เค้กชาร์ล็อตเป็นตัวแทนแห่งความอ่อนหวาน นำน้ำผึ้งมาทำเป็นมูสเนื้อเนียน ซ่อนความเปรี้ยวด้วยเจลเลมอนและกานาชยูซุแสดงถึงความสดใสเรียงเป็นเลเยอร์อยู่ด้านใน ตกแต่งด้วยช็อกโกแลตและคุกกี้รูปรวงผึ้งดูสวยงาม ส่วนผสมเค้กเลดี้ฟิงเกอร์ ไข่ขาว 180 กรัม | น้ำตาลทราย 110 กรัม | ไข่แดง 100 กรัม | แป้งสาลีอเนกประสงค์ 60 กรัม | แป้งมัน 60 กรัม | สีผสมอาหารสีเหลือง 3 หยด   วิธีทำ ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทรายด้วยหัวตะกร้อจนตั้งยอดฟูปานกลาง ใส่ไข่แดงและสีผสมอาหาร ตีต่อให้เข้ากัน ร่อนแป้งสาลีอเนกประสงค์และแป้งมันแล้วแบ่งใส่ในไข่ขาวให้ได้ 3 ครั้ง ตะล่อมจนเป็นเนื้อเดียวกัน เทใส่ถาดซิลิโคนปาดให้ได้หนา 1 เซนติเมตร นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 6 นาที ตัดเค้กเป็นเส้น 30 เซนติเมตร สูง 3 เซนติเมตร ตัดอีกชิ้นด้วยริงคัตเตอร์ขนาด 6 เซนติเมตร เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำฮันนี่ครีม (Honey Cremeux) เจลาตินแมส 14 กรัม | วิปปิงครีม 120 กรัม | ไข่แดง 35 กรัม | น้ำผึ้ง 75 กรัม ต้มวิปปิงครีมกับน้ำผึ้งให้พอร้อน ค่อยๆ เทใส่ไข่แดง คอยคนอยู่ตลอด (ระวังอย่าให้ไข่แดงสุก) นำส่วนผสมตั้งไฟแล้วคนไปเรื่อยๆ จนอุณหภูมิถึง 82 องศาเซลเซียส ใส่เจลาตินแมสแล้วปั่นด้วยเครื่องปั่นมือถือให้เนื้อเนียนละเอียดเข้ากันดี เทใส่พิมพ์ซิลิโคนหรือริงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 เซนติเมตร สูง 1.5 เซนติเมตร นำไปแช่ช่องแช่แข็งจนเซ็ตตัว เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำเจลเลมอน น้ำเลมอน 100 กรัม | น้ำตาลทราย 15 กรัม | ผงวุ้นอะการ์ อะการ์ 2 กรัม ต้มน้ำเลมอนให้ได้อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ใส่น้ำตาลทรายที่ผสมกับผงวุ้น แช่ตู้เย็นไว้ 12-24 ชั่วโมง นำไปปั่นให้เนียนเป็นเนื้อเจล จากนั้นบีบลงบนฮันนี่ครีมแล้วแช่ช่องแข็งจนแข็งตัว เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำวิปกานาชยุซุ (Whipped Yuzu Ganache) วิปปิงครีม 500 กรัม | ไวต์ช็อกโกแลต 145 กรัม | เจลาตินแมส 28 กรัม | น้ำส้มยูซุ 190 กรัม ต้มวิปปิงครีมครึ่งหนึ่งจนเดือด ใส่ไวต์ช็อกโกแลตและเจลาตินแมส คนให้เข้ากัน ค่อยๆ ใส่วิปปิงครีมที่เหลือกับน้ำส้มยูซุลงไป ปั่นด้วยเครื่องปั่นมือถือให้เข้ากัน แช่ตู้เย็นไว้ 12-24 ชั่วโมง วิธีประกอบขนม ตีวิปกานาชยุซุด้วยหัวตีตะกร้อจนฟู ตักใส่พิมพ์ซิลิโคนหรือริงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร สูง 5 เซนติเมตร ประมาณ 3/4 ของพิมพ์ ใส่ไส้ฮันนี่ครีมกับเจลเลมอนที่เตรียมไว้ ใส่วิปกานาชยุซุเพิ่มเล็กน้อยโดยเว้นพื้นที่ตรงกลางไว้สำหรับใส่เลดี้ฟิงเกอร์ขนาด 6 เซนติเมตรปิดท้าย จากนั้นนำไปแช่ช่องแข็งจนแข็งตัวเพื่อให้แกะออกจากพิมพ์ง่าย แกะกานาชมูสออกจากพิมพ์ ราดด้วยเกลซใส นำเค้กเลดี้ฟิงเกอร์ที่ตัดเป็นเส้นและช็อกโกแลตมาล้อมด้านข้างมูส ตกแต่งบนหน้าด้วยคุกกี้ (Tuile) รูปรังผึ้ง และแผ่นทองให้สวยงาม

หลายคนคงรู้จัก เชฟแก้ว-ปวีณ์นุช ยอดปรีชาวิจิตร เชฟหญิงผู้มีความอ่อนหวาน มีดีกรีเป็นเชฟหญิงคนแรกที่คว้ารางวัลรายการแข่งขันทำอาหาร MasterChef Thailand Season 1 และผู้เข้าร่วมรายการแข่งขันทำอาหารอื่นๆ ที่เชฟแก้วได้เข้าร่วมแข่งขันแบบไม่ขาดหาย และล่าสุดเชฟได้เปิดร้านอาหารแห่งใหม่ในย่านสาทร ซอย 12  มีชื่อร้านว่า ALT Dry Age ซึ่งเป็นการฉีกบทบาทของเชฟสายหวานมาสู่วงการเนื้อดรายเอจได้อย่างน่าสนใจ   เหตุผลนั้นเธอบอกว่าเพราะชอบกินเนื้ออยู่แล้วซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ และกระแสดรายเอจกำลังมาจึงเปิดร้านนี้กับเชฟสัญและเพื่อนอีก 2 คน ในปัจจุบันเชฟหญิงเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะที่เธอเป็นเชฟหญิงชั้นแนวหน้า และในวาระวันสตรีสากลเชฟหญิงอย่างเธอมองความท้าทายในการทำงานครัวว่ามีมากน้อยแค่ไหน?    “แก้วมองว่าในสมัยก่อนการเป็นเชฟผู้หญิงอาจจะลำบากเล็กน้อย เพราะงานในครัวเป็นอะไรที่หนัก ต้องใช้กำลังมาก และต้องรับกับแรงกดดันให้ไหว แต่ในปัจจุบันเราเห็นเชฟหญิงในวงการมากมาย ความเป็นผู้หญิงทำให้ในครัวสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เพราะผู้หญิงเอาใจใส่ ประณีต และละเอียดอ่อนในการทำงาน ซึ่งเป็นอีกมุมมองที่เชฟผู้ชายบางคนอาจจะละเลยได้”   ไอดอลเชฟผู้หญิงของเชฟแก้วคือใคร? (เชฟตอบอย่างรวดเร็ว) “ชื่นชอบเชฟ Dominique Crenn มาก เจ้าของรางวัล Best Female Chef 2016 และเจ้าของร้านอาหารมิชลิน 3 ดาว เชฟโดมินิกมีบุคลิกเท่และแข็งแกร่ง สิ่งไหนที่ผู้ชายทำได้เธอก็ต้องทำให้ได้ ส่วนตัวยังชอบตัวละครการ์ตูนผู้หญิงเก่งตั้งแต่เด็ก เช่น มู่หลาน กับ เบล เพราะใช้ความพยายามเพื่อให้ได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมา”   ความชื่นชอบนี้เองที่ทำให้เธอสร้างผลงานที่ชื่อว่าดรุณีมาลา (Little Flower) สื่อถึงความเป็นผู้หญิงที่ถูกสังคมตีกรอบ และถูกจัดวางไว้ว่าต้องสวย ต้องทำตัวเหมือนรูปปั้นสวยงาม มีผ้าปิดตาไว้ ซึ่งเปรียบเสมือนการมองโลกผ่านเลนส์ที่สังคมกำหนดไว้ รูปปั้นหน้าผู้หญิงนี้เนื้อในเป็นไส้มูสช็อกโกแลตแสดงถึงความหวานอมขมกลืน ไส้ตรงกลางเป็นแยมสตรอว์เบอร์รีเลมอนให้ความสดชื่นซ่อนเอาไว้อยู่ เปรียบได้ว่าจริงๆ แล้วผู้หญิงแต่ละคนมีความฝันหรือสิ่งที่ตัวเองอยากลงมือทำ แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าได้ทำหรือไม่ ต้องมีสังคมเป็นตัวกำหนดหรือกลายเป็นแค่รูปปั้นอย่างนั้นอยู่ตลอดไป   เชฟแก้วย้ำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่มีพลังว่า “เราต้องกล้าเปิดผ้าปิดตาเพื่อทำตามความฝัน และแสดงความเป็นตัวเองออกมาให้สังคมได้เห็น” Little Flower ดรุณีมาลา   อุปกรณ์ :  พิมพ์รูปหน้าผู้หญิง   ส่วนผสมสเปรย์ช็อกโกแลต ไวต์ช็อกโกแลต 50 กรัม | โกโก้บัตเตอร์ (Cocoa Butter) 50 กรัม | ผงโกโก้สีเข้ม (Black Cocoa Powder) 0.5 กรัม | Gun Spray 1 กระบอก   วิธีทำ ตุ๋นไวต์ช็อกโกแลตกับโกโก้บัตเตอร์จนละลายเข้ากันดี ใส่ผงโกโก้ ปั่นผสมเข้าด้วยกัน เมื่อถึงอุณหภูมิประมาณ 50-52 องศาเซลเซียส ใส่ลงในกระบอกสเปรย์ เตรียมไว้ ส่วนผสมสตรอว์เบอร์รีกีลี (Strawberry Gelée) สตรอว์เบอร์รีพูเร่ 500 กรัม | น้ำตาลทราย 50 กรัม | ผิวเลมอน 2 กรัม | แผ่นเจลาติน 6 กรัม (แช่น้ำเย็นจัด)   วิธีทำ เคี่ยวสตรอว์เบอร์รีพูเร่ น้ำตาลทราย และผิวเลมอนให้ละลายเข้ากันดี เคี่ยวให้ร้อนถึง 80 องศาเซลเซียส นำเจลาตินที่แช่ไว้ใส่ลงไป คนจนเจลาตินละลายหมด เทใส่ถุงบีบ บีบใส่พิมพ์ซิลิโคนครึ่งวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.7 เซนติเมตร นำเข้าช่องแช่แข็งให้แข็งตัว ส่วนผสมเค้กฟินองเซีย (Financier) อัลมอนด์ป่น 70 กรัม | น้ำตาลไอซิง 40 กรัม | แป้งสาลีอเนกประสงค์ 10 กรัม | ไข่ไก่ 70 กรัม | เนยใส (Clarified Butter) 40 กรัม | เกลือเล็กน้อย   วิธีทำ อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 150-170 องศาเซลเซียส เตรียมไว้ ผสมอัลมอนด์ป่น น้ำตาลไอซิง แป้งและเกลือเข้าด้วยกัน ใส่ไข่ไก่และเนยลงไป คนให้เข้ากัน เทลงในถาดที่รองกระดาษไขไว้ ปาดให้หนาประมาณ 1 เซนติเมตร นำเข้าเตาอบ 10-20 นาที แล้วพักไว้ให้หายร้อน นำเข้าตู้เย็นไว้ก่อนใช้งาน ส่วนผสม Hazelnut Chocolate Mousse (สำหรับ 2 ที่) ไวต์ช็อกโกแลต 40 กรัม | โกโก้บัตเตอร์ (Cocoa Butter) 20 กรัม | ถั่วเฮเซลนัตบด (Hazelnut Paste) 25 กรัม | ผงโกโก้ 5 กรัม | แป้งสาลีอเนกประสงค์ 10 กรัม | น้ำตาลทราย 15 กรัม | นม 75 กรัม | วิปปิงครีม 100 กรัม | สตรอว์เบอร์รีกีลี 4 ชิ้น   วิธีทำ ตีวิปปิงครีมให้ข้นเหมือนโยเกิร์ต พักไว้ในตู้เย็น นำไวต์ช็อกโกแลต โกโก้บัตเตอร์ และถั่วเฮเซลนัตบดมาตุ๋นรวมกันจนละลาย พักไว้ นำผงโกโก้ แป้ง และน้ำตาลทรายผสมรวมกัน ในหม้อใบเล็กต้มนมให้ได้อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส แล้วเทลงในชามแห้ง คนให้เข้ากัน เทกลับลงในหม้อ ใช้ตะกร้อมือตีต่อจนแป้งสุก ลักษณะจะข้นหนืด และเงา พักไว้จนเย็นตัว ผสมกับส่วนผสมไวต์ช็อกโกแลต ค่อยๆ ตะล่อมวิปครีมลงไป ตักใส่ถุงบีบ บีบลงในพิมพ์หน้าผู้หญิง ระหว่างบีบพยายามใช้สปาตูลาอันเล็กเกลี่ยให้มูสเข้าไปในทุกซอกทุกมุมของพิมพ์ ใส่สตรอว์เบอร์รีกีลีในส่วนหัวและส่วนลำตัวของมูส ปิดท้ายด้วยเค้กฟินองเซียที่ตัดให้พอดีกับฐานมูส นำเข้าแช่ช่องแข็งจนเซ็ตตัวแข็งดี นำออกจากช่องแข็ง แกะออกจากพิมพ์  นำมาสเปรย์ด้วยสเปรย์ช็อกโกแลตให้ทั่วชิ้น วางมูสรูปปั้นหน้าผู้หญิงไว้ตรงกลางจาน ด้านข้างโรยครัมเบิลและซอสมิกซ์เบอร์รี ตกแต่งด้วยดอกไม้กินได้ให้สวยงาม

ส่วนผสมมูสมัตฉะ (สำหรับ 6 ที่) ไวต์ช็อกโกแลต 34% 70 กรัม | วิปปิงครีม (1) 70 กรัม | ผงมัตฉะ 7 กรัม | เจลาตินแมส (Gelatin Mass) 4 กรัม | วิปปิงครีม (2) 100 กรัม   วิธีทำ ละลายไวต์ช็อกโกแลตในหม้อด้วยไฟอ่อนจนเนื้อเนียน ยกออกจากเตา ใส่ผงมัตฉะที่ร่อนแล้ว คนด้วยพายยางให้ละลายเข้ากัน ใส่วิปปิงครีม (1) นำกลับขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟอ่อนแล้วใส่เจลาตินแมส คนให้ละลายเข้ากัน ยกออกจากเตา ตีวิปปิงครีม (2) ให้ตั้งยอดอ่อน ค่อยๆ แบ่งใส่ลงในส่วนผสมมัตฉะครั้งละ 1/3 ถ้วย ตะล่อมด้วยพายยางให้พอเข้ากัน เทใส่พิมพ์ซิลิโคนประมาณ 30 กรัม จากนั้นวางแผ่นถั่วแดง (มาจากถั่วแดงกวนใส่พิมพ์ขนาด 4 เซนติเมตร แช่เย็นจนแข็ง) ใช้มือกดเบาๆ ให้ถั่วแดงอยู่ในแนวเดียวกับมูส นำไปแช่ช่องแข็งจนเซ็ตตัว เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำครีมชองตีลลี วิปปิงครีม (เย็น) 80 กรัม | น้ำตาลไอซิง 3 กรัม | กลิ่นวานิลลา 3 กรัม ตีวิปปิงครีมกับน้ำตาลไอซิง และกลิ่นวานิลลาด้วยเครื่องตีมือถือจนตั้งยอดอ่อน ตักครีมใส่ถุงบีบพร้อมกับหัวบีบ St. Honoré เตรียมไว้ ส่วนผสมฟินองเซียมัตฉะ เนยจืด 56 กรัม | ผงอัลมอนด์ 40 กรัม | แป้งสาลีอเนกประสงค์ 40 กรัม | น้ำตาลไอซิง 90 กรัม | ผงฟู 0.5 กรัม | ผงมัตฉะ 5 กรัม | ไข่ขาว 110 กรัม | แบะแซ 8 กรัม   วิธีทำ อุ่นเตาอบให้ได้อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส เตรียมไว้ ใส่เนยและแบะแซลงในหม้อใบเล็ก ตั้งไฟให้ละลายเข้ากัน พักไว้ ร่อนน้ำตาลไอซิงกับผงอัลมอนด์ใส่ลงในไข่ขาว คนให้เข้ากัน ร่อนแป้ง ผงมัตฉะ และผงฟูใส่ลงในไข่ขาว คนให้เข้ากันจนเนื้อเนียน ค่อยๆ ใส่เนยที่ละลายเตรียมไว้ คนให้เข้ากัน เทใส่พิมพ์ขนาด 8×8 นิ้วที่รองด้วยกระดาษไข นำเข้าเตาอบนาน 12 นาทีจนเค้กสุก พักไว้ให้หายร้อน ตัดด้วยริงคัตเตอร์ทรงกลมขนาด 4 เซนติเมตร สไลซ์เค้กให้สูง 1 เซนติเมตร พักไว้ ส่วนผสมกานาชมัตฉะ (สำหรับ 6 ที่) ไวต์ช็อกโกแลต 34% 57 กรัม | วิปปิงครีม 57 กรัม | ผงมัตฉะ 6 กรัม | ทาร์ตมัตฉะ 6 ชิ้น   วิธีทำ ละลายไวต์ช็อกโกแลตในหม้อใบเล็กโดยใช้ไฟอ่อน ยกลง ใส่ผงมัตฉะที่ร่อนแล้วลงไป คนด้วยพายยางให้เข้ากันจนเนื้อเนียน ใส่วิปปิงครีม นำกลับขึ้นตั้งเตา ใช้ไฟอ่อน คนให้ส่วนผสมเข้ากัน ตักใส่ถุงบีบ เตรียมไว้ วางเค้กมัตฉะฟินองเซียกลางแป้งทาร์ต บีบมัตฉะกานาชจนเต็ม เตรียมไว้ ส่วนผสมเจลลีมัตฉะ น้ำเปล่า 60 กรัม | น้ำตาลทราย 6 กรัม | ผงมัตฉะ 1.2 กรัม | เจลาตินแมส (Gelatin Mass) 6 กรัม   วิธีทำ ร่อนผงมัตฉะลงในหม้อ ใส่น้ำตาลทราย ใช้พายยางคนให้เข้ากัน ใส่น้ำเปล่า ต้มด้วยไฟอ่อน คนจนละลายและไม่จับตัวเป็นก้อน ยกออกจากเตา ใส่เจลาตินแมส คนให้ละลายเข้ากัน เทใส่พิมพ์ซิลิโคนขนาด 8 เซนติเมตร พิมพ์ละ 10 กรัม แล้วนำไปแช่ในตู้เย็นจนเซ็ตตัว วิธีประกอบขนม วางเค้กมูสมัตฉะบนทาร์ตมัตฉะที่เตรียมไว้ วางเจลลีมัตฉะไว้ด้านบน ตกแต่งด้วยครีมชองตีลลี ผงมัตฉะ และไวต์ช็อกโกแลตให้สวยงาม

พายถั่วพีแคน ราดซอสคาราเมลกลิ่นเนยหอมๆ จะทำเป็นของแจก ของฝาก ได้แบบเก๋ๆ   ส่วนผสมแป้งพาย แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 1/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/4 ช้อนชา เนยสดรสจืด 75 กรัม ไข่ไก่ตีให้เข้ากัน 1/2 ฟอง นมสดรสจืด 2 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมไส้ถั่วพีแคน น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย เนยสดรสจืด 3 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่ 2 ฟอง เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ถั่วพีแคน 2 ถ้วย น้ำผึ้ง 1/2 ถ้วย วิธีทำ เตรียมแป้งพายโดยผสมเนยสด น้ำตาลทราย เกลือ และแป้งสาลีเข้าด้วยกันให้แป้งเป็นเม็ดเล็กๆ ใส่ไข่และนมสด คนพอเข้ากัน ห่อด้วยแผ่นแผ่นรองอบ แช่เย็นไว้ 1 ชั่วโมง นำแผ่นแป้งกรุลงในพิมพ์อบพาย กดเบาๆ ให้แนบกับพิมพ์ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เวลา 15 นาที พอให้แป้งพายสุก ทำไส้ขนมโดยผสมใส่น้ำตาลลงในกระทะ เคี่ยวให้เป็นคาราเมล  ใส่น้ำผึ้ง เคี่ยวให้เดือด ใส่เนยสด และเกลือ คนให้เข้ากัน ใส่ไข่ไก่ คนให้เข้ากัน ตักใส่แป้งพาย เรียงพีแคน นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เวลา 40-45 นาที หรือจนสุก   

เมนูที่เกิดจากความผูกพันของเชฟเอและครอบครัว ตะโก้เผือกเนื้อเนียนที่ทำกันอยู่เป็นประจำ พิเศษโดยใส่เม็ดบัวและครัมเบิลน้ำตาลโตนดให้เนื้อสัมผัสกรุบกรอบ ได้รสเค็มจากหน้ากะทิอ่อนๆ เข้ากันได้เป็นอย่างดี ส่วนผสมตัวขนม (สำหรับ 8 ที่) เผือกนึ่งสุก 120 กรัม แป้งข้าวเจ้า 20 กรัม แป้งมัน 15 กรัม แป้งถั่วเขียว 10 กรัม น้ำตาลทราย 150 กรัม หัวกะทิ 200 กรัม น้ำมะพร้าวอ่อน 200 กรัม เม็ดบัวต้มสุก 50 กรัม เนื้อมะพร้าวอ่อน 40 กรัม วิธีทำ ปั่นเผือกนึ่งสุกกับน้ำมะพร้าวอ่อนให้เนื้อเนียนละเอียด ใส่แป้งข้าวเจ้า แป้งมัน แป้งถั่วเขียว น้ำตาลทราย และหัวกะทิ ปั่นผสมให้เข้ากันดี นำส่วนผสมขึ้นตั้งไฟอ่อน กวนไปในทิศทางเดียวกันจนส่วนผสมข้นใสและเดือดเล็กน้อย ใส่เม็ดบัวต้มสุกและเนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นเต๋า คนให้เข้ากัน ต้มให้ส่วนผสมเดือดอีกครั้ง ตักใส่ภาชนะสำหรับเสิร์ฟ พักไว้ ส่วนผสมครัมเบิลน้ำตาลโตนด เนยเย็น 74 กรัม | แป้ง T55 67 กรัม | น้ำตาลทราย 25 กรัม | น้ำตาลโตนด 40 กรัม | อัลมอนด์ป่น 74 กรัม   วิธีทำ ใส่ส่วนผสมทั้งหมด ผสมให้เข้ากันจนร่วนเป็นเม็ดทรายหยาบ ตักใส่ถาดอบ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส นาน 12-15 นาที จนเป็นสีเหลืองทอง พักให้เย็น บดให้เป็นเนื้อทราย เก็บใส่กล่องสุญญากาศ เตรียมไว้ ส่วนผสมหน้าตะโก้ หัวกะทิ 400 กรัม | น้ำลอยดอกมะลิ 100 กรัม | แป้งข้าวเจ้า 30 กรัม | แป้งถั่วเขียว 5 กรัม | เกลือทะเล 4 กรัม |น้ำตาลทราย 20 กรัม | เนื้อเผือกนึ่งสุกหั่นเต๋า | เม็ดบัวเคลือบน้ำตาลไหม้ | มะพร้าวอ่อน | กลีบบัว   วิธีทำ ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งถั่วเขียว น้ำตาลทราย และเกลือ คนให้เข้ากัน ค่อยๆ เติมหัวกะทิและน้ำลอยดอกมะลิจนหมด คนให้ส่วนผสมเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน กรองผ่านกระชอนใส่หม้อ ตั้งไฟกวนด้วยไฟอ่อนจนข้นและเดือดเล็กน้อย ปิดไฟ ตักส่วนผสมหยอดลงบนตะโก้ที่เตรียมไว้ (ควรหยอดหน้าขนมขณะที่ยังร้อนหน้าขนมจะเรียบสวย) พักให้เย็นที่อุณหภูมิห้อง ตกแต่งด้วยครัมเบิลน้ำตาลโตนด เผือก และเม็ดบัวเคลือบน้ำตาลไหม้ มะพร้าวอ่อน และกลีบบัวหลวงให้สวยงาม

ฉบับนี้ G&C มีโอกาสพูดคุยกับเชฟมาร์ค ราซูเรล (Chef Marc Razurel) เชฟผู้สอนประจำหลักสูตรการประกอบขนมอบจากโรงเรียนสอนการประกอบอาหาร เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต โรงเรียนสอนทำอาหารอันลือชื่อที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันอยากไปเรียน เชฟเป็นชาวฝรั่งเศสโดยกำเนิด มีสายเลือดการทำอาหารมาตั้งแต่เด็กเพราะคุณปู่คุณย่าเปิดร้านอาหาร เขาจึงได้ช่วยทุกอย่างในร้านตั้งแต่ฝึกทำ ฝึกชิม มีหน้าที่สำคัญคือทำจานเรียกน้ำย่อย และยังต้องช่วยจัดชุดจาน และตกแต่งโต๊ะกินข้าวให้สวยงาม   เมื่อช่วยคุณย่าไปสักพักก็ทำให้รู้ว่าตนเองอยากเป็นเชฟขนมหวาน เพราะได้ทำแอปเปิลพายสูตรอร่อยของคุณย่า รู้สึกประทับใจในรสชาติมาก จึงไปศึกษาต่อจนได้รับประกาศนียบัตร Brevet d'études Professionnelles ทำให้มีโอกาสทำงานในร้านอาหารมิชลินสตาร์และโรงแรมชื่อดัง และผันตัวมาสู่บทบาทอาจารย์ผู้สอนที่โรงเรียนสอนการประกอบอาหาร เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต   เชฟเล่าว่าหลักสูตรของที่นี่จะเริ่มตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงแอดวานซ์ระดับเทียบเท่ากับระดับโรงแรมหรู และนอกจากจะได้เรียนรู้ถึงทักษะในการทำขนมฝรั่งเศสแบบคลาสสิกและร่วมสมัยแล้ว ยังลงไปถึงเบื้องลึกประวัติศาสตร์ของขนม เช่นเดียวกับ Valentine’s Days When The Papua New Guinea Meet Thailand เมนูที่เชฟภูมิใจนำเสนอ   ขนมนี้เป็นมูสเค้กสีแดงสดที่สื่อถึงวันวาเลนไทน์ เนื้อสัมผัสนุ่มและหอมหวาน เชฟตั้งใจผสมผสานมูสดอกมะลิแยกเป็นเลเยอร์กับเนื้อเค้กใบเตยซึ่งเป็นตัวแทนของไทย ตัดกับมูสช็อกโกแลตที่เป็นตัวแทนของฝั่งปาปัวนิวกินีราดด้วยเกลซสีแดงสด ล้อมรอบด้วยมาร์ชแมลโลว์และเจลลีราสป์เบอร์รีคล้ายกับเข็มขัดรัดเปรียบดั่งเป็นชุดราตรี ตกแต่งบนหน้าด้วยซองจดหมายรักจิ๋วและดอกไม้ที่กำลังจะส่งไปยังคนที่คุณรัก   วาเลนไทนนี้นอกจากจะได้สูตรขนมแสนอร่อยแล้วก็รอจดหมายรักจากเชฟด้วยนะครับ Valentine’s Days When The Papua New Guinea Meet Thailand ส่วนผสม Rice Flour Sablé Breton (สำหรับ 3 ชิ้น) แป้ง T45 87 กรัม | แป้งข้าวเจ้า 120 กรัม | เกลือ 1.5 กรัม | เนยจืด 75 กรัม | น้ำตาลทราย 36 กรัม   วิธีทำ ผสมแป้ง T45 แป้งข้าวเจ้า และเกลือให้เข้ากัน ใส่เนยจืดและน้ำตาลทราย ผสมให้พอเข้ากัน กดใส่พิมพ์ขนาด 14 เซนติเมตรให้หนาประมาณ 3 มิลลิเมตร นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 10 นาทีจนสีเหลืองสวย ส่วนผสมเค้กสปันจ์ใบเตย ไข่ไก่ 138 กรัม | ใบเตย 36 กรัม | มาร์ซิแพน 116 กรัม | เนยจืด 45 กรัม | แป้งสาลีอเนกประสงค์ 36 กรัม | ผงฟู 1.5 กรัม   วิธีทำ ปั่นไข่ไก่กับใบเตยให้เข้ากันแล้วกรองด้วยผ้าขาวบางให้ได้ 100 กรัม เตรียมไว้ ผสมมาร์ซิแพนกับส่วนผสมไข่ไก่และเนยให้เข้ากันจนเนื้อเนียน ใส่แป้งสาลีและผงฟู คนต่อสักครู่ให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน เทใส่พิมพ์วงกลมให้ได้ความหนา 0.5 เซนติเมตร นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส นาน 10 นาที ส่วนผสม Raspberry Jasmine Mousse ราสป์เบอร์รีพูเร่ 50 กรัม | ดอกมะลิ 8 กรัม | น้ำตาลทราย 10 กรัม | น้ำเลมอน 10 กรัม | แผ่นเจลาติน (แช่ในน้ำเย็น) 3.5 กรัม | เหล้าราสป์เบอร์รี (Raspberry liquor) 5 กรัม | วิปครีม 138 กรัม | เนื้อราสป์เบอร์รีแช่แข็ง 40 กรัม   วิธีทำ อุ่นราสป์เบอร์รี ดอกมะลิ น้ำตาลทราย และน้ำเลมอนในหม้อใบเล็กให้ได้อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ใส่แผ่นเจลาตินและเหล้าราสป์เบอร์รี คนต่อให้อุณหภูมิลดเหลือ 40-45 องศาเซลเซียส ใส่วิปครีมแล้วคนต่อให้เข้ากันจนอุณหภูมิลดเหลือ 22 องศาเซลเซียส ใส่เนื้อราสป์เบอร์รีแช่แข็ง คนต่อเล็กน้อย ตักใส่พิมพ์วงกลมขนาด 14 เซนติเมตร พักไว้ในตู้เย็นให้เซ็ตตัว ส่วนผสม Single Origine Papouasie 35% Milk Chocolate Mousse นมรสจืด 103 กรัม | ผงเจลาติน 4 กรัม | น้ำเปล่า 24 กรัม | ช็อกโกแลต (Cacao Barry Single Origine Papouasie 35%) 204 กรัม | วิปครีม 270 กรัม   วิธีทำ ต้มน้ำเปล่ากับเจลาตินให้พออุ่น เทใส่ในช็อกโกแลต คนให้ละลายเข้ากันจนหายร้อนสักครู่ จากนั้นนำไปผสมกับวิปครีมจนเนื้อเนียน คนให้อุณหภูมิลดเหลือ 25 องศาเซลเซียส เทใส่พิมพ์ซิลิโคนเป็นชั้นแรก วางเค้กใบเตย มูสมะลิราสป์เบอร์รี และปิดท้ายด้วย Rice Flour Sablé Breton ปาดครีมให้เรียบร้อย แช่ในช่องแช่แข็งนาน 1 คืน ส่วนผสมมาร์ชแมลโลว์ น้ำเปล่า 135 กรัม | น้ำตาลกลูโคส 90 กรัม | น้ำตาลทราย 450 กรัม | ไข่ขาว 70 กรัม | แผ่นเจลาติน 13.5 กรัม | กลิ่นวานิลลา 5 กรัม   วิธีทำ ต้มน้ำเชื่อมโดยผสมน้ำเปล่า น้ำตาลกลูโคส และน้ำตาลทราย ให้ได้อุณหภูมิ 117-120 องศาเซลเซียส ตีไข่ขาวให้พอขึ้นฟู ค่อยๆ เทน้ำเชื่อมใส่จนหมด ใส่เจลาตินและกลิ่นวานิลลา ตีส่วนผสมให้เข้ากัน เทใส่ถาดที่พ่นสเปรย์ไขมันป้องกันไม่ให้ติด ให้หนาประมาณ 3 มิลลิเมตร พักไว้ในตู้เย็นนาน 2 ชั่วโมง  นำออกมาตัดให้ได้ขนาด 4×51 เซนติเมตร ส่วนผสมเจลลีราสป์เบอร์รี ราสป์เบอร์รีพูเร่ 1000 กรัม | น้ำตาลทราย (1) 100 กรัม | เพกตินสีเหลือง 25 กรัม | น้ำตาลทราย (2) 1,000 กรัม | กลูโคส 200 กรัม | กรดทาร์ทาริก (Tartaric Acid Solution) 25 กรัม   วิธีทำ อุ่นราสป์เบอร์รีพูเร่ให้ร้อน ใส่เพกตินและน้ำตาลทราย (1) ต้มให้พอเดือด ประมาณ 2-3 นาที ใส่น้ำตาลทราย (2) และกลูโคส ต้มให้อุณหภูมิถึง 107 องศาเซลเซียส ปิดไฟแล้วพักให้อุณหภูมิลดเหลือ 75 องศาเซลเซียส ใส่กรดทาร์ทาริก คนให้ละลายเข้ากัน เทใส่ถาดให้หนาประมาณ 3 มิลลิเมตร พักให้เซ็ตตัว แล้วตัดให้ได้ขนาด 4×51 เซนติเมตร ส่วนผสมเกลซ นมรสจืด 187 กรัม | กลิ่นวานิลลา 3 กรัม | น้ำตาลกลูโคส 60 กรัม | แผ่นเจลาติน 13 กรัม | ไวต์ช็อกโกแลต (Cb Blanc Satin 29%) 200 กรัม | สารเสริม (White Pâte à Glazer) 200 กรัม | ดาร์กช็อกโกแลต 58% 150 กรัม | สีผสมอาหารสีแดง 6 หยด   วิธีทำ ต้มนมกับกลิ่นวานิลลา และน้ำตาลกลูโคสให้พออุ่น ใส่แผ่นเจลาติน คนให้เข้ากัน ใส่ไวต์ช็อกโกแลต สารเสริม และดาร์กช็อกโกแลต คนให้ส่วนผสมเข้ากัน ใส่สีผสมอาหาร คนจนเนื้อเนียน คลุมด้วยพลาสติกแร็ปให้แนบหน้า พักให้อุณหภูมิลดเหลือ 28-30 องศาเซลเซียส ก่อนนำไปใช้ แกะมูสที่แช่แข็งไว้ 1 คืนออกจากพิมพ์วางไว้บนตะแกรง ค่อยๆ ราดเกลซให้ทั่ว รอให้เซ็ตตัวสักครู่ ยกขึ้นใส่ถาด พันรอบมูสด้วยมาร์ชแมลโลว์และเจลลีราสป์เบอร์รี ตกแต่งด้านบนด้วยไวต์ช็อกโกแลตให้สวยงาม

“เอ๊ะ ยังไง?”   เค้กช็อกโกแลต 1 ก้อน นอนนิ่งในตู้เย็นมาเกือบสัปดาห์ มีรอยตัดแหว่งไปไม่มาก ตัวป้าเจี๊ยบเองไม่กินเค้กที่คนอื่นทำ เลยบอกไม่ได้ว่าทำไมจึงไม่มีใครกินอีก?   ความอยากรู้ทำให้จำเป็นต้องตัดมาชิมหนึ่งคำ อ้อ...อย่างนี้นี่เอง เค้กเนื้อเบาๆ ค่อนข้างแห้งและหวานมาก หน้าเค้กที่เป็นครีมช็อกโกแลตก็หวานนำเช่นกัน ซึ่งบุคลิกเค้กแบบนี้ไม่ถูกจริตสมาชิกครอบครัว   เค้กช็อกโกแลตของป้าเจี๊ยบไม่หวาน เนื้อหนัก นุ่มและชุ่มฉ่ำ ทำเมื่อไหร่ เกลี้ยงเสมอ...อิอิ   ป้าเจี๊ยบนั่งมองเค้กที่ไม่มีใครเหลียวแล จะทิ้งก็กระไรอยู่ เกรงใจผู้ที่อุตส่าห์ซื้อมาฝาก จึงคิดว่าเอามาแปลงร่างให้เค้กนี้มีเนื้อสัมผัสและรสชาติแบบที่สมาชิกบ้านป้าเจี๊ยบชอบดีกว่านิ   เริ่มตักเค้กออกจากถาดฟอยล์มาชั่ง  ได้น้ำหนักเค้ก 215 กรัม นำเค้กใส่ชาม โรยเกลือป่น 1/4 ช้อนชา เนยแท้ละลาย 1 ช้อนโต๊ะ ผงโกโก้ดัตช์ 1 ช้อนโต๊ะ สวมถุงมือจัดการขยำขยี้ส่วนผสมทั้งหมดจนเข้ากัน วางพักไว้   ตวงดาร์กช็อกโกแลต 70% จำนวน 150 กรัมใส่ในถ้วยแก้ว นำเข้าไมโครเวฟ 25 วินาทีให้ละลาย นำออกมาคนด้วยช้อนให้เนียนเป็นครีม   แบ่งช็อกโกแลตละลาย 90 กรัมออกมาเทใส่ชามเนื้อเค้ก นวดขยำให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน   ชิมก่อนค่ะ...เนื้อมีความฉ่ำ ความหวานลดลง รสชาติกลมกล่อมขึ้นแล้ว แถมได้กลิ่นรสช็อกโกแลตเต็มๆ   ลงมือปั้นเป็นลูกกลมๆ แต่ถ้าแห้งไปป้าเจี๊ยบจะใส่ช็อกโกแลตละลายเพิ่มทีละนิดจนปั้นเป็นลูกกลมเนื้อเนียนได้ กะขนาดประมาณลูกละ 20 กรัมกว่านิดๆ ได้ 10 ลูก    ป้าเจี๊ยบหยิบไม้อมยิ้มพลาสติกจุ่มลงในช็อกโกแลตละลาย แล้วเสียบเข้าที่ลูกกลมให้ถึงจุดศูนย์กลาง วางเรียงในถาดโดยให้ไม้ตั้งฉากกับถาด นำไปแช่ตู้เย็นไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง   ระหว่างรอ ป้าเจี๊ยบนำเม็ดน้ำตาลสีแบบต่างๆ ใส่ถ้วยวางไว้ และเตรียมเจาะแผ่นโฟมเป็นรูเล็กๆ 10 รู สำหรับเสียบไม้อมยิ้มหลังการเคลือบลูกกลมด้วยช็อกโกแลต   ช็อกโกแลตที่ละลายไว้เป็นช็อกโกแลตแท้ค่ะ จึงไม่แข็งตัวเร็วเหมือนช็อกโกแลตคอมพาวด์หรือช็อกโกแลตโค้ตติง แต่ป้าเจี๊ยบมัวไปทำธุระอื่นจนกลับมาพบว่าช็อกโกแลตในถ้วยเริ่มหนืดเกินไป ต้องพาเข้าไมโครเวฟอีกรอบ แล้วนำออกมาคนอีกครั้ง...เฮ้อ!   เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วป้าเจี๊ยบถือไม้อมยิ้มทีละอัน พาลูกกลมไปชุบตัวในถ้วยช็อกโกแลตละลาย โรยเม็ดน้ำตาลสี แล้วปักบนแผ่นโฟม ครบแล้วก็ยกไปแช่ตู้เย็น เมื่อช็อกโกแลตแข็งตัวดีแล้วจัดเก็บในกล่องปิดสนิท   ถึงวันนำออกมาวางอวดโฉม เค้กช็อกโกแลตที่แปลงร่างแล้วมีคนเหลียวแลทันที เมียงมองเข้ามาถามว่า “อมยิ้มช็อกโกแลตเหรอ...” ก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบไปกิน...ฮา!

แนวคิดเรื่องวีแกน (Vegan) ที่ไม่กินเนื้อสัตว์น่าจะมาจากตะวันตก อาหารและขนมส่วนใหญ่จึงเป็นของฝรั่งที่ใช้นม เนย ไข่ และชีสเป็นหลัก เมื่อจะไม่กินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์จึงต้องมาใช้กะทิแทนนมบ้าง ถั่วเปลือกแข็งบดเช่นอัลมอนด์บดแทนแป้งหรือทำเป็นเนย ตามจริงแนวคิดเรื่องการไม่กินเนื้อสัตว์มีอยู่ในวัฒนธรรมตะวันออกมาอย่างยาวนาน อาจจะมีข้อกำหนดแตกต่างกันไปบ้าง เช่น การกินเจที่ไม่กินผักกลิ่นฉุน และถ้าจะเป็นวีแกนหรือมังสวิรัติคนตะวันออกดูจะมีของกินที่หลากหลายกว่าโดยเฉพาะขนม เพราะไม่ได้ใช้ไข่ นม เนย อย่างเช่นขนมไทยที่ใช้แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียวเป็นหลัก ใช้น้ำตาลมะพร้าวให้ได้รสหวานและมีกลิ่นหอม ใช้กะทิให้หอมมัน หรือใช้น้ำมะพร้าวอ่อน   ขนมไทยที่ใช้ไข่เราได้รับเมื่อเริ่มติดต่อกับตะวันตกแล้ว แต่ถ้าเราลองไปดูขนมไทยชาววังหรือขนมไทยพื้นบ้านจะเห็นว่าใช้แป้งข้าวเจ้า ข้าวเหนียวเป็นหลัก กลิ่นหอมส่วนใหญ่ได้มาจากกลิ่นหอมของดอกไม้ไทยที่นำมาลอยน้ำ เช่น น้ำดอกมะลิ น้ำนมแมว ความสวยงามนั้นใช้จินตนาการเลียนแบบธรรมชาติ เช่น ช่อม่วง ลูกชุบ ขนมเสน่ห์จันทน์ (คล้ายลูกจันผลกลมแป้นที่มีกลิ่นหอม สีเหลืองของขนมในอดีตใช้สีของก้านดอกกรรณิการ์)   ขนมเรไร ก็เช่นกัน ขนมนี้คล้ายกับรังนกขนาดพอดีคำ ใส่สีให้สวยงามชวนกิน ส่วนผสมก็มีแป้งข้าวเจ้า กะทิ น้ำมะพร้าวอ่อน ที่ต้องนวดรวมกันก่อนเพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่มคล้ายเคล็ดลับของขนมไทยทั่วไป หลังจากนั้นจึงนำไปกวนให้แป้งสุก แล้วใส่พิมพ์ที่เป็นพิมพ์เฉพาะกดออกมาเป็นเส้นให้ดูยุ่งๆ (แต่สวย) ขนาดพอดีคำ แล้วนำไปนึ่งให้สุก เพื่อให้ขนมกินแล้วนุ่มหอมจึงต้องหยอดหน้าด้วยกะทิ โรยมะพร้าว และให้มีรสหวานจากน้ำตาลทรายที่ใส่งาเพื่อให้มีทั้งกลิ่นที่หอมขึ้น และยังดูมีรายละเอียดสวยงามให้สมกับเป็นของหวาน   ถ้าดูจากส่วนผสมของขนมไทยจะเห็นว่าเป็นขนมวีแกนมานานแล้ว ถ้าอยากจะเป็นวีแกนและกินขนมอร่อยๆ อาจจะลืมไปว่าเพียงกลับไปดูตำราโบราณและกินอย่างปู่ย่าก็น่าจะเป็นวีแกนได้อย่างไม่ยุ่งยาก ขนมเรไร ส่วนผสม (สำหรับ 15-20 ชิ้น) แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม แป้งมันสำปะหลัง 30 กรัม น้ำมะพร้าวอ่อน 130 กรัม กะทิสด 120 กรัม สีผสมอาหารตามชอบ มะพร้าวอ่อนขูดสำหรับโรยหน้า ส่วนผสมและวิธีทำกะทิสำหรับหยอดหน้าขนม กะทิสด 1 ถ้วย | เกลือทะเล 1 1/2 ช้อนชา | น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย | งาขาวและงาดำคั่วบุบพอแหลกอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่เกลือในกะทิตั้งไฟให้พออุ่น ชิมรสให้เค็มนิดๆ ผสมน้ำตาลทรายกับงา เตรียมไว้ อุปกรณ์ : พิมพ์เรไร   วิธีทำขนมเรไร ผสมแป้งข้าวเจ้ากับแป้งมันสำปะหลังเข้าด้วยกัน ค่อยๆ เติมน้ำมะพร้าวกับกะทิทีละน้อย แล้วค่อยๆ นวดให้เข้ากันจนแป้งจับกันเป็นก้อน ใช้เวลาประมาณ 5-8 นาที จากนั้นใส่กะทิและน้ำมะพร้าวที่เหลือ คนให้แป้งเข้ากันดี แบ่งแป้งเป็น 2 หรือ 3 ส่วน ใส่สีตามชอบ เทแป้งทีละส่วนใส่กระทะทองเหลือง นำขึ้นตั้งไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน กวนส่วนผสมจนสุกเป็นก้อน ปิดไฟแล้วนวดต่อสักครู่ให้เนื้อเนียน แบ่งแป้งเป็นก้อนกลมประมาณ 25 กรัม คลึงให้เป็นลูกกลม (ใช้กะทิทามือเพื่อไม่ให้แป้งติด) ใส่พิมพ์แล้วค่อยๆ กด ใช้ส้อมตะล่อมให้เป็นเหมือนรังนก หยิบใส่ลังถึงที่รองด้วยใบตอง นึ่งในน้ำเดือดใช้ไฟปานกลางนาน 5-8 นาที หรือจนแป้งสุก หยิบใส่จาน โรยหน้ามะพร้าว หยอดน้ำกะทิ และโรยน้ำตาลที่ผสมงาไว้

เมอแรงก์รูปดอกกุหลาบเนื้อกรอบ สีม่วงสวยและหอมกลิ่นกุหลาบ สอดไส้แยมบลูเบอร์รีรสเปรี้ยวหวานนิดๆ  เหมาะกับการให้เป็นของขวัญชิ้นเล็กๆ สำหรับวาเลนไทน์นี้   ส่วนผสม (สำหรับ 12-16 ชิ้น) ไข่ขาว 150 กรัม น้ำตาลทราย 155 กรัม น้ำตาลไอซิง 140 กรัม กลิ่นกุหลาบ 1 ช้อนชา สีผสมอาหารสีม่วงชนิดผง 1 ช้อนชา วิธีทำ ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทรายด้วยหัวตะกร้อในเครื่องตีผสมโดยใช้ความเร็วสูงจนตั้งยอดแข็ง ใส่น้ำตาลไอซิง ค่อยๆ ตะล่อมส่วนผสมด้วยพายยางให้เข้ากัน ใส่สีผสมอาหารและกลิ่นกุหลาบ คนต่อเล็กน้อย ตักใส่ถุงบีบพร้อมหัวบีบ เตรียมไว้ บีบให้เป็นกลีบดอกกุหลาบซ้อนกันบนถาดที่รองด้วยกระดาษไขให้ได้ขนาดตามชอบ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 110 องศาเซลเซียส นาน 40-50 นาที หรือจนแห้งและเซ็ตตัวดี ส่วนผสมและวิธีทำแยมบลูเบอร์รี บลูเบอร์รีแช่แข็ง 2 ถ้วย | น้ำเลมอน 1 ช้อนโต๊ะ | ผิวเลมอน 1/2 ช้อนโต๊ะ | น้ำตาลไอซิง 1/2 ถ้วย | น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย | เจลาติน (แช่ในน้ำเย็น) 1 แผ่น ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อใบเล็ก (ยกเว้นเจลาติน) เคี่ยวด้วยไฟปานกลางค่อนข้างอ่อนจนส่วนผสมข้นขึ้นเล็กน้อย ใส่แผ่นเจลาติน คนต่อสักครู่ ปิดไฟแล้วเทใส่ถาดพักไว้ในตู้เย็นให้อยู่ตัว ตักใส่ถุงบีบ เตรียมไว้ วิธีประกอบแซนด์วิช บีบแยมบลูเบอร์รีใส่ตรงกลางเมอแรงก์ จากนั้นนำเมอแรงก์อีกชิ้นประกบให้เป็นแซนด์วิช ใส่จานเสิร์ฟ

ของขวัญวาเลนไทน์นี้ต้องไม่พลาดช่อกุหลาบโคนไอศกรีม เนื้อในเป็นเค้กเรดเวลเวตกับครีมชีส รสครีมมี่และเปรี้ยวนิดๆ มีครีมดอกกุหลาบสีสันสวยงามปักอยู่เป็นช่อ   ส่วนผสมเค้กเรดเวลเวต แป้งเค้ก 350 กรัม | ผงฟู 1 ช้อนชา | ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ | เกลือ 1/2 ช้อนชา | เนยจืด 120 กรัม | น้ำตาลทราย 320 กรัม | ไข่แดง 4 ฟอง | น้ำมันคาโนล่า 230 กรัม | กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา | สีผสมอาหารสีแดงสด 2 ช้อนชา | บัตเตอร์มิลก์ 240 กรัม | ไข่ขาว 4 ฟอง | น้ำตาลทราย 80 กรัม (สำหรับตีไข่ขาว)   วิธีทำ ร่อนแป้งเค้ก ผงฟู ผงโกโก้ และเกลือ เตรียมไว้ ตีเนยจืดกับน้ำตาลทรายให้เนื้อฟูเล็กน้อย ใส่ไข่แดง น้ำมันคาโนล่า กลิ่นวานิลลา สีผสมอาหาร และบัตเตอร์มิลก์ ตีผสมต่อจนเนื้อเนียนละเอียด ค่อยๆ ใส่แป้งที่เตรียมไว้จนหมด ตีให้เข้ากัน ในชามผสมอีกใบตีไข่ขาวกับน้ำตาลทรายจนขึ้นฟูและตั้งยอดแข็ง ตักใส่ส่วนผสมแป้งแล้วค่อยๆ ตะล่อมให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน เทใส่ถาดที่รองด้วยกระดาษไขทาเนยเล็กน้อย เกลี่ยให้ทั่วถาด นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส นาน 12-15 นาที หรือจนเค้กสุก พักเค้กให้หายร้อนบนตะแกรง กดเค้กด้วยพิมพ์วงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 นิ้ว เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำครีมชีส ครีมชีส 420 กรัม | เนยจืด (อุณหภูมิห้อง) 170 กรัม | น้ำตาลทราย 500 กรัม | กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา | เกลือทะเล 1/4 ช้อนชา | น้ำตาลไอซิง 100 กรัม    ตีส่วนผสมให้เข้ากันด้วยหัวตีตะกร้อจนเนื้อฟูและเนียนละเอียด ตักใส่ถุงบีบ เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีประกอบขนม โคนไอศกรีมวัฟเฟิล 2 โคน | เนื้อเค้กเรดเวลเวต 4-6 ชิ้น | ครีมชีส | วิปครีมผสมสีต่างๆ ตามชอบสำหรับบีบเป็นรูปดอกกุหลาบ | ใบไม้สำหรับตกแต่ง ใส่เนื้อเค้กลงในโคนไอศกรีม บีบครีมชีส แล้วนำเค้กอีกชิ้นวาง จากนั้นบีบครีมให้เป็นช่อดอกกุหลาบและตกแต่งด้วยใบไม้ให้สวยงาม

เจลลีกุหลาบสีโอลด์โรสสวยหวาน ซ่อนดอกกุหลาบออร์แกนิกที่เห็นกลีบดอกซ้อนกันสวยงาม ทั้งชวนมองและชวนชิม   ส่วนผสม (สำหรับ 8 ชิ้น) ผงวุ้น 1 ช้อนโต๊ะ แผ่นเจลาติน (แช่ในน้ำเย็น) 5 แผ่น กลิ่นกุหลาบ (Rose Water) 1 ช้อนโต๊ะ น้ำชากุหลาบ 1 ลิตร น้ำตาลทราย 1 ถ้วย กลีบกุหลาบแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ สีผสมอาหารสีส้มและสีชมพูตามชอบ ดอกกุหลาบออร์แกนิกเลือกตามชอบ วิธีทำ ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อใบเล็ก (ยกเว้นเจลาตินและดอกกุหลาบ) คนให้ละลายเข้ากัน พักไว้ประมาณ 15 นาที นำขึ้นตั้งไฟ ต้มให้พอเดือดประมาณ 5-10 นาที คนให้ผงวุ้นละลาย ใส่เจลาติน คนต่อและต้มให้เดือดสักครู่ ปิดไฟ พักไว้ให้หายร้อน ตักส่วนผสมใส่ลงในพิมพ์ซิลิโคนครึ่งวงกลมประมาณ 3/4 ของพิมพ์ ใส่ดอกกุหลาบแล้วค่อยๆ กดให้อยู่ตรงกลางพิมพ์ พักให้อยู่ตัวสักครู่ เติมวุ้นให้เต็มพิมพ์แล้วนำเข้าแช่ตู้เย็นจนเซ็ตตัว นำออกจากตู้เย็นแล้วค่อยๆ แกะออกจากพิมพ์ เสิร์ฟทันที

ส่วนผสมแป้ง แป้งข้าวเหนียว 1 1/2 ถ้วย แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย น้ำร้อน 1/2 ถ้วย น้ำเย็นประมาณ 1/2 ถ้วย สีผสมอาหารสีชมพูเล็กน้อย                         น้ำเต้าหู้ เครื่องเคียง เช่น แปะก๊วย เม็ดบัวเชื่อม และเห็ดหูหนูขาว ส่วนผสมและวิธีทำน้ำเชื่อมขิง ขิงแก่บุบ 3-4 ชิ้น | น้ำตาลทราย  2  ถ้วย | น้ำเปล่า 2 ถ้วย | ใบเตยมัด 2-3 ใบ ต้มน้ำเปล่ากับน้ำตาลทรายจนเดือดและน้ำตาลละลายหมด ใส่ขิงและใบเตย ต้มให้เดือดสักครู่ กลิ่นหอม ปิดไฟ พักไว้ให้เย็น วิธีทำบัวลอย ผสมแป้งข้าวเหนียว แป้งเท้ายายม่อม และแป้งข้าวเจ้าเข้าด้วยกัน  ใส่น้ำร้อน คนผสมด้วยช้อนไม้ แป้งจะจับตัวเป็นเม็ดหยาบๆ ค่อยๆ ใส่น้ำเย็นทีละน้อย ค่อยๆ นวดให้เข้ากันจนเป็นก้อน ใส่สีผสมอาหาร 1-2 หยด นวดให้เข้ากันจนได้สีตามชอบ ปิดด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำหมาดๆ ไว้ประมาณ 20 นาที ปั้นแป้งเป็นลูกเล็กๆ ใส่ลงต้มในน้ำเดือด เมื่อสุกแป้งจะลอย ตักขึ้นแล้วใส่ในน้ำเย็น พักไว้ อุ่นน้ำเต้าหู้ใส่น้ำเชื่อมขิง ตักบัวลอยใส่ ใส่เครื่องเคียงตามชอบ

ส่วนผสมมาร์ซิแพน (สำหรับ 6-8 ลูก) อัลมอนด์ป่น 2 ถ้วย น้ำตาลไอซิง 2 ถ้วย กลิ่นอัลมอนด์ 1 ช้อนชา กลิ่นส้ม 2 ช้อนชา ไข่ขาวพาสเจอไรซ์ 1 ฟอง สีผสมอาหารสีเหลือง 1 ช้อนชา วิธีทำ ปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันและเนื้อเนียน ตักใส่กระดาษไขแล้วนวดต่อเล็กน้อย คลุมด้วยพลาสติกแร็ปแล้วพักในตู้เย็นไว้ประมาณ 30-45 นาที ก่อนนำมาปั้น ส่วนผสมและวิธีทำไส้ขนม ดาร์กช็อกโกแลตละลาย 120 กรัม | เนื้อส้มเชื่อมตากแห้งหั่นเต๋าเล็ก 3/4 ถ้วย | ถั่วอัลมอนด์สับหยาบ 3/4 ถ้วย | วอลนัตสับหยาบ 3/4 ถ้วย | ไพน์นัต 1/4 ถ้วย คลุกส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ปั้นเป็นก้อนเล็กๆ พักไว้ในตู้เย็นให้เซ็ตตัว วิธีปั้นผลส้ม แบ่งมาร์ซิแพนให้ได้น้ำหนักก้อนละประมาณ 30 กรัม ใช้มือกดให้เป็นหลุมตรงกลาง ใส่ไส้ช็อกโกแลตที่เตรียมไว้ ปั้นให้เป็นลูกกลม ใช้มือกดเบาๆ ให้กลมแบนนิดๆ คล้ายผลส้ม แล้วใช้ไม้จิ้มให้ผิวขรุขระคล้ายกับผิวส้ม ทาสีผสมอาหารสีส้มกับสีเหลือง ตกแต่งด้วยใบส้มให้เหมือนจริงและสวยงาม

ส่วนผสมแป้ง (สำหรับ 8-12 ชิ้น) แป้งข้าวเหนียว 2 ถ้วย แป้งมันสำปะหลัง 1/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย น้ำเปล่า 1 1/2 ถ้วย      สีผสมอาหารสีแดง 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืช 1/4 ถ้วย ส่วนผสมและวิธีทำไส้ถั่ว ถั่วเหลืองซีกนึ่งสุก 2 ถ้วย | กะทิ 2 ถ้วย | น้ำตาลทรายขาว 1 1/2 ถ้วย ปั่นส่วนผสมทั้งหมดจนเนื้อเนียน เทใส่กระทะ กวนด้วยไฟปานกลางค่อนข้างอ่อนจนเนื้อเนียนและเป็นก้อน เทใส่ถาดพักให้หายร้อนสักครู่ ปั้นเป็นก้อนละ 20 กรัม เตรียมไว้ วิธีทำ ผสมแป้งข้าวเหนียว แป้งมันสำปะหลัง และน้ำตาลทรายให้เข้ากัน ค่อยๆ เติมน้ำเปล่าแล้วนวดให้เป็นก้อน ใส่สีผสมอาหารและน้ำมันพืช นวดต่อให้เข้ากันจนเนื้อเนียน คลุมด้วยพลาสติกแร็ปพักไว้ประมาณ 25-30 นาที แบ่งแป้งให้ได้ก้อนละ 30-35 กรัม แผ่แป้งออกใส่ไส้ถั่วแล้วห่อให้มิด โรยแป้งเล็กน้อยที่พิมพ์รูปเต่าแล้วเคาะออก กดแป้งใส่พิมพ์ให้เป็นลายเต่า เคาะพิมพ์กับโต๊ะเบาๆ ให้แป้งหลุดออก วางลงบนใบตอง นำไปนึ่งด้วยไฟปานกลางนาน 10-15 นาที หรือจนแป้งสุก ปิดไฟ ทาด้วยน้ำมันพืชบางๆ จัดเสิร์ฟ

เคยกินแต่เป็ดไก่หัวหมูที่เป็นของคาว ถึงคราวลองกินเป็นของหวานดูบ้าง ชุดไหว้เจ้าจากวุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน ที่นอกจากความอร่อยยังได้ความน่ารักเก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร   ส่วนผสม เนื้อมะพร้าวอ่อน  3/4 ถ้วย น้ำมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย ผงวุ้น 2 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย กะทิ 1 ถ้วย น้ำกาแฟเข้มข้น 1 ช้อนโต๊ะ ผงโกโก้ละลายน้ำร้อนเข้มข้น 1 1/2 ช้อนโต๊ะ พิมพ์รูปเป็ดพะโล้ ไก่ต้ม หัวหมู และลูกท้อ สีผสมอาหารสีเหลือง และสีชมพู วิธีทำ ปั่นเนื้อมะพร้าวอ่อนกับน้ำมะพร้าวอ่อนให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน เทส่วนผสมใส่หม้อ ใส่ผงวุ้น พักไว้ 10 นาที  เปิดไฟต้มส่วนผสมให้เดือดจนผงวุ้นละลายหมด ใส่กะทิ และน้ำตาลทราย คนให้น้ำตาลละลาย แบ่งส่วนผสมเป็น 4 ส่วน ส่วนที่ 1 ผสมกับน้ำโกโก้ คนให้เข้ากัน หยอดใส่พิมพ์รูปเป็ดพะโล้ ส่วนที่ 2 ผสมกับสีเหลืองอ่อน คนให้เข้ากัน หยอดใส่พิมพ์รูปไก่ต้ม ส่วนที่ 3 ผสมกับน้ำกาแฟ คนให้เข้ากัน หยอดใส่พิมพ์รูปหัวหมู ส่วนที่ 4 ผสมกับสีชมพู คนให้เข้ากัน หยอดใส่พิมพ์รูปลูกท้อ พักไว้ให้วุ้นแข็งตัวดี แกะวุ้นออกจากพิมพ์ จัดใส่ภาชนะให้สวยงาม  

เซาปิ่ง หรือซาลาเปาทอด เนื้อแป้งนุ่มๆ ใส่ไส้มันเทศสีส้มนึ่งสุกบด แล้วทอดจนสุกฟูหอมน่ากิน   ส่วนผสม มันเทศไข่หั่นชิ้นเล็ก 400 กรัม น้ำตาลทราย (1) 80 กรัม แป้งขนมปัง 200 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 130 กรัม ยีสต์แห้ง 2 1/2 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์สอง 1 ฟอง นมสดรสจืด 3/4 ถ้วย น้ำตาลทราย (2) 75 กรัม เกลือป่น 1/2 ช้อนชา น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ นึ่งมันเทศให้สุก นำไปบดกับน้ำตาลทราย (1) ให้เข้ากัน พักไว้ แบ่งมันเป็นก้อนละ 35 กรัม พักไว้ ผสมแป้งขนมปัง แป้งสาลี ยีสต์ น้ำตาลทราย (2) และเกลือให้เข้ากัน ใส่นมสด ไข่ ผสมพอให้แป้งเกาะกัน ใส่น้ำมันพืช นวดให้เข้ากันประมาณ 10 นาที พักแป้งไว้ 30 นาที แบ่งมันเป็นก้อนละ 35 กรัม เตรียมไว้ ตัดแป้งเป็นก้อนละ 55 กรัม คลึงเป็นก้อนกลม พักไว้ 10 นาที แผ่แป้งออก ใส่ไส้มัน หุ้มให้มิด คลึงเป็นก้อนกลม กดให้แบนเล็กน้อย แล้วนำไปกดลงบนงาขาว-งาดำ ตั้งกระทะพอร้อน ใส่น้ำมันเล็กน้อย ใส่แป้งลงทอดให้สุกเหลืองทั้ง 2 ด้าน   

ส่วนผสมแป้งทาร์ต แป้งสาลีอเนกประสงค์ 170 กรัม | อัลมอนด์ป่น 20 กรัม | น้ำตาลไอซิง 60 กรัม | เกลือ 1/4 ช้อนชา | เนยจืดหั่นเต๋า 90 กรัม | ไข่ไก่ 40 กรัม   วิธีทำ ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันในเครื่องผสม ใช้หัวตีใบไม้ตีประมาณ 2-3 นาทีจนพอเข้ากันดี ตักใส่พลาสติกแร็ป กดให้เป็นสี่เหลี่ยม พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 1-2 ชั่วโมงจนเซ็ตตัว รีดแป้งให้เป็นแผ่นบางประมาณ 3-5 มิลลิเมตร กรุลงพิมพ์ทาร์ตขนาด 8 นิ้ว ตัดแต่งขอบให้สวยงาม ใช้ส้อมจิ้มแป้งทาร์ตให้ทั่วเพื่อไม่ให้แป้งพองตัวขณะอบ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 165-170 องศาเซลเซียส นาน 15-20 นาที หรือจนแป้งทาร์ตสุกเหลืองสวย ทาแป้งทาร์ตด้วยไข่ขาวแล้วนำเข้าเตาอบต่อประมาณ 5 นาที พักไว้ให้เย็น (เพื่อไม่ให้แป้งชื้นเมื่อใส่ครีมลงไปในทาร์ต) ส่วนผสมเพสตรีครีม ไข่แดง 3 ฟอง | นมจืด 250 มิลลิลิตร | น้ำตาลทราย 35 กรัม | แป้งข้าวโพด 18 กรัม | ฝักวานิลลา 1 ฝัก | เจลาติน (ละลาย) 2 แผ่น | ครีมชีส 1 ก้อน (ประมาณ 250 กรัม) | น้ำตาลไอซิง 80 กรัม | วิปปิงครีม 250 มิลลิลิตร   วิธีทำ เตรียมเพสตรีครีมโดยผสมไข่แดง น้ำตาลทราย และแป้งข้าวโพดให้เข้ากัน อุ่นนมกับฝักวานิลลาให้ร้อนเล็กน้อย ค่อยๆ รินใส่ส่วนผสมไข่ที่ตีไว้ คนผสมตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ไข่สุก เทกลับใส่หม้อต้มต่อให้ส่วนผสมข้นขึ้น ปิดไฟ แล้วกรองออกใส่ถ้วย ใส่เจลาติน แล้วคนต่อสักครู่ เทใส่ถาดคลุมด้วยแร็ปให้แนบหน้า พักไว้ในตู้เย็น ตีครีมชีสกับน้ำตาลไอซิงให้เนื้อเนียนและฟูขึ้นเล็กน้อย ใส่เพสตรีครีมแล้วตีต่อให้ส่วนผสมเข้ากัน ใส่วิปปิงครีม ตีต่อให้ส่วนผสมขึ้นฟูตั้งยอดปานกลาง เตรียมไว้   ของตกแต่ง สตรอว์เบอร์รีสดหั่น | บลูเบอร์รีสด | แบล็กเบอร์รี | เชอร์รีดองในน้ำเชื่อม | คุกกี้คริสต์มาส   วิธีตกแต่ง ตักครีมที่เตรียมไว้ใส่ให้เต็มทาร์ต ตกแต่งด้วยเบอร์รีและคุกกี้ให้สวยงาม พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้เซ็ตตัวก่อนเสิร์ฟ

ส่วนผสมเมอแรงก์ (สำหรับ 8-10 ลูก) ไข่ขาว 130 กรัม | น้ำตาลทราย 125 กรัม | น้ำตาลไอซิง 130 กรัม | สตรอว์เบอร์รีฟรีซดราย ราสป์เบอร์รีสด และน้ำตาลไอซิงสำหรับตกแต่งเล็กน้อย   วิธีทำ ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทรายด้วยหัวตีตะกร้อในเครื่องผสมโดยใช้ความเร็วสูงสุดจนตั้งยอดแข็ง ใส่น้ำตาลไอซิงแล้วตะล่อมด้วยพายยางให้เข้ากันจนส่วนผสมเป็นเนื้อเนียน ตักใส่ถุงบีบพร้อมหัวบีบ บีบใส่พิมพ์ซิลิโคนครึ่งวงกลม นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 80-100 องศาเซลเซียส นาน 1.30-2 ชั่วโมง จนเมอแรงก์แห้งและเซ็ตตัว นำออกมาพักให้หายร้อนเล็กน้อยแล้วค่อยๆ แกะออกจากพิมพ์ ส่วนผสมมูสช็อกโกแลต ดาร์กช็อกโกแลต 70% 200 กรัม | มิลก์ช็อกโกแลต 180 กรัม | วิปปิงครีม 500 กรัม | เหล้าส้ม 1 ช้อนโต๊ะ   วิธีทำ ผสมดาร์กช็อกโกแลตและมิลก์ช็อกโกแลตในชามผสมให้เข้ากัน อุ่นวิปปิงครีมด้วยไมโครเวฟให้พออุ่น เทใส่ชามช็อกโกแลต คนให้เข้ากัน ใส่เหล้าส้มแล้วคนต่อเล็กน้อย คลุมด้วยแร็ปให้แนบหน้า นำเข้าตู้เย็นให้เซ็ตตัวประมาณ 2 ชั่วโมง ตักมูสช็อกโกแลตใส่เครื่องตีผสม ตีด้วยหัวตะกร้อประมาณ 2-3 นาทีจนส่วนผสมขึ้นฟูเล็กน้อย ตักใส่ถุงบีบเตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำแยมราสป์เบอร์รี เนื้อราสป์เบอร์รีแช่แข็ง 250 กรัม | น้ำตาลไอซิง 80 กรัม | น้ำเลมอน 1 ช้อนโต๊ะ | ผิวเลมอน 1 ช้อนโต๊ะ | น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ เคี่ยวส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ชิมรส ปิดไฟ พักให้เย็น วิธีประกอบขนม บีบมูสช็อกโกแลตใส่ฝาเมอแรงก์ บีบแยมราสป์เบอร์รีตรงกลางให้เป็นไส้ ใส่เนื้อราสป์เบอร์รีสดเล็กน้อย ประกบฝาเมอแรงก์อีกด้านให้เป็นลูกบอล ตกแต่งด้วยราสป์เบอร์รีสด สตรอว์เบอร์รีฟรีซดราย และน้ำตาลไอซิงให้สวยงาม

ขนมหวานสีสันสดใสต้อนรับช่วงเฟสทีฟ หอมหวานทำกินง่าย อร่อยได้ทุกวัย   ส่วนผสมพุดดิงนมสด นมสดรสจืด 1 1/4 ถ้วย ผงเจลาติน 1 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมเจลลีลูกแก้ว ผงวุ้น 2 ช้อนชา น้ำหวานสีฟ้า 1/4 ถ้วย น้ำหวานสีแดง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำสับปะรด 1 ถ้วย น้ำส้ม 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 1 3/4 ถ้วย วิธีทำ เตรียมเจลลีลูกแก้วโดยใส่น้ำหวานสีแดงลงในหม้อน้ำ 1 ถ้วย ใส่ผงวุ้น 1/2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน ตั้งไฟให้เดือดจนผงวุ้นละลายหมด เทใส่พิมพ์ลูกแก้ว ปิดฝาและนำไปแช่เย็นจนอยู่ตัว ทำเจลลีสีฟ้าโดยใส่น้ำหวานสีฟ้าลงในหม้อน้ำ 3/4 ถ้วย ใส่ผงวุ้น 1/2 ช้อนชา ตั้งไฟให้เดือดจนผงวุ้นละลาย เทใส่พิมพ์ แช่เย็นจนอยู่ตัว ทำเจลลีสีส้ม (น้ำส้ม) และเจลลีสีเหลือง (น้ำสับปะรด) โดยใส่ผงวุ้นอย่างละ 1/2 ช้อนชา และน้ำตาลทรายอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ ตั้งไฟให้เดือดจนผงวุ้นละลาย เทใส่พิมพ์ แช่เย็นจนอยู่ตัว ทำพุดดิงนมสดโดยใส่ผงเจลาตินลงในนมสด ใส่น้ำตาลทราย ตั้งไฟอ่อนคนจนเจลาตินละลายหมด ตักใส่พิมพ์ แช่เย็นไว้จนอยู่ตัว เวลารับประทาน ใส่นมสดเล็กน้อยลงในพุดดิง ใส่เจลลีลูกแก้ว เสิร์ฟเย็นๆ

ฟักทองแกะสลักหน้าตางดงามลอยอยู่ในน้ำเชื่อมรสหวานกำลังดี สูตรนี้ต้องใช้ความตั้งใจและความปราณีตพอสมควรเลย   ส่วนผสม (สำหรับ 4-5 เสิร์ฟ) เนื้อฟักทอง (ชิ้นใหญ่) 4-5 ชิ้น น้ำตาลทราย 1300 กรัม น้ำเปล่า 1000 กรัม ใบเตย 2-3 ใบ น้ำปูนใส 300 มิลลิลิตร น้ำเปล่าสำหรับผสมกับน้ำปูน 200 มิลลิลิตร           วิธีทำ วิธีแกะสลักฟักทอง ค่อยๆใช้มีดเล็กเกลาให้เนื้อฟักทองเป็นรูปทรงโดม เตรียมไว้ ใช้มีดแกะสลักคว้านเนื้อฟักทองให้เป็นวงกลมใหญ่ แล้วค่อยๆใช้มีดตัดแนวเฉียงให้เนื้อออก จากนั้นคว้านให้เป็นรูปโค้งคล้ายกลีบดอกไม้ ให้ซ้อนกัน เอียงมีดเป็นแนวนอนเพื่อตัดให้แต่ละกลีบเห็นแยกออกจากกันสวยงาม ค่อยๆ ทำทีละชั้นให้แต่ละชั้นขนาดแตกต่างกัน ให้แต่ละกลีบซ้อนกัน สุดท้ายตัดส่วนฐานด้านล่างออกให้เหลือเพียงแค่ส่วนดอก นำไปแช่ในน้ำปูนใสผสมกับน้ำเปล่า ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าเล็กน้อยก่อนนำมาเชื่อม วิธีทำน้ำเชื่อม ผสมน้ำตาลทรายและน้ำเปล่าเข้าด้วยกัน ต้มให้พอเดือด จากนั้นใส่ใบเตย (สังเกตุว่าน้ำเชื่อมได้ที่เมื่อใบเตยขึ้นเงา) ลดให้เหลือไฟอ่อน นำเนื้อฟักทองลงเชื่อมประมาณ 20-25 นาที จนเนื้อสุกใส นำลงแช่ในน้ำเชื่อมเย็น พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนนำมาเสิร์ฟ