ร้านชวนนั่งในบรรยากาศยุค 70-90 ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองของดนตรีและแฟชั่น แม้ภาพรวมของ Retro Bar & Café จะดูโมเดิร์นในโทนสีดำแต่ก็อบอวลด้วยกลิ่นอายของวันวานแทรกตัวอยู่ในทุกอณู อย่างมุมโซฟาตัวใหญ่สไตล์คลาสสิกสีแดงเพลิงที่ชวนให้นั่งเอนกายสบายๆ รวมไปถึงเทปเพลงและซีดีเก่าที่เรียงรายบนผนังดึงดูดสายตาทุกคู่ให้ร่วมค้นหาอดีตศิลปินในดวงใจที่มีทั้งไทยและต่างชาติซึ่งหลายคนยังโด่งดังและมีผลงานให้เราได้ชื่นชมมาจนถึงปัจจุบัน       ด้านอาหารเน้นจานเด็ดสไตล์อเมริกัน เสิร์ฟจานใหญ่ให้แบ่งกันกินได้หลายคน เริ่มอร่อยกันตั้งแต่มื้อเช้ากับเมนูมัฟฟิน วัฟเฟิล แพนเค้ก โทสต์ ต่อด้วยมื้อกลางวันหนักท้องอย่างพาสต้า สลัด เบอร์เกอร์ ซุป แซนด์วิช ปิดท้ายด้วยของหวานขายดีอย่างไอศกรีมซันเดย์ เป็นต้น ไฮไลท์ของร้านยังอยู่ที่เครื่องดื่มนานาชนิดซึ่งพร้อมสำหรับทุกการสังสรรค์ได้อย่างเพลิดเพลินตลอดทั้งวัน       เมนูเด็ดซี่โครงหมูบาร์บีคิว คัดเฉพาะซี่โครงหมูขนาด 400 กรัมหมักกับซินนามอนนาน 2 วัน ต่อด้วยซูวีอีก 30 นาทีเพื่อให้ได้ซี่โครงหมูเนื้อนุ่มที่พร้อมสำหรับราดซอสบาร์บีคิวเข้มข้นจากส่วนผสมของสับปะรด ต้นหอมฝรั่ง ขิง หอมหัวใหญ่ และมะเขือเทศ     จานต่อมาคือการหยิบวัตถุดิบจากฝั่งตะวันตกมาจับคู่กับวัตถุดิบท้องถิ่นของไทยได้แบบจัดจ้านถึงใจในเมนูแซลมอนพลัดถิ่น เลือกแซลมอนสดจากนอร์เวย์มาทอดจนเป็นสีเหลืองทอง คลุกเคล้ากับเครื่องยำแบบไทยใส่น้ำพริกเผา ผักหลากชนิด โรยปลากรอบและถั่วหิมพานต์เพิ่มความกรุบกรอบเค็มมัน เสิร์ฟเก๋ๆ ในกระทงทองทำจากแป้งโรตี     สดชื่นกันต่อเนื่องกับสลัดค็อบบ์ไก่ย่าง เนื้ออกไก่หมักกับน้ำมันมะกอกและมัสตาร์ดนาน 1 วันเพื่อให้ซึมเข้าเนื้อหนังก่อนนำมาซูวีอีก 10 นาที เสริมรสชาติด้วยเบคอนทอด อะโวคาโด มะเขือเทศ หัวหอม และเฟตาชีสที่ช่วยเสริมรสชาติความอร่อยให้กับสลัดจานนี้ได้อีกเท่าตัว     สำหรับเครื่องดื่มแนะนำ พิงค์ลาเต้ เข้มข้นหวานมันด้วยส่วนผสมของเอสเปรสโซ 2 ช็อตสุดเข้ม ด้านล่างรองด้วยน้ำแดงกลิ่นสละหอมๆ พร้อมนมข้น ปลุกความสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าได้ทั้งวัน     หรือจะลองจิบ มิลค์เชค เครื่องดื่มสุดเฟี้ยวฟ้าวของหนุ่มสาวแห่งยุค 80 จากส่วนผสมของไอศกรีมวานิลลาปั่นกับนมและไซรัป โปะด้วยวิปครีมลูกโต เข้มข้นหอมมัน อยากรู้ว่าคูลแค่ไหนต้องลอง!  

เปลี่ยนมุมชิลเอาท์เดิมๆ มาเพลิดเพลินในบรรยากาศสไตล์ไอริชขนานแท้กันบ้าง ทางร้านนำเสนออาหารจานโตตามแบบฉบับไอริชที่มีให้เลือกสั่งมากถึง 60 เมนู ภายในร้านราวกับยกผับไอริชจากเมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์มาตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งยังมีพื้นที่กว้างขวางให้เลือกนั่งได้อย่างเป็นส่วนตัวทั้งโซนเอาท์ดอร์และอินดอร์ โดยเฉพาะมุมบาร์ด้านในได้อารมณ์เหมือนนั่งอยู่ในหนังฝรั่งสักเรื่อง         เมนูแรกตื่นตาตื่นใจไปกับขาแกะตุ๋น เลือกใช้ขาแกะส่วนหน้าแข้งจากนิวซีแลนด์ตุ๋นกับซอสเกรวีเข้มข้นด้วยเครื่องเทศหลากชนิดนานถึง 5 ชั่วโมง เสริมกลิ่นหอมด้วยใบไทม์และโรสแมรี่ เสิร์ฟพร้อมมันบดทำสดใหม่ทุกวัน กินแกล้มแครอทและบล็อกโคลีเพิ่มความสดชื่น     ซุปข้นกุ้งมังกร เนื้อกุ้งมังกรผสมกับเนื้อกั้งนำไปอบจนสุกหอมก่อนตุ๋นรวมกับเครื่องเทศ เหยาะบรั่นดีนิดหน่อยเพื่อชูรสชาติหอมหวานกลมกล่อมยิ่งขึ้น ใช้เวลาตุ๋นนาน 3 ชั่วโมงจนละลายเป็นเนื้อเดียวก็พร้อมเสิร์ฟคู่ขนมปังกระเทียมกรอบนอกนุ่มใน     เสต๊กเนื้อทีโบนพรีเมียม รักแรกพบต้องยกให้เสต๊กเนื้อทีโบนชิ้นโตนำเข้าจากออสเตรเลียชิ้นนี้ เชฟใช้ไฟแรงปานกลางย่างจนสุกระดับมีเดียม ราดน้ำเกรวีฉ่ำๆ จากส่วนผสมของน้ำสต๊อกเนื้อ ไวน์แดง พริกไทยดำ และเครื่องเทศตะวันตกหลายชนิด เสิร์ฟพร้อมบล็อกโคลี แครอท และเห็ดแชมปิญองช่วยตัดเลี่ยน สำหรับเมนูปิดท้ายแนะนำ เม็กซิกันชิลลี่ชีสเบอร์เกอร์ เบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่สไตล์ไอริช นำขนมปังโรยงาขาวมาอบร้อนๆ แทรกด้วยเนื้อวัวบด ซอสเนื้อ มอนเทอเรย์แจ็คชีส และพริกยักษ์     รสชาติต้นตำรับผสานบรรยากาศโดยรอบ เหมือนนั่งกินอยู่เมืองนอกยังไงยังงั้น

เมื่อเราเอ่ยถึงร้าน ARKART Bistro & Bar หลายคนอาจคุ้นหูกันเป็นอย่างดี โดยคุณเก๋ ญาณี เจ้าของเดียวกันนำประสบการณ์ที่มีมาเนรมิตบ้านหลังเก่าอายุร่วม 80 ปีในซอยสาทรให้กลายเป็นร้านอาหารสไตล์แคชชวลไดนิงร่วมสมัย แฝงความโฮมมีคลาสสิคทั่วบริเวณร้านสร้างความรู้สึกอบอุ่นและโรแมนติกให้เราตลอดมื้ออาหารทีเดียว     The Yard Restaurant เสิร์ฟอาหารแบบ East & West หลากหลายเมนูเพื่อให้เหมาะกับมื้อกลางวันตามแบบฉบับชาวออฟฟิศ หรือมานั่งดินเนอร์พร้อมดริ้งค์กันยาวๆ ตอนกลางคืนก็ชวนประทับใจไม่แตกต่างกัน     มาถึงแล้วเราอยากให้สั่งจานเรียกน้ำย่อยกันก่อน เริ่มด้วยเมนูสีสวยอย่าง ยำดอกไม้ทอดกรอบ สีสันโดดเด่นจากดอกอัญชัญและดอกเฟื่องฟ้าชุปแป้งทอดกรุบกรอบ ไม่อมน้ำมัน เสิร์ฟพร้อมน้ำยำส้มโอรสแซ่บกินแล้วสดชื่น ต่อด้วย Yard’s Crumbly Duck เรียกอีกชื่อว่า “เป็ดซุย” เนื้อเป็ดย่างนุ่มแน่น ห่อด้วยแป้งเครปนุ่มๆ ใส่แตงกวาตามด้วยต้นหอม แล้วราดน้ำจิ้มหวานเพิ่มความอร่อย     ส่วนเมนูทางฟากยุโรปต้องลอง Homemade Pasta Sausage with Truffle Sauce พาสต้าเส้นสดสีเขียวจากผักโขมเคี้ยวหนุบหนับ เข้ากันกับซอสทรัฟเฟิลหอมๆ และไส้กรอกอิตาเลียน แต่ถ้าใครเป็นสาวกคนรักทรัฟเฟิลแบบจริงจังห้ามพลาดเมนู Truffle Risotto ที่นอกจากข้าวรีซอตโต้นำไปผัดกับซอสทรัฟเฟิลรสครีมมีกลิ่นหอมฟุ้งแล้ว ยังใส่ทรัฟเฟิลสดเพิ่มระดับความฟินขึ้นอีกขั้นด้วย       จากนั้นเราแนะนำให้สั่ง เกล็ดหิมะบัวลอยเผือกไข่เค็ม ของหวานขึ้นชื่อของทางร้าน ไฮไลต์ของเมนูนี้อยู่ที่เกล็ดน้ำแข็งนุ่มเนียนละมุนลิ้น ผสมน้ำกะทิและเนื้อเผือกซุยมัน เข้ากันได้ดีกับบัวลอยเผือกแป้งนุ่มและน้ำกะทิที่เพิ่มความนวลนัวด้วยไข่เค็มแดงแล้วยีเนื้อเผือกซ้ำลงไปอีกที (จัดหนักจัดเต็ม)     ส่วน Strawberry Sparkling ก็ลงตัวกับการปิดท้ายมื้ออาหาร เพราะดื่มแล้วสดชื่นได้กลิ่นหอมๆ และรสเปรี้ยวอมหวานจากเนื้อสตรอว์เบอร์รีสดปั่นใส่โซดาซาบซ่า เรียกวาครบทั้งหน้าตาและความอร่อย  

ใครหลายคนอาจมองอาหารเป็นเพียงสิ่งเติมเต็มความอยากและดับความหิวในแต่ละวัน แต่สำหรับ “เชฟส้ม – จุฑามาศ เทียนแท้” แห่ง “Karmakamet Conveyance” อาหาร 1 จาน เป็นมากกว่านั้น และเมื่อได้ลองชิม เราขอนิยามทุกเมนูของเธอว่า อาหารไร้สัญชาติที่ดึงความทรงจำของคนกินออกมาได้อย่างชัดเจน     โดยเชฟคนเก่งบอกว่า ทุกคนสามารถตีความอาหารแต่ละจานได้อย่างอิสรเสรี โดย 7 คอร์สเมนูลำดับแรกนี้มาจากความทรงจำที่สวยงามในทุกช่วงชีวิตของเธอถ่ายทอดผ่านการปรุงที่ผสมผสานทุกวัฒนธรรมอาหาร ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนกำลังลิ้มรสศิลปะที่มีรสชาติแปลกใหม่และอร่อยไปพร้อมกัน       ไม่ว่าจะเป็น “ทีเซอร์” กินเล่นเบาๆ อย่าง Emotional Seascape เจลลีน้ำมะพร้าวท็อปด้วยปลาเค็ม มูสกะทิ และไข่ปลาสลิดทอด ต่อด้วยจานเรียกน้ำย่อย อาทิ Bangkok Street No.1 หอยนางรมสดมาพร้อมแป้งทอดโรยถั่วงอก และเส้นพาสต้าพิชิโฮมเมดผัดกับผักดอง ถั่ว เต้าหู้ และถั่วงอกที่สื่อถึงผัดไทยและหอยทอดที่เราคุ้นเคย Philippines ขนมปังสอดไส้หมูตุ๋นสูตรเด็ด และ Hong Kong ลิ้นวัวตุ๋นกินกับเส้นใหญ่ แพนเค้กกุ้งทอด และลูกชิ้นเนื้อวัว ก่อนไปอิ่มเต็มที่กับ Emotional Landscape – Petchburi ข้าวราดแกงใบมะขามอ่อนกับปลาเค็มทอด เสิร์ฟพร้อมขนมจีนน้ำพริกและทอดมันตำรับเพชรบุรี และ Southern Thailand Coast เนื้อปูหอมกะทิและเครื่องเทศ เสิร์ฟพร้อมข้าวโพดทอด ข้าวหมกนาสิบริยานี จำปาดะทอด และชัตนีย์ผักชี               แล้วปิดท้ายด้วย Darjeeling Afternoon Tea เซตขนมที่มีไฮไลต์เป็นกุหลาบจามุนที่ไม่หวานเกินไป และ Raj Kula ขนมอินเดียที่มาในรูปแบบชีสเค้กหอมละมุน  

ต้องยอมรับว่าร้านอาหารเยอรมันในบ้านเรามีไม่มากนัก หนึ่งในนั้นคือร้านเก่าแก่กว่า 30 ปีอย่าง Bei Otto และเมื่อหัวหน้าเชฟชาวเยอรมันอย่าง Alexander Von Wnuk-Lipinski ย้ายออกจากร้านเดิมมาเปิดกิจการเอง เราก็ไม่พลาดที่จะตามมาชิม       Alexander’s German Eatery ร้านอาหารเยอรมันร้านใหม่ในซอยเอกมัย เมื่อเข้ามาจะพบกับลานเบียร์มีม้านั่งยาวบรรยากาศสนุกสนานเหมือนกับเทศกาล Oktoberfest ไม่มีผิด ใครอยากหลบอากาศร้อนให้เข้ามาด้านในจะพบกับบาร์เบียร์สด พร้อมกับตู้ชีสเรียงรายดูน่ากิน ส่วนชั้น 2 เป็นที่นั่งสบายๆ บรรยากาศดีหน้าเตาผิงเหมือนบ้านที่ประเทศเยอรมนี       เชฟอเล็กซ์รับประกันว่าที่นี่เสิร์ฟอาหารสไตล์เยอรมันสูตรดั้งเดิม พร้อมแนะนำว่าห้ามพลาด Crispy Pork Knuckle ขาหมูเยอรมันที่ใช้วิธีอบไม่ใช่ทอดน้ำมันท่วมแบบที่บ้านเรานิยม รับรองได้ว่าหนังหมูกรอบ เนื้อในนุ่ม ไม่มันเลี่ยน เสิร์ฟกับมันฝรั่งบดนุ่มๆ ราดเกรวีดาร์กเบียร์ กินกับกะหล่ำปลีดองแล้วเข้ากัน     อีกจานที่ห้ามพลาดคือ Nuremberg Sausage ไส้กรอกนูเรมเบิร์กเนื้อสีขาวเนียน หอมกลิ่นเครื่องเทศที่เชฟนำเข้ามาจากแคว้นบาวาเรีย ราดซอสจูสที่ทำจากดาร์กเบียร์รสเข้มข้น     อาหารของที่นี่เหมาะกินคู่กับเบียร์มาก ลองสั่ง Roasted Duck on Braised Red Cabbage เป็ดย่างเนื้อนุ่มกลิ่นหอม เสิร์ฟพร้อมกะหล่ำปลีสีม่วงตุ๋นรสหวานเข้ากันได้ดีกับเนื้อเป็ด เต็มอิ่มด้วยดัมปลิงก้อนกลมที่ทำจากเพรทเซล     ส่วนเมนูใหม่ที่เชฟอยากให้ลองคือ Roasted Pork Belly หมูสามชั้นอบเนื้อนุ่มฉ่ำ หนังบางและกรอบ กินกับกะหล่ำดาวผัดเบคอน และ Grilled Giant River Prawn กุ้งแม่น้ำย่างไซส์ใหญ่ตัวละครึ่งกิโลกรัม เชฟย่างกับเนยกระเทียมแบบสุกพอดี เนื้อเด้งหวาน มาพร้อมน้ำจิ้มทั้งสไตล์ไทยและฝรั่งให้เลือกตามใจชอบ หากอยากสั่งของหวานต้องลอง Hand-drawn Apple Strudel แอปเปิ้ลสตรูเดิลอุ่นๆ กับไอศกรีมวนิลาเย็นๆ เข้ากัน           อย่าลืมสั่งเบียร์สดสัญชาติเยอรมันรสนุ่มมาดื่มคู่ และต้องชนแก้วแล้วร้องเสียงดังว่า Prost!  

เชื่อว่าคนรักเหล้าบ๊วยหรืออูเมะชู (Umeshu) คงต้องเคยได้ยินชื่อของ PrumPlum Umeshu Bar บาร์ไซส์มินิที่เพิ่งฉลองครบรอบสองขวบปีไปหมาดๆ กันอย่างแน่นอน และถึงแม้จะมีขนาดพื้นที่ไม่มาก แต่คุณภาพกลับคับแก้วด้วยเครื่องดื่มที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะเหล้าบ๊วยที่มีให้เลือกชิมกว่า 100 ชนิด ร่วมด้วยเหล้าผลไม้ที่หมุนเวียนมาให้ลองกัน ตั้งแต่เหล้าส้มยูซุรสเปรี้ยวหอมไปจนถึงเหล้าพีชรสนุ่ม       นอกจากความพิเศษของเครื่องดื่มที่มีให้เลือกอย่างหลากหลายแล้ว ความรู้ก่อนจิบก็ไม่ได้ขาด เพราะเราสามารถพูดคุยปรึกษาตามหารสชาติ (และเหล้า) ที่ชอบกันได้ แต่สำหรับนักดื่มมือใหม่อาจจะสั่งเป็นเซ็ตเพื่อทดลองกันก่อน อย่างครั้งนี้เราได้ลอง Nakano Set เซ็ตเหล้าบ๊วย 3 สี 3 รสที่เกิดจากการเพิ่มส่วนผสมลงไประหว่างการทำเหล้าบ๊วย ได้แก่ สีเหลืองทองที่ได้จากน้ำผึ้งเด่นที่รสหวานหอมนุ่ม สีแดงได้จากใบชิโสะแดงให้รสหวานกลมกล่อม และสีเขียวจากชาเขียวที่ให้กลิ่นหอมและรสเฝื่อนๆ ปิดท้าย       หลังจากลองเหล้าบ๊วยกันแล้วก็อย่าลืมสั่งอาหารจานเล็กราคาน่ารักมากินแกล้ม ไม่ว่าจะเป็น Tako Wasabi (100 บาท) ปลาหมึกดองวาซาบิเคี้ยวหนึบรสเปรี้ยวเผ็ดจมูก Tataki Kyuuri (80 บาท) สลัดแตงกวาในน้ำมันงาและมิโสะ Edamame (60 บาท) ถั่วแระญี่ปุ่นเคี้ยวเพลิน     แต่ถ้าอิ่มแบบหนักๆ ก็อาจจะเริ่มด้วย Tori Kara-age (120 บาท) ไก่ทอดคาระเกะชิ้นพอดีคำเคี้ยวกรุบกรอบ เติมความจี๊ดจ๊าดด้วยมะนาว ก่อนจะจิ้มกับทาร์ทาร์ซอส ตามด้วย PrumPlum Skewer Set (180 บาท) ที่รวมของเสียบไม้ย่างสุดอร่อยแบบไม่ต้องเลือกให้เสียเวลา เพราะมาทั้งไก่ย่างมิโสะเนื้อนุ่ม ไก่ย่างเทอริยากิหอมกรุ่น หมูสามชั้นย่างเกลือเค็มๆ มันๆ เห็ดชิตาเกะย่าง และกระเจี๊ยบย่าง       แล้วอย่าลืมสั่ง Yakisoba Bacon (160 บาท) ยากิโซบะผัดกับเบคอนเด่นที่ความหอมของกระทะติดจมูก และเมนูล่าสุดอย่าง Oden ลูกชิ้นรวมเสิร์ฟร้อนๆ ในชามใบเล็กปิดฝา แล้วพลางจิบ House Blend Umeshu เหล้าบ๊วยสูตรพิเศษของทางร้านที่เพียงได้ลองก็ปิดมื้อนี้อย่างมีความสุขแล้ว    

เชื่อว่าคออาหารฝรั่งคงเคยได้ยินชื่อของ Kuppa และ Kuppadeli กันอย่างแน่นอน และถ้าใครเป็นแฟนคลับร้านทั้งสองอยู่ล่ะก็ เราขอกระซิบดังๆ ว่าทายาทของร้านนี้ได้ออกมาสร้างปรากฏการณ์ความอร่อยครั้งใหม่เป็นที่เรียบร้อย     คุณอ๊อด-กวิน ว่องกุศลกิจ เจ้าของร้านคนเก่งเล่าว่าด้วยความที่ตัวเองเป็นลูกครึ่งออสเตรเลียและร่ำเรียนอยู่ที่นั่นมาเกือบครึ่งชีวิตก็เลยอยากถือโอกาสสื่อสารรสชาติที่ตัวเองคุ้นเคยให้ทุกคนได้สัมผัส เพราะถ้าถามว่าอาหารอาหารออสเตรเลียนคืออะไรก็คงจะไม่สามารถนิยามได้อย่างชัดเจน เนื่องจาก เอกลักษณ์ของอาหารสไตล์ออสซี่จะอยู่ที่การนำเอาความหลากหลายทางเชื้อชาติและรสชาติมารวมกัน แต่สิ่งสำคัญจะเน้นที่วัตถุดิบที่ยังคงความสดใหม่ ในขณะเดียวกันวิธีการปรุงก็แฝงความซับซ้อนอยู่นิดๆ ทว่าเรียบง่ายในคราวเดียวกัน     พูดไปอาจไม่เห็นภาพ เรามาเริ่มเมนูแรกกันด้วย Heirloom Tomato Medley, Basil Chiffonade (300 บาท) ที่ชูโรงความสดฉ่ำของมะเขือเทศฝรั่งเศสหลากหลายสายพันธุ์ด้วยการเสิร์ฟแบบสด ก่อนจะราดด้วยน้ำมะเขือเทศผสมน้ำส้ม  ตามด้วยน้ำมันมะกอกและแต่งกลิ่นด้วยเบซิล ต่อด้วย Green Grape Avocado Gazpacho, Gordal Olive, Fresh Lemon Oil  (350 บาท) ที่แปลงร่างซุปมะเขือเทศเย็นของสเปนให้กลายเป็นซุปองุ่นเขียวผสมอะโวคาโดที่คงรสชาติความเปรี้ยวด้วยเลมอนและรสชาติเผ็ดนิดๆ ด้วยพริกขี้หนูไทยมาพร้อมมะกอกมากินตัดรสชาติ       หรือชิมเมนูใหม่ Avocado and Crab Salad, Madras Curry Dressing (590 บาท) ความอร่อยเพื่อสุขภาพด้วยการนำคีนัวธัญพืชที่ให้รสชาติและรสสัมผัสคล้ายข้าวมาคลุกเคล้ากับอะโวคาโดและผงแกงกะหรี่เพิ่มความหอมขึ้นจมูก ก่อนจะวางท็อปด้วยปูชิ้นโตเนื้อแน่น ราดด้วยน้ำสลัดส้มยูสุสร้างความสดชื่น     ส่วนจานหลักก็ห้ามพลาด Beef Wellington, Mushroom Duxelle, Young Spinach, Bordelaise Sauce  (1,645 บาท) เมนูซิกเนเจอร์ที่คัดเลือกเนื้อจากฮอกไกโดชิ้นกะทัดรัดมาหมักพร้อมเห็ดป่าสับเพื่อเพิ่มความหอมชุ่มฉ่ำ ก่อนหุ้มด้วยแป้งพายแล้วนำไปอบ จนได้ความกรอบนอกของแป้งพายที่ซ่อนเนื้อสุดนุ่มเอาไว้     สำหรับคนรักหมูสามชั้นต้องลอง Pork Belly, Baked Green Apple, Broccoli Puree, Dijon Mastard (650 บาท) เมนูประจำบ้านของคุณกวินที่นำหมูสามชั้นมาหมักและอบด้วยวิธีพิเศษ 2 ครั้งจนได้หนังบางกรอบ โดยที่เนื้อและมันยังคงไว้ซึ่งความหวานชุ่มฉ่ำ กินกับแอปเปิลอบและดิจองมัสตาร์ดไว้ตัดเลี่ยน ร่วมด้วย Lamb Rack, Herbes de Provence, Prosciutto di san Daniele, Broad Bean Stew (950 บาท) ซี่โครงแกะเนื้อนุ่มจากออสเตรเลียหมักในสมันไพรอย่างลาเวนเดอร์ ออริกาโน และพาสลีย์ เสริมพร้อมสตูถั่วอบและเห็ด       ส่วนของหวานเราขอเชียร์ Sticky Date Pudding เค้กเนื้อนุ่มที่ทำจากชาเอิร์ลเกรย์ผสมอินทผลัมให้รสหวานละมุน เสิร์ฟอุ่นๆ ในซอสบัตเตอร์สกอตช์ผสมเนยฝรั่งเศสข้นๆ แล้วยิ่งพ่วงด้วยความเย็นของไอศกรีมวานิลลาด้วยแล้ว...รักเลย  

ใครติดภาพจำแบรนด์ PLAYBOY ในลุคเซ็กซี่มีสาวสวยเป็นเอกลักษณ์อาจต้องเปลี่ยนความคิดทันทีที่ก้าวเข้ามาใน Playboy Café ร้านอาหารภายใต้แบรนด์แฟชั่นชื่อดังที่มีโลโก้กระต่ายผูกโบแห่งนี้ เพราะฉีกลุคสุดดาร์กเน้นอารมณ์สนุกสนานสดใสสไตล์กระต่ายซุกซน ตกแต่งแนว Retro Modern ที่มีกลิ่นอายความเป็นอเมริกันแฝงความทันสมัยทั้งแสงและสีผสมผสานกันอย่างลงตัว     เมื่อมาถึงทางร้านจะต้อนรับเราด้วยเวลคัมดริ้งค์เก๋ๆ ให้จิบระหว่างรออาหารเคล้าเสียงเพลงสากลที่มีทั้ง Hot Hit ติดชาร์จ แนว House หรือ Instrumental เพิ่มความคึกคักกระปรี้กระเปร่า สร้างบรรยากาศแห่งความผ่อนคลายดีทีเดียว       ด้านอาหารนำเสนอสไตล์ American Casual Food ทุกเมนูคิดค้นขึ้นใหม่เพื่อ Playboy Café โดยเฉพาะ New York Rib Eye Steak ถือเป็น Best Seller ที่นักชิมสายเนื้อพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถูกปากโดนใจและต้องสั่งซ้ำทุกครั้งที่มาเยือน เสิร์ฟพร้อมผักหลากชนิดหมักเกลือและพริกไทย นำไปอบจนหอมกรุ่นชวนกิน     Linquine Clams ลิงกวินีพาสต้าผัดกับหอยลายและซอสไวน์ขาว โรยพาร์เมซานชีสและเพิ่มกลิ่นหอมด้วยโรสแมรี่ เสิร์ฟพร้อมขนมปังอบสมุนไพร     Galveston Roasted Chicken ไก่กระทงหมักเครื่องเทศจนเข้าเนื้อเข้าหนังนำไปอบจนได้เนื้อไก่ที่นุ่มนวล เสิร์ฟพร้อมซอสเกรวีเพิ่มความกลมกล่อมละมุนลิ้น     ด้านเครื่องดื่มแนะนำ Yellow Submarine ได้รสเปรี้ยวจากสตรอว์เบอร์รี่ เชอร์รี่ และมะนาว ผสานความหวานหอมของเฮเซลนัทไซรัป     ปิดท้ายมื้อด้วย Hot Cappuccino จิบอุ่นๆ สบายท้อง  

เรียกว่าเป็นร้านอาหารอินเดียสไตล์ Contemporary Indian Dining ที่เป็นขวัญใจนักชิมมายาวนานหลายปี ด้วยเมนูสไตล์ร่วมสมัยในแบบฉบับของตัวเอง ครั้งนี้ “Indus” จึงขอหยิบยกความอร่อยใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารดั้งเดิมของผู้คนที่อาศัยอยู่ตลอดเส้นทางของแม่น้ำอินดัสที่เริ่มสูญหายมานำเสนอใหม่ในรูปลักษณ์ที่แปลกใหม่และน่าสนใจ         เริ่มต้นด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยอย่าง Khumb Galouti เคบับเสิร์ฟแบบสุดเก๋ ทีเด็ดอยู่ที่ไส้ทำจากเห็ดนานาชนิดจากแคชเมียร์ ต้นกำเนิดของแม่น้ำอินดัส ต่อด้วย Daal Dhokli โรตีสอดไส้ผักโขมหอมเครื่องเทศ เมนูดั้งเดิมของรัฐคุชราต       จากนั้นมาอิ่มแบบเต็มที่กับเมนคอร์สจานเด่น ทั้ง Haldi Murgh ไก่หมักขมิ้นรมควัน กินกับใบขมิ้นและขมิ้นดอง Kadala Byas Minu ปลากะพงหมักกับผลโคคุมหรือมังคุดป่า เมนูดั้งเดิมในแถบชายฝั่งรัฐคุชราตไปจนถึงรัฐเกรละ Kaalva หอยลายต้มในน้ำซุปรสเปรี้ยวทำจากมะเขือเทศและมะขาม เมนูยอดนิยมจากรัฐกัว เมืองชายฝั่งที่เคยเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส         อีกหนึ่งจานสุดพิเศษขอยกให้ Lobster Khichdi ที่ใช้วัตถุดิบชั้นเลิศจากเกาะอันดามันอย่างกั้งหินมากินคู่กับข้าวหอมนิลและมะลิจากโครงการหลวงผสมผสานถั่วเลนทิล ใบแกง และน้ำมันมะพร้าว และ Raan Sikandari เนื้อแกะที่ผ่านการสโลว์คุกนานกว่า 7 ชั่วโมงจนนุ่มละมุนลิ้น       ปิดท้ายด้วยของหวานสุดเก๋ Phirni พุดดิ้งข้าวหอมหญ้าฝรั่น สอดแทรกด้วยถั่วและผลไม้แห้งนานาชนิด เสิร์ฟในหม้อดินเล็กๆ เป็นอันสมบูรณ์แบบ  

Dag (แดก) ชื่อร้านแสนสะดุดหูแห่งนี้คือร้านใหม่แกะกล่องของเชฟแวน-เฉลิมพลและเชฟปาร์ค-ภัทรวิทย์ ร่วมด้วยหุ้นส่วนอีก 2 คน ที่นำเมสเสจ “no gastronomy and mixology bullshit just fair drink and fine food” ของพี่ด้วง-ดวงฤทธิ์ (ผู้ชักชวนมาเปิดร้าน) เป็นแกนนำเสนอ “อาหารที่ดีไม่จำเป็นต้องแพง อาหารไม่แพงก็เป็นของกินที่ดีได้”     ส่วนตัวเราฟังแล้วรู้สึกเห็นด้วยและสนุกตามกับแนวคิดที่ไม่ได้ชูเรื่อง “สัญชาติอาหาร” แต่ใช้วิธีนำ “ประเภทอาหาร” เป็นตัวตั้งต้น เวลาเราหยิบเมนูขึ้นพลิกดูจะเห็นคำว่า น้ำพริก แกง ของทอด ข้าวหน้าต่างๆ ยำ และราดหน้า เป็นหัวข้อใหญ่ให้เลือกลองอาหารที่หมุนเวียนเรื่อยไปตามแต่วัตถุดิบที่เชฟแวนได้มา     “อาหารที่ร้านเรียกว่าตามมีตามเกิดครับ เมนูจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามวัตถุดิบที่เราจากชุมชน มีของเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น หมดแล้วหมดเลยไม่ตุนอาหาร Waste ก็น้อยลงด้วย ที่สำคัญไม่เบียดเบียนวิถีคนหาวัตถุดิบ วัตถุดิบ และตัวผมเอง สิ่งที่ทำมาตลอดคือเรื่องอาหารเป็นยา กินอาหารตามฤดูกาล อาหารอินทรีย์ และ Zero Waste พอมาที่นี่ก็อยากต่อยอดถ่ายทอดให้คนเมืองได้เห็นความเป็นมนุษย์จริงๆ ผ่านวัตถุดิบเช่น ก้อนงอกๆ ตรงนั้น (ชี้ไปที่หัวมัน) นั่นคือสิ่งที่คนต่างจังหวัดยังกินกันอยู่ รูปร่างหน้าตาแบบนั้นมันกินได้แล้วก็ปลอดสารเคมี”     ครั้งนี้เชฟแวนทำ ยำปลาสลิด ให้เราลองชิม เชฟแวนเล่าเพิ่มว่าที่เลือกใช้ปลาสลิดอินทรีย์เพราะรสชาติอร่อยกว่าที่เคยกินมา ปลาอายุ 1 ปีแช่น้ำเกลือแล้วแต่ยังไม่ได้ตากแดดทำให้เนื้อปลายังมีความนุ่มและชุ่มฉ่ำ นำมาทอดให้หนังปลาและก้างกรุบกรอบเคี้ยวได้ทั้งตัว แล้วปรุงรสน้ำยำด้วยน้ำปลาไร้ผงชูรส น้ำตาลมะพร้าวออร์แกนิค มะนาว และเครื่องสมุนไพรต่างๆ สักหน่อย เท่านี้ก็อร่อยแล้ว     ตามมาเป็น ยำไข่ออนเซ็น ไข่ออร์แกนิค (เชฟแวนบอกว่าสดจากก้นแม่ไก่ฟาร์มลุงรี) นำมายำแบบไทยๆ กินเป็นเครื่องเคียงกับเมนูไหนก็เข้ากัน ส่วน ข้าวหน้าหมู หน้าตาชวนหิวได้จากสันคอหมูเนื้อนุ่ม ผัดกับซอสเต้าหู้ยี้หอมฉุย โปะบนข้าวสวยหอมนุ่มสายพันธุ์มะลิซ้อนกินเพลินๆ แล้วก็ ราดหน้าซุปกระดูกปลากด ทีเด็ดที่เชฟแวนภูมิใจนำเสนอ แม้หน้าตาจะดูเหมือนราดหน้าทั่วไปแต่รสชาติน้ำซุปเอนเอียงไปทางน้ำซุปราเมงญี่ปุ่นกลิ่นหอมกระดูกปลากดย่าง กินกับแก้มหมูดึ๋งๆ และบะหมี่โฮมเมดไร้สารเคมี         ส่วนบาร์เครื่องดื่มที่อยู่ข้างๆ เป็น Highball Bar ที่นำชื่อเมนูและรสชาติดึงมาจากจินตภาพที่นึกถึงผู้หญิงในคาแรกเตอร์ต่างๆ เช่น Nichie (นิชชี่) มีส่วนผสมจากรัม เวอร์มุท สับปะรด และโป๊ยกั๊ก ส่วนเครื่องดื่มสไตล์ไทย ใสๆ โนแอลฯ ต้อง Etiw (อีติ๋ว) สดชื่นจากน้ำมะม่วง สับปะรด เลมอน และใบเตย       จะเลือกลองแบบไหนก็ชวนให้นั่งดื่มได้ยาวๆ ตามคอนเซ็ปต์เชฟแวน #จากกิเลสเราสู่กิเลสคุณ!

ถ้าหากให้นิยามความเป็น “OCKEN” ในแบบของเชฟจอห์นนี่ ลูย์ (Johnny Liu.) Head chef และคุณเต้-วรัตต์ วิจิตรวาทการ ผู้ก่อตั้ง OCKEN แล้วล่ะก็ ต้องบอกว่านี่คือร้านอาหารที่ทั้ง 2 คนตั้งใจนำประสบการณ์จากการเดินทางรวมถึงฟื้นคืนอาหารสุดประทับใจในความทรงจำมานำเสนอในรูปแบบคอมฟอร์ดฟู้ดกึ่งไฟน์ ไดน์นิงโดยปราศจากสัญชาติเป็นตัวกำหนด     มาที่นี่เราจะได้เรียนรู้มุมมองการสร้างสรรค์เมนูไร้ข้อจำกัดซึ่งสนุกและน่าสนใจเพราะผ่านการผสมผสานวัตถุดิบ ขั้นตอนการทำ และรสชาติจากหลากหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกันไว้ใน 1 จาน นอกจากหน้าตาอาหารจะชวนหิวขั้นสุดแล้ว ในเรื่องรสชาติเราต้องบันทึกไว้เลยว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง (จริงๆ นะ!)   ภายในร้านแบ่งสัดส่วนปรุงอาหารแบบโอเพ่นคิทเช่นดึงความสนใจเราไว้ด้วยโซนแรกคือ ครัวร้อน มีเคาน์เตอร์ขนาดย่อมให้เรานั่งดูเชฟปรุงอาหารด้วยความตั้งใจกันเพลินๆ อีกมุมเป็นบาร์เครื่องดื่ม จัดเต็มทั้งค็อกเทล ม็อกเทล ไวน์ เบียร์ ฯลฯ หรือน้ำดื่มที่ทางร้านทำขึ้นเอง (House Water - Still and Sparkling) เสิร์ฟเย็นเจี๊ยบในขวดแก้วเพื่อลดการใช้พลาสติก และโซนสุดท้ายเป็นมุมอบขนมปังและทำของหวาน เราจะได้กลิ่นหอมๆ ชวนหิวก็ตรงนี้     ในส่วนอาหารด้วยความที่เชฟจอห์นนี่ ลูย์ทำงานในรัฐแคลิฟอร์เนียมานาน คาแรกเตอร์เมนูเลยเจือกลิ่นอายเวสเทิร์น โมเดิร์น ผสานกลิ่นหอมๆ จากเฮิร์บหน่อยๆ ตามความถนัดของเชฟ โดยเมนูที่ร้านจะแบ่งเป็น One Two Three Four Five จัดเป็นไกด์ไลน์ให้เราดูว่าเมนูไหนเหมาะกินก่อนหรือหลัง แต่ไม่บังคับว่าต้องสั่งให้ครบคอร์สนะ อยากลองเมนูไหนก็เลือกได้ตามชอบ แต่เราแนะนำว่าก่อนอื่นอย่าลืมบิขนมปัง “Sourdough” เนื้อนุ่มเปลือกแข็ง รสชาติติดเปรี้ยวเล็กน้อยกับ “Honey Better Milk Roll” ขนมปังเนื้อนุ่มแน่น ได้กลิ่นน้ำผึ้งหอมอวลในปาก เสิร์ฟมาอุ่นๆ ให้เรารองท้องก่อนอาหารมาเคี้ยวตุ้ยๆ สักหน่อย ขนมปังอบใหม่ทุกชั่วโมง ทาเนยเนื้อนวลเนียนที่หมักด้วยโยเกิร์ตเพิ่มรสเปรี้ยวเล็กน้อยรับรองว่าอร่อยลงตัวเชียว     จากนั้นเตรียมท้องให้พร้อม! เริ่มต้นจานแรกกันที่ Mini Cubano แซนวิชสไตล์คิวบาขนาดพอดีคำ สอดไส้หมูสไลด์ชุ่มฉ่ำและชีสกรูว์แยร์หอมนวล เราชอบความเผ็ดฉุนนิดๆ จากซอส Mojo Aioli ที่มีส่วนผสมของพริกฮาลาเปโย (Jalapeno) และ Mustard ซึ่งดึงมาตัดรสกัน     Ocken Salad เป็นจานที่ตามมาติดๆ กินแล้วสดชื่น เพิ่มพลัง ความกลมกล่อมทั้งมวลได้จากกีวี่และลูกแพรจีนฉ่ำหวาน เข้ากันกับแอลมอนด์เคี้ยวกรุบกรอบและชีส Burrata หอมมัน ขาดไม่ได้คือ Watercress และ Rosemary กินรวมกันแล้วสมบูรณ์ที่สุด แถมใครที่เป็น Vegetarian ก็อิ่มท้องได้แบบสบายใจด้วยนะ     มาสู่จานหลักกันบ้าง เราลองเมนู Cold Cappellini เส้นคาเปลินีเสิร์ฟแบบเย็นสไตล์เอเชีย ชูรสด้วยน้ำซุปจากมะเขือเทศ 1 กิโลกรัม (ต่อ 1 เสิร์ฟ!) คั้นจนได้น้ำสีใสรสเข้มข้น ไปกันได้ดีกับซอสซูกินีกลิ่นหอม กินพร้อมชีส Burrata และ Prosciutto เค็มมันกรุบกรอบสไตล์อิตาเลียน เป็นอีกจานที่กินแล้วชื่นใจไม่แพ้เมนูไหนๆ     ส่วนใครที่ชื่นชอบกลิ่นเครื่องเทศและสุนไพรหอมๆ ห้ามพลาด! Piri piri Chicken ไก่เนื้อนุ่ม หนังกรอบ เจือรสเผ็ดนิดๆ ที่ได้จากการหมักซอส piri piri สูตรโฮมเมดและเครื่องเทศนานาชนิดนานถึง 3 วัน เสิร์ฟพร้อมซอส 2 สีได้รสมะเขือเทศและพริก jalapeño กินคู่กับผักชี เราว่าช่วยเสริมกลิ่นหอมและรสชาติได้แบบพอดิบพอดี     สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดกับของหวานชื่อเก๋ Sathon Mess เค้กช็อกโกแลตและเค้กชาเชียวรสเข้มแน่น เพิ่มความสดชื่นด้วยไอศกรีมชาเขียว ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี และสตรอว์เบอร์รีสดหวานฉ่ำ ตัดรสเปรี้ยวด้วยใบ Sorrel เล็กน้อย     ก่อนกลับเราอยากให้ลองม็อกเทล Yuzu kiwi iced tea ชาดาร์จีลิ่งมิกซ์กับกีวีรสอมเปรี้ยว น้ำผึ้งหวานหอม และน้ำส้มยูสุ ส่วนสายดื่มก็มี Salty pineapple แนะนำ ค็อกเทลสีแดงใสได้รสขมจาก Campari หอมหวาน Dark Rum ตัดรสด้วย Sea Salt พร้อมดึงสับปะรดมาเพิ่มความสดชื่น       จิบเครื่องดื่มไปนั่งเม้าท์มอยกับเพื่อนไปอีกสักหน่อย รับรองว่าเปลี่ยนใจอยากอยู่ต่อยาวๆ ก็คราวนี้ (ฮา)

แค่เห็นสโลแกน “กินอิ่มอก เฮอิ่มใจ สู้ต่อไปวันพรุ่งนี้” บนผนังลายกราฟิกของ “Kin + Hey by Greyhound Café” ร้านอาหารน้องใหม่ส่าสุดในเครือเกรย์ฮาวด์ก็ชวนให้กระเพาะฮึกเหิมขึ้นมาทันที และเมื่อได้ลองชิมบรรดาเมนูสตรีตฟู้ดจานเด็ดที่คุ้นเคยก็ยิ่งทำให้มนุษย์งานอย่างเราต้องเช็กอิน กิน+เฮ เก็บไว้ในลิสต์ร้านโปรดประจำวันกันเลยทีเดียว     ด้วยแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมการกินของเหล่าคนทำงานที่ต้องการหาสถานที่สังสรรค์เพื่อคลายความเหนื่อยล้า ที่นี่จึงหยิบแนวคิดร้านอาหารริมทางซึ่งที่พึ่งพิงของทุกคนมาต่อยอดให้กลายเป็นร้านอาหารสุดฮิปนั่งสบายที่พร้อมให้เราสั่งเมนู Comfort Food กินง่าย ทั้งอาหารจานเดียว ปิ้งย่างเสียบไม้ ไปจนถึงของหวานอย่างน้ำแข็งไส แต่ผ่านการทวิสต์เติมลูกเล่นเก๋ไก๋สไตล์เกรย์ฮาวด์ซึ่งมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร       ก่อนจะสั่งจานหลักแนะนำให้เรียกน้ำย่อยสนุกๆ ด้วยยำถั่วบังเฮ เมนูกินเล่นที่พนักงานจะให้เราเลือกถั่ว 3 ชนิด คือ ถั่วปากอ้า ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และเครื่องปรุงอย่างพริกขี้หนู ต้นหอมซอย ปลากรอบ และมะนาวหั่น ก่อนจะเชคในถ้วยคอกเทลแล้วเสิร์ฟใส่จานกันสดๆ ถึงโต๊ะ ต่อด้วยเมนูปิ้งย่างซีฟู้ดที่มีทั้งหอยเชลล์นำเข้าย่างเนยกระเทียม หมึกไข่ย่าง กุ้งเหยียดและหัวกุ้งเทมปุระ กินกับน้ำจิ้มสูตรเด็ดที่มีให้เลือก 4 รสชาติ ทั้งน้ำจิ้มซีฟู้ด แจ่วมะขาม แจ่วปลาร้ามะเขือ และซอสพริกศรีราชา           แล้วมาอิ่มแบบเต็มๆ กับเย็นตาโฟหม้อไฟ ที่ดัดแปลงเมนูก๋วยเตี๋ยวธรรมดาให้อลังการยิ่งขึ้นด้วยการเสิร์ฟแบบหม้อไฟร้อนๆ ทีเด็ดอยู่ที่ซอสเย็นตาโฟสูตรเด็ดรสเปรี้ยวเผ็ดจัดจ้านเข้ากับเครื่องต่างๆ และเส้นหมี่ที่เสิร์ฟมาด้วยกัน แต่ถ้าแซ่บแบบหยุดไม่อยู่ลองสั่งแดงโซเจลลี น้ำแดงมะนาวโซดาเพิ่มความอร่อยด้วยเจลลีสตรอว์เบอร์รีเคี้ยวเพลิน หรือเก๊กฮวยบ๊วยเย็น น้ำเก๊กฮวยผสมบ๊วยรสเปรี้ยวหวานสดชื่นมาดับความเผ็ดร้อนก็เข้าที         ส่วนสายขนมห้ามพลาด ขนมโตเกียวทวิสต์ ที่สร้างสรรค์ไส้แบบแปลกใหม่ในสไตล์กินเฮ อาทิ สังขยาใบเตยมะพร้าวอ่อน ไข่เจียวเบคอน ไส้กรอกสไปซี่ชีส คัสตาร์ด ชาไทย และเกาเหลาสายรุ้ง น้ำแข็งนมเกล็ดละเอียดนุ่มๆ มาพร้อมซอส 6 รสชาติ ทั้งนมเย็น ชาไทย ชาเขียว อัญชัน น้ำสำไย และกะทิน้ำตาลโตนด ให้เลือกครีเอตทอปปิงได้ตามใจ    

ขาประจำนักเดินเล่นใน Ikea คงคุ้นเคยกันดีกับโซนร้านอาหารของ Ikea ที่มีเมนูอาหารสวีเดนอร่อยๆ ทั้ง แซลมอนรมควัน พาสตา มีตบอล กระทั่งขาหมูเยอรมันเมนูท็อป บริการด้วยเซลฟ์เซอร์วิสแบบง่ายๆ สไตล์แคนทีน แต่หากคุณได้แวะเวียนมาที่ Ikea บางใหญ่ ก็จะได้เจอร้านอาหารแบบเดียวกัน.. แต่เดี๋ยวก่อน!! หากคุณข่มความหิวไว้และเดินไปจนเกือบถึงทางเชื่อมกับห้างที่ชั้น 3 คุณจะเจอบันไดขึ้นชั้นลอย และเมื่อเดินขึ้นไปก็จะพบกับ Hem Restaurant & Café ที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ Ikea ในบรรยากาศของร้านอาหารและคาเฟ่สุดชิค ดูเก๋ด้วยผนังสีน้ำทะเล ประดับประดาโคมไฟและรูปภาพติดผนัง และแน่นอน พร้อมเสิร์ฟอาหารสวีเดนแสนอร่อยเมนูพิเศษให้คุณด้วย     ที่ร้านอาหารนี้ก็ยังคงบริการแบบเซลฟ์เซอร์วิส แต่คุณไม่ต้องเดินถือถาดตามกันแล้ว ที่นี่มีแผ่นพับเมนูให้คุณหยิบไปเลือกรายการอาหารที่ต้องการ จากนั้นเพียงไปสั่งอาหารและชำระเงินที่เคาน์เตอร์ และรับเครื่องส่งสัญญานไปนั่งรอสวยๆ ที่โต๊ะ เมื่ออาหารพร้อมเสิร์ฟ เครื่องก็จะส่งสัญญานเตือนให้คุณไปรับอาหารร้อนๆ ที่เคาน์เตอร์มานั่งทานกันชิลๆ     เมนูที่นี่โดยรวมเรียกว่าดูค่อนข้างเฮลตี้ ไม่ค่อยมีพวกของทอดทั้งหลาย รวมทั้งขาหมูเยอรมันด้วย แต่ความน่ากินเรียกว่าไม่ได้น้อยลงแต่อย่างใด เรามาดูเมนูเรียกน้ำย่อยกันก่อน มีซุปประจำวัน สลัดแอปเปิลสด สลัดแซลมอนรสเผ็ด และสลัดแซลมอนหมัก ของโปรดของหลายๆ คน ตามด้วยอาหารจานหลักที่มีเมนูสวยๆ อย่าง แซลมอนอบเสิร์ฟพร้อมซอสเพสโต มะเขือเทศลูกเล็กและใบโหระพา จานนี้อร่อยแบบได้สุขภาพมากๆ ตามด้วยเมนู ไก่อบสมุนไพรกับข้าวผสมงาดำ เสิร์ฟมากับน้ำจิ้มแจ่ว เป็นเมนูแบบไทยๆ ที่ให้ปริมาณสุดคุ้มอิ่มท้องดีทีเดียว     ส่วนเมนู มีตบอล ซิกเนเจอร์ของอิเกียเองก็มีให้เลือกทั้งเนื้อไก่และเนื้อวัวผสมเนื้อหมู และมีเวจจี้บอลที่ไม่ใส่เนื้อสัตว์เป็นทางเลือกด้วย เสิร์ฟมาอย่างสวยงามพร้อมมันฝรั่งอบ ซอสเกรวี ซอสราสป์เบอร์รี และผักสด สำหรับจาน พาสตา เราสามารถเลือกส่วนผสมเองได้ ตั้งแต่เลือกเส้นสปาเกตตี หรือเพนเน่ และเลือกซอสมะเขือเทศ ซอสเลมอนดิลล์ หรือซอสเพสโต และเลือกเนื้อสัตว์ได้ว่าจะเป็นมีตบอล ชิกเก้นบอล หรือปลาแซลมอน เรียกว่าครีเอตตามแบบที่ชอบได้เลย แล้วทางครัวจะปรุงให้ตามออร์เดอร์          ในส่วนของขนมหวานก็น่าลองไปทุกอย่าง เริ่มด้วย เค้กอัลมอนด์ ที่มีเนื้อสลับชั้นเป็นเลเยอร์ได้ทั้งความครีมมีและบางกรอบ เสิร์ฟกับครีมชีสตัดรสกัน ตามด้วย ช็อกโกแลตพุดดิ้ง เนื้อช็อกโกแลตทั้งนุ่มทั้งแน่นและเข้มข้นมาก ใครที่ชอบช็อกโกและน่าจะฟิน และ ไอศกรีมโยเกิร์ตกับสลัดผลไม้สด เนื้อไอศกรีมไม่หวานมากได้รสเปรี้ยวสดชื่น โรยหน้าด้วยแอปเปิลเขียวหั่นเต๋าเป็นชิ้นเล็กๆ เป็นของหวานสามแบบสามสไตล์ ส่วนเครื่องดื่มร้อนสามารถเลือกสั่งกาแฟได้หลากหลายแบบเหมือนกันอิเกียคาเฟ่ ทั้งเอสเปรสโซ กาแฟดำร้อน/เย็น คาปูชิโนร้อน/เย็น ลาเต้ร้อน/เย็น และเครื่องดื่มอื่นๆ รวมทั้งเบียร์อิเกียและเบียร์ดำอิเกียด้วย สำหรับสมาชิกอิเกียแฟมิลี ช่วงนี้มีโปรโมชั่นได้รับส่วนลดสำหรับไปซื้อสินค้าอื่นๆ อีกต่อหนึ่งด้วย           การชอปปิ้งบางครั้งก็กินพลังงานไม่เบา หากอยากหลบความวุ่นวายมานั่งพักกายพักใจ ชิลไปกับมื้ออาหารดีๆ สักมื้อ แล้วค่อยกลับลงไปชอปต่อ ที่นี่ก็ตอบโจทย์ได้ดีเลยล่ะ

ส่งตรงความอร่อยมาถึงกรุงเทพฯ เป็นที่เรียบร้อยสำหรับ Cuisine de Garden ร้านที่หลายคนหลงรักจากเชียงใหม่ แน่นอนว่าการมาครั้งนี้ย่อมมีความพิเศษซ่อนอยู่ โดยเฉพาะคอนเซ็ปต์ “Nature Inspired” ที่สื่อออกมาได้อย่างน่าประทับใจทั้งๆ ที่อยู่ในย่านกลางเมืองอย่างเอกมัย     ไม่ใช่แค่ชื่อเท่านั้นที่ทำให้เราสัมผัสถึงความอบอุ่นของธรรมชาติ หากแต่บรรยากาศภายในก็ตกแต่งให้เป็นหนึ่งเดียวกันเสมือนว่าเรากำลังนั่งอยู่ในสวนสวยที่มีทั้งแสงธรรมชาติรายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ แถมยิ่งมองลึกเข้าไปก็จะพบกับ “บาร์หิ่งห้อย” โซนเครื่องดื่มที่แวดล้อมไปด้วยเงาไม้และไฟประดับระยิบระยับ  เฉกเช่นหน้าตาของอาหารที่ร้อยเรียงด้วยท่วงทำนองแห่งธรรมชาติที่เพียงแค่เห็นก็ไม่ยากที่จะตกหลุมรัก     เพื่อความต่อเนื่องในการเล่าเรื่อง เชฟแนน-ลีลาวัฒน์ มั่นคงติพันธ์ เจ้าของ Cuisine de Garden ทั้ง 2 สาขาจึงสร้างสรรค์อาหารในรูปแบบ Course Menu โดยแบ่งออกเป็น 4 Chapter ซึ่งในแต่ละ Chapter นั้นจะมี 3 เมนูให้เลือก พ่วงด้วยอาหารเรียกน้ำย่อยและของหวานในราคา 1,590 บาท     เริ่มต้นจานแรกด้วย Soil ความอร่อยใน Chapter 1 ที่สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินด้วย Beef Tartar เนื้อวัวสุดนุ่มคลุกเคล้าด้วยเครื่องเทศและไอศกรีมชาร์โคลที่ทำออกมาได้เหมือนกับหน้าดินที่ชุ่มฉ่ำน้ำ ก่อนจะตกแต่งด้วยผักแขยงและบีตรูตอบกรอบให้อารมณ์ความเย็นสดชื่น ส่วนรสชาติของเนื้อก็ช่างแสนละมุนพกพากลิ่นติดจมูกนิดๆ     ตามด้วย Nest จานอร่อยจากเชียงใหม่ที่มีหน้าตาสมชื่อแบบสุดๆ จากไข่ออนเซ็นวางบน (รัง) หมี่กรอบ ขณะที่ชั้นล่างสุดเป็นเนื้อไก่ผัดกับเห็ดและทรัฟเฟิลออยล์ ก่อนกินก็ให้เราตอกไข่ลงบนหมี่กรอบแล้วค่อยตักหั่นชิมลงไปถึงชั้นล่างสุดทีละคำๆ เพื่อซึมซาบกับความกรุบกรอบและรสฉ่ำหอมหวานที่ผสานกันอย่างลงตัว     หรือจะลอง Starry Night ที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพวาดของจิตรกรเอกอย่างวินเซนต์ แวน โก๊ะ (Vincent Van Gogh) จานนี้เป็นปลาหมึกย่างเนื้อเหนียวนุ่มยัดไส้ซุปผักราตาตุยที่ผสานเครื่องเทศแกงกะหรี่ ตกแต่งด้วยเจลมะนาวดองรสเปรี้ยวๆ ไข่ปลาแซลมอนให้รสเค็ม พร้อมด้วยซอสไอโอลีที่ทำจากผงกะหรี่และน้ำมันมะกอก     ส่วนของหวานจะอยู่ใน Chapter 4 ซึ่งหนึ่งในนั้นก็จะมีความอร่อยสุดเก๋ของ Cactus ที่จำลองบรรยากาศของทะเลทรายด้วยคานาเลเคลือบรัมและผงใบเตยทำเป็นต้นกระบองเพชร 2 ต้นวางบนทะเลทรายครัมเบิลที่ทำจากขนมปังบริออช เสิร์ฟมาพร้อมกิ่งไม้ให้เราได้วาดลวดลายบนทรายก่อนละเลียดกับความอร่อย     แล้วมาปิดท้ายกับ Stone ขนมหวานสุดสนุกส่งท้ายที่ให้เราเดาเล่นๆ ว่าหินก้อนไหนกินได้ หินก้อนไหนของจริง  

ถ้าพูดถึงอาหารประจำชาติที่มีรสชาติโดดเด่นชวนลิ้มลองแล้วล่ะก็ เชื่อว่าอาหารอินเดียต้องติด Top 10 อย่างแน่นอน ไม่เพียงรสชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแต่ยังเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพราะอาหารอินเดียส่วนใหญ่เน้นผัก สมุนไพร รวมถึงเครื่องเทศที่ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกาย     หากคุณกำลังมองหาร้านอาหารอินเดียที่ปรุงแบบต้นตำรับ ขอแนะนำ บาวาร์ชิ ชิดลม ร้านอาหารอินเดียที่โดดเด่นทั้งรสชาติและบรรยากาศที่ตกแต่งอย่างหรูหรามีระดับ ทางร้านนำเสนออาหารอินเดียตอนเหนือที่ถือว่าเป็นอาหารเก่าแก่ที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง จากฝีมือการปรุงโดยเชฟรานา เชฟใหญ่ประจำห้องอาหารที่ตีโจทย์ให้ออกนอกกรอบเดิมๆ ด้วยการผสมผสานวัตถุดิบหลากหลายชนิดร่วมกับการปรุงแบบดั้งเดิม สร้างสรรค์เป็นเมนูรสเลิศที่ยังคงอบอวลด้วยกลิ่นหอมของเครื่องเทศชั้นดี       เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกับ Papadum ข้าวเกรียบอินเดียเสิร์ฟพร้อมซอสชัทนีย์ 4 รสชาติ ได้แก่ ซาวร์ครีม บีทรูท มะม่วง และสับปะรด แค่ออเดิร์ฟก็ทำเอาเหล่านักชิมตื่นเต้นไปกับความหลากหลายของรสชาติแล้ว     Bhel Puri เมนูของว่างที่ประกอบไปด้วย ข้าวพอง ผักรวม และซอสมะขามเปรี้ยวปรุงรส เคี้ยวกรุบกรอบกลมกล่อมในคำเดียว     Tandoori Prawn กุ้งแม่น้ำคลุกเคล้ากับมัสตาร์ดและคาราเวย์ ย่างในเตาทันดูร์ซึ่งเป็นเตาแบบโบราณที่ช่วยชูรสชาติและกลิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสิร์ฟพร้อมซอสชัทนีย์สูตรพริกขี้หนูและสับปะรด      Malabar Machi แกงเผ็ดปลาสูตรดั้งเดิมรัฐเกรละ เข้มข้นด้วยรสชาติและกลิ่นหอมของหัวกะทิ เครื่องแกง และเม็ดมะม่วงหิมพานต์บดที่แทรกซึมอยู่ในเนื้อปลาชั้นดี เสิร์ฟพร้อมข้าวปรุงหญ้าฝรั่นสีเหลืองนวลชวนลิ้มลอง      สำหรับเมนูที่คนไทยค่อนข้างคุ้นเคย ได้แก่ Olive Naan แป้งนานรสมะกอก และ Missi Roti โรตีต้นตำรับ ที่ต้องสั่งมากินคู่กับแกงสูตรต้นตำรับที่มีให้เลือกหลายเมนู อาทิ Daal Makhani ปรุงจากส่วนผสมของถั่วเลนทิลดำและมะเขือเทศ เคี่ยวบนเตาถ่านข้ามคืนจนเข้มข้นและเนียนนุ่มลิ้น Achari Gobhi Mutter แกงดอกกะหล่ำใส่เครื่องเทศดองรสเปรี้ยวกับมะม่วง พริกขี้หนู และขมิ้น       สายมังสวิรัติก็มีทางเลือกที่อร่อยไม่แพ้กันได้แก่ Shahi Malai Kofta เกี๊ยวไส้ชี้สสไตล์โฮมเมดชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟกับน้ำเกรวี่มะเขือเทศและหอมหัวใหญ่รสชาติเข้มข้น สั่งเลยไม่ผิดหวังเพราะละมุนลิ้นและครีมมี่แบบสุดๆ      ช่วงเย็นทางร้านยังมีดนตรีสดแบบพื้นเมืองมาคอยขับกล่อมเพิ่มความเพลิดเพลิน หากยังไม่รีบไปไหนลองสั่งเครื่องดื่มอย่าง Tarined Margrita หรือ Chai Martini ก็ยิ่งเสริมรสชาติให้มื้อนี้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น    

เมื่อปลายปีที่ผ่านมานอกจากเราจะได้มิชลินไกด์ฉบับประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว เรายังได้ต้อนรับเชฟมิชลินสตาร์ชาวลัตเวีย “มาร์ติน บลูโนส” (Martin Blunos) ที่ย้ายมาประจำการความอร่อยบนชั้น 14 โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ เป็นที่เรียบร้อย     ก่อนหน้านี้เชฟมาร์ตินมีร้านอาหารชื่อว่า “Lettonie” ในเมืองบริสตอล ประเทศอังกฤษ พร้อมกับคว้ามิชลินสตาร์ 2 ดาวมาครอบครอง อีกทั้งความมีเสน่ห์และอารมณ์ขันทำให้เชฟมาร์ตินเคยพกพาหนวดทรงวอลรัสอันเป็นเอกลักษณ์ทำหน้าที่พิธีกรหลายรายการมาแล้ว ซึ่งรวมถึง Iron Chef UK อีกด้วย แต่ตอนนี้เชฟคนเก่งได้มาเปิดร้านใหม่ล่าสุดในชื่อ Blunos พร้อมกับนำเสนออาหารสไตล์คลาสสิกคอมฟอร์ตฟู้ดที่เน้นวิธีการปรุงอันเรียบง่าย แต่ใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ เพื่อดึงรสชาติอาหารที่แท้จริงออกมา       ส่วนเรื่องของบรรยากาศหลายคนคงคิดว่าต้องนั่งหลังแข็งตัวเกร็งตามสไตล์เชฟมิชลิน แต่สำหรับที่นี่กลับให้อารมณ์ในทางตรงข้าม เมื่อบรรยากาศในห้องอาหารได้ถูกปรับโฉมให้โปร่งโล่งสบายมาพร้อมวิวสระน้ำ ขณะที่บนกำแพงก็เต็มไปด้วยลายเพนต์รูปหนวดตัวแทนของเชฟและม็อตโตเก๋ๆ บนกำแพงอย่างเช่น Happy Food for Happy People หรือ Real Food for Real People ที่คล้ายกำลังกระซิบบอกเราว่าความอร่อยกำลังเดินทางมาแล้ว     เริ่มกันด้วย Pork Belly (500 บาท) หมูสามชั้นติดซี่โครงชิ้นยาวตุ๋นนานกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง ก่อนทาด้วยซอสสูตรลับแล้วอบอีกครั้งจนได้ความนุ่มหอม เสิร์ฟพร้อมหนังหมูทอดกรอบ ถั่วชิกพี แอปเปิลเขียว พริกชี้ฟ้า พาร์สลีย์ ที่ผัดรวมกันจนได้ความฉ่ำหอมหวานเข้าคู่กับหมูสามชั้นอย่างลงตัว     ตามด้วย Lobster Roll (490 บาท) ล็อบสเตอร์ครึ่งตัวปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยก่อนซูวีดจนเนื้อนุ่มเด้ง วางบนขนมปังบันโฮมเมดทาเนยกระเทียม โรยผิวส้ม เสิร์ฟพร้อมซอสมาโยที่ทำจากน้ำสต๊อกหัวกุ้ง เนื้อส้ม และมายองเนสผสมรวมกัน หรือจะลอง Peking Duck Pizza (570 บาท) ที่การันตีความอร่อยด้วยเป็ดปักกิ่งจากเพื่อนบ้านอย่าง Chef Man มาโรยบนพิซซาแป้งบางกรอบทั้งเนื้อและหนัง พร้อมด้วยซอสฮอยซิน แตงกวา และต้นหอมก็ทำให้พิซซาถาดนี้พิเศษไม่มีใครเหมือน       แล้วอย่าลืมปิดท้ายกับ Apple Turnover (320 บาท) พัฟเนื้อฟูนุ่มสอดไส้แอปเปิลคอมโพตรสหอมหวานอมเปรี้ยวๆ นิด แม้หน้าตาจะดูเรียบง่ายแต่พอได้ซอสคัสตาร์ดวานิลลามาเติมเต็มก็ทำให้หลับตาพริ้มเลยทีเดียว  

ทำเอากล้าๆ กลัวๆ กันเลยทีเดียว เมื่ออยู่ดีๆ เพื่อนสาวชวนไปดินเนอร์ แต่คราวนี้ไม่ใช่ดินเนอร์แบบทั่วไปเสียด้วย เพราะเป็นดินเนอร์ “อาหารอินเดีย” แค่คิดก็ทำตัวไม่ถูก เมื่อในความทรงจำยังคงเต็มไปด้วยรสชาติและกลิ่นเครื่องเทศที่กรุ่นรุนแรงอยู่ในใจ แต่พอได้มาที่ห้องอาหาร “ราง มาฮาล” (Rang Mahal) บนชั้น 26 ของโรงแรมแรมแบรนดท์ กรุงเทพฯ (Rembrandt Hotel Bangkok) ก็ได้เวลาเปลี่ยนใจเสียใหม่     เริ่มตั้งแต่บรรยากาศที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าห้องโถงของดินแดนภารตะอันโอ่อ่า ตระการตาด้วยลายแสนสวยบนพรมและผ้าที่ประดับตกแต่ง ร่วมด้วยวงดนตรีตามแบบฉบับอินเดียคอยขับกล่อม ขณะที่อีกด้านก็จะพบกับวิวพาโนรามามองเห็นแสงไฟระยิบระยับของกรุงเทพฯ พลางชิมเครื่องเคียงที่เจ็บจี๊ดด้วยสีสันแต่รสอร่อยถูกใจมาก (แอบคิดถึงผักดองของเกาหลีเลย) ไม่ว่าจะเป็น หอมแดงดองรสออกเปรี้ยว ไช้เท้าดองโรยงารสออกหวาน และเครื่องจิ้มจากใบมินท์บดสีเขียวสด กินเข้าคู่กับนาน (Nann) หรือขนมปังตำรับอินเดียได้อย่างเหมาะเจาะ     นานของที่นี่มีให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ Naan (100 บาท) นานทันดูร์แป้งกรอบนุ่มรสดั้งเดิม และ Garlic Naan (120 บาท) นานใส่กระเทียมหอมมันเนื้อเหนียวนิดๆ แล้วมาเพิ่มดีกรีความหนักท้องกันต่อด้วย Tandoori Prawns (860 บาท) กุ้งลายเสือหมักในเครื่องเทศอินเดียสีออกเหลือง ปรุงในหม้อดินส่งกลิ่นหอม จานนี้ให้เหมือนเรากำลังกินกุ้งสะเต๊ะไม้เนื้อแน่นเต็มคำ     ตามด้วย Paneer Tikka Badshahi (425 บาท) คอตเทจชีสหรือชีสนมแพะหั่นเต๋าหมักในเครื่องเทศก่อนจะย่างในเตาทันดูร์ ด้วยรสชาติชีสที่เข้มข้น แก้มแดงขอแนะนำว่าให้กินเครื่องเคียงตามไปด้วยเลย รับรองเพลิน แล้วยังมี Raan E Khyber (1,595 บาท) ขาแกะหมักด้วยเครื่องเทศและเหล้ารัม เนื้อร่อนหอมฉุย รับประกันว่าไร้กลิ่นคาว     ได้เวลามาลองจานหลักอิ่มกันให้สุดกับแกง 3 อย่าง ได้แก่ Jheenga Kadhai (550บาท) แกงกุ้งใส่มะเขือเทศสับและเครื่องเทศ รสชาติเข้มข้นเผ็ดร้อน พ่วงรสเปรี้ยวๆ ติดปลายลิ้นในเนื้อกุ้งทุกคำ Murgh Tikka Masala (450 บาท) แกงมาซาล่าไก่ที่ให้รสชาติแสนคุ้นเคยคล้ายแกงบ้านเรา แต่จะให้กลิ่นขึ้นจมูกมากกว่า และ Roganjosh Kashmiri (550 บาท) แกงแพะย่างเนื้อนุ่มปรุงรสด้วยซอสหัวหอมและเครื่องเทศให้รสกลอมกล่อมเผ็ดร้อนแต่หอมหวาน         แล้วห้ามลืมปิดท้ายด้วยขนมหวานขึ้นชื่อของอินเดียอย่าง Gulab Jamun (195 บาท) กุหลาบจามุน หรือแป้งผสมนมทอดในน้ำมันเนยราดด้วยน้ำเชื่อมที่ทำจากลูกกระวานและจันทร์เทศ หอมหวานแบบสุดๆ   

Water Library Brasserie ร้านอาหารสไตล์บราสเซอรีภายในเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ กลายเป็นร้านที่มียอดขายถล่มทลายจนต้องต่อยอดขยายสาขาใหม่ในชื่อ Brasserie by Water Library สู่อีกมุมเมืองภายใน The Crystal Veranda     บราสเซอรี บาย วอเตอร์ ไลบรารี่ ดีไซน์ใกล้เคียงกับสาขาแรกในช่วงยุคทองของฝรั่งเศส แต่อาจจะไม่ได้โดดเด่นเหมือนสาขาแรกที่มีหอไอเฟลตั้งตระหง่านอยู่กลางร้าน แต่ที่เด่นก็คือเรือนกระจกซึ่งเป็นโซนไดนิง และ The Godfather ไวน์บูติกในเครือที่นำเข้าไวน์ไม่เหมือนใครมาให้ได้เลือกดื่มคู่กับอาหาร     แม้ว่าจะเป็นอาหารสไตล์บราสเซอรี แต่ขนมปังอบใหม่ก่อนมื้ออาหารก็เป็นจุดเด่นของวอเตอร์ไลบรารี่ สาขานี้เสิร์ฟขนมปังเซียบัตตากระเทียมกับเนยโยเกิร์ต ส่วนอาหารยังคงเป็นเชฟเหยาที่เคยทำงานกับ Alma by Juan Amador ร้านอาหารมิชลิน 1 ดาวในสิงคโปร์เป็นผู้ดูแลเหมือนสาขาแรก     อาหารจานเด่นของสาขาแรกยังคงมีให้ชิมที่นี่ แต่เราก็ยอมเพราะอร่อยจริง Wagyu Beef Tartare คงต้องบอกว่าทาร์ทาร์กินที่ไหนก็ได้แต่ก็ไม่อร่อยเหมือนที่นี่ ความลับน่าจะอยู่ในครีมดิจองมัสตาร์ด     Cold Pasta ก็เป็นอะไรที่รสชาติเต็มปากเต็มคำทั้งน้ำมันทรัฟเฟิลและสาหร่ายฮิจิกิ แน่นอนว่าของหวานอย่าง Apple Tart Tatin ก็เช่นกัน     แต่มาสาขาใหม่แนะนำอาหารจานใหม่ที่มีเฉพาะสาขานี้ดีกว่า Squid Spaghetti สปาเกตตีผัดซอสเพสโต เชฟไม่ใช้เบซิล แต่เลือกใช้ผักร็อกเก็ตแทน ทำให้มีรสเผ็ดๆ ขมๆ ปนเข้ามา แปลกดี รสไม่หนัก Barramundi ปลากะพงขาวในซอสเวลูเต มาพร้อมฮอลลันเดสและหนังปลากรอบ       Lamb Shank ขาแกะซูดวิสกับซอสสมุนไพรนาน 2 วันจนนุ่ม เสิร์ฟพร้อมข้าวบาสมาติหุงกับซัฟฟรอนและแลมป์จูส     แล้วห้ามพลาดกับของหวานจานใหม่ Creme Caramel คาราเมลคัสตาร์ด กินกับป๊อปคอร์นคาราเมล ครีมข้าวโพด และครีมคาราเมลคัสตาร์ด   

Clandestino Cantina เป็นร้านอาหารที่เรารอมานาน หลังจากทราบข่าวว่าบนชั้น 2 ของ Revolucion Cocktail Bangkok จะเปิดเป็นร้านอาหาร จนเราเกือบลืมไปแล้ว หลังจากติดต่อกับเชฟกาเบรียลา เอสปิโนซา (Gabriela Espinosa) เราจึงมีโอกาสได้มาชิมอาหารที่นี่       บนชั้น 2 ของบาร์สไตล์คิวบาจำลองเอาท้องถนนในอเมริกาใต้เอาไว้ ทั้งภาพวาดมือสีสันฉูดฉาดและกำแพงสังกะสีที่ช่วยเพิ่มความเป็นสตรีทไลฟ์ผสมกับครัวเปิดที่ให้เราได้มองเห็นเชฟขณะปรุงอาหาร เชฟกาบรี้ตัวจริงดูเด็กมาก อายุยังไม่ถึง 30 แต่ประสบการณ์ของเธอไม่ธรรมดา เธอปลุกปั้นร้านแบรนด์เดียวกันนี้ในประเทศจีนมาแล้ว เธอเป็นเชฟเม็กซิกันจากเม็กซิโกซิตี้ แต่เธอบอกกับเราว่าที่นี่ไม่ใช่ร้านอาหารเม็กซิกัน แต่เป็นร้านอาหารละตินที่ใส่เอากลิ่นอายของยูโรเปียนเข้าไปด้วย จึงมีทั้งอาหารอาร์เจนตินา เม็กซิกัน เปรู โบลิเวีย และชาติอื่นๆ     เชฟกาบรี้เริ่มที่สแปนิชตอร์ติญา หรือที่บางคนเรียกว่าไข่เจียวสเปน แต่ทวิสต์ใหม่ออกมาคล้ายๆ ซุปแทน Tortilla Royal  มูสมันฝรั่ง หัวหอมผัดรสหวาน และไข่ซูสวิดที่ให้รสครีมๆ มันๆ และรสหวานของหัวหอมคาราเมลไลซ์     จานต่อมาเป็น Tartara de Pescado คล้ายเชบิเซ ปลาแซลมอนกับปลากะพงคลุกกับน้ำมะกรูด ขิง ตะไคร้ ตามด้วยโฟมมะพร้าว โรยด้วยตอร์ติญาฝอยทอดกรอบ รสชาติคล้ายๆ ต้มข่าแต่ไม่ครีมเท่า ได้เนื้อสัมผัสของตอร์ติญามาสร้างความแปลกใหม่     จานต่อมา Aquachile Salad เชฟบอกว่าเป็นอาหารเม็กซิกันแบบ 100 % ปกติจะมีเพียงกุ้งกับน้ำยำ ผักชี น้ำมะนาว แต่จานนี้ใส่พริกขี้หนู มาพร้อมสลัดผักกับข้าวโพดราดเดรสซิงน้ำมะพร้าว     มาที่จานเด็ดของเชฟกาบรี้ Chickentino ไก่ซูสวิดกับเครื่องเทศจนเนื้อนุ่มหอมนำมานาบบนกระทะให้หนังกรอบ กินกับควินัว 2 สีจากเปรูและโบลิเวียกับข้าวโพดอ่อน เนื้อไก่นุ่มหอมมีรสเผ็ดของซอส     และ Pork Belly ซิกเนเจอร์ของเชฟที่ได้ไอเดียตอนมาอยู่เมืองไทย หมูสามชั้นทำออกมา 2 เนื้อสัมผัส ชิ้นหนึ่งอบนาน 4 ชั่วโมง ได้ความกรอบและฉ่ำแบบหมูกรอบ และอีกชิ้นซูสวิดนาน 18 ชั่วโมง มาพร้อมแครอตบด เยรูซาเลมอาร์ติโชกบด และข้าวโพดย่างเตาถ่าน     ปิดท้ายด้วยของหวานที่ปรับโฉมจากค็อกเทล Pina Colada รสชาติเด่นๆ อยู่ที่สับปะรดอินฟิวกับรัมและมูสค็อกเทลพินาโคลาดา   

ใช่แล้วฟังไม่ผิดว่า Azul Nuevo Latino Restaurant เป็นร้านอาหารละตินอเมริกากลิ่นอายไมอามี่ เนื่องจากเชฟใหญ่ของร้าน คิป ออกซ์แมน (Kip Oxman) ใช้ชีวิตทำอาหารในไมอามี่มานานกว่า 10 ปี     เชฟคิปบอกกับเราว่าอาหารละตินเมริกามีความหมายที่กว้างมาก และมีบางสิ่งที่คล้ายอาหารเอเชีย เชฟจึงหยิบยืมเอารสชาติของอาหารต่างๆ มาใช้ อาทิ เม็กซิกัน คิวบา โคลัมเบีย และบราซิล ซึ่งพบเห็นได้แทบทุกหัวถนนในไมอามี่ คล้ายการหลอมรวมวัฒนธรรมอาหารแบบคนนิวยอร์ก แต่ที่นี่ฉายแววของอาหารละตินออกมาชัดเจน อาหารจึงมีทั้งอิทธิพลหลักของเม็กซิกันและสแปนิชในฐานะบ้านใกล้เรือนเคียงและเจ้าอาณานิคม เชฟยังทิ้งท้ายว่ารสชาติอาหารของที่นี่เป็นรสชาติเดียวกับที่ทำในไมอามี่ ไม่ได้ปรับให้เข้ากับคนไทยแน่นอน     เริ่มที่อาหารพอดีคำ Jalapeño Rellenitos พริกฮาลาเปโยดองเคลือบเมล็ดฟักทองแล้วทอด ยัดไส้ด้วยครีมชีส จิ้มกับแรนช์ดิป รสเผ็ดอ่อนกับความเปรี้ยวตัดด้วยรสครีมของชีสและดิป แปลกดี     Spice seared Rare Tuna ทูน่าหมักกับพริกและวินีการ์แล้วนาบกระทะให้ผิวนอกสุก มาพร้อมแฮมทาสโซ (Tasso Ham) แฮมรสเผ็ดที่คลุกเคล้ามากับมะเขือเทศและวินีการ์ แกล้มด้วยถั่วดำบด     อีกจานเป็น Duck Ropa Vieja on Columbia Arepas สตูเนื้อเป็ดที่เชฟปรับจากสูตรเดิมที่เป็นสตูเนื้อกับซอสมะเขือเทศที่หอมกลิ่นเครื่องเทศวางบนเค้กข้าวโพดกับชีสมันเชโก ไข่ดาวน้ำ และหอมดอง     จานหลักเป็น Cubano Seafood Paella ฟังแล้วอาจจะแปลกใจว่าคิวบาก็มีปาเอลญา เนื่องจากเคยเป็นเมืองขึ้นกันมา คล้ายปาเอลญาสแปนิชใส่ซัฟฟรอน ไวน์ขาว และโชริโซ แต่รสชาติของอาหารทะเลจัดกว่า ข้าวหอมกรุบอร่อย แต่แนะนำให้เอากั้งออกไป เพราะทุกอย่างในจานเข้ากันดีแล้ว