แฟนคลับร้านปูดองอันยองที่ติดอกติดใจ “ปูดองซีอิ๊วสไตล์เกาหลี” พร้อมน้ำจิ้มแซ่บแบบเดลิเวอรี่และเทคโฮมคงได้ยิ้มกันแก้มปริ เพราะตอนนี้ทางร้านเพิ่งเปิดตัวสาขาใหม่เอี่ยม ปูดองอันยอง Have A Seat @ Central Ladprao ชั้น G เซ็นทรัล ลาดพร้าว ซึ่งเป็นสาขาแรกที่มีที่นั่งกินสบายๆ พร้อมเมนูพิเศษที่หาไม่ได้จากสาขาอื่น       แน่นอนว่า นอกจากเมนูปูดองจะครองใจแบบเรตติ้งไม่เคยตก ที่ร้านยังมีเมนูชวนน้ำลายสออีกเพียบ เริ่มด้วยของกินเล่นอย่าง อันยอง Hot Dog ฮอตดอกทอดร้อนๆ สไตล์เกาหลี ที่ทั้งอร่อยและสนุก เพราะด้านนอกเป็นเกร็ดขนมปังกรอบๆ พอกัดแล้วจะเจอชีสยืดๆ ที่ซ่อนไว้ข้างใน กินคู่ซอส 4 แบบ ทั้ง Honey Mustard, Sweet Potato Wasbi (เราชอบซอสตัวนี้), Spicy Mayo และ Ketchup     อีกเมนูสำหรับคนรักปูที่ไม่อยากมื้อเปื้อนสั่งเลย โจรขโมยข้าว ชามนี้เด็ดดวงสมชื่อ ข้าวโปะด้วยเนื้อปูม้าดองซีอิ๊ว ไข่ดองซีอิ๊ว และโรยด้วยสาหร่ายกรอบ ตักคำใหญ่ๆ ส่งต่อเข้าปากแล้วฟินนัก อีกเมนูที่เราชอบ หอยแครงชุบน้ำปลาร้า จานนี้เสิร์ฟเย็น ขอชมว่าลวกหอยได้เซียนมาก เนื้อกรอบหวาน และสุกกำลังดี เสิร์ฟกับน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรน้ำปลาร้าแซ่บๆ       แล้วมาปิดท้ายด้วยชาบูมันปู ทีเด็ดอยู่ที่น้ำซุปเคี่ยวกับมันปู ใส่ส่าหร่าย หวานหอมและกลมกล่อม เลือกได้ทั้งชุดหมู เนื้อ และซีฟู้ด กินคู่กับน้ำจิ้มแจ่วกะปิและน้ำจิ้มแจ่วปลาร้าเข้ากันอย่างน่าแปลกใจ         ถูกใจสายชาบูเชียวล่ะ

คนรักการกินอาหารอิตาเลียนและงานศิลปะได้ฟินเพราะ มีโอฟู้ดแอนด์อาร์ต Mio Food & Art ร้านใหม่ย่านทองหล่อในซอยสุขุมวิท 53 นี้ จับทั้ง 2 อย่างมารวมไว้ด้วยกัน ด้วยพื้นที่ของร้านแบ่งเป็น 2 ชั้นเหมือนเป็นโชว์รูมขนาดย่อมๆ ที่มีทั้งชิ้นงานศิลปะ ของประดับตกแต่ง โคมไฟและเฟอร์นิเจอร์สวย ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนเรื่อยๆ เลือกสรรโดยคุณอันโตนิโอ มาร์เชลลี เจ้าของร้านชาวอิตาเลียน           ส่วนอาหารได้เชฟมากประสบการณ์อย่างอันโตนิโอ แฟคชิเนติ ชาวเมือง Ponte di Legno (Bescia) ในแคว้นลอมบาร์เดีย ประเทศอิตาลี มาดูแลความอร่อย จานแรกที่เชฟแนะนำคือ Imported Burrata, Vine Tomatoes, Balsamic Reduction ชีสบูราต้าจากอิตาลีของดีประจำถิ่น ชีสสีขาวก้อนกลมเนื้อนุ่มครีมมี่กินกับมะเขือเทศสดรสหวานสดชื่น ราดด้วยน้ำมันมะกอกอย่างดี รสเปรี้ยวหวานหอมลงตัว     ร้านนี้ใช้โคลคัทสูตรออร์แกนิคส่งตรงจากอิตาลี อย่าง Salame Toscano al Coltello รสเค็มมัน หรือเลือกชนิดที่ชอบก็ได้เชฟจะสไลด์บางๆ จัดใส่ถาดมาให้อย่างสวยงาม แกล้มแตงดองกินเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยหรือคู่กับไวน์ก็เหมาะ     ส่วนพาสต้าลองสั่งเมนู Paccheri Squid Ink, Garlic, Chili Roasted Octopus พาสต้าทรงกระบอกสีออกดำเพราะผสมน้ำหมึกของปลาหมึกลงไปในแป้ง ผัดกับน้ำมันมะกอกส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ใส่หนวดปลาหมึกยักษ์ที่เชฟนำไปต้มจนนุ่มเคี้ยวมันสะใจ และมะเขือเทศเชอร์รีเพิ่มให้มีรสสดชื่นลงตัว     อีกเมนูที่สายเนื้อห้ามพลาดคือ Costata (Prime Rib 500 gr.) โดยทางร้านได้จับมือกับฟาร์มปศุสัตว์ในภาคอีสานของประเทศไทยสร้างสายพันธุ์พิเศษสำหรับเนื้อ ‘แบล็คแองกัส’ และ ‘ชาร์โรเล่สบีฟสเตียร’ เอจตามแบบฉบับอิตาลีต้นตำรับ ทำให้มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและฉ่ำเป็นพิเศษ เนื้อย่างมาแบบมีเดียมสุกกำลังดี หอมกลิ่นเนื้อชัดเจน เสิร์ฟพร้อมกระเทียมอบและซอสพาร์สลีย์ซัลซาเวร์เด (Salsa Verde)     สุดท้าย Tiramisu ของหวานที่แฟนพันธุ์อาหารอิตาเลียนห้ามพลาด เชฟใช้ชีสมารสคาร์โปนแท้ไม่ผสมครีม ตีกับไข่แดงและน้ำตาลทรายเท่านั้น ฟิงเกอร์เลดี้ชุบด้วยกาแฟผสมกับไวน์มาซาล่าทำให้ได้รสชาติเข้มข้นหวานมันแบบคลาสสิค     ทั้งศิลปะและอาหารทำให้เราได้เจริญตาและเพลิดเพลินเจริญพุงจริงๆ

วันหยุดสุดสัปดาห์คือวันที่จะได้ผ่อนคลาย ทั้งพักผ่อนและกินอาหารอร่อยตามใจอยาก หลายคนชอบรับประทานบุฟเฟต์มื้อสาย มื้อเช้าควบมื้อเที่ยงหรือที่เรียกว่า “บรั้นช์” (Brunch) เพราะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ต้องเร่งรีบ หลายโรงแรมต่างแข่งกันที่เมนูเด็ด อาหารคุณภาพดี ไลน์บุฟเฟต์อลังการตื่นตาตื่นใจ แถมยังขยายเวลาจากมื้อสายไปถึงบ่ายแก่     ที่เดอะ คิทเช่น เทเบิ้ล ร้านอาหารหลักประจำโรงแรมดับเบิ้ลยู กรุงเทพ เขาจัดบรั้นช์วันเสาร์ชื่อว่า W Does Brunch ที่สนุกสนานคึกคักไม่เหมือนใคร ด้วยบรรยากาศสบายเป็นกันเอง มีโซฟาเข้ามุมเป็นส่วนตัว และโต๊ะตัวยาวสำหรับรับรองครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน เมื่อก้าวเข้าร้านมาก็รู้สึกสนุกขึ้นมาทันทีเพราะเสียงเพลงจังหวะชวนโยกจากดีเจ ส่วนอาหารจัดเป็นมุมอาหารต่างๆ ทั้งค็อกเทลบาร์โดยมิกซ์โซโลจิสต์ มุมชีสจากทั่วโลก แฮมและโคลด์คัท ขนมปัง อาหารทะเลสดๆ เนื้ออบ บาร์บีคิว ซูชิบาร์ ก๋วยเตี๋ยว พาสต้า และของหวานแบบจัดเต็ม       เมื่อเป็นบุฟเฟ่ต์แล้วจึงมีแพ๊คเกจให้เลือกตามความชอบได้แก่ Just For Food เน้นกินอาหารพร้อมกับเครื่องดื่มอย่างซอฟท์ดริ้งค์และน้ำผลไม้แบบไม่อั้น ถ้าอยากเอนจอยกับวันหยุดแบบสุดๆ ให้เลือก The Experience ที่รวมอาหารพร้อมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ค็อกเทล ไวน์ เบียร์ และ สปาร์คลิงไวน์แบบจัดเต็ม     G&C ไปลองมาแล้วบอกเลยว่าวันหยุดแบบนี้ต้องเรียกน้ำย่อยด้วย Seafood ซีฟู้ดบนน้ำแข็งคู่หูคู่มื้อบรั้นช์ที่มีทั้ง กั้งหิน ขาปูอลาสก้า หอยนางรม กุ้งลวก หอยแมลงภู่เปลือกดำ มีตัวเลือกไม่มากแต่ว่าสดทุกอย่าง จัดใส่จานมาอย่างละนิดหน่อยพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดแซ่บๆ ก็กระตุ้นน้ำลายได้แล้ว     ส่วนใครสายเนื้อต้องลอง Roasted Aus. Prime Rib เนื้อวัวจากออสเตรเลียอบชิ้นใหญ่ติดกระดูก เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ กลิ่นหอม มีซอสให้เลือกหลายอย่างตามชอบ เมนูที่ปรุงสดใหม่อย่างพาสต้าก็น่าสั่ง เราลองชิม Pasta Truffle พาสต้าเส้นสดทำเองผัดกับเห็ดหลายชนิด ครีมและน้ำมันทรัฟเฟิลหอมๆ       สุดท้ายให้ Save room for dessert เผื่อท้องไว้สำหรับของหวานด้วย เพราะทั้งเค้กและขนมที่วางเรียงรายละลานตาชวนให้ตักทุกอย่าง เราชิม Chocolate Cake เค้กช็อกโกแลตเนื้อนุ่มกับครีมช็อกโกแลตรสเข้มข้นกินกิบไอศครีมราสป์เบอร์รี         จบมื้อใหญ่ให้ฟินสมเป็นวันหยุด   ‘ดับเบิ้ลยู ดาส บรั้นช์’ มีให้เลือก 2 แพ็กเกจ ได้แก่ จัส ฟอร์ ฟู้ด (Just For Food) ราคา 1,999 บาท++ /ท่าน สำหรับอาหาร, ซอฟท์ดริ้งค์, น้ำผลไม้, ชา และกาแฟแบบไม่อั้น ดิ เอ็กซ์พีเรียนส์ (The Experience) ราคา 2,999 บาท++ /ท่าน สำหรับอาหาร, ค็อกเทล, ไวน์,เบียร์ และ สปาร์คลิ่งไวน์แบบไม่อั้น

ใครเป็นสายเฮลตี้ ต้องถูกใจร้านสุขกินได้แน่นอน กรีนเพลสขนาดน้อยๆ ย่านศาลายา ที่เสิร์ฟเมนูเพื่อสุขภาพจากผักสดปลูกเองในฟาร์มหลังบ้าน ตัวร้านโดดเด่นสะดุดตาสไตล์มินิมอล เต็มไปด้วยแมกไม้หลากชนิด ทำให้บรรยากาศรอบๆ ร่มรื่น อบอุ่น สุขสบาย ภายในแต่งผนังสีขาวเพื่อให้ดูสว่างโล่งตา แต่งแต้มความสดใสด้วยสีสันจากรูปภาพ เสริมความสดชื่นด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ช่วยเพิ่มบรรยากาศร้านให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น           เริ่มต้นเมนูเรียกน้ำย่อยด้วย สลัดเคล กินคู่กับไข่ลวก ชีส อัลมอนด์ และเบอร์รี่ โดยมีน้ำสลัดหอยลายรสชาติเปรี้ยวอมหวานเป็นตัวชูโรง ความมันจากอัลมอนด์ กรุบกรอบจากเคล และความสดชื่นจากผลเบอรี่ รวมเป็นรสชาติที่กระตุ้นต่อมรับรสได้ดี       ต่อด้วย สปาเก็ตตี้ พริกแห้งไส้อั่ว สปาเก็ตตี้เส้นสดนุ่มหนึบหนับกำลังดี มาพร้อมรสชาติร้อนแรงของพริกแห้ง กินคู่กับไส้อั่วส่งตรงจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นเมนูที่ผสมผสานรสชาติระหว่างไทยกับอิตาเลียนได้อย่างลงตัว     ใครยังอิ่มไม่หนำใจต้องจัด สเต็กไก่อบชีส สะโพกไก่หมักเครื่องเทศ เนื้อนุ่ม สุกกำลังดี ทอปด้วยร็อกเก็ตสลัด กินพร้อมกับเนื้อไก่และชีสช่วยตัดเลี่ยนได้ดี     สายหวานต้องไม่พลาด ชีสเค้กชาเขียว ชีสเค้กที่อัดแน่นไปด้วยชีส ชาเขียว และงาดำ รวมเป็นรสชาติที่เข้มข้น กลมกล่อม มิรู้ลืม     ปิดท้ายด้วยความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า กับเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ เคลเสาวรสสมูทตี้  ผักเคลปั่นรวมกับเสาวรส และน้ำผึ้งดอกลำไย ได้รสชาติเปรี้ยวหวาน และเทกเจอร์สนุกๆ จากเม็ดเสาวรส ยิ่งดื่ม ยิ่งเพลินใจ  

เบียร์เย็นแก้วโตๆ อาหารรสดี ดนตรีอลังการ พนักงานบริการด้วยใจ เป็นความทรงจำดีๆ เมื่อนึกถึง “โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง” สถานที่แฮงค์เอ้าท์สำหรับทุกวัย นอกร้านดูโอ่อ่าและยิ่งใหญ่ ภายในตกแต่งจำลองเป็นสถานีรถไฟประเทศต่างๆ พร้อมอาหารหลากหลายให้เลือกรับประทานกว่า 200 เมนู ที่รอให้คุณไปสัมผัสลิ้มลอง         เริ่มต้นด้วยเมนูกรุบกรอบที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา  กะหล่ำปลีที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ผัดกับน้ำปลาหอม ความเค็มลงตัวของน้ำปลาผสานกับความหวานกรอบของกะหล่ำปลี ได้ใจเราไปเต็มๆ จากนั้นเอาใจคนรักอาหารอีสานด้วย      ส้มตำไหลบัว ไหลบัวอ่อนต้นขาวอวบพิเศษ หั่นชิ้นพอดีคำ คลุกเคล้ากับน้ำส้มตำสูตรพิเศษครบรสชาติ สมเป็นส้มตำฉบับอีสานแท้ๆ     ขาหมูทอดตะวันแดง เมนูที่ขาดไม่ได้ ขาหมูกรอบนอกนุ่มในที่ผ่านกระบวนการทอดแบบใส่ใจทุกขั้นตอน เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงช่วยตัดเลี่ยนอย่าง กะหล่ำปลีดอง และมันบด กินคู่กับน้ำจิ้มรสจัดจ้านที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี ถัดมาคือ ปลากะพงทอดน้ำปลา คัดสรรปลากะพงสดใหม่ ได้ความหวานของเนื้อปลาเต็มๆ กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ       หันมาซดน้ำซุปให้คล่องคอกันบ้างกับเมนู เกาเหลาเย็นตาโฟทรงเครื่อง  หนึ่งในเมนูฮิตของโรงเบียร์ น้ำซุปรสชาติครบเครื่อง เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ใส่เครื่องเคราจนเต็ม อาทิ ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้งอย่างดี ปลาหมึกกรอบอร่อย แมงกะพรุนดอกใหญ่ เต้าหู้ทอดกรอบ และยอดผักบุ้งคัดยอดอ่อน     นอกจากนั้นยังเอาใจคนรักอาหารญี่ปุ่นด้วย ซาซิมิแซลมอน เกรดพรีเมี่ยม ส่งตรงมาประเทศญี่ปุ่น คู่ควรแก่การลิ้มลอง     ปิดท้ายด้วยเบียร์สดสัญชาติเยอรมันคุณภาพ 3 รสชาติยอดนิยม ได้แก่ ลาเกอร์ (Lagern) เบียร์สีทองฟองน้อย รสหวานนุ่มลิ้น ดุงเกล (Dunkel) เบียร์ดำ ได้รสหวานเจือขมจางของมอลต์ ไวเซ่น (Weizen) เบียร์ผลไม้ ฟองนุ่ม หอมกลิ่นฟรุตตี้เบาๆ เพิ่มความหลากหลายด้วยเบียร์อีก 2 รสชาติอย่าง โรเซ่ (Rosè) เบียร์กลิ่นกุหลาบ ดื่มง่าย ถูกใจสาวๆ และฮ็อปส์บอมบ์ (Hops bomb) รสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นฮ็อปเป็นที่สุด  

Lumble café เกิดจากความชอบและหัวใจล้วนๆ ของ “คุณบิว” เจ้าของร้านที่ชอบดื่มกาแฟเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาตัดสินใจเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ขึ้นมา แล้วค่อยๆ พัฒนาร้าน ปรับเมนู และรสชาติอาหารให้เป็นที่ถูกอกถูกใจของลูกค้า จนทำให้ Lumble café กลายเป็นหนึ่งในร้านที่สมบูรณ์แบบร้านหนึ่งในย่านศาลายา       เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกันด้วย สลัดไก่อบซอสบาร์บีคิว ไก่เนื้อนุ่มหมักซอสบาบีคิว กินคู่กับน้ำสลัดงาขาวรสเปรี้ยวหวาน และผักสดที่ช่วยลดทนความเลี่ยน เป็นเมนูที่อิ่มอร่อยเบาๆ     สปาเก็ตตี้ข้าวซอยไก่ เมนูขวัญใจของเด็กมหาลัยฯ ที่เปลี่ยนจากเส้นข้าวซอยเป็นเส้นสปาเก็ตตี้เหนียวนุ่ม แต่ยังคงความอร่อยเข้มข้นเหมือนต้นฉบับคนเหนือ และอีกเมนูที่ขาดไม่ได้เลย      ซี่โครงหมูย่างซอสแจ่ว ความพิเศษของเมนูนี้อยู่ที่ ตัวซี่โครงหมูที่ถูกนำไปตุ๋นก่อนอบ จนได้เนื้อหมูนุ่มร่อนจากซี่โครง หอมอบอวลด้วยเครื่องเทศ ยิ่งกินคู่กับน้ำจิ้มแจ่วเข้มข้นถึงเครื่องยิ่งดีเข้าไปใหญ่     สำหรับของหวานล้างปากแนะนำ โทสต์ชาไทย ขนมปังกรอบนอกนุ่มในเสิร์ฟพร้อมซอสครีมชาไทย วิปปิงครีม ไอศกรีมวานิลลา และเบอร์รีสด ส่วนรสชาตินั้นสร้างความประหลาดใจให้กับเราเลยทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่า เบอร์รีกับชาไทยจะไปด้วยกันได้ เรียกว่าคนรักชาไทยต้องฟินอย่างแน่นอน     ส่วนเครื่องดื่มต้องลอง เมนูฮิตยอดนิยม Coconut Coffee กาแฟน้ำกะทิเสิร์ฟพร้อมไอศกรีมกะทิ จุดเด่นของแก้วนี้อยู่ที่ความหอมมัน เข้มข้น คนที่ไม่ดื่มกาแฟสามารถดื่มได้สบาย บอกเลยเลยแก้วนี้ดีงาม      ปิดท้ายด้วย ชาเอิร์ลเกรย์ผลไม้ เพิ่มความสดชื่น ชาเอิร์ลเกรย์ผสมด้วยเบอร์รีสด และเลมอน ได้กลิ่นหอมหอมหวานของชา และความเปรี้ยวจากผลไม้ รสชาติหวานพอดี ยิ่งดื่มยิ่งสดชื่น  

ตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักตึกคิงพาวเวอร์ มหานคร แลนด์มาร์คสุดหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่ได้ชื่อว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งตอนนี้ได้เปิดตัวห้องอาหารสุดหรูหราทันสมัย ภายใต้ชื่อ “Mahanakhon Bangkok Skybar” เป็นที่เรียบร้อย     “มหานคร แบงค็อก สกายบาร์” ตั้งอยู่บนชั้น 76 และ 77 ได้รับการออกแบบโดยคุณ Tristan Auer แห่ง Wilson Associates โดยหยิบแรงบันดาลใจจากสายน้ำเจ้าพระยา ผสานเรื่องราวแห่งการเดินทาง พร้อมให้ทุกท่านได้หลีกหนีความวุ่นวายของกรุงเทพ     ก้าวแรกจากลิฟต์สู่โค้งประตูไม้บริเวณโถงด้านหน้า เราสัมผัสได้ถึงความหรูหราสง่างามสไตล์ฝรั่งเศสผสมผสานความวิจิตรแบบไทย ภายในรายล้อมไปด้วยโคมไฟและหน้าต่างกระจกบานใหญ่ สูงจากพื้นจรดเพดาน ทำให้เห็นวิวมหานครได้อย่างเต็มตา อีกทั้งเนรมิตพื้นที่เอาท์ดอร์ให้ได้บรรยากาศป่าดงดิบ เปรียบเสมือนนั่งอยู่ในป่าบนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น       นอกจาก “มหานคร แบงค็อก สกายบาร์” จะเป็นร้านอาหารและบาร์ที่สูงที่สุดในประเทศไทยที่โดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมแล้ว เมนูอาหารที่ผสมผสานระหว่างตะวันตกและเอเชียก็โดดเด่นไม่แพ้กัน  โดยได้เชฟ Joshua Cameron เชฟผู้คร่ำหวอดในวงการและเคยสร้างสรรค์เมนูระดับมิชลินสตาร์ในนิวยอร์ค รับหน้าที่เชฟใหญ่ประจำห้องอาหารนี้     เมนูที่เชฟ Joshua Cameron รังสรรค์ให้กลายมาเป็นเมนูเด่นของร้านเริ่มจาก พานาคอตต้าไข่หอยเม่น (Uni Panna Cotta) ที่เกิดจากการผสมผสานกันของวัตถุดิบจากญี่ปุ่น และเทคนิคการทำอาหารของประเทศฝรั่งเศส ทำให้เป็นเมนูซิกเนเจอร์เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี หรือจะเป็น หอยนางรม จากแคว้นนอร์มังดี (Mr.Jean-Paul, Normandy Oysters) ที่มีให้เลือกทั้งแบบเสิร์ฟร้อน และเสิร์ฟเย็น เพิ่มความสดชื่นพร้อมเปิดต่อมรับรสได้อย่างเต็มที่       เชฟไม่รอช้า เสิร์ฟต่อกันที่เมนคอร์สอย่าง เนื้อซี่โครงออสเตรเลียตุ๋น 48 ชั่วโมง เสิร์ฟพร้อม คูสคูส องุ่น และมะเขือม่วง (48-Hours Australian Short Ribs) เนื้อออสเตรเลียแบบมีเดียมแรร์ที่ตุ๋นได้นุ่มละมุนลิ้น ทานคู่กับซอสและเครื่องเคียงภายในจาน รสชาติกลมกล่อม ตามมาด้วย ลาบเป็ด เสิร์ฟพร้อมกะหล่ำปลีดอง และข้าวเกรียบ (Larb Ped – Spicy Grilled Duck Salad) ความพิเศษของจานนี้อยู่ที่การแยกเนื้อเป็ด เครื่องยำรสแซ่บสไตล์ไทย และข้าวเกรียบบางกรอบ เป็นคำๆ แล้วห่อทานคล้ายเมี่ยงคำ อร่อยและสนุกแบบไทยๆ       นอกจากนี้ เชฟยังมีเมนคอร์สทางเลือกใหม่ที่มาในรูปแบบ Charcoal Grilled สูตรเฉพาะของร้าน ที่นำอาหารไปอบ หรือย่างด้วยกลิ่นหอมจากเตาถ่าน ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะของร้านอีกด้วย อาทิเช่น ปลากะพงพร้อมน้ำจิ้มสูตรเข้มข้น (Andaman Sea Bass*) เนื้อปลากะพงสดห่อใบตองกริลล์ด้วยเตาถ่าน เคียงคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสชาติเข้มข้นแต่ไม่จัดจ้านเกินไป เด็กๆ สามารถทานได้ ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูเมนคอร์สสำหรับครอบครัวเลยทีเดียว     ส่งท้ายความอร่อยด้วยเมนูของหวานที่แม้ทางร้านจะมีให้เลือกไม่มาก แต่กลับครบทุกรสชาติ เริ่มกันที่ฝั่งสดชื่นอย่าง ชีสเค้กใบมะกรูด เสาวรส มะม่วง และมังคุด (Kaffir Lime Cheese Cake) ชีสเค้กรสนุ่มหอมกลิ่นใบมะกรูดของไทย ทานคู่กับซอสเสาวรสและซอสมะม่วงเพิ่มความสดชื่น ปิดท้ายคำด้วยมังคุดสดรสชาติหอมหวาน      ในส่วนของฝั่งเข้มข้น ร้านเลือกเสิร์ฟ ช็อคโกแลตทาร์ต คอฟฟี่กานาช และคาปูชิโนเจล (Chocolate Tart) ช็อคโกแลตแท้รสเข้มข้นทานคู่กับคอฟฟี่กานาชและคาปูชิโนเจลหอมกรุ่น ดึงรสชาติกลับด้วยไอศกรีมช็อคโกแลตรสหวานกลมกล่อม  ช็อกโกแลตเลิฟเวอร์และเด็กๆ น่าจะหลงรักจานนี้ได้ไม่ยาก     ปิดท้ายมื้ออร่อยแสนหรูบนห้องอาหารวิวสวยที่สุดในประเทศไทยอย่างสมบูรณ์แบบ

ร้านอาหารจีนน้องใหม่ใจกลางอารีย์ที่นำเอาความอร่อยตำรับจีนกวางตุ้งมาให้ทุกคนได้เข้าถึงกันง่ายยิ่งขึ้น ชูโรงด้วยคอนเซปต์อาหารจีนสไตล์ทาปาสที่จะลดขนาดของอาหารจีนแบบครอบครัวใหญ่ให้เล็กลงมาอีกนิด แต่คงความอิ่มอร่อยไม่แพ้ต้นตำรับ     เช่นเดียวกับชื่อ “ไต่โหล” (Dai Lou) ที่แม้จะมีนิยามความหมายว่า “เจ้าพ่อ” และสะท้อนความเป็นจีนอย่างเต็มพิกัด แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนถูกนำมาตีความใหม่ เริ่มตั้งแต่การใช้โทนสีฟ้าครามอบอุ่นแทนการใช้สีแดงที่เรามักเห็นกันจนชินตา แล้วเติมรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ลงไปแทนอย่างแผงลูกคิดบนกำแพง ป้ายไฟนีออน เรื่อยไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้ จนเรียกได้ว่าฉีกกฏของร้านอาหารจีนที่หลายคนเคยเจอ       นอกจากนี้ ชื่ออาหารแต่ละจานยังมีกิมมิคน่ารักๆ ด้วยการนำเอาชื่อของสถานที่สำคัญๆ มาใส่เพื่อแสดงว่าความอร่อยฉบับฮ่องกงได้บรรจุอยู่ที่นี่อย่างเป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็น หมูกรอบวานไฉ ของอร่อยจากย่านศิลปะที่นำหมูส่วนท้องมาย่างหอมๆ ก่อนจะนำมาอบอีกครั้ง จนได้หนังหมูที่คงความกรุบกรอบยาวนาน ส่วนเนื้อก็ชุ่มฉ่ำแทรกด้วยมันชั้นบางๆ เคี้ยวเพลินไม่เหมือนใคร เสิร์ฟพร้อมมัสตาร์ดรสเผ็ดปลายลิ้นและน้ำจิ้มรสหวานหอมทำจากน้ำผึ้งมาตัดรส     ตามด้วย สลัดเป็ดย่างเซ็นทรัล ที่ตั้งชื่อให้อิงกับย่านเก่าแก่ของฮ่องกง เพื่อแสดงความอร่อยแบบดั้งเดิมของเป็ดย่างหนังกรอบเนื้อนุ่มแสนอร่อย แต่จานนี้จะเสิร์ฟในรูปแบบของสลัดอกเป็ดย่างรมควันที่เข้าคู่กับน้ำสลัดนูเทลล่าผสมไซรัปเมเปิ้ลรสหวานหอม     หรือลอง ปลาเก๋าเช็กแลปก๊อก เนื้อปลาเก๋าส่วนคัดพิเศษนึ่งซีอิ๊วกินคู่เส้นกรอบ มาพร้อมซอสที่มีส่วนผสมของซีอิ๊วและขิงแก่ที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นในทุกๆ คำ แล้วมาต่อด้วย เนื้อผัดเสฉวน เนื้อสันในติดมันชิ้นพอดีคำมาผัดร้อนๆ บนกระทะกับซอสเสฉวนสูตรเด็ด จนได้เนื้อนุ่มๆ ที่ผสมผสานรสชาติความร้อนแรงหอมมันและเข้มข้น ยิ่งเคี้ยวพร้อมกระเทียมทอดด้วยแล้ว ยิ่งได้กลิ่นหอมขึ้นจมูก     ส่วนของหวานก็ห้ามพลาด เผือกหิมะไดนาสตี้ ขนมหวานจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ชูโรงความอร่อยของเผือกเนื้อนุ่มเคลือบด้วยเกล็ดน้ำตาลสีขาวและอัลมอนด์ยิ่งได้ชาดอกไม้มาจิบคู่ด้วยกันแล้ว     รับรองความละมุนจนลืมไม่ลง!  

ใครที่ตามหารสชาติแซ่บนัวแบบครัวลาวแท้ เรามีพิกัดความแซ่บมาให้สายกินได้ลิ้มรสอาหารลาวที่คนลาวตัวจริงบินตรงจากสุวรรณเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเปิดครัวกลางกรุงเทพฯ ปรุงอาหารลาวรสเด็ดให้คนไทยได้ลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการปรุงและส่วนผสมจากท้องถิ่นเพื่อให้มีกลิ่นรสแบบลาวแท้ โดยเฉพาะที่ขาดไม่ได้คือน้ำปลาร้าต้มซึ่งคนลาวนิยมใช้แทนน้ำปลา ใครไม่ปลื้มปลาร้าอย่ากังวล เพราะปรับระดับลงเหลือเพียงความกลมกล่อมที่นำมาปรุงเมนูอะไรก็ถึงอกถึงใจทั้งนั้น         ซิกเนเจอร์ของร้านยกให้ตำสุวรรณเขต จุดเด่นคือเส้นมะละกอสดกรอบสไลซ์เป็นแผ่นบางเคลือบน้ำส้มตำฉ่ำๆ แนะนำให้ตักเส้นมะละกอแล้วหยิบขนมจีนวางก่อนส่งเข้าปาก สัมผัสความเข้มข้นนัวเค็มเต็มอัตราจากส่วนผสมของน้ำปลาร้าต้มผสานรสเปรี้ยวจากน้ำมะนาวและมะกอกลาวได้อย่างลงตัว     ยำโต่ง ทางร้านนำเนื้อหมูกับกะปิคลุกเคล้าจนเข้าเนื้อเข้าหนัง ปรุงกับสมุนไพรลาวหลายชนิด เสิร์ฟร้อนๆ หอมกลิ่นกระชายนำ ตามด้วยกลิ่นกะปิอ่อนๆ รสชาติเผ็ดร้อนพอประมาณ     ต่อด้วยไส้กรอกน้ำตกหมู ไส้กรอกหมูเนื้อแน่นหนังตึงกรอบ รสชาติเค็มนำเจือเผ็ดร้อนพอกระชุ่มกระชวยจากเครื่องเทศลาว ตัดเลี่ยนด้วยส้มผักดองทำจากต้นหอมและกะหล่ำปลี     เป็ดต้มน้ำยาเส้นข้าวเปียก เส้นข้าวเปียกหนึบๆ ราดน้ำยาเป็ดเข้มข้น โรยหอมเจียว เคียงด้วยไข่ต้มยางมะตูมช่วยลดดีกรีความร้อนแรงของพริกแกงลาว     อ่อมเป็ดพริกไทยสด เป็ดเนื้อแน่นเคี้ยวหนึบในน้ำแกงรสเผ็ดร้อนขึ้นจมูก ปรุงด้วยน้ำปลาร้าผสมข้าวเบือ น้ำย่านาง และผักแพว ทางร้านยังมีเครื่องดื่มเย็นชื่นใจอย่างน้ำกระเจี๊ยบ รสชาติไม่หวานมากเพื่อให้เข้ากับอาหารส่วนใหญ่ที่มีรสชาติจัดจ้าน ดื่มแล้วสดชื่นเข้ากัน     ที่นี่ยังเหมาะเป็นร้านนั่งดื่มเพราะมีค็อกเทลเก๋ๆ ให้จับคู่ได้กับทุกเมนู ดื่มแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สั่งมานั่งชิลเอาท์เมาท์มอยกันได้อย่างเพลิดเพลิน  

คงต้องบอกว่าภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นอย่าง Hou Yuu โตมาพร้อมๆ กับ Gourmet&Cuisine เลยก็ว่าได้ เพราะตอนนี้ “โฮวยู” หรือ “บ้านเพื่อน”  หลังนี้จะมีอายุครบ 20 ขวบปีไม่ขาดไม่เกิน แน่นอนว่าเมื่อเลขสวยกำลังดีแบบนี้ ที่นี่จึงไม่พลาดเสริมพลังความอร่อยด้วยการยกขบวนหลากหลายเมนูที่จะทำให้ทุกคนได้อิ่มอร่อยตามตำรับญี่ปุ่นขนานแท้ได้ทุกวัน พร้อมชูโรงความอร่อยของวัตถุดิบที่คัดสรรมาตามฤดูกาลและปรุงรสชาติให้น้อยที่สุด         เริ่มกันด้วยพระเอกอย่าง Sashimi Moriawase Tokubetsu เช็ตซาชิมิรวมชุดใหญ่ยักษ์ที่รวมความสดฉ่ำของวัตถุดิบจากท้องทะเลมาไว้ด้วยกัน อาทิ โอโทโรเนื้อส่วนท้องปลาทูน่าสไลซ์มาชิ้นหนาๆ หอยเชลล์เนื้อเด้งๆ ปลาฮามาจิเนื้อแน่นชิ้นโต ไปจนถึงหอยแครงญี่ปุ่นตัวใหญ่ที่ถูกสไลซ์เป็นคำๆ ให้คีบกินอย่างสนุก     ต่อด้วย Nigiri Moriawase Matsu เซ็ตซูชิที่คนรักข้าวปั้นต้องหลงรักด้วยหน้าที่หลากหลายให้เลือกลอง ไม่ว่าจะเป็นโอโทโร ฮามาจิ ชิมาฮาจิ หอยแครงญี่ปุ่น กุ้งหวาน ปลาไหล ไข่หอยเม่น และไข่หวานย่าง แต่ถ้าอยากได้เมนูร้อนๆ ก็ต้อง Sukiyaki ชุดหม้อไฟที่จะทำให้เราได้ดื่มด่ำไปกับน้ำซุปสีดำรสหวานหอมเคียงคู่กับเนื้อที่ชอบ ซึ่งเราได้ลองสุกี้เนื้อวากิวนุ่มๆ ละลายในปาก       สำหรับคนรักข้าวก็ห้ามพลาด Una Ju ข้าวหน้าปลาไหลย่างเนื้อนุ่มหอมมันเสิร์ฟในกล่องข้าวสี่เหลี่ยมใบใหญ่ ส่วนคนรักเส้นก็อย่าลืมลอง TenZaru Udon อุด้งเย็นที่เหมาะกับอากาศบ้านเราอย่างที่สุด ที่สำคัญยังเสิร์ฟพร้อมชุดกุ้งและปลากะพงเทมปุระเคี้ยวกรุบกรอบเต็มคำอีกด้วย       แล้วอย่าลืมปิดท้ายมื้อด้วยชีสเค้กกันสักชิ้นสองชิ้น  

ด้วยความหลงใหลในรสชาติอาหารไทยของเจ้าของร้าน แต่การหาร้านอร่อยถูกปากบางครั้งก็ยากเกินไป จึงมีแนวคิดเปิดร้านไทยนิยมรวบรวมจานเด็ดยอดนิยมจากทั่วทุกภาคมาเอาใจสายกินแบบครบรสจบที่เดียวตั้งแต่ทิศเหนือจรดทิศใต้ ทุกเมนูชูรสชาติเข้มข้นถึงเครื่องแบบต้นตำรับพร้อมสอดแทรกเทคนิคการปรุงแบบภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ช่วยดึงกลิ่นและรสให้กับอาหารทุกจาน พิถีพิถันขนาดนี้อย่าคิดว่าราคาจะแรงเพราะการันตีด้วยรางวัลมิชลิน บิบกูมองด์ ปี 2019 ว่าอร่อยคุ้มค่าในราคาย่อมเยามาแล้ว         เริ่มจากทิศเหนือ เชียงใหม่คอมโบ ออเดิร์ฟขายดีรวมทีเด็ดอย่างน้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่ม รสชาติเข้มข้นถึงเครื่องแบบฉบับตำรับเหนือ เคียงด้วยแคปหมู ไส้อั่ว และหมูทอดกาดหลวงทำจากหมูสามชั้นทอด กรุบกรอบและหอมมันกำลังดี     ต่อด้วยงบปู เมนูไทยโบราณที่ปรุงแต่งสูตรแตกต่างกันไปตามภูมิภาคหรือความชอบของแต่ละบ้าน สำหรับสูตรของร้านรสชาติเข้มข้นเน้นเครื่องเยอะ อร่อยได้เต็มปากเต็มคำเพราะทำจากเนื้อปลากรายนวดกับพริกแกงตำเอง ใส่เนื้อปูอีกหน่อยก่อนห่อใบตองปิ้งไฟร้อนๆ ชูกลิ่นหอมชวนหิว     ทีเด็ดแดนใต้ยกให้แกงเหลืองปลากระพงหน่อไม้ดอง รับประกันความเข้มข้นเพราะโขลกเครื่องแกงเอง ใส่หน่อไม้ดองกรุบกรอบกินกับปลากระพงเนื้อสดหวาน     หากเผ็ดร้อนเกินไปให้สั่งไข่เจียวน้ำพริกกากหมูมาลดทอนความร้อนแรง แม้ดูเป็นเมนูธรรมดาแต่ติดอันดับขายดีที่ต้องมีทุกโต๊ะ ทางร้านใช้ไข่เป็ดผสานเทคนิกการทอดทำให้ไข่ฟูกรอบและหอม กินกับน้ำพริกกากหมูสูตรเข้มข้นด้วยส่วนผสมคัดอย่างดีไม่ว่าจะเป็นหอมเจียว กระเทียมเจียว และพริกแห้ง 2 ชนิดที่รสเผ็ดปานกลางคือพริกจินดาและพริกยอดสน ใส่กากหมูเจียวใหม่ลงผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ปรุงรสเค็มนำแซมรสหวาน ทิ้งท้ายด้วยรสเผ็ดติดปลายลิ้น อร่อยจนไม่อยากลุกกลับบ้าน!  

อยากยกให้เป็นปีทองของอาหารไทย โดยเฉพาะร้านอาหารไทยโบราณที่โด่งดังจนคว้าดาวมิชลินมาครองได้หลายร้าน หนึ่งในนั้นคือ Siam Wisdom ที่คว้าดาวมิชลินปี 2019 มาประดับได้อย่างงดงาม ล่าสุดเชฟนำไอเดียจากสูตรก้นครัวที่คุณตาคุณยายปรุงให้กินในวัยเยาว์มาผสมผสานกับวัตถุดิบตามฤดูกาล ปรุงเป็นจานเด็ดที่อบอวลด้วยกลิ่นอายในอดีตที่เรากินแล้วรู้สึกเหมือนได้ย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง           เมนูเด็ดไก่ส้มกู้ด เชฟนำส้มกู้ดหรือมะกรูดมาตำ สูตรคล้ายพริกแกงเผ็ด เสริมกลิ่นหอมด้วยผงกะหรี่กับขมิ้น ละลายในน้ำกะทิที่เดือดปุด แล้วปรุงรสเปรี้ยวหวานเค็มมัน       ยำสลัด หรือยำกุ้งสะเออะ ชื่อเมนูที่ตั้งใจล้อเลียนแบบขำๆ เพราะระหว่างอบกุ้งนอกจากน้ำมะนาวและน้ำปลายังมีน้ำจากตัวกุ้งปนออกมาด้วย  แม้ไม่ตั้งใจแต่กลับเพิ่มดีกรีความชุ่มฉ่ำชวนกิน ก่อนนำมายำกับเครื่องยำ ปรุงรสเปรี้ยวหวานจัดจ้าน       ต้มยำปลาช่อนโบราณ รศ.109 สเน่ห์อยู่ที่กลิ่นอายและรสชาติแบบโบราณที่หากินได้ยากเต็มที เชฟใส่ข้าวสารลงไปต้มกับตะไคร้ รากผักชี ใบมะกรูด หอมแดงเผา ทุบพริกขี้หนู พริกแห้งทอดหั่นเต๋า และกระเทียมไทยทอดกรอบโรยตาม เมนูนี้เชฟบอกว่าใช้ปลาช่อนนาอร่อยที่สุด       แกงขี้เหล็กแก้มหมูย่าง เลือกใช้แก้มหมูที่มีความนุ่มเป็นพิเศษและรสสัมผัสคล้ายเนื้อน่องลาย นำมาหมักกับรากผักชี กระเทียม พริกไทย ซอสผัก และนม หมักและซูวีนาน 24 ชม. จากนั้นย่างซ้ำอีกครั้งเพิ่มกลิ่นหอมควันไฟ ก่อนนำมาแกงร่วมกับขี้เหล็ก ปรุงรสกลมกล่อมเจือขมติดปลายลิ้นเล็กน้อย     ทุกเมนูคือที่สุดของรสชาติที่เราไม่อยากให้พลาดจริงๆ เพราะนับวันจะหากินรสชาติแบบนี้ได้ยากเต็มทีแล้ว

ยังเป็นร้านท็อปลิสต์ในใจหลายคน สำหรับ “เสน่ห์จันทน์” (Saneh Jaan) ร้านอาหารไทยไฟน์ไดน์นิ่ง ในอาคารสินธร ถนนวิทยุ ที่การันตีเรื่องรสชาติด้วยการคว้ามิชลินสตาร์ 1 ดาว มากอดไว้แน่นๆ 2 ปีซ้อน   กลับมาเยือนครั้งนี้ เสน่ห์จันทน์ยังคงเปี่ยมเสน่ห์เช่นเคย ทั้งบรรยากาศแบบเรียบหรูคลาสสิก และเมนูอาหารไทยตำรับโบราณที่ไม่เพียงรสชาติดีเท่านั้น แต่ยังแฝงไว้ด้วยความประณีตละเมียดละไมในทุกเมนู         ประเดิมมื้อนี้ด้วย เครื่องว่างสำรับเอก ที่นำของว่างไทยคำเล็กคำน้อย ทั้งของนึ่งและของทอดมาจัดเสิร์ฟเป็นเซ็ตสำหรับแชร์กันได้ อาทิ ช่อมาลี แป้งนุ่มอร่อย จีบนกตัวอวบอ้วน (น่ารักจนแทบไม่กล้ากิน) ปอเปี๊ยะ ถุงทอง ม้าฮ่อ ขนมเบื้องไทย ทอดมันปลากราย ฯลฯ ซึ่งจะสลับสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละวัน จะสั่งมากินคู่กับน้ำชายามบ่าย หรือสั่งเพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนเมนคอร์สก็ไม่หนักจนเกินไป       ส่วนอาหารคาวอย่างแสร้งว่ากุ้งนั้น โดดเด่นที่น้ำยำและเครื่องเคราที่ใช้ นอกจากน้ำมะนาวสด เชฟยังใช้น้ำส้มซ่าซึ่งมีกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปรุงรสให้เปรี้ยวอมหวาน มีเผ็ดปลายๆ แล้วราดบนตัวกุ้ง เคียงด้วยยำปลาสลิดฟูสำหรับแนมกินด้วยกัน เพิ่มระดับความเผ็ดร้อนขึ้นอีกนิดกับไก่บ้านคั่วใบจั๋น ไก่บ้านเนื้อหนึบเคี้ยวสนุกผัดกับเครื่องแกงจนเข้าเนื้อ ใส่ใบจั๋น หรือใบยี่หร่า ลงไปเพิ่มกลิ่นหอมและทำให้รสชาติออกมาร้อนแรงถูกใจนัก       เรื่องเครื่องจิ้มที่นี่ก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน เราอยากให้ลองชุดน้ำพริกเมืองเหนือ น้ำพริกอ่องและน้ำพริกหนุ่มอร่อยเชียว เคียงข้างด้วยไส้อั่ว แคบหมู ไข่ต้ม และผักแกะสลัก แล้วจบเรื่องของคาวกันด้วย แกงมอญคอหมูย่าง ที่เลือกใช้หมูคุโรบูตะนุ่มๆ มาแกงกับเครื่องแกงแดง รสชาติเข้มข้นแต่กลมกล่อม กินกับข้าวสวยร้อนๆ ดีงาม       ปิดท้ายมือนี้ด้วยส้มฉุน ขนมหวานตำรับชาววังสำหรับคลายร้อน ด้วยผลไม้อย่างแก้วมังกร ส้ม เงาะ ลิ้นจี่ ทับทิม ในน้ำเชื่อมที่ได้รสเปรี้ยวจากส้มซ่า โรยด้วยหอมเจียว และขิงซอย     กินแล้วชื่นฉ่ำหัวใจนักเชียว

ใครเป็นแฟนโรงงานชาแสนอร่อยแห่งพัทยาที่อยู่ในโครงการ A' La Campagne Pattaya หากไม่มีเวลาไปไกลถึงชลบุรี แค่แวะมาที่ซอยสุขุมวิท 39 ก็จะได้เพลิดเพลินกับเมนูเด็ดทั้งอาหารและเครื่องดื่มในสไตล์ของ “Tea Factory and More” ที่บอกเลยว่าอร่อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือสาขานี้สามารถพาสัตว์เลี้ยงแสนรักทั้งน้องหมาน้องแมวมาเอนจอยอีตติ้งด้วยกันได้ (สมกับอยู่ในโครงการ Trail and Tail คอมมูนิตี้สำหรับคนรักสุนัขและแมว)       โดยที่นี่ยังคงคอนเซ็ปต์โรงงานชาที่รวบรวมชาหลากชนิดจากไทยและหลายประเทศทั่วโลกมาให้ลิ้มลอง ทั้งศรีลังกา จีน  อินเดีย ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และชาคุณภาพดีของไทย ซึ่งได้มาจากการเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทุกมุมโลกของเจ้าของร้านผู้เป็น Tea Lover ตัวยง       คนรักชาต้องลอง White Tea Trail ชาขาวดื่มง่ายที่ผสมผสานดอกลิลลีและดอกหอมหมื่นลี้จากเมืองจีนได้กลมกล่อมลงตัว และ Oolong Lychee Tea ชาอู่หลงของไทยสกัดเย็นกว่า 8 ชั่วโมง จนรสนุ่มได้ที่ ผสมลิ้นจี่พูเรที่ช่วยดึงรสเปรี้ยวที่แอบซ่อนออกมาได้อย่างเข้ากัน         ส่วนสายกินห้ามพลาด Spaghetti Lamb Stew เส้นสปาเกตตีเหนียวนุ่มคลุกเคล้าสตูแกะที่ตุ๋นจนเนื้อนุ่มกินง่าย ไร้กลิ่นสาบ ถ้าไม่อิ่มแนะนำให้สั่ง Crab Cake Burger เบอร์เกอร์สอดไส้เนื้อปูชุบเกล็ดขนมปังทอด ที่เลือกขนมปังได้ทั้งบริยอชและชนมปังชาร์โคล เพิ่มความอร่อยสดชื่นด้วยสับปะรดย่าง เสิร์ฟพร้อมผักทอดกรอบนานาชนิด ดิปกับบราวน์ซอสและทาร์ทาร์ซอส       แต่ถ้ามองหาของหวานมากินคู่ชายามบ่าย เราแนะนำ Waffle Apple Crumble วัฟเฟิลกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟพร้อมแอปเปิลซอส เกล็ดครัมเบิล และไอศกรีมวานิลลาลูกโต และ Irish Scone เนื้อนุ่มแน่นไม่ร่วน เลือกได้ทั้งรสเนย, แครนเบอร์รี และลูกเกด จะกินกับแยมโฮมเมดหรือคอตเทจครีมหอมมันก็อร่อยไม่แพ้กัน    

ใครว่าฮ่องกงจะมีดีแค่ห่านย่างหรือโจ๊กกันล่ะ เพราะตอนนี้บ้านเราได้ต้อนรับความอร่อยใหม่ของหม้อไฟสูตรเด็ดส่งตรงจากฮ่องกงอย่าง “อานัม” หม้อไก่ผัดเจ้าดังที่นำความอร่อยแบบไม่เหมือนใครด้วยระเบียบการกิน 2 สเต็ปอย่าง “ผัด” ก่อน “ต้ม” โดยให้เริ่มกินผัดไก่กับซอสเสฉวนก่อน แล้วค่อยๆ เติมน้ำซุปใส่ให้หม้อผัดกลายเป็นหม้อไฟแสนอร่อย         ดังนั้นวิธีสั่งจึงเริ่มต้นด้วยการเลือกหม้อผัด ซึ่งมีให้เลือกทั้ง Chicken Pot หม้อไก่ผัดสูตรซิกเนเจอร์ Pork Pot หม้อกระดูกหมูผัด และ Seafood Pot หม้อซีฟู้ดผัด ที่สามารถเลือกขนาดเล็กใหญ่ได้ตามจำนวนคน แน่นอนว่าเราไม่พลาดเลือก Chicken Pot หม้อไก่ผัดเมนูขึ้นชื่อ จุดเด่นของเมนูนี้อยู่ที่การเลือกเนื้อไก่ส่วนสะโพกนุ่มๆ มาผัดกับซอสเสฉวนที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศและสมุนไพรจีนนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น พริกไทยเสฉวน กระวาน โป๊ยกั๊ก ไปจนถึงอบเชย จนได้กลิ่นหอมชวนกินปนรสเผ็ดนิดๆ แต่ทีเด็ดที่แท้จริงขอยกให้ “เส้นไข่” บะหมี่เส้นแบนๆ กว้างๆ หยักเป็นลอนคลื่นที่ทั้งเหนียวและนุ่ม กินเพลินมากๆ           หลังจากอิ่มอร่อยกับหม้อผัดจนพอใจก็ได้เวลาเติมน้ำแปลงร่างเป็นหม้อไฟอารมณ์แบบชาบูชาบูที่คราวนี้เราลองเปลี่ยนเป็น Seafood Set ชุดหม้อไฟซีฟู้ดที่ยกขบวนความอร่อยจากท้องทะเลทั้งกุ้งสด หอยตลับ และปลาหมึกตัวโต ร่วมด้วยฟองเต้าหู้ที่ให้ใช่เวลาจุ่มเพียง 4 วิ ก่อนจะคีบขึ้นมาชิมความเหนียวนุ่มหอมมัน และหมูเด้งที่ห้ามเติมลงไปในซุป ที่สำคัญยังมีน้ำจิ้มพริกเผาหอมๆ ที่ให้เราสามารถปรุงด้วยกระเทียมและต้นหอมได้ตามความชอบ แต่ถ้าใครยังเกร็งๆ ก็สามารถเรียกน้องๆ ในร้านมาแนะนำความอร่อยหรือปรุงน้ำจิ้มให้ก็ได้     นอกจากนี้ยังมีของกินเล่นอย่าง  Preserved Eggs Salad ยำไข่เยี่ยวม้าที่คลุกเคล้าซอสเสฉวนหอมน้ำมันพริก ส่วนของหวานก็มี Hong Kong Waffle วาฟเฟิลฮ่องกงเนื้อฟูนุ่มเสิร์ฟร้อนๆ ราดด้วยซอสไข่เค็มสุดเข้มข้นที่เข้ากับ Hong Kong Milk Tea ชานมฮ่องกงรสขมเข้มอย่างที่สุด      

ขอให้คำจำกัดความว่า “เปรี้ยวเข็ดฟัน” ที่สุด ณ ขณะนี้ สำหรับ Flamenco Bangkok สกายบาร์บนชั้น 9 ฝั่ง The Helix ดิ เอ็มควอเทียร์ แหล่งแฮงก์เอาต์ใหม่ที่แค่ก้าวผ่านบานประตูที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ก็เหมือนได้เดินเข้าไปสู่โลกแห่งสีนีออน ดนตรีละติน อาหารสเปน และเครื่องดื่มสุดเก๋     ชื่อร้าน ‘ฟลาเมงโก’ สื่อถึงดนตรี เพลง และการเต้นรำอันพลิ้วไหว ทุกตารางเมตรของที่นี่จึงถูกดีไซน์ออกมาให้สนุกสุดเหวี่ยง ให้ความรู้สึกลึกลับนิดๆ เซ็กซี่หน่อยๆ ตั้งแต่การเลือกใช้สีฉูดฉาดตัดกับเฟอร์นิเจอร์แอนทีค ภาพเพ้นต์บนผนัง โคมไฟแชนเดอเรียคริสตัล (ชุดของพนักงานก็สีสวย กระโปรงพลิ้วมาก) ส่วนพื้นที่ตรงกลางเป็นไสฟ์สเตจเพิ่มดีกรีความสนุกด้วยดนตรีจังหวะละติน รุมบ้า และแซมบ้า มีเลาจน์ชั้นลอยสำหรับใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัว รวมถึงพื้นที่ด้านนอกให้จิบเครื่องดื่มดีๆ พร้อมชมวิวยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ แบบ 180 องศา         อาหารของที่นี่เป็นอาหารสเปนล้อไปกับธีมร้าน อุ่นเครื่องด้วย Jalapeno Poppers หน้าตาเรียบร้อยแต่ข้างในแซ่บนัก พริกจาราปิโน่สอดไส้ด้วยครีมชีส และโชริโซ่ นำไปทอด ส่วนด้านนอกเป็นครัมเบิ้ลกรอบๆ กินแล้วกระตุ้นต่อมรับรสได้ดี หรือจะลอง Tuna Tartare Sopes ทาโก้กรอบๆ ท็อปด้วยอโวคาโดบดและทูน่าหั่นเต๋าคลุกเคล้าซอส เคียงด้วยซาวครีม กัวคาโมเล่ และซัลซ่าแบบเมกซิกันก็เริ่มต้นมื้อได้ดี ส่วนสาวๆ ที่ปลื้มสลัดเป็นพิเศษ แนะนำ Goat Cheese Salad ราดด้วยฮันนีเลมอนเดรซซิง สดชื่นดี         จานไฮไลต์ Seafood Paella ข้าวอบสเปนเสิร์ฟบนกระทะร้อนที่หอมกรุ่นมาแต่ไกล ข้าวปรุงรสด้วยแซฟฟรอนและปาปริก้า ท็อปด้านบนด้วยกุ้ง ปลาหมึก หอยแมลงภู่ และโชริโซรสจัด เราชอบความกรอบเล็กๆ ของข้าวที่ขอบกระทะ ตักเข้าปากแล้วได้รสชาติของซีฟู้ดแบบเต็มคำ     ปิดท้ายด้วยค็อกเทลซิกเนเจอร์ Reposado Fashion และ Stars in my eyes จิบแล้วไปแดนซ์ได้อีกยาวๆ    

จากความตั้งใจเพียงแค่อยากลองลงมือทำขนมญี่ปุ่นแสนน่ารักอย่างโมจิหยดน้ำให้ลูกๆ ได้ลองชิมจนคนรอบตัวต่างติดอกติดใจและเป็นที่รู้จักบนโลกออนไลน์ ตอนนี้ “Homu” ก็ได้ขยับขยายมาเปิดเป็นคาเฟ่เล็กๆ แต่ (น่านั่ง) จริงจังให้เหล่าคนรักของหวานได้รื่นรมย์แบบไม่เหมือนใครของ คุณหญิง - เปมิกา ธนล้ำเลิศกุล เจ้าของร้านคุณแม่ลูกสองที่ใส่หัวใจของเธอลงไปในทุกเมนู       เราชอบการผสมผสานบรรดาของตกแต่งแฮนด์เมดสไตล์ญี่ปุ่นในบรรยากาศของตึกเก่าย่านเจริญกรุงที่ให้ทั้งความสวยงามและอบอุ่นเป็นกันเอง เหมือนมาเยือนบ้านเพื่อนสนิทที่พร้อมต้อนรับเราด้วยขนมญี่ปุ่นแบบวากาชิรสชาติดั้งเดิมที่เมื่อตักเข้าปากคำแรกก็รู้สึกเหมือนกำลังละเลียดความอร่อยในเมืองเก่าของชาวอาทิตย์อุทัยเลยทีเดียว ส่วนใครชอบมองวิวผ่านหน้าต่างสวยๆ แดดอุ่นๆ พร้อมนั่งเก้าอี้แขวนตัวสวยต้องขึ้นไปจับจองโต๊ะบนชั้น 2 (บันไดทางขึ้นค่อนข้างแคบและชัน ต้องระวังการก้าเท้าสักนิด)         เมนูเด่นที่พลาดไม่ได้ก็มีทั้งโมจิหยดน้ำซากุระน้ำแร่ฟูจิ ที่สอดแทรกดอกซากุระดองเกลือรสเค็มนิดๆ ตัดความหวานของโมจิและน้ำเชื่อมหอมกลิ่นซากุระ ไดฟุกุสตรอว์เบอร์รี สอดไส้ถั่วแดงกวนหอมหวานห่อหุ้มสตรอว์เบอร์รีสดลูกโตอีกชั้น และบรามันเจะ พุดดิ้งเนื้อเนียนนุ่มทำจากถั่วเหลือง ครีมนม และน้ำผึ้งหวานละมุน โรยผงคินาโกะเพิ่มความหอมอร่อย         ใครชอบความนุ่มเหนียวเคี้ยวมันต้องลองมัตฉะดังโงะ ที่ใช้แป้งข้าวเหนียวผสมชาเขียวมัตฉะเข้มข้นราดซอสโชยุหวานเค็มกลมกล่อม อย่าลืมสั่ง Homu Signature Floral Tea ชาเบลนด์สูตรพิเศษที่ผสมผสานดอกไม้และผลไม้นานาชนิด ทั้งกุหลาบ สตรอว์เบอร์รี พีช แบล็กที และแบล็กเคอร์แรนต์มากินคู่กันเป็นอันลงตัว    

SāN (ซาน) หรือ สาม ร้านอาหารน้องใหม่นำเสนอเมนูอาหารที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการผสมผสานระหว่างตะวันตกและตะวันออก ซานในภาษาจีนกลางแปลว่า “สาม” สื่อจากการรวมทั้งไทย จีน และอเมริกัน ด้วยการร่วมมือของ 3 เชฟ คือ เชฟนิก-กฤษฏา จินตกานนท์ เจ้าของอดีตร้านดัง Shuffle และ White Shuffle, เชฟแนน-สุภรา จินตกานนท์ และเชฟจาคอบ (Jacob Bowser)       ภายในร้านอาหารกึ่งคาเฟ่นี้ตกแต่งสไตล์โมเดิร์นด้วยโทนสีอบอุ่นอย่างสีขาว เทา เขียวอ่อน ทองและดำ ใช้หินอ่อนจากอิตาลี เหล็กและกระเบื้องดินเผาหยกจากจีน ทำให้ได้กลิ่นไอของสามวัฒนธรรม ข้างในเป็นเคาร์เตอร์บาร์ตัวยาวเผยให้เห็นครัวเปิดโล่ง สามารถนั่งดูเชฟปรุงอาหารได้แบบเพลินๆ     อาหารของที่นี่เน้นข้าวอาหารหลักของคนไทย และเส้นจากวัฒนธรรมจีน กับคอนเซ็ปต์ New Originals ที่หยิบเมนูอาหารเก่ามาปัดฝุ่นใหม่ด้วยวิธีพิเศษแบบฉบับของร้าน เมนูอาหารสไตล์เอเชียถูกตีความและปรุงใหม่โดยเชฟทั้งสาม     เริ่มต้นด้วย Braised Duck Bao with Chinese Celery แป้งเปาทอดกรอบสีน้ำตาลทองไส้เนื้อเป็ดตุ๋นจนนุ่มรสเข้มหวานเค็ม ใส่แตงกวาและขึ้นช่ายเพิ่มสัมผัสกรุบกรอบและรสสดชื่น     Twist Noodle with Uni Cream and River Prawn เส้นเซี้ยงไฮ้ผัดกุ้งใส่พริกสด หอมแดงและผักชีฝรั่ง มีรสเผ็ดนิดๆ หน้าตาคล้ายยำ แต่เมื่อราดซอสโฟมอูนิที่มีกลิ่นหอมของไวน์ขาวแล้วทำให้รสผสมกลมกล่อมเข้ากันมากยิ่งขึ้น     ใครชอบกินเส้นลองสั่ง Duck Dan Dan Noodle เชฟได้แรงบันดาลใจมากจาก Dan Dan Mian ก๋วยเตี๋ยวโบราณเสฉวนที่มาพร้อมซอสรสเผ็ดจากน้ำมันพริกเสฉวน จานนี้เป็นบะหมี่เส้นกลมที่เชฟทำเอง เส้นเหนียวนุ่มหนึบ ผัดกับเนื้อเป็ดสับตุ๋นรสเค็มเผ็ดสไตล์จีน โรยต้นหอมและถั่วลิสง     ใครยังไม่อิ่มให้สั่งข้าว SAN Fried Pork Over rice ข้าวมันหุงกับขิงและกระเทียมเสิร์ฟกับหมูสันคอทอดชิ้นใหญ่กรอบนอกนุ่มใน กินกับผักดอง น้ำซุปใสใส่เก๋ากี้ เต็มอิ่มไปเลยเซตนี้       ความดีงามของที่นี่คือมีมื้อเช้าเสิร์ฟด้วย สามารถสั่งได้ทั้งวันจนถึง 5 โมงเย็น มีให้เลือกทั้งหมด 5 เซ็ต ในแต่ละเซ็ตมีผลไม้สด กราโนล่า แฮชบราวน์ น้ำผลไม้ ชาหรือกาแฟ เสิร์ฟพร้อมกับเมนูอาหารกินง่าย เช่น เซ็ต A ขนมปังปิ้งไข่ดาว เซ็ต B เบคอนแพนเค้ก เซ็ต C เฟรนช์โทส เซ็ต D แซลมอนรมควันกับมัฟฟินซาวโด     ร้านเล็กแต่อาหารอร่อยจนต้องจดไว้ในลิสต์เลย

สายซีฟู้ดต้องตามมาทางนี้เลยค่ะ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท จัดหนักจัดเต็มให้คุณได้อิ่มอร่อยกับบุฟเฟ่ต์ซีฟู้ดและอาหารสตรีทฟู้ดยอดนิยมทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น อิตาเลียน และยุโรป รวมถึงขนมหวานหลากหลายเมนูทั้งเค้กหลากชนิด ไอศกรีมโฮมเมด ขนมเบื้อง ช็อคโกแลตฟองดู น้ำแข็งไส     ภายในห้องอาหารตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีอ่อน พนักงานก็แต่งตัวเข้ากับธีมของห้องอาหารด้วยชุดแบบกะลาสี ให้คุณรู้สึกเหมือนได้กินซีฟู้ดสดๆจากทะเล     โดยไฮไลท์ของห้องอาหารอมาญาคือ เมนูปู ที่เชฟจะทำการปรุงสดๆตามออเดอร์ ทั้งผัดพริกไทยดำ ผัดผงกะหรี่ หรือทอดซอสมะขาม โดยสามารถเลือกได้ทั้งปูม้า ปูนิ่ม ปูทะเล และปู brown crab ไม่ว่าจะเมนูไหน ก็สัมผัสได้ถึงเนื้อปูหวานๆแน่นๆ ไม่ผิดหวังเลยค่ะ     ยังมีอาหารซีฟู้ดอีกหลากหลายชนิด อย่างกุ้งแม่น้ำ กุ้งลายเสือ กั้ง หอยนางรม หอยแมลงภู่ ส่วนใครที่ยังคิดไม่ออกว่าจะลองกินเมนูไหน ยังมีพนักงานอยู่หน้าบาร์อาหาคอยให้คคำแนะนำ ให้คุณได้อิ่มอร่อยกับเมนูที่คุณต้องการ     นอกจากนี้ยังมีอาหารจานหลักอีกมากมาย อย่างผัดไท กุ้งราดซอสมะขาม ปลากระพงนึ่งมะนาว หอยเป่าฮื้อ ส้มตำ น้ำพริกผักต้ม ซูชิ ซาซิมิ ติ่มซำ     ไม่ได้มีแต่ซีฟู้ด ยังมีสเต็กเนื้อวัวและแกะสุดพรีเมี่ยม     ปิดท้ายด้วยความฟินจากขนมหวาน ไม่ว่าจะเป็นเค้กนานาชนิด ผลไม้ ไอศกรีม ช็อกโกแลตฟองดู และน้ำแข็งไสที่มีเครื่องให้เลือกกว่า 40 ชนิด จัดหนักจัดเต็มขนาดนี้ ถูกใจทั้งสายซีฟู้ดสายหวานเลยนะคะ  

เป็นที่ฮือฮาไม่น้อยเมื่อเดอะเฮ้าส์ออนสาทรเปลี่ยนคอนเซ็ปต์อาหารจาก The Dining Room ที่เสิร์ฟอาหารจากแรงบันดาลใจของอดีตเชฟชาวตุรกี-ฟาทีห์ ทูทัค กลายเป็นอาหารสไตล์โมเดิร์นไทยซีฟู้ด ใช้ชื่อร้านว่า “พาย” (Paii) ที่มีความหมายถึงการพายเรือ ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากหลวงสาทรราชายุกต์เจ้าของคฤหาสน์คนแรกผู้ริเริ่มขุดคลองสาทรนั่นเอง       ภายในร้านยังคงสวยคลาสสิคเหมือนเดิม ปรับโฉมโดยเปลี่ยนเคาท์เตอร์บาร์ออกไป ทำให้โปร่งโล่งและรองรับลูกค้าได้มากขึ้น ส่วนอาหารได้เชฟคนใหม่ฝีมือดี โจ-วีรเกติ์ นิลายน ปรุงอาหารด้วยรสชาติจัดจ้านในแบบที่คนชอบรสเข้มข้นต้องถูกใจ     เริ่มด้วย ยำหัวปลีเนื้อปู จานนี้ใช้ทั้งหัวปลีสดและหัวปลีชุบแป้งทอดเพิ่มสัมผัสที่กรุบกรอบต่างกัน น้ำยำรสเด็ดหวานเผ็ดจากน้ำพริกเผาทำเอง และเนื้อกรรเชียงปูขนาดจัมโบ้ช่วยให้จานนี้อร่อยเรียกน้ำย่อยได้ดี ลาบปลาหมึกยักษ์ย่าง หนวดปลาหมึกยักษ์จากสเปนเชฟต้มทั้งหนวดจนนุ่ม สไลด์บางๆ ราดด้วยเครื่องลาบหอมกลิ่นข้าวคั่วและสะระแหน่ น้ำลาบเปรี้ยวเค็มเผ็ดครบรส       ต้มยำกุ้งแม่น้ำ เชฟใช้กุ้งตัวโตจากสมุทรสงคราม กุ้งสดเนื้อหวานเด้งทำเป็นต้มยำน้ำข้นรสเข้ม หอมกลิ่นเครื่องต้มยำ กุ้งลายเสือผัดกระเทียมพริกไทย กุ้งลายเสือไซส์ยักษ์จากทะเลไทย ผัดกับซอสกระเทียมพริกไทยรสเข้มข้ม เผ็ดและหอมถึงเครื่องจากกระเทียมพริกไทยดำจานนี้แนะนำว่าคลุกข้าวอร่อย หอยเชลล์ผัดผงกะหรี่ หอยเชลล์ฮอกไกโดย่างกระทะสุกพอดีเนื้อนุ่มหวาน กับซอสผงกะหรี่กลิ่นหอมนวล         หอยหลอดผัดซอสเอ็กโอ หอยหลอดฝรั่งเศสกับซอสรสเค็ม ราดด้วยเหล้ารัมให้ไฟลุกพรึ่บ กลิ่นหอยยั่วน้ำลาย     ปิดท้ายด้วยของหวาน พายวาฟเฟิล วาฟเฟิลฮ่องกงกรอบนอกนุ่มใน กินกับครีมสดและผลไม้ไทยรสเปรี้ยวอมหวานอย่างลูกหม่อน ทับทิมและส้มโอ ถึงจะครบถ้วน     “เดอะเฮ้าส์ออนสาทร” ตึกโบราณสไตล์โคโลเนียล แลนด์มาร์คเก่าแก่อายุกว่า 130 ปี อดีตเคยเป็นบ้านพักของครอบครัว “หลวงสาทรราชายุกต์” นักธุรกิจผู้มั่งคั่งและเป็นผู้ริเริ่มขุดคลองสาทร หลังจากเปลี่ยนเป็นโรงแรมและสถานทูตรัสเซียประจำประเทศไทยแล้ว ปัจุบันอาคารหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของ W Bangkok