ปี ค.ศ. 2025 เรียกได้ว่ากระแสของเบเกอรี่กลับมาแรงอีกครั้ง G&C ขอเสนอขนมปังทำง่ายนำมาสร้างสรรค์กับมายองเนสตราคิวพี (Kewpie) ที่ช่วยเพิ่มความหวานมันและครีมมี่ให้ขนมปังมากยิ่งขึ้น อย่าง ขนมปังทอดไส้หมูแดง แป้งขนมปังนำมาห่อไส้หมูแดงผสมมายองเนสเป็นลูกรักบี้ นำไปทอดจนแป้งผิวนอกกรอบเนื้อในชุ่มฉ่ำ เมนูขนมปังทำง่าย ทำที่บ้านได้อร่อย เบเกอรี่ร้านไหนทำก็รับรองว่าปัง!   ส่วนผสม แป้งโดขนมปัง (สูตรเดิม) แบ่งแป้งก้อนละ 60 กรัม 10 ลูก เนื้อสันคอหมูหั่นเต๋าเล็ก 500 กรัม รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลมะพร้าว 1/3 ถ้วย ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 1 ถ้วย มายองเนส มายด์ไทป์ ตราคิวพี 150 กรัม น้ำมันสำหรับผัด 1 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่ 1 ฟอง เกล็ดขนมปัง 2 ถ้วย สีผสมอาหารสีส้มแดงเล็กน้อย วิธีทำ โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยให้เข้ากัน นำไปผัดกับน้ำมันให้พอหอม ใส่น้ำตาลมะพร้าว เคี่ยวให้เป็นคาราเมล ใส่สันคอหมูคลุกให้เข้ากัน เติมน้ำเปล่าให้พอท่วม ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรมและน้ำปลา ใส่สีผสมอาหาร เคี่ยวจนส่วนผสมงวด พักไว้ให้หายร้อน ใส่มายองเนส มายด์ไทป์ ตราคิวพี ผสมให้เข้ากัน พักไว้ รีดแป้งขนมปังให้เป็นวงรี ใส่ไส้ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ห่อแป้งให้เป็นรูปทรงรักบี้ นำไปคลุกกับไข่ไก่และเกล็ดขนมปัง พักไว้บนกระดาษไขให้แป้งขึ้นฟูนาน 45 นาที นำไปทอดด้วยไฟปานกลางค่อนข้างอ่อนจนสีเหลืองสวยงาม  

มะเขือม่วงกรอบซอสมะขามสูตรนี้ดัดแปลงมาจากสูตร Crispy Chinese Eggplant จากหนังสือ RecipeTin Eats Dinner ของ Nagi Maehashi นักสร้างสรรค์สูตรอาหารเจ้าของบล็อกอาหาร RecipeTinEats ซึ่งเธอก็ดัดแปลงมาจากเมนู Crispy Eggplant with Fish Fragrant Sauce ของร้านอาหารจีนร่วมสมัยในซิดนีย์ที่มีชื่อว่า Mr. Wong ซึ่งเป็นเมนูที่เธอสั่งทุกครั้งที่ไปร้านนี้   มะเขือม่วงทอดซอสมะขามสูตรที่นำมาฝากนี้จึงเป็นเหมือนการส่งต่อสูตรที่มีรสชาติอร่อยและเรื่องราวที่น่าสนใจผ่านหลายมือจนมาถึงครัวของเรา ความพิเศษของเมนูนี้อยู่ที่มะเขือม่วงซึ่งกรอบนอกนุ่มใน เคลือบด้วยซอสหวานเปรี้ยวจากมะขามที่เข้ากันอย่างลงตัว แม้จะใช้เวลาและความพยายามเล็กน้อย แต่รับรองว่าผลลัพธ์จะคุ้มค่าและกลายเป็นจานโปรดได้แน่นอนครับ ส่วนผสมมะเขือม่วงกรอบ มะเขือม่วง 400-500 กรัม เกลือ 1 ช้อนชา น้ำมันพืช สำหรับทอด ส่วนผสมแป้งชุบทอด แป้งสาลีอเนกประสงค์ 50 กรัม แป้งข้าวโพด 80 กรัม ผงฟู 1/2 ช้อนชา เกลือ 1/2 ช้อนชา น้ำโซดา (เย็นจัด) 165 มิลลิลิตร ส่วนผสมซอสมะขาม น้ำตาลทราย 90 กรัม น้ำตาลมะพร้าว 50 กรัม มะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ เหล้าจีน 2 ช้อนโต๊ะ ผงพะโล้ 1/4 ช้อนชา กระเทียมบด 1 กลีบ สำหรับเสิร์ฟ งาขาวคั่ว พริกชี้ฟ้าซอย หอมเจียว ต้นหอมซอย วิธีทำ ล้างมะเขือม่วงให้สะอาด หั่นเป็นแท่งยาวประมาณ 8 เซนติเมตร หรือขนาดตามชอบ โรยเกลือ คลุกเคล้าให้ทั่ว พักไว้ประมาณ 10 นาที จากนั้นซับน้ำออก พักไว้ เตรียมส่วนผสมแป้งโดยผสมแป้งสาลี แป้งข้าวโพด ผงฟู และเกลือเข้าด้วยกัน ค่อยๆ เติมน้ำโซดา คนแค่พอเข้ากัน ตั้งน้ำมันในกระทะให้ร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 180 องศาเซลเซียส นำมะเขือม่วงลงชุบแป้งทีละชิ้นให้ทั่ว แล้วนำลงทอดในน้ำมันจนสีเหลืองกรอบ ประมาณ 3 นาที พักบนตะแกรง ทำซ้ำจนหมด เร่งอุณหภูมิน้ำมันขึ้นที่ 200 องศาเซลเซียส นำมะเขือม่วงลงทอดซ้ำรอบที่สองเพื่อให้กรอบมากขึ้น ตักออกมาพักไว้ ใส่ส่วนผสมซอสมะขามทั้งหมดในหม้อใบเล็ก ตั้งไฟปานกลาง คนจนส่วนผสมเดือดข้นและเหนียว ยกออกจากเตา นำมะเขือม่วงทอดกรอบเคล้าลงในซอส จัดเรียงใส่จาน ราดซอสมะขามให้ทั่ว โรยงาขาวคั่ว พริกชี้ฟ้าซอย หอมเจียว และต้นหอม

หมี่กรอบที่หลายคนชื่นชอบ เชฟเอตั้งใจเสิร์ฟเป็นคำให้กินสะดวก เส้นหมี่ทอดกรอบ หอมกลิ่นน้ำมะขามเปียกและน้ำส้มซ่า ผสมกับธัญพืชต่างๆ ช่วยเพิ่มสัมผัสกรุบกรอบ   ส่วนผสม เต้าเจี้ยว 10 กรัม | น้ำตาลปี๊บ 70 กรัม | น้ำมะขามเปียก 20 กรัม | น้ำกระเทียมดอง 15 กรัม | น้ำส้มซ่า 30 กรัม | พริกป่นละเอียดเล็กน้อย | เกลือเล็กน้อย | น้ำมันพืช 10 กรัม | เส้นหมี่แห้ง 100 กรัม | อัลมอนด์หั่นแท่งอบ 30 กรัม | ข้าวเม่าคั่ว 40 กรัม | เมล็ดทานตะวันอบ 30 กรัม | กระเทียมสับ 5 กรัม | หอมแดงสับ 10 กรัม | กระเทียมดองสับ 5 กรัม | ผิวส้มซ่าขูด 2 กรัม | น้ำมันสำหรับทอด 1 ลิตร   วิธีทำ นำเส้นหมี่ผ่านน้ำ กระจายให้เส้นไม่ติดกัน พักให้แห้งและชื้นเล็กน้อย ตั้งกระทะใส่น้ำมันสำหรับทอดรอจนร้อนจัด ใส่เส้นหมี่ลงทอดให้ฟูกรอบเป็นสีเหลืองอ่อนๆ ตักขึ้น พักให้เย็น ผัดกระเทียมสับ หอมแดงสับ และกระเทียมดองสับกับน้ำมันพืชจนสุกนิ่มและหอม ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก เต้าเจี้ยว น้ำกระเทียมดอง พริกป่น และเกลือเล็กน้อย เคี่ยวให้น้ำตาลละลาย เติมน้ำส้มซ่า เคี่ยวให้ข้นเหนียว (หยดซอสลงในถ้วยน้ำสะอาดเพื่อเช็กความข้นหนืด ซอสจะจับตัวเป็นก้อนนิ่มในน้ำสะอาด) ปิดไฟ นำเส้นหมี่ลงคลุกในซอส ค่อยๆ แบ่งใส่เป็น 3 ส่วน โรยข้าวเม่า อัลมอนด์และเมล็ดทานตะวันสลับกับเส้นหมี่ทอดให้ทั่ว โรยผิวส้มซ่าขูด เคล้าให้เข้ากัน ใส่ในพิมพ์ไว้ อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส นำหมี่กรอบเข้าเตาอบประมาณ 20 นาทีเพื่อให้อยู่ทรงและกรอบ พักให้เย็น จัดเสิร์ฟหรือจัดเก็บใส่กล่องที่ปิดฝาสนิท วางในอุณหภูมิห้อง สามารถจัดเก็บได้ 2 สัปดาห์

ใครอยากได้เมนูสแน็กทำง่ายเคี้ยวเพลินๆ ต้องลอง สาหร่ายงาคั่วอบกรอบ ของกินเล่นสไตล์ญี่ปุ่น ที่ทำครั้งเดียวแต่เก็บไว้ความอร่อยไว้ได้นาน   ส่วนผสม สาหร่ายห่อข้าว 8 แผ่น งาขาวคั่ว 1/4 ถ้วย โชยุ 1/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย เกลือป่น 1/2 ช้อนชา น้ำเชื่อมข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ มิริน 3 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ต้มซอสโดยใส่โชยุ น้ำตาลทราย เกลือ น้ำเชื่อมข้าวโพด และมิรินลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือด เคี่ยวจนข้น ยกลง พักไว้ให้เย็น วางแผ่นสาหร่าย ทาซอสให้ทั่ว โรยงาคั่วให้ทั่ว เตรียมไว้ ทาซอสบนสาหร่ายอีกแผ่นแล้วประกบกับแผ่นสาหร่ายโรยงา ใช้ไม้คลึงแป้งคลึงทับให้ติดกัน เรียงบนตะแกรง นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เวลา 30 นาที จนสาหร่ายแห้งกรอบ นำสาหร่ายออกจากเตาอบ พักไว้ 5 นาที ตัดเป็นชิ้น ใส่กล่องปิดฝา

จะเป็นยังไงถ้าปาท่องโก๋มาอยู่ในแบบครัวซองต์? นำไปจับคู่กับน้ำเต้าหู้หรือดิปกินกับนมข้นหวานก็เข้ากัน   ส่วนผสม แป้งขนมปัง 300 กรัม น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1/4 ช้อนชา ยีสต์ผง 1 1/2 ช้อนชา นมผง 30 กรัม นมสดอุ่น 1/2 ถ้วย เนยสดเค็ม 30 กรัม ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 1 ฟอง น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ผสมแป้งขนมปัง น้ำตาลทราย เกลือ ยีสต์ผง และนมผงเข้าด้วยกัน ใส่นมสดอุ่น ไข่ไก่ น้ำเปล่า นวดพอเข้ากัน ใส่เนยสด นวดต่อให้เข้ากันจนแป้งเนียน พักแป้งไว้จนขึ้นฟูเป็น 2 เท่า ตัดเป็นก้อนเล็กๆ ประมาณ 25 กรัม คลึงให้กลมวางเรียงเป็นแถวไว้ นำแป้งแต่ละก้อนมารีดเป็นแผ่นสามเหลี่ยม ม้วนแล้วพักแป้งไว้ให้ขึ้นฟู ตั้งหม้อน้ำมันให้ร้อน ใส่โก๋ซองต์ลงทอดให้สุกเหลือง ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จาน โรยไอซิง  

จับเอาของโปรด 2 เมนูมามิกซ์กันซะเลย แปลงโฉมกุยช่ายแบบเดิมๆ ให้กินสนุกหอมมันจากมันฝรั่งแบบเต็มคำ ดิปกับน้ำจิ้มรสเด็ดรับรองว่าฟิน!   ส่วนผสม ใบกุยช่ายซอย 3 ถ้วย มันฝรั่งหั่นเต๋า 4 ถ้วย แป้งข้าวโพด 1 1/2 ถ้วย เกลือป่น 1 ช้อนชา น้ำมันสำหรับทอด ส่วนผสมน้ำจิ้ม ซีอิ๊วขาว 1/2 ถ้วย ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย พริกแดงโขลกกับกระเทียม 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ต้มมันฝรั่งให้สุกนุ่มแล้วบดให้ละเอียด ใส่แป้งข้าวโพดและเกลือป่น ผสมให้เข้ากัน ใส่ใบกุยช่ายซอย ผสมให้เข้ากัน พักไว้ ทำน้ำจิ้มโดยใส่ส่วนผสมทั้งหมด ต้มให้เดือด ชิมรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ด และหวานตามชอบ เตรียมไว้ รีดมันฝรั่งกุยช่ายเป็นแผ่นหนา 1 เซนติเมตร ตัดเป็นแท่งยาว 3 นิ้ว กว้าง 1 เซนติเมตร ตั้งกระทะน้ำมันให้ร้อน ใส่มันฝรั่งกุยช่ายลงทอดให้เหลืองกรอบ ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จานเสิร์ฟกับน้ำจิ้ม

อินเดียครั้งที่ 4 คราวนี้ป้าเจี๊ยบตั้งใจไปสักการะ 4 สังเวชนียสถานค่ะ   ญาติมิตรไปกันหมดแล้ว เหลือแต่ป้าเจี๊ยบ เพราะได้ยินแต่เรื่องความยากลำบากในการเดินทางและที่พัก จนกาลเวลาผ่านไปนับสิบๆ ปี   ปีนี้ยังมีชีวิตรอดอยู่จนถึงรอบที่ 6 สมควรจัดการพาตัวเองไปก่อนที่จะหมดแรง ฮา!   ป้าเจี๊ยบดีใจที่รอมาถึงตอนนี้ เพราะอากาศดี ที่พักดี อาหารอร่อย กินได้ นอนหลับ รถบัสทันสมัย เส้นทางสะดวก ห้องน้ำดี ไม่ต้อง ป.ต.ท. (ไปตามทุ่ง) เหมือนสมัยก่อน อิอิ   ป้าเจี๊ยบรู้สึกปีติสุขตลอดการเดินทาง นอกจากทำบุญแล้วยังได้ทบทวนความรู้เกี่ยวกับพุทธประวัติที่เคยเรียนและอ่านมาตั้งแต่เด็กๆ นำมาเชื่อมโยงกับของจริงที่ปรากฏต่อสายตา และได้เพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ อีกมากมาย   ริมถนนบนเส้นทางใกล้ชายแดนอินเดียก่อนข้ามไปเนปาลเพื่อสักการะสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า มีศูนย์ดูแลผู้แสวงบุญพุทธภูมิ 960 ที่วัดไทยนวราชรัตนาราม ให้บริการห้องสุขาระดับห้าดาว เครื่องดื่มร้อนเย็นและโรตีอรีดอย ค่าบริการแบบหยอดตู้ตามศรัทธา     ป้าเจี๊ยบเห็นสามเณรอินเดียร่างใหญ่คลึงแป้งโรตีเตรียมทอดเลี้ยงคณะที่เพิ่งมาถึง จึงเดินเข้าไปเสนอตัวช่วยทันที ท่านดูป้าเจี๊ยบทำแล้วพูดว่า “โยมทำอาหารเป็นแน่ๆ เพราะกว่าอาตมาจะคลึงแป้งได้แบบโยมต้องหัดตั้งนาน”...อิอิ   กินโรตีอรีดอยแล้วป้าเจี๊ยบอุดหนุนแป้งไมด้า (Maida) ที่ใช้ทำโรตีอรีดอย ซึ่งเป็นแป้งสาลีอเนกประสงค์ของอินเดีย 1 ถุง ถุงละ 60 รูปี ข้างถุงมีกระดาษบอกวิธีทำไว้ให้ ขากลับจากเนปาลแวะที่นี่อีกครั้ง ซื้อเพิ่มอีก 2 ถุง จะทำเลี้ยงญาติมิตร เพราะอ่านวิธีทำแล้วไม่พบว่ามีส่วนผสมที่ต้องใส่ผงฟู โซดาไบคาร์บอเนต หรือสารเสริมใดๆ รวมถึงเนยและน้ำมัน ยกเว้นทอดด้วยน้ำมัน...ฮา!   กลับถึงบ้านป้าเจี๊ยบเทแป้ง 1 ถุงลงชาม ใส่ส่วนผสมตามข้อความในกระดาษ คือ “น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1/2 ช้อนชา น้ำเปล่า 2 แก้ว” ปรากฏว่าแป้งแฉะจนนวดไม่ได้ ต้องเพิ่มแป้งอีกถุงทีละนิดไปเรื่อยๆ จนพอนวดได้ ดีนะที่ซื้อมา 3 ถุง!    ป้าเจี๊ยบได้แป้งโดก้อนใหญ่จนต้องห่อแป้งด้วยแผ่นฟิล์มพลาสติกเก็บเข้าตู้เย็นไว้ และแบ่งออกมาทอดเลี้ยงสมาชิกครอบครัวในรายการกินกันวันเสาร์ และเลี้ยงเพื่อนวัฒนาวิทยาลัยอีกสองวันถัดมาในรายการฮาเฮที่เชซ์โรส จึงหมดแป้งรุ่นแรก   รุ่นต่อไปทำกิน 2-3 คน มีการปรับแผนค่ะ ป้าเจี๊ยบตวงแป้งไมด้า 120 กรัมใส่ชาม เติมน้ำตาลทรายละเอียด 5 กรัม และเกลือป่น 1/8 ช้อนชา ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมเข้ากัน    จากนั้นทำบ่อตรงกลาง ใส่น้ำเปล่า 65 กรัมลงไป ใช้พายคนให้แป้งกับน้ำเข้ากัน แล้วใช้มือนวดจนเนียน ไม่ติดมือ แบ่งแป้งเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน ปั้นเป็นก้อนกลมๆ เอาผ้าคลุม พักไว้อย่างน้อย 15 นาที   เมื่อพร้อมกินป้าเจี๊ยบนำก้อนแป้งมาคลึงเป็นแผ่นกลมๆ บางๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว ใช้มีดตัดกากบาทแบ่งเป็น 4 ส่วน ทอดในน้ำมันที่ร้อนประมาณ 160 องศาเซลเซียส จนเป็นสีเหลืองทอง แล้วตักมาวางบนกระดาษซับน้ำมัน   โรตีอรีดอย...กรอบนอก นุ่มใน สดใหม่จากเตา จิ้มนมข้นนิดหน่อย อร่อยง่ายจริงๆ

ครีเอตข้าวเหนียวปิ้งให้มีสีสันขึ้นอีกนิด ด้วยการผสมน้ำอัญชันเข้ากับเนื้อข้าวเหนียวจนได้สีฟ้าสวย วางสลับกับข้าวเหนียวขาวและสีม่วงของไส้เผือก เท่านี้ขนมไทยของเราก็ดูน่ารักขึ้นเป็นกอง   ส่วนผสม ข้าวเหนียว 2 ถ้วย กะทิ 2 1/2 ถ้วย น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำอัญชันแช่ข้าวเหนียว ส่วนผสมไส้เผือก เผือกนึ่งสุก 1 1/4 ถ้วย กะทิ 3/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ผงมันม่วง 2 ช้อนชา วิธีทำ บดเผือกนึ่งสุกกับน้ำตาลทรายและเกลือ ใส่กะทิและผงมันม่วง ปั่นให้ละเอียด เทใส่กระทะ ตั้งไฟปานกลางกวนให้เข้ากันจนแห้ง พักไว้ แบ่งข้าวเหนียวเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 แช่น้ำเปล่า ส่วนที่ 2 แช่น้ำอัญชัน แช่ไว้ 2-3 ชั่วโมง นำไปนึ่งให้สุก ขณะที่นึ่งข้าวเหนียว ผสมกะทิกับน้ำตาลทรายและเกลือเข้าด้วยกัน ตั้งไฟให้เดือด พอข้าวเหนียวสุก ใส่ชามผสม ใส่กะทิที่ต้มไว้ คลุกให้ทั่ว พักไว้ 10 นาทีให้ข้าวเหนียวดูดน้ำกะทิ พักไว้ให้เย็น นำใบตองมาทำกรวย ใส่ข้าวเหนียวสีขาว ใส่เผือกกวน ใส่ข้าวเหนียวสีฟ้า แล้วพับปิดปากกรวย กลัดด้วยไม้ นำไปย่างในกระทะด้วยไฟอ่อนๆ จนหอม   

ทำ ‘ข้าวหลาม’ กินเองได้แบบไม่ต้องเผา แค่มีถ้วยคัปเค้ก ที่ผสมวัตถุดิบแล้วนำเข้าเตาอบ ก็ได้ข้าวหลามหอมฟุ้งเนื้อนุ่มกินเล่นได้กันแล้ว   ส่วนผสม ข้าวเหนียวขาวแช่น้ำ 1 ถ้วย ข้าวเหนียวดำแช่น้ำ 1/4 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย กะทิ 1 1/4 ถ้วย ถั่วดำต้มสุก 1/2 ถ้วย เนื้อมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย วิธีทำ ผสมข้าวเหนียวขาวและข้าวเหนียวดำในชามผสม ใส่กะทิ เกลือป่น และน้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน ใส่ถั่วดำต้มสุกและเนื้อมะพร้าวอ่อน คนให้เข้ากัน ตักส่วนผสมข้าวใส่พิมพ์คัปเค้ก นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส เวลา 45-50 นาทีจนข้าวสุก ก่อนเสิร์ฟ หยอดซอสกะทิเล็กน้อย

ใครที่คุ้นเคยกับเมนูมะม่วงกวน ลองเปิดใจแล้วเปลี่ยนมาลองทำ สตรอว์เบอร์รีกวนกัน สัมผัสนุ่มหนึบรสชาติเปรี้ยวหวาน หอมอบอวลไปทั่วครัวเลย   ส่วนผสม สตรอว์เบอร์รีแช่แข็ง 500 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย วิธีทำ ต้มสตรอว์เบอร์รีแช่แข็งให้นุ่ม เคี่ยวจนสตรอว์เบอร์รีเป็นเนื้อเดียวกัน ใส่น้ำตาลทรายและเกลือ กวนจนแห้ง ตักหยอดลงในถาด นำไปตากแดดจนแห้งสนิท หรือนำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เวลา 2-3 ชั่วโมง หรือจนแห้ง หรือทำสตรอว์เบอร์รีม้วน เมื่อกวนสตรอว์เบอร์รีได้ที่แล้วเทใส่ถาดปาดให้บาง นำไปตากแดดหรือนำเข้าเตาอบด้วยวิธีเดียวกัน

คุกกี้สำหรับคนรักชาเขียวที่แท้จริง! เพิ่มความอร่อยด้วยไส้ไวต์ช็อกรสชาเขียวและความกรุบกรอบจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์   ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 180 กรัม เนยสดเค็ม 120 กรัม น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 100 กรัม นมผง 30 กรัม ผงชาเขียว 15 กรัม ไข่แดง 1 ฟอง เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบสับชิ้นเล็กๆ 1 ถ้วย ส่วนผสมไส้ช็อกชาเขียว ไวต์ช็อกโกแลตชิป 150 กรัม ผงชาเขียว 2 ช้อนชา วิปปิงครีม 1/4 ถ้วย วิธีทำ ผสมแป้งสาลี ผงชาเขียว และนมผง คนให้เข้ากัน พักไว้ ตีเนยสดกับน้ำตาลทรายเข้าด้วยกันจนขึ้นฟู ใส่ไข่แดง คนให้เข้ากัน ใส่ส่วนผสมแป้ง ผสมให้เข้ากัน ปั้นเป็นก้อน นำไปคลุกกับเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้ทั่ว ใส่คุกกี้ลงในพิมพ์ กดให้แน่น จากนั้นกดตรงกลางให้เป็นหลุม เรียงใส่ถาด นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 15-20 นาทีจนสุก พักไว้ ใส่ไวต์ช็อกโกแลตชิปกับผงชาเขียวในชามผสมที่ตั้งบนหม้อน้ำร้อน คนให้พอเข้ากัน ใส่วิปปิงครีม คนให้ส่วนผสมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน ตักหยอดใส่ตรงกลางคุกกี้ พักไว้ให้อยู่ตัว

ส่วนผสม (สำหรับ 4 เส้น) เนื้อหมูสับ 1 1/2 ถ้วย มันหมูแข็ง (ปั่นพอหยาบ) 1/3 ถ้วย เนื้อกุ้งโอคัก 12 ตัว เนื้อปู 1 ถ้วย เนื้อปูก้อนจัมโบ้ 1/2 ถ้วย ไข่ขาว 1 ฟอง ต้นหอมซอย 2-3 ช้อนโต๊ะ ก้านผักชีซอย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ แผ่นฟองเต้าหู้ 1 แผ่น (ใหญ่) วิธีทำ ใช้ด้านหลังมีดสับเนื้อกุ้งให้พอแหลกใส่ลงในชามผสม ผสมเนื้อหมูสับและมันหมูให้เข้ากัน ใส่ส่วนผสมทั้งหมด (ยกเว้นเนื้อปูก้อนจัมโบ้และแผ่นฟองเต้าหู้) นวดและฟาดส่วนผสมจนเนื้อเนียน คลุมด้วยพลาสติกแรปพักไว้ในตู้เย็นนาน 30 นาที ตัดแผ่นฟองเต้าหู้เป็นสี่เหลี่ยมขนาด 20×20 เซนติเมตร วางส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงตรงกลาง ใส่เนื้อปูก้อนจัมโบ้ตรงกลาง ม้วนฟองเต้าหู้ให้แน่น มัดด้วยเชือกให้เป็นลูกขนาดตามต้องการ นำไปนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 5-8 นาที หรือจนเซ็ตตัว พักไว้ให้หายร้อน หั่นให้เป็นชิ้นตามเชือกที่ผูกไว้ทอดในน้ำมันร้อนท่วมด้วยไฟปานกลางค่อนข้างอ่อนจนเป็นสีเหลืองสวยงาม เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มบ๊วย

ครีเอตขนมไทยให้น่ารักขึ้นอีกเป็นกอง ด้วยทองม้วนหลากสีหวานๆ  แถมทำง่ายกว่าที่คิด   ส่วนผสม แป้งมันสำปะหลัง 200 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 80 กรัม น้ำตาลทราย 130 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์ 1 ตีให้เข้ากัน 1/2 ฟอง หัวกะทิ 1 ถ้วย งาดำ 1 1/2 ช้อนชา สีผสมอาหารสีชมพู สีเขียวแอปเปิล สีฟ้า พิมพ์วงกลมสำหรับกดทองม้วน วิธีทำ ผสมแป้งมัน แป้งสาลี น้ำตาลทราย และเกลือ คนให้เข้ากัน ใส่กะทิและไข่ไก่ คนให้เข้ากัน แบ่งเป็น 3 ส่วน ใส่สีผสมอาหาร สีชมพู เขียวแอปเปิล และสีฟ้า สีละ 2 หยด คนให้เข้ากัน ใส่งาดำลงในส่วนผสมแป้งสีละ 1/2 ช้อนชา  ตั้งกระทะไฟอ่อน ตักแป้งหยอดลงกระทะ 1 ช้อนชา ใช้พิมพ์กดให้แบน รอ 1 นาที แล้วกลับอีกด้าน กดแป้งบนกระทะให้สุกอีก 1 นาที นำมาม้วนแล้วพักไว้ ทำจนแป้งหมด

“เจี๊ยบทำเค้กวันเกิดให้เจี๊ยบด้วยนะคะ”   แป๋ว-วันทนี เพื่อนครุศาสตร์จุฬาฯ เจ้าแม่อีเวนต์จัดงานให้เพื่อนๆ ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องโทรมาบอกป้าเจี๊ยบซึ่งชักจะเริ่มเป็นที่หมายปองของเพื่อนๆ ในเรื่องอาหารคาวหวานขึ้นเรื่อยๆ อิอิ   เจี๊ยบอีกคนเป็นเพื่อนวิศวะซึ่งขอให้แป๋วเป็นแม่งานจัดเลี้ยงขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จุฬาฯ ที่ร่วมกันจัดงานแสดงความยินดีให้เธอเมื่อตอนได้รับรางวัลพ่อดีเด่นแห่งชาติ พอแป๋วเห็นว่าวันจัดงาน Thank You Party ตรงกับเดือนเกิดของเจี๊ยบ แป๋วจึงถือโอกาสฉลองวันเกิดให้ด้วยซะเลย   เค้กที่ทำให้ตามคำขอคือเค้กกล้วยหอมช็อกโกแลตหน้าอัลมอนด์ทอฟฟี่ ก่อนลงมือทำก็เปิดดูรายชื่อแขกรับเชิญซะก่อนเพื่อรู้จำนวนคน จะได้กะขนาดเค้กให้พอดี   อ่านแล้วเห็นชื่อเอมอร สัตถาวงษ์ เพื่อนบัญชี FC พีแคน หลานชายอารมณ์ดีของยายเจี๊ยบ และเธอเป็นแฟนคลับขนมทุกชนิดของป้าเจี๊ยบ  นานๆ ทีจะได้เจอกันเพราะเธอไม่ค่อยว่าง เป็นจิตอาสาช่วยทำบัญชีให้วัดต่างๆ พอทำเค้กเสร็จมีอัลมอนด์เหลือ ป้าเจี๊ยบจึงคิดทำขนมกรุบๆ กรอบๆ หวานๆ เค็มๆ มันๆ ไปฝาก   เอมอรชอบเค้กคาราเมลเค็มของป้าเจี๊ยบอย่างมากกกก...งั้นทำอัลมอนด์บริตเทิลคาราเมลเค็มสิคะ เป็นถั่วตัดแบบฝรั่ง เรียกแบบไทยๆ ประมาณว่าอัลมอนด์ตัด หรืออัลมอนด์กระจก ฮา!   ป้าเจี๊ยบจัดการเทอัลมอนด์ดิบชนิดหั่นเป็นแท่ง 3 ถ้วยตวง ลงในถาดอบขนาด 12 × 8 นิ้วที่ปูกระดาษไขไว้แล้ว ใช้มือเกลี่ยให้กระจายสม่ำเสมอกัน นำถาดเข้าเตาอบที่ปุ่มความร้อนอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส หรือ 300 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง ปุ่มเวลา 10 นาที พอได้ยินเสียงติ๊ง นำถาดออกมาวางพักไว้ ปรับปุ่มความร้อนไปที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส หรือ 325 องศาฟาเรนไฮต์ รอไว้   ลงมือทำคาราเมลเค็มโดยใส่น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ เนยสด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลโตนด 1/2 ถ้วยตวง น้ำเชื่อมมะพร้าว 3/4 ถ้วยตวง ดอกเกลือป่น 1/2 ช้อนชาในกระทะทองเหลือง ยกขึ้นตั้งไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ใช้พายซิลิโคนคนอย่างต่อเนื่องให้ส่วนผสมทั้งหมดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน พอส่วนผสมเริ่มเดือดปุดๆ ก็ปิดไฟทันที เทอัลมอนด์ในถาดที่พักไว้ลงไปคลุกเคล้าให้ทั่วแล้วเทกลับคืนลงถาด ใช้พายเกลี่ยให้เรียบเสมอกัน นำเข้าเตาอบที่เปิดไฟทิ้งไว้ ปรับปุ่มเวลาเป็น 30 นาที   ป้าเจี๊ยบต้องคอยจับตามองเตาอบบ่อยๆ เพราะเคยทำคาราเมลสีเข้มจนขมเกินไป พอครบ 15 นาที ยกถาดออกมาหมุนแล้วใส่กลับเข้าไปอบต่ออีก คอยดูสีคาราเมลบริเวณขอบถาด ถ้าสีน้ำตาลเข้มพอแล้วรีบยกออกมาทันที วางถาดพักไว้จนเย็นสนิทก่อนใช้มือบิเป็นชิ้นๆ ใส่กล่องปิดฝาสนิท   เมื่อไปถึงร้านที่จัดงาน ป้าเจี๊ยบแบ่งอัลมอนด์คาราเมลเค็มใส่จานวางให้ทุกโต๊ะ ร่วมกับของกินเรียกน้ำย่อยอื่นๆ ส่วนที่เหลือในกล่องอีกครึ่ง ส่งให้เอมอรซึ่งเก็บใส่ถุงผ้าของตัวเองทันที แล้วหยิบกินจากในจาน หุหุ   เบรกแตกจริงๆ เพราะระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ถั่วตัดฝรั่งที่วางไว้หมดเกลี้ยง! ได้ยินเสียงถามว่ามีอีกมั้ย? เอมอรเงียบ... ป้าเจี๊ยบเลยต้องเงียบตาม ฮา! 

“งาขี้ม้อน!”   ป้าเจี๊ยบซื้อมา 2 ถุงค่ะ พอดีไปเที่ยวบ้านเหลืองเมืองพะเยาของป้าอี๊ดในช่วงเวลางาขี้ม้อนใหม่ๆ ออกมาวางขายในตลาด เห็นแล้วอดไม่ได้ เพราะมื้อเช้าทุกวันที่อยู่พะเยา ครูป้อม-สุกัญญา ณ ลำปาง หลานเจ้าบ้านจัดข้าวเหนียวคลุกงาขี้ม้อนให้กินกับอาหารพื้นเมืองนานาชนิดจนป้าเจี๊ยบแน่ใจว่าตัวเองไม่ขาดโอเมกา-3 และ 6 แคลเซียม วิตามินอี ฯลฯ อย่างแน่นอน อิอิ   กลับมากรุงเทพฯ งาขี้ม้อนยังอยู่ในถุงเพราะไม่ได้กินข้าวเหนียวอีกแล้ว ลืมไปจนกระทั่งป้าเจี๊ยบมีกิจกรรมร้องเพลงกับเพื่อนๆ ชาวจุฬาฯ ซึ่งงานนี้มีขนมกลีบลำดวนใส่งาขี้ม้อนแจกคนละกล่อง ป้าเจี๊ยบชิมแล้วไม่ติดใจจึงถือกลับไปฝากป้าอี๊ด ผ่านไป 2 วัน ป้าอี๊ดกินขนมหมดกล่อง!   ป้าเจี๊ยบว่าขนมกลีบลำดวนมีความคล้ายกับชอร์ตเบรดมาก ถ้าใส่งาขี้ม้อนเข้าไปน่าจะอร่อยกว่า ป้าเจี๊ยบไม่คิดมาก ลงมือทำทันที   เริ่มด้วยคั่วงาขี้ม้อน 20 กรัมด้วยไฟอ่อนๆ โดยใช้เทคนิคผสมงาขาวลงไป 4-5 เมล็ด ถ้างาขาวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เมื่อไหร่ก็ตักงาขี้ม้อนออกมาวางพักไว้ หุหุ   ป้าเจี๊ยบตวงเนยแท้รสจืด (อุณหภูมิห้อง) 70 กรัมใส่ในชามผสม ใช้ตะกร้อมือตีจนเนียน แล้วร่อนน้ำตาลไอซิง 50 กรัมผ่านกระชอนลงไป ตีให้ส่วนผสมเข้ากัน เนื้อเบาฟู   จากนั้นร่อนแป้งสาลีอเนกประสงค์ 90 กรัมผ่านกระชอนตามลงไป ใส่เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำกุหลาบ 1/4 ช้อนชา และงาขี้ม้อนคั่ว ใช้พายซิลิโคนคนอย่างเบามือให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นโดชอร์ตเบรด   ป้าเจี๊ยบตักโดมาห่อด้วยแผ่นฟิล์มถนอมอาหารโดยปั้นแน่นๆ ให้เป็นรูปทรงกระบอกเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 1/2 นิ้ว แล้วนำไปแช่ตู้เย็นไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงเพื่อให้โดทรงตัวอยู่เวลาตัดเป็นชิ้นๆ   เมื่อได้เวลาป้าเจี๊ยบนำโดออกมาตัดด้วยมีดเป็นชิ้นๆ ความหนาประมาณ 1/4 นิ้ว วางเรียงในถาดอบ แล้วนำเข้าเตาอบที่ตั้งปุ่มความร้อนไว้ที่อุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียส หรือ 350 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง ปุ่มเวลา 15 นาที   ติ๊ง! ป้าเจี๊ยบนำชอร์ตเบรดออกจากถาดมาวางผึ่งบนตะแกรง ขอชิมตอนร้อนๆ ก่อนสักชิ้น รสชาติถูกปากกว่ากลีบลำดวนเยอะเล้ยยย พอเย็นสนิท ชิมอีกชิ้น อีกชิ้น และอีกชิ้นก่อนใส่กล่องปิดฝาสนิทวางไว้บนโต๊ะ   เอิ่ม...สองป้าจัดการชอร์ตเบรดงาขี้ม้อนหมดภายในวันเดียว ฮา!

“ร้อนๆ อย่างนี้ กินแตงโมกันนะ”   ป้าอี๊ด-พวงพยอม ณ ลำปาง สหายร่วมบ้าน อุ้มแตงโมมาให้หนึ่งลูก ผ่านไป 2 วัน แตงโมยังวางอยู่ที่เดิม เพราะหลานยาย เด็กชายพีแคนซึ่งชอบกินแตงโมมากๆ ไปอยู่กับอาม่าอากงที่สุรินทร์ซะแล้ว ป้าอี๊ดเห็นเข้าก็เตือนว่ากินซะทีสิ นานไปไส้จะล้ม!   กินจ้ากิน...ป้าเจี๊ยบจัดการผ่าแตงโมออกเป็น 2 ซีก ซีกหนึ่งหั่นเป็นชิ้นๆ ขนาดพอคำ กินกันคนละสองสามชิ้นก่อนใส่กล่องส่งเข้าตู้เย็น หวานชื่นใจค่ะ    แตงโมอีกซีกป้าเจี๊ยบหั่นใส่เครื่องปั่นแล้วกรองทิ้งกาก เอาแต่น้ำแตงโมใส่ขวด เก็บในตู้เย็นเช่นกัน คิดว่าจะเอาไว้ทำเครื่องดื่มแบบผสมกับน้ำผลไม้อย่างอื่น     แต่พอนั่งพักดูทีวี เปิดเจอสารคดีเกี่ยวซิกับเกาะซิซิลีของอิตาลี นึกถึง Gelo di Melone ขนมประจำเมือง Palermo ขึ้นมาเลย อะฮ้า! เอาน้ำแตงโมมาทำพุดดิงซิซิลีดีกว่า   ทันทีค่ะ...จัดการหยิบถ้วยแก้วขนาดบรรจุ 100 มิลลิลิตรมาวางเตรียมไว้ 2 ใบ สำหรับตัวเองและเจ้าของแตงโม...ฮา!   ตรงเข้าครัวตวงแป้งข้าวโพด 5 กรัม ใส่ลงในถ้วยน้ำแตงโม 40 กรัม ใช้ช้อนคนๆ ให้เข้ากัน แล้วเทผ่านกระชอนลงไปในหม้อเคลือบที่มีน้ำแตงโม 200 กรัม ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง ใช้ตะกร้อมือคนไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเดือดปุดๆ และข้นขึ้น   ป้าเจี๊ยบยกหม้อออกจากเตา ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ เหล้ารัม 1 ช้อนโต๊ะ เกลือหยิบมือ คนให้เข้ากันดี นำกลับไปตั้งไฟอีกครั้ง คนอย่างต่อเนื่องจนเดือดประมาณ 2-3 นาที  ยกลงมาตักใส่ถ้วยที่เตรียมไว้ วางพักให้คลายร้อน ใช้ฟิล์มถนอมอาหารปิดปากถ้วย นำไปแช่เย็นอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนเสิร์ฟ     น้ำแตงโมยังเหลืออีก ทำขนมง่ายๆ ที่ใช้ส่วนผสมใกล้เคียงกันเพิ่มอีกสักอย่าง ภาพขนม Turkish Delight ของหวานประจำชาติตุรกี (ทูร์เคีย) ชิ้นสี่เหลี่ยมสีแดงๆ แวบขึ้นมาทันที เอาน้ำแตงโมมาทำเจลลีคล้ายเตอร์กิชดีไลต์ แต่ไม่หวานมากอย่างต้นตำรับ ไว้กินกับน้ำชาสักหน่อยเป็นดีงาม   จัดแจงหยิบกล่องพลาสติกสี่เหลี่ยมขนาด 5×5 นิ้วออกมา ใช้แปรงทาด้านในด้วยน้ำมันมะพร้าวบางๆ วางเตรียมไว้   หม้อแรกทำน้ำเชื่อมโดยใส่น้ำแตงโม 60 กรัม กับน้ำตาลทราย 80 กรัม ใช้ตะกร้อมือคนให้น้ำตาลละลาย ยกขึ้นตั้งบนเตาที่เปิดไฟปานกลาง พอเดือดก็เคี่ยวต่อประมาณ 5 นาทีให้ข้น แล้วยกออกมาพักไว้   จากนั้นผสมแป้งข้าวโพด 30 กรัม กับน้ำแตงโม 250 กรัม คนให้เข้ากัน เทผ่านกระชอนลงในหม้อใบที่สอง  ตามด้วยหัวน้ำกุหลาบ 1/2 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ยกขึ้นตั้งบนเตาที่เปิดไฟปานกลาง ใช้ตะกร้อมือคนอย่างต่อเนื่อง พอส่วนผสมข้นเทน้ำเชื่อมในหม้อแรกลงไป คนต่อไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 นาทีจนส่วนผสมข้นและใส ยกมาเทลงในกล่องที่เตรียมไว้ทันที กระแทกกล่องกับเคาน์เตอร์จนส่วนผสมเรียบเสมอกัน พักให้คลายร้อน แล้วนำไปแช่ตู้เย็นอย่างน้อย 2 ชั่วโมง     เมื่อพร้อมกินป้าเจี๊ยบจัดเครื่องแต่งหน้าให้แตงโมดีไลต์ทั้ง 2 ด้วยค่ะ   แตงโมดีไลต์สไตล์อิตาเลียน แต่งด้วยถั่วพิสตาชิโอสับหยาบๆ และดาร์กช็อกโกแลต 70% ขูดเป็นเกล็ดเล็กๆ ส่วนแตงโมดีไลต์สไตล์เตอร์กิช นำออกมาตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาด 1 นิ้วแล้วคลุกกับถั่วพิสตาชิโอสับค่อนข้างป่นผสมเกลือหิมาลัย   คิวซีป้าอี๊ดชอบทั้งสองดีไลต์ค่ะ แต่เอียงไปทางอิตาเลียนมากกว่า เอิ่ม...เป็นเพราะเหล้ารัมรึเปล่านะ อิอิ

ชวนเข้าครัวรังสรรค์เมนูน่ารักไว้กินช่วงสุดสัปดาห์ ขนมปังห่อไส้กรอกรูปปลาหมึกทำง่าย กินได้ทุกเพศทุกวัย   ส่วนผสม แป้งขนมปัง 250 กรัม ผงยีสต์ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/4 ช้อนชา นมสด 3/4 ถ้วย เนยสดชนิดเค็ม 50 กรัม ไส้กรอกชิ้นยาว 3 นิ้ว 15 ชิ้น วิธีทำ ผสมแป้งขนมปัง ยีสต์ น้ำตาลทราย และเกลือเข้าด้วยกัน ใส่นมสด นวดพอเข้ากัน ใส่เนยสด นวดให้เข้ากันจนแป้งเนียนนุ่ม พักแป้งไว้ 1 ชั่วโมงให้ขึ้นเป็น 2 เท่า ตัดแป้งเป็นก้อนกลม ก้อนละ 30 กรัม พักไว้ 30 นาที นำแต่ละก้อนมารีดให้เป็นแผ่น วางไส้กรอกให้อยู่บนแผ่นแป้งประมาณครึ่งชิ้นแล้วม้วน หั่นไส้กรอกส่วนนอกแป้งให้เป็นเส้น เรียงใส่ถาด พักแป้งไว้อีก 15 นาที ให้ขึ้น ทาแป้งขนมปังด้วยนมสดให้ทั่ว โรยเกล็ดขนมปังป่น นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 15-20 นาทีจนสุกเหลือง ตกแต่งด้วยน้ำตาลลูกตา

ทำแบบง่ายๆ เสร็จภายใน 8-9 นาที ใช้กระทะผัดทอดธรรมดาแต่ควรจะหนาหน่อยค่ะ ไม่ต้องใช้เตาอบ   ส่วนผสม คอร์นเฟล็กส์ 100 กรัม น้ำตาลทราย 50 กรัม ดอกเกลือ 1/4 ช้อนชา เนยจืด 1 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ใส่ทุกอย่างลงในกระทะยกเว้นคอร์นเฟล็กส์ เคี่ยวไฟกลางๆ จนน้ำตาลละลายหมด เปลี่ยนเป็นไฟอ่อนสุด หยุดคนและปล่อยให้เดือด แต่หมุนกระทะบ้าง รอจนฟองมีขนาดเท่ากัน (ประมาณ 1 นาทีกว่าๆ ถึง 2 นาที) ใส่คอร์นเฟล็กส์ลงไปคลุก ไฟอ่อนสุด ใช้ตะหลิว 2 อันคลุกเบาๆ ให้น้ำตาลเคลือบอย่างทั่วถึง คลุกคอร์นเฟล็กส์ฉาบตลอดเวลา กลับมากลับไปด้วยไฟอ่อนสุดจนเริ่มมีควันและน้ำตาลเริ่มเปลี่ยนสี (ประมาณ 6-7 นาที) นำมาเทใส่ถาด แยกคอร์นเฟล็กส์อย่าให้เกาะติดกัน ต้องรีบทำขณะที่ร้อนก่อนที่น้ำตาลจะเย็นตัว ตอนที่คอร์นเฟล็กส์อุ่นนิดๆ สามารถเก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท รับรองว่ากินหมดก่อนหนืด

ซาลาเปาสีสวยแป้งนุ่มนิ่ม สอดไส้มันม่วงหอมหวานมาแบบจัดเต็ม อิ่มอร่อยลูกเดียวไม่พอ   ส่วนผสมแป้งเชื้อ แป้งเค้ก 100 กรัม ยีสต์ 1 1/2 ช้อนชา น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย ส่วนผสมแป้งโด แป้งเค้ก 150 กรัม มันม่วงนึ่งสุก 150 กรัม      ผงฟู 1 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ เนยขาว 50 กรัม แป้งเชื้อที่ผสมไว้ ไส้มันม่วงกวน วิธีทำ ทำแป้งเชื้อโดยผสมน้ำเปล่ากับยีสต์ คนให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้ก ผสมให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้กจากส่วนผสมแป้งโดลงในแป้งเชื้อ ใส่น้ำตาลทราย เกลือ ผงฟู และน้ำเปล่า ผสมให้พอเข้ากัน ใส่มันม่วง ผสมต่อพอเข้ากัน เติมเนยขาว นวดให้เข้ากัน พักแป้งไว้ 1 ชั่วโมง นำแป้งมาตัดแบ่งเป็นก้อนละ 30 กรัม คลึงแป้งเป็นก้อนกลม พักไว้ นำแป้งแต่ละก้อนมาแผ่ออก ใส่ไส้มันม่วง รวบแป้งให้สวยงาม วางบนกระดาษ พักแป้งไว้ 15 นาที นำไปนึ่งในน้ำเดือด เวลา 15 นาทีให้สุก

เมนูสตรีทฟู้ดขึ้นชื่อของอินเดีย เพิ่มเนื้อสัมผัสให้สนุกยิ่งขึ้นโดยใส่มันฝรั่งบดผสมเครื่องเทศ กินคู่กับน้ำมะขามและน้ำผักชีเย็นๆ อร่อยเข้ากัน   ส่วนผสมและวิธีทำน้ำผักชี ผักชี 1 ถ้วย | ใบสะระแหน่ 1/4 ถ้วย | พริกชี้ฟ้าเขียวหั่น 1 เม็ด | ขิงสับ 1 ช้อนโต๊ะ | น้ำเย็นจัด 250 มิลลิลิตร | ผงยี่หร่า 1 ช้อนชา | เกลือ 1 ช้อนชา | ผงการัมมาซาลา 1 ช้อนชา | น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ | น้ำแข็ง 1/4 ถ้วย ปั่นส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ชิมรส คลุมด้วยแร็ป นำไปแช่ในตู้เย็น ส่วนผสมและวิธีทำน้ำมะขาม เนื้อมะขาม 1/2 ถ้วย | น้ำอุ่น 1 ถ้วย | น้ำเย็นจัด 250 มิลลิลิตร | เกลือ 1 ช้อนชา | ผงการัมมาซาลา 1 ช้อนชา คั้นเนื้อมะขามกับน้ำอุ่น กรองเอาเอาแต่น้ำแล้วผสมกับน้ำเย็นจัด ใส่เกลือ และผงการัมมาซาลา คลุมด้วยแร็ป นำไปแช่ในตู้เย็น Note : ใช้น้ำแข็งปั่นกับผักชีจะทำให้ซอสมีสีเขียวสวย ส่วนผสมไส้ (สำหรับ 2-4 ที่) มันฝรั่งปอกเปลือกหั่นชิ้นใหญ่ 2 หัว | ครีม 3/4 ถ้วย | เกลือ 1 ช้อนชา | ผงยี่หร่า 2 ช้อนชา | ผงการัมมาซาลา 2 ช้อนชา | ผงพริกปาปริกา 1/2 ช้อนชา | ผักชีซอย 1 ช้อนโต๊ะ | หอมแขกหั่นเต๋า 3/4 ถ้วย | เนื้อมะเขือเทศ (ไม่เอาเมล็ด) 3/4 ถ้วย | ฟักทองต้มสุกหั่นเต๋า 3/4 ถ้วย | มันฝรั่งทอดกรอบอินเดีย (Indian Spicy Potato Noodle) ตามชอบ | ปานีปูรีสำเร็จรูป | น้ำมันสำหรับทอด | ผงพริกปาปริกาสำหรับตกแต่งเล็กน้อย   วิธีทำ ต้มมันฝรั่งจนสุก บดให้เนื้อเนียนละเอียด ใส่ครีม ปรุงรสด้วยเกลือ ผงยี่หร่า ผงการัมมาซาลา และผงพริกปาปริกา คลุกส่วนผสมให้พอเข้ากัน ชิมรส ตักใส่ถุงบีบ เตรียมไว้ ตั้งหม้อใบเล็กใส่น้ำมันใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน เมื่อน้ำมันร้อนได้ที่ใส่ปานีปูรีลงทอด ค่อยๆ ใช้กระชอนกลิ้งให้สุกเหลืองทั่ว ตักขึ้นพักไว้ให้เย็น ค่อยๆ ตัดส่วนบนออกประมาณ 1/3 ของลูก บีบมันฝรั่งใส่ปานีปูรี วางหอมแขก เนื้อมะเขือเทศ ฟักทอง และผงพริกปาปริกา ตกแต่งด้วยมันฝรั่งทอดกรอบอินเดีย และผักชีเล็กน้อย เสิร์ฟพร้อมกับน้ำผักชีและน้ำมะขาม