เป็นครั้งแรกเลยที่โรงแรมในเครืออมัน แบรนด์โรงแรมระดับลักชัวรี เปิดให้ผู้ที่ไม่ใช่แขกเข้าพักมีโอกาสได้ลิ้มลองห้องอาหารอิตาเลียนซิกเนเจอร์ของโรงแรม อาร์วา (Arva) ตั้งอยู่ที่ชั้น 9 ในกลิ่นอายอันสงบและเรียบหรูของอมัน นายเลิศ กรุงเทพ (Aman Nai Lert Bangkok) นำเสนออาหารภายใต้ปรัญชา Cucina del Raccolto หรือ “อาหารแห่งฤดูกาล” แสดงถึงภูมิปัญญาและความใส่ใจของชาวอิตาเลียนในชนบทที่ให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัตถุดิบสดใหม่ประจำฤดูกาลมารังสรรค์มื้ออาหาร ด้วยบรรยากาศที่ชวนผ่อนคลายและราคาที่น่าคบหา นี่จึงเป็นโอกาสดีที่เราไม่อยากให้ฟู้ดดี้ทุกคนพลาด การเดินทางแห่งรสชาติของอาร์วาเริ่มจากความเชี่ยวชาญของเชฟใหญ่ คาร์โล วาเลนเซียโน (Carlo Valenziano) ถ่ายทอดสู่ห้องอาหาร อาร์วา ภายใต้การดูแลของ เชฟเอโดอาร์โด ทราเวอร์โซ (Edoardo Traverso) เชฟหนุ่มจากเมืองเจนัว ริมชายฝั่งทางตอนเหนือของอิตาลี ผู้ค้นพบใจรักในการทำอาหารและเริ่มเรียนทำอาหารตั้งแต่อายุ 15 ปี จากความหลงใหลด้านการทำขนมอบต่อยอดสู่การเป็นเชฟเต็มตัว อย่าพลาดเมนูซิกเนเจอร์ของเชฟเอโออาร์โดอย่างโฟกัชเชีย (focaccia) และพิซเซตเต้ (pizzette) หลากหลายหน้า แป้งนุ่มเคี้ยวหนึบอร่อยมาก ห้องอาหารอาร์วาถ่ายทอดปรัชญา Harvest Cuisine นำเสนออาหารอิตาเลียนรสชาติต้นตำรับที่ปรุงจากวัตถุดิบสดใหม่ตามฤดูกาลสู่เมนูที่เรียบง่ายแต่หลากหลาย มีตั้งแต่รสชาติของแคว้นลิกูเรียทางตอนเหนือจนถึงหมู่บ้านริมทะเลของซิซิลี ให้บริการแบบอบอุ่นเป็นกันเองสไตล์อิตาเลียน ทุกจานแชร์กันได้ตามอัธยาศัย เมนูแนะนำเริ่มจากจานเรียกน้ำย่อยอย่าง Brandacujun มูสปลาค็อดสไตล์ลิกูเรีย โรยผงมะกอกทัจจัสกา (Taggiasca Olive) มะกอกเม็ดเล็กสายพันธุ์ดีจากแคว้นลิกูเรีย กินคู่กับแผ่นข้าวโพดกรอบ และ Pate di Fegatini ปาเต้ตับไก่เนื้อเนียน ทอปด้วยเจลลีไวน์ Marsala กินคู่กับโทสต์ซาวโดว์อบบางกรอบ ตามด้วยจานเบาๆ ที่ให้รสชาติสดชื่นอย่าง Carpaccio di Polpo หมวดหมึกยักษ์ฝานบางเฉียบ เสิร์ฟพร้อมมะกอกทัจจัสกา สลัดร็อกเก็ต และน้ำมันมะกอกซิกเนเจอร์ของอมัน และ Condiguin สลัดทูน่านาบกระทะรสกลมกล่อม อัดแน่นด้วยความอร่อยของถั่วกรีนบีน แองโชวี มะเขือเทศเชอร์รี ไข่ต้ม “มิโมซ่า” มะกอกทัจจัสกา และต้นหอม ส่วนใครที่ชอบมะเขือม่วงต้องสั่ง Parmigiana เทอร์รีนมะเขือม่วงอบซอสมะเขือเทศและโหระพา ทอปด้วยชีสพาร์มิเจียโน มีทั้งรสเปรี้ยวและครีมมี อร่อยกลมกล่อม สำหรับที่นี่ไม่อยากให้พลาดสั่งพาสตาสักจาน แนะนำ Risotto Allo Zafferano ข้าวคาร์นาโรลีผัดกับแซฟฟรอน ทอปด้วยโฟมชีส Taleggio มีความนัวและครีมมี ราดด้วยซอสเนื้อเพิ่มรสเข้มข้น เสิร์ฟเคียงกับโบนมาร์โรวย่างถ่านหอมมัน เป็นจานที่อร่อยลงตัวมาก จานหลักที่มีทั้งซีฟู้ดและจานเนื้อให้เลือก หนึ่งในซิกเนเจอร์ที่น่าลิ้มลอง Agnello Alla Brace ซี่โครงแกะออสเตรเลียย่างราดจุสโรสแมรี่ เสิร์ฟเคียงกับกรีนพีและต้นหอม เป็นจานที่ย่างได้อย่างดี ให้เราได้สัมผัสความอร่อยชุ่มฉ่ำของเนื้อแกะอย่างเต็มคำ ปิดท้ายมื้ออาหารตำรับอิตาเลียนด้วยขนมหวานคลาสสิกอย่าง Tiramisu ตำรับดั้งเดิมหอมกาแฟและละมุนไปกับชีสมัสคาโปนเนื้อเบา และ Mille Feuille พัฟฟ์แป้งบางกรอบสลับชั้นครีมสดรสหอมหวาน กินกับคาปุชิโนร้อนๆ สักแก้ว รับรองว่าฟิน   อย่าลืมจับคู่อาหารจานอร่อยกับเครื่องดื่มชั้นยอด อาทิ ไวน์กว่า 370 ฉลากที่คัดสรรจากอิตาลีและทั่วโลก โดยซอมเมอลิเยร์ ซาชา ดิ ซิลเวสเตร (Sacha di Silvestre) ผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ รวมถึงไวน์แม็กนัมหลายประเภทที่พร้อมให้เราได้ลิ้มลองในแบบแก้ว (by Glass) หรือค็อกเทลแก้วสวยรังสรรค์จากบาร์ 1872 ห้องอาหารรอาร์วาตั้งอยู่บนชั้น 9 ของอมัน นายเลิศ กรุงเทพ ออกแบบด้วยแรงบันดาลใจจากงานศิลปะของไทย ถ่ายทอดผ่านฉากผ้าทอมือและลวดลายปักอันประณีต เปิดรับแสงธรรมชาติและวิวสวยในเวลากลางวัน และเปลี่ยนเป็นบรรยากาศโรแมนติกแบบส่วนตัวในยามค่ำคืน ทางห้องอาหารยังมีห้องส่วนตัว 3 ห้องที่สามารถเปิดเชื่อมกัน รองรับแขกได้สูงสุด 28 ที่ เหมาะสำหรับโอกาสพิเศษต่างๆ อีกด้วย   **สงวนสิทธิ์สำหรับผู้ที่สำรองที่นั่งล่วงหน้าเท่านั้น** สำรองที่นั่งโทร 02 035 1111 อีเมล anlb.res@aman.com หรือสำรองผ่านเว็บไซต์ www.sevenrooms.com/reservations/arvabangkok

Ciao! ส่งตรงความฟินมาจากกรุงมิลานให้สายหวานลิ้มลองโดยเฉพาะ นี่เรากำลังพูดถึง Cioccolatitaliani (ช็อกโกลาติตาลิอานี หรือ ช็อกโกลา) ร้านขนมหวานอิตาเลียนสุดพรีเมี่ยมจากกรุงมิลาน ที่เสิร์ฟความอร่อยมาตั้งแต่ 2009 มาปักหมุดสาขาแรกของเมืองไทย แถมยังเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ เซ็นทรัลเวิลด์ ตัวร้านตกแต่งด้วยสีทองสะท้อนถึงความหรูหรา ด้านหน้ามีบาร์ไอศกรีมเจลาโต้ที่ทำกันแบบสดใหม่ พ่วงมาด้วยครัวเปิดที่มองเห็นทั้งคาราวานขนมหวานอย่าง ช็อกโกแลตฟองดู ทีรามิสุ แพนเค้ก และเครื่องดื่มได้แบบถนัดตา ความพิเศษของ Cioccolatitaliani ที่ทำเอาหลายคนติดใจคือ คุณจะได้ลิ้มลองงานศิลปะในรูปแบบของหวาน ผ่านพรีเซนเทชั่นและรสชาติต้นตำรับที่ได้จากวัตถุดิบชั้นยอด เริ่มต้นต้องนี่เลย Nutella Lovers ไอศกรีมเจลาโต้โฮมเมดเพื่อคนรักนูเทลล่าโดยเฉพาะ เพราะโดดเด่นด้วยรสหอมหวานปนเข้มของนูเทลล่า เข้ากันดีกับไอศกรีมเจลาโตเนื้อเนียนหนึบรสนม มิลก์ช็อกโกแลตและฮาเซลนัต ท็อปด้วยวิปครีมล้นๆ เนื้อนุ่มปุกปุย ถูกใจเด็กอ้วนยิ่งนัก ตามด้วย Tiramisu ของหวานสไตล์อิตาเลียนที่ได้ใจสวีตเลิฟเวอร์ตลอดมา ความพิเศษคือร้านนี้เขาใช้ขนมเลดี้ฟิงเกอร์สูตรลับฉบับโฮมเมด จุ่มด้วยเอสเปรสโซช็อตรสเข้มพอเหมาะ สลับชั้นกับครีมมาสคาโปนรสหวานกลมกล่อม แถมยังได้ความครีมมีเต็มพิกัด ก่อนโรยหน้าด้วยผงโกโก้ชั้นดี ชิมกี่ทีก็โดนใจ ปิดท้ายด้วย Cappuccino Chocolate Lovers กาแฟคาปูชิโนหวานน้อย เข้าคู่ช็อกโกแลตน้ำตก 3 สไตล์ อย่าง ดาร์กช็อกโกแลตรสเข้ม มิลก์ช็อกโกแลตรสหวานหอม และไวต์ช็อกโกแลตฉ่ำๆ เป็นแลนด์มาร์กของสายหวานโดยแท้

ในที่สุด Penthouse Bar + Grill สเต็กเฮ้าส์ชื่อดังแห่ง Park Hyatt Bangkok ก็ออกโปรโมชั่นใหม่เอาใจสายกินสักทีกับ “Set Lunch Menu” เซ็ตมื้อกลางวันแสนอร่อยที่มีให้เลือกทั้งแบบ 2 คอร์สและ 3 คอร์ส (จานเรียกน้ำย่อย จานหลักและของหวาน) เริ่มต้นเพียง 998++ บาท เท่านั้น ผู้นำทีมความอร่อยคือ เชฟมาร์โค ชาเวช ไฮเมท (Marco Chávez Jaime) หัวหน้าเชฟชาวเม็กซิโกคนใหม่ ผู้หลงศาสตร์การทำอาหารประเภท ‘ย่าง’ โดยเฉพาะ ที่มากับประสบการณ์จัดเต็มอย่าง การเคยร่วมงานกับ Armada Group เมืองเซี้ยงไห้แห่งดินแดนมังกร และการเป็นซูส์เชฟที่ POLUX by Paul Pairet  ร้านอาหารฝรั่งเศสเลื่องชื่อดีกรีมิชลินไกด์และ The Chop Club by Paul Pairet เชื่อเลยว่าเชฟมาร์โคจะมาทำให้ร้านสเต็กเฮ้าส์แห่งนี้เร้าใจมากยิ่งขึ้น! มาเริ่มที่จานเรียกน้ำย่อยกันก่อน Tuna Crudo จานอร่อยสไตล์อิตาเลียนที่โดดเด่นด้วยเนื้อสัมผัสนุ่มๆ ของทูน่าส่วนอากามิ (ส่วนที่ไม่มีไขมัน) อะโวคาโด ราดด้วยเดรสซิ่งรสเปรี้ยวที่ทำจากผลไม้ตระกูลซิตรัส ตัดด้วยรสครีมมีของซอสครีมที่ทำมาจากหอมแดง ตามด้วย Grilled Pumpkin Soup ซุปฟักทองรสหอมมันเกินพิกัด ท็อปด้วยครีมสดและต้นหอมฝรั่ง จานหลักเราเลือกเป็น Thai Seabass สเต็กปลากระพงเนื้อนุ่มฉ่ำ เข้าคู่กับซอสเห็ดสไตล์ฝรั่งเศสรสเข้มข้น เครื่องเคียงเราเลือกเป็น Mac’n Cheese มักกะโรนีอบชีสเยิ้มๆ คอมฟอร์ดฟู้ดที่ใครๆ ต่างก็หลงรัก อีกจานเราเลือกเป็น Australian Beef สเต็กเนื้อออสเตรเลียนย่างเตาถ่านหอมๆ ความสุกระดับมีเดียมแรร์เนื้อชุ่มฉ่ำ เข้าคู่ซอสไวน์แดงรสกลมกล่อมได้ที่ หอมกลิ่นใบใบไทม์อ่อนๆ เสิร์ฟเคียง Grilled Asparagus หน่อไม้ฝรั่งย่างกรุบกรอบ ยังไม่อิ่มสั่งจานซิกเนเจอร์มาร่วมด้วย Hokkaido Scallops หอยเชลล์ฮ็อกไกโดตัวอ้วนเนื้อแน่นหวาน ย่างบนเตาถ่านจนส่งกลิ่นหอม เข้ากันดีกับสูตรซอสเวลูเต้ ที่ทำจากน้ำสต็อกปลารสหวานและครีมสด หรือจะเป็น New Zealand Lamb Saddle ขาแกะนิวซีแลนด์หมักเฮิร์บหอมฟุ้งไร้กลิ่นสาบ ย่างเตาชาโคลล์ร้อนฉ่า ราดด้วยซอสสูตรลับที่ทำมาจากมะเขือม่วงและใบมินต์ ก่อนปิดท้ายด้วยของหวานสุดฟิน Toffee Pudding หรือที่เราคุ้นหูในชื่อพุดดิ้งอินทผลัม เค้กเนื้อฟองน้ำเนื้อแน่นชุ่มฉ่ำ ท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด และซอสท็อฟฟี่รสหวานหอมอย่าบอกใคร อีกจานที่ขาดไม่ได้คือ NY Cheesecake & Berry ชีสเค้กนิวยอร์กที่ถูกต้อง เพราะได้ทั้งความแน่นนุ่มและความหอมมันเต็มพิกัด เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมเบอร์รี่โฮมเมดรสเปรี้ยวอมหวาน วิปครีมตีสดปุกปุย ผลไม้สด และซอสผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ โดนใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

ยกเกาหลีมาไว้ที่ Central World แล้ว! เพราะล่าสุด Solsot ร้านข้าวอบเกาหลีคิวยาว มาแลนด์ดิ้งที่ชั้น 6 ของ Central World เป็นที่เรียบร้อย ตัวร้านสีขาวสะอาดสบายตา ตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไส้สีน้ำตาลเข้ม ให้มู้ดแอนด์โทนแห่งความอบอุ่นเสมือนได้นั่งกินมื้ออร่อยยามไปเที่ยวดินแดนกิมจิ มาทำความรู้จักกับร้านกันสักเล็กน้อย Solsot (โซลสท) เป็นร้านข้าวอบเกาหลีรสต้นตำรับ ที่รังสรรค์มาจากข้าวสายพันธุ์ดีของเกาหลีนำมาหุงในหม้อสั่งทำพิเศษที่ช่วยเก็บความร้อนได้ดี ทั้งยังช่วยกระจายความร้อนทำให้ข้าวนุ่มฟู หนึบเล็กๆ และมีกลิ่นหอม จนทำให้เกิด ‘นรุงจี’ หรือข้าวก้นหม้อแสนอร่อย ที่ทุกคนสามารถได้ง่ายๆ เพียงเติมน้ำซุปคอมบุรสนุ่มนวลลงไป จากนั้นปิดฝาและทิ้งไว้สักพักก็จะได้ข้าวต้มอุ่นๆ รสกลมกล่อม ไว้กินส่งท้ายความอร่อยยากที่จะลืมเลือน ป.ล เมนูข้าวอบสามารถเลือกสั่งเป็นเซ็ตหรืออาละคาร์ตก็ย่อมได้ เรียกน้ำย่อยด้วย กิมจิสดโฮมเมด ที่เติมได้แบบไม่อั้น ได้ทั้งความกรอบของผักนานาพันธุ์ มิ๊กซ์กับซอสสูตรลับรสเปรี้ยวและเผ็ด ตามด้วย ยูริที ไก่ทอดร้อนจี๋ เนื้อแน่นกรอบนอกนุ่มใน ราดพริกเกาหลีรสเผ็ดร้อนพอเหมาะ เคล้าซอสสูตรเด็ดครบรส กินเพลินอย่าบอกใคร กุ้งทอดซอสทาร์ทาร์ กุ้งตัวใหญ่เนื้อเด้ง ชุบแป้งทอดไม่อมน้ำมัน เข้ากันดีกับซอสทาร์ทาร์โฮมเมดรสกลมกล่อมหลายคนชอบ ปูดองเกาหลี ปูม้าเนื้อสดฉ่ำ ดองในน้ำซีอิ๊วสูตรเฉพาะรสเค็มพอดี ผสมกับรสเผ็ดของพริกสดและกระเทียม เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ เอาใจคนไทยโดยเฉพาะ มาถึงเมนูข้าวอบเกาหลีพระเอกของงานกันบ้าง เมนูแรกเราลองเป็น ข้าวอบสเต็กหมู ข้าวเนื้อนุ่มฟู ท็อปด้วยสเต็กหมูหั่นพอดีคำเนื้อฉ่ำ ไข่แดง งาขาวและต้นหอม ก่อนกินให้มิ๊กซ์ก่อนให้เข้ากัน เสิร์ฟเคียงน้ำซุปคอมบุ (เอาไว้ทำข้าวต้มตอนท้าย) ซุปมิโซะ สลัดผัก น้ำจิ้มสเต็กรสหวาน และเครื่องเคียงต่างๆ อย่าพริกดอง กิมจิ หนวดปลาหมึกดอง และยาคูลท์ ข้าวอบปลามาไดและหอยเชลล์ เซ็ตนี้เอาใจคนรักซีฟู้ดโดยเฉพาะ เพราะโดนเด่นด้วยความสดเด้งของปลากระพงแดงญี่ปุ่น ความหวานของเนื้อหอยเชลล์ บวกกับความกรุบกรอบของแป้งเทมปุระ เข้ากันดีกับซีอิ๊วเกาหลีโฮมเมด หรือจะห่อกับสาหร่ายหอมๆ ก็เข้าที ปิดท้ายด้วย ข้าวอบไก่ทักคัลบีและชีส ไก่เนื้อนุ่มที่ชุ่มไปด้วยซอสทักคัลบีรสหวานเล็กๆ ปนเผ็ด ตัดด้วยความครีมมีของชีสยืดๆ และไข่แดงดิบ เพิ่มความหอมกรุ่นด้วยสาหร่ายและใบงา กินพร้อมเครื่องเคียงต่างๆ ซุปคอมบุ ซุปมิโซะ ตบท้ายด้วยยาคูลท์ เช่นเคย อิ่มอร่อยเปรมใจนักกินยิ่งนัก

ช่วงนี้ร้านโยเกิร์ตมาแรง ล่าสุด Yogurt Planet ร้านโยเกิร์ตสดที่ฮอตสุดๆ ในเซินเจิ้น ประเทศจีน พาเมนูซิกเนเจอร์ที่อร่อยแบบสุขภาพดีมาเปิดสาขาแรกในบ้านเราแล้วที่กูร์เมต์ อีทส์ Siam Paragon ด้วยคอนเซ็ปต์ร้านสนุกๆ เหมือนเราโดนมองตลอดเวลาและบรรดาเจ้าขนฟูจิ๋ว ไฮไลต์ของร้านนี้คือโยเกิร์ตสดจากวัตถุดิบธรรมชาติ 100% ผ่านกระบวนการสกัดเย็นแบบสเปรย์ที่อุณหภูมิต่ำเพื่อประโยชน์แบบเต็มคำและรสชาติที่ดีที่สุด หมักบ่มนาน 28 ชั่วโมง เมนูซิกเนเจอร์คือ Optional Fruit Bucket ให้ DIY โยเกิร์ตถ้วยโปรดได้ตามใจ เริ่มจากเลือกขนาดถ้วยก่อน แล้วตักผลไม้ที่มีให้เลือกเยอะมาก จากนั้นเลือกใส่โยเกิร์ตได้ 5 รสชาติ คือ รสธรรมชาติ รสมะพร้าว รสพีช รสองุ่น และรสสตรอว์เบอร์รี ปิดท้ายด้วยท็อปปิงแน่นๆ ที่กินด้วยกันแล้วสดชื่นลงตัว นอกจากนี้ยังมีเมนูพิเศษเฉพาะในกรุงเทพฯ อย่าง Planet Cup โยเกิร์ตสดในแก้วใสทรงกลมที่จำลองให้เหมือนดาวเคราะห์หลากสี เหมือนในอวกาศเข้ากับชื่อร้าน โดยเลือกโยเกิร์ตได้ 4 รสชาติ คือ Sea Salt Spirulina, Strawberry Anthocyanin, Beet and Berries และ Kale & Avocado สดชื่นและอยู่ท้องเชียวล่ะ

ใครที่คิดถึงห้องอาหารอันโด่งดังของ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ อย่าง Lord’s Jim เราอยากชวนมาสัมผัสการกลับมาอีกครั้งของตำนานสุดคลาสสิกในรูปโฉมใหม่ พร้อมมื้อค่ำแสนอร่อยสไตล์ฝรั่งเศส-เมดิเตอร์เรเนียนร่วมสมัย ณ ห้องอาหารอเล็กซ์ ดิลลิ่ง แอท ลอร์ด จิมส์ (Alex Dilling at Lord Jim’s) ห้องอาหารแห่งนี้นำทีมโดย เชฟอเล็กซ์ ดิลลิ่ง ผู้เคยนำสองดาวมิชลินมาสู่ห้องอาหารเลอ นอร์มังดี (Le Normandie) ในช่วงที่เขาเป็นเชฟรับเชิญอยู่ ร่วมกับเชฟจอร์จ เคย์ เชฟ เดอ คูซีน กลับมาครั้งนี้ เชฟดิลลิ่งตั้งใจนำเสนออาหารมื้อหรูในบรรยากาศที่ผ่อนคลายและสนุกสนานขึ้น โดดเด่นด้วยเมนูย่างไฟในครัวเปิดน่าตื่นตา และการเสิร์ฟแบบแชร์ที่อบอุ่นเป็นกันเอง อาหารที่นี่มีแรงบันดาลใจจากอาหารฝรั่งเศสสไตล์โพรวองซ์ ผสานมุมมองร่วมสมัยเข้าถึงง่ายและใส่ความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังคงไว้ซึ่งความประณีตและพิถีพิถันตามแบบฉบับของเชฟอเล็กซ์ ดิลลิ่ง จานเด่น อาทิ Kristal Caviar ซิกเนเจอร์คาเวียร์สำหรับแชร์ที่ครบทั้งความหรูหรา ความอร่อย และความสนุก Marinated Sea Bream in Cucumber Gazpacho ปลากะพงญี่ปุ่นในกัซปาโชแตงกวารสสดชื่น จานหลักห้ามพลาด Whole Roasted Coen-Fed Chicken ไก่อบทั้งตัวเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟพร้อมเห็ดไมตาเกะและฟัวกราส์อร่อยเข้มข้น Grilled Dry-Aged Côte de Bœuf served with Café de Paris Butter, Bone Marrow, and Béarnaise เนื้อโค๊ตเดอเบิฟดรายเอจย่าง เสิร์ฟพร้อมเนยคาเฟ่เดอปารีส ไขกระดูก และซอสแบร์เนส ปิดท้ายด้วยขนมหวาน Banana Mille-Feuille มิลล์เฟยกล้วย เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมและกล้วยหอมย่าง จับคู่กับไวน์ที่คัดสรรอย่างประณีต หรือค็อกเทลแก้วพิเศษที่รังสรรค์ร่วมกับเดอะ แบมบู บาร์ บาร์ชื่อดังระดับโลกของโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ “โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เป็นเสมือนบ้านหลังที่สองของผมเสมอมา การได้เข้ามาดูแลห้องอาหารลอร์ด จิมส์ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่นี่คือร้านอาหารที่มีเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ และกำลังก้าวสู่บทใหม่ที่ร่วมสมัย มีชีวิตชีวา แต่ยังคงรากฐานของงานฝีมือการทำอาหารและหัวใจของการบริการอย่างแท้จริง” เชฟดิลลิ่งกล่าว Alex Dilling at Lord Jim’s พร้อมแล้วที่จะมาเติมมิติแห่งรสชาติอันหลากหลายให้กับโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ และตอบโจทย์นักชิมยุคใหม่ที่ใส่ใจคุณภาพและประสบการณ์

ใครที่ชอบกินฟินองเซีย ต้องรีบพุ่งตัวมาที่ห้างสรรพสินค้า สยาม ทาคาชิมายะ ไอคอนสยาม เมื่อ Henri Charpentier (อ็องรี ชาร์ปองติเยร์) แบรนด์ขนมฝรั่งเศสพรีเมียมระดับตำนานจากญี่ปุ่น มาเปิดสาขาแรกในประเทศไทยแล้ว พร้อมด้วยหลากหลายเมนูขนมหวานและเค้กแสนอร่อยแบบต้นตำรับที่เราไม่อยากให้พลาดลิ้มลอง Henri Charpentier ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 1969 ที่เมืองอาชิยะ ประเทศญี่ปุ่น ด้วยจุดเริ่มต้นจากร้านกาแฟเล็กๆ ที่โด่งดังจากเมนูเครปซูเซ็ตต์ (crêpe suzette) สู่แบรนด์ขนมตะวันตกชั้นนำของญี่ปุ่น ปัจจุบันมีสาขากว่า 93 สาขาทั่วญี่ปุ่น 7 สาขาในสิงคโปร์ และล่าสุดที่ประเทศไทย โดยคุณอามิ ทานาเบะ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ มาร่วมในงานเปิดร้านพร้อมเผยว่า ที่นี่เป็นเป็นสาขาแรกนอกญี่ปุ่นที่ทางร้านจะเสิร์ฟเมนูซิกเนเจอร์อย่างเครปซูเซ็ตต์ให้ลิ้มลองกันด้วย เครปซูเซ็ตต์ ของที่นี่ปรุงสดใหม่ทุกออเดอร์ เชฟโคมะอิ เชฟผู้คว้ารางวัลชนะเลิศจาก Coupe du Monde de la Patisserie 2023 เป็นผู้สาธิตการทำให้ชม เริ่มต้นจากการเคี่ยวซอสคาราเมลและน้ำส้ม จากนั้นใส่แป้งเครปเนื้อบางนุ่มแต่มีความหนึบกำลังดีลงไปราดด้วยซอสจนชุ่มฉ่ำ เมื่อเคี่ยวจนเดือดแล้วจึงใส่เหล้ารัมลงไปแฟลมเบ้ให้แอลกอฮอลล์ระเหยไปจนหมดเหลือไว้แต่กลิ่นหอมๆ เครปเนื้อนุ่มลื่นชุ่มฉ่ำร้อนๆ เสิร์ฟกับไอศกรีมวานิลลาเย็นฉ่ำ ให้รสสัมผัสนุ่มละมุนและความต่างของอุณหภูมิอันน่ารื่นรมย์ อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือ ฟินองเซีย (financier) สินค้าตัวแทนของร้านที่กินเนสส์บุ๊คบันทึกว่าขายได้มากที่สุดในโลกกว่า 33 ล้านชิ้นต่อปี โดดเด่นด้วยกลิ่นหอมอัลมอนด์ลอยขึ้นมาเตะจมูก ผิวนอกบางกรอบส่วนด้านในนุ่มชุ่มฉ่ำหอมเนย สัมผัสได้ถึงความพรีเมียมของวัตถุดิบและความพิถีพิถันในการะบวนการผลิต ชิ้นเดียวไม่เคยพอ ทางร้านอบฟินองเซียสดใหม่ทุกวันและมีแบบกล่องสำหรับซื้อเป็นของฝากได้ นอกจากนี้ยังมีหลากหลายเมนูเค้กเนื้อนุ่มเบาสไตล์ญี่ปุ่น ทำสดใหม่ให้เลือกลิ้มลองได้ทั้งแบบชิ้นและแบบปอนด์สำหรับโอกาสพิเศษต่างๆ โดยเมนูที่อยากแนะนำคือ เดอะ ชอร์ตเค้ก (the Short Cake) เค้กครีมสดเนื้อนุ่มฟูประดับด้วยสตรอว์เบอร์รีลูกโต 3 ลูก ที่สื่อถึงโลโก้รูปเปลวเทียน 3 เล่มของแบรนด์ Henri Charpentier นั่นเอง ร้าน Henri Charpentier มีที่นั่งทั้งแบบเคาน์เตอร์และแบบโต๊ะ ตกแต่งในโทนสีขาว ทอง และชมพูสดใส พร้อมมอบความอร่อยจากขนมหวานพรีเมียมและส่งต่อความประทับใจในทุกช่วงเวลาของชีวิต ใครที่เป็นสายหวานพลาดไม่ได้แล้ว

พาไปชอปปิงและทำเวิร์กช็อปเพนต์หน้าขนมปังกันที่ 96H Artisanal Bread ร้านขนมปังโฮมเมด เป็นร้านขนาดกะทัดรัดสไตล์โฮมมี่ในโครงการ Meat up แจ้งวัฒนะ ที่เพิ่งย้ายมาเปิดได้ประมาณ 4 เดือน แต่ก็มีลูกค้าเก่าและใหม่หมุนเวียนเข้ามาเลือกซื้อขนมปังกลับบ้านกันอย่างคับคั่ง ที่บอกว่าย้ายโลเคชันเพราะก่อนหน้านี้ทางร้านเคยเปิดอยู่อีกที่หนึ่งมานานกว่า 4 ปี ก่อนทำการโยกย้ายเพื่อจัดสรรพื้นที่สำหรับสอนทำ Workshop Sourdough Painting ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมไฮไลต์ของร้านเลยก็ว่าได้ ภายในร้านชั้น 1 มีขนมปังอบสดใหม่วางเรียงรายให้เลือกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Sourdough, Bagel, Pizza, Focaccia, Pretzel และ Soft Bread หรือแม้แต่ Shio Pan ขนมปังเกลือก็มีมาวางไม่ขาดสาย ทุกเมนูทำจากยีสต์ธรรมชาติ ขนมปังของที่นี่จึงให้รสและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ทุกคนสามารถนั่งกินที่ร้านได้อีกด้วยนะ แนะนำเมนูซิกเนเจอร์อย่าง ชีสเบอร์เกอร์ แป้งเบเกิลเนื้อเหนียวหนึบสอดไส้เนื้อบด ตัดรสด้วยแตงกวาดองและชีสเยิ้มๆ กัดเข้าไปแล้วฉ่ำมากหอมกลิ่นกระเทียมด้วย ต่อด้วย แซลมอนครีมชีส แป้งซาวร์โดญี่ปุ่นนุ่มฟู มีรสเปรี้ยวเป็นเอกลักษณ์กินกับแตงกวาดอง หอมแดงดอง แซลมอนรมควัน อร่อยทีเดียว กาลิกครีมชีส ขนมปังไส้ครีมชีสและกระเทียม ด้านบนโรยเกลือและกระเทียมป่นเพื่อเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอม ส่วนเท็กซ์เจอร์ของขนมปังด้านนอกกรอบด้านในนุ่ม เคี้ยวเพลินสุดๆ นอกจากขนมปังก็จะมีเครื่องดื่มทั้งกาแฟ ชา และมัตฉะลาเต้ สั่งมาจิบควบคู่ไปกับขนมปังเข้ากันมาก ส่วนชั้น 2 จะเป็นพื้นที่สำหรับเวิร์กช็อปโดยทางร้านเปิดเป็นรอบ 11.00 น. และ 14.00 น. เพียงทุกคนหา Reference หรือรูปที่อยากเพนต์ลงบนขนมปังมา ทางร้านก็พร้อมสอนในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมหน้าขนมปังไปจนถึงอธิบายเกี่ยวกับสีที่ใช้ การลงสีและขั้นตอนก่อนการอบ

นับวันรอตั้งแต่รู้ข่าวว่าเชฟแพม-พิชญา และ คุณต่อ-บุญปิติ สุนทรญาณกิจ จะเปิดตัวร้านอิซากายะแถวศาลายา ซึ่งต้องบอกว่าสมการรอคอย เพราะ Tora Izakaya หรือชื่อไทยว่า “เสือตื่น” เป็นร้านกินดื่มที่เข้าถึงง่าย อร่อย และสนุกจนลืมเวลากลับบ้านไปเลย Tora ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าเสือ เราจึงได้เห็นเสือเป็นกิมมิกอยู่ทั่วร้าน ส่วนการออกแบบขอใช้คำว่า ‘ทำถึง’ นอกจากรูปแบบร้านจะเหมือนได้เดินเข้าร้านอิซากายะที่ญี่ปุ่น ทั้งบรรยากาศและแสงไฟ ยังมีวอลเปเปอร์ลายคอมมิกทั่วร้าน เมื่อเข้ามาด้านใจจะเจอบาร์ไว้สั่งเครื่องดื่มกินคู่กับอาหารสไตล์ Yatai หรืออาหารริมทางของญี่ปุ่น โดยเฉพาะลิสต์สาเกคัดโดยคุณเค อานนท์ ฮุนตระกูลจาก Opium Bar (1 ใน Asia’s 50 Best Bars) ส่วนเมนูอาหารเป็นการรวมจานโปรดของเชฟแพมไว้มากกว่า 150 เมนู ทั้ง อาหารทอดเสียบไม้ อาหารย่างเสียบไม้ เมนูย่างถ่าน ซาชิมิและดงบุริ ราคาสบายกระเป๋า เรียกน้ำย่อยด้วย Shiodare Kyabetsu กะหล่ำผัดซอสเกลือที่กรอบอร่อยและหอมกลิ่นกระทะ  Agedashi Tofu เต้าหู้ซอสเย็นนุ่มๆ ที่กินตัดกับของทอดได้ดี Osaka-Style Deep Fried Chicken Wing ปีกไก่ทอดสไตล์โอซาก้า เมนูที่เชฟแพมและคุณต่อโปรดปราน ปีกไก่รสเค็มนำ ทอดจนกรอบ จับคู่เบียร์เย็นๆ แล้วฟินนัก Tora Katsu Layer Beef Cheese เนื้อแผ่นเรียงสลับชีสเป็นชั้นๆ ทอดกรอบ ด้านในเยิ้มละลาย รวมถึง Tora Wagyu Gyudon ข้าวหน้าเนื้อวากิวแผ่นใหญ่คลุมข้าวมิดกินกับข้าวญี่ปุ่นพันธุ์ Sasanishiki ที่มาพร้อมความนุ่มเหนียว มันวาว พลาดไม่ได้กับ Tora Salmon Truffle Ponzu แซลมอนซาชิมิในซอสพอนสึทรัฟเฟิลที่หอมอวลอยู่ในปาก ว่าแล้วก็สั่งเพิ่มอีกจาน!

สานฝันให้คนรักอาหารจีนเป็นจริงเสียทีเมื่อ Silver Waves by Boon ร้านอาหารจีนกวางตุ้งสไตล์โมเดิร์นบนชั้น 36 ของโรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ กลับมาเปิดให้ลิ้มลองอีกครั้ง ให้คุณดื่มด่ำกับบรรยากาศใหม่ที่หรูหราและทันสมัย ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากอาทิตย์อัสดงลงแม่น้ำเจ้าพระยา โคมไฟระยาสะท้อนประกายสีน้ำเงินนุ่ม สอดแทรกด้วยประกายสีโทนอุ่นๆ ของผนังสีเทอร์ราคอตต้า ผนังด้านบนรูปทรงโค้งมนละม้ายโค้งน้ำเจ้าพระยา ที่สอดแทรกด้วยศิลปะแนวป๊อปอาร์ตจีนร่วมสมัย ยังมีโต๊ะหินอ่อนสีดำเงาขลับและพื้นพรมลายตารางขาว-ดำ ต่างช่วยเติมเต็มบรรยากาศให้มีชีวิตชีวา พร้อมเสิร์ฟอาหารจีนกวางตุ้งโมเดิร์นที่เต็มไปด้วยปรัชญาอันแรงกล้าของผู้นำความอร่อยอย่าง Ho Chee Boon เชฟชาวจีนผู้เปี่ยมด้วยประสบการณ์การทำอาหารกว่า 30 ปีจาก Hakkasan ร้านอาหารจีนโมเดิร์นมิชลินทั้งในสาขาลอนดอน นิวยอร์ก ดูไบ และอาบูดาบี นอกจากนี้ Silver Waves by Boon ยังได้เชฟ Ng Kok Meng เชฟมากฝีมือด้านอาหารจีนกวางตุ้ง ที่ได้ฝึกปรือฝีมือจากห้องอาหารจีนชื่อดังใน Mandarin Oriental, Marrakech กรุงโมร็อกโก แทกทีมกับ 2 เชฟผู้เชี่ยวชาญด้านติ่มซำจาก Hakkasan ในริยาดและดูไบ เชฟ Mo Jianming และ เชฟ Alex Liang อีกด้วย เริ่มต้นกับ ซุปไข่ขาว น้ำซุปรสเข้มข้นที่ได้จากการเคี่ยวเนื้อหมูและปู เติมกลิ่นหอมๆ ด้วยเหล้าหวงจิ่ว หรือไวน์ข้าว เครื่องดื่มยอดนิยมในเจียงหนาน กินพร้อมไข่ตุ๋นนุ่มเด้งแสนอร่อย ตามด้วยคาราวานติ่มซำโฮมเมดอย่าง Silver Waves Steamed Dim sum Platter เซ็ตติ่มซำซิกเนเจอร์ของห้องอาหารฯ ที่ประกอบด้วย ฮะเก๋า ลูกโต แป้งบางกริบสอดไส้กุ้งเนื้อหวานและหน่อไม้ฝรั่ง ขนมจีบไก่ เนื้อแน่น ท็อปด้วยซุปปูรสนุ่มนวล ขนมจีบปลากระพง ได้สัมผัสของปลากระพงเนื้อสด ผสมกับขิงรสร้อนแรง ฝั่นโก๋พาร์มาแฮม แป้งสีเหลืองสดใส ที่อัดแน่นด้วยข้าวโพดและพาร์มาแฮมที่เรารัก หลายคนชอบ เสี่ยวหลงเปา เสิร์ฟมาร้อนๆ ควันฉุน เสี่ยวหลงเปาแป้งบางกริบ ห่อไส้หมูดำสเปนที่ชุ่มไปด้วยน้ำซุปรสเค็มกลมกล่อม ฟัวกราส์ ติ่มซำทอดที่ดึงดูความสดในเราด้วยแป้งสีแดงอันทำมาจากบีตรูต เนื้อเหนียวนุ่ม ด้านในสอดไส้ตับห่านรสครีมมี กุ้งแม่น้ำทอด กุ้งแม่น้ำตัวโตเนื้อสดหวาน เข้ากันดีกับมะพร้าวคั่วพริกเกลือรสละมุนอย่าบอกใคร เอาใจสายซีฟู้ดกันต่อด้วย กุ้งลายเสือผัดซอสกะหรี่ กุ้งลายเนื้อตัวอวบเนื้อเด้งหวาน คลุกเคล้ากับซอสกะหรี่ผสานซอสหม่าล่ารสเผ็ดซ่า จานหลักจานต่อไปคือ ปลาหิมะย่าง ปลาหิมะเนื้อสดชิ้นใหญ่ อาบด้วยซอสชาชา ซอสบาร์บีคิวสไตล์จีนรสเค็มเผ็ด อร่อยแบบเซอร์ไพรส์ขอยกให้ ผัดมะเขือ มะเขือม่วงรสหวาน ผัดพร้อมหมูคุโรบุตะออร์แกนิกเนื้อนุ่ม ได้รสเค็มกลมกล่อมของเต้าเจี้ยวอย่างดี เต้าหู้ผัดพริกเสฉวน เต้าหู้โฮมเมดเนื้อนิ่มเด้ง เข้ากันดีกับพริกเสฉวนรสเผ็ดได้ที่ ตัดด้วยรสครีมมีของไข่ จานหลักสุดท้ายคือ ข้าวผัด ข้าวเหนียวเขี้ยวงูเนื้อนุ่มแน่น ผัดพร้อมกุ้งแห้ง เห็ดและเม็ดบัว ได้รสเค็มเล็กน้อยกินเพลิน ปิดท้ายด้วยของหวานซิกเนเจอร์อย่าง เผือกกวนและบัวลอยฟักทอง เผือกกวนโฮมเมดเนื้อนิ่มเนียนรสหวาน ตัดด้วยรสเค็มมันของกะทิ เสิร์ฟเคียงบัวลอยฟักทองสุดคิวท์เนื้อุน่มนิ่ม ชีสเค้กเสาวรส ชีสเค้กรสหอมมันมาในรูปเสาวรสเหมือนแบบเป๊ะๆ เข้าคู่ไอศกรีมเสาวรสรสเปรี้ยวอมหวาน และกล้วยเบิร์นน้ำตาลหอมฟุ้ง ตบท้ายด้วยชาร้อนรสนุ่มละมุนใจ

ทำเลดีๆ ย่านสุขุมวิทมีร้านอาหารเวียนเปิดกันอยู่บ่อยครั้ง Bacio Bangkok ร้านอาหารอิตาเลียนแท้ ก็เป็นอีกร้านที่เพิ่งเปิดได้ราว 4 เดือน กลับมีคนพูดถึงถึงความอร่อยกันปากต่อปาก เรามีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสด้วยตัวเองก็ขอพูดอีกเสียงว่า อร่อยจริง! โดยร้านนี้เป็นไอเดียของคุณเจ็ท เจ้าของร้านหนุ่มหล่อไฟแรงชาวไทยที่ชื่อชอบการทำอาหารและหลงใหลในรสชาติของอาหารอิตาเลียน ได้จังหวะเปิดร้านอาหารพอดิบพอดี ประจวบเหมาะกับประทับใจในฝีมือของเชฟ Danilo Aiassa เชฟมากประสบการณ์จากร้านมิชลินสตาร์ในอิตาลีและเคยร่วมงานกับโรงแรมหรูในกรุงเทพฯ ไม่น้อย จึงชวนมาเป็นพาร์ตเนอร์กันเปิดร้านนี้ขึ้นมา   ภายในร้านตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความทันสมัยภายใต้บรรยากาศโฮมมี่ เมื่อเข้าร้านจะพบกับครัวเปิดที่มาพร้อมกลิ่นหอมๆ จากเตา มีโต๊ะให้เลือกนั่งหลายมุม ส่วนด้านบนก็มีที่รับรองให้ลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว อีกทั้งยังมีห้องไพรเวตด้วย ส่วนเมนูของ Bacio จะเป็นอาหารอิตาเลียนต้นตำรับ เสิร์ฟจานใหญ่ในสไตล์โฮมคุกที่สามารถแพริงกับไวน์ชั้นดีได้ ซึ่งทุกจานทางร้านรังสรรค์อย่างตั้งใจ มาพร้อมความพรีเมียมเต็มคำ เพราะวัตถุดิบที่หามานั้นเป็นความมุ่งมั่นของทั้งเชฟและคุณเจ็ทที่อยากมอบประสบการณ์ดีๆ ให้ผู้มาเยือนได้ลิ้มลอง อย่าพลาดเมนูซิกเนเจอร์ของเชฟอย่าง Homemade Spaghettoni with Jumbo Crab Meat and Soft Shell Crab พาสตาเส้นสดคลุกเคล้ากับซอสมะเขือเทศจากอิตาลีให้รสเข้มข้นบวกกับรสหวานฉ่ำจากเนื้อปู เพิ่มมิติให้รสชาติด้วยปูนิ่มทอดกรอบ ไฮไลต์ของจานคือเส้น Spaghettoni ที่มีความกรึบและหนึบกว่าเส้นสปาเกตตีปกติ Rib-eye Steak สเต๊กเนื้อริบอายดรายเอจเป็นเวลา 270 วัน เสิร์ฟมาในระดับมีเดียมแรร์ ได้รสเข้มข้น หอมกลิ่นย่าง เคียงด้วยมันบดเนื้อเนียนนุ่มและผักย่าง หรือจะเพิ่มรสชาติด้วยซอส Gremolada ก็เข้าท่า แม้ว่าซอสจะไม่ค่อยมีรสชาติแต่กลับชูรสชาติให้เนื้อได้อย่างลึกซึ้งและลงตัวมาก ต่อด้วย Portobello Mushroom & Rocket with Italian Sausages สลัดผักร็อกเก็ตคลุกเคล้าบัลซามิก เพิ่มความมันนัวด้วยพาร์เมซานชีสขูด กินกับไส้กรอกอิตาเลียนและเห็ดพอร์โทเบลโลที่มีความกรึบ เมื่อเคี้ยวจะมีความฉ่ำเด้งสู้ฟัน เป็นจานที่สดชื่นมาก Parma Ham with Burrata Cheese จานที่ชูวัตถุดิบได้ดีเยี่ยม ด้วยความสดใหม่ของมะเขือเทศรสกลมกล่อม มีความหวานเล็กน้อย ผนวกกับพาร์มาแฮมรสเค็มที่เบรกด้วยรสนวลๆ มาพร้อมกับเนื้อสัมผัสสุดครีมมี่ของชีสบูร์ราตา ช่วยกระตุ้นต่อมรับรสให้พร้อมกินจานต่อไป จบมื้อนี้ด้วย Chocolate Lava ช็อกโกแลตลาวาอุ่นๆ เสิร์ฟกับไอศกรีมวานิลลามาดากัสการ์หวานเย็นชื่นใจ เป็นการผสมผสานรสชาติได้อย่างลงตัวด้วย มีผลไม้สดอย่างบลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี และกล้วยมาช่วยตัดรสชาติ

ได้ยินชื่อของเชฟ ซากิ โฮชิโน มาพักใหญ่ มาพร้อมเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงรสมือเจ้าแม่ขนมหวานที่บอกเหมือนกันว่า 'อร่อย' คราวนี้ถึงเวลาเปิดสแตนด์อโลนในชื่อ Sàat Bangkok (ศาสตร์) ร้านขนมหวานที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก "ขนมไทย" ขอบอกเลยว่านี่เป็นหนึ่งในร้านขนมที่น่าสนใจในกรุงเทพฯ ยิ่งใครชอบกินขนมไทยต้องหาเวลาไปลองสักครั้ง! ด้วยความที่ร้านนำเสนอศาสตร์แห่งขนมหวาน ขั้นตอนการทำและวิธีการปรุงจึงมีความละเมียดละไม โดยใช้เทคนิคสมัยใหม่เข้ามาผสมผสานกับรากฐานของรสชาติแบบไทยจนออกมาเป็นจานขนมหวานสุดโมเดิร์น รสชาติไม่ซับซ้อนแต่มีชั้นเชิง ชวนให้นึกถึงขนมไทยหลายเมนูที่คุ้นเคย ตัวร้านเป็นตึกเก่าริมถนนมหาพฤฒาราม ภายในยังคงโครงสร้างเดิมไว้ด้วยเพดานสูงที่โปร่งโล่ง รายล้อมด้วยกระจกบนใหญ่ หากเงยหน้าขึ้นจะเห็นวัสดุที่หลากหลายทั้งเก่าและใหม่ผสมๆ กันอย่างลงตัว ส่วนบรรยากาศของร้านดีไซน์ออกมาแนว Minimal Cozy เน้นโทนสีอ่อนจากวัสดุธรรมชาติเพื่อให้รู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย และเรียบง่ายแต่ร่วมสมัย ด้านหน้าร้านเป็นครัวเปิดเผยให้เห็นความใส่ใจในทุกขั้นตอน เพราะครัวคือพระเอกของร้านนี้ นอกจากนี้คำว่า Sàat (ศาสตร์) ยังหมายถึง Saki+Nat ชื่อของสองผู้ก่อตั้งอย่างเชฟซากิกับคุณนัทที่ร่วมออกไอเดียเนรมิตร้านแห่งนี้ขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็น Women run business เลยก็ว่าได้ เพราะทาง Head Chef ของที่นี่ก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน นั่นคือเชฟอิง เชฟมากความสามารถที่ถ่ายทอดเมนูอร่อยออกมาให้เราได้ชิมในรูปแบบอะลาคาร์ต ไม่ว่าจะเป็น Coconut Reverie เมนูที่ได้แรงบันดาลใจมาจากขนมใส่ไส้ เชฟทำไส้เป็นมูสกะทิใบตองย่าง มีเนื้อมะพร้าวกะทิหอมไวท์คลาวด์ผัดกับน้ำตาลมะพร้าว ด้านนอกเป็นโมจิกะทิและคุกกี้ขี้โล้ช่วยเพิ่มเท็กซ์เจอร์ ต่อด้วย Pineapple Butter Sando เป็นบิสกิตไส้เนยสับปะรดกินแล้วนึกถึงขนมปี๊บไส้สับปะรด เชฟนำมาสร้างลุคใหม่โดยด้านนอกเป็นแป้งขี้โล้ ไส้ดัดแปลงเป็นเนยสดและแยมสับปะรดย่าง แอบเพิ่มความเป็นญี่ปุ่นด้วยบัตเตอร์แซนด์โดะ Fluffy Pancake and Coconut Sugar Ice Cream เมนูแพนเค้กไส้ครีมและไอศกรีมน้ำตาลมะพร้าวที่ได้ไอเดียมาจากขนมโตเกียวไส้หวาน ได้รสหวานหอมของสังขยามะพร้าวกะทิน้ำหอมไวท์คลาวด์ เพิ่มรสสัมผัสด้วยเนื้อมะพร้าวให้เคี้ยวควบคู่ไปกับไอศกรีมหวานเย็นชื่นใจ Pansib ที่ร้านออกแบบปั้นสิบให้มีรูปร่างเป็นปลาตะเพียน 2 ตัว สอดไส้คาวและหวาน แป้งที่เห็นเป็นพัฟเคลือบด้วยซอสสามเกลอคาราเมล ตามด้วย Coconut Flat Bread and Tai Pla Dip เป็นอาหารคาวให้กินเบาๆ ประกอบด้วยแป้งนานมะพร้าวที่ทำจากโยเกิร์ตกะทิโฮมเมด กินกับซอสไตปลาคู่ปลาย่างประจำวัน เสริมรสชาติด้วยยำผลไม้ตามฤดูกาล มาถึงเมนูใหม่แกะกล่องอย่าง ข้าวแช่ เครื่องดื่มที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอาหารไทยชาววังอย่างข้าวแช่ โดยใช้ข้าว Redberry ข้าวสายพันธุ์ใหม่ให้รสสัมผัสกึ่งข้าวเหนียวกับข้าวเจ้า รังสรรค์ออกมาคล้ายกับการทำอามาซาเกะ หรือข้าวหมากญี่ปุ่น เสิร์ฟพร้อมลูกกะปิที่ทำจาก Caramel Fudge จากนั้นห่อด้วยกระดาษกินได้ที่ทำจากขมิ้นขาว วิธีการกินคือให้กัดลูกกะปิทีละนิดจากนั้นก็ดื่มน้ำตาม เมื่อกินเข้าไปก็ทำให้นึกถึงขนมไทยจานโปรด แต่เป็นในเวอร์ชันที่ไม่เคยเห็นมาก่อน! ประทับใจมาก

เป็นเรื่องว้าวซ่ามากมายสำหรับสายฟู้ดเมื่อ Akira Back Bangkok ร้านอาหารฟิวชั่นโมเดิร์นบนชั้น 37 โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค ครีเอท “Midday Box of Delight” เซ็ตมื้อกลางวันอิ่มเอมที่ประกอบด้วย เบนโตะกล่องใหญ่ จานหลัก ซุปมิโซะ ข้าวและของหวาน แถมยังราคาน่ารัก (เริ่มต้นเพียง 480++ บาท) พร้อมชวนชิ้มแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (เฉพาะวันพฤหัสบดี – วันอาทิตย์ เท่านั้น) Midday Box of Delight หลักๆ เลยคือจะมี เบนโตะ กล่องบิ๊กเบิ้มอันประกอบด้วย สลัดผักโขม ผักโขมกินง่าย ล้อมรอบด้วยน้ำสลัดงาครีมมี ซาชิมิ เนื้อสดอย่าง แซลมอนและทูน่า กิมจิจอน เนื้อแน่น ทอดร้อนจี๋ คิมบับ ชิ้นโต ไก่บดย่าง รสหวานปนเค็ม และ กุ้งทอดซอสยูซุ รสเปรี้ยวพอเหมาะ ส่วนจานหลักจะมีให้เลือก 3 อย่าง ได้แก่ ไก่โคชูจัง ไก่เนื้อแน่น อาบซอสโคชูจังรสเข้มข้น หรือจะเป็น ปลาฮาลิบัตซอสมิโซะ ปลาฉาลิบัตเนื้อแนนฉ่ำ เข้ากันดีกับซอสมะโซะรสเค็มกลมกล่อม คนรักเนื้อต้องลอง สเต็กเนื้อวากิว เนื้อวากิวให้สัมผัสนุ่มชุ่มฉ่ำ ที่สามารถเลือกความสุกได้อย่างตามใจ ปิดท้ายด้วยของหวานสุดฟิน โมจิ โมจิเหนียวนุ่ม ย่างหอมๆ ท็อปด้วยป็อปคอร์นคาราเมลรสหอมหวานถึงใจ แบบนี้หนุ่ม-สาวชาวออฟฟิศย่านพร้อมพงษ์จะหนีไปไหนรอด

ใช้คำว่าอร่อยได้เปลืองมากสำหรับ ครัวเมืองเว้ ร้านอาหารเวียดนามลาว-ญวณ ที่เสิร์ฟอาหารเวียดนามรสชาติดีมานานกว่า 20 ปี มีทีเด็ดคือความอร่อยจากรุ่นสู่รุ่นสูตรเด็ดของคุณย่า ตั้งแต่สมัยยังอาศัยอยู่ที่เมืองเว้ ก่อนมาเปิดร้านที่เมืองไทยใน พ.ศ.2543 จนปัจจุบันมี 6 สาขา กับโลเคชั่นล่าสุดคือ เซ็นทรัล เวสต์เกต (ชั้น 3) เอาใจชาวนนทบุเรี่ยนโดยเฉพาะ ประเดิมด้วยเมนูขายดีอย่าง พิซซ่าเวียดนาม ฐานล่างเป็นข้าวเกรียบกรุบกรอบ ออนท็อปด้วยแป้งข้าวเกรียบปากหม้อนุ่มๆ หมูสับ หมูยอ กุ้งเนื้อหวานและต้นหอม เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มแครอตรสหวานอมเปรี้ยว ต่อกับ แหนมเหนือง ที่มาเป็นเซ็ตอลังการน่าอร่อยเป็นที่สุด แผ่นแป้งนิ่มนุ่ม เสิร์ฟเคียงกับหมูย่างเนื้อแน่นและผักนานาพันธุ์ ราดน้ำจิ้มสูตรเด็ดรสหอมมันลงไป หลายคนชอบ หมูย่างใบชะพลู หมูเนื้อแน่นหมักกับซอสสูตรเด็ดประจำร้าน ห่อด้วยใบชะพลูก่อนนำมาย่างบนเตาถ่านจนส่งกลิ่นหอม กินคู่กับขนมจีน ผักสดและน้ำจิ้มรสเผ็ดเปรี้ยว ตามด้วย ฟองดู ชาบูสไตล์เวียดนามที่โดดเด่นด้วยน้ำซุปรสหวานละมุนจากน้ำมะพร้าว กินคู่ซีฟู้ดสดเด้งและเนื้อหมู เข้ากันดีกับนิ้มซีฟู้ดรสแซ่บอย่าบอกใคร ขนมเบื้องญวณ ก็น่าสนใจ ขนมเบื้องญวณชิ้นใหญ่ (ถูกใจสายกิน) แป้งสีเหลืองจากขมิ้นกรอบๆ ไปด้วยกันดีกับไส้ที่ทำจากหมูสับและผักต่างๆ ตัดด้วยรสเปรี้ยวอมหวานของน้ำจิ้มแครอต อร่อยอีกจานขอยกให้ เกี๊ยวเวียดนาม แป้งเกี๊ยวเนื้อหนึบ สอดไส้หมูสับและต้นหอม ด้านบนมีหมูยอเนื้อแน่น ราดด้วยน้ำซอสหวานปนเปรี้ยว อย่าลืมสั่ง ถ้วยสวรรค์เมืองเว้ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ ‘ขนมถ้วยญวณ’ ความนุ่มของแป้งขนมครก บวกกับหมูยอง และความกรุบกรอบของแคปหมู ราดน้ำจิ้มรสเปรี้ยวอมเปรี้ยวลงไปยิ่งดีงาม ของหวานเราชี้เป้า บัวลอยเวียดนาม แป้งข้าวเหนียวผสมเผือกเนื้อนุ่มนวล สอดไส้ถั่วเขียวบดรสหวานพอเหมาะ กินกับน้ำกะทิผสมขิง จิบคู่ น้ำแตงโม คั้นสด ได้รสหวานฉ่ำธรรมชาติ หรือจะเป็นสมูตตี้มากประโยชน์ Green Detox ที่เป็นการรวมตัวกันของ ผักเคล แอปเปิ้ลเขียว เซอรารี่และสับปะรด ปิดท้ายด้วย กาแฟเวียดนาม รสเข้มข้นก็ย่อมได้ ติดใจทุกจานมีอยู่จริง

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในเสน่ห์ของเครื่องเทศหอม ๆ และรสชาติกลมกล่อมของอาหารอินเดียแบบแท้ ๆ ต้องไม่พลาดแวะมาที่ Daryaganj Bangkok ร้านอาหารอินเดียเหนือระดับตำนานจากกรุงเดลี เจ้าของเมนู Butter Chicken สูตรต้นตำรับ หนึ่งในจานเด็ดที่ใครต่อใครต่างยกให้เป็นไอคอนิกของวงการอาหารอินเดีย ซึ่งครั้งนี้ขยายความอร่อยสไตล์ต้นตำรับ เปิดสาขาแรกนอกประเทศที่กรุงเทพฯ ให้คนรักอาหารอินเดียได้ลิ้มลองกันที่ โรงแรมพาร์ค พลาซ่า บางกอก ซอย 18 Daryaganj เริ่มต้นในปี 2019 ณ กรุงเดลี ประเทศอินเดีย โดยอมิต บักกา นักธุรกิจร้านอาหารมากประสบการณ์พร้อมรางวัลมากมาย และราฆาฟ จากกี หลานชายของกุนดาน ลาล จากกี เชฟผู้บุกเบิกการคิดค้น Butter Chicken สูตรต้นตำรับ หรือที่คนอินเดียเรียกว่า Murgh makhani ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1947 หลังจากได้รับความนิยมในอินเดีย จนกลายเป็นเมนูขึ้นชื่อประจำร้าน ความอร่อยสูตรต้นตำรับนี้ได้ถูกส่งต่อข้ามทวีป มายัง Daryaganj Bangkok ภายในร้านถูกตกแต่งในโทน Indian Art Deco ผสมผสานความวินเทจเข้ากับความหรูหราทันสมัย ใช้โทนสีอบอุ่น ผนังประดับภาพถ่ายเก่าแก่และแสตมป์อินเดียวินเทจถ่ายทอดเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ มาพร้อมไฮไลต์สุดพิเศษอย่าง ครัวแบบเปิด ที่มีเตาทันดูรีตั้งไว้ด้านหน้า พร้อมให้แฟนอาหารทุกท่านได้ชมเชฟรังสรรค์อาหารกันแบบสด ๆ ด้านบรรยากาศโซนบาร์ก็ตกแต่งได้หรูหรา และสบายตา เหมาะกับการสั่งเครื่องดื่มคลาสสิก หรือค็อกเทลร่วมสมัยมาจิบแบบเพลิน ๆ  พูดถึงเมนูอาหาร ได้มาเยือนร้านต้นตำรับทั้งที ต้องห้ามพลาดเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านอย่าง The Original 1947 Butter Chicken สูตรลับที่รักษาเนื้อสัมผัสแบบดั้งเดิม และความเข้มข้นของรสชาติจากยุคครัวแบบเดิม หรือจะเป็น The Original 1947 Dal Makhani อีกหนึ่งเมนูที่กุนดาน ลาล จากกี เป็นผู้คิดค้น ปรุงจากถั่วดำที่เคี่ยวข้ามคืนพร้อมเนยสด ใบลูกซัดแห้ง และมะเขือเทศสุกจากเถาที่นำมาบดแบบสดๆ ซึ่งนอกจากเมนูไฮไลท์ ทางร้านก็ยังมีเมนูน่าลองอีกหลายจานอย่าง The Original Tandoori Chicken ไก่หมักโยเกิร์ตและเครื่องเทศสูตรลับ ย่างในเตาทันดูรีทั้งกระดูก สูตรต้นตำรับที่คิดค้นโดย โมคา ซิงห์ ที่ปรึกษาของจากกีในยุค 1920 ที่เปศวาร์ The Original Chicken Pakoda ไก่ไร้กระดูกทอดกรอบในแป้งสูตรพิเศษ ปรุงรสด้วยเมล็ด Carom และผักชีบดสด The Original Butter Paneer คอจเทจชีสทิกก้าชิ้นนุ่มในซอสมะเขือเทศและเนย เพิ่มความหอมด้วยพริกเขียวและขิงซอย และสุดพิเศษ สำหรับชาวกรุงเทพฯ เท่านั้น! พบกับ Daryaganj Gold Menu ฝีมือเชฟอินเดียมือทอง เชฟภารัต เอส. บัท (Chef Bharath S. Bhat) ที่ปรึกษาด้านอาหารของ Daryaganj ดีกรีเจ้าของแชมป์ Iron Chef Thailand มาออกแบบเมนูใหม่โดยยังคงรากเหง้าของอินเดียเหนือ แต่ใส่กลิ่นอายร่วมสมัย ประกอบไปด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยสุดพิเศษ Stuffed Kashmiri Morels เห็ดมอเรลเนื้อละเอียด สอดไส้หน่อไม้ฝรั่งรสกลมกล่อม Amritsari Soft Shell Crab ปูนิ่มทอดปรุงรสด้วยเมล็ด Carom เสิร์ฟพร้อมโฟมวาซาบิเบาๆ Keema Tak-a-Tak เนื้อแกะสับรสเข้มข้น เสิร์ฟคู่กับ jeera khari fans แป้งอบกรอบหอมยี่หร่า เมนูจานหลักระดับตำนาน ประกอบด้วย Lobster Afghani Malai กุ้งล็อบสเตอร์หมักในซอสครีมเข้มข้น เสิร์ฟคู่กับสลัดส้มเผาเพิ่มรสเปรี้ยวสดชื่น 24 Carat Lamb Rack Biryani บิรยานีระดับพรีเมียม ข้าวบาสมาติปรุงด้วยหญ้าฝรั่นและเครื่องเทศอุ่นๆ ซ้อนชั้นกับซี่โครงแกะเนื้อนุ่ม เคลือบด้วย ทองคำ 24 กะรัต ขนมหวานประกอบด้วยเมนูดั้งเดิม อย่าง Gulab Jamun & Ras Malai ขนมอินเดียคลาสสิกที่ทุกคนหลงรัก หรือจะเลือกการผสมผสานของนวัตกรรม อย่าง Rose Tiramisu ทีรามิสุสูตรพิเศษที่เติมกลิ่นกุหลาบ Saffron Rasmalai Tres Leches Rasmalai ที่ผสานความนุ่มของเค้ก Tres Leches เข้ากับความหอมของหญ้าฝรั่น และ Mango Gold Makhan Malai ขนมครีมฟูเบารสนุ่ม ตกแต่งด้วยทองคำ นอกจากนี้ยังมี Kulfi Sticks ไอศกรีมแท่งแบบดั้งเดิมจากอินเดีย ให้สัมผัสละลายช้าและรสเข้มข้น มาช่วยเติมเต็มความหลากหลายของเมนูของหวาน แฟนอาหารอินเดียได้ลองรับรองต้องติดใจ

มยุรี ข้าวตังทรงเครื่อง สืบสานตำนานของกินเล่นของไทยที่อร่อยถูกใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่มากว่า 5 ทศวรรษ จากรุ่นคุณยาย บัดนี้ได้เวลาส่งไม้ต่อสู่ทายาทรุ่น 3 คุณพิน-ชัญชกร ชัยพรหมประสิทธิ์ และคุณพาย – ภัทริศ  ชัยพรหมประสิทธิ์ ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัลด้วยการรีแบรนด์และขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ จาก “ข้าวตังทรงเครื่อง” ข้าวตังชื่อดังในตำนานย่านเอกมัย สู่ “มยุรี ข้าวตังทรงเครื่อง” โดยได้ชื่อเพราะๆ ของคุณแม่ของคุณพิน ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่สอง มาการันตีความอร่อยตำรับดั้งเดิมแท้ๆ ภายใต้แพ็คเกจรูปแบบใหม่ทันสมัยและโลโก้แบรนด์ที่มีความวินเทจและจดจำง่าย ซึ่งเป็นรูปวาดคุณยายสมสมรผู้ก่อตั้งนั่นเอง ต้นกำเนิดของข้าวตังทรงเครื่องสูตรนี้มาจากความรักที่ คุณยายสมสมร คูสกุล ต้องการทำของว่างแบบไทยให้ลูกๆ นำติดตัวไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ โดยตั้งใจให้เป็นของอร่อย อิ่มท้อง และไม่ต้องใส่สารกันบูด จะกินเวลาไหนก็สะดวก จึงได้นำข้าวเกรียบข้าวหอมมะลิและหมูหยองมาผัดรวมกันเป็นข้าวตังที่กรอบ หอม อร่อยกลมกล่อม ถูกปากทั้งสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนฝูงที่แจกจ่ายให้ จนเริ่มทำขายอย่างจริงจัง มยุรี ข้าวตังทรงเครื่อง คงสูตรความอร่อยแบบโบราณแท้ๆ ไม่มีเปลี่ยนแปลง เราจึงมั่นใจได้ว่าจะได้ลิ้มรสชาติแบบต้นตำรับ ด้านกระบวนการปรุงก็คัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดอย่างข้าวหอมมะลิแท้พันธุ์พิเศษ ที่ให้เนื้อสัมผัสและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์มาผลิตแผ่นข้าวตัง คัดสรรหมูหยองมาจากแหล่งผลิตคุณภาพดี ปรุงรสด้วยพริกไทย เกลือ น้ำตาล ทำให้ได้รสชาติหวานเค็ม และผัดด้วยกระทะเตาถ่านแบบดั้งเดิม ทำให้ข้าวตังทรงเครื่องมีกลิ่นหอมกระทะ อันเป็นเอกลักษณ์ของสูตรดั้งเดิมที่มีมานานกว่า 50 ปี เหมาะสำหรับกินเล่นเพลินๆ หรือซื้อเป็นของฝากได้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ วางจำหน่ายที่ร้านมยุรี ข้าวตังทรงเครื่อง ที่ซอยสุขุมวิท 51 รวมถึง Gourmet Market (สาขาพารากอน, เอ็มควอเทียร์, เอ็มโพเรียม, ท่าพระ, บางกะปิ งามวงศ์วาน และบางแค) และริมปิงซุปเปอร์เชียงใหม่ หรือซื้อผ่าน Line Official @kaotang_songkrueng

ชวนนักชิมทั้งหลายมาเช็คอิน “Level 50 by SEE FAH” รูฟท็อฟสุดปังบนชั้น 50 ของโรงแรมใหม่แกะกล่อง Grande Centre Point Lumphini ที่เรียกว่าเป็นสวรรค์ของฟู้ดดี้ย่านลุมพินีโดยแท้ เพราะนำทีมความอร่อยโดย ‘สีฟ้า’ แบรนด์อาหารไทยรสชาติดีที่อยู่คู่มานานกว่า 89 ปี พร้อมเสิร์ฟอาหารคอมฟอร์ดฟู้ดนานาชาติ ที่มีทั้งอาหารไทยรสจัดจ้านพอเหมาะตำรับสีฟ้า และจานอร่อยอิตาเลียนอย่าง พาสต้าเส้นสดที่ใครกินต่างก็ติดใจ เคล้าไปกับบรรยากาศแสนสบายด้วยตัวร้านที่กว้างขวาง ผสมผสานกับการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นปะปนไปกับความอบอุ่น ทั้งกระเบื้องหินอ่อนสีขาวและดำ โซฟาสีครีมหนานุ่มนั่งสบาย บวกกับผนังกระจกใสแผ่นใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่สาดส่องแสงธรรมชาติและโชว์วิวเมืองอลังการ ซึ่งไม่ว่าคุณจะเลือกนั่งโซนภายในร้าน หรือบริเวณเทอร์เรซก็เห็นขอบฟ้าตรึงใจได้เช่นกัน  จานแรกเราขอลอง เบอร์เกอร์เลเวลฟิฟตี้ หนึ่งจานอร่อยซิกเนเจอร์ประจำห้องอาหาร ขนมปังบันโฮมเมดนุ่มฟู สอดไส้เนื้อวากิวชิ้นใหญ่ฉ่ำๆ ไข่ดาว เบคอน เพิ่มความชีสครีมมีด้วยชีสเบิร์นไฟ เสิร์ฟเคียงมันฝรั่งเนื้อแน่น และสลัดผักกรุบกรอบ คนรักเส้นเลิฟ ปัปปาร์เดลเลซอสเนื้อรากู ปัปปาร์เดลเลโฮมเมดเส้นนุ่มพอเหมาะ คลุกเคล้ากับซอสเนื้อรากูรสเข้มข้นที่ทำจากเนื้อวากิวอย่างดี ตุ๋นพร้อมไวน์แดงและเครื่องเทศนานาพันธุ์ หันไปเอาใจคนรักอาหารไทยกันบ้างขอเริ่มด้วย ข้าวหน้าไก่ ที่ได้รสกลมกล่อมจากซอสสูตรลับรสหวานพอเหมาะ เพิ่มความอิ่มเอมอีกแรงด้วยไข่ดาวเยิ้มๆ อีกหนึ่งจานที่ขายดีต้องยกให้ ข้าวผัดปู โดดเด่นด้วปูเนื้อก้อนรสหวานจากดินแดนใต้ มิ๊กซ์กับกลิ่นกระทะเย้ายวนใจ ก่อนกินบีบมะนาวซีและพริกน้ำปลาเล็กน้อย ไม่สั่งไม่ได้จริงๆ กับ แกงเผ็ดเป็ดย่าง เป็ดย่างเนื้อแน่นชิ้นโต หอมกลิ่นเตาถ่านอ่อนๆ อยู่ในน้ำแกงรสเผ็ดร้อนแรง ได้รสหวานละมุนขององุ่นแดง และมะเขือเทศ กุ้งผัดพริกขี้หนู เมนูที่กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเพราะได้สัมผัสเด้งๆ จากกุ้งชั้นดี ผัดพร้อมกระเทียมและพริกขี้หนูสวนสุดแซ่บ เติมข้าวเท่าไหร่ก็ไม่พอ ปิดจบด้วย ข้าวเหนียวมะม่วง ของหวานสไตล์ไทยที่ให้คุณฟินไปกับมะม่วงน้ำดอกไม้รสหวานฉ่ำ เข้าคู่ข้าวเหนียวมูนเนื้อแน่น ตัดด้วยรสเค็มมันจากกะทิ จิบคู่ท็อกเทลสีสสวยอย่าง มะม่วงสมุย รสหอมหวานที่ทำมาจากน้ำมะม่วงสุกและน้ำมะพร้าว หรือใครชอบความซาบซ่าเราชี้เป้า สตรอว์เบอร์รี เวอร์จิ้น โมฮิโตะ รสหวานอมเปรี้ยวสดชื่นถึงใจ วิวดี อาหารก็โดน

เป็นโรงแรมเปิดใหม่ที่เปิดตัวได้อย่างดีงามจริงๆ นี่เรากำลังพูดถึง Grande Centre Point Lumphini โรงแรมสุดหรูหราย่านลุมพินี ที่ครั้งนี้มาเอาใจคนรักของหวานโดยเฉพาะกับ “Bloom and Brew Afternoon Tea” ชุดน้ำชายามบ่ายไซส์มินิน่ารัก ที่พร้อมให้คุณลิ้มลองอาหารคาว – หวานโฮมเมดต่างๆ จิบคู่กับชาดอกไม้ซิกเนเจอร์เข้ากันสุดๆ มีให้เลือกทั้งชุดเล็กสำหรับ 1 คน 450 บาท และชุดใหญ่สำหรับ 2 คน ที่เราเลือก มาในราคา 990 บาท คำแรกเป็น สโมกแซลมอนครีมชีส ได้รสเค็มได้ที่ของแซลมอนรมควัน เข้าคู่กับครีมชีสรสหอมมัน และเปรี้ยวนิดๆ ตามด้วย ทาร์ตราตาตูย สตูว์ผักสไตล์ฝรั่งเศสรสกลมกล่อม กินพร้อมแป้งทาร์ตหอมกรุ่นกลิ่นเนย จากนั้นเริ่มของหวานกันเลย ชีสเค้กมะม่วงเสารส ได้รสเปรี้ยวอมหวานของเสาวรสและมะม่วงสุกฉ่ำๆ ต่อกับ ชีสมูสลำไย รสหวานละมุนของลำไย ไปด้วยกันได้ดีกับชีสมูสเนื้อนุ่ม ชูซ์ครีมกุหลาบลิ้นจี่ แป้งชูซ์โฮมเมดกรอบนอกนุ่มใน ผสานกับเจลลี่ชากุหลาบลิ้นจี่รสหอมหวาน คนรักช็อกโกแลตต้องนี่เลย ช็อกโกแล็ตพาลีน รสเข้มข้นที่ได้จากช็อกโกแลตชั้นดีของประเทศเบลเยี่ยม น่ากินจริงๆ สำหรับ เค้กชาร์ลอตต์สตรอว์เบอร์รี เค้กสไตล์ฝรั่งเศสที่ให้สัมผัสกรุบกรอบของขนมเลดี้ฟิงเกอร์ ซุกซ่อนด้วยเนื้อเค้กนุ่มๆ สลับชั้นกับครีมสดและสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน ขาดไม่ได้กับ สคอน โฮมเมดเนื้อนุ่มแน่น กินคู่แยมเบอร์นี่และคล็อตครีม ส่วนชาเราเลือกเป็น ชาอัญชัน สีสวยดื่มง่าย และชาดอกไม้ ที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นของมะลิและกุหลาบ   ฮีลใจสายหวานได้เป็นอย่างดี

Tag:

เป็นหนึ่งในร้านอาหารไทยรสเลิศที่มองข้ามไม่ได้จริงๆ สำหรับ “Mariga Bangkok” ร้านอาหารไทย 4 ภาคที่ตั้งอยู่ใน Samala Hotel Bangkok สุขุมวิท 15 คำว่า Mariga (มาริกา) นั้นหมายถึง ‘ดอกดาวเรือง’ ดอกไม้มงคลคู่บ้านคู่เมืองของคนไทย ถูกเลือกนำมาเป็นชื่อร้านเพื่อสื่อถึงเมนูที่ปรุงด้วยใจตามตำรับโบราณไทย ซึ่งเป็นผลงานของทีมเชฟรุ่นใหม่ที่นำโดยเชฟขิง – อลงกต Executive Chef ที่รักการทำอาหารมาตั้งแต่เยาว์วัย มาเช็คอินที่มาริกาคุณจะได้ชิมอาหารไทยโฮมคุกหน้าตาดี ที่ปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่นของดีของไทยตามฤดูกาล ในบรรยากาศหรูหราที่แฝงไปด้วยความสบาย ตัวร้านตกแต่งสไตล์โมเดิร์นด้วยหินอ่อนสีดำขลับ เหมาะเจาะกับผนังไม้กับเฟอร์นิเจอร์หวาย ยังมีโต๊ะหินอ่อนสีขาวที่ตัดด้วยสีน้ำเงินเข้มน้ำทะเลของโซฟาหนานุ่ม ด้านหน้าเป็นโซนเทอร์เรสเหมาะไว้นั่งชิลจิบค็อกเทลกรุบกริบ มองดูผู้คนที่เดินขวักไขว่เพลินๆ ตา เรียกน้ำย่อยด้วย แสร้งว่ากุ้ง เมนูทรงโปรดของรัชกาลที่ 5 ฐานล่างเป็นกลีบบัวสีชมพูแสนสวย ท็อปเครื่องเคราต่างๆ อย่าง กุ้งเนื้อเด้ง หอมแดง ขิงอ่อน ใบมะกรูดที่คลุกเคล้ากับน้ำยำรสเปรี้ยวเผ็ดจี๊ดจ๊าด ต่อด้วย ลาบคั่วหมู ได้รสนัวของเลือดหมูผสมกับมะแขว่น สมุนไพรหอมฟุ้งประจำภาคเหนือ เสริมรสเผ็ดร้อนแรงด้วยพริกทอด กินกับข้าวเกรียบโฮมเมดกรุบกรอบ น่ากินสุดๆ กับ ต้มยำกุ้ง กุ้งแม่น้ำตัวโตจากจังหวัดสมุทรสงคราม ย่างเตาถ่านจนหอม เนื้อนุ่มฉ่ำใน เข้ากันดีกับน้ำซุปต้มยำรสเปรี้ยวเผ็ด จานหลักต้องนี่เลย แกงคั่วปูนิ่มและข้าวผัดมันปู ข้าวผัดมันปูรสครีมมีกินเพลิน เสิร์ฟเคียงปูนิ่มตัวอวบไม่อมน้ำมัน ตัดเลี่ยนด้วยแกงคัวปูรสจัดจ้านพอเหมาะ ที่อัดแน่นไปด้วยปูเนื้อหวานจากภาคใต้ หลายคนชอบ ผัดไทยกุ้งแม่น้ำ เส้นจันท์เหนียวนุ่ม หอมกลิ่นกระทะละมุน ได้รสเปรี้ยวนุ่มนวลของน้ำมะขามเปียก เสิร์ฟพร้อมกุ้งแม่น้ำตัวโตย่างร้อนๆ และน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด ล้างปากด้วยของหวานชื่นใจ มะม่วงฉุน เปลี่ยนจากส้มมาเป็นมะม่วงก็เข้าท่าดีเหมือนกัน มะม่วงน้ำดอกไม้รสหวานฉ่ำ มิ๊กซ์กับองุ่นไซมัสคัสลูกโต ลิ้นจี่ และขิง ก่อนกินเติมน้ำเชื่อมผสมส้มซ่า และน้ำแข็งลงไป ยังมี สละลอยแก้ว สละลูกอวบๆ รสหวานอมเปรี้ยว กินกับน้ำเชื่อมใส่น้ำแข็งคลายร้อย ขนมหวานตัวสุดท้ายเป็น กรานิต้าแตงโมปลาแห้ง ไอศกรีมสไตล์อิตาเลียนรสแตงโมหวาน โรยหน้าด้วยปลาแห้งสิงห์บุรีหอมกรุ่น จิบคู่ Mariga Virgin ม็อกเทลซิกเนเจอร์ประจำร้านที่ประกอบด้วยลิ้นจี่ เสาวรส น้ำมะนาวและใบมินต์หรือจะเป็นค็อกเทลสีสวย Purple Haze ที่ได้รสร้อนแรงจากเหล้าจินและเตกีล่า มิ๊กซ์กับลิ่นจี่ มะนาวและน้ำอัญชัน เป็นอีกหนึ่งร้านอร่อยที่ต้องจดลิสต์ไว้เลย

บ้านนอกเข้ากรุง ร้านอาหารไทยในเครือนาราดีกรีมิชลินไกด์ที่ได้พาร์ตเนอร์มืออาชีพอย่าง คุณจอม - ภูมิพันธ์ เอี่ยมปรเมศวร์ อดีตเฮดบัตเลอร์โรงแรมห้าดาวในนิวยอร์กเป็นผู้ดูแลและถ่ายทอดเรื่องราวความอร่อย โดยนำสูตรอาหารโบราณตำรับบ้านสีจาน ซึ่งถ่ายทอดจากคุณยายสู่คุณแม่ กระทั่งถึงคุณจอม ปรุงออกมาเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของบ้านนอกเข้ากรุง ที่ใครได้ชิมต่างพากันติดใจ คุณจอมเล่าว่าได้เรียนรู้รสชาติความอร่อยฝีมือคุณแม่มาตั้งแต่เด็ก เพราะแม่จะห่อข้าวให้ไปกินที่โรงเรียน ซึ่งปรากฎว่าเพื่อนๆ มารุมกินจนแม่ต้องห่อไปฝากเพื่อนด้วย เมื่อโตขึ้นไปทำงานที่นิวยอร์กก็นำรสชาติอาหารฝีมือแม่ติดตัวไป มีโอกาสปรุงให้เพื่อนต่างชาติกิน บวกกับการที่ตนเองได้กินอาหารที่ดีที่สุดจากทั่วโลกทำให้รู้ว่าความอร่อยของแต่ละชาติเป็นอย่างไร ซึ่งรสชาติความอร่อยของแม่ก็เป็นสากลด้วย บ้านนอกเข้ากรุง มีที่มาจากเรื่องราวของครอบครัวเอี่ยมปรเมศวร์ ซึ่งคุณแม่เป็นสาวโคราชมาเรียนการบ้านการเรือนในเมืองหลวง ก็นำสูตรอาหารทั้งหมดแล้วมาเรียนความเป็นกุลสตรี โดยอาศัยอยู่กับคุณลุงซึ่งเป็นคหบดีค้าข้าวกึ่งนักการเมือง พบรักกับคุณพ่อที่เป็นครอบครัวทหาร เมื่อเข้ามาอยู่ในบ้านพักทหารอากาศที่มีครอบครัวบ้านนอก 140 ครอบครัว แต่ละครอบครัวต่างถือชะลอมขึ้นรถไฟนำของดีของอร่อยที่สุดมาฝากคนที่รัก คุณแม่จึงมีแหล่งวัตถุดิบอร่อยจากทั่วทุกภูมิภาค อาทิ ปลาช่อนบ้านน้าอำนวยจากสระบุรี กะปิจากคุณสำเริง ระนอง ฯลฯ บวกกับคุณแม่มีพรสวรรค์ในการรับรสที่ดี รสชาติอาหารจึงกลมกล่อม ขณะที่คุณพ่อมักจะมีเพื่อนต่างชาติมาทานข้าวที่บ้าน และสังสรรค์กันทุกเย็น บ้านคุณจอมจึงกลายเป็นคอมมูนิตี้ย่อมๆ ที่รวมตัวกันของคุณผู้ชายแต่ละบ้าน จนคุณแม่บ้านหลายคนต้องมาขอเรียนเคล็ดลับจากคุณแม่เพื่อปรุงอาหารให้คุณสามีรับประทาน จุดนี้เองที่ทำให้อาหารรสชาติโคราชได้จับคู่กับวัตถุดิบอร่อยทั่วภูมิภาคจาก “บ้านนอก” คุณจอมได้หลอมรวมความสุขจากอาหารของคุณแม่เข้ากับความเป็นสากลที่เคยไปสัมผัสเมื่อครั้งเป็นบัตเลอร์ในนิวยอร์กมาใส่ไว้ในร้านบ้านนอกเข้ากรุงแห่งนี้ “ด้วยการนำเสนอของดีที่สุดมาให้กับคนที่รักซึ่งก็คือลูกค้า จอมตั้งใจทำร้านให้เป็นเหมือนบ้าน เป็นการจำลองบรรยากาศความสุขทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบ้าน และนำวิชาการโรงแรมทั้งหมดที่เคยดูแลคนระดับโลกมาใส่ไว้ที่นี่ พร้อมกับจะได้รับประทานอาหารซึ่งเป็นรสชาติของคุณแม่ด้วย ซึ่งทั้งหมดคือการเฉลิมฉลองความสุขในชีวิตของเรา” คุณจอมเล่าด้วยสีหน้าเปี่ยมรอยยิ้มแห่งความสุข “อาหารในร้านก็เป็นเมนูที่กินกันจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นอาหารโคราช อย่างเมนูหมี่โคราชที่มีขายกันทุกภูมิภาค แต่ไม่มีใครรู้รสชาติที่แท้จริง ซึ่งของจริงต้องมีพริกแกงที่ใช้พริกแห้งโขลกกับหอม กระเทียม เริ่มจากผัดหมูสามชั้นกับน้ำมัน ใส่พริกแกง น้ำตาลปี๊บ เต้าเจี้ยว ผัดจนเป็นสีเหลืองทอง แล้วจึงใส่เส้นหมี่แห้งๆ ลงไปในน้ำซอสจนเส้นดูดน้ำซอสแบบฉ่ำๆ ซึ่งที่นี่จะมีหมี่โคราชกุ้งแม่น้ำ และหมี่โคราชหมูกรอบ” ได้ลิ้มลองหมี่โคราชสูตรต้นตำรับขนานแท้แล้วบอกเลยว่าอร่อยถูกใจ    หากอยากชิมหลายอย่างในหนึ่งจานต้องลอง ออร์เดิร์ฟบ้านนอก ในเซ็ตมีทั้งไส้กรอก ปอเปี๊ยะโคราชซึ่งใช้น้ำซอสของหมี่โคราชมาผัดไส้ และปีกไก่ทอดเสิร์ฟกับกะปิจิ้มและปลาร้าบองที่ใช้ปลาร้าสับปรุงรสซึ่งสูตรของแต่ละบ้านก็ให้รสชาติที่แตกต่างกัน หรือจะลิ้มรสเมนูซดน้ำอย่าง แกงเลียงขามทะเลสอ ก็ให้รสนัวกลมกล่อม พลาดไม่ได้สำหรับสายส้มตำ แนะนำตำหลวงพระบางสูตรแอร์โฮสเตส ซึ่งเป็นสูตรเด็ดของพี่สาวคุณจอม เส้นแบนกรอบที่เป็นเอกลักษณ์ปรุงรสได้แซบนัวเข้มข้นถูกใจ และเป็นอีกจานที่ทุกโต๊ะต้องสั่ง ใครเคยชื่นชอบรสชาติของตำโคราช แนะนำว่าต้องลองสูตรของบ้านนอกเข้ากรุง ปรุงได้จัดจ้านไม่ผิดหวัง ชวนชิมเมนูหน้าตาบ้านๆ แต่รสชาติไม่ธรรมดาอย่าง ผัดฟักทองทรงเครื่อง กลิ่นหอมยวนใจได้รสหวานธรรมชาติของฟักทองผสานเข้ากับน้ำซอสที่มีเครื่องเคราอย่างกุ้งแห้งโขลกกับกระเทียมพริกไทย น้ำตาลปี๊บ ไข่ไก่ ท็อปด้วยกรรเชียงปูก้อนโต ได้กลิ่นหอมของใบโหระพาโชยเตะจมูก พะโล้ยายสำเรียง ก็เป็นอีกจานที่ไม่ควรพลาด ทั้งหมูสามชั้นที่ตุ๋นจนนุ่มเข้าเนื้อและไข่พะโล้สีเข้มน่ากิน  ยังมีเมนูหากินยากอย่าง ต้มสายบัวปลาทูนึ่ง สายบัวนุ่มชุ่มน้ำกะทิเข้าเนื้อ ปลาทูเนื้อแน่นนุ่มอร่อย เมนูผัดแนะนำ ผัดวุ้นเส้นแหนมกระเทียมดองใส่ไข่ จานนี้ติดใจกระเทียมดองคุณภาพดี รสชาติกลมกล่อมกรอบอร่อย เมนูน้ำพริก แนะนำน้ำพริกขี้กาที่ตำเนื้อปลาทูผสม กินพร้อมผักลวกหลากชนิดและไข่ต้มยางมะตูมช่วยลดความเผ็ด ยังมีขนมจีนน้ำพริกบ้านระงม และขนมจีนบ้านสีจาน เป็น 2 เมนูหากินยากที่อยากให้ลิ้มลอง รวมทั้งข้าวแช่นอกฤดู ที่เสิร์ฟเป็นสำรับสวยงามชวนกิน น้ำปรุงข้าวแช่กลิ่นหอมเย็นสดชื่น ข้าวสวยหุงได้เม็ด กินพร้อมเครื่องเคียงครบครัน อาทิ ลูกกะปิ หอมยัดไส้ทอด พริกหยวกร่างแห หมูฝอย และพิเศษด้วยทอดมันเนื้อแน่นสูตรของร้านและแตงโมปลาแห้งเนื้อฉ่ำหวานกรอบ ปิดมื้อด้วยของหวานรสอร่อยทุกรายการ อาทิ มะม่วงน้ำปลาหวานบ้านสีจานกับกรานิต้ามะม่วง รสสดชื่นของกรานิต้ามะม่วงผสานน้ำปลาหวานรสเข้มข้น ได้ความแปลกใหม่ที่อร่อยลงตัว ไอศกรีมทำสด รสเกลือคาราเมล หรือ ไอศกรีมทำสด รสกล้วยบวชชี ก็รสชาติดีไม่น้อยหน้ากัน ได้รสกลมกล่อมติดใจทั้งสองเมนู บวชถั่วดำกับหวานเย็นมะพร้าว ถั่วดำน้ำกะทิรสหวานน้อยตักกินพร้อมไอศกรีมมะพร้าวเพิ่มความฟินไปอีกแบบ กล้วยน้ำว้าเชื่อมน้ำตาลคาราเมล เนื้อกล้วยเชื่อมจนเข้าเนื้อได้ความหนึบและหอมน้ำตาลคาราเมล มีครีมกะทิสดเคียงมาให้กินพร้อมกัน อย่าลืมสั่งวุ้นกาแฟโบราณแสนอร่อยมาจบมื้อสวยให้ฟินและอิ่มแปร้ คิดถึงความอร่อยตำรับโคราชต้องแวะมาที่บ้านนอกเข้ากรุง ชั้น 2 อาคาร Vivre