เป็นธรรมดาที่หลายคนทิ้งทวนช่วงปลายปีด้วยปาร์ตี้สุดเหวี่ยงในคืนวันศุกร์ แล้วงัวเงียขึ้นมาอีกทีตอนแดดแรงแยงตาพร้อมความหิวที่พุ่งมาเล่นงาน ทีม G&C ปลอบใจคนตื่นมากินมื้อเช้าไม่ทันด้วยเรื่องราวของ “บรันช์” (Brunch) มื้อสายแสนสุขที่ตอนนี้กลายเป็นมื้อสนิทสนมกับคนไทยไปแล้ว

ใครบุกเบิกคำว่า “Brunch” ?
จะว่าไป บรันช์ (Brunch) ไม่ใช่มื้ออาหารที่ซับซ้อนขนาดนั้น แต่เป็นมื้ออาหารของคนตื่นสาย หรือคนที่ไม่ปรารถนาในการกินมื้อเช้ากับใครเขา คำว่า “บรันช์” ปรากฏครั้งแรกในปี ค.ศ. 1895 ผ่านงานเขียนชื่อ Brunch: A Plea โดย Guy Beringer นักเขียนชาวอังกฤษที่ตีพิมพ์ใน Hunter’s Weekly ซึ่งเขียนไว้ว่า “ผมคิดว่าเราควรลองมื้อ Brunch ซึ่งเป็นการรวมกันของมื้อเช้าและมื้อเที่ยง เริ่มตั้งแต่ 12.30 ถึงบ่ายโมงครึ่ง ประกอบด้วยปลาและเนื้อสองสามอย่าง”
ตามด้วยความเห็นที่ว่าการกินบรันช์จะช่วยลดความจำเป็นในการตื่นเช้า แถมยังเป็นมื้อที่เหมาะกับการพูดคุยสังสรรค์ มีชีวิตชีวา กระตุ้นบทสนทนา ปัดเป่าความกังวลอ่อนล้าของทั้งสัปดาห์ออกไป ต่างจากการกินอาหารเช้าแบบเงียบๆ แล้วยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า “เบียร์และวิสกี้สามารถแทนที่ชาและกาแฟได้” บรันช์จึงเป็นการรวบและเล่นคำง่ายๆ แต่เก๋จัดของ Breakfast และ Lunch เข้าด้วยกัน เกิดเป็นมื้อใหม่เริ่มต้นในอังกฤษและกลายเป็นมื้อสุดฮิตไปทั่วโลกในปัจจุบัน

ในหนังสือ Brunch: A History โดย Farha Bano Ternikar เล่าถึงเส้นทางของมื้อสายจากบทความพิเศษ News and Notes for Women ใน New Oxford ชื่อ “The Newest Thing in Lunches” ที่เอ่ยถึงแฟชั่นล่าสุดแห่งยุคนั้นว่าเป็นการส่งคำเชิญมากินบรันช์ ซึ่งเสิร์ฟตอน 11 โมง

ส่วนบรันช์ในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นครั้งแรกในเมืองนิวออร์ลีนส์ ในปลายศตวรรษที่ 19 โดยเชื่อว่าร้าน Begue’s เป็นร้านแรกที่เสิร์ฟบรันช์ และหญิงผู้สร้างตำนานคือ มาดามเบกู (Madam Beque) หรือ Elizabeth Kettenring Dutrey Begue ชาวเยอรมันที่อพยพมาตั้งรกรากที่นี่ เธอเสิร์ฟ Second Breakfast (ในเยอรมันเรียกว่า Zweites Frühstück) หรือมื้อเบาๆ ก่อนมื้อเที่ยงให้พ่อค้าชาวฝรั่งเศสทั้งหลายที่ตื่นมาทำงานงกๆ ตั้งแต่เช้ามืดแล้วหิวโซในช่วงสายของวัน หลังจากนั้นบรันช์ก็เบ่งบานขึ้นในนิวออร์ลีนส์

ถึงอย่างนั้นเมืองที่บรันช์ได้รับความนิยมสุดๆ กลับกลายเป็นนิวยอร์กซิตี้ในช่วงปี ค.ศ. 1920-1950 ร้านอาหารและโรงแรมต่างจัด Sunday Brunch สุดหรูให้เหล่าชนชั้นสูงมาพบปะสังสรรค์กันพร้อมกินมื้อสายเลิศๆ ว่ากันว่าโรงแรม Waldorf Astoria เป็นจุดเริ่มต้นของการเสิร์ฟเมนูในตำนานอย่าง Eggs Benedict ซึ่งเกิดขึ้นเพราะนายลีมูเอล เบเนดิกส์ (Lemuel Benedict) แขกของโรงแรมเกิดอาการเมาค้างจึงสั่งเมนูที่ประกอบไปด้วยขนมปังปิ้ง โพชเอ้ก เบคอน และซอสฮอลลันเดสมากินให้หายแฮงก์ แต่ที่มาของเมนูไข่ชนิดนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียง บ้างก็ว่าเป็นเมนูที่คิดโดยร้าน Delmonico’s ที่เชฟจัดเป็นพิเศษให้กับ Mrs. LeGrand Benedict ลูกค้าประจำของร้านที่เกิดอาการเบื่อเมนูเดิมๆ

Brunch Highlights : นอกจาก Eggs Benedict ที่เป็นสัญลักษณ์ของบรันช์ อาหารที่นิยมกินในมื้อสายก็เรียกว่าครอบจักรวาล เพราะรวบเอาอาหารเช้ากับเที่ยงมาไว้ด้วยกันได้หมด ทั้งสารพัดเมนูไข่ แพนเค้ก ครัวซองต์ วัฟเฟิล เฟรนช์โทสต์ ออมเลต แฮชบราวน์ แฮม ชีส ไส้กรอก กีช ฟริตตาตา ซูเฟล่ สลัด แซนด์วิช แซลมอนรมควัน ไปจนถึงจานหลักอย่างซีฟู้ด สเต๊ก ฯลฯ
เมนูบรันช์คงไม่มีอะไรตายตัว สามารถพลิกแพลงได้ตามวัตถุดิบที่ใช้ อย่างในตำราอาหารของ Gale Gand เพสตรีเชฟชาวอเมริกันเจ้าของรางวัล James Beard Award ก็ให้สูตรเมนูบรันช์แบบวาไรตี้ไว้ร่วม 100 เมนู อาทิ Baked Eggs in Ham Cups ที่นำแฮมมาทำเป็นถ้วย ใส่เพสโตลงไป ตอกไข่ ใส่ชีสมอซซาเรลลา มะเขือเทศ โรยเกลือ พริกไทยแล้วนำไปอบให้ไข่ขาวสุก ไข่แดงยังเยิ้มอยู่ หรือ Poached Salmon with Cucumber Yogurt โพชแซลมอนจับคู่กับโยเกิร์ตแตงกวาแสนสดชื่นก็ช่วยเติมความสนุกให้มื้อสายได้
ส่วนเครื่องดื่มที่นึกถึงแบบทันทีคือบลัดดี้แมรี (Bloody Mary) คลาสสิกค็อกเทลสีแดงที่มีส่วนผสมหลักคือน้ำมะเขือเทศและวอดก้า จิบแล้วสดชื่นตาสว่าง เป็นค็อกเทลที่นิยมดื่มตอนกลางวันและแก้อาการเมาค้างได้ชะงัดนัก
นอกจากบรันช์จะทำกินเองได้ที่บ้าน เมนูซันเดย์บรันช์ตามโรงแรมก็ละลานตาและมีให้ลิ้มลองกันนานแล้ว ปิดไปบ้าง เปิดใหม่บ้างตามเวลา ล่าสุดที่ห้องอาหารวูว์ (VIU) โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ เพิ่งเปลี่ยนโฉมใหม่มาเป็นสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนก็ถือโอกาสเปิดตัว Signature Sunday Brunch ซันเดย์บรันช์ที่มาเสิร์ฟถึงโต๊ะ ชวนให้นึกถึงบรรยากาศกินมื้อสายกับครอบครัวที่บ้าน ส่วนเมนูก็หรูหรา ทั้งครอสตินีหน้าฟัวกราส์ สลัดปลาหมึกยักษ์ ราวิโอลีขาเป็ดตุ๋น เฟตตูชินีซอสเห็ดและเห็ดทรัฟเฟิล รวมถึงเมนูของหวานอย่างทีรามิสุ เลือกแพริ่งกับไวน์หรือแชมเปญได้เลยตามรสนิยม


ร้าน All Day Dining ต่างกับร้าน Brunch ตรงไหน?
คำถามต่อมาคือนอกจากร้านบรันช์แบบเฉพาะเจาะจง เราจะไปนั่งกินบรันช์ในร้านแบบ All Day Dining ได้ไหม? คำตอบคือได้เพราะ All Day Dining Restaurant หมายถึงร้านที่เปิดบริการแบบตลอดทั้งวัน (ซึ่งเราเห็นได้บ่อยๆ ตามโรงแรม) ส่วนเมนูก็มีทั้งมื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อค่ำ ไม่ว่าจะเดินเข้าร้านตอนไหนก็ไม่เป็นปัญหา นอกจากยืดหยุ่นเรื่องเวลาแล้วยังมีเมนูหลากหลาย เพราะฉะนั้นจะบอกว่าบรันช์เป็นพาร์ตหนึ่งของร้าน All Day Dining ก็ย่อมได้ อย่างร้าน Copine ย่านสาทรก็มีบรันช์แสนอร่อยไว้รอเสิร์ฟ หรือจะไปลอง CUT Chef's Table เชฟส์เทเบิลเปิดใหม่ย่านอารีย์ก็มีเมนูน่าลองเพียบ
Tag:
Brunch, บรันช์, อาหารมื้อสาย, เทรนด์อาหาร
ความคิดเห็น