ตะล่อมจนเข้ากันดี ตักใส่ถุงบีบไว้ (เริ่มทำมูสเมื่อตัวเทียนและพื้นเทียนต่อกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว) ส่วนผสมและวิธีทำ Confetti Butter Cake แป้งเค้ก 200 กรัม นมผง 20 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา เนยจืดอุณหภูมิห้อง 150 กรัม น้ำตาลทราย 75 กรัม น้ำตาลไอซิง 75 กรัม ไข่ไก่ (เบอร์ 2) 3 1/2 ฟอง นมสด 80 กรัม กลิ่นวานิลลาเข้มข้น 2 กรัม เกล็ดน้ำตาล Sprinkle 1/2 ถ้วย โอวาเล็ตเล็กน้อย (หรือไม่ใส่ก็ได้) ตีเนยกับน้ำตาลทั้ง 2 ชนิด และโอวาเล็ต เข้าด้วยกันด้วยหัวตีตะกร้อจนเนยฟูและมีสีอ่อนลง ค่อยๆ ใส่ไข่ที่ผสมนมสด และวานิลลาลงไปทีละช้อน ใช้ความเร็วปานกลาง ตีประมาณ 2 นาทีจนเข้ากัน ลดเป็นความเร็วต่ำ ร่อนแป้ง นมผง เกลือ และผงฟู ค่อยๆ ใส่ลงไปทีละช้อน ตีเร็วอีกประมาณ 1-2 นาที ให้เนื้อละเอียดเป็นครีมเข้ากันดี ใส่เกล็ดน้ำตาล Sprinkle ลงไป ตะล่อมให้เข้ากัน เทลงในถาดอบเค้ก ปาดให้เรียบเสมอกัน นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส นาน 25-45 นาทีจนสุก คว่ำเค้กออกจากพิมพ์ พักให้คลายร้อนบนตะแกรง แช่เค้กในตู้เย็นจนเย็นสนิท นำออกมาตัดด้วยที่ตัดคุกกี้วงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 ซม. เก็บเค้กใส่กล่องปิดฝาไว้ ส่วนผสมและวิธีทำราสป์เบอร์รีเจลลี ราสป์เบอร์รีพูเร่ (Raspberry Puree) 90 กรัม น้ำตาลทราย 15 กรัม เจลาติน 2 แผ่น (1 กรัม) แช่เจลาตินในน้ำเย็นจัด พักไว้ 10 นาที ผสมน้ำตาลทรายกับราสป์เบอร์รีพูเร่ ยกขึ้นตั้งไฟให้ได้ 70 องศาเซลเซียส คนจนเข้ากันดี และน้ำตาลละลาย นำไปปั่นให้ละเอียด บีบน้ำออกจากเจลาตินใส่ลงไป คนจนเข้ากันดี เทใส่พิมพ์ทรงกระบอก แช่ช่องแช่แข็ง พักไว้ อุปกรณ์สำหรับประกอบขนม เทียนขนาดยาวเล็ก 5 ชิ้น (ตัดปลายเอาส่วนของขี้ผึ้งออกให้เหลือไส้เทียน) แผ่นพลาสติกใส (1) 5 แผ่น (ชนิดหนา ความกว้างและสูงตามขนาดเทียนที่ต้องการ) แผ่นพลาสติกใส (2) 2 แผ่น (ขนาดใหญ่ A4) ถาดอบที่วางแผ่นพลาสติกขนาด A4 ได้ 2 ถาด สกอตช์เทป 1 ม้วน พิมพ์ซิลิโคนทรงกระบอก เส้นผ่าศูนย์กลาง 4 ซม. สูง 2 ซม. 1 พิมพ์ ที่ตัดคุกกี้วงกลม 1 ชุด วิธีประกอบเทียน ม้วนแผ่นพลาสติกใส (1) ให้เป็นทรงกระบอก ขนาดตามที่ต้องการ (ควรมีขนาดใหญ่กว่า 4 ซม.) ติดสกอตช์เทปไว้ ทำตัวเทียนโดยละลายไวต์ช็อกโกแลต คนจนได้อุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส ใส่ Mycryo ลงไป คนให้ละลายเข้ากันดี รอจนอุณหภูมิลดลงจนถึง 29 องศาเซลเซียส ใช้สปาตูลาปาดไวต์ช็อกโกแลตด้านในพลาสติกทรงกระบอกที่เตรียมไว้ (ใช้ไฟฉายส่องรอบๆ ถ้าตรงไหนดูใสให้ทาช็อกโกแลตเพิ่มจนทั่วกัน) วางบนถาด แช่ตู้เย็นจนแข็งดี ทำฐานเทียนโดยนำช็อกโกแลตที่เหลือปาดลงบนแผ่นพลาสติกใส (2) วางบนถาด รอจนช็อกโกแลตเริ่มแข็งตัวเล็กน้อย ใช้ที่ตัดคุกกี้วงกลมขนาดเท่ากับเทียนที่ต้องการตัดลงไป นำพลาสติกใสอีกแผ่นทับ วางทับด้วยถาดอีกชั้น นำไปแช่ตู้เย็นจนแข็งตัว ละลายไวต์ช็อกโกแลตใส่ถุงบีบเตรียมไว้ แกะตัวเทียนออกจากพลาสติกทรงกระบอก และฐานของเทียนออกจากพลาสติก บีบไวต์ช็อกโกแลตเป็นวงกลมรอบฐานเทียน วางตัวเทียนลงไป รอให้แข็งตัวประมาณ 2 นาที (ควรทำในห้องเย็น) บีบมูสลงไป 1/3 ของเทียน ใส่เนื้อเค้ก และราสป์เบอร์รีเจลลีลงไป กดให้จมลงไปในมูส บีบมูสจนเกือบเต็ม เว้นที่ไว้ 0.5 ซม. นำไปแช่ในตู้เย็น ยกออกจากตู้เย็น พักจนเจลลีละลาย ปักเทียนจริงลงไปตรงกลางให้ไส้เทียนสูงพ้นเนื้อมูสขึ้นมา บีบไวต์ช็อกโกแลตปิดด้านบน เขย่าเทียนเบาๆ ให้ช็อกโกแลตปิดเรียบสนิท แช่ตู้เย็นให้เซ็ตตัว ตกแต่งโดยบีบไวต์ช็อกโกแลตรอบๆ ให้ดูเหมือนน้ำตาเทียนไหล จุดไฟที่ไส้เทียนก่อนเสิร์ฟ เพื่อความสวยงาม  

ชอร์ตเค้กขนมทำง่าย สูตรนี้เค้กเนื้อแน่นคล้ายขนมไข่ มีกลิ่นหอมของผิวเลมอน ตกแต่งด้วยสตรอว์เบอร์รี และยูซุ เป็นรสชาติของผลไม้ที่เข้าคู่กันได้ดี   ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่) ไข่ไก่ (เบอร์ 1) 3 ฟอง (175 กรัม) น้ำตาลทราย 80 กรัม น้ำผึ้ง 13 กรัม แป้งเค้ก 85 กรัม เนยจืด 20 กรัม นมสด 20 กรัม ผิวเลมอนขูด 1/2 ผล ส่วนผสมเจลยูซุ น้ำเปล่า 500 มิลลิลิตร น้ำเชื่อมยูซุ 100 มิลลิลิตร ผงวุ้น 5 กรัม ส่วนผสมสำหรับตกแต่ง วิปครีม สตรอว์เบอร์รีสด สตรอว์เบอร์รีอบแห้ง ใบสะระแหน่ ผิวส้มยูซุ และผงทอง วิธีทำ ทำเค้กโดยตีไข่ให้ขึ้นฟูจนมีฟองอากาศเล็กน้อยด้วยตะกร้อไฟฟ้า ใส่น้ำตาลทราย และน้ำผึ้ง ตีต่อจนเป็นเนื้อโฟมเซ็ตตัว ไม่เหลว ร่อนแป้งเค้กใส่ คนด้วยไม้พายเบาๆ ให้เข้ากัน อุ่นนมสดและเนยจืดให้เนยละลาย ตักส่วนผสมเนื้อเค้กประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะใส่ลงไป คนให้เข้ากันแล้วเทกลับลงไปในส่วนผสมเนื้อเค้ก ตีต่อจนเข้ากันดี เทส่วนผสมใส่พิมพ์เค้กให้หนาประมาณ 1 นิ้ว นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 150-160 องศาเซลเซียส นาน 15 นาทีจนเค้กสุกเป็นสีเหลืองทอง ยกออกจากเตา พักไว้จนเย็นสนิท ทำเจลยูซุโดยผสมทุกอย่างลงในหม้อ ตั้งไฟจนเดือดประมาณ 3-5 นาที และผงวุ้นละลายดี เทใส่พิมพ์ให้วุ้นเซ็ตตัว นำไปปั่นจนเนื้อเนียนละเอียด วิธีประกอบเค้ก วางเค้กบนจานสำหรับเสิร์ฟ ทายูซุเจลให้ทั่ว บีบวิปครีมใส่ ตกแต่งด้วยสตรอว์เบอร์รีสด สตรอว์เบอร์รีอบแห้ง ใบสะระแหน่ ผิวส้มยูซุ และผงทองให้สวยงาม  

วันแม่ใกล้เข้ามาทุกที มีของขวัญให้คุณแม่กันรึยัง? การทำคุกกี้สูตรหอมหวานสีฟ้าพาสเทล ให้คุณแม่ลองทาน ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจนะ   ส่วนผสมคุกกี้ (สำหรับ 5 ที่) แป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม เนยสดเค็ม 100 กรัม น้ำตาลไอซิง 85 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา อัลมอนด์ป่น 100 กรัม ไข่ไก่ 1 ฟอง กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา สีผสมอาหารสีน้ำเงิน 1/2 ช้อนชา ส่วนผสมไส้ ครีมชีส 250 กรัม น้ำตาลไอซิง 50 กรัม   วิธีทำ คนเนยสด น้ำตาลไอซิง และเกลือเข้าด้วยกันพอฟูเล็กน้อย ใส่สีผสมอาหาร คนให้เข้ากัน ใส่ไข่ไก่ ตีให้เข้ากัน ใส่กลิ่นวานิลลา คนให้เข้ากัน ใส่แป้งสาลีและอัลมอนด์ป่น ค่อยๆ คนให้ส่วนผสมเข้ากันจนเป็นก้อนโด แบ่งส่วนผสมเป็น 4 ส่วน นำแต่ละส่วนมาห่อด้วยพลาสติกใส กดให้แบน นำไปแช่เย็น 1 ชั่วโมง รีดแป้งให้เป็นแผ่นหนา 0.2 มิลลิเมตร กดด้วยพิมพ์กดรูปดอกไม้ เรียงใส่ถาดอบ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เวลา 15 นาทีพอสุก พักไว้ให้เย็น ทำไส้โดยตีครีมชีสให้อ่อนตัว ใส่น้ำตาลไอซิง คนให้เข้ากันทั่ว ใส่ถุงบีบบีบลงบนคุกกี้ 1 ชิ้น แล้วนำอีกชิ้นมาประกบ เรียงใส่ภาชนะ

เค้กกล้วยหอมจากกล้วยเนื้อนุ่ม หวานกลมกล่อมด้วยคาราเมลและเนยสด กินพร้อมเนื้อกล้วย คนชอบกินเค้กกล้วยหอมห้ามพลาด     ส่วนผสมเค้ก แป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม เบกกิงโซดา 2 ช้อนชา กล้วยหอมสุก 3 ผล นมสด 1/2 ถ้วย น้ำมะนาว 1 ช้อนชา เนยสดเค็มละลาย 1/2 ถ้วย ไข่ไก่ 3 ฟอง น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 180 กรัม ส่วนผสมคาราเมล น้ำตาลทรายแดง 3/4 ถ้วย น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ เนยสดรสเค็ม 50 กรัม กล้วยหอมสำหรับเป็นฐาน 3 ผล วิธีทำ ปอกเปลือกกล้วยหั่นครึ่งตามยาวเรียงใส่ถาดอบ เตรียมไว้ เตรียมคาราเมลโดยเคี่ยวน้ำตาลทรายแดงกับน้ำเปล่าให้เดือดข้นเล็กน้อยและเป็นสีน้ำตาล ใส่เนยสด คนจนละลาย เคี่ยวคาราเมลให้เดือดเป็นฟองเล็กๆ ยกลง เทใส่กล้วยที่เตรียมไว้  บดกล้วยหอมให้ละเอียด ใส่นมสด น้ำมะนาว และเนยละลายคนให้เข้ากัน พักไว้ ตีไข่ไก่กับน้ำตาลทรายให้เป็นครีม เตรียมไว้ ในชามผสมใส่ส่วนผสมกล้วยบด แป้งสาลี และเบกกิงโซดา คนให้เข้ากัน นำไปผสมกับส่วนผสมไข่ที่ตีไว้ ตะล่อมให้เข้ากันเบาๆ   เทใส่ถาดคาราเมลกล้วยที่เตรียมไว้ เกลี่ยให้ทั่ว นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 35-40 นาที หรือจนสุก     

  จะสายช็อกโกแลตหรือสายคัสตาร์ดก็ต้องฟินกับเมนูนี้ ความเข้มข้นของช็อกโกแลตตัดกับความหวานฉ่ำของคัสตาร์ด หอมหวานอร่อยลงตั ส่วนผสมคาราเมล น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมคัสตาร์ด ไข่แดง 2 ฟอง ไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย นมสด 1/4 ถ้วย กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา ส่วนผสมเค้กช็อกโกแลต แป้งเค้ก 1/2 ถ้วย ผงฟู 1 1/2 ช้อนชา ผงโกโก้ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่ 2 ฟอง น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย โอวาเลต 2 ช้อนชา นมสด 3 ช้อนโต๊ะ เนยละลาย 3 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ทำคาราเมลโดยต้มน้ำกับน้ำตาลทราย เคี่ยวให้เป็นคาราเมล เทใส่พิมพ์เค้กขนาด 1 ปอนด์ พักไว้ ทำคัสตาร์ดโดยผสมไข่แดงและไข่ไก่ ใส่น้ำตาลทราย ตีให้เข้ากัน ใส่นมสด และกลิ่นวานิลลา คนให้เข้ากัน กรองผ่านกระชอนใส่ลงในพิมพ์คาราเมล พักไว้ ทำเค้กช็อกโกแลตโดยร่อนแป้งเค้ก ผงฟู และผงโกโก้เข้าด้วยกัน ตีไข่ไก่กับน้ำตาลทราย และโอวาเลตพอเข้ากัน ใส่นมสด ตีต่อจนเป็นครีมข้นๆ ใส่ส่วนผสมแป้งที่ร่อนไว้ ตีต่อให้เข้ากัน จากนั้นค่อยๆ ใส่เนยละลาย ตีให้เข้ากัน  ตักส่วนผสมเค้กใส่พิมพ์คัสตาร์ด วางในถาดน้ำร้อน นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 30-45 นาทีจนสุก พักไว้ให้เย็น คว่ำเค้กใส่จาน ตัดเป็นชิ้นเสิร์ฟ 

  “มีใครจะอยู่ถึงเย็นมั้ย จะได้ทำมัฟฟินข้าวโอ๊ตให้กิน” ป้าเจี๊ยบถามเพื่อนๆ วัฒนาวิทยาลัยที่มากินข้าวที่บ้านค่ะ เราตั้งกลุ่มว่า “กินฮาเฮที่เชซ์โรส” นัดพบกันเดือนเว้นเดือน โดยมีเพื่อนสนิทของป้าเจี๊ยบชื่อเสียงทิพย์เป็นผู้จัดการกลุ่ม ทำหน้าที่นัดเพื่อน แจ้งเมนูที่จะกิน และเก็บเงินลงขันมาให้เป็นทุนทำอาหาร   นัดล่าสุดเธอแจ้งมาว่าขอกินญี่ปุ่น ด้วยเหตุผลคือเพื่อนชื่อปรียานุชบ่นว่าเสื้อยูกาตะที่สั่งซื้อมาใส่ตอนกินญี่ปุ่นคราวก่อนโน้นเพิ่งใช้ไปหนเดียวยังไม่คุ้มราคา 195 บาทเลย...ฮา!   เมนูตามสั่งมีแกงกะหรี่ญี่ปุ่นกับหมูทงคัตสึ สลัดเต้าหู้เย็น และต้มผักกาดขาวหมูสามชั้นที่เรียกว่ามิลเฟยนาเบะ (Mille-feuille Nabe) ส่วนของหวานขอกินตามเทรนด์คือข้าวเหนียวมะม่วง!   ป้าเจี๊ยบเพิ่มผัดเทอริยากิโซบะให้อีกอย่าง และทำจับฉ่ายให้เป็นของชำร่วยกลับบ้าน   กินไปคุยไปไม่มีใครขยับตัวกลับ ป้าเจี๊ยบจึงตั้งคำถาม เพื่อจะได้ทำขนมที่เน้นสุขภาพสำหรับกินกับน้ำชายามบ่าย  ปรากฏว่าเสียงทิพย์คนบ้านใกล้อยู่ต่อ ป้าเจี๊ยบเลยเข้าครัวทำมัฟฟิน ทำแค่ครึ่งสูตรและไม่ใส่อบเชย เพราะเธอไม่ชอบกลิ่น บรรจุลงถ้วยขนาดเล็ก 5 ซม. ได้ 6 ชิ้น   กินเสร็จเพื่อนชมว่าอร่อย ไม่หวานมาก เอากลับบ้านไปเป็นอาหารเช้าพรุ่งนี้ด้วย...อิอิ   วันถัดมาป้าเจี๊ยบทำใหม่เต็มสูตรสำหรับนำไปเลี้ยงเพื่อนจุฬาฯ รุ่น 2514 ซึ่งนัดประชุมเตรียมงานจัดกิจกรรม Home-Coming Day ที่เลื่อนมาหลายครั้งเพราะโควิด   เริ่มด้วยการเตรียมชามเปียกโดยผสมข้าวโอ๊ตชนิด Rolled Oats 2 ถ้วยตวง (170 กรัม) กับนมสดรสจืด 3/4 ถ้วยตวง (180 มิลลิลิตร) โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/4 ถ้วยตวง (60 มิลลิลิตร) ลูกเกด 2 ช้อนโต๊ะ แครนเบอร์รี 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันแล้ววางพักไว้ 15 นาที   จากนั้นเตรียมชามแห้งมีแป้งสาลีอเนกประสงค์ 120 กรัม (1 ถ้วยตวง) ผงฟู 1 1/2 ช้อนชา โซดาไบคาร์บอเนต 1/2 ช้อนชา เกลือ 1/2 ช้อนชา อบเชยป่น 1/2 ช้อนชา คนให้เข้ากันด้วยตะกร้อมือแล้ววางพักไว้ จัดการเปิดเตาอบไว้โดยตั้งปุ่มความร้อน 200 องศาเซลเซียส ปุ่มไฟล่าง ปุ่มเวลา 30 นาที   ลงมือทำด้วยการตีไข่ไก่เบอร์สอง 2 ฟองแค่พอให้ไข่แดงกับไข่ขาวเข้ากัน ใส่ลงไปในชามเปียก ตามด้วยน้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วยตวง (100 กรัม) และน้ำมันคาโนล่า 1/3 ถ้วยตวง (80 มิลลิลิตร) ใช้พายซิลิโคนคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดีแล้วเทชามแห้งลงไป ใช้พายตะล่อมเบาๆ แค่พอให้ส่วนผสมเข้ากัน เพราะถ้าคนแรงและนานมัฟฟินของป้าเจี๊ยบจะแข็งโป๊ก...อิอิ   แบ่งตักใส่ถ้วยมัฟฟินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 ซม. จำนวน 8 ถ้วย โรยหน้าทุกถ้วยด้วยลูกเกด แครนเบอร์รี และเมล็ดฟักทอง วางถ้วยลงในถาด นำเข้าเตาอบ   เมื่อครบเวลา 5 นาที ปรับปุ่มความร้อนเป็น 175 องศาเซลเซียส ปุ่มไฟบน-ล่าง ปุ่มเวลา 15 นาที พอได้ยินเสียงติ๊ง! เป็นอันเสร็จเรียบร้อย นำออกจากเตามาวางพักไว้   มัฟฟินข้าวโอ๊ตถูกใจบรรดาเพื่อนๆ วัยเน้นสุขภาพกันทุกคน ป้าเจี๊ยบทำชิ้นใหญ่กว่าทำให้เสียงทิพย์ เพื่อนๆ จุฬาฯ เลยกินแบบโครงการหารสอง!  

  เนื้อเค้กชิฟฟอนนุ่มฟู ที่เพิ่มความหอมด้วยใบเตย และมะพร้าวอ่อน เป็นขนมที่ใครกินก็ต้องเลิฟแน่นอน   ส่วนผสม (ทำได้ 10 ถ้วย) ไข่ไก่เบอร์ 1 3 ฟอง น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด (1) 1/3 ถ้วย น้ำตาลทรายบดละเอียด (2) 1/3 ถ้วย น้ำใบเตยเข้มข้น 1/4 ถ้วย น้ำมันรำข้าว 2 ช้อนโต๊ะ กะทิ 1/4 ถ้วย แป้งเค้ก 1 ถ้วย ผงฟู 1 ช้อนชา ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา เนื้อมะพร้าวอ่อน 1 ผล วิธีทำ แยกไข่แดงและไข่ขาวเตรียมไว้ ผสมไข่แดงกับน้ำตาลทราย (1) คนให้เข้ากัน ใส่น้ำใบเตย น้ำมันรำข้าว และกะทิ คนให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้กและผงฟู ผสมให้เข้ากัน พักไว้ ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาร์ทาร์ให้เข้ากัน ค่อยๆ ใส่น้ำตาลทราย (2) ตีต่อจนหมดน้ำตาลและเป็นครีมข้นอยู่ตัว ตักไข่ขาวผสมกับส่วนผสมไข่แดง ตะล่อมให้เข้ากัน ตักหยอดใส่พิมพ์ถ้วยคัปเค้ก แต่งด้วยมะพร้าวอ่อน นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 20-25 นาทีจนเค้กสุกหอม 

  ขนมเค้กเนื้อนุ่มๆทำจากไข่ มีไส้คัสตาร์ดรสนมสด   ส่วนผสมขนมไข่ (สำหรับ 18 ชิ้น) แป้งสาลีอเนกประสงค์ 150 กรัม น้ำตาลทราย 180 กรัม ไข่ไก่เบอร์สอง 3 ฟอง นมสดรสจืด 1/4 ถ้วย กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา พิมพ์จีบสำหรับอบทาเนยขาวเตรียมไว้ ส่วนผสมคัสตาร์ด ผงคัสตาร์ดสำเร็จรูป 100 กรัม นมสด 300 กรัม วิธีทำ เตรียมส่วนผสมคัสตาร์ดโดยผสมผงคัสตาร์ดกับนมสด คนให้เข้ากัน ใส่ถุงบีบเตรียมไว้ ทำขนมไข่โดยตีไข่ให้ขึ้นฟู ค่อยๆ ใส่น้ำตาลทรายทีละน้อยจนหมด ใส่กลิ่นวานิลลา ตีจนส่วนผสมเป็นครีม แบ่งแป้งสาลีร่อนใส่ 3 ครั้ง โดยสลับกับนมสด 2 ครั้ง ตะล่อมให้ส่วนผสมเข้ากัน พักไว้ หยอดส่วนผสมแป้งขนมไข่ใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ ประมาณ 2/3 ส่วนของพิมพ์    บีบส่วนผสมคัสตาร์ดใส่ตรงกลาง นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียส เวลา 15-18 นาทีจนสุกเหลือง ยกออกจากเตา พักไว้พออุ่นๆ ค่อยๆ แซะขนมไข่ออกจากพิมพ์

  เมนูขนมโฮมเมดหน้าตาสวยงาม ที่มีวิธีการทำแสนง่าย ใช้วัตถุดิบน้อยแถมอร่อย จะทำกินเองหรือทำเป็นของฝากก็ดีทั้งสอง   ส่วนผสม (ทำได้ 6 ชิ้น) แป้งพายชั้นสำเร็จรูปขนาด 7x10 นิ้ว 3 แผ่น แยมแอปริคอต 1/4 ถ้วย แอปเปิลกาล่า 2 ผล น้ำตาลไอซิงสำหรับโรยหน้า วิธีทำ ผ่าครึ่งแอปเปิลเอาไส้และเมล็ดออก หั่นตามขวางเป็นชิ้นบาง คลุกกับเกลือเล็กน้อย พักไว้ 5 นาที ล้างเอาเกลือออก พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ   ตัดแป้งพายชั้นตามยาว 10x3.5 นิ้ว   ทาแป้งพายด้วยแยมแอปริคอต เรียงแอปเปิลบนแผ่นแป้งให้เลยแผ่นแป้งเล็กน้อย พับแป้งมาปิดแอปเปิลแล้วม้วนเรียงใส่พิมพ์มัฟฟิน นำไปอบที่อุณหภูมิ 190 องศาเซลเซียส เวลา 20 นาทีจนสุกเหลือง พักไว้ให้เย็น โรยน้ำตาลไอซิง

  โมก้าเป็นหนึ่งในขนมคลาสสิกของฝรั่งเศส ตัวขนมจะประกอบไปด้วย Génoise (เยนวส) ซึ่งเป็นส่วนเนื้อเค้กที่ใส่ไซรัปเพื่อให้เนื้อนุ่มหอม และบัตเตอร์ครีมรสกาแฟเนื้อเบาและกลิ่นหอม   เค้กนี้ไม่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้คิดค้น แต่กาแฟเข้ามาในยุโรปในศตวรรษที่ 18 โมก้า (Moka) เป็นกาแฟพันธุ์อะราบิกาที่ดี และสมัยก่อนปลูกมากในเมือง Mocha ประเทศเยเมน ซึ่งเป็นท่าเรือแห่งแรกๆ ที่มีการส่งออกกาแฟ ชื่อจึงนำมาใช้กับขนมชั้นดี กลางศตวรรษที่ 19 ร้านขนมชั้นนำในปารีสได้ทำขนมที่มีกาแฟเป็นส่วนประกอบ   โมก้าจัดเป็นขนมคลาสสิกชนิดหนึ่ง จึงเป็นขนมที่จัดอยู่ในรายการของ CAP (Certificat D’aptitude Professionnelle) หรือ Certificate of Professional Attitude หน่วยงานที่จัดสอบความเป็นมืออาชีพหรือ Professional ของฝรั่งเศส ซึ่งใครที่จะเปิดร้านเป็นคนทำเค้กหรือขนมปังจะต้องสอบผ่านจากหน่วยงานนี้   ขนมนี้จะหอมกลิ่นกาแฟ คนที่ชอบกลิ่นหอมของกาแฟก็น่าจะชอบ   ส่วนผสม Génoise ไข่เบอร์ 0 5 ฟอง น้ำตาลทราย 150 กรัม แป้งอเนกประสงค์ 150 กรัม อุปกรณ์ พิมพ์ขนาด 9 นิ้ว ทาเนยและโรยแป้ง นำไปแช่ตู้เย็นไว้ 10 นาที (ขนมนี้ไม่ต้องใช้กระดาษไขรองก้นพิมพ์)   วิธีทำ ผสมไข่และน้ำตาลในโถปั่น หรือตีด้วยตะกร้อมือจนเข้ากัน ยกขึ้นตีบนน้ำร้อนจัด (หม้อต้องไม่โดนน้ำ) จนส่วนผสมร้อนจัด (65 องศาเซลเซียส)ประมาณ 15 นาที ต้องตีไม่หยุดเลย ยกลงจากไฟ ตีต่อด้วยตะกร้อมือจนเย็น เติมแป้งแล้วตะล่อมให้เป็นเนื้อเดียวกันด้วยพายยาง เทลงพิมพ์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 20 นาที นำออกจากเตาอบ พักไว้ในอุณหภูมิห้องให้เย็น ผ่าเค้กตามแนวนอนเป็น 3 ชิ้น ส่วนผสม Butter Cream ไข่แดง 10 ฟอง น้ำตาลทราย 250 กรัม เนยนุ่ม (ไม่เละ ใช้มือบีบได้) 300 กรัม Coffee Extract วิธีทำ ใส่น้ำตาลในหม้อ เติมน้ำให้เปียก ตั้งไฟให้เดือดจนวัดอุณหภูมิได้ 118 องศาเซลเซียส ระหว่างต้มน้ำตาล ตีไข่แดงในโถปั่นให้เข้ากันจนเป็นสีนวลขาว พอน้ำตาลได้ที่ เทลงในโถไข่แดงระหว่างที่ตีอยู่จนน้ำตาลหมด ตีด้วยความเร็วสูงสุดจนส่วนผสมเย็น (อุณหภูมิห้อง) ค่อยๆ เติมเนยนุ่มจนหมด ตีต่อไปจนเนียน ใส่ Coffee Extract ส่วนผสมและวิธีทำน้ำเชื่อม Sirop De Punchage น้ำ 500 กรัม น้ำตาล 250 กรัม ฝักวานิลลา โปยกั๊ก อบเชยแท่ง ผิวเลมอน และลิเคียวร์ ตามชอบ ต้มทั้งหมดรวมกันจนมีกลิ่นหอม ใส่ลิเคียวร์เมื่อเย็นแล้ว วิธีประกอบ Moka Cake อบอัลมอนด์สไลซ์ในไมโครเวฟจนสีสวย ทาน้ำเชื่อมบนเยนวสให้เนื้อเค้กฉ่ำ ทาบัตเตอร์ครีมให้ทั่วทุกชิ้น วางซ้อนกันเป็นชั้น และทาบัตเตอร์ครีมทั่วทั้งตัวเค้ก โรยอัลมอนด์สไลซ์ให้สวยงาม

  “Stollen” ชื่อคลิปที่พี่ป้อม เพื่อนรักของป้าแจงส่งมาให้ป้าเจี๊ยบค่ะ แม้จะไม่มีข้อความใดใดติดตามมาด้วยก็พอจะรู้นัยของเรื่อง...อิอิ   ชโตลเลิน...เพิ่งเคยได้ยินนะคะ ดูคลิปจบจึงรู้ว่าเป็นขนมปังชนิดหนึ่งของคนเยอรมัน มองผาดๆ คล้ายจะเป็นญาติห่างๆ ของฟรุตเค้ก แต่ไม่ใช่เค้กเพราะใช้ยีสต์ไม่ใช่ผงฟู   คลิปนั้นทำให้ป้าเจี๊ยบต้องออกท่องเน็ตเพื่อทำความรู้จักกับขนมปังเยอรมันชนิดนี้ โอ้โห...มีสูตรหลากหลายมากมายจนตาลายเลยค่ะ ลองเลือกมาหนึ่งสูตร ปรับลดโน่นเพิ่มนี่เปลี่ยนนั่นตามวัตถุดิบที่ตัวเองมีอยู่แล้ว จนได้ชโตลเลินออกมาหนึ่งก้อน   ระหว่างอบกลิ่นปังชนิดนี้หอมฟุ้งทั่วบ้าน ไม่รู้เป็นเพราะป้าเจี๊ยบไม่มีเหล้ารัมตามสูตร เลยใช้เตกีลาที่มีอยู่แทนหรือเปล่านะ ขนาดน้องแพรแวะมาหลังจากทำเสร็จหลายชั่วโมงยังถามว่า “ทำอะไรคะ หอมจัง!”   ทันทีที่อบเสร็จป้าเจี๊ยบรีบชิมตอนอุ่นๆ ทั้งๆ ที่ในสูตรบอกว่าให้บ่มไว้อย่างน้อย 3 วัน ขอบอกเลยว่าว้าว! ชอบมากกว่าฟรุตเค้กนะ เพราะเนื้อสัมผัสมีความร่วนนิดๆ คล้ายคุกกี้ สอบผ่าน ห่อเก็บไว้มอบให้พี่ป้อมได้   ป้าเจี๊ยบฝากป้าแจงไปให้พี่ป้อม ป้าแจงรู้จักชโตลเลินเพราะมีเพื่อนเยอรมันเคยทำมาให้กิน พอเห็นชโตลเลินฝีมือป้าเจี๊ยบรีบบอกว่า “โอ้โห...ผลไม้เยอะกว่าที่เคยกินหลายเท่าเลยนะเนี่ย”...ฮา   ปีนี้สถานการณ์โควิดเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายต้องระวังกันไป พอฉีดวัคซีนเข็ม 3 กันเรียบร้อยแล้ว ป้าเจี๊ยบคิดถึงเพื่อนๆ จึงนัดกันกลุ่มเล็กๆ มากินข้าวที่บ้าน ตั้งใจทำปังผลไม้ไว้โชว์ตัวเลยค่ะ   ป้าเจี๊ยบเตรียมแช่ลูกเกด 120 กรัมไว้ในเหล้า 25 กรัม ทิ้งไว้ข้ามคืน เหล้าที่ใช้ยังเป็นเตกีลาค่ะ เพราะยังไม่มีโอกาสออกไปหาซื้อรัมหรือเบอร์เบินมาใช้   ลงมือผสมแป้งอเนกประสงค์ 85 กรัม ยีสต์แบบ Instant 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 25 กรัม นมจืด 45 กรัมในชาม ใช้พายคนจนส่วนผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน พักแป้งโดโดยคลุมปากชามด้วยผ้าให้แป้งฟูขึ้นเท่าตัว ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง   ระหว่างรอป้าเจี๊ยบปั่นถั่วอัลมอนด์ 15 กรัมจนละเอียดเป็นผง ใส่ลงในชามที่มีแป้งอเนกประสงค์ 80 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา เครื่องเทศ 1/8 ช้อนชา (อบเชยป่น+กานพลูป่น+ลูกกระวานป่น+ดอกจันทน์ป่นอย่างละนิดละหน่อย) ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน พักไว้   จากนั้นนำเนยแท้ 80 กรัมมาวางไว้ให้นิ่มที่อุณหภูมิห้อง เตรียมผลไม้แห้ง มีเปลือกส้มเชื่อม 30 กรัม แอปริคอต 30 กรัม แครนเบอร์รี 30 กรัม    เมื่อแป้งโดขึ้นฟูดีแล้วป้าเจี๊ยบเทแป้งที่ผสมไว้และเนยลงไปในชาม ขยำและนวดจนโดเนื้อเนียน รวบเป็นก้อนกลม วางบนเคาน์เตอร์แล้วใช้ลูกกลิ้งคลึงแผ่ออกเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดประมาณ 8x10 นิ้ว นำผลไม้แห้งและลูกเกดมาโรยจนทั่ว พับด้าน 8 นิ้วให้ขอบมาชนกันตรงกลาง ใช้ลูกกลิ้งคลึงกดแป้งโดให้เรียบแล้วพับประกบกันอีกครั้ง นำไปวางพักบนถาดอบ คลุมผ้าพักไว้อีกประมาณ 30 นาที   เมื่อครบเวลาแล้วนำเข้าเตาอบที่ตั้งปุ่มไฟบน-ล่าง ปุ่มความร้อน 165 องศาเซลเซียส หรือ 325 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มเวลา 40 นาที   ติ๊ง! นำออกจากเตาอบมาพักไว้บนตะแกรงจนเย็นสนิท ใช้แปรงทาผิวหน้าให้ทั่วด้วยเนยละลายแล้วโรยน้ำตาลไอซิง ห่อด้วยแผ่นฟิล์มถนอมอาหาร นำไปบรรจุไว้ในกล่องพลาสติก บ่มไว้ในตู้เย็นสามสี่วันเพื่อสร้างรสชาติให้ดียิ่งขึ้น   เพื่อนๆ มากินกลางวันนะคะ แต่อยู่คุยกันจนถึงเวลาน้ำชายามบ่าย โดยมีปังผลไม้เป็นนางเอก

  ประเทศญี่ปุ่นในอดีตมีขนมหวานที่เรียกกันว่าวากาชิ (Wagashi) โดยส่วนผสมหลักจะมีถั่วแดงและแป้งข้าวเหนียว จนเมื่อศตวรรษที่ 16 ประเทศโปรตุเกสและสเปนได้เดินทางเข้ามาค้าขาย และได้นำขนมที่ทำด้วยแป้งสาลีและน้ำตาลเข้ามาด้วย ซึ่งเป็นของใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักและแพร่หลาย ต่อมาขนมนี้ก็มีอิทธิพลทำให้ขนมญี่ปุ่นแบบโบราณอย่างวากาชิเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปด้วย ในที่สุดเค้กประเภทสปันจ์เค้ก (Sponge Cake) ของญี่ปุ่นก็เนื้อเบาขึ้น   เค้กของญี่ปุ่นนี้ผู้เขียนชอบ Jiggly Fluffy Cake ที่สุด เป็นเค้กธรรมดาทั่วไปในญี่ปุ่นและมีขายกันในร้านสะดวกซื้อ หน้าตาเหมือนชีสเค้กแต่เนื้อนุ่มเบา เพราะมีไขมันและน้ำตาลน้อยกว่าพวกชีสเค้กทั่วไป เค้กนี้เมื่ออบเสร็จก็ตัดทานได้เลยไม่ต้องแช่เย็น โดยทั่วไปมักจะโรยหน้าด้วยไอซิง แต่ราดด้วยกูลี (Coulis) ซอสเนื้อเบานุ่มทำจากผลไม้โดยเฉพาะเบอร์รีจะอร่อยมาก   คนญี่ปุ่นชื่นชอบพวกขนมฝรั่งเศสมาก เมื่อมีโอกาสได้ไปเที่ยวยุโรปกว่า 10 ปีที่แล้ว คนญี่ปุ่นก็จะทานแทบทุกอย่าง จนมีคนเปรียบเทียบว่าทานทุกอย่างเหมือนกับคนอเมริกันชอบจังก์ฟู้ด (Junk Food) จนในชีวิตปกติจะชอบทานขนมเป็นพิเศษ เมื่อมีงานก็จะฉลองกันด้วยขนม แต่เพราะน้อยบ้านจะมีเตาอบ จึงต้องซื้อจากร้าน ทำให้ร้านขนมเกิดขึ้นทั่วไป ร้านขนมชื่อดังของฝรั่งเศส เช่น Pierre Hermé เปิดร้านแรกในกรุงโตเกียวในปี ค.ศ. 1998 François Pralus และ Jean-Paul Hévin คนทำขนมชื่อดังของฝรั่งเศสก็ไปเปิดร้านในญี่ปุ่น ส่วนพวกฝรั่งเศสเองก็แสวงหาส่วนผสมแปลกๆ จากญี่ปุ่นมาผสมผสานกับของที่มีอยู่ เปิดร้านขนมญี่ปุ่นในฝรั่งเศส เช่น Tomo และ Toraya   ส่วน Jiggly Fluffy Japanese Cake นี้เป็นขนมญี่ปุ่นง่ายๆ ซึ่งทำได้เองที่บ้านอย่างไม่ยุ่งยาก   ส่วนผสม ไข่เบอร์0 6 ฟอง เนยละลาย 70 กรัม นมสด 65 กรัม น้ำตาลทราย 20+20 กรัม ผิวเลมอน 1 ผล น้ำเลมอน 1/2 ผล เกลือ 1 หยิบมือ แป้งสาลีอเนกประสงค์ 110 กรัม อุปกรณ์ พิมพ์เส้นผ่าศูนย์กลาง 20 เซนติเมตร สูงอย่างน้อย 8 เซนติเมตร กรุกระดาษไขที่ก้นพิมพ์และรอบพิมพ์ให้เป็นทรงสูงขึ้นมา   วิธีทำ แยกไข่ขาวและไข่แดง เตรียมไว้ เทเนยละลายใส่อ่างผสม เติมนม น้ำตาลทราย 20 กรัม ผิวเลมอน ตีด้วยตะกร้อมือให้เข้ากัน ร่อนแป้งลงในส่วนผสม ตีให้เข้ากัน ใส่ไข่แดง ตีผสมให้เข้ากันดี ตีไข่ขาวจนตั้งยอดอ่อน เติมน้ำเลมอนทีละน้อย เติมเกลือ และน้ำตาล 20 กรัม แบ่งไข่ขาว 1/3 ส่วนใส่ในส่วนผสมไข่แดง ตะล่อมให้เข้ากัน แล้วเทลงในไข่ขาว ตะล่อมให้เข้ากันดี เทใส่พิมพ์ เคาะบนโต๊ะ 2-3 ครั้งเพื่อไล่อากาศ อบด้วยวิธีหล่อน้ำ โดยใช้ถาดใส่น้ำร้อนและวางพิมพ์ลงในถาด นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 135-145 องศาเซลเซียส นาน 50 นาที นำออกจากเตาอบ เคาะบนโต๊ะ 2-3 ครั้งให้ขนมหลุดจากพิมพ์ พักบนผ้าประมาณ 20 นาที