ต้องบอกว่านี่คือการปรับโฉมใหม่ทั้งหมดของร้านอาหารอิตาเลียน La Scala ที่อยู่คู่กับโรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ มานานกว่า 15 ปี โดยตกแต่งให้มีบรรยากาศโปร่งสบายตาในโทนสว่างมากขึ้น ย้ายครัวจากตรงกลางร้านเข้าไปชิดกับผนังฝั่งหน้าร้าน แต่ยังคงเป็นครัวเปิดที่สามารถเห็นเชฟทำอาหารได้ ส่วนมุมที่เป็นเตาพิซซาตกแต่งให้ดูหรูขึ้นด้วยการเปลี่ยนจากไม้ให้เป็นหินอ่อน และเพิ่มบาร์เครื่องดื่มเข้ามา       นอกจากการตกแต่งที่แปลกตาไปแล้ว เชฟเดวิด แทมบูรินิ (David Tamburini) ก็ยังปรับเมนูใหม่ทั้งหมดให้มีคอนเซ็ปต์ อิตาเลียนไฟน์ไดนิ่ง ที่ใช้สูตรดั้งเดิมแต่ปรับหน้าตาให้ดูสร้างสรรค์และร่วมสมัย เมื่อเชฟเดวิดรู้ว่า G&C มาเยือน เชฟจึงจัดเต็มให้เราเลยทีเดียว     เริ่มจากอาหารเรียกน้ำย่อยจานแรกคือ Artichokes petals and cardoons salad สลัดอาร์ติโชคกับชีสพาร์มิจิอาโน เร็กจิอาโน นมไพน์นัตและไข่ออนเซ็น เชฟเข้าใจวัตถุดิบเป็นอย่างดีเสิร์ฟอาร์ติโชคกับชีสให้มีรสเค็มมันเข็มข้นอร่อย     อีกจานคือ Seared hokkaido scallops หอยเชลล์ตัวใหญ่ย่างเนื้อหวานนุ่มเสิร์ฟพร้อมคาร์เวียร์และผักเคลที่เชฟปรุงมาหลายแบบทั้งสด ย่าง ทอด ทำให้จานนี้มีรสสัมผัสที่หลากหลาย     มาถึงจานที่เรารู้สึกว้าวกับเมนู Spaghetti with smoked eggplants juice สปาเก็ตตี้จานนี้ไม่มีเนื้อสัตว์แต่อร่อยด้วยมะเขือม่วง เชฟนำมะเขือม่วงมาย่างและบีบน้ำออก นำน้ำมะเขือม่วงนั้นมาผัดกับพาสต้า ทำให้ได้กลิ่นสโมคหอมๆ ใส่เนื้อมะเขือม่วงหั่นเต๋าและมีมะเขือเทศจากอิตาลีรสหวานอร่อยลงตัว     ส่วนอีกจาน Mixed pasta in crustaceus and sesame infused broth ที่ได้ไอเดียจากครัวของอิตาลีที่ใช้พาสต้าเหลือหลายๆ รูปทรงมาต้มรวมกัน เสิร์ฟมาในซุปคล้ายล็อบสเตอร์บิสค์ที่เบาและใสกว่า กินแล้วอร่อยอุ่นท้อง     อาหารจานหลักคือ Mediterranean red mullet ปลาเรดมูเล็ตย่างเนื้อนุ่มหวาน เสิร์ฟกับสาหร่ายรสขมนิดๆ มีกลิ่นของทะเลเต็มๆ     อีกจานที่ทุกคนฟินมากคือ Roasted milk fed veal tenderloin เนื้อลูกวัวย่างนุ่มๆ กับผักเรดดิชิโอรสขมนิดๆ เพิ่มความหอมหวานด้วยบัลซามิคและหอมหัวใหญ่ลูกเล็ก     สุดท้ายห้ามพลาด Orange zabaione in crispy orange skin ไวท์ช็อกโกแลตทำเป็นรูปส้ม หุ้มซาบายองเนื้อนุ่มเบา ข้างในเป็นแยมส้มหอมหวาน ผิวเป็นอัลมอนด์บดและผิวส้มขูด ได้เนื้อสัมผัสทั้งกรอบและนุ่ม และมีรสหวาน เปรี้ยวและขมนิดๆ จากผิวส้ม  

คงต้องบอกว่าบ้านหลังเก่าที่กลายเป็นที่ตั้งของร้าน Baker x Florist แห่งนี้ คือส่วนผสมอันแสนจะดีงามของขนมหวานแสนอร่อยและสีสันแสนหวานของดอกไม้ จากการรวมตัวของสองสาวเพื่อนรัก คุณแนน - สวรรยา งามประเสริฐชัย เชฟทำขนมคนเก่ง และคุณสายไหม-มณีรัตน์ ศรีจรูญ นักแสดงสาวที่มีงานอดิเรกเป็นนักจัดดอกไม้ ที่ต้องการให้ความชอบของทั้งคู่มาอยู่ในที่เดียวกัน       แน่นอนว่าภายในร้านเราจะได้เห็นดอกไม้แทรกตัวอยู่ตามมุมต่างๆ ภายใต้บรรยากาศที่แฝงความเป็นโมร็อกกันนิดๆ จากสีสันฉูดฉาดของกระเบื้องและผืนผ้า แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นกลับดูอบอุ่นสบายตาด้วยโต๊ะไม้ตัวใหญ่และเก้าอี้หวายที่เพิ่มเข้ามา และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ดอกไม้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในทุกๆ เมนู ทั้งยังเอาใจคุณสาวๆ ไปอีกขั้น ด้วยการลดทอนแคลอรี่ในขนมเพื่อให้ทุกคนได้ปลื้มปริ่มชิมขนมได้อย่างสบายใจ       เริ่มเมนูแรกกันด้วย Autumn Branch (180 บาท) เครื่องดื่มสูตรซิกเนเจอร์ที่ให้อารมณ์ของฤดูใบไม้ร่วงด้วยการเพิ่มกลิ่นอบเชยลงไปในคาราเมลลาเต้แก้วโปรดของใครหลายคน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ กาแฟรสนุ่มๆ ที่กรุ่นกลิ่นหอม เหมาะแก่การนั่งจิบละเลียดอย่างช้าๆ      คนรักช็อกโกแลตก็ต้องลอง Fleue De Cao (160 บาท) ดาร์คช็อกโกแลตร้อนสูตรเข้มข้น 70% ที่ให้ความเข้มข้นอย่างเต็มพิกัดร่วมด้วยรสชาติหวานมันน้อยๆ จากนม แต่ความพิเศษของแก้วนี้ยังอยู่ที่กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ที่มาร่วมชูโรงปิดท้ายอีกด้วย     ส่วนเมนูขนมหวานก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ตัวเด่นที่เรารักเป็นพิเศษขอยกให้กับ Baker’s Plant (240 บาท) ขนมที่สร้างเซอร์ไพร์สให้กับเราด้วยหน้าตาที่เหมือนดินในสวนที่มาพร้อมดอกไม้สีสด แต่แท้จริงแล้วนี่คือ “บานอฟฟี่” ในรูปลักษณ์ใหม่ที่พร้อมให้เราเพลิดเพลินไปกับการค้นหากล้วย ครีม และคาราเมลที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้คุกกี้ช็อกโกแลตป่น     แล้วมาปิดท้ายด้วย White Chocolate & Yuzu (120 บาท) มูสเค้กชิ้นกะทัดรัดโรยด้วยกลีบกุหลาบที่เต็มไปด้วยความอร่อยอยู่ทุกอณู จากเนื้อเค้กเนียนนุ่มฐานทำด้วยอัลมอนด์บด ก่อนจะราดด้วยซอสส้มยูสุเพิ่มรสเปรี้ยวๆ หอมๆ ได้ชิมแล้วหลับตาพริ้มอย่างแน่นอน  

เผลอแผลบเดียว After You ร้านขนมขวัญใจมหาชนก็มีอายุครบ 10 ขวบปีแล้ว เราเลยไม่พลาดพาทุกคนมาดูสาขาใหม่ที่ชั้น 2 ของคอมมูนิตี้มอลล์ The Promenade บนถนนรามอินทรา     แน่นอนว่าสาขานี้ก็ยังคงการตกแต่งตามสไตล์ที่เรายังคุ้นตา ด้วยความน่ารักและอบอุ่นด้วยกระเบื้องสีขาวที่สอดประสานกับโครงไม้และโต๊ะไม้ได้อย่างลงตัว และที่สำคัญที่นี่ยังพื้นที่ยังกว้างขวางกว่าเดิมอีกด้วย แต่ถ้าช่วงเย็นหรือวันหยุดก็ยังคงต้องรอคิวอยู่นะ       เรามาเริ่มเมนูแรกกันด้วย Nutella Toast (215 บาท) ขนมปังโทสต์ฟูนุ่มชุ่มเนยทาด้วยช็อกโกแลตนูเทลล่าจนทั่ว ก่อนจะโรยอัลมอนด์บด ร์ฟพร้อมวิปปิงครีมและไอศกรีมวานิลลาลูกโต     ต่อด้วย Hojicha Kakikori (265 บาท) คากิโกริที่เคยเป็นแค่เมนูประจำซีซั่น แต่กลับฮอตฮิตเสียจนต้องกลับมาอีกครั้ง ชูโรงด้วยรสชาติของชาเขียวโฮจิฉะแทบทุกอณู เริ่มตั้งแต่น้ำแข็งไสรสชาเขียวโฮจิฉะที่ซุกซ่อนความอร่อยของเจลลี่ชาไว้ภายใน ก่อนทอปปิงด้วยครีมสด ผงถั่วเหลือง และน้ำเชื่อมคุโรมิตสุรสหวานเย็นชื่นใจ     แล้วอย่าลืมปิดท้ายกับ Strawberry Limeade (125 บาท) โซดาสตรอว์เบอร์รี่สุดซาบซ่าให้รสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดด้วยเลมอน  

CY Cabin ร้านอาหารที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยสุขุมวิท 10 ด้านในตกแต่งสไตล์อินดัสเทรียล ลอฟต์ เท่ขรึมด้วยงานไม้ เหล็ก และปูนเปลือย เพดานสูงให้รู้สึกโปร่งสบาย และหากมองไปรอบๆ จะพบว่าในร้านมีอุปกรณ์เหมืองแร่ ทั้งตะเกียง เชือก ฯลฯ เป็นกิมมิกเล็กๆ อยู่ทั่วร้าน เพื่อระลึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งที่คุณฉันท์ ลายเลิศ บรรพบุรุษของผู้ก่อตั้งร้านเคยทำธุรกิจเหมืองแร่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเมื่อครั้งยังหนุ่ม       เมนูอาหารของที่นี่ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งอิตาเลียน อเมริกัน และบางจานแอบใส่ความเป็นเอเชียนลงไปให้สนุกขึ้น มาถึงแล้วประเดิมด้วยซิกเนเจอร์ค็อกเทล CY Delight Tom Yum ที่นำเครื่องต้มยำทั้งพริก ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มาสร้างสรรค์เป็นค็อกเทลรสแซ่บ จิบเดียวก็ตื่น เพราะทั้งหอมและได้รสเผ็ดนิดๆ เพิ่มความอยากอาหารได้ดีทีเดียว     เริ่มจานแรก CY Tom Yum Kung เส้นลิงกวินี่ลวกแบบอัน เดลเต้ นำมาผัดคลุกเคล้ากับเครื่องต้มยำ เชฟทำรสชาติกำลังดี ไม่เผ็ดจัด ทีเด็ดอยู่ที่กุ้งแม้น้ำไซส์ใหญ่ กินแล้วได้ทั้งความหอมและกลมกล่อมของมันกุ้ง อีกจานเด่น Lamb Shank เนื้อแกะส่วนขาหน้าหมักเครื่องเทศจนเข้าเนื้อ นำไปซูวีจนนุ่ม เราชอบที่เนื้อแกะทำได้ดี ไม่มีกลิ่นมากวนใจ เสิร์ฟเคียงด้วยมันฝรั่งบดผสมอะโวคาโด และน้ำจิ้มแจ่วรสเจ็บไว้ตัดกัน หรือจะลอง Grilled Australian Wagyu Tenderloin สเต๊กเนื้อวากิวอย่างดีนำเข้าจากออสเตรเลีย เลือกระดับความสุกได้ตามต้องการ เสิร์ฟพร้อมกราแตงมันฝรั่ง ซาวเคราท์ เกรวี่ซอส และกระเทียมอบ       ส่วนใครไม่ใช่สายเนื้อ สั่งจานปลาน่าจะถูกใจ Grilled Sea bass Beurre Blance ปลากะพงชิ้นโต ซูวีนาน 4 ชั่วโมง นำไปกริลล์อีกนิดพอให้หนังกรอบ เคียงด้วยผักโขม ไวท์ซอส ก่อนกินบีบเลมอนเล็กน้อย อร่อยแบบเบาๆ ไม่หนักเกินไป     แล้วปิดท้ายมื้อค่ำด้วย Coconut Panna Cotta Mango Sauce พานนาคอตต้ามะพร้าวเนื้อเนียนเด้ง ท็อปด้านบนด้วยมะม่วงน้ำดอกไม้หอมหวาน ราดซอสมะม่วงโฮมเมด กินคู่ขนมปังอัลมอนด์เข้ากันสุดๆ  

ตลอดปีที่ผ่านมาถือเป็นปีทองของอาหารไทยเลยก็ว่าได้ เราเห็นทั้งร้านอาหารไทยใหม่ๆ และร้านที่พร้อมใจกันใช้วัตถุดิบท้องถิ่นมาทำเป็นเมนูอร่อย จนลูกค้าอย่างเราๆ ต้องปวดหัวเพราะเลือกกินกันไม่ถูกเลยทีเดียว (ฮา)   หากพูดถึงอาหารไทยต้นตำรับ บรรยากาศดีตกแต่งสวยงาม ดูดีแบบพาเพื่อนต่างชาติหรือแขกผู้ใหญ่ไปเลี้ยงรับรองได้แบบสบายๆ เราคิดถึงที่ “ศาลาริมน้ำ” โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ตอนนี้เขามีเชฟคนใหม่คือ เชฟประเสริฐ สัสดีวงศ์ เชฟลูกหม้อประจำห้องอาหารที่มีประสบการณ์ทางด้านอาหารไทยมาอย่างยาวนาน       ศาลาริมน้ำเขาได้ปรับโฉมซุ้มบุฟเฟ่ต์เมนูอาหารมื้อกลางวันใหม่ เสิร์ฟบนรถเข็นย้อนยุคแต่ดูสวยหรูด้วยการตกแต่งลวดลายไทยสีทองและรูปแกะสลักสวนป่าวรรณคดีไทย อาหารก็มีครบและหลากหลาย อาทิ น้ำพริกและเครื่องเคียง ยำรสจัดจ้าน ซุป อาหารจานหลักและแกงไทย รวมทั้งขนมหวานไทยโบราณ     ส่วนมื้อค่ำที่ G&C ได้ไปลองชิมเป็นอาหารไทยชุดใหม่มี 2 เซตให้เลือกคือ Classic Set Dinner และ Royal Set Dinner เราชอบเมนูเรียกน้ำย่อยและของว่างแบบไทยที่เสิร์ฟมาในกระจาดเล็กๆ ดูจุ๋มจิ๋มน่ารักน่ากิน เช่น พริกขิงกรอบ กระทงทองผัก และช่อม่วง ส่วนอีกเซตจะเป็น ม้าห้อ ขนมจีบไทยและกุ้งทอดน้ำปลาหวานกับสมุนไพร         ถัดมาจะเป็นยำ เซตแรกจะเป็นยำส้มโอ ส่วนเซตที่สองจะเป็น ยำมะม่วงกับปลากะพงฟู และต่อด้วยซุปที่เป็นต้มยำกุ้ง อีกเซตจะเป็นต้มข่าไก่     มาถึงอาหารจานหลักเซตแรกจะมีเยอะหน่อยประกอบด้วยแกงกะหรี่ไก่ กุ้งแม่น้ำผัดน้ำพริกเผาและปลากะพงขาวอบสมุนไพร เสิร์ฟพร้อมข้าวหอมมะลิ ส่วนอีกเซตจะประกอบด้วย แกงเขียวหวานหมูย่าง เป็ดอบซอสมะขามกับผัดผักและข้าวหอมมะลิ       จบด้วยขนมหวาน อาทิ ไอศกรีมกะทิรวมมิตรกับกล้วยเชื่อมและผลไม้ หรือแกงบวดมะม่วงกับข้าวเหนียวมูล และห้ามพลาดขนมคู่กาแฟปิดท้ายมื้อที่เสิร์ฟมาในตู้กระจกใบเล็กสวยน่ารักจนต้องถ่ายรูปแชะก่อนชิม     อาหารทุกจานอร่อยในแบบดั้งเดิม ครบรสหอมกะทิและเครื่องแกง ทุกมื้อค่ำยังมีโชว์การแสดงนาฎศิลป์ไทยที่สวยงามตระการตาน่าภาคภูมิใจจริงๆ  

หลังจากประสบความสำเร็จกับร้านอาหารสไตล์ไคเซกิไปแล้ว ก็ถึงเวลาของ ซูชิ คัปโปะ คิตะโอจิ ร้านสไตล์โอมากาเสะแห่งใหม่ล่าสุดของ Kitaohji Thailand ที่พิถีพิถันแบบทุกขั้นตอน ตั้งแต่เรื่องวัตถุดิบที่ทางร้านการันตีว่าคัดจากแหล่งดีที่สุดส่งตรงแบบวันต่อวัน สร้างสรรค์ทุกคำด้วยทีมเชฟมากประสบการณ์ชาวญี่ปุ่น ส่วนการตกแต่งภายในร้านได้แรงบันดาลใจจากความงามของวัดโบราณชูเซนจิ (Chuzenji) มองแล้วสบายตา รวมถึงจานชามแต่ละชิ้นนำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งหมด ลวดลายไม่ซ้ำกัน ช่วยทำให้คอร์สโอมากาเสะของที่นี่น่าจดจำมากขึ้นอีกเท่าตัว         สำหรับคอร์สราคา 4,500 บาท เชฟต้อนรับด้วย Makuro Dashi น้ำซุปแก้วเล็ก ทำจากปลามากุโระแห้ง รสเบา หอมและหวาน กระตุ้นความอยากอาหารได้ดี ต่อด้วย Ankimo ตับปลามังค์ฟิช เนื้อสัมผัสชวนให้รู้สึกเหมือนกินฟัวกราส์ มีความครีมมี่ นวลเนียน ด้านล่างเป็นซอสพอนสึและสาหร่ายวากาเมะ Abalone soft simmered dishes หอยเป๋าฮื้อนึ่ง วางด้านบนด้วยซอสตับเป๋าฮื้อรสเข้มข้น จากนั้นเชฟเสิร์ฟซาชิมิตามฤดูกาล เราได้ชิมปลา Kimedai ปลา Madai และ Akakai (หอยแครงญี่ปุ่น) และ Akami nigiri  เสิร์ฟมาบนจานสี่เหลี่ยมผืนผ้าลวดลายคล้ายโอบิบนชุดกิโมโน ความเก๋คือมีแปรงด้ามเล็กมาให้ป้ายโชยุเองตามชอบ       เมนูถัดมา Hokkaido Buri & Kyoto Shogoin Kabu Shabu เชฟนำปลาบุริและคะบุ (ผักญี่ปุ่นสีขาว ผลใหญ่ เนื้อสัมผัสคล้ายหัวไชเท้า) ลงไปลวกในหม้อชาบู แล้วนำเนื้อปลามาวางบนคะบุ ม้วนเป็นคำกินกับน้ำจิ้มพอนซึและต้นหอม คำนี้อร่อยมาก เนื้อปลามีความมันนิดๆ ไปด้วยกันได้ดีกับคะบุกรุบกรอบ ต่อด้วย Ootoro พระเอกของร้านส่งตรงจากจังหวัดอาโอโมริ นุ่มละลายในปาก ความมันและเนื้อสัมผัสดีงาม       ส่วนจานอื่นๆ เชฟทำออกมาได้ประทับใจเช่นกัน อาทิ Sawara Ake ปลาอินทรีย์ย่างซีอี๊ว เนื้อแน่นและหอม แอบเพิ่มลูกเล่นด้วยผิวส้มยูซุด้านบน Kuruma Ebi เนื้อกุ้งหวานเด้งๆ วางบนข้าวญี่ปุ่น รวมถึง Sababoshi Maki ซาบะดอง ป้ายมัสตาร์ดเล็กน้อย โรยงา แล้วปั้นกับข้าวเป็นคำ เคลือบด้านบนด้วยสาหร่าย กินแล้วได้รสเปรี้ยว เค็ม และมีกลิ่นงาอวลในปากส่งท้าย ตามด้วย Hokkaido Uni ท็อปด้วยวาซาบิเล็กน้อย หวานกลมกล่อม ได้กลิ่นทะเล Anago Nigiri ข้าวปั้นปลาไหลทะเลย่าง ชุ่มฉ่ำและหอมซอสสูตรลับที่เคี่ยวมาอย่างดี           ปิดท้ายด้วยของหวาน Fukuoka Sake Brewery’s pudding พุดดิ้งสาเกหอมหวาน เสิร์ฟพร้อมเกาลัดและลูกพีชสีทอง   

ไม่เพียงแค่บรรยากาศแสนร่มรื่นของ “เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก” จะชวนให้อยากหลีกหนีความวุ่นวายเข้ามาสัมผัสความสวย เงียบ และสงบของโรงแรมสไตล์โคโลเนียลร่วมสมัยที่ดัดแปลงจากเรือนพักอาศัยเก่าของพระนมในสมัยรัชกาลที่ 6 เท่านั้น แต่ “เดอะ ระวีกัลยา ไดนิ่ง” ห้องอาหารหนึ่งเดียวของที่นี่ยังทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปดื่มด่ำกับความอร่อยแบบวิถีไทยในยุคสมัยนั้นอีกครั้ง     ด้วยสูตรอาหารแบบโบราณผสานการปรุงแบบละเมียดละไมทุกขั้นตอนโดยเชฟผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแกงตำเอง กะทิคั้นสด หรือแม้กระทั่งมะพร้าวที่ขูดด้วยเล็บแมว รวมทั้งการคัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติล้วนๆ โดยเฉพาะผักและสมุนไพรที่เก็บมาทำกันสดๆ จากแปลงผักขนาดย่อมของโรงแรมก็ยิ่งทำให้อาหารไทยของที่นี่โดดเด่นไม่เหมือนใคร     เราแนะนำให้เริ่มด้วยเมนูกินเล่นอย่างหมี่กรอบที่ขอบอกว่าไม่ธรรมดา เพราะเส้นหมี่กรอบร่วน ไม่เหนียวแข็งติดหนึบ เชฟแอบกระซิบว่าเคล็ดลับอยู่ที่การนำเส้นหมี่ไปล้างน้ำก่อนนำมาปรุงคลุกเคล้ากับน้ำปรุงรสเปรี้ยวหวานหอมส้มมะขามและกลิ่นส้มซ่า ต่อด้วยน้ำพริกลงเรือจัดจ้านครบรส มาพร้อมปลาสลิดฟู ไข่เค็ม และผักแนมหลากชนิด       ก่อนไปอิ่มแบบเต็มๆ กับจานหลักเอาใจคนชอบอาหารเหนืออย่างข้าวซอยไก่ สูตรจังหวัดเชียงใหม่เข้มข้นกลมกล่อม ส่วนน่องไก่เนื้อนุ่มก็เลาะกระดูกออกให้กินง่าย ส่วนคออาหารใต้ต้องถูกใจข้าวยำน้ำบูดูสายบุรี ข้าวกล้องเสิร์ฟพร้อมน้ำบูดูสูตรปัตตานีที่เรารับประกันว่าไร้กลิ่นคาวและเครื่องเคียงสุดอลังการ ทั้งปลาเนื้ออ่อนทอด กุ้ง ปลาหมึก และหอยแมลงภู่ย่าง กุ้งแห้งจากมหาชัย มะม่วงเปรี้ยว มะพร้าวคั่ว รวมทั้งผักพื้นบ้าน อาทิ ใบชะพลู ตะไคร้ เม็ดกระถิน และดอกอัญชัน       ปิดท้ายด้วยของหวานแบบไทยๆ ที่หากินยากในปัจจุบันอย่างส้มฉุน ผลไม้ลอยแก้วที่รวมความสดชื่นของส้มโอ ส้มเช้ง ส้มซ่า และสับปะรดหอมสุวรรณหวานฉ่ำ และขนมเหนียว แป้งข้าวเหนียวนุ่มๆ โรยมะพร้าวขูดเส้น เวลากินให้ราดน้ำเชื่อม โรยงา คลุกกับข้าวพองกรุบกรอบ อร่อยแบบหยุดไม่ได้เลยจริงๆ    

แม้จะเป็นร้านเบเกอรีเล็กๆ ในขุมชนหมู่บ้านการเคหะท่าทราย แต่ต้องบอกว่าความอร่อยของบรรดาเค้กและขนมปังที่วางเรียงรายละลานตาเมื่อก้าวเข้ามาใน “Ann Bakery” นั้นไม่ธรรมดา เพราะเป็นสูตรเด็ดที่ “คุณแอน” เจ้าของร้านคิดค้นและอบสดใหม่ทุกวันจนถูกปากเหล่าคนรักเบเกอรีมานานกว่า 20 ปี     ด้วยการคัดสรรแต่วัตถุดิบระดับคุณภาพ แต่ขายในราคาย่อมเยา เพราะอยากแบ่งปันความอร่อยที่เข้าถึงได้ให้แก่คนรอบข้าง เราจึงได้เห็นลูกค้าประจำทุกเพศทุกวัยแวะเวียนมาชิมขนมปังที่ร้านนี้กันไม่ขาดสาย โดยเฉพาะเมนูยอดนิยมอย่างชีสเค้กหลากรสชาติ อาทิ เลมอน บราวนี โอรีโอ้ บลูเบอร์รี และสตรอว์เบอร์รี ซึ่งมีทีเด็ดอยู่ที่เนื้อชีสเค้กนุ่มนวลหอมมัน ทำจากครีมชีสและวิปปิงครีมคุณภาพดี         ส่วนขนมปังนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นครัวซองต์ เดนิช และพายต่างๆ นั้นมีเคล็ดลับอยู่ที่การใช้เนยแท้หอมมันเป็นส่วนผสม เราแนะนำครัวซองต์แฮมชีส ครัวซองต์ทูน่า เดนิชอัลมอนด์เฮเซลนัต เดนิชช็อกโกแลตอัลมอนด์ และอิงลิชเบรด ขนมปังแผ่นสไลด์หนานุ่มหอมนม เมนูใหม่ล่าสุดที่บอกได้คำเดียวว่าคนรักขนมปังพลาดไม่ได้อย่างแน่นอน       สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย

เพิ่งเปิดตัวโลเคชั่นใหม่เมื่อไม่นานนี้ G&C ไม่ยอมพลาด พาไปสำรวจร้านแอมเพอร์แซนด์ เจลาโต้ (Ampersand Gelato) ที่ต้นซอยทองหล่อ 13 กันเสียหน่อย     คอนเซ็ปต์ของที่ร้านคือการรวบรวมรสชาติไอศกรีมเด่นๆ จากหลายประเทศทั่วโลกมารวมไว้ด้วยกัน ทุกซอกทุกมุมของร้านจึงถูกเนรมิตให้กลายเป็นแอร์พอร์ตแห่งไอศกรีม! เรียกว่าเปิดประตูปุ๊บ เดินเข้ามาแวะเช็คอินที่เคาน์เตอร์ แล้วเลือกรสชาติที่อยากชิมได้เลย (ป้ายเมนูเก๋มาก มองแล้วเหมือน Arrival Board ของสนามบินอย่างไรอย่างนั้นเลย)     ไอศกรีมของแอมเพอร์แซนด์เกิดขึ้นจากความหลงใหลไอศกรีมของคุณยิ้ม-ศศิวิมล เพ็ชรน้ำสินเจ้าของร้านคนสวยที่บอกเราว่า อยากลองทำรสชาติแปลกใหม่ ไม่ใช่แค่รสคลาสสิก จึงมุ่งมั่นเรียนทำเจลาโตอย่างจริงจังทั้งในไทยและหลายประเทศ หยิบนั่นผสมนี่จนได้รสชาติที่ถูกใจทั้งคนทำและคนกิน ที่สำคัญคือไม่ใส่สี ไม่แต่งกลิ่น มีรสชาติหมุนเวียนให้ได้ลิ้มลองกว่า 20 รสชาติ อาทิ Matcha, Raspberry Sorbet, Earl Grey, Lavender Tiramisu, Yuzu Sorbet ฯลฯ     แต่รสชาติที่เราไม่อยากให้พลาดเลยคือ  Dark Chocolate ที่เข้มข้นถึงใจ เพราะใช้ช็อกโกแลตจากฝรั่งเศสและเบลเยี่ยมเบลนด์เข้าด้วยกัน  Maple Syrup & Candied Bacon หยิบเอาจุดเด่นของเมเปิล ไซรัปของแคนาดามามิกซ์กับเบคอนได้อย่างสนุก มีเท็กซ์เจอร์ให้เคี้ยวกรุบ ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเบคอน ที่สำคัญรสละมุนละไมเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ     สวนใครอยากได้ความสดชื่น แนะนำ Butterfly Pea & Lime รสอัญชันมะนาว สีม่วงน่ากินสุดๆ  รสหวานอมเปรี้ยว คลายร้อนได้ดี ปิดท้ายด้วยขวัญใจสาวๆอย่าง Strawberry Cheesecake หอมหวานกำลังดี  ตักเข้าปากแล้วได้รสชาติของชีสเค้กเต็มๆ คำ     กดเลิฟให้เลย 

พูดเรื่องอาหารเกาหลีเมื่อไหร่ ชื่อแรกที่อยู่ในใจหลายคนคงจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจาก ห้องอาหารคองจู ( Kongju ) ชั้น 2 โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ร้านอาหารเกาหลีร้านแรกๆ ในกรุงเทพฯที่ปลุกกระแสความมาแรงของวัฒนธรรม K-Food ให้เกิดขึ้นได้ในบ้านเรา แม้จะผ่านมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ที่นี่ยังคงความพิถีพิถันทุกขั้นตอน โดยมีมาดามคิม ฮันนา ผู้เชี่ยวชาญอาหารเกาหลีเป็นผู้ดูแลด้วยตัวเอง     ไฮไลต์ของที่นี่คือการตกแต่งสไตล์ “ฮันอก” (บ้านโบราณ) และบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกเหมือนได้ไปนั่งลิ้มรสมื้ออร่อยกันถึงดินแดนกิมจิ ส่วนเมนูอาหารเน้นเป็นอาหารเกาหลีดั้งเดิม เราแนะนำ All you can eat เซ็ทบาร์บีคิวบุฟเฟต์ที่รับรองว่าถูกใจสายปิ้งย่าง ( ช่วงนี้มีโปรโมชั่น 680 บาท จาก 850 บาท เฉพาะวันจันทร์-วันพฤหัสบดี) ที่นี่จัดเต็มเนื้อวัว เนื้อหมู ซี่โครงหมูหมัก เนื้อไก่ ปลาแซลมอน ปลาหมึก ปลากะพง ให้เราเลือกสั่ง ย่างบนเตาถ่านร้อนๆ แถมมาพร้อมเมนูพิเศษอย่างข้าวกระเทียม ซุปกิมจิ กุ้งผักกาดแก้ว ไก่ทอดพริก ฯลฯ แถมเครื่องเคียงก็จัดเต็มให้ได้ฟินกันจนอิ่มแปล้ (ถั่วดำหมักซีอิ๊วเกาหลีของที่นี่อร่อยมากจริงๆ)       ส่วนใครไม่ถนัดบุฟเฟต์ เมนูอะลาคาร์ตก็ดีงามประทับใจ อาทิ Goo Jeol Pan หรือเจ้าหญิงปทุมวัน เสิร์ฟมาในกล่องสีดำสวยงาม แอบถามได้ความว่าเป็นการจำลองกล่องข้าวของจักรพรรดิในอดีต เมื่อต้องออกไปทำภารกิจนอกวัง ด้านในมีแผ่นแป้งข้าวเจ้าและเครื่องเคียงอีก 9 ชนิด อาทิ แครอต เห็ดเข็มทอง ไก่ฉีก แตงกวา ไข่ ฯลฯ  วิธีกินก็แสนง่าย เพียงแค่ใช้ตะเกียบคีบทุกอย่างมาวางเรียงบนแป้ง (ไส้แน่นมากหรือน้อยแล้วแต่ความหิวเลย)  ต่อด้วย Dak Kang Jeong ไก่ชุบแป้งทอด กรอบนอกนุ่มใน คลุกเคล้ากับซอสรสเผ็ดหวานสูตรเฉพาะ โรยงาและกระเทียมทอด เราชอบที่เนื้อไก่ยังคงความชุ่มฉ่ำ แถมมีกลิ่นหอมของงา และอีก 1 เมนูห้ามพลาด Ho Vak Kal Bee Tchim ( ซี่โครงต้มเค็มเกาหลี) เสิร์ฟสุดอลังการในผลฟักทอง ความเก๋อยู่ที่วิธีการเสิร์ฟที่ค่อยๆ หั่นฟักทองออกเป็นริ้ว มองแล้วเหมือนดอกไม้กำลังเบ่งบานเลยทีเดียว     ตบท้ายอีกนิดด้วย Soo Jeong Kwa น้ำอบเชยปั่น กลิ่นหอมสดชื่น ปิดท้ายมื้ออร่อยได้อย่างลงตัว  

หากอาหารไทยคือเมนูสุดโปรดปรานที่ทุกคนตามหา ขอแนะนำว่านี่คืออีกหนึ่งร้านที่เราไม่อยากให้พลาด เพราะด้วยรสชาติอาหารทำให้อิ่มเอมไปถึงหัวใจแถมราคายังสบายกระเป๋า เรียกว่ามาแล้วกินครบจบทั้งคาวหวานแน่นอน ที่สำคัญคุณปุย เจ้าของร้านผู้รักสุขภาพ ยังเลือกเฟ้นวัตถุดิบที่ดีจากแหล่งมีชื่อมาปรุงในสไตล์โฮมคุ้ก ชูรสชาติวัตถุดิบเป็นหลักทั้งอาหารฝรั่ง ไทย และฟิวชันให้เราเลือกกินแบบอิ่มหนำสำราญทีเดียว       บรรยากาศร้านตกแต่งอย่างเรียบง่าย ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย มีโต๊ะอาหารในส่วนของเอ้าท์ดอร์ไว้นั่งรับลมกินอาหารสบายๆ จานแรกที่คุณปุยแนะนำคือ แกงคั่วเนื้อปูใบชะพลู ได้เครื่องแกงสูตรประจำบ้านเกิดของเพื่อนสนิทที่จังหวัดนครศรีธรรมราชมาเป็นไฮไลต์ กลิ่นหอมๆ ของสมุนไพรและรสเผ็ดกำลังเหมาะ เข้ากันดีกับเนื้อปูก้อนเนื้อแน่นหวานและเส้นหมี่เหนียวนุ่มที่เสิร์ฟมาด้วยกัน     ต่อด้วย เมี่ยงคะน้า คัดเฉพาะยอดอ่อนของใบคะน้า กินคู่กับกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่วหอมๆ กากหมูกรุบกรอบ หอมแดง มะนาว ขิง และพริกขี้หนูซอย ราดน้ำจิ้มรสเปรี้ยวอมหวานที่ทำจากน้ำตาลมะพร้าวและน้ำมะขามเปียกแล้วอร่อยขึ้นอีกเท่าตัว ต้มจืดสับปะรดหมูสามชั้น ก็เก๋ นำสับปะรดรสหวานอมเปรี้ยวมาต้มกับหมูสามชั้น กินกับข้าวสวยร้อนๆ แล้วได้รสแปลกใหม่อย่าบอกใคร     ส่วนใครชอบอาหารฟิวชันต้องลอง น้ำตกพอร์คชอป หมูคัดพิเศษเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ราดซอสน้ำตกรสชาติจัดจ้านหอมกลิ่นพริกป่นและข้าวคั่วเสิร์ฟพร้อมผักสลัดสดกรอบ กินคู่กับ น้ำทับทิมอินเดียคั้นสด สีสวยมากประโยชน์ ก็อร่อยไปอีกแบบ       ปิดท้ายด้วย ไอศกรีมกะทิอบควันเทียนเสิร์ฟพร้อมมะตูมเชื่อม เมนูนี้เราชอบมาก เพราะนอกจากไอศกรีมที่ทำจากมะพร้ามน้ำหอมรสหวานละมุนแล้ว ยังนำกะทิสดอบควันเทียนมาราดลงบนไอศกรีมเพิ่มกลิ่นหอมๆ ขึ้นไปอีกขั้น กินกับมะตูมเชื่อมเลื่องชื่อจากตรอกมะตูมที่ได้รสฝาดนิดๆ หวานหอมอร่อย เป็นการจับคู่กันที่ลงตัวสุดๆ ไปเลย   

หากใครเป็นมีทเลิฟเวอร์อยู่ล่ะก็ เชื่อว่าคงจะรู้จักชื่อของ El Gaucho กันอย่างแน่นอน แถมตอนนี้ร้านดังยังมีเซอร์ไพร์สใหม่ให้ชื่นใจ ด้วยการขยายสาขาความอร่อยมาที่ชั้น 3 คิงพาวเวอร์ รางน้ำ     สิ่งที่ทำให้หลายคนตกหลุมรักที่นี่ ต้องยกให้กับเนื้อรสชาติดีคุณภาพเยี่ยมที่คัดสรรจากแหล่งผลิต เลี้ยงด้วยวิธีธรรมชาติ จึงปราศจากสารเร่งและฮอร์โมน ไม่ว่าจะเป็น เนื้อแบล็คแองกัสจากอเมริกา (Prime Black Angus US grain fed) เนื้อแบล็คแองกัสจากออสเตรเลีย (Black Angus grass fed) หรือจะเป็นเนื้อวากิวจากออสเตรเลียก็ทีให้เลือกลิ้มลอง แถมยังมีหน้าตู้โชว์วัตถุดิบให้เห็นกันแบบสดๆ     ขณะที่บรรยากาศก็ถูกปรับให้ดูเข้าถึงง่ายและโมเดิร์นขึ้นจากสาขาก่อนหน้าด้วยบาร์ขนาดใหญ่ ที่มาพร้อมแสงจากหลอดไฟน้อยใหญ่ก็ดูอบอุ่น ยิ่งมารวมกับวิวริมระเบียงด้วยแล้วก็ทำให้อาหารมื้อที่อยู่ตรงหน้าอร่อยอย่างที่สุด     เรามาเริ่มเมนูแรกด้วย Spaghetti Pomodoro (400 บาท) สปาเกตตี้เส้นเหนียวหนึบในซอสมะเขือเทศสุดเข้มข้น ผสมรสเปรี้ยวอมหวาน โรยพาร์เมซานชีสอีกนิดก็ยิ่งหลงรัก     แต่ถ้าใครเป็นเบอร์เกอร์เลิฟเวอร์ก็ต้องลอง Homemade Burger (690 บาท) เบอร์เกอร์โฮมเมดสูตรเฉพาะที่ผสานความอร่อยของเนื้อวัวทั้ง 4 ส่วนมาไว้ในชิ้นเดียว ก่อนจะนำมาบดจนได้เนื้อที่ทั้งนุ่มและหอม กรุ่นกลิ่นกระเทียมพริกไทย หวานมันในทุกๆ คำ เสิร์ฟพร้อมกับเฟรนซ์ฟรายชิ้นใหญ่ สลัดผักสดๆ ร่วมด้วยซอสมะเขือเทศและมายองเนส     แล้วมาต่อด้วยความอร่อยคำใหญ่ของ Grilled Lamb Chops with Yoghurt Sauce and Basmati Rice (1,390 บาท) ซี่โครงแกะย่างชิ้นโตเนื้อนุ่มย่างหอมๆ เสิร์ฟบนเตาถ่านร้อนๆ ราดด้วยซอสโยเกิร์ตสีขาวเนื้อนวลเนียนรสอมเปรี้ยว กินคู่กับข้าวบาสมาติเม็ดยาวเรียวนุ่มๆ ก็อร่อยอย่างที่สุด     แม้จะเป็นร้านสเต็ก แต่เมนูของหวานก็อร่อยเด็ดไม่แพ้กัน ดังนั้น อย่าลืมลอง Hot Chocolate Cake with Vanilla Ice Cream (290 บาท) เค้กช็อกโกแลตสุดนุ่มสีดำสนิทก็เข้าคู่กับไอศกรีมวานิลลาสีเหลืองอ่อนได้อย่างลงตัว  

เมื่อพูดถึงร้าน “แสนแซ่บ” หลายคนคงคุ้นเคยชื่อนี้กันดี หลังจากคุณกิ๊ฟ เจ้าของร้านแสนแซ่บ แบ่งปันความความซี๊ดคลุกความแซ่บ(ตามสโลแกน) ด้วยอาหารอีสานแบบขึ้นห้างมานาน ก็ถึงคราวนำสูตรอาหาร 4 ภาคของคุณแม่มาแชร์ความอร่อยให้ทุกคนได้ลองชิมในแบบสแตนอโลนกันบ้างในชื่ออัญชัน คาเฟ่ (Anchan Cafe) นั่นเอง       ฝีมือของคุณแม่คุณกิ๊ฟเราขอบอกว่าไม่ธรรมดา เพราะนอกจากความรอบรู้เรื่องอาหารเหนือจรดใต้ที่จัดเต็มมาในเมนูให้เราเลือกอย่างละลานตา ก็ยังรวมถึงความใส่ใจในคุณภาพวัตถุดิบและรสชาติ เช่น เมนูแกงต้องเข้มข้นถึงเครื่องด้วยครื่องแกงตำเองทุกวัน กระทั่งวัตถุดิบก็สั่งจากแหล่งขึ้นชื่ออย่าง ออเดิร์ฟเมือง ที่ยกแคปหมูกรุบกรอบ น้ำพริกหนุ่มรสนัว และไส้อั่วหอมๆ จากเจ้าอร่อยในจังหวัดเชียงรายมาให้เรากินกันถึงที่ หรือ ใบเหลียงผัดไข่ ส่งตรงใบเหลียงยอดอ่อนจากภาคใต้ มาผัดคลุกเคล้ากับไข่ไก่ กินกับข้าวสวยร้อนๆ รับรองว่าหรอยแหรง       ส่วนภาคอีสาน เมนูแนะนำห้ามพลาดคือ โตกอีสาน ที่รวบรวมจานหลักอย่างส้มตำปูปลาร้ากลิ่นหอมยั่วยวน สะโพกไก่เนื้อนุ่มย่างเตาถ่าน และต้มแซ่บซี่โครงหมูได้กลิ่นพริกแห้งหอมๆ มากินคู่กับข้าวเหนียวหุงด้วยน้ำดอกอัญชันนุ่มๆ แต่ถ้าใครโปรดปรานอาหารภาคกลางล่ะก็ เราอยากให้ลอง แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ใช้กะทิสดและเครื่องแกงตำเอง เพิ่มพริกขี้หนูเม็ดเล็กลงไปเพิ่มรสชาติด้วย แล้วยิ่งอร่อยมากขึ้นเพราะลูกชิ้นปลากรายเด้งหนึบ เคี้ยวหนุบหนับสู้ฟันดีมาก       ก่อนจบมื้ออาหารเราอยากแนะนำเมนูจากดอกอัญชันอีกสักหน่อย ใครที่เป็นอัญชันเลิฟเวอร์ (เมนูยอดฮิตปี2017) ที่นี่ก็เด่นไม่เป็นรองใคร เพราะใช้อัญชันปลูกเองหลังบ้านดอกใหญ่มาทำอาหาร เช่น อัญชันคลุกเกลือ ที่เลือกใช้เฉพาะดอกสีน้ำเงินดูสวยน่ากิน นำไปชุบแป้งทอดกรอบแล้วโรยเกลือนิดหน่อย จิ้มกินกับซอสพริกแล้วอร่อยดี หรือ บัวลอยอัญชัน สีสวย แป้งนุ่มหนึบ เข้ากันกับน้ำกะทิสดและเนื้อมะพร้าวอ่อนหอมนวล ได้นั่งกินในบรรยากาศกว้างขวางแล้วทำให้รู้สึกสบายมากขึ้น เหมาะมากถ้ามากับครอบครัวโดยเฉพาะเด็กๆ ต้องถูกใจ เพราะมีมุมของเล่นให้น้องๆ หนูๆ ได้สนุกสนานกันแบบเพลิดเพลิน     

“คาเฟ่น้ำผึ้ง” แห่งแรกของเมืองไทยที่เจ้าของร้านได้แรงบันดาลใจหลังจากค้นพบความอร่อยของน้ำผึ้งแบรนด์ “Sugi Bee Garden” น้ำผึ้งรสผลไม้ที่มีต้นกำเนิดจากจังหวัดคุมะโมโตะมายาวนานกว่า 70 ปี และมีสาขาทั่วประเทศญี่ปุ่นกว่า 59 แห่ง และติดใจจนอยากให้คนไทยได้ลิ้มลองกันแบบไม่ต้องบินไปไกลถึงแดนปลาดิบ     จุดเด่นของน้ำผึ้ง Sugi อยู่ที่การเลี้ยงผึ้งแบบธรรมชาติในสวนผลไม้ ซึ่งเน้นให้ผึ้งบินชิมน้ำหวานจากเกสรดอกไม้อย่างอิสระและมีความสุข น้ำผึ้งที่ได้จึงหอมหวานละมุนและดีต่อสุขภาพเป็นพิเศษ ที่สำคัญคือรสและกลิ่นของผลไม้ที่อร่อยแตกต่างจากน้ำผึ้งปกติที่เราคุ้นเคย อาทิ ส้มยูซุ บลูเบอร์รี ราสพ์เบอร์รี อะเซโรลาเชอร์รี มะม่วง องุ่นเคียวโฮ และเลมอน ซึ่งต่างมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย     และด้วยความอร่อยไม่เหมือนใครของน้ำผึ้งผลไม้ ที่นี่จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ร้านขายผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งธรรมดา แต่ถูกออกแบบให้เป็นคาเฟ่นั่งสบายในบรรยากาศอบอุ่นจากสีเขียวของต้นไม้ที่ประดับประดาตามมุมต่างๆ ให้กลิ่นอายสวนร่มรื่นให้ชวนคิดถึงสวนร่มรื่น ที่พร้อมเสิร์ฟเมนูเบเกอรีและเครื่องดื่มสุดสร้างสรรค์ที่ใช้น้ำผึ้งเป็นส่วนผสม     ทั้ง Cold Cheesecake ชีสเค้กสดท็อปด้วยรังผึ้งและวอลนัต Raspberry Tart แป้งทาร์ตสูตรเฉพาะ ด้านในอัดแน่นด้วยครีมสดหอมหวาน ตัดรสชาติด้วยราสพ์เบอร์รีสดที่วางเรียงรายด้านบน และเมนูยอดนิยม Mr.Sugi’s Toast ขนมปังหนานุ่มหอมเนยหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม มาพร้อมเบอร์รีหลากชนิด แนะนำให้กินคู่น้ำผึ้งรสราสพ์เบอร์รีหรือรสบลูเบอร์รีหวานอมเปรี้ยวที่เข้ากันได้ดีกับความหอมมันของโทสต์         หากมาช่วงเช้าที่นี่ก็ยังมีเมนู Breakfast ให้ฝากท้องกันแบบอิ่มกำลังดี เราแนะนำ Smoked Salmon with Avocado & Poached Egg Toast โทสต์หน้าแซลมอนรมควัน อะโวคาโด และครีมชีส ท็อปด้วยโพชเอ้กเยิ้มๆ อีกชั้น แต่ต้องรีบกันหน่อยเพราะเมนูสุดพิเศษนี้ที่มีเพียง 5 จานต่อวันเท่านั้น     ส่วนใครอยากอร่อยแบบเบาๆ ลอง Fruit Juice Honey Soda with Honey Jelly โซดาผสมน้ำผึ้งใส่เจลลีน้ำผึ้งยูซุเคี้ยวเพลิน แต่ถ้าไม่ชอบความซ่าของโซดา Fruit Juice Honey Water น้ำผึ้งผลไม้ผสมน้ำเย็นก็สดชื่นไม่แพ้กัน    

เรียกว่าเป็นบุฟเฟ่ต์สำหรับคนรักชีสตัวจริง สำหรับ “King Grill” ร้านปิ้งย่างบาร์บีคิวชีสสไตล์เกาหลีที่หยิบเมนูเด็ดจากแดนกิมจิมาผสานกับความอร่อยหลากหลายในแบบไทยๆ ได้อย่างลงตัว ที่สำคัญยังคัดสรรแต่วัตถุดิบระดับพรีเมียมทั้งเนื้อ หมู ซีฟู้ด ไปจนถึงผักสดนานาชนิด รวมทั้งซอสที่มีให้เลือกชิมหลากหลายให้เปลี่ยนรสชาติได้แบบไม่จำเจ     สำหรับไฮไลต์ของคิงกริลล์อยู่ที่ “ชีส” คุณภาพดีเข้มข้นหอมมันเข้ากับทุกเมนู แต่หากละลานตาจนเลือกไม่ถูก เราแนะนำให้เริ่มด้วยจานเด่น อาทิ เนื้อคาลบีและเนื้อบุลโกกิสูตรเด็ดที่ร้านหมักเอง เนื้อสันคอออสเตรเลีย เนื้อและหมูสามชั้น         ส่วนคนรักซีฟู้ดก็ต้องบอกว่าถูกใจแน่นอน เพราะที่นี่คัดสรรแต่วัตถุดิบคุณภาพส่งตรงจากทะเล ไม่ว่าจะเป็น กุ้งแม่น้ำ หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ และแซลมอน ซึ่งแต่ละอย่างทั้งสดและหั่นเสิร์ฟแบบชิ้นโตสะใจ จะกินแบบจุ่มชีส กินกับไข่ตุ๋นและข้าวโพดคลุก หรือจะห่อผักพร้อมกิมจิก็อร่อยได้ตามใจ ที่สำคัญน้ำจิ้มของคิงกริลล์ยังมีให้เลือกอร่อยแบบละลานตา อาทิ น้ำจิ้มซีฟู้ดสุดแซ่บ น้ำจิ้มสุกี้หวานเปรี้ยวเผ็ด น้ำจิ้มแจ่วรสจัดจ้าน และน้ำจิ้มปิ้งย่าง ซึ่งทั้งหมดมาพร้อมพริก กระเทียม และน้ำมะนาวให้ปรุงตามชอบอีกด้วย           แต่หากอยากอิ่มแบบเบาๆ ลองสั่งเป็นชุดปิ้งย่างขนาดกำลังดี หรืออาหารจานเดียวอย่างหม้อไฟเกาหลี จาจังเมียน และซุปกิมจิที่เหมาะกับมื้อกลางวันก็ฟินไม่แพ้กัน   สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย   

แค่เปิดดูเมนูใหม่ล่าสุดของ “แสนแซ่บ” สาขาสยาม พารากอน ก็ทำให้เราตื่นเต้น(และน้ำลายสอ) เพราะร้านอาหารไทยอีสานระดับพรีเมียมที่หลายคนคุ้นเคยปรับเปลี่ยนรูปโฉมใหม่ให้คอส้มตำที่รักความแซ่บได้ฟินกันยิ่งขึ้น ด้วยการหยิบ “ปลาร้า” ที่คัดสรรอย่างพิถีพิถันจากหลากหลายแหล่งทั่วประเทศมาสร้างสรรค์ “ส้มตำปลาร้า” ที่อร่อยไม่เหมือนใคร   ทีเด็ดของส้มตำปลาร้าสูตรเด็ดนี้อยู่ที่รสชาติและกลิ่นหอมที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นตำขุนแผน ที่ใช้ปลาร้าของจังหวัดสุพรรณบุรี รสชาติหวานเค็มกลมกล่อม กลิ่นไม่แรงจนเกินไป แถมยังเพิ่มความหอมด้วยการใส่ปลาป่น หรือตำภูไท ปลาร้าจากจังหวัดกาฬสินธุ์หมักกับน้ำกระเทียมดอง ตำกับกุ้งฝอยคั่วและเม็ดกระถิน       ส่วนใครชอบความแซ่บนัวถึงใจ เราแนะนำตำสะบายดี ปลาร้าหมักเป็นเวลานานจนได้น้ำปลาร้าเข้มข้นแบบฉบับปลาร้าจากประเทศลาว และตำสายบัวแซ่บ รสชาติเค็มหวานลงตัวของปลาร้าจากอุดรธานีคลุกเคล้ากับสายบัวสดกรอบ       แต่ถ้าชอบความแปลกใหม่ต้องลองตำดูเรียน ทุเรียนอ่อนพันธุ์หมอนทองตำคลุกเคล้ากับปลาร้าหมักกับสับปะรดพันธุ์ภูชวาจนได้รสเปรี้ยวอมหวานสไตล์จังหวัดจันทบุรี และที่เราว่าเก๋มากคือนอกจากจะสั่งส้มตำเป็นจานปกติแล้ว ยังมีแบบเซตขันโตกที่จัดเครื่องเคียงที่มีเอกลักษณ์เข้าคู่กับส้มตำได้อย่างน่าสนใจ อย่างเช่น ขันโตกดูเรียนตำพริ้ว ที่มาพร้อมเส้นจันทร์ผัดปูนิ่มสูตรเด็ด       นอกจากไฮไลต์อย่างส้มตำแล้ว เมนูคู่แท้อย่างไก่ย่างก็พลาดไม่ได้ เพราะไก่กรอบออกรบ ไก่ย่างสมุนไพรของที่นี่ก็อร่อยแบบไม่ธรรมดา แถมเสิร์ฟแบบเก๋ไก๋ให้เราได้ออกแรงสับไก่ ตำข้าวคั่ว ปรุงน้ำจิ้มแจ่วด้วยตัวเอง ส่วนใครอยากอิ่ม(เร็ว)แบบกำลังดี ข้าวน้ำพริกมันกุ้ง + กุ้งเบิ้ม เมนูอร่อยง่ายแบบจานเดียว ให้ความรู้สึกเหมือนข้าวผัดน้ำพริกกะปิ แต่มีกลิ่นหอมของมันกุ้ง มาพร้อมกุ้งแม่น้ำย่างตัวโตคงตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี       แซ่บจัดเต็มแล้วอย่าลืมล้างปากด้วยของหวานอย่างปังเย็นทรงเครื่อง น้ำแข็งไสสอดแทรกขนมปังนุ่มๆ โรยหน้าด้วยบัวลอยหลากสี มาพร้อมน้ำแดง เฉาก๊วย และลูกชิด และซาหริ่มทับทิมกรอบที่จัดแยกน้ำแข็ง น้ำกะทิ ซาหริ่มหลากสี และทับทิมกรอบหอมหวานมาให้ตักกินแบบฟรีสไตล์       หรือจะเพิ่มความสดชื่นด้วยน้ำสมุนไพร อาทิ น้ำฟักข้าวเสาวรส ที่นำเสาวรสมาเพิ่มความเปรี้ยวให้น้ำฟักข้าวดื่มง่ายและอร่อยยิ่งขึ้น และน้ำอัญชันมะนาวโซดาแสนสดชื่น แนะนำให้สั่งเป็นเซตแล้วลองผสมน้ำผึ้ง มะนาว โซดา และน้ำเชื่อมตามใจชอบก็จะยิ่งเพิ่มความอร่อยให้มื้อสุดแซ่บนี้ได้อย่างลงตัว    

หลังจากได้เปิดประสบการณ์ให้ทุกคนได้ดื่มด่ำกับคราฟต์เบียร์หลากรสหลายสัญชาติด้วยการแฝงตัวอยู่ใน Oneday at a Time คาเฟ่และโฮสเทลในซอยสุขุมวิท 26 กันมาแล้ว มาตอนนี้สาขาล่าสุดของ Taproom ก็ยังคงไม่ทิ้งคอนเซปต์เดิมด้วยการเข้ามาอิงแอบอยู่ร่วมชายคาเดียวกับกับคาเฟ่ชื่อดัง Casa Lapin ในอารีย์พหลโยธินซอย 7       สำหรับ Taproom สาขาสองคงต้องบอกว่าขนาดจะเล็กลงจากสาขาแรกอยู่สักหน่อย ด้วยการยึดพื้นที่ประจำการอยู่ที่บาร์ด้านในสุดของร้านพร้อมกับเบียร์ที่มีให้เลือกถึง 14 แท็ป แม้จำนวนแท็ปจะน้อยลงตามขนาดของสถานที่ (จากที่เดิมที่มี 26 แท็ป) แต่ความหลากหลายไม่ได้น้อยลงเลย เพราะที่นี่ยังคงสลับสับเปลี่ยนคราฟเบียร์จากแหล่งต่างๆ มาให้ลองจิบกันอย่างฉ่ำใจ แถมแต่ละตัวยังไม่มาครั้งละไม่มาก ทำให้ในแต่ละวันเบียร์ก็จะเปลี่ยนไปด้วย รสชาติจึงไม่ซ้ำกันอย่างแน่นอน ใครอยากลองชิมตัวไหน สามารถสอบถามตามหาเบียร์ลิสต์ที่ร้านกับน้องๆ กันได้     แต่ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้อย่างแก้มแดง ขอแนะนำให้ลองเริ่มด้วย Beer Flight เบียร์เซ็ตเล็ก 6 แก้วขนาดกำลังน่ารักที่พร้อมรอให้เราจิบอย่างทั่วถึง แถมยังไล่ระดับรสชาติจากอ่อนไปแก่เอาไว้ให้อีกด้วย พ่วงด้วยการ์ดใบเล็กๆ ที่ให้ให้ข้อมูลตั้งแต่ที่มา ชื่อโรงกลั่น ประเภท รสชาติ และปริมาณแอลกอฮอล์อย่างเสร็จสรรพให้เราศึกษาทำความรู้จักกันก่อนจิบ แต่ถ้าใครอยากชี้เลือกตามใจชอบงานนี้ก็ไม่ผิดกติกา     อย่างครั้งนี้ตัวที่ถูกใจแก้มแดงก็มี Wet Dream จากโรงกลั่น Evil Twin สหรัฐอเมริกา เป็นเอลสีน้ำตาลเข้มสวยให้แฝงความสดชื่นและมีกลิ่นหอมอมเปรี้ยว ส่วนอีกตัวมีชื่อว่า Conquista จากโรงกลั่น Coronado สหรัฐอเมริกาเช่นกัน เป็นเบียร์ IPA สีเหลืองใสรสอ่อนละมุนหอมกลิ่นทรอปิคอลฟรุ๊ต ดื่มง่ายเชียว แต่ก็ยังไม่วายแอบมีรสขมๆ ตามมาปิดท้าย สำหรับสาวๆ ยังไม่ถนัดจะดื่มเบียร์ ที่นี่ก็มีไซเดอร์รสหอมหวานดีงามไว้ให้ลองกันด้วย     ส่วนสายกินสายกับแกล้มที่นี่ก็อย่าลืมลองเมนูอร่อยอย่าง Grilled Mixed Sausage ที่รวมสามความอร่อยของไส้กรอกพริกชูบริค (Schublig Sausage) สไตล์สวิสเนื้อเด้งรสเผ็ดปลายลิ้นเห็นเปลือกพริกชัดเจน ไส้กรอกโชริโซสเปนรสออกเปรี้ยว และไส้กรอกหมูรมควันเนื้อแน่น อร่อยนัวสุด     หรือจะมาอร่อยเต็มคำกับ Red Italian พิซซ่าโฮมเมดเนื้อแป้งบางหน้ามะเขือเทศและผักโขมโรยด้วยพาร์เมซานชีสก็อร่อยถูกใจใช่เล่น   

“เราอยากนำเสนออาหาร Nose to Tail ที่แท้จริง” เชฟชาลี กาเดอร์ ผู้อยู่เบื้องหลังความอร่อยของร้านดังอย่าง Surface, Holy Moly และ Beer Bridge เล่าให้ฟังเราถึงการเดินทางครั้งใหม่ เพราะการกลับมาในชื่อ 100 Mahaseth ร้านอาหารใหม่บนถนนมหาเศรษฐ์ก็ทำให้เชฟคนเก่งได้ใกล้ชิดสนิทกับอาหารไทยมากกว่าที่เคยเป็นมา     เชฟชาลีเล่าว่าคอนเซปต์ Nose to Tail ในบ้านเรายังไม่ได้ถูกตีความกันมากนัก เมนูที่เราคุ้นๆ กันจึงมีแค่ตับบดหรือไม่ก็ซุปหางวัว เขาจึงไม่พลาดแสดงฝีมือที่ซุ่มซ้อมมานานหลายปี ด้วยการนำส่วนต่างๆ ของเนื้อสัตว์ตั้งแต่หัวจรดหาง ไม่ว่าจะเป็น สมอง ลิ้น หัวใจ ตับ ไส้ พุง ฯลฯ มาปรุงเป็นเมนูน่ากินร่วมกับวัตถุดิบที่หาได้ในบ้านเรา เช่นเดียวกับรสชาติที่ยังคงความคุ้นเคย เพราะนี่คือการผสมผสานความอร่อยของอาหารเหนือและอาหารอีสานที่เจือปนกลิ่นอายของอาหารลาวและเวียดนามอีกเล็กน้อย ก่อนจะจัดหน้าตาขึ้นมาใหม่ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว       เริ่มจานแรกด้วย Bone Marrow (320 บาท) หรือไขกระดูกส้าขี้ม่อน เมนูสุดฮิตที่ทำมาจากกระดูกแข้งวัวผ่าตามขวาง นำไปย่างและเผาบนเตาถ่านให้ไขกระดูกเดือดระอุ จากนั้นจึงค่อยๆ โรยด้วยงาขี้ม่อนคั่ว ต้นหอม และตะไคร้ ปรุงรสอีกหน่อยด้วยน้ำตาลปี๊บ มะนาว น้ำปลา และพริกสด จนได้ไขกระดูกเนื้อนุ่มหอมมัน รสหวานนิดๆ อมเปรี้ยวหน่อยๆ แถมยังมีงาขี้ม่อนเคี้ยวกรุบ     มาเคี้ยวเสียงดังกันต่อกับ Fried Tripe (250 บาท) ผ้าขี้ริ้วทอดกรอบที่มีให้อารมณ์และหน้าตาไม่ต่างจากสาหร่ายชุบแป้งทอด แต่กว่าจะได้ความอร่อยแบบนี้ กระเพาะวัวแผ่นใหญ่ต้องผ่านกระบวนการยาวเหยียดเริ่มตั้งแต่การนำไปต้มในน้ำส้มสายชูถึง 3 น้ำ แล้วไปตากบนเตาถ่านให้แห้ง จากนั้นจึงถึงเวลาหั่นและลงทอด จานนี้เสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้มรสเผ็ดจี๊ดจ๊าดและผักลืมผัวมาให้กินแนม     ถ้าอยากเต็มปากเต็มคำต้องลอง Pork Jowl (290 บาท) คางหมูเนื้อนุ่มแช่น้ำปลาหมักกับเครื่องเทศทอดจนหอมกรุ่นกินคู่กับข้าวแห้งทอดกรอบ อร่อยเพลินสุดๆ ก่อนจะตามด้วย A Northerners Hot Dog (240 บาท) เมนูสุดอินเตอร์กับฮอทดอทไส้อั่วเสิร์ฟมาในกล่องกระดาษสีแดงแสนเก๋ แน่นอนว่าทีเด็ดของจานนี้อยู่ที่ความอร่อยเข้มเต็มคำของไส้อั่วโฮมเมดที่ย่างบนเตาถ่านส่งกลิ่นหอมฉุยหลอกล่อกันตั้งแต่ก่อนเดินเข้าร้าน       สำหรับมีตเลิฟเวอร์ก็ห้ามพลาด Thai Beef Jerky (360 บาท) เนื้อเค็มดองด้วยน้ำปลาและน้ำตาลปี๊บก่อนนำมาย่าง จานนี้โดดเด่นตรงซอสหลนกระเทียมดำที่ทำมาจากหนังควายเด่นที่กลิ่นหอมและรสเค็มน้อยๆ ขึ้นจมูกเข้าคู่กับเนื้อเค็มได้อย่างเหมาะเจาะ        แล้วอย่าลืมถามหาเมนูใหม่อย่าง Goat Chop ซี่โครงแพะดองน้ำปลาย่างจนส่งกลิ่นหอม เนื้อนุ่มไร้กลิ่นคาวอร่อยไม่แพ้หมูปิ้ง จิ้มกับน้ำจิ้ม 3 แบบ ทั้งน้ำจิ้มแจ่ว ชิมิชูรี่ที่หอมกลิ่นกระเทียมและผักชี และแจ่วมะเขือใส่ปลาร้า ที่แก้มแดงขอบอกเลยว่าน้ำจิ้มสามสหายนี้จิ้มได้ครอบจักรวาลมาก เอามาใส่อะไรก็อร่อยไปหมด     ยิ่งได้ยาดองสูตรพิเศษของทางร้านมาจิบอีกสักกรึ๊บ รับรองตาสว่างใสแจ๋วกันเลยทีเดียว

ยกความอร่อยจากซอยอารีย์สัมพันธ์ มาประจำการในพื้นที่ใหม่ซอยราชครูเป็นที่เรียบร้อย สำหรับร้านบ้านแม่ยุ้ย ร้านอาหารไทยสุดโปรดในใจหลายคน (รวมถึงเราด้วย) โดยครั้งนี้เนรมิตบ้านหลังเก่าอายุกว่า 50 ปีให้กลายเป็นเรือนกระจกสีขาวสบายตา  แต่ยังคงคอนเซ็ปต์ “ครัวเปิด” ให้เห็นกันเช่นเคย ส่วนเมนูอาหารยังเป็นสูตรของคุณอัจฉรา เชี่ยวสกุล คุณแม่ของคุณจอม เชี่ยวสกุล ผู้สืบทอดอาหารตำรับซอยราชครูตั้งแต่สมัยคุณหญิงอุดมลักษณ์ ศรียานนท์       คุณจอมเล่าว่าอาหารของบ้านแม่ยุ้ยไม่ใช่อาหารไทยรสจัด เน้นอาหารรสชาติกลางๆ กินได้ทั้งครอบครัว ไม่ใส่ผงชูรส เรียกว่าเสิร์ฟที่บ้านอย่างไรก็เสิร์ฟที่ร้านแบบนั้น ส่วนเมนูเด็ดยังยกมาเพียบ ทั้งเขียวหวานเนื้อสูตรป้าจำเนียร (คนเก่าแก่ของบ้านเชี่ยวสกุล) ข้าวผัดมันกุ้ง ผัดไทยกุ้งสด  ฯลฯ ที่พิเศษคือแบ่งพื้นที่ไว้สำหรับ Chef’s table ให้ลองชิมเมนูพิเศษ ส่วนวันศุกร์และเสาร์มีดนตรีสดให้ฟังเพลินๆ อีกด้วย     มาถึงแล้วสั่งขนมจีบทอดกากหมู มารองท้องก่อน ขนมจีบกุ้งคำโตและไส้แน่น ทอดด้านนอกให้กรอบ โรยด้วยกากหมูเจียวทำเอง ชิ้นเล็ก หอมและเคี้ยวง่าย ทำใหม่วันต่อวันไม่ต้องห่วงเรื่องกลิ่นหืน น้ำจิ้มปรุงให้มีรสเผ็ดนิดๆ กินแล้วเข้ากันดีเชียว ต่อด้วย 1 ในเมนูซิกเนเจอร์ มันกุ้งทรงเครื่อง ที่ร้านใช้มันกุ้งแม่น้ำแท้ๆ ผัดคลุกเคล้าเข้ากับเนื้อกุ้ง รากกระเทียม และพริกไทย ราดบนข้าวสวยร้อนๆ อร่อยมาก แนมด้วยผักดิบเข้ากัน     อีกหนึ่งเมนูไฮไลต์ มัสมั่นซี่โครงหมู สูตรลับซอยราชครู เครื่องแกงหอมเข้มข้นแทรกในซี่โครงหมูที่นุ่มจนร่อนจากกระดูก รสชาติกลมกล่อมนุ่มนวล มีรสหวานนิดๆ แล้วปิดท้ายด้วยหมูสะเต๊ะที่คุณจอมย้ำหนักแน่นว่าต้องไม่ใช่แบบผอมแห้ง แต่เป็นหมูสะเต๊ะที่อวบ-อึ๋ม-อร่อย!  เพราะใช้ส่วนสันคอ ทั้งนุ่มและมีความมันในตัว หมักเครื่องเทศอย่างดี กินคู่น้ำจิ้มและอาจาด       เผลอแป๊บเดียวก็หมดจานแล้ว 

ซูชิ ยามะ เกิดจากความหลงใหลอาหารญี่ปุ่นแบบสุดหัวใจของคุณอ๊อด เจ้าของร้านมาดเท่ที่ตระเวนกินมาแล้วทั่วญี่ปุ่น ทั้งซูชิร้านทั่วไปจนถึงการกินแบบโอมากาเสะ เมื่อเปิดร้านของตัวเองจึงตั้งใจให้เป็นร้านที่ทุกคนแวะเวียนเข้ามากินได้ทุกวัน โดยไม่ต้องรอให้ถึงโอกาสพิเศษ     การตกแต่งในร้านเป็นสไตล์บิสโทรเพื่อให้เข้าถึงง่าย ไม่เคร่งขรึมจนรู้สึกเกร็ง มีซูชิบาร์ให้เห็นเชฟแล่ปลากันเพลินๆ ไฮไลต์ของที่ร้านแน่นอนว่าเป็นเรื่องของวัตถุดิบ เน้นฮอนมากุโระนำเข้าจากญี่ปุ่นและปลาตามฤดูกาลฝีมือเชฟที่ผ่านประสบการณ์จากร้านโอมากาเสะมาหลายปี นอกจากนี้ยังมีเมนูปลาย่าง  ชิราชิ ดงบุริ และสลัดไว้เป็นทางเลือก ที่สำคัญคือที่ร้านทำซอสเองทั้งหมด ทั้งซอสสาหร่าย ซอสทงคัตสึ น้ำสลัด รวมถึงโชยุต้มเอง     มาถึงแล้วเรียกน้ำย่อยด้วยอินานิวะ เส้นอินานิวะนุ่มหนึบจากญี่ปุ่นเสิร์ฟแบบเย็น ท็อปด้านบนด้วยไข่ออนเซ็นและไข่ปลาแซลมอน กินด้วยกันแล้วรสชาตินวลเนียน หรือจะลอง Pizza Bara พิซซ่าหน้าปลาดิบรวมหั่นเต๋า โรยด้วยไข่ปลาแซลมอนและอะโวคาโด เมนูพิเศษที่ทางร้านลองทำ แต่กลับฮอตอิตจนกลายมาเป็นเมนูประจำไปแล้ว     ส่วนเมนูหลัก Yama Sashimi XL เสิร์ฟครบทั้งอากามิ ชูโทโร่ โอโทโร่ แซลมอน ฮามาจิ กุ้งหวาน และปลาตามฤดูกาลในเซ็ตเดียวให้ฟินกันแบบสดๆ  Yama Sushi Combo เชฟจำลองวิธีกินแบบโอมากาเสะด้วยซูชิ 8 คำ เรียงลำดับการกินมาให้ตั้งแต่ปลาเนื้อขาวรสอ่อนไปจบที่คำสุดท้าย ทุกคำมีท็อปปิงเฉพาะตัว เช่น ซอสฟัวกราส์ ไข่แดงนกกระทาย่าง ฯลฯ เราชอบซูชิหน้าฟัวกราส์ชิ้นโต ท็อปด้านบนด้วยซอสสับปะรดเปรี้ยวหวานช่วยเสริมรสกัน       ส่วนใครไม่ถนัดปลาดิบ แนะนำ Yama Waguy Don เนือวากิวนุ่มๆ หมักอย่างดี เพิ่มรสชาติด้วยซอสสาหร่ายสูตรพิเศษและไข่ออนเซ็น  ปิดท้ายด้วย Yama volcano roll โรลซิกเนเจอร์ของทางร้าน จัดเสิร์ฟมาเป็นทรงภูเขาซึ่งเป็นความหมายของชื่อร้าน ด้านในมีปลา 3 อย่างคือ ฮามาจิ  ฮอนมากุโร่ส่วนชูโทโร่ และแซลมอน เพิ่มรสชาติด้วยซอสทำเอง 3 ชนิด คือทาร์ทาร์วาซาบิ สไปซี่ซอส และซอสสูตรลับของทางร้าน       คออาหารญี่ปุ่นห้ามพลาดเชียว