ถ้าพูดถึงอาหารประจำชาติที่มีรสชาติโดดเด่นชวนลิ้มลองแล้วล่ะก็ เชื่อว่าอาหารอินเดียต้องติด Top 10 อย่างแน่นอน ไม่เพียงรสชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแต่ยังเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพราะอาหารอินเดียส่วนใหญ่เน้นผัก สมุนไพร รวมถึงเครื่องเทศที่ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกาย     หากคุณกำลังมองหาร้านอาหารอินเดียที่ปรุงแบบต้นตำรับ ขอแนะนำ บาวาร์ชิ ชิดลม ร้านอาหารอินเดียที่โดดเด่นทั้งรสชาติและบรรยากาศที่ตกแต่งอย่างหรูหรามีระดับ ทางร้านนำเสนออาหารอินเดียตอนเหนือที่ถือว่าเป็นอาหารเก่าแก่ที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง จากฝีมือการปรุงโดยเชฟรานา เชฟใหญ่ประจำห้องอาหารที่ตีโจทย์ให้ออกนอกกรอบเดิมๆ ด้วยการผสมผสานวัตถุดิบหลากหลายชนิดร่วมกับการปรุงแบบดั้งเดิม สร้างสรรค์เป็นเมนูรสเลิศที่ยังคงอบอวลด้วยกลิ่นหอมของเครื่องเทศชั้นดี       เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกับ Papadum ข้าวเกรียบอินเดียเสิร์ฟพร้อมซอสชัทนีย์ 4 รสชาติ ได้แก่ ซาวร์ครีม บีทรูท มะม่วง และสับปะรด แค่ออเดิร์ฟก็ทำเอาเหล่านักชิมตื่นเต้นไปกับความหลากหลายของรสชาติแล้ว     Bhel Puri เมนูของว่างที่ประกอบไปด้วย ข้าวพอง ผักรวม และซอสมะขามเปรี้ยวปรุงรส เคี้ยวกรุบกรอบกลมกล่อมในคำเดียว     Tandoori Prawn กุ้งแม่น้ำคลุกเคล้ากับมัสตาร์ดและคาราเวย์ ย่างในเตาทันดูร์ซึ่งเป็นเตาแบบโบราณที่ช่วยชูรสชาติและกลิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสิร์ฟพร้อมซอสชัทนีย์สูตรพริกขี้หนูและสับปะรด      Malabar Machi แกงเผ็ดปลาสูตรดั้งเดิมรัฐเกรละ เข้มข้นด้วยรสชาติและกลิ่นหอมของหัวกะทิ เครื่องแกง และเม็ดมะม่วงหิมพานต์บดที่แทรกซึมอยู่ในเนื้อปลาชั้นดี เสิร์ฟพร้อมข้าวปรุงหญ้าฝรั่นสีเหลืองนวลชวนลิ้มลอง      สำหรับเมนูที่คนไทยค่อนข้างคุ้นเคย ได้แก่ Olive Naan แป้งนานรสมะกอก และ Missi Roti โรตีต้นตำรับ ที่ต้องสั่งมากินคู่กับแกงสูตรต้นตำรับที่มีให้เลือกหลายเมนู อาทิ Daal Makhani ปรุงจากส่วนผสมของถั่วเลนทิลดำและมะเขือเทศ เคี่ยวบนเตาถ่านข้ามคืนจนเข้มข้นและเนียนนุ่มลิ้น Achari Gobhi Mutter แกงดอกกะหล่ำใส่เครื่องเทศดองรสเปรี้ยวกับมะม่วง พริกขี้หนู และขมิ้น       สายมังสวิรัติก็มีทางเลือกที่อร่อยไม่แพ้กันได้แก่ Shahi Malai Kofta เกี๊ยวไส้ชี้สสไตล์โฮมเมดชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟกับน้ำเกรวี่มะเขือเทศและหอมหัวใหญ่รสชาติเข้มข้น สั่งเลยไม่ผิดหวังเพราะละมุนลิ้นและครีมมี่แบบสุดๆ      ช่วงเย็นทางร้านยังมีดนตรีสดแบบพื้นเมืองมาคอยขับกล่อมเพิ่มความเพลิดเพลิน หากยังไม่รีบไปไหนลองสั่งเครื่องดื่มอย่าง Tarined Margrita หรือ Chai Martini ก็ยิ่งเสริมรสชาติให้มื้อนี้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น    

จะว่าไปหากเราอยากดูหิ่งห้อยสักครั้ง อาจต้องเดินทางไปนอกเมืองเพื่อมองหาระบบนิเวศที่สมบูรณ์ซึ่งล้อมรอบด้วยน้ำใสสะอาดและต้นลำพูน้อยใหญ่ แต่ต่อจากนี้เราไม่ต้องไม่ไหนไกล ก็สามารถดูหิ่งห้อยได้ใจกลางเมืองแล้วนะ (ตื่นเต้นจัง)     ไอเดียของวังหิ่งห้อยเกิดจากคุณเก่ง เจ้าของร้านต้องการทำร้านอาหารที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคน เรียกว่าเป็นจุดพักเพื่อเริ่มต้นสิ่งใหม่อย่างความคิดเจ๋งๆ ที่มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เราอยู่ท่ามกลางความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ซึ่งมองหาได้จากที่นี่ตั้งแต่ก้าวแรกผ่านเข้าร้าน เริ่มจากบรรยากาศสงบใจที่ส่งผ่านเสียงเพลงฟังสบายและแสงไฟสีส้มริบหรี่ชวนเบาอารมณ์     ต่อด้วยสวนสีเขียวขนาดย่อมกลางร้าน อาร์ตแกลลอรีในธีมต่างๆ กระทั่งสวนหิ่งห้อยที่เราพลาดไม่ได้ เรื่อยมาจนถึงอาหารสไตล์ไทยอินสปายเรชัน ชูคอนเซ็ปต์จากธรรมชาติ “ธาตุแห่งชีวิต” (ดิน น้ำ ลม ไฟ) ซึ่งจะหมุนเวียนไปทุก 4 เดือน โดยได้ทีมเชฟมืออาชีพมาช่วยคิดเมนูผ่านจินตนาการถึงหิ่งห้อยในแบบของตัวเอง แถมยังเลือกใช้วัตถุดิบออร์แกนิคเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย       เริ่มต้น 4 เดือนแรกด้วยอาหารธาตุดิน อย่าง หมูสะเต๊ะ เมนูที่เราคุ้นชินแต่จับมาแต่งตัวใหม่ให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ที่นี่ ไฮไลต์อยู่ที่ซี่โครงหมู (เปรียบเหมือนขอนไม้) เนื้อนุ่มชุ่มลิ้น ซูวีดพร้อมเครื่องเทศนานาชนิดนาน 28 ชั่วโมง ได้กลิ่นหอมๆ พ่วงความอร่อยจากซอสน้ำจิ้มถั่วลิสงรสหวานมัน แตงกวาแช่อิ่มกับน้ำอาจาด พร้อมแต่งจานด้วยผักไมโคกรีนปลูกเอง ทับทิมสีแดงที่สื่อถึงหิ่งห้อย และถั่วพิสตาชิโอสีเขียวเหมือนต้นหญ้าที่งดงาม     อีกจานที่พลาดไม่ได้คือ ต้มยำกุ้ง นำเสนอความเป็นธาตุดินผ่านน้ำต้มยำสีสวย รสนวลเนียนเผ็ดหอม ซึ่งได้จากการเคี่ยวสมุนไพรที่เติบโตจากดินอย่างข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ใส่เปลือกกุ้ง หอย และปูลงไป เสิร์ฟพร้อมกุ้งลายเสือเนื้อเด้งหวาน โฟมกะทิ และเห็ดจิ๋ว     ส่วนอีกเมนูที่สวยงามไม่แพ้กันคือ ยำส้มโอ ส้มโอหวานกรอบเข้ากันกับบลูเบอร์รีและสตรอว์เบอร์รีญี่ปุ่นกลิ่นหอม ราดน้ำยำสูตรโบราณที่มีส่วนผสมของกะทิและน้ำพริกเผา โรยหอมเจียวกับมะพร้าวคั่วนิดหน่อยแล้วอร่อยลงตัว จากนั้นมี ซอร์เบต์ ผลไม้สดที่เชฟจะเปลี่ยนเมนูไปทุกอาทิตย์ให้เรากินเพื่อปรับลิ้นก่อนเริ่มเมนูอิ่มท้องอย่าง แกงเผ็ดเป็ดย่าง สะโพกเป็ดกงฟีหนังกรอบเนื้อนุ่มแน่น ราดซอสแกงเผ็ดที่มีส่วนผสมของผลไม้อย่างสับปะรด ลิ้นจี่ และองุ่น เสิร์ฟพร้อมมะเขือเทศซูวีด และสับปะรดกับองุ่นแช่อิ่มกินแล้วสดชื่น         ก่อนปิดท้ายด้วย ขนมเปียกปูน นุ่มนิ่มสีดำได้จากกากมะพร้าวเผาแล้วเคลือบไวต์ช็อกโกแลต วางบนแยมส้มโอที่โรยทับด้วยครัมเบิ้ลและงาดำเปรียบเสมือนดินที่เต็มไปด้วยเบอร์รีรสเปรี้ยว มีหิ่งห้อยสีเงินจากเกล็ดน้ำตาลกำลังบินไปหาความอุดมสมบูรณ์     เมื่ออาหารเสิร์ฟครบทั้ง 4 ธาตุแล้ว จะเสิร์ฟอาหารคอนเซ็ปต์ “บทสรุปแห่งชีวิต” ในช่วงกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม 2019 ก่อนการปิดตัวของร้านที่ตั้งใจจะทำเพียง 18 เดือนเท่านั้นตามวงจรชีวิตของหิ่งห้อย

มองจากผนังกระจกและโลโก้ร้านภาษาจีนสีแดงภายนอกอาจดูลึกลับเหมือนอยู่ในหนังฮ่องกง แต่ด้านในของ 26 หรือ ยี่สับหลกคือ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อร้านใหม่ของคุณตี๋ - นภัทร เลิศเสาวภาคย์ ทายาทร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อนายโส่ยแห่งถนนพระอาทิตย์ และคุณพึ่ง-ณัฐพร เทพรัตน์ หุ้นส่วนคนสนิทที่ตั้งใจนำ “มรดกความอร่อย” ของธุรกิจครอบครัวมาผสมผสานกับอาหารฝีมือแม่ที่อยู่ในความทรงจำสมัยเด็กจนกลายเป็นเมนูกินง่าย แต่อร่อยและสนุกในแบบของตัวเอง     มรดกจากนายโส่ยที่เป็นหัวใจสำคัญของยี่สับหลกอยู่ที่รสชาติกลมกล่อมของน้ำซุปและวัตถุดิบหลักอย่างเนื้อตุ๋น โดยเฉพาะเนื้อโกเบหรือเนื้อซี่โครงส่วนหน้าที่นุ่มและหอมกว่าส่วนอื่น เมื่อนำมาประยุกต์กับเมนูสูตรเด็ดของคุณแม่คุณตี๋ก็เกิดเป็นเมนูใหม่กินง่ายสมชื่อร้านที่มาจากเลขวันเกิดของคุณตี๋ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า “หุง ต้ม ง่าย” ในภาษาจีนกวางตุ้ง แถมยังสอดคล้องกับการตกแต่งร้านสุดเท่ด้วยผนังปูนสีเขียว พื้นหินขัด ลูกกรง และไฟนีออนสีแดงที่ได้แรงบันดาลใจจากฮ่องกงซึ่งเป็นสถานที่ที่เจ้าของร้านทั้งสองคุ้นเคย       เมนูไฮไลต์ของที่นี่ต้องเป็นชุดหม้อไฟเนื้อที่มาพร้อมเนื้อสันใน เนื้อตุ๋น ลูกชิ้น และผักบุ้ง ทีเด็ดอยู่ที่น้ำซุปสูตรนายโส่ยที่ปรับลดความเค็มและเข้มข้นลง เพื่อให้เหมาะกับการต้มเป็นเวลานาน แต่ยังคงความกลมกล่อมหอมนัว ได้รสชาติของเนื้อกำลังดี อร่อยแบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม (หรือจะกินกับพริกน้ำส้มก็ได้รสชาติไปอีกแบบ) และข้าวซี่โครงโกเบอบหม้อดิน เมนูซิกเนเจอร์จานโปรดของคุณตี๋ที่คุณแม่ทำให้กินตั้งแต่เล็ก ข้าวอบหอมกระเทียมและรากผักชี วางเนื้อโกเบตุ๋นนุ่มๆ ด้านบน เคียงด้วยผักคะน้าฮ่องกงลวก กินกับน้ำจิ้มพริกเผาสูตรเด็ดบีบมะนาวยิ่งอร่อยลงตัว         ส่วนใครอยากเพิ่มความแซ่บ ยำเนื้อรวมที่มีทั้งเนื้อกรอบ เนื้อสันใน เนื้อตุ๋น และผ้าขี้ริ้ว รสเปรี้ยวเผ็ดจัดจ้าน หอมมะนาว กินแล้วสดชื่นตอบโจทย์สุดๆ แต่ถ้าเริ่มอยากตัดรสชาติหนักๆ ของเนื้อ ลองสั่งคะน้าน้ำมันหอยที่เปลี่ยนจากราดน้ำมันหอยแบบฮ่องกงเป็นการลวกแล้วราดด้วยซอสสูตรพิเศษที่ทำจากน้ำซุปหมูและเนื้อซึ่งไม่เค็มจนเกินไป โรยกากหมูกรุบกรอบมากินด้วยกันก็เข้าที    

เมื่อเราพูดถึงศิลปะกับอาหาร หลายคนคงนึกถึงเมนูในแบบต่างๆ ที่เคยเห็น แต่สำหรับร้าน Dark Room คือการนำศิลปะแต่ละแขนงมาผสมผสานเข้ากับอาหารสไตล์เจแปนนิสและเวสเทินฟู้ด ซึ่งเปิดระบบสัมผัสของเราให้รับรู้พร้อมกันทั้งรูป รส กลิ่น เสียงได้อย่างลงตัว โดยเชฟกันต์ รตนาภรณ์ ที่พ่วงตำแหน่งเจ้าของร้านเป็นคนครีเอทจานต่างๆ ทั้งหมด 15 คอร์สด้วยกัน ซึ่งเมนูจะเปลี่ยนไปทุกๆ 3 เดือน     เชฟกันต์ นำความรู้ที่เรียนจากเลอ กอร์ดอง เบลอ มาทำร้านนี้ให้เป็นเชฟเทเบิ้ลสุดพิเศษที่นอกจากเปิดรับคนวันละ 1 รอบเพียง 9 ที่นั่งแล้ว ยังนำวัตถุดิบพรีเมียมแต่ละฤดูกาลมาทำอาหาร ที่สำคัญยังเสิร์ฟในห้องมืด (แต่มีไฟดวงเล็กให้เราแอบเปิดดูหน้าตาอาหารได้) กินไปฟังเพลงเบาสบายที่เชฟเลือกมาอย่างดีก็ยิ่งทำให้อยากนั่งอยู่ยาวๆ     เมนูแรกที่เสิร์ฟคือเวลคัมดริ้งไอเดียเก๋ Drawing and Painting น้ำผลไม้(เข้มข้น)โฮมเมด 7 รสชาติหยอดในถาดสี แล้วให้เราใช้พู่กันจุ่มน้ำผลไม้ระบายลงบนกระดาษที่ทำจากมันฝรั่งหวานญี่ปุ่นเพื่อชิมรสชาติ ก่อนเทสีที่ชอบลงในสปาร์คกิ้งเย็นซ่าชื่นใจ ต่อด้วย Bird’s Nest ช่วงเดือนที่เราไปเป็นฤดูของเห็ดทรัฟเฟิลพอดี เกือบทุกๆ เมนูจะมีส่วนผสมของเห็ดทรัฟเฟิลเช่นจานนี้ แต่งจานคล้ายกับรังนก โดยใช้แผ่นข้าวญี่ปุ่นทอดปรุงรสและเฟรนส์ฟรายหมักเห็ดทรัฟเฟิลทำเป็นรัง แล้ววางไข่นกกระทาที่อัดแน่นด้วยไข่กุ่ง แบล็ค คาเวียร์ และ เรด คาเวียร์ไว้ด้านบน กินคู่กับชีสดิป ผัก และดอกไม้ออร์แกนิค       จานต่อมาคือ Signature Soup เสิร์ฟในแก้วแบ่งเป็น 2 ชั้น ด้านล่างคือ Egg Drop นุ่มๆ จากไข่นกกระทาและน้ำซุปจากหัวปลาใหญ่ 4 ชนิดและน้ำสับปะรด ส่วนด้านบนเป็นชูโทโร่และแบล็ค คาเวียร์ จากนั้นไปต่อที่ Sushi Ika ไฮไลต์อยู่ที่ข้าวซูชิหมักกับหมึกของปลาหมึก 4 ชั่วโมงเข้ากันกับปลาหมึกอิกะและแบล็ค คาเวียร์       ก่อนปิดท้ายกับ Black is Black ราวิโอลีโฮมเมดทำเนื้อแป้งขึ้นมาใหม่ให้บางและนุ่มสอดไส้กุ้งหวาน แล้วราดซอสข้นที่ได้จากเห็ดทรัฟเฟิลและหมึกดำของปลาหมึก นอกจากนี้ยังมีเมนูเบเกอรีที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ใครสนใจมาลองชิมอย่าลืมสำรองที่นั่งล่วงหน้านะ  

ไม่เพียงแค่การตกแต่งเก๋ไก๋สไตล์ลอฟต์วินเทจที่ผสมผสานกำแพงอิฐ กระจกหน้าต่างแบบโกธิค เฟอร์นิเจอร์ไม้ ไปจนถึงของประดับตกแต่งอย่างตุ๊กตาผ้า ดอกไม้แห้ง และต้นไม้ตามมุมต่างๆ อย่างลงตัวจะดึงดูดให้ใครหลายคนแวะเวียนมาที่ “B-Story Café” คาเฟ่และร้านอาหารด้านหน้าโครงการ Coco Walk ราชเทวีเท่านั้น แต่เมนูอร่อยมากมายสไตล์ตะวันตกและฟิวชัน รวมทั้งเบเกอรีสูตรโฮมเมดของที่นี่ยังอร่อยเด็ดถูกใจนักชิมอีกด้วย         หากเลือกไม่ถูก เราแนะนำเมนูชีสหอมมันกินเพลินอย่าง Mac’n Cheese มะกะโรนีอบชีสมอสซาเรลลา เพิ่มความเข้มข้นกลมกล่อมด้วยกราแตงชีสด้านบน โรยเบคอนกรุบกรอบ และ Quesadilla แป้งตอร์ติญาสอดไส้ไก่ เห็ดแชมปิญอง ผักโขม และชีสมอสซาเรลลาเข้มข้นหอมมัน เพิ่มรสชาติด้วยซอสพิซซาโฮมเมด       สำหรับของหวานก็อร่อยไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น Strawberry Shortcake เนื้อเค้กนุ่มเบาเข้ากับครีมสดละมุนลิ้นทำจากวิปปิงครีมคุณภาพดีผสมวานิลลา ตัดความหวานด้วยบลูเบอร์รีและสตรอว์เบอร์รีสดลูกโต หรือ Banoffee ในขวดแก้วสุดเก๋ อัดแน่นไปด้วยโอรีโอบด กล้วยหอม ถั่ว และครีมคาราเมลหอมหวานที่มีส่วนผสมของวิปปิงครีมคุณภาพดีเช่นกันมากินคู่กาแฟหรือ B-Healthy Smoothies สมูทตี้คะน้าปั่นกับผลไม้แสนสดชื่นก็ไม่เลวเลยทีเดียว          สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย

จากร้านอาหารไทยรูปแบบเชฟเทเบิ้ลที่ต้องจองคิวล่วงหน้านานกว่า 1 เดือน ตอนนี้ร้านข้าว (Khao) ของเชฟวิชิต มุกุระ กลับมาพร้อมรูปโฉมใหม่บนพื้นที่ใหม่ในซอยเอกมัย 10 ที่นอกจากจะคงความเป็นเชฟเทเบิ้ลไว้แล้ว ยังมีร้านอาหารและคุ้กกิ้งคลาสให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ตัวร้านออกแบบคล้ายกับลักษณะของยุ้งข้าวผสมกับฉางเกลือ ล้อมรอบด้วยกระจกใส ใช้แสงธรรมชาติให้ความสว่างกำลังพอดี     พื้นที่ด้านในตอกย้ำความเป็น “ข้าว” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยแปลงนาขนาดย่อมที่ซ่อนตัวอยู่กลางร้าน ซึ่งเชฟวิชิตเล่าว่าหว่านจริง ปลูกจริง เพราะตั้งใจว่าวันหน้าจะได้นำข้าวของตัวเองมาเสิร์ฟในเมนูด้วย ส่วนด้านหลังมีพืชผักสวนครัวที่อยากลงมือทำเมนูไหนเด็ดมาใช้ได้ทันที เชฟเล่าว่าอยากให้คนที่แวะเวียนมาได้สัมผัสกับอาหารที่เป็นไทยแท้ ซึ่งเมนูของเชฟวิชิตแทบทั้งหมดเป็นอาหารภาคกลาง ไม่เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด เน้นรสชาติกลมกล่อม       “อยากให้คนเข้ามาแล้วได้รู้สึกถึงความสดของวัตถุดิบ อย่างปลาต้มส้ม อยากให้ได้กลิ่นของปลากระบอกใหม่ๆ กินแล้วตอบได้ว่าความหวานของเนื้อปลาเป็นอย่างไร”       เริ่มต้นมื้อนี้ด้วยของว่างรวม เชฟเสิร์ฟของว่าง 4 ชนิดเพื่อเรียกน้ำย่อยคือ หมี่กรอบโบราณ เส้นหมี่ใช้เทคนิคการทอดแบบพิเศษกินแล้วไม่กระด้าง รสชาติกลมกล่อมครบเครื่อง ใส่ผิวส้มซ่า เมี่ยงปลาทู เครื่องเคราครบทั้งขิง มะพร้าว พริก ปรุงด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว เคล้ากับเนื้อปลาทูที่ทอดจนหอม ห่อผักสดก่อนกิน อีกหนึ่งจานเด็ด ทอดมันกุ้งปลาหมึก เชฟได้ไอเดียจากเชฟเทเบิ้ล นำดีปลาหมึกและเนื้อปลาหมึกหั่นเต๋ามาผสมกับเนื้อกุ้ง ทอดออกมาแล้วมีสีดำสลับสีขาวหน้าตาเหมือนหินแกรนิต เสิร์ฟกับซอสมะม่วงเข้ากัน  และ ยำส้มโอ ส้มโอพันธุ์ขาวน้ำผึ้งเคล้ากับน้ำยำปรุงสด เปรี้ยว เผ็ด เค็ม และได้ความหอมมันของกะทิ      จานถัดมา แซ่บทรงเครื่อง ไส้กรอกข้าวหั่นเต๋าทอดจนหอม ใส่ขิง ถั่ว และมะนาวหั่นเต๋า ปรุงรสด้วยข้าวคั่ว น้ำมะนาว และน้ำปลา ห่อด้วยใบชะพลูแล้วส่งต่อเข้าปาก แซ่บสมชื่อ  ต่อด้วยเป็ดซอสมะขามส้มซ่า มี 2 เท็กซ์เจอร์ในจานเดียว เชฟใช้เป็ดเชอร์รี่เนื้อแน่น นำส่วนอกไปทอดจนเหลืองน่ากิน  ปล่อยให้สุกในซอสมะขามที่มีกลิ่นของส้มซ่า ส่วนสะโพกนำไปตุ๋นจนนุ่ม ทีเด็ดคือเคียงด้วยเม็ดมะรุมลวก กลิ่นเข้ากับเนื้อเป็ดมากทีเดียว       อิ่มของคาวแล้ว ปิดท้ายด้วยถั่วแปบ เหนียวนุ่ม สีสวยด้วยอัญชัญและใบเตย โรยหน้าด้วยงาคั่วตำกับน้ำตาลทราย จับคู่ไอศกรีมกะทิหวานหอม ท็อปด้านบนด้วยลูกชิดเชื่อมดอกอัญชัญ  

อะไรจะเข้ากับเสต็กได้ดีไปกว่าไวน์แดงรสเลิศ ค่ำคืนนี้ G&C พามาลิ้มรสเสต็กอร่อยๆ กันที่ El Gaucho Argentinian Steakhouse ร้านเสต็กที่ปรุงเนื้อแบบอาร์เจนติน่าแท้ๆ และที่น่าสนุกคือเราจะได้ลอง Steak & Wine Pairing จับคู่สเต็กแสนอร่อยให้เพิ่มดีกรีความอร่อยยิ่งขึ้นด้วยไวน์ต่างชนิด รวมทั้งไฮไลท์คือไวน์ที่มาจากแหล่งผลิตในประเทศอาร์เจนติน่าที่ Diageo Moët Hennessy Thailand คัดสรรมาฝากกันในค่ำคืนนี้ด้วย          หลังจากอุ่นเครื่องด้วยสปาร์คลิงไวน์ Chandon Brut 2015 เรียกน้ำย่อยกับขนมปังร้อนๆ (ขนมปังที่นี่อร่อยดี เราแนะนำว่าอย่าเพิ่งตัดสินใจจะโลว์คาร์บก่อนลองชิมสักชิ้น) และสลัดอะโวคาโดที่ยิ่งกินก็ยิ่งเพลินแล้ว ก็ได้เวลาของเมนคอร์สกันล่ะ        ไวน์ที่จัดให้แพร์ริ่งกันในครั้งนี้เริ่มต้นด้วย Cape Mentelle Cabernet Merlot 2014 จากไวเนอรี่ออสเตรเลีย เลือกลิ้มลองคู่กับสเต็กแบบต่างๆ ซึ่งสเต็กที่นี่นำเข้าเนื้อจากทั้งอเมริกาและออสเตรเลีย มีส่วนต่างๆ ให้เลือกอร่อยกันทั้ง ฟิเลต์, ริบอาย, ยูเอส สตริปลอยน์      ที่เซอร์ไพรซ์คือทาง Diageo Moët Hennessy Thailand ได้ทำ “เกลือพิเศษ” ขึ้นมา โดยนำไปทำเป็น “Wine Salt” ซึ่งใช้ไวน์ Terrazas ในการทำ (เราสามารถทำเกลือไวน์ได้เองด้วยนะ เอาไว้จะหาสูตรมาให้ลองทำกัน) ใครที่ชอบลิ้มรสเนื้อโดยไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากมาย เพียงแค่โรย “เกลือไวน์” ลงบนเสต็กร้อนๆ เท่านี้ก็อร่อยและได้รสชาติของเนื้อชุ่มฉ่ำอย่างเต็มที่แล้ว     และแน่นอนว่าเราต้องไม่พลาดลองทานสเต็กโรยเกลือไวน์ โดยแพร์ริ่งกับ Terrazas de los Andes Reserva Malbec 2015 ที่มีแหล่งผลิตในเมืองเมนโดซา ประเทศอาร์เจนตินา เป็นไวน์ที่หลงรักได้ในทันที ด้วยมีกลิ่นหอมหวานของผลไม้เปลือกเข้ม ช็อกโกแลต และพริกไทยดำ รสชาติสดชื่นและได้สัมผัสของวานิลลาและคาราเมล บอดี้แบบปานกลางทำให้ดื่มได้อย่างเพลิดเพลิน        ส่วนใครที่ชอบเนื้อนุ่มๆ มีมันแทรกหน่อยๆ ลองสั่ง วากิว ริบอาย และครั้งนี้ขยับมาจิบไวน์ที่ลุ่มลึกขึ้นไปอีกกับวินเทจไวน์ Cheval des Andes 2013 จากเมืองเมนโดซา อาร์เจนตินาเช่นกัน มีความพิเศษที่หมักบ่มจากองุ่นชั้นเยี่ยม 5 สายพันธุ์บนพื้นที่เพียง 35 เฮกเตอร์ที่มีอากาศดีที่สุด ไวน์ขวดนี้มีกลิ่นสดชื่นของดอกไม้ และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ พริกไทยดำ และซินนามอนเล็กน้อย รสชาติมีความฝาดที่นุ่มลื่น มีความซิตรัสและรสสัมผัสเผ็ดอย่างละมุนจากพริกไทยขาว บอดี้มีความเข้มข้นแต่ก็ให้รสที่สดชื่น และเข้ากับเนื้อได้เป็นอย่างดี       มาถึงตรงนี้ความอร่อยฟินที่ผสานกันอย่างลงตัวระหว่างเสต็กและไวน์เลิศรสก็เดินทางมาถึงจุดพีค เป็นประสบการณ์จาก Luxury Wine Dinner by Moët Hennessy Diageo ซึ่งคุณก็สามารถตามมาลิ้มรสความอร่อยแบบเดียวกันได้ El Gaucho Argentinian Steakhouse สาขาสุขุมวิท ซอย 19 นี้ได้เช่นกัน 

สำหรับคนที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนแล้ว คงดีไม่น้อยหากได้กินอาหารอิตาเลียนรสชาติดั้งเดิมที่ส่งต่อความอร่อยจากรุ่นสู่รุ่น อย่างที่ห้องอาหารเทอราซซ่า อิตาเลียน เรสเตอรองส์ ตั้งอยู่บนชั้น 8 ของโรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ที่นำความพิเศษของอาหารสไตล์อิตาเลียนแท้มานำเสนอให้ทุกคนได้กินกันอย่างอิ่มหนำโดยไม่ต้องบินไปไกลถึงต่างประเทศอีกต่อไป       สิ่งที่น่าสนใจของที่นี่นอกจากบรรยากาศบนตึกสูงติดริมสระว่ายน้ำ รวมถึงการดีไซน์ห้องอาหารล้อมรอบด้วยกระจกใส มีมุมเอ้าท์ดอร์ให้เลือกนั่งอย่างเหมาะใจทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายที่สุดแล้ว ยังได้ “เชฟโรแบร์โต้ พานาลิเอลโล่” ชาวอิตาลี มาดูแลอาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมคุกสูตรของคุณยายและคุณแม่ ที่พิถีพิถันในการปรุงทุกขั้นตอนตั้งแต่รสชาติเรื่อยมาจนถึงวัตถุดิบซึ่งคัดสรรเป็นอย่างดีจากประเทศอิตาลี เพื่อให้ทุกจานมีรสชาติและรสสัมผัสใกล้เคียงมากที่สุดนั่นเอง     จานแรกห้ามพลาดเลยคือ Ravioli Ricotta เมนูเวทเจททาเรียนกินแล้วสดชื่น แป้งราวีโอลีโฮมเมดที่เชฟตั้งใจทำเข้ากันกับไส้ที่ทำจากผักโขมผัดกับพาเมซานชีสและไวน์ขาว ราดซอสมะเขือเทศรสอมเปรี้ยว ส่วน Pizza Terrazza ก็เป็นเมนูเด่นมัดใจทุกคน ด้วยแป้งพิซซ่าโฮมเมดบางกรอบอบใหม่ร้อนๆ เข้ากันกับซอสสูตรพิเศษ พาร์มาแฮม และมอสซาเรลล่าหอมมันจากนมควาย       จานต่อไปเป็น Fantasy Salmon ไฮไลต์อยู่ตรงแซลมอนปรุงรส 3 สไตล์ กินแล้วได้รสสดชื่นจากเลมอนและซอสเวนิการ์หอมๆ Funghi Porcini, Pecorino Cheese & Summer Black Truffle ก็อร่อยลงตัว รีซ็อตโต้เห็ดพอร์ชินีรสนุ่มนวล เพิ่มความฟินขึ้นไปอีกขั้นด้วยชีสเห็ดทรัฟเฟิล       ก่อนปิดท้ายกับเบเกอรีหวานหอมสไตล์อิตาเลียน Cannolo Siciliano แป้งทอดมีส่วนผสมของไวน์ขาวและผงชินนามอนสอดไส้ชีสนานาชนิด เคลือบด้วยดาร์กช็อกโกแลต โรยแอลมอนด์สไลด์และสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน แล้วสั่งเครื่องดื่มซิกเนเจอร์อย่าง Tequila Sunrise หรือ Blue Lagoon มาเข้าคู่ด้วยสักหน่อย รับรองว่าอิ่มอร่อย นั่งชิลได้ยาวๆ แน่นอน      

เมื่อปลายปีที่ผ่านมานอกจากเราจะได้มิชลินไกด์ฉบับประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว เรายังได้ต้อนรับเชฟมิชลินสตาร์ชาวลัตเวีย “มาร์ติน บลูโนส” (Martin Blunos) ที่ย้ายมาประจำการความอร่อยบนชั้น 14 โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ เป็นที่เรียบร้อย     ก่อนหน้านี้เชฟมาร์ตินมีร้านอาหารชื่อว่า “Lettonie” ในเมืองบริสตอล ประเทศอังกฤษ พร้อมกับคว้ามิชลินสตาร์ 2 ดาวมาครอบครอง อีกทั้งความมีเสน่ห์และอารมณ์ขันทำให้เชฟมาร์ตินเคยพกพาหนวดทรงวอลรัสอันเป็นเอกลักษณ์ทำหน้าที่พิธีกรหลายรายการมาแล้ว ซึ่งรวมถึง Iron Chef UK อีกด้วย แต่ตอนนี้เชฟคนเก่งได้มาเปิดร้านใหม่ล่าสุดในชื่อ Blunos พร้อมกับนำเสนออาหารสไตล์คลาสสิกคอมฟอร์ตฟู้ดที่เน้นวิธีการปรุงอันเรียบง่าย แต่ใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ เพื่อดึงรสชาติอาหารที่แท้จริงออกมา       ส่วนเรื่องของบรรยากาศหลายคนคงคิดว่าต้องนั่งหลังแข็งตัวเกร็งตามสไตล์เชฟมิชลิน แต่สำหรับที่นี่กลับให้อารมณ์ในทางตรงข้าม เมื่อบรรยากาศในห้องอาหารได้ถูกปรับโฉมให้โปร่งโล่งสบายมาพร้อมวิวสระน้ำ ขณะที่บนกำแพงก็เต็มไปด้วยลายเพนต์รูปหนวดตัวแทนของเชฟและม็อตโตเก๋ๆ บนกำแพงอย่างเช่น Happy Food for Happy People หรือ Real Food for Real People ที่คล้ายกำลังกระซิบบอกเราว่าความอร่อยกำลังเดินทางมาแล้ว     เริ่มกันด้วย Pork Belly (500 บาท) หมูสามชั้นติดซี่โครงชิ้นยาวตุ๋นนานกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง ก่อนทาด้วยซอสสูตรลับแล้วอบอีกครั้งจนได้ความนุ่มหอม เสิร์ฟพร้อมหนังหมูทอดกรอบ ถั่วชิกพี แอปเปิลเขียว พริกชี้ฟ้า พาร์สลีย์ ที่ผัดรวมกันจนได้ความฉ่ำหอมหวานเข้าคู่กับหมูสามชั้นอย่างลงตัว     ตามด้วย Lobster Roll (490 บาท) ล็อบสเตอร์ครึ่งตัวปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยก่อนซูวีดจนเนื้อนุ่มเด้ง วางบนขนมปังบันโฮมเมดทาเนยกระเทียม โรยผิวส้ม เสิร์ฟพร้อมซอสมาโยที่ทำจากน้ำสต๊อกหัวกุ้ง เนื้อส้ม และมายองเนสผสมรวมกัน หรือจะลอง Peking Duck Pizza (570 บาท) ที่การันตีความอร่อยด้วยเป็ดปักกิ่งจากเพื่อนบ้านอย่าง Chef Man มาโรยบนพิซซาแป้งบางกรอบทั้งเนื้อและหนัง พร้อมด้วยซอสฮอยซิน แตงกวา และต้นหอมก็ทำให้พิซซาถาดนี้พิเศษไม่มีใครเหมือน       แล้วอย่าลืมปิดท้ายกับ Apple Turnover (320 บาท) พัฟเนื้อฟูนุ่มสอดไส้แอปเปิลคอมโพตรสหอมหวานอมเปรี้ยวๆ นิด แม้หน้าตาจะดูเรียบง่ายแต่พอได้ซอสคัสตาร์ดวานิลลามาเติมเต็มก็ทำให้หลับตาพริ้มเลยทีเดียว  

หากมองเพียงผิวเผินหลายคนคงต้องนึกว่าที่นี่เตรียมพร้อมรอเสิร์ฟอาหารญี่ปุ่นกันอย่างแน่นอน แต่ความจริงแล้ว Miyu Ginza เป็นร้านอาหารจีนสไตล์โมเดิร์นของเชฟมิยูกิ อิงาราชิ เชฟสาวชาวญี่ปุ่นที่มีดีกรีขั้นเชฟกระทะเหล็กซึ่งมีอายุน้อยที่สุดของญี่ปุ่น     จุดกำเนิดของที่นี่เริ่มต้นราวๆ 10 ปีก่อน เชฟมิยูกิได้เริ่มเปิดร้านของตัวเองที่ชิบูย่า ก่อนจะเพิ่งเปิดสาขาที่ 2 ที่กินซ่า และล่าสุดกับประเทศไทยที่มาพร้อมกันถึง 2 สาขาในชื่อ Miyu บนถนนราชพฤกษ์และ Miyu Ginza ในนิฮอนมูระ มอลล์ ซอยทองหล่อ 13 ซึ่งเสน่ห์อาหารของเชฟสาวชาวญี่ปุ่นก็อยู่ที่การทำให้อาหารจีนเป็นสไตล์ของตัวเองด้วยการชูรสชาติแบบจีนแต่เน้นหน้าตาอย่างญี่ปุ่น ที่สำคัญยังเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ใส่สารปรุงแต่ง เพราะเชฟมิยูกิเชื่อว่าวัตถุดิบแต่ละชนิดมีรสชาติความอร่อยในตัวเอง       เริ่มเมนูแรกด้วย Seared Salmon and Soy Bean and Miso Tofu Salad (360 บาท) ที่เสิร์ฟความอร่อยของ 2 วัตถุดิบซึ่งแตกต่างกันอย่างเต้าหู้และปลาแซลมอนชิ้นพอดีคำมาไว้ด้วยกัน ก่อนจปรุงรสด้วยมิโซะ น้ำปลา มะนาว พริกขี้หนู และเนื้อสละ จึงให้รสชาติความสดชื่นผสานทั้งรสเปรี้ยวและหวานเผ็ดปลายลิ้น ตามด้วย Shrimp Toast with Edamame Beans (220 บาท) ขนมปังหน้ากุ้งทอดร้อนๆ ส่งกลิ่นหอม โรยหน้าด้วยถั่วแระและงาดำ เสิร์ฟพร้อมเกลือมะกรูดรสเค็มอมเปรี้ยวมาตัดรสชาติ       แล้วมาอิ่มหนักๆ กับ Steamed Rice with Lotus Root and Kakuni Pork (420 บาท) ข้าวญี่ปุ่นผัดซอสเต้าซี่ ต้นหอม หน่อไม้ พร้อมหมูสันคอหมักซอสและอบหอมๆ อร่อยจนอยากตักหลายคำ ที่สำคัญอย่าลืมสั่ง Ginger and Galangal Jelly (150 บาท) หรือเจลลีขิงกลิ่นละมุนไร้รสเผ็ดคงเหลือแต่ความสดชื่น เคล็ดลับอยู่ที่การนำขิงแก่มาฝนจนเป็นน้ำแล้วมาทำเป็นเจลลีเพื่อลดความเผ็ดร้อน...     เมื่อมากินลอยแก้วคู่กับน้ำลำไยและเงาะจึงเปี่ยมไปด้วยความเย็นและเปรี้ยวซ่าอย่างที่ไม่เคยชิมที่ไหนมาก่อนอย่างแน่นอน

แฟนคลับร้าน Lobster & Oyster by Chef Marian Baranek บางคน อาจเคยตามไปชิมอาหารที่ร้านใหม่ของเชฟมาริอานมาบ้างแล้ว แต่สำหรับใครที่ยังไม่เคยเราขอแนะนำว่าให้พุ่งตัวไปด่วนๆ เพราะคอนเซ็ปต์ใหม่ของร้าน Marian Urban Gastro Bar ชวนให้เราสนุกสนานด้วยบาร์คอมฟอร์ตฟู้ดสไตล์อังกฤษที่มาพร้อมกับบาร์เครื่องดื่มไว้ให้เรานั่งดื่มซิกเนเจอร์ค็อกเทลกันเพลินๆ พร้อมกับกินอาหารฝีมือเชฟฯ ที่สามารถมองเห็นขั้นตอนการทำแบบมืออาชีพได้ถนัดตา ผ่านครัวเปิดลุคเท่ตรงตามคาแรกเตอร์ของเชฟนั่นเอง       Marian Urban Gastro Bar ยังคงเมนูอาหารที่เน้นล็อปสเตอร์และหอยนางรมระดับเหรียญทองจากฝรั่งเศสเอาไว้เหมือนเคย ที่ห้ามเลยก็คือ Mixed Oyster Platter หอยนางรม 6 ตัวที่มีลูกเล่นตรงการกิน 3 สไตล์ แบบแรกคือหอยนางรมเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม 3 ชนิด เราจะเลือกกินสดก็ได้หรือจับคู่ระหว่างซอสที่ทำจากน้ำส้มสายชูหมักไวน์แดงผสมหอมแดง หรือจะเป็นน้ำจิ้มซีฟู้ดรสจัดจ้านแบบไทย รวมถึงซอสญี่ปุ่นหอมๆ รสเค็มหวานจากน้ำผึ้งก็อร่อยไปอีกแบบ ส่วนแบบที่สองเป็นหอยนางรมวางซาวครีมรสเปรี้ยวเค็มและไข่ปลาคาเวียร์ไว้ด้านบน สุดท้ายเป็นหอยนางรมกินคู่กับเนยที่ผสมไวน์และน้ำส้มสายชูรสเปรี้ยวมัน ช่วยชูรสชาติหอยนางรมให้อร่อยมากขึ้นกว่าเดิม     ส่วนใครที่หลงรักการปรุงล็อบสเตอร์ฝีมือเชฟมาริอานล่ะก็ เราขอแนะนำ Grill Lobster ล็อบสเตอร์ย่างสุกหวานกำลังเหมาะ เสิร์ฟกับสลัด มันบด ขนมปังกระเทียม และซอสกาลิคชิลลีบัตเตอร์ อีกเมนูก็คือ Lobster Bisque / V.S.O.P ทำจากเปลือกล็อบสเตอร์สีสวย ชูกลิ่นหอมๆ ด้วยวิสกี้ V.S.O.P เข้ากันกับขนมปังกระเทียมกรุบกรอบที่เชฟฯ ตั้งใจทำอย่างดี       นอกจากนี้ยังมี Roasted Iberico Pork & Pumpkin Puree เนื้อหมูจากสเปนอบนุ่มฉ่ำ เสิร์ฟกับฝักทองบดเนื้อนวลเนียน และ Razor Clams Topped หอยหลอดจากฝรั่งเศสตัวใหญ่เนื้อแน่น อบกับขนมปังป่นและเนยกระเทียม ได้ทั้งกลิ่นหอมและรสชาติหวานเค็มละมุน     ในส่วนของบาร์คอมฟอร์ตฟู้ดนั้น ที่ต้องลองเลยก็คือ Scotch Egg ไข่ต้มลาวาห่อด้วยไส้กรอกหมูโฮมเมดทอดสีเหลืองสวย กรอบนอกนุ่มใน กินกับผักสลัดและแตงกวาดองแล้วเข้ากันลงตัว Cockle Popcorn ก็เคี้ยวเพลิน หอยแครงชุบแป้งปรุงรสทอดกรุบกรอบ เสิร์ฟพร้อมกับกาลิค มายองเนส ก่อนปิดท้ายด้วย Tartuffo Bianco ไอศกรีมโฮมเมดสไตล์อิตาเลียนรสไวท์ช็อกโกแลต สอดไส้คาราเมลหอมหวาน ราดด้วยซอสเชอร์รีรสอมเปรี้ยวนิดๆ เหมาะจบมื้ออาหารเป็นที่สุด         แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าใครเป็นสายดื่มต้องทิ้งท้ายอีกนิดด้วย Paradisi หรือ Kiss Me Please ค็อกเทลรสเปรี้ยวอมหวาน หอมสดชื่น ดื่มลื่นคอได้ยาวๆ กันทั้งคืนจ้ะ   

ไม่ทันไรสาขาที่ 17 ของ Sushi Den ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวที่เมกาบางนาเพื่อเอาใจคนอยู่บ้านไกลกันดูบ้าง ด้วยขนาดพื้นที่ร้านซึ่งกว้างขึ้น พร้อมยกขบวนวัตถุดิบอย่างดี เพราะไม่ว่าจะเป็นปลาหรืออาหารทะเลก็ล้วนส่งตรงจากตลาดปลาสึกิจิโตเกียว เช่นเดียวกับปลาแซลมอนที่ได้จากนอร์เวย์ ทำให้ในทุกๆ คำเราจะได้สัมผัสกับความสดใหม่ โดยเฉพาะความอร่อยของซูชิบนสายพานที่ยังคงมีให้ชิมอย่างเต็มอิ่มกันเช่นเคยในสนนราคา 49-185 บาทเท่านั้น       เราเริ่มกันด้วยซูชิบนสายพานเมนูอร่อยๆ อย่าง Engawa Delight Roll โรลครีบปลาตาเดียวห่อข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอนและไข่กุ้ง Botan Ebi Ikura กุ้งตัวโตเนื้อเด้งแต่งด้วยไข่ปลาแซลมอน Salmon Vegie Roll โรลปลาแซลมอนพันแตงกวากรุบกรอบ ราดซอสมาโยและไข่กุ้ง และ Salmon Unagi Roll โรลปลาแซลมอนห่อข้าวหน้าปลาไหลย่างเนื้อนุ่มหอมคำโต         ถ้ายังเลือกไม่ได้หรือยังไม่จุใจต้องลองสั่ง Minato Set (690 บาท) ชุดซูชิสุดฮิต เพราะได้รวมความอร่อยมาให้ลองชิมกันถึง 7 คำ 7 รสชาติ ได้แก่ ครีบปลาตาเดียว ปลาทูน่า ท้องปลาทูน่า ปลาฮามาจิ ปลาไหลญี่ปุ่น ปลาหมึก และไข่ปลาแซลมอน แต่สำหรับซาชิมิเลิฟเวอร์ต้องห้ามพลาด Premium Sashimi Set (2,400 บาท) ที่รวมของชอบให้อิ่มจนจบในคราวเดียวถึง 8 ชนิด อาทิ โอโทโรเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ท้องปลาแซลมอนกรอบนอกนุ่มใน ปลาฮามาจิ ท้องปลาฮามาจิ ครีบปลาตาเดียว หอยปีกนกกรุบกรอบ กุ้งหวานโบตันเนื้อแน่นนุ่ม และไข่ปลาแซลมอน       นอกจากนี้ยังมีเมนูกินเล่นให้ลองอย่าง Spinach Salad (280 บาท) หรือสลัดผักโขมกุ้งทอดที่มีจุดเด่นอยู่ที่น้ำสลัดงาญี่ปุ่นสูตรเฉพาะซึ่งเติมความเข้มข้นของถั่วและกระเทียมลงไปให้ถูกใจคนไทย ร่วมด้วยทีเด็ด Ika Sukata Teriyaki with Cheese (215 บาท) ปลาหมึกตัวโตย่างหอมๆ ด้านในสอดไส้ชีสมอซซาเรลลายืดๆ ราดด้วยซอสเทอริยากิเพิ่มความหอม...       จะสั่งเดี่ยวๆ หรือเป็นกับแกล้มก็ดีต่อใจไปหมด

หากพูดถึงอาหารญี่ปุ่นสไตล์พรีเมียมในห้างสรรพสินค้าแล้ว หลายคนคงมีลิสต์รายชื่อในใจมากมาย แต่ต่อจากนี้จะมีอีกหนึ่งร้านมาเป็นตัวเลือกให้เรานึกถึงด้วยนั่นคือ Sushi Seki ของหม่อมราชวงศ์แม้นนฤมาส ยุคล สวัสดิ์-ชูโต และหุ้นส่วน ที่นำความชอบอาหารญี่ปุ่นมาทำร้านที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวขึ้นมา พร้อมเตรียมขยายสาขาไปยังสถานที่ต่างๆ ในเร็ววันนี้     ความพิเศษของ Sushi Seki ที่เราชอบคือการนำเข้าปลาทั้งตัว (แบบไม่แช่แข็ง) มาจากตลาดปลาซึกิจิ แถมยังทำซาชิมิแบบชิ้นใหญ่เต็มคำ เพื่อให้เราสัมผัสความหวานนุ่มลิ้นของเนื้อปลาได้อย่างจุใจ อีกทั้งราคายังคุ้มค่า มีโปรโมชันทุกวันที่ลดมากกว่า 40% ซึ่งจะเปลี่ยนเมนูไปไม่มีซ้ำ เรียกว่าขายดีจนเชฟต้องแล่ปลาใหม่กันทุกๆ 2 ชั่วโมงทีเดียว       เมนูของที่ร้านเป็นสไตล์ญี่ปุ่นฟิวชัน ที่เราไม่อยากให้พลาดคือ Seki Botan ไฮไลต์อยู่ตรงรสชาติที่ผสมผสานกันลงตัวระหว่างกุ้งหวานตัวใหญ่ ที่วางมาบนข้าวปั้นผสมไข่ปลาเมนไทโกะ ทอปด้วยไข่ปลาแซลมอน อูนิ และคาเวียร์ เสิร์ฟพร้อมซูชิปลาไหลทะเลน้ำลึก มีปลาแซลมอน ตับห่าน และไข่ปลาแซลมอนวางไว้ด้านบน     ส่วน Ocean’s Eight Sashimi Set นั้นช่างดีต่อใจสาวกอาหารญี่ปุ่นแบบเราสุดๆ เพราะคัดเฉพาะปลาดิบคุณภาพ 8 ชนิด อาทิ ปลาแซลมอน ฮามาจิ อิซุมิได มากุโร่ โฮตาเตะ เอนกาวะ และไข่ปลาแซลมอนเม็ดกลมใหญ่ รสเค็มกลมกล่อมตามแบบฉบับไข่ปลาแซลมอนชูไกที่หายาก กินกับสาหร่ายเคี้ยวกรุบที่เสิร์ฟมาด้วยกัน ไม่ต้องจิ้มโชยุและวาซาบิก็อร่อยด้วยตัวเอง     ส่วนใครที่เป็นสายเนื้อวัวห้ามพลาด Matsuzaka Unagi Roll เด็ดขาด เนื้อวัวมัตซึซากะดิบนุ่มๆ ฉ่ำลิ้น เข้ากันกับอะโวคาโด ชีสหอมมัน และปลาไหลน้ำจืด ราดซอสรสหวานสูตรพิเศษของที่ร้านด้วยยิ่งดีงาม นอกจากนี้ยังมี Soft Shell Crab Salad ปูนิ่มทั้งตัวทอดกรอบกินคู่กับผักสลัดนานาชนิด ราดน้ำสลัดรสหวานหอม ก่อนปิดท้ายด้วย Maccha Tiramisu ที่เราปลื้มเป็นพิเศษ เพราะกลิ่นหอมๆ และรสชาติของชาเขียวจากเกียวโตลงตัวกับครีมรสเบาหวานนวล เสิร์ฟในกล่องไม้สั่งทำพิเศษยิ่งทำให้ขนมหอมละมุนขึ้นอีกเท่าตัว      

ยกให้เป็นโอเอซิสแห่งใหม่ที่สายชิลเอาต์ในแถบชานเมืองปทุมธานีต้องถูกใจ กับร้านอาหารบรรยากาศน่านั่งแห่งโครงการ “The Grove หทัยราษฎร์” ที่ “บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์” เจ้าของร้านมาดเท่นำความหลงใหลในการกินมาถ่ายทอดผ่านเมนูอาหารนานาชาติแบบ Multi – Cuisine ที่มีทั้งไทย เอเชียน ยูโรเปียน และฟิวชันให้กินได้ทุกวันแบบไม่มีเบื่อ     ไม่เพียงคัดสรรทุกเมนูโปรดอย่างพิถีพิถัน แต่ยังใส่ใจในทุกรายละเอียดในการออกแบบร้านสไตล์บาร์นเฮาส์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในโรงนาสวยๆ ที่ประดับประดาด้วยต้นไม้ร่มรื่นผสานกับผนังกระจกรอบร้านที่เปิดรับแสงธรรมชาติจากภายนอก ช่วยเพิ่มความอบอุ่นโปร่งสบาย และที่ขาดไม่ได้คือเสียงเพลงที่พี่บุรินทร์ของเราจัดเพลย์ลิสต์ให้เข้ากับบรรยากาศทุกช่วงเวลาด้วยตัวเอง โดยเริ่มช่วงเบ่ายด้วยเพลงแจ๊สเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นบิ๊กแบนด์แจ๊สในช่วงเย็น ต่อด้วยเพลงโซลในช่วงกลางคืน       เห็นเมนูเด็ดที่มีให้ชิมแบบละลานตาแล้วใครเกิดอาการเลือกไม่ถูก แนะนำให้เริ่มด้วยจานเบาๆ อย่าง Truffle Mushroom Soup ซุปครีมเห็ดเนื้อเนียนใส่ทรัฟเฟิลเพสต์ และน้ำมันทรัฟเฟิลเพิ่มความหอม ต่อด้วย Soft Shell Crab Salad with Black Sesame Dressing ปูนิ่มทอดกรอบกินกับสลัดผักนานาชนิด ราดน้ำสลัดงาดำโฮมเมด และ Fettuccine Lobster Cream Sauce เส้นเฟตตูชินีเหนียวนุ่มคลุกเคล้าซอสครีมที่เคี่ยวจากกุ้งและสมุนไพรต่างๆ จนได้ที่ กินคู่กับกุ้งแม่น้ำทอดตัวโต         ถ้าอยากอิ่มแบบจัดเต็ม ลองสั่ง BBQ Baby Back Ribs ซี่โครงหมูย่างกำลังดี เนื้อนุ่มร่อน ไม่เหนียวติดกระดูก คลุกเคล้าซอสบาร์บีคิวสูตรเฉพาะรสเข้มข้นหอมเค่รื่องเทศ หรือ Charcoal Bun Double Beef Burger ขนมปังชาโคลหนานุ่มสอดไส้เนื้อสันในบดนุ่มฉ่ำที่มาแบบดับเบิลสองชิ้นโต สลับชั้นด้วยผักสลัด มะเขือเทศ และชีสเชดดา เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอด ส่วนพิซซาเลิฟเวอร์ต้องลอง Lamb Raqu Pizza พิซซาซิกเนเจอร์หน้าซอสเนื้อแกะหอมใบไทม์ ทีเด็ดอยู่ที่การอบด้วยเตาถ่านไม้ลิ้นจี่ให้แป้งพิซซามีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์         อย่าลืมตบท้ายด้วยของหวานขายดี Apple Strudel แป้งบางนุ่มห่อหุ้มไส้ที่ใช้ทั้งเนื้อแอปเปิลแดงและแอปเปิลเขียว เพื่อรสชาติหวานเปรี้ยวกลมกล่อม กินกับซอสวานิลลาและไอศกรีมวานิลลายิ่งอร่อยเข้ากัน  

กรุงกัวลาลัมเปอร์เมืองหลวงของสาธารณรัฐมาเลเซีย ซึ่งหลายคนคงจะรู้ว่าอาหารมาเลเซียมีทั้งอาหารจีนและอาหารแขกหรืออาหารจีนปนแขก แต่กัวลาลัมเปอร์ก็เหมือนเมืองหลวงอื่นๆ ที่มีเชฟล้ำยุคสมัยใหม่ซ่อนตัวอยู่เหมือนที่ร้านอาหาร DEWAKAN     ร้านเดวากานไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองหลวงเสียทีเดียว แต่ต้องขับรถออกจากตัวเมืองไปอีกประมาณ 20 นาที ร้านตกแต่งประณีตดูโอ่โถงใต้ตึกมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งที่เชฟเคยเป็นผู้สอนอยู่ ครัวเป็นครัวเปิดดูลีลาการทำงานของทีมเชฟได้อย่างไม่เหงา อาหารที่เสิร์ฟเป็นคำเล็กคำน้อยที่เสิร์ฟถึง 17 คอร์ส แม้จะดูเป็นอาหารฝรั่งล้ำยุคแต่รสชาติกลับเป็นตะวันตกผสมตะวันออกที่เชฟสร้างสรรค์ได้อย่างเฉพาะตัว   เชฟ Darren Teoh เชฟหนุ่มเล่าถึงความคิดสร้างสรรค์ในจานอาหารของเขาว่า วันหนึ่งขณะที่เขาทำงานอยู่ในร้านมิชลินที่สิงคโปร์เชฟเจ้าของร้านต้องนั่งรอปลาที่สั่งตรงมาจากฝรั่งเศสอย่างกระวนกระวายเพราะส่งไม่ตรงเวลา จนทำให้เขาคิดว่าอาหารที่แม่และยายเขาทำทำไมจึงอร่อยได้แค่ใช้ส่วนผสมที่หาได้ในท้องถิ่น และเครื่องเทศที่แม่เขาผสมขายเองก็มีกลิ่นรสหอมกรุ่นอย่างไม่มีใครเทียบได้       นี่เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาเดินทางไปหาของดีจากทั่วทุกรัฐในมาเลเซียและนำมาเป็นส่วนผสมในอาหารของเขา ทุกจานจึงมีส่วนผสมท้องถิ่นผสมไว้อย่างนิ่มนวลและแนบเนียน เช่น Choy Sum Nori ฉอยซัมผักของจีนที่ทำให้แห้ง กรอบ บาง เหมือนสาหร่าย กินกับมายองเนสผสมกับน้ำบูดูที่ได้กลิ่นรสบางๆ Mango Curry เนื้อมะม่วงบดกับครีมใส่เครื่องเทศ Prawn Umai ,Green Sambal , A Light Salad กุ้งพื้นบ้านคลุกกับซัมบาลและสลัดผักพื้นบ้านเสิร์ฟบนน้ำแข็ง เนื้อกุ้งเหนียวนุ่มหวานกับน้ำพริกซัมบาลเผ็ดหอมนิดๆ อร่อยอย่างมีรสชาติ Slow Cooked Red Snapper with a Broth Made From Temu เนื้อปลากะพงในน้ำซุปซึ่งใส่สมุนไพรพื้นบ้านที่เพียงได้กลิ่นน้ำย่อยก็เริ่มระคายท้อง Bario Rice Porridge ข้าวบาริโอที่ปลูกได้ปีละครั้งในซาราวัก และ Tapai and Pickled Rose ข้าวหมากนำไปปั่นแช่เย็นกับไอศครีมกุหลาบ รสหวานๆ เย็นๆ  ของข้าวหมากที่นำไปปั่นทั้งหอม อร่อย สดชื่นอย่างแกะรอยไม่ออกถ้าบริกรไม่มาอธิบาย               อาหารคำเล็กคำน้อยที่เชฟบรรจงปรุงอย่างสร้างสรรค์และตกแต่งอย่างประณีต ดูราวจะบอกับเราว่าธรรมชาติได้ดลบันดาลอาหารให้เราอยู่แล้ว เพียงแต่เรารู้จักนำมาปรุงแต่งก็จะได้อาหารรสเลิศเหมือนกับชื่อร้าน DEWAKAN ที่แปลว่า อาหารจากพระเจ้า 

เห็นทีเทรนด์อาหารแบบ Farm to table จะน่าสนใจมากขึ้นซะแล้ว เมื่อ Haoma ร้านเก๋ในซอยสุขุมวิท 31 ตีโจทย์ใหม่ ด้วยการยกร้านอาหารไปตั้งไว้กลางฟาร์มผักเสียเลย นำทีมโดยเชฟดีเค (Deepanker Khosla) เชฟชาวอินเดียที่ผ่านประสบการณ์ด้านอาหารมาแล้วอย่างโชกโชน ทั้งเครือโรงแรมดังอย่าง Starwood รวมถึงร้าน Charcoal Tandoor Grill & Mixology มารับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่     ชื่อ Haoma หมายถึงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อโบราณ แผ่กิ่งก้านใบให้ร่มเงา สอดคล้องกับแนวคิดของเชฟที่อยาก ‘ปลูกสิ่งที่ปรุง-ปรุงสิ่งที่รัก’ และต่ออาหารแบบยั่งยืนจากฟาร์มผักหลังร้านสู่คนกิน  ที่ร้านจึงรายล้อมไปด้วยพืชผัก 31 ชนิด ปลูกด้วยวิธี Hydroponics, Aquaponics และแบบออร์แกนิก ซึ่งทั้งหมดถูกเด็ดสดๆ มาใช้ในเมนูอาหารและเครื่องดื่มของที่ร้านนั่นเอง       อาหารแต่ละจานของที่นี่ทำได้สวยแปลกตา เลือกใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล และไม่ยึดติดว่าเป็นของสัญชาติใด เราหลงรัก Stick to the roots จานสลัดสุดครีเอต เชฟชวนเราพลิกอีกด้านของโลกขึ้นมาให้มองเห็นฝั่งรากของพืชผัก ในจานจึงมีทั้งบีทรูทอบเกลือ หัวเทอร์นิฟกงฟีต์ บีทรูทอบแห้ง รากบัวดอง มาการองแครอต จัดวางอย่างเก๋ไก๋ วาดลวดลายบนจานด้วยซอสบีทรูทเช่นกัน เนื้อสัมผัสน่าสนใจ เพราะมีทั้งความกรอบ ความหวาน ความเปรี้ยวในจานเดียว     ชิมจานจากผืนดินไปแล้ว ข้ามมาที่เมนูจากทะเลอย่าง Deep sea diving จานนี้เชฟนำวัตถุดิบของญี่ปุ่นมาไว้ด้วยกัน ทั้งหอยเชลล์ฮอกไกโดตัวอวบและหนวดปลาหมึกยักษ์นุ่มหนึบ เสิร์ฟพร้อมมันม่วง ถั่วแระญี่ปุ่น กลีบส้ม และเพิ่มรสด้วยซอสมิโซะ ส่วนจานที่ชิมแล้วยกให้เป็นพระเอกของร้านนี้คือ Miang Kham เชฟเล่าว่าตกหลุมรักเมี่ยงคำของบ้านเราตั้งแต่ครั้งที่ได้ชิม จึงนำมาดัดแปลงเป็นเมนูในสไตล์ตัวเอง กุ้งตัวใหญ่ซ่อนอยู่ในใบชะพลูเก็บจากฟาร์มหลังร้าน เสิร์ฟคู่ข้าวไรซ์เบอร์รี่จากสุรินทร์ ประดับด้วยกลีบดอกทานตะวัน จานนี้อร่อยมาก ข้าวมีความมันและออกเค็มนิดๆ กินคู่กับกุ้งแล้วเข้ากันดี       อิ่มคาวแล้วล้างปากด้วย Black Forest เมนูจากความทรงจำสมัยเด็ก นำเสนอใหม่ในรูปแบบแท่งช็อกโกแลตมูสสุดเข้มข้น วางด้านบนด้วยแผ่นทองคำ ด้านนอกหุ้มด้วยเป็นแผ่นโกโก้กรอบๆ เสิร์ฟพร้อมมาการองและซอร์เบต์กระเจี๊ยบรสเปรี้ยวสดชื่น       ปิดท้ายค่ำคืนด้วยค็อกเทลที่ทำออกมาได้เก๋ไม่แพ้อาหาร แนะนำ Kale สีเขียวน่าจิบ มีส่วนผสมของจิน อะโวคาโด แอปเปิล เซเลรี และคะน้า ส่วนสาวๆ อย่าพลาด Strawberry รูปลักษณ์คล้ายมาร์ตินี  สีสวยจากสตรอว์เบอร์รี่ สละ และเลม่อน ประดับปากแก้วด้วยแผ่นสตรอว์เบอร์รี่กวนหนึบหนับ    

ต้องบอกว่านี่คือการปรับโฉมใหม่ทั้งหมดของร้านอาหารอิตาเลียน La Scala ที่อยู่คู่กับโรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ มานานกว่า 15 ปี โดยตกแต่งให้มีบรรยากาศโปร่งสบายตาในโทนสว่างมากขึ้น ย้ายครัวจากตรงกลางร้านเข้าไปชิดกับผนังฝั่งหน้าร้าน แต่ยังคงเป็นครัวเปิดที่สามารถเห็นเชฟทำอาหารได้ ส่วนมุมที่เป็นเตาพิซซาตกแต่งให้ดูหรูขึ้นด้วยการเปลี่ยนจากไม้ให้เป็นหินอ่อน และเพิ่มบาร์เครื่องดื่มเข้ามา       นอกจากการตกแต่งที่แปลกตาไปแล้ว เชฟเดวิด แทมบูรินิ (David Tamburini) ก็ยังปรับเมนูใหม่ทั้งหมดให้มีคอนเซ็ปต์ อิตาเลียนไฟน์ไดนิ่ง ที่ใช้สูตรดั้งเดิมแต่ปรับหน้าตาให้ดูสร้างสรรค์และร่วมสมัย เมื่อเชฟเดวิดรู้ว่า G&C มาเยือน เชฟจึงจัดเต็มให้เราเลยทีเดียว     เริ่มจากอาหารเรียกน้ำย่อยจานแรกคือ Artichokes petals and cardoons salad สลัดอาร์ติโชคกับชีสพาร์มิจิอาโน เร็กจิอาโน นมไพน์นัตและไข่ออนเซ็น เชฟเข้าใจวัตถุดิบเป็นอย่างดีเสิร์ฟอาร์ติโชคกับชีสให้มีรสเค็มมันเข็มข้นอร่อย     อีกจานคือ Seared hokkaido scallops หอยเชลล์ตัวใหญ่ย่างเนื้อหวานนุ่มเสิร์ฟพร้อมคาร์เวียร์และผักเคลที่เชฟปรุงมาหลายแบบทั้งสด ย่าง ทอด ทำให้จานนี้มีรสสัมผัสที่หลากหลาย     มาถึงจานที่เรารู้สึกว้าวกับเมนู Spaghetti with smoked eggplants juice สปาเก็ตตี้จานนี้ไม่มีเนื้อสัตว์แต่อร่อยด้วยมะเขือม่วง เชฟนำมะเขือม่วงมาย่างและบีบน้ำออก นำน้ำมะเขือม่วงนั้นมาผัดกับพาสต้า ทำให้ได้กลิ่นสโมคหอมๆ ใส่เนื้อมะเขือม่วงหั่นเต๋าและมีมะเขือเทศจากอิตาลีรสหวานอร่อยลงตัว     ส่วนอีกจาน Mixed pasta in crustaceus and sesame infused broth ที่ได้ไอเดียจากครัวของอิตาลีที่ใช้พาสต้าเหลือหลายๆ รูปทรงมาต้มรวมกัน เสิร์ฟมาในซุปคล้ายล็อบสเตอร์บิสค์ที่เบาและใสกว่า กินแล้วอร่อยอุ่นท้อง     อาหารจานหลักคือ Mediterranean red mullet ปลาเรดมูเล็ตย่างเนื้อนุ่มหวาน เสิร์ฟกับสาหร่ายรสขมนิดๆ มีกลิ่นของทะเลเต็มๆ     อีกจานที่ทุกคนฟินมากคือ Roasted milk fed veal tenderloin เนื้อลูกวัวย่างนุ่มๆ กับผักเรดดิชิโอรสขมนิดๆ เพิ่มความหอมหวานด้วยบัลซามิคและหอมหัวใหญ่ลูกเล็ก     สุดท้ายห้ามพลาด Orange zabaione in crispy orange skin ไวท์ช็อกโกแลตทำเป็นรูปส้ม หุ้มซาบายองเนื้อนุ่มเบา ข้างในเป็นแยมส้มหอมหวาน ผิวเป็นอัลมอนด์บดและผิวส้มขูด ได้เนื้อสัมผัสทั้งกรอบและนุ่ม และมีรสหวาน เปรี้ยวและขมนิดๆ จากผิวส้ม  

CY Cabin ร้านอาหารที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยสุขุมวิท 10 ด้านในตกแต่งสไตล์อินดัสเทรียล ลอฟต์ เท่ขรึมด้วยงานไม้ เหล็ก และปูนเปลือย เพดานสูงให้รู้สึกโปร่งสบาย และหากมองไปรอบๆ จะพบว่าในร้านมีอุปกรณ์เหมืองแร่ ทั้งตะเกียง เชือก ฯลฯ เป็นกิมมิกเล็กๆ อยู่ทั่วร้าน เพื่อระลึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งที่คุณฉันท์ ลายเลิศ บรรพบุรุษของผู้ก่อตั้งร้านเคยทำธุรกิจเหมืองแร่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเมื่อครั้งยังหนุ่ม       เมนูอาหารของที่นี่ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งอิตาเลียน อเมริกัน และบางจานแอบใส่ความเป็นเอเชียนลงไปให้สนุกขึ้น มาถึงแล้วประเดิมด้วยซิกเนเจอร์ค็อกเทล CY Delight Tom Yum ที่นำเครื่องต้มยำทั้งพริก ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มาสร้างสรรค์เป็นค็อกเทลรสแซ่บ จิบเดียวก็ตื่น เพราะทั้งหอมและได้รสเผ็ดนิดๆ เพิ่มความอยากอาหารได้ดีทีเดียว     เริ่มจานแรก CY Tom Yum Kung เส้นลิงกวินี่ลวกแบบอัน เดลเต้ นำมาผัดคลุกเคล้ากับเครื่องต้มยำ เชฟทำรสชาติกำลังดี ไม่เผ็ดจัด ทีเด็ดอยู่ที่กุ้งแม้น้ำไซส์ใหญ่ กินแล้วได้ทั้งความหอมและกลมกล่อมของมันกุ้ง อีกจานเด่น Lamb Shank เนื้อแกะส่วนขาหน้าหมักเครื่องเทศจนเข้าเนื้อ นำไปซูวีจนนุ่ม เราชอบที่เนื้อแกะทำได้ดี ไม่มีกลิ่นมากวนใจ เสิร์ฟเคียงด้วยมันฝรั่งบดผสมอะโวคาโด และน้ำจิ้มแจ่วรสเจ็บไว้ตัดกัน หรือจะลอง Grilled Australian Wagyu Tenderloin สเต๊กเนื้อวากิวอย่างดีนำเข้าจากออสเตรเลีย เลือกระดับความสุกได้ตามต้องการ เสิร์ฟพร้อมกราแตงมันฝรั่ง ซาวเคราท์ เกรวี่ซอส และกระเทียมอบ       ส่วนใครไม่ใช่สายเนื้อ สั่งจานปลาน่าจะถูกใจ Grilled Sea bass Beurre Blance ปลากะพงชิ้นโต ซูวีนาน 4 ชั่วโมง นำไปกริลล์อีกนิดพอให้หนังกรอบ เคียงด้วยผักโขม ไวท์ซอส ก่อนกินบีบเลมอนเล็กน้อย อร่อยแบบเบาๆ ไม่หนักเกินไป     แล้วปิดท้ายมื้อค่ำด้วย Coconut Panna Cotta Mango Sauce พานนาคอตต้ามะพร้าวเนื้อเนียนเด้ง ท็อปด้านบนด้วยมะม่วงน้ำดอกไม้หอมหวาน ราดซอสมะม่วงโฮมเมด กินคู่ขนมปังอัลมอนด์เข้ากันสุดๆ  

ไม่เพียงแค่บรรยากาศแสนร่มรื่นของ “เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก” จะชวนให้อยากหลีกหนีความวุ่นวายเข้ามาสัมผัสความสวย เงียบ และสงบของโรงแรมสไตล์โคโลเนียลร่วมสมัยที่ดัดแปลงจากเรือนพักอาศัยเก่าของพระนมในสมัยรัชกาลที่ 6 เท่านั้น แต่ “เดอะ ระวีกัลยา ไดนิ่ง” ห้องอาหารหนึ่งเดียวของที่นี่ยังทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปดื่มด่ำกับความอร่อยแบบวิถีไทยในยุคสมัยนั้นอีกครั้ง     ด้วยสูตรอาหารแบบโบราณผสานการปรุงแบบละเมียดละไมทุกขั้นตอนโดยเชฟผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแกงตำเอง กะทิคั้นสด หรือแม้กระทั่งมะพร้าวที่ขูดด้วยเล็บแมว รวมทั้งการคัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติล้วนๆ โดยเฉพาะผักและสมุนไพรที่เก็บมาทำกันสดๆ จากแปลงผักขนาดย่อมของโรงแรมก็ยิ่งทำให้อาหารไทยของที่นี่โดดเด่นไม่เหมือนใคร     เราแนะนำให้เริ่มด้วยเมนูกินเล่นอย่างหมี่กรอบที่ขอบอกว่าไม่ธรรมดา เพราะเส้นหมี่กรอบร่วน ไม่เหนียวแข็งติดหนึบ เชฟแอบกระซิบว่าเคล็ดลับอยู่ที่การนำเส้นหมี่ไปล้างน้ำก่อนนำมาปรุงคลุกเคล้ากับน้ำปรุงรสเปรี้ยวหวานหอมส้มมะขามและกลิ่นส้มซ่า ต่อด้วยน้ำพริกลงเรือจัดจ้านครบรส มาพร้อมปลาสลิดฟู ไข่เค็ม และผักแนมหลากชนิด       ก่อนไปอิ่มแบบเต็มๆ กับจานหลักเอาใจคนชอบอาหารเหนืออย่างข้าวซอยไก่ สูตรจังหวัดเชียงใหม่เข้มข้นกลมกล่อม ส่วนน่องไก่เนื้อนุ่มก็เลาะกระดูกออกให้กินง่าย ส่วนคออาหารใต้ต้องถูกใจข้าวยำน้ำบูดูสายบุรี ข้าวกล้องเสิร์ฟพร้อมน้ำบูดูสูตรปัตตานีที่เรารับประกันว่าไร้กลิ่นคาวและเครื่องเคียงสุดอลังการ ทั้งปลาเนื้ออ่อนทอด กุ้ง ปลาหมึก และหอยแมลงภู่ย่าง กุ้งแห้งจากมหาชัย มะม่วงเปรี้ยว มะพร้าวคั่ว รวมทั้งผักพื้นบ้าน อาทิ ใบชะพลู ตะไคร้ เม็ดกระถิน และดอกอัญชัน       ปิดท้ายด้วยของหวานแบบไทยๆ ที่หากินยากในปัจจุบันอย่างส้มฉุน ผลไม้ลอยแก้วที่รวมความสดชื่นของส้มโอ ส้มเช้ง ส้มซ่า และสับปะรดหอมสุวรรณหวานฉ่ำ และขนมเหนียว แป้งข้าวเหนียวนุ่มๆ โรยมะพร้าวขูดเส้น เวลากินให้ราดน้ำเชื่อม โรยงา คลุกกับข้าวพองกรุบกรอบ อร่อยแบบหยุดไม่ได้เลยจริงๆ    

พูดเรื่องอาหารเกาหลีเมื่อไหร่ ชื่อแรกที่อยู่ในใจหลายคนคงจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจาก ห้องอาหารคองจู ( Kongju ) ชั้น 2 โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ร้านอาหารเกาหลีร้านแรกๆ ในกรุงเทพฯที่ปลุกกระแสความมาแรงของวัฒนธรรม K-Food ให้เกิดขึ้นได้ในบ้านเรา แม้จะผ่านมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ที่นี่ยังคงความพิถีพิถันทุกขั้นตอน โดยมีมาดามคิม ฮันนา ผู้เชี่ยวชาญอาหารเกาหลีเป็นผู้ดูแลด้วยตัวเอง     ไฮไลต์ของที่นี่คือการตกแต่งสไตล์ “ฮันอก” (บ้านโบราณ) และบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกเหมือนได้ไปนั่งลิ้มรสมื้ออร่อยกันถึงดินแดนกิมจิ ส่วนเมนูอาหารเน้นเป็นอาหารเกาหลีดั้งเดิม เราแนะนำ All you can eat เซ็ทบาร์บีคิวบุฟเฟต์ที่รับรองว่าถูกใจสายปิ้งย่าง ( ช่วงนี้มีโปรโมชั่น 680 บาท จาก 850 บาท เฉพาะวันจันทร์-วันพฤหัสบดี) ที่นี่จัดเต็มเนื้อวัว เนื้อหมู ซี่โครงหมูหมัก เนื้อไก่ ปลาแซลมอน ปลาหมึก ปลากะพง ให้เราเลือกสั่ง ย่างบนเตาถ่านร้อนๆ แถมมาพร้อมเมนูพิเศษอย่างข้าวกระเทียม ซุปกิมจิ กุ้งผักกาดแก้ว ไก่ทอดพริก ฯลฯ แถมเครื่องเคียงก็จัดเต็มให้ได้ฟินกันจนอิ่มแปล้ (ถั่วดำหมักซีอิ๊วเกาหลีของที่นี่อร่อยมากจริงๆ)       ส่วนใครไม่ถนัดบุฟเฟต์ เมนูอะลาคาร์ตก็ดีงามประทับใจ อาทิ Goo Jeol Pan หรือเจ้าหญิงปทุมวัน เสิร์ฟมาในกล่องสีดำสวยงาม แอบถามได้ความว่าเป็นการจำลองกล่องข้าวของจักรพรรดิในอดีต เมื่อต้องออกไปทำภารกิจนอกวัง ด้านในมีแผ่นแป้งข้าวเจ้าและเครื่องเคียงอีก 9 ชนิด อาทิ แครอต เห็ดเข็มทอง ไก่ฉีก แตงกวา ไข่ ฯลฯ  วิธีกินก็แสนง่าย เพียงแค่ใช้ตะเกียบคีบทุกอย่างมาวางเรียงบนแป้ง (ไส้แน่นมากหรือน้อยแล้วแต่ความหิวเลย)  ต่อด้วย Dak Kang Jeong ไก่ชุบแป้งทอด กรอบนอกนุ่มใน คลุกเคล้ากับซอสรสเผ็ดหวานสูตรเฉพาะ โรยงาและกระเทียมทอด เราชอบที่เนื้อไก่ยังคงความชุ่มฉ่ำ แถมมีกลิ่นหอมของงา และอีก 1 เมนูห้ามพลาด Ho Vak Kal Bee Tchim ( ซี่โครงต้มเค็มเกาหลี) เสิร์ฟสุดอลังการในผลฟักทอง ความเก๋อยู่ที่วิธีการเสิร์ฟที่ค่อยๆ หั่นฟักทองออกเป็นริ้ว มองแล้วเหมือนดอกไม้กำลังเบ่งบานเลยทีเดียว     ตบท้ายอีกนิดด้วย Soo Jeong Kwa น้ำอบเชยปั่น กลิ่นหอมสดชื่น ปิดท้ายมื้ออร่อยได้อย่างลงตัว