หากคุณเป็นคนที่ชอบการตกแต่งครัวและชอบอาหารฟิวชันคงต้องถูกใจร้านนี้ Binova Gallery & Restaurant ซึ่งเป็นทั้งร้านอาหารและแกลเลอรีชุดครัวที่นำเข้าจากประเทศอิตาลี     ตัวร้านดูโปร่งโล่งน่านั่งเพราะผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกใส พื้นที่ชั้นล่างจัดเป็นร้านอาหารขนาด 20 ที่นั่ง ส่วนชั้น 2 และ 3 เป็นโซนส่วนตัวสามารถจัดงานเลี้ยงและสัมมนาได้ภายใต้บรรยากาศครัวสวยทันสมัยชวนให้เจริญอาหาร     คุณจาตุรนต์ ศานต์ตระกูล เจ้าของร้านบอกกับเราว่าต้องการเพิ่มพื้นที่จากร้านขายของแต่งบ้าน O.H.M. ที่นำเข้าอยู่แล้ว จึงขยายบริเวณนี้เป็นร้านอาหารที่มีทั้งอาหารจานเดียวง่ายๆ ในมื้อกลางวันและอาหารเย็นสไตล์ฟิวชัน โดยได้เชฟศักดิ์สิทธิ์ หอมจำปา ผู้มีประสบการณ์จากร้านอาหารญี่ปุ่นและยุโรปเป็นผู้สร้างสรรค์เมนูอร่อย   เริ่มต้นด้วยเมนูเรียกน้ำย่อย Seafood Salad สลัดซีฟู้ดรสจัดที่นำกุ้ง หอย และปลาหมึกมาย่างจนสุกหอม เสิร์ฟพร้อมผักสลัดสดกรอบและแซลมอนรมควันรสเค็ม ราดด้วยน้ำสลัดคล้ายน้ำยำรสชาติจัดจ้านถึงใจ     ต่อด้วย Seared Scallop Truffle หอยเชลล์จากฮอกไกโดย่างสุกพอดีกับซอสที่ใช้ปลาแห้งโบนิโตะผัดกับน้ำส้มบัลซามิก จานนี้มีรสหลากหลายทั้งรสหวานจากหอยเชลล์ รสเค็มจากปลาแห้งญี่ปุ่น รสเปรี้ยวนิดๆ จากน้ำส้มบัลซามิกและเพิ่มความมันด้วยวอลนัตอบ     หากยังไม่อิ่มลองสั่ง Crab Cake เนื้อปูล้วนๆ ผสมกับพริกหวาน 3 สี รากผักชี และกระเทียมกลิ่นหอม ปั้นเป็นชิ้น คลุกกับแป้ง ไข่ และเกล็ดขนมปัง ทอดจนกรอบ กินกับซอสมายองเนสโฮมเมดที่ใส่กระเทียมสับกลิ่นหอมและอร่อยเข้ากัน     ปิดท้ายด้วยซุปร้อนๆ อย่าง Mixed Mushroom in a Clear Soup ต้มยำเห็ดน้ำใสลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น เพราะเชฟใช้ปลาแห้งญี่ปุ่นทำน้ำซุป ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำมันงา น้ำมะนาว และพริกแห้งทอด รสเปรี้ยวและเผ็ดนิดๆ ช่วยให้สดชื่นขึ้นทันที     กินอิ่มแล้วจะไปชอปชุดครัวหรือดูเครื่องครัวต่อสะดวกเลย

ถึงเวลาที่สตีมซีฟู้ดอาหารยอดฮิตทั้งในจีนและสิงคโปร์จะมาโลดแล่นในบ้านเรากันแล้ว คุณโทนี่ หนึ่งในหุ้นส่วนชาวจีนเล่าว่าข้อดีของสตีมซีฟู้ดคือได้ความสุกกำลังพอดี ไม่เละเหมือนการต้ม แถมที่ร้านยังใช้หม้อสั่งทำพิเศษ ชั้นบนเป็นถาดสำหรับนึ่ง ส่วนด้านล่างเป็นหม้อข้าวต้มให้น้ำซีฟู้ดจากการนึ่งค่อยๆ ไหลลงไปเพิ่มรสชาติให้ข้าวต้มช้าๆ  ส่วนน้ำจิ้มมีให้เลือก 7 รสชาติตามชื่อร้านคือ  สับปะรด โหระพา ไทยซีฟู้ด ซอสขิง ซีอิ๊ว เต้าหู้ และกระเทียม       เมนูแนะนำ Steam Seafood ทีเด็ดอยู่ที่ล็อบสเตอร์เนื้อแน่นนำเข้าจากฝรั่งเศสและอเมริกา รวมทั้งเมนูสารพัดหอย อาทิ หอยเชลล์ หอยหวาน หอยตลับ หอยแมลงภู่ ฯลฯ กินคู่น้ำจิ้ม 7 รสชาติ   ล็อบสเตอร์ผัดไข่เค็ม เนื้อล็อบสเตอร์เด้งๆ ผัดกับไข่เค็มรสชาติกลมกล่อม แนมด้วยหมี่กรอบที่รองจานมา   ปูผัดข้าวทอด สูตรเด็ดของเชฟ เหมือนปูทะเลผัดพริกกระเทียมแต่อร่อยกว่าตรงที่มีข้าวทอดกรอบๆ ให้เคี้ยว    Saniovese เนื้อสันในนุ่มๆ เสิร์ฟแบบมีเดียมแรร์ เข้ากับซอสไวน์แดงรสออกฝาดนิดๆ   

เอาแบบนี้ดีกว่าปกติชายจุกถือคติยอมอ้วนเบียร์ดีกว่าอ้วนอาหาร แต่สำหรับ MASH ชายยอมใจปล่อยให้มันอ้วนไปทั้ง 2 อย่างนี้แหละ ก็นานครั้งจะได้เจอบาร์เบียร์ที่อาหารโคตรอร่อย แถมยังเป็นคราฟท์เบียร์บาร์เพียงไม่กี่แห่งในโซนสีลมที่ชายต้องบอกต่อ ยิ่งในซอยคอนแวนต์ใกล้บีทีเอสศาลาแดงด้วยแล้ว ชายบอกได้คำเดียวว่าใกล้บ้าน     หุ้นส่วนร้านเจอกันที่อเมริกา ต้นตำรับอารยธรรมคราฟท์เบียร์ ทำให้ที่นี่เด่นทั้งเรื่องของอาหารสไตล์อเมริกันและคราฟท์เบียร์ ซึ่งหุ้นส่วนเชื่อว่าอาหารอเมริกันนี่แหละที่เข้ากับเบียร์ที่สุด ด้วยหนึ่งในหุ้นส่วนเป็นเชฟจึงตั้งใจให้เป็นบาร์แอนด์เรสเตอรองท์ เรียกว่าเพิ่มความอ้วนแบบฟิน 2 เท่า แต่อร่อยแบบนี้ก็ยอมเหอะ     คราฟท์เบียร์มีให้เลือกแบบสดจากแท็บทั้ง 16 แท็บ มีทั้งคราฟ์เบียร์ไทยและเทศ เลือกสไตล์เบียร์ให้วาไรตี้ที่สุด ใครชอบเบียร์ตลาดไม่แนะนำที่นี่ แต่ถ้าชอบหลากหลายแปลกใหม่ขอให้รีบพุ่งตัวมาเย็นนี้เลย เมื่อชายเอ่ยปากถามถึงเบียร์ต้องบอกว่าให้ข้อมูลโคตรดี ฟังแล้วคอแห้งเลย ปกติเจอแต่แบบชี้ไปที่บอร์ดอธิบายอะไรไม่ได้   IPA Devanom คราฟท์เบียร์ไทยที่ส่งกลับเข้าประเทศ แบรนด์นี้จากบริวมาสเตอร์ที่ปลูกดอกฮอฟต์เอง ไม่แน่ใจว่าเบียร์ตัวนี้ใช้ไหม ชายว่ามีความไอพีเอแหละ แต่บอดี้บางไปหน่อย แต่ชายชอบ Anderson Valley Wild Turkey Bourbon Barrel เบียร์ดำที่นำไปเอจในถังเบอร์เบิน ชายว่าบอดี้ดี กลิ่นรสก็ดีด้วย แอบได้ยินว่าจะมีโอมากาเสะเบียร์ด้วยในอนาคต (ชื่อนี่ชายตั้งเอง) เหมือนไฟลท์แหละ แต่จิบเบียร์มันก็ต้องเย็นๆ หน่อยเนอะ จิบทีละแก้วแล้วลำดับรสไปเรื่อยๆ น่าจะดีงามกว่า   มาที่อาหารต้องบอกว่าทูดายฟอร์ Fried Oyster แป้งเขาดีกรอบอร่อยจิ้มไอโอลีเผ็ดนิดๆ American Burgers ขนมปังโฮมเมดกับแพทตี้ ชีสเชดดาร์ เบคอน และผักดองกับมันฝรั่งทอด โอ๊ย! กับเบียร์คือดี ยิ่ง Philly Cheese Steak Sandwich ยิ่งดี เนื้อริบอายนุ่มๆ ฉ่ำกับซอสไวน์แดงและชีสเชดดาร์ยืดๆ          แต่ถ้าเป็นสัตว์กินเนื้อแบบชายจงสั่ง 2 จานต่อไปนี้ ไม่มีแป้งมากวนใจ เอาท้องไปถมกับเบียร์แทน Pork Spare Ribs เนื้อล่อนๆ นุ่มๆ กับซอสวิสกี้โฮมเมด หรือเมนูพิเศษ Rack of Lamb ซี่โครงแกะออสเตรเลียกับซอสไวน์แดงมิโซะ หาอะไรนะ ซอสไวน์แดงมิโซะ แต่ดีอะ       ถ้าอาหารจะอร่อยขนาดนี้มันก็จบในร้านเดียวได้เลยสินะ

หลังจากชายจุกได้ชิม Wang Jia Sha มาก่อนหน้านี้ ชายก็ตบปากรับคำมาชิม Townhouse ต่อในทันที ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านอาหารเครือ Gaia Group  ที่ชักชวน Greyhound Café ไปเปิดในฮ่องกง แม้ว่าจะเป็นร้านอาหารในเครือเดียวกัน แต่ก็ฉีกแนวออกมาจากหวังเจี่ยชาที่เน้นติ่มซำ ที่นี่เน้นความโมเดิร์นในแบบที่ทางร้านเรียกว่า Share Good Food with Good Friend      อาหารเป็นแบบ East Meets West ที่นำเอาความเป็นตะวันตกผสมกลมกลืนไปกับตะวันออกอย่างแนบเนียน นอกจากอาหารยังเด่นเรื่องค็อกเทล พร้อมมีดีเจมาเปิดแผ่นช่วงสุดสัปดาห์ เรียกว่าให้อารมณ์แบบบาร์และร้านอาหารโดยแท้จริง กินอาหารเสร็จดื่มต่อได้เลย     เริ่มที่อาหาร ชายเลือก Robata Grilled Portobello เคยเห็นในโลกโซเชียลน่ากินดี เห็ดพอร์โทเบลโลย่างกับกิมจิ ชีสมาโยอุ่นๆ ยืดๆ ตามด้วยอาหารเบาๆ Pink Rice Paper Rolls แป้งเปาะเปี๊ยะแบบเวียดนามห่อด้วยบีตรูต แซลมอนรมควัน และกุ้งลายเสือ เพิ่มรสชาติด้วยไข่แซลมอนด้านบนและซอสมะม่วง คั่นด้วยสลัด Caesar Salad, Runny Egg, Soft-Shell Crab ซีซาร์สลัดกับปูนิ่มทอดผงกะหรี่และไข่ยางมะตูม ชายว่าผงกะหรี่ที่ทอดกับปูนิ่มทำให้สลัดจานนี้รสจัดจ้านกว่าซีซาร์สลัดทั่วไป           ส่วนจานเด่นชายแนะนำ BBQ Smoked Duck, Leeks and Mozzarella Cheese Pizza พิซซาสุดเก๋ที่ได้รางวัลในฮ่องกงมาแล้ว เรียกง่ายๆ ว่าพิซซาเป็ดปักกิงก็คงได้ ชายว่าอร่อยดี แป้งบางกรอบ หอมซอสฮอยซิน ส่วนเป็ดอาจจะไม่ได้หนังกรอบแต่รมควันมารสดีเชียว ชายว่าควรสั่ง และ Chilean Sea Bass Fillet ปลากะพงชิลีอบกับซอสมะเขือเทศตากแห้งที่รสเปรี้ยวนิดๆ ตัดกับรสหวานของเนื้อปลา       แต่ที่ตราตรึงใจชายที่สุดเป็นของหวาน Vanilla Soufflé​ ซูเฟล่ขนาดยักษ์ที่เนื้อนิ่มหยุ่น แค่เขย่าเล่นก็เพลินแล้ว เอ๊ะใช่สิก่อนกินต้องเจาะรูแล้วราดด้วยซอสครีมรัมส้มที่หอมหวาน และที่เลิฟยิ่งกว่าเป็น Fondue Set เลือกได้ว่าจะเป็นคัสตาร์ด ชาเขียว หรือช็อกโกแลต ชายเลือกคัสตาร์ดอุ่นๆ จิ้มด้วยวัฟเฟิลฮ่องกง สลับกับมาร์ชแมลโลว์ ผลไม้สด และบราวนี่       หลังมื้ออาหารก็ได้เวลาค็อกเทล ชายจัดหนักสิไม่ได้ไปไหนต่อ Old Fashioned รสชาติไม่แย่ คนที่ชอบคลาสสิกค็อกเทลน่าจะถูกใจ Golden Triangle รัมอินฟิวกับใบกะหรี่ ลิเคียวร์พีช บรั่นดีแอปริคอต และโฟมขิง     

BIRDS Rotisserie เป็นร้านที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของฟู้ดดี้ชาวฝรั่งเศส 5 คน คือ ลอเลน เพร์ช, แทมิว บาโบ, แมททิว โอดู, เชฟเจอรามี ตูเร่ห์ และเชฟจูเลียน ลาวีน โดยมีเชฟเจอรามีดูแลสูตรอาหาร โดยเริ่มต้นเพียงไก่ที่ได้สูตรที่ดีที่สุด ก่อนเตรียมอาหารจากสัตว์ปีกอื่นๆ เพิ่มในอนาคต       ที่นี่เลือกใช้ไก่ไทยออร์แกนิกที่ปล่อยเลี้ยงให้อิสระจากเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เลือกใช้เฉพาะไก่ตัวเมียที่เนื้อนุ่ม น้ำหนักอยู่ที่ตัวละ 1.5 กิโลกรัม หมักนาน 3 วัน อบด้วยเตาที่จุไก่ได้ครั้งละ 36 ตัว นาน 55 นาที ให้ไก่ทั้งตัวค่อยๆ สุกไปด้วยกัน     จานเด่นห้ามพลาด Roasted Chicken มี 3 ขนาด 1/4 ตัว ครึ่งตัว และทั้งตัว เสิร์ฟพร้อมน้ำของไก่ที่ได้จากการอบปั่นผสมกับส่วนคอและขาไก่จนได้จูสหรือน้ำข้นๆ มาพร้อมมันฝรั่งและข้าวโพดที่ล้วนเป็นผักออร์แกนิกจากเชียงใหม่ เนื้อในของไก่ฉ่ำนุ่มอร่อยดี     นอกจากไก่อบที่เป็นจานเด็ดแล้วอาหารอื่นๆ ที่นำเอาส่วนต่างๆ ของไก่มาทำก็ใช่ย่อย ไก่ทั้งตัวจะถูกแปรรูปเป็นอาหารต่างๆในแบบ nose to tail เลยแหละ Birds Nuggets (180 บาท) นัตเก็ตไก่ที่หอมด้วยเครื่องเทศ Birds Chicken Mousse (210 บาท) ตับไก่เข้มข้นกับขนมปัง       สลัดผักออร์แกนิกก็ดีมาก ทำเป็นสลัดหลากหลายแบบสำหรับกินกับเมนูไก่ Quinoa Tabbouleh ควินัว ส้มโอ แห้ว และน้ำสลัดส้ม และ Super Grilled สลัดผักย่างที่หอมกลิ่นไหม้ๆ ราดด้วยน้ำสลัดบัลซามิกผสมน้ำมะพร้าว        ถึงจะเป็นร้านอาหารสัตว์ปีก แต่ ของหวานก็ไม่บกพร่อง Riz พุดดิ้ง (130 บาท) พุดดิ้งข้าวกับคาราเมลและมะพร้าวคั่ว ก็รสอร่อย     ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเชฟเชฟได้ที่นี่ Add Favorite In Get Adobe Flash player จิงของร้านคือดีมากรักษ์โลกใช้ถุงกระดาษและกล่องไม้ไผ่ 

ได้ยินแค่เชฟร้านนี้มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับเชฟกากัน อนันต์ (Gaggan Anand) เชฟอันดับ 1 ของเอเชีย และเชฟอันดับ 7 ของโลก ชายจุกไม่รอช้ายกหูโทรหาเชฟการิมา อะโรล่า (Garima Arora) นัดหมายเข้าไปชิมอาหารของเธอ ซึ่ง Gaa ร้านใหม่ที่เธอเป็นเชฟใหญ่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับ Gaggan เลย อ้าว ก็คนยังเลิฟๆ กันอยู่นิ     เมื่อไปถึงชายจำได้ว่าเชฟการิมาก็คือเชฟที่เคยมายืนตี Red Matcha ซุปมะเขือเทศที่ชงด้วยเทคนิคชงชาญี่ปุ่นของร้านกากัน แต่ไม่แน่ใจจึงเอ่ยทักเชฟว่า เออ ยูเคยชงซุปมัตฉะแดงให้ไอใช่ไหม คำตอบที่ได้คือ ไอชงให้แขกเยอะแยะ 555 ไอจำไม่ได้จริงๆ เออ จริงของยู             อีกคำถามที่เรายิงใส่เชฟคือ มันจะมีกลิ่นอายของอินเดียไหมก็ยูเป็นคนอินเดีย เธอไม่ได้ตอบตรงๆ แต่อธิบายว่าอาหารของเธอเรียกว่า Local Product Eclectic Flavors ที่นำเอาวัตถุดิบจากภายในประเทศมาปรุงด้วยเทคนิคสมัยใหม่ออกมาเป็นเมนูหน้าตาแปลกใหม่ โดยเชฟการิมาบอกว่าเลือกเอาวัตถุดิบท้องถิ่นจากตลาดทางภาคเหนือ โดยเลือกจากฟาร์มเล็กๆ ทำให้บางครั้งวัตถุดิบก็ไม่เพียงพอ เมนูอาหารของเธอจึงเปลี่ยนไปตามวัตถุดิบ เธอยังย้ำชัดว่าเธอใส่ทุกอย่างที่มีทั้งประสบการณ์ เทคนิคสมัยใหม่ ฤดูกาล ไอเดีย รวมถึงความเป็นอินเดียลงไปในอาหารกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า Eclectic               ด้วยคอนเซ็ปต์แบบนี้ เธอจึงบอกกับชายว่ามีเฉพาะ Tasting Menu ในช่วงนี้มี Small 8 คอร์ส ราคา 1,800 บาท ++ และ Big 12 คอร์ส ราคา 2,400 บาท ++  ชายขอเลือกคอร์สที่ชายชอบมาเล่าให้ฟังแล้วกัน Crisp Cabbage คำนี้เก๋เอาผักกาดไปอบกรอบ สอดไส้ด้วยพริกหวานย่างกับมะระย่าง รสคล้ายน้ำพริกหนุ่มที่ออกเปรี้ยวนำและติดขมเล็กน้อย ชายว่าเปิดต่อมรับรสได้ดีเชียว     Young Corn + Cornmilk ข้าวโพดอ่อนย่าง รสหวานซ่อนรสเผ็ดจางๆ และกลิ่นหอมของเครื่องเทศ ให้ความรู้สึกเหมือนกินข้าวโพดฝักใหญ่มากกว่าข้าวโพดอ่อน ชายไม่แน่ใจวิธีปรุงแต่รักมาก จิ้มกับน้ำนมข้าวโพดที่เคี่ยวเป็นซอสข้นๆ     Fish Kanom La เป็นไอเดียที่เจ๋งมาก เชฟการิมาเอาไอเดียของขนมลากับทาโก้มารวมกัน ชั้นนอกขนมลาชั้นในทาโก้ สอดไส้เนื้อปลาเก๋าที่ปรุงกับมัสตาร์ด ให้รสเปรี้ยวปนเผ็ด     Grilled Pork Ribs ซี่โครงหมูหมักซอสที่ทำจากมิโสะผสมโคจิก่อนนำไปย่าง มากับทับทิม หอมซอย และต้นหอม กินกับขนมปังอบ ครีมไข่แดงเค็ม พริกดอง ขิงดอง แตงกวาดอง และแครอตดอง ทำให้รสจัดจ้านขึ้น     Soft Serve ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในเทสติ้งเมนูเป็นอะไรที่เก๋มากและรสชาติล้ำมาก มี 3 รส Jaggery Coriander ซอฟต์เสิร์ฟรสน้ำตาลโตนดอินเดียกับเยลลี่ชาหมักที่หมักถึงสองครั้ง มาพร้อมโคนแป้งสาลีคั่วอบแห้ง Turmeric ซอฟต์เสิร์ฟรสขมิ้นกับโคนงาดำ โรยด้วยดอกคำฝอย และ Bee Wax ซอฟต์เสิร์ฟไขผึ้งกับโคนเกสรผึ้ง ราดน้ำผึ้งป่าและดอกเก๊กฮวยสด หอมหวานเชียว     ปิดท้ายด้วยฟีลที่อินเดียสุดๆ 4 Element of Chocolate ช็อกโกแลตที่ให้เนื้อสัมผัส 4 แบบ ที่ต้องกินตามเข็มนาฬิกา เริ่มที่ 3 โมง Laddu แป้งคั่วพริกและเครื่องเทศเคลือบช็อกโกแลต ให้รสเผ็ดร้อน Rice Bran Cream ครีมรำข้าวอินฟิวส์กับแกลบออร์แกนิก ให้รสครีมมัน Sweet Tamarind มะขามหวานเคลือบช็อกโกแลต ให้รสเปรี้ยวหวาน และใบชะพลูที่เคลือบด้วยผงเฟนเนล ชัตเนย์กุหลาบ คาร์ดามอมแคนดี้ ม้วนกินแบบหมาก ให้กลิ่นของกุหลาบและรสเย็นของคาร์ดามอม ล้างปากหลังมื้ออาหารดีทีเดียว     จบมื้อแล้วแต่คนยังไม่จบ ชายยังคิดข้ามไปถึงเมนูใหม่ที่อดคิดไม่ได้ว่าจะล้ำและเก๋กว่านี้อีกขนาดไหน และคิวจองจะสาหัสแน่นอน ก็ดีจริงๆ

ใครกำลังมองหาสถานที่กินข้าวในบรรยากาศผ่อนคลายอยู่ เราขอแนะนำ Gizmo Coffee & Roasters ให้รู้จัก นอกจากทุกมุมที่นี่จะนั่งแฝงกายไปกับเงาไม้สไตล์ทรอปิคอลได้แบบกลมกลืนแล้ว เมนูอาหารและเครื่องดื่มก็ชวนให้ฝากท้องแบบไม่ต้องรีรอ เพราะเชฟปรัช-ปรัชญา เกริกอาชาชัย นำไอเดียที่เคยทำงานร่วมกับเชฟชื่อดังอย่างเชฟ Timothy Magee จากห้องอาหาร Noma DK, เชฟ Wilfrid Hocquet จากห้องอาหาร Alain Ducasse และประสบการณ์ในห้องอาหาร Fujiya Restaurant Osaka มิชลินสตาร์ 3 ดาวมาต่อยอดคิดเมนูสไตล์เวสเทิร์นในรูปแบบ Family Style ที่สามารถพาทุกคนในบ้านมาสังสรรค์กันได้สบายเลย       เชฟปรัชเล่าต่อว่าวัตถุดิบในร้านส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ และเลือกวัตถุดิบคุณภาพในบ้านเราอย่างพืชผักตามฤดูกาลหรือเนื้อไก่จากฟาร์มเปิด ส่วนเครื่องดื่มได้บาร์เทนเดอร์จากร้าน Gaggan มาทำเมนูที่คุ้นตาแต่รสชาติต่างออกไป โดยเน้นใช้ผักผลไม้เป็นตัวชูโรง แต่ถ้าใครไม่ถนัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ร้านก็มี Healthy Juice น้ำผักผลไม้สกัดเย็น 3 สูตรเป็นทางเลือกด้วยอย่าง Purple Retreat (กะหล่ำม่วง มะนาว ส้ม) Before Sunset (แครอต แอปเปิล แตงกวา) และสูตรระบายของเสียให้เกลี้ยงพุง Veggie Detox ผสมกันลงตัวระหว่างผักโขม ขึ้นฉ่าย และแอปเปิลเขียว ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีน้ำตาล     ส่วนอาหาร Grilled U.S.A. Scallop ก็ดีงาม หอยเชลล์ตัวใหญ่จากอเมริกาเนื้อแน่นหนึบย่างให้หอมฉุย เสิร์ฟกับข้าวบาร์เลย์ บัตเตอร์นัตหวานมัน ฟักทองอบสมุนไพร ราดด้วยซอสคาราเมล (แผล่บ!) หรือ Slow-Cooked Snow Fish ก็ดีต่อใจ เนื้อปลาตุ๋นกับน้ำมันและมิโซะกลิ่นหอม ราดซอสกระดูกปลาสไตล์ฝรั่งเศส เสิร์ฟกับผักนานาชนิด และเมนูสุขภาพที่เราชอบมากอย่าง Beetroot Salad บีตรูตอบกับน้ำส้มสายชูหมักจากไวน์แดง ราดซอสมิกซ์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน กินกับผักสลัดและเฟตาชีสเค็มๆ มันๆ รับรองว่าที่นี่จะทำให้คุณไม่อยากวางช้อนเลยแหละ!       

Game Meat อธิบายง่ายๆ ด้วยภาพของชาวยุโรปที่ออกไปยิงนกเป็ดน้ำ หรือขี่ม้าล่ากวาง แต่ยังไม่เป็นที่คุ้นเคยกับคนไทยสักเท่าไหร่ จนเมื่อ Wild & CO. หาญกล้าทำร้านอาหารแนวรมควันและเกมมีตขึ้นมา      ไวด์ แอนด์ โค เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มคนในวงการอาหารและเครื่องดื่ม อย่าง เชฟโม เชฟร้าน Munchies for Munchies เชฟทำไส้กรอกที่กำลังมองหาร้านใหม่จนมาเจอกับคุณแจ๊ค คุณพีท คุณบอล และคุณคิด ซึ่งล้วนถนัดเรื่องกินดื่ม ทำให้ที่นี่กลายเป็นร้านใหม่ที่น่าจับตามอง     เชฟโมลงมือทำเตารมควันด้วยตัวเองเพื่อสร้างสรรค์อาหารรมควัน แน่นอนว่าไส้กรอกที่เขาถนัดยังคงมีอยู่ รวมสร้างจุดเด่นใหม่ขึ้นมาอาทิ อกเป็ดรมควันและซี่โครงวัวรมควัน โดยใช้ไม้ฮิคโครีรมควันนาน 8-9 ชั่วโมง เชฟโมยังซุ่มทดลองรมควันด้วยไม้แอปเปิล ไม้มะขาม และไม้มะม่วง เพื่อให้เนื้อสัมผัสและกลิ่นของอาหารรมควันดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่     อาหารทุกจานมีเกมมีตเป็นส่วนประกอบหลัก แม้แต่สลัดก็ไม่มีข้อยกเว้น Quail Salad สลัดผักออร์แกนิกที่ผสมโหระพาและผักไทยๆ เนื้อนกกระทา ไข่นกกระทา กับน้ำสลัดบัลซามิกและลูกหม่อน นกกระทายังปรุงเป็น Foie Gras Stuffed Quail เนื้อนกยังคงรสอร่อยเด่นจากการนาบกระทะแล้วอบ ยัดไส้ด้วยฟัวกราส์ กินกับสลัดผักและบัตเตอร์นัตสควอชบด       ใครไม่เคยกินเนื้อกระต่ายเราอยากให้ลอง Rabbit Roll ใช้เนื้อสันในห่อเครื่องในแล้วพันด้วยเบคอน นำไปย่างแล้วอบ ราดซอสจากการปรุงเนื้อกระต่าย กินกับถั่วลันเตา แก่นตะวัน และเบบี้แครอตผัด ส่วนเนื้อกว่างเป็น Venison Steak เนื้อกวางย่างราดซอสพริกไทยดำ       ปิดท้ายด้วยไฮไลต์ Smoked Beef Ribs ซี่โครงวัวจากสกลนครรมควันด้วยไม้ฮิคโครีที่คอยประพรมด้วยน้ำแอปเปิลระหว่างรมควัน เนื้อนุ่มล่อนมาก หอมควันไฟ มาพร้อมพริกดองและแตงกวาดองห่อด้วยแป้งตอร์ติญากินเป็นคำ     แว่วมาว่าในอนาคตทางร้านจะนำเนื้อเกมตามฤดูกาลมาให้ชิมกันอย่างต่อเนื่อง อาจจะเริ่มที่เนื้อจิงโจ้ก่อน

Tag: , สลัด,

อยากจะกรีดร้องตะโกนให้สุดเสียง เพราะในที่สุด Milkcow ร้านไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟสุดโด่งดังในโลกโซเชียลของเกาหลีได้เดินทางมาถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย หลังจากแก้มแดงเคยนั่งมองตาปริบๆ แกมอิจฉาประเทศอื่นๆ อย่างอเมริกา ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย แคนาดา และออสเตรเลีย ในไอจีมาพักใหญ่ งานนี้เลยขอมาประกาศกร้าวว่าเราจะต้องไปชิมให้ได้! (เล่นใหญ่ไปไหม?)     นอกเหนือจากความอร่อยของไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟที่เอาชนะใจใครต่อใครได้แล้ว คงต้องบอกว่าเสน่ห์จริงๆ ของแบรนด์นี้ ก็คือ ที่มาของแหล่งนมที่ดีงามไม่แพ้รสชาติ เมื่อนมทุกหยดที่เรากำลังจะได้ลิ้มลองกันนั้นเป็นน้ำนมออร์แกนิกที่มาจากแม่วัวอารมณ์ดีที่ถูกเลี้ยงแบบปล่อยให้วิ่งเล่นและแทะเล็มหญ้าในฟาร์มอย่างเพลิดเพลิน จนได้น้ำนมคุณภาพรสชาติเข้มข้น กลมกล่อม และปราศจากสารเคมี       แก้มแดงขอประเดิมเมนูแรกด้วย Milky Cube (แบบถ้วย 159 บาท แบบโคน 169 บาท) เมนูซิกเนเจอร์ฮอตฮิตติดตลาดที่พอเห็นก็ต้องตกหลุมรักกับความเนียนนุ่มสีขาวนวลที่มาพร้อมความหอมหวานของรังผึ้งชิ้นสี่เหลี่ยมพ่วงมาให้เคี้ยวหนึบ เจือความหวานน้อยๆ ที่สำคัญถ้าใครลองกินแบบโคนก็จะได้ความกรุบกรอบเพิ่มเติมเข้ามาด้วย (เลิฟเลย)       แล้วมาเพิ่มดีกรีความเข้มกับ Banoffee (ราคา 149 บาท) ไอศกรีมนมซอฟต์เสิร์ฟที่ซุกซ่อนความหอมหวานของกล้วยชิ้นใหญ่ และครัมเบิลเคี้ยวกรุบ ก่อนจะราดด้วยซอสเนื้อกล้วยเพิ่มความฉ่ำ และซอสคาราเมลที่ช่วยเพิ่มความหอมหวานละมุนขึ้นมาอีกขั้น     แต่ถ้าชอบความอร่อยเวอร์วังอลังการแล้วล่ะก็ คงต้องลอง Santorini (159 บาท) ที่ยกขบวนความอร่อยมาประเดประดังบนซอฟต์เสิร์ฟนมของเรา ไม่ว่าจะเป็น คุกกี้โอรีโอ ถั่วพิตาชิโอ และถั่วลิสงบด มาโรยจนทั่ว ร่วมด้วยเหล้าหวานสีฟ้าสดใสอย่าง Blue Curacao มาเสริมทัพ แล้วตกแต่งปิดท้ายด้วยเวเฟอร์ช็อกโกแลต และสายไหมสีขาวฟูฟ่อง แก้มแดงคงไม่ต้องบอกนะคะ ว่าควรจะจัดการกับอะไรก่อน     นอกจากไอศกรีมแล้ว ที่นี่ยังมีเมนูพิเศษส่งตรงมาจากเกาหลีอย่าง Tiramisu (159 บาท) ทีรามิสุในแก้วใสที่อัดแน่นด้วยชีสมาสคาโปนเนื้อนุ่มละมุนสุดๆ เคี้ยวเพลินด้วยชิ้นเค้กเลดี้ฟิงเกอร์ชุปในกาแฟเอสเปรสโซ่รสขมนิดๆ อร่อยจนอยากบอกต่อ แต่ถ้าใครอยากนั่งยาวๆ ที่นี่ก็มีเค้กชิ้นเล็กๆ มาเคียงคู่กับไอศกรีมกันด้วยนะ แก้มแดงก็เลยปิดท้ายด้วยเค้กส้มรสเปรี้ยวๆ มาตัดรสชาติ     และอย่าลืมเตรียมรอสาขาใหม่ของ Milkcow ได้เร็วๆ นี้

เคยเป็นบ้างไหม? ไปร้านอาหารทีไรสั่งเมนูไม่ค่อยจะถูกเลือกแล้วเลือกอีก เลือกนานกว่าจะตัดสินใจได้   มาที่นี่สิเลือกง่าย เพราะที่ ห้องอาหารนิชโรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ โดยเชฟเจมส์ นอร์แมน หัวหน้าพ่อครัวบริหารประจำโรงแรม เขาเลือกแล้วจัดเมนูเด็ดไว้ให้เราสั่งง่ายๆ แค่อยากกินปลา เนื้อวัว เนื้อแกะ ฯลฯ ก็เลือกได้ว่าจะให้เชฟปรุงแบบสไตล์เอเชี่ยน (Asian) หรืออยากจะให้เชฟปรุงมาแบบนอน-เอเชี่ยน (Non-Asian) ก็ได้     เราชิมมาแล้วเลยอยากบอกต่อ เริ่มต้นด้วยจานเรียกน้ำย่อย เนื้อวัววากิวซาชิมิ แล่บางๆ ถ้าเป็นแบบเอเชี่ยน เชฟจะราดด้วยซีอิ๊วโรยงา เสิร์ฟกับเผือกกรอบและเจลมะม่วงรมควัน ส่วนนอน-เอเชี่ยนเชฟเสิร์ฟมากับเห็ดและซอสไข่แดงใส่ทรัฟเฟิล เข้มข้น   เนื้อวัววากิวซาชิมิ แบบเอเชี่ยน   เนื้อวัววากิวซาชิมิ แบบนอนเอเชี่ยน   ส่วนจานปลาเราลองชิม ปลาฮามาจิ แบบเอเชี่ยนเชฟนำสาหร่ายมาม้วนแล้วหั่นบาง กินกับซอสมิโสะใส่ยูสุหอมๆ รสเค็มอร่อย ส่วนแบบนอน-เอเชี่ยนมากับบีทรูทและซอสโยเกิร์ตทารากอนกินแล้วสดชื่น   ปลาฮามาจิ   เริ่มหนักท้องอีกนิดด้วย เนื้อสันในวากิว แบบเอเชี่ยนที่เชฟเสิร์ฟมาคล้ายส้มตำเนื้อย่าง ส่วนนอน-เอเชี่ยนนั้นเสิร์ฟแบบคลาสสิคราดซอสบัลซามิค ชีสพาร์เมซานขูดเป็นแผ่นและผักร็อคเก็ต   เนื้อสันในวากิว แบบเอเชี่ยน   เนื้อสันในวากิว แบบนอนเอเชี่ยน   มาถึงจานที่ทำจาก เนื้อแกะ กันบ้าง จานแรกเป็นเนื้อแกะอยู่บนซอสที่เชฟทำให้มีรสเหมือนแกงเรนดังหอมกลิ่นเครื่องเทศ ส่วนนอน-เอเชี่ยนเสิร์ฟเนื้อแกะกับซอสชิมิชูริและมะเขือเทศอบ   เนื้อแกะ   สุดท้ายที่ของหวานใครที่ชอบ พาฟโลว่า ห้ามพลาดเลย แบบเอเชี่ยนมาพร้อมกับความหอมหวานของลิ้นจี่และขิง หรือจะเลือกคู่กับเลมอนเคิร์ดรสเปรี้ยวอมหวานก็อร่อยไม่แพ้กัน   พาฟโลว่า   แต่ละจานถูกเสิร์ฟมาในขนาดที่พอเหมาะให้ทุกคนได้แบ่งความอร่อยและชิมเมนูได้หลากหลายมากขึ้น มาหลายๆ คนแบ่งกันชิมก็สนุกดี จะเลือกค็อกเทลมาจิบคู่กันก็ใช้ได้เลยนะ เช่น Niche Negroni, The Niche Old Fashioned, Italian Love Story   Niche Negroni   The Niche Old Fashioned   Italian Love Story   เป็นมื้อเบาๆ กินง่ายๆ เดินช้อปปิ้งพารากอนจนเหนื่อยก็เดินข้ามมาได้เลยมีสะพานเชื่อมด้วยนะ

Tag: , ,

จาก 800 สาขาทั่วทุกมุมโลกน่าจะการันตีความฮอตฮิตของ แจมบาร์ จูซ ร้านเครื่องดื่มผักและผลไม้แท้ 100% จากฝั่งอเมริกาได้เป็นอย่างดี และตอนนี้คนไทยเราจะได้สัมผัสความอร่อยสดชื่นอย่างเป็นทางการแล้ว (เย่ๆ) กับสาขาแรกที่ชั้น G ศูนย์การค้าสยามพารากอน     จุดเด่นที่ทำให้แจมบาร์ จูซ ขึ้นแท่นเป็นเครื่องดื่มสมูทตี้อันดับ 1 ในอเมริกาก็คือ ความอร่อยอันเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ พร้อมบอกแคลอรีแบบชัดเป๊ะให้คำนวณเล่นกันในใจ เนื่องจากเครื่องดื่มทุกสูตรล้วนผ่านจากการคิดค้นมาตั้งแต่กระบวนการปลูกไปจนถึงการเก็บเกี่ยว ร่วมด้วยการทดลองทางด้านรสชาติว่าผลไม้ตัวนี้มาเจอกับส่วนผสมนี้แล้วจะได้รสแบบไหน ทำให้มั่นใจได้เลยว่าเครื่องดื่มทุกตัวปราศจากสารปรุงแต่ง ไร้ไขมัน และมีความหวานตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับรสชาติที่ใกล้เคียงกันไม่ว่าจะไปกินที่ไหน     เครื่องดื่มของที่นี่มีให้เลือกตั้งแต่ น้ำผักผลไม้คั้นสด (Juice) ที่มีให้เลือกตามชอบ สมูทตี้ (Smoothie) น้ำปั่นที่ให้เรามิกซ์แอนด์แมตช์ส่วนผสมด้วยตัวเอง และเอนเนอร์จี้ โบลว์ (Energy Bowl) อาหารแคลอรีต่ำที่มีส่วนผสมของกราโนล่า โยเกิร์ต และผลไม้ สำหรับมือใหม่หัดสั่ง เราขอแนะนำ  Mango A Go Go สมูทตี้มะม่วงข้นๆ ที่เติมรสหอมอมเปรี้ยวด้วยสตรอว์เบอร์รี่และเสาวรส แต่ถ้าใครชอบความเข้มข้นหอมมันก็ต้องลอง Super Food PB Chocolate Love สมูตตี้ช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของกล้วย นมอัลมอนด์ เนยถั่ว และช็อกโกแลต กลายเป็นความหนุบหนับ จนเหล่าช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ก็ต้องหลงรัก       แต่ถ้าอยากลองรสชาติผักใบเขียวขอแนะนำ Green Getaway ที่นำผักโขมมาทำรสชาติได้น่าสนใจ ด้วยการเติมส่วนผสมสุดจี๊ดอย่างมะม่วง เสาวรส โยเกิร์ต และเมล็ดเจีย ออกมาเป็นรสชาติความหอมหวานละมุนติดเปรี้ยวนิดๆ ไม่เหม็นเขียวเลย นอกจากนี้ ยังมีเอนเนอจี้ โบลว์ อย่าง Chunky Strawberry Bowl ที่อัดแน่นด้วย สตรอว์เบอร์รี่ กล้วย โยเกิร์ต เนยถั่ว และกราโนล่า ยิ่งคลุกกินก็ยิ่งเพลิน     

หากอยากดื่มด่ำช่วงเวลาในการจิบชาให้สมดุล เราว่านอกจากสถานที่และบรรยากาศเงียบสงบจะพาเราดำดิ่งสู่รสชาติชาที่แท้จริงแล้ว อีกหนึ่งไคลแม็กซ์สำคัญเลยคือชาหอมๆ นี่ล่ะ เป็นเหมือนยาใจชั้นดีช่วยผ่อนคลายอารมณ์สุนทรีย์ให้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว Tea Lover คนไหนกำลังมองหาสถานที่พักใจไปกับชาหอมกรุ่นเราว่าร้าน Sense Tea ตอบโจทย์ทีเดียว เพราะคุณหมวย เจ้าของร้านออกแบบที่นี่เป็นทีเฮ้าส์ มีความเป็นส่วนตัว พ่วงมุมกว้างขวางโปร่งสบายให้ทุกคนเข้ามานั่งจิบชาออร์แกนิคเต็มใบที่เลือกเองกับมือ แถมยังมีโซนขายชากว่า 62 ชนิด เครื่องชงชาน่ารักกุ๊กกิ๊ก และแก้วชาใบสวยให้เราซื้อกลับไปฟินต่อที่บ้านได้ด้วย  คุณหมวยบอกว่าชาที่ร้านส่งตรงจากไร่ชาเล็กๆ ทางภาคเหนือเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในบ้านเรา และบางส่วนนำเข้าจากแถบเอเชียอย่างจีน ศรีลังกา อินเดียซึ่งเป็นแหล่งผลิตชามีชื่อชนิดต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ผ่านการฉีดน้ำหอม ใช้วิธีหมักชากับผลไม้ ดอกไม้ หรือสมุนไพรแทนเพื่อให้ได้กลิ่นหอมจางๆ แต่ปราศจากสารเคมี  สิ่งที่เราชอบที่สุดในร้านคือไอเดียการทำ D.I.Y Tea Blend Studio เพราะเราสามารถเลือกชาที่ใช่แล้วให้ทีมาสเตอร์เบลนด์รสชาติในแบบที่ชอบได้เลย ใครชอบชาดำรสเข้ม ชาเขียวหอมละมุน ชาอู่หลงชุ่มคอ หรือชาขาวที่มีวิตามินสูงสุด ก็จิ้มชนิดที่เหมาะใจแล้วมามิกซ์แอนด์แมทช์กับสมุนไพรหรือดอกไม้หอมๆ ราคาจะคิดตามชนิดของชาและปริมาณมากน้อยที่เราต้องการ  นอกจากเมนูชามากมายที่คุณหมวยขยันคิดกลิ่นและรสใหม่ๆ ให้คนรักชาได้ตื่นเต้นอยู่เสมอ ก็ยังมีอาหารและขนมที่นำชามาเป็นส่วนผสมด้วยนะอย่าง Lavender Blossom Waffle วาฟเฟิลนุ่มๆ ที่ผสมชากลิ่นลาเวนเดอร์ลงไป พร้อมเพิ่มความหวานหอมด้วยไอศกรีมลาเวนเดอร์อีก 1 สกู๊ป ส่วนใครที่ไม่ถูกจริตกับชาเท่าไหร่ก็มีจานอื่นๆ น่าลองทั้ง ข้าวผัดต้มยำทะเลแห้งรสแซ่บและสลัดหอยเชลล์ย่างกับน้ำสลัดวาซาบิ รับรองว่าอิ่มไปถึงใจ

ต้องบอกว่าสิ้นสุดการรอคอยสำหรับเหล่าคาเฟ่ฮอปเปอร์และคนรักของหวานกับสาขาแรกในเมืองไทยของ "Patissez" คาเฟ่ชื่อดังจากเมืองแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย เจ้าของสูตร Freakshake มิลค์เชคแปลกใหม่ที่มาพร้อมท็อปปิ้งสุดอลังการซึ่งผ่านการคิดค้นมาแล้วว่ากินเข้ากันได้อย่างอร่อยลงตัว แถมยังตกแต่งอย่างสวยงามเหมาะกับการถ่ายรูปแชร์เป็นที่สุด ไม่เพียงแค่ Freakshake หลากรสชาติ ทั้งช็อกโกแลตนูเทลล่า บานอฟฟี่ มินต์ เบอร์รี รวมทั้งชาไทย (รสชาติพิเศษที่มีเฉพาะสาขานี้) ที่เรียกความว้าวจากเราเท่านั้น แต่บรรยากาศอบอุ่นสไตล์รัสติกที่เน้นความโปร่งสบาย ตกแต่งด้วยไม้และโครงเหล็ก ด้านหน้าร้านเป็นกระจกใสให้แสงแดดลอดเข้ามาสร้างความเป็นธรรมชาติ รวมทั้งการใช้สีฟ้าเทอร์ควอยซ์ สัญลักษณ์ของร้านที่ช่วยเพิ่มความสบายตา ไปจนถึงเมนูบรันช์สไตล์ออสเตรเลียนที่ใส่ใจทั้งการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพ รสชาติ ขั้นตอนการทำที่พิถีพิถัน และรูปลักษณ์สวยงามน่ากินแบบที่ทำให้เราอดใจแชะแล้วแชร์ไม่ได้กันเลยทีเดียว นอกจากนี้ Patissez สาขาสุขุมวิท 39 ยังเพิ่มเติมเมนูดินเนอร์สไตล์ยุโรป อาทิ สเต๊ก พาสต้า และอาหารทะเลให้อร่อยกันอีกด้วย สำหรับสายเบอร์เกอร์ เราแนะนำให้เริ่มด้วย Freak Burger เมนูซิกเนเจอร์ที่ใช้ขนมปังบริออชหนานุ่มประกบกับเนื้อบดโฮมเมดสองชิ้นโต ชีส เบคอนกรอบ ตัดความมันด้วยหอมหัวใหญ่ มะเขือเทศ และผักกาดหอม เพิ่มรสชาติด้วยซอสบาร์บีคิวสูตรเด็ด เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอดและสเปเชียลซอสสูตรพิเศษ แต่ถ้าชอบอาหารทะเลต้องจานนี้ Pasta Clam เมนูใหม่ล่าสุดที่หยิบหอยตลับมาผัดแห้งกับเส้นสปาเกตตีและเห็ดหอม เชฟแอบกระซิบว่าปรุงรสด้วยไวน์ขาว เกลือ และพริกไทย แต่ขอบอกว่ารสชาติกลมกล่อม กินเพลิน...นัวสุดๆ ส่วนคนรักสุขภาพ Crispy Skin Salmon ตอบโจทย์ได้แน่นอน แซลมอนจากนอร์เวย์ย่างกำลังดี ราดซัลซ่าอะโวคาโด มายองเนส และมะนาว รสเปรี้ยวเผ็ดนิดๆ เข้ากับแซลมอนได้อย่างลงตัว แล้วอย่าลืมสั่ง French Toast ที่ร้านนี้ครีเอตแบบไม่เหมือนใครด้วยการนำขนมปังบริออชอบกรอบนอกนุ่มในไปชุบไข่ทอดอีกครั้ง มาพร้อมเนื้อมะม่วงสุก ส้ม และไอศกรีมวานิลลา ราดซอสมะม่วงคาราเมลที่ใส่แซฟฟรอนหรือหญ้าฝรั่นเพิ่มความหอม ก่อนปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มสุดฮิตห้ามพลาดอย่าง Pretzella ช็อกโกแลตนูเทลล่าปั่นหอมหวานกำลังดี ท็อปด้วยมูสวานิลลานุ่มๆ กินคู่กับ Salted Pretzels กรอบๆ รสเค็มนิดๆ จะกินพร้อมมิลค์เชคด้านล่างหรือจะดิปกับนูเทลล่าที่ขอบแก้วก็อร่อยฟินไม่แพ้กัน (เห็นขนาดแก้วไม่ต้องกลัวเลี่ยนหรือกินไม่หมด เพราะแว่บแรกเราก็คิดแบบนั้น จนรู้ตัวอีกทีก็...หมดแก้วซะแล้ว (ฮา)