ส่วนผสม คุกกี้สีชมพู 1 1/2 ถ้วย เนยละลาย 1/3 ถ้วย สตรอว์เบอร์รีแช่แข็งบดละเอียด 300 กรัม น้ำตาลทราย 9 ช้อนโต๊ะ ไลต์ครีม (Light Cream) 1 1/4 ถ้วย โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 330 กรัม ผงเจลาตินแช่น้ำ 7 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ บดคุกกี้ให้ละเอียดผสมกับเนยละลายให้เข้ากัน กรุลงพิมพ์สี่เหลี่ยมขนาด 6×6 นิ้ว กดให้แน่น แช่เย็นไว้ เป็นฐานคุกกี้ ทำมูสสตรอว์เบอร์รีโดยผสมสตรอว์เบอร์รีบด 165 กรัม กับน้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ ไลต์ครีม 1 ถ้วย และผงเจลาตินแช่น้ำ 3 ช้อนโต๊ะ ตั้งไฟให้เจลาตินละลาย คนให้คลายความร้อน เทมูสสตรอว์เบอร์รีลงในฐานคุกกี้แล้วแช่เย็นไว้จนอยู่ตัว ทำมูสโยเกิร์ตโดยผสมไลต์ครีม 1/4 ถ้วย และน้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ ตั้งไฟพอร้อน ใส่เจลาตินแช่น้ำ 3 ช้อนโต๊ะ คนให้ละลายแล้วเทใส่โยเกิร์ต คนให้เข้ากัน เทใส่พิมพ์มูสสตรอว์เบอร์รี แช่เย็นให้อยู่ตัว ทำสตรอว์เบอร์รีเคิร์ดโดยผสมสตรอว์เบอร์รีบด 135 กรัม น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ และผงเจลาตินแช่น้ำ 1 ช้อนโต๊ะ ตั้งไฟอ่อนให้เจลาตินละลาย เทใส่ครีมมูสแล้วแช่เย็นไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง นำขนมออกจากพิมพ์ ตัดเป็นชิ้นเสิร์ฟ 

โรงเรียนสอนทำอาหารแห่งใหม่ The Food School Bangkok ที่เน้นภาพของโรงเรียนในสไตล์มินิมอล ตั้งอยู่ในคอมมูนิตีที่ออกแบบอาคารคล้ายตู้คอนเทนเนอร์ ดีไซน์สมัยใหม่กลางชุมชนสามย่าน และที่นี่เองที่ผนึกกำลังการสอนจากสถาบันชื่อดังของอิตาลี ญี่ปุ่น และไทยรวมไว้ในที่เดียว ในวาระที่โรงเรียนฯ ครอบรอบ 1 ปี จึงได้นำเสนอหลักสูตรใหม่ International Bread & Bakery Certificated Course ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนรู้พื้นฐานการทำเบเกอรี่ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมกว่า 31 สัญชาติ สอนโดย Chef Cyril Dubrous เชฟหนุ่มชาวฝรั่งเศส หน้าตายิ้มแย้มและอารมณ์ดีจากเมืองบอร์โด (Bordeaux) ด้วยประสบการณ์การทำงานมากว่า 10 ปี และเคยทำงานในโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ดูไบ ในตำแหน่งหัวหน้าเบเกอรี่ (Head Baker) และอดีตอาจารย์สอนเบเกอรี่และขนมอบจากโรงเรียนสอนการประกอบอาหารเลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต (Le Cordon Bleu Dusit)   เชฟบอกว่าทุกคนที่เข้าเรียนในคอร์สนี้จะได้เรียนความรู้พื้นฐานของขนมอบจากทั่วโลกและเทคนิคต่างๆ พร้อมประวัติศาสตร์ของขนมแต่ละชนิดอย่างสนุกสนาน ที่สำคัญยังได้ลงมือทำขนมอบจากทั่วโลกกว่า 100 เมนู ในระยะเวลา 3 เดือน หรือประมาณ 256 ชั่วโมง ซึ่งนำมารวบรวมอยู่ในหลักสูตรนี้ เชฟยกตัวอย่างขนมอบที่กำลังเป็นที่นิยมและเชฟก็ชื่นชอบ ทั้งมาจากบ้านเกิดของเชฟที่บอร์โด และยังเป็นขนมลือชื่อของเมืองนี้ด้วยคือ Cannelés ขนมที่เชฟเล่าว่าแม่ชีในคอนแวนต์เป็นผู้ริเริ่มทำมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เมื่อคอนแวนต์ปิดไปขนมนี้ก็ได้รับการปรับเปลี่ยนมาอบในพิมพ์ทองเหลืองมีลาย เชฟเล่าถึงความชื่นชอบของตนเองต่อขนมนี้ว่า   “ส่วนตัวเป็นเมนูที่ผมชอบ ซึ่งเป็นขนมที่ผสมผสานวัตถุดิบหลายอย่าง เช่น นม เนย วานิลลา และรัม เนื้อสัมผัสผิวนอกจะกรอบเล็กน้อย ส่วนเนื้อในหนึบและฉ่ำ มีโพรงอากาศเล็กๆ และจะต้องหอมกลิ่นน้ำตาลไหม้ที่เป็นคาราเมลบางๆ ผิวนอกจะต้องเงาสวย และส่วนบนของขนมยังเป็นสีขาวนิดๆ เพื่อให้มีความแตกต่างและคนไทยชอบ”   เชฟย้ำว่าเป็นเมนูที่ทำง่าย และถ้ามีเทคนิคดีๆ ก็จะทำให้ขนมนี้มีความพิเศษมากยิ่งขึ้น เรียกว่าถ้าจะให้อร่อยแบบดั้งเดิมหรือล้ำยุคก็ต้องไม่พลาดการเรียนกับ Chef Cyril Dubrous ผู้นี้ Cannelés de Bordeaux ส่วนผสม (สำหรับ 6-8 ชิ้น) นมสดรสจืด 1,000 มิลลิลิตร เนยจืด 50 กรัม ฝักวานิลลา 1 ฝัก แป้งสาลีอเนกประสงค์ T55 180 กรัม น้ำตาลทราย 500 กรัม ไข่แดง 100 กรัม ไข่ไก่ 100 กรัม เหล้ารัม 50 กรัม ส่วนผสมและวิธีทำขี้ผึ้งทาพิมพ์ เนยจืด 200 กรัม | ขี้ผึ้ง 100 กรัม ละลายเนยกับขี้ผึ้ง ให้เข้ากัน เตรียมไว้ วิธีทำ ใช้สันมีดขูดเนื้อฝักวานิลลาใส่ลงต้มกับนม เนย และฝักวานิลลาให้พอเดือด พักให้อุ่น เตรียมไว้ ผสมแป้ง ไข่ไก่ ไข่แดง น้ำตาลทราย และเหล้ารัมให้เข้ากัน ค่อยๆ เติมนมอุ่น คนผสมตลอดเวลาจนส่วนผสมเนียนเข้ากันดี พักไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 3 องศาเซลเซียส ประมาณ 12-24 ชั่วโมง หรือข้ามคืน ทาพิมพ์กาเนอเลทองเหลืองด้วยเนยผสมกับขี้ผึ้ง เทส่วนผสมแป้งใส่พิมพ์ให้เหลือขอบประมาณ 5 มิลลิเมตร นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 185 องศาเซลเซียส นาน 45 นาทีจนสุก พักขนมไว้ในพิมพ์จนเย็น แกะออกแล้วพักไว้บนตะแกรง

ส่วนผสมไอศกรีมพิสตาชิโอ (สำหรับ 6 ที่) ถั่วพิสตาชิโอ 50 กรัม | นมสดรสจืด 310 กรัม | ครีม 80 กรัม | เวย์โปรตีน 10 กรัม | เกลือ 1 กรัม | น้ำตาลทราย 65 กรัม | น้ำตาลเดกซ์โทรส (Dextrose) 20 กรัม | สารให้ความคงตัว (Stabilizer) 1.5 กรัม   วิธีทำ อบถั่วพิสตาชิโอที่อุณหภูมิ 110 องศาเซลเซียส นาน 10 นาที แล้วพักให้เย็น ต้มนมและครีมให้พอเดือด จากนั้นใส่ส่วนผสมที่เหลือทั้งหมด คนให้เข้ากันแล้วพักให้เย็นลง ประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วนำส่วนผสมไปแช่ในช่องแช่แข็งนาน 1 คืนจนเซ็ตตัว ปั่นส่วนผสมด้วยเครื่องปั่นความเร็วสูง (Pacojet) จนเนื้อเนียน พักไว้ในช่องแช่แข็ง เตรียมไว้ ส่วนผสมเค้กโรล ไข่ไก่ 150 กรัม | ผงอัลมอนด์ป่น 53 กรัม | ถั่วพิสตาชิโอป่น 53 กรัม | น้ำตาลทราย (1) 75 กรัม | ไข่ขาว 95 กรัม | น้ำตาลทราย (2) 56 กรัม | ถั่วพิสตาชิโอบด (Pistachio Paste) 30 กรัม | ครีม 25 กรัม | แป้งสาลีอเนกประสงค์ 35 กรัม   วิธีทำ ตีไข่ไก่กับน้ำตาลทราย (1) ให้ขึ้นเป็นโฟม (ส่วนผสมที่ 1) ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทราย (2) จนตั้งยอดฟูปานกลาง (ส่วนผสมที่ 2) ผสมครีมและถั่วพิสตาชิโอบดเข้าด้วยกัน ตักไข่ขาวที่ตีขึ้นฟูใส่เล็กน้อย เตรียมไว้ นำส่วนผสมที่ 1 และ 2 คนเข้าด้วยกัน จากนั้นใส่อัลมอนด์ป่น ถั่วพิสตาชิโอป่น และแป้งสาลี คนผสมให้เข้ากัน ใส่ครีมพิสตาชิโอที่เตรียมไว้ คนต่อสักครู่ เทใส่ถาดอบ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 185 องศาเซลเซียส นาน 8-12 นาที ส่วนผสมและวิธีทำครัมเบิล เนยจืด 100 กรัม | แป้งสาลีอเนกประสงค์ 100 กรัม | ผงอัลมอนด์ป่น 100 กรัม | น้ำตาลทรายแดง 100 กรัม | เกลือ 1 กรัม ผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนเป็นเม็ดทรายหยาบๆ เทใส่ถาดอบที่รองด้วยกระดาษไข นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 165 องศาเซลเซียส จนเป็นสีเหลืองทองสวยงาม ส่วนผสมและวิธีทำเลมอนเจลลี น้ำเลมอน 300 กรัม | น้ำตาลทราย 100 กรัม | ผงเจลาติน 10 กรัม | น้ำเปล่า (เย็น) 50 กรัม ละลายเจลาตินในน้ำเย็น 10 นาที พักไว้ ผสมน้ำตาลทรายและน้ำเลมอนในหม้อใบเล็ก อุ่นให้พอร้อน ใส่เจลาตินที่เตรียมไว้ คนให้ละลายเข้ากัน เทใส่พิมพ์แล้วแช่ในตู้เย็นจนเซ็ตตัว ส่วนผสมและวิธีทำไซรัปเลมอน น้ำเลมอน 100 กรัม | น้ำตาลทราย 50 กรัม ละลายน้ำตาลทรายและน้ำเลมอน คนให้เข้ากัน เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำทูวีน (Tuile) น้ำเปล่า 80 กรัม | น้ำมัน 30 กรัม | แป้งสาลีอเนกประสงค์ 10 กรัม | เกลือ 0.5 กรัม ผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ตักใส่กระทะ ทอดด้วยไฟอ่อนจนแป้งสุก ตักขึ้น พักไว้ ซับด้วยกระดาษทิชชูสำหรับทำอาหาร วิธีจัดจาน วางเค้กโรลตรงกลางจาน ทาด้วยไซรัปเลมอนบนหน้าเค้กเล็กน้อย โรยครัมเบิลและเลมอนเจลลีรอบๆ แล้วตักไอศกรีมวางบนเค้กโรล ตกแต่งด้วยทูวีนและดอกไม้กินได้ให้สวยงามตามชอบ

ส่วนผสมเค้ก ไข่แดงเบอร์ 2 2 ฟอง น้ำมันหอมเจียว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ กะทิ 3 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/4 ช้อนชา แป้งเค้ก 1/3 ถ้วย ผงฟู 1/4 ช้อนชา ผงเผือก หรือผงมันม่วง 1 1/2 ช้อนโต๊ะ ไข่ขาวเบอร์ 2 2 ฟอง น้ำตาลทรายขาว 3 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมหม้อแกงเผือก ไข่ไก่เบอร์ 2 3 ฟอง เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำตาลปี๊บ 100 กรัม เผือกนึ่งสุกบด 100 กรัม น้ำมันหอมเจียว 2 ช้อนโต๊ะ กะทิ 2/3 ถ้วย คาราเมล น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ทำคาราเมลโดยเคี่ยวน้ำตาลทรายกับน้ำเปล่าจนเป็นสีน้ำตาล เทใส่พิมพ์ขนาด 1 ปอนด์ พักไว้ ทำหม้อแกงเผือกโดยใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น ปั่นให้เข้ากันจนละเอียด  เทผ่านกระชอนใส่ในพิมพ์คาราเมล พักไว้ ทำเค้กโดยผสมไข่แดง น้ำมันหอมเจียว กะทิ และเกลือ คนให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้ก ผงฟู และผงเผือกหรือผงมันม่วง คนให้เข้ากัน พักไว้ ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทรายขาวจนขึ้นฟูอยู่ตัว นำไปผสมกับส่วนผสมไข่แดง ตะล่อมให้เข้ากัน เทใส่พิมพ์หม้อแกงเผือก ยกถาดเค้กวางบนถาดน้ำร้อน นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เวลา 60 นาที พักเค้กไว้ 15 นาที คว่ำออกจากพิมพ์ ตัดเป็นชิ้น ตกแต่งด้วยหอมเจียวและดอกไม้

“รสชาติแรกที่ชิม” มูสไวต์ช็อกโกแลตกานาชเนื้อเนียนหอมกลิ่นสโมกจากไม้เชอร์รี ราดด้วยซอสชะเอมรสหวานหอม ท็อปด้วยเลมอนโฟมเนื้อสัมผัสเบา ได้รสเปรี้ยวอ่อนๆ ส่วนผสมและวิธีทำ White Chocolate Smoked Ganache (สำหรับ 15 ที่) ครีม 600 กรัม | นมสดรสจืด 50 กรัม | ฝักวานิลลา 1 ฝัก | ไวต์ช็อกโกแลต (White Chocolate Zephyr) 135 กรัม | เจลาติน 5 กรัม | น้ำสำหรับแช่เจลาติน 25 กรัม อุ่นครีม นม และฝักวานิลลาให้พออุ่น ปิดไฟ แล้วแช่ไว้ประมาณ 30 นาที กรองออกแล้วอุ่นอีกครั้ง ใส่เจลาตินที่ละลายแล้ว คนผสมให้เข้ากัน เทใส่ไวต์ช็อกโกแลต ปั่นผสมให้เข้ากัน จากนั้นสโมกด้วยไม้เชอร์รี 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที พักไว้ในตู้เย็นข้ามคืนก่อนตีให้เป็นวิปครีม ส่วนผสมและวิธีทำ Liquorice Sauce ผงชะเอม 25 กรัม | น้ำเปล่า 600 กรัม | น้ำตาลทราย 80 กรัม | สตาร์ชพรีเจลาติไนซ์ (Pregelatinized Starch) 20 กรัม ละลายผงชะเอม น้ำเปล่า และน้ำตาลทราย คนผสมให้เข้ากันเบาๆ บนไฟอ่อน แล้วพักให้เย็น ใส่สตาร์ชพรีเจลาติไนซ์ ผสมให้เข้ากันด้วยเครื่องปั่นมือถือ (Immersion Blender) นำเข้าพักไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสก่อนนำไปใช้ ส่วนผสมและวิธีทำ Lemon and Basil Gel น้ำเลมอน 200 กรัม | น้ำตาลทราย 150 กรัม | ผิวเลมอน 1 ผล | ใบโหระพา 25 กรัม | สตาร์ชพรีเจลาติไนซ์ (Pregelatinized Starch) 25 กรัม ปั่นน้ำเลมอน ใบโหระพา ผิวเลมอน และน้ำตาลทรายให้เข้ากัน ใส่สตาร์ชพรีเจลาติไนซ์ ปั่นให้เข้ากัน นำเข้าพักไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสก่อนนำไปใช้ ส่วนผสมและวิธีทำ Lemon Foam น้ำเลมอน 200 กรัม | น้ำซีตรัส (Citrus Water) 100 กรัม | น้ำตาลทราย 100 กรัม | ใบโหระพา 10 ใบ | เจลาติน 10 กรัม | น้ำเปล่า 50 กรัม ใส่น้ำเลมอน น้ำซีตรัส น้ำตาลทราย และใบโหระพาลงในถุงซีลสุญญากาศ พักไว้ในตู้เย็นข้ามคืน กรองออก เทใส่หม้อ ใส่น้ำเปล่า ตั้งไฟให้อุ่นเล็กน้อย ใส่เจลาติน เทใส่ขวดบีบโฟม (Siphon) พักไว้ในตู้เย็นก่อนนำไปใช้ ส่วนผสมและวิธีทำ Crunchy Chocolate น้ำตาลฟองดองต์ 300 กรัม | น้ำตาลกลูโคส 200 กรัม | ช็อกโกแลตนม (Milk Chocolate Alunga) 200 กรัม เคี่ยวน้ำตาลฟองดองต์และน้ำตาลกลูโคสให้มีสีเล็กน้อย ปิดไฟ ใส่ช็อกโกแลตนมสับ คนผสมให้เข้ากัน เทใส่แผ่นรองอบ พักให้เย็น จากนั้นหักใส่เครื่องปั่นแล้วปั่นให้เป็นผงละเอียด โรยผงน้ำตาลผ่านกระชอนลงบนแผ่นรองอบให้ได้รูปทรงตามต้องการ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส รอจนน้ำตาลละลายจับตัวเป็นแผ่น พักไว้ให้เย็น ส่วนผสมและวิธีทำ Candied Lemon เลมอน 4 ผล | น้ำเปล่า 200 กรัม | น้ำตาลทราย 200 กรัม ปอกผิวเลมอนแล้วลวกในน้ำเดือดสักครู่ ทั้งหมด 3 ครั้ง แช่ในน้ำเย็นพักไว้ หั่นผิวเลมอนเป็นชิ้นขนาดตามต้องการ ในหม้อใบเล็กใส่น้ำตาลทราย น้ำเปล่า และผิวเลมอน ตุ๋นด้วยไฟอ่อนประมาณ 15 นาที นำเข้าแช่ในตู้เย็น หั่นเนื้อเลมอนให้เป็นลูกเต๋าขนาด 0.5 เซนติเมตร เทน้ำเชื่อมเดือดๆ ลงไป ปิดฝา พักไว้ในตู้เย็นข้ามคืนก่อนนำไปใช้ ส่วนผสมและวิธีทำ Hazelnut Sbrisolona แป้งสาลีอเนกประสงค์ 100 กรัม | น้ำตาลทรายแดง 80 กรัม | ผงเฮเซลนัต 130 กรัม | เนย 100 กรัม | เกลือ (Maldon) 4 กรัม นวดส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน จากนั้นปาดลงบนแผ่นรองอบ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียส จนสีเหลืองสวย พักไว้ให้เย็น วิธีจัดจาน บีบ White Chocolate Smoked Ganache บนจานโดยทำเป็นหลุมแล้วเท Liquorice Sauce ลงในหลุม โรย Hazelnut Sbrisolona รอบๆ วาง Crunchy Chocolate แล้วบีบ Lemon Foam ตรงกลาง ตกแต่งด้วย Candied Lemon และ Lemon and Basil Gel ให้สวยงาม

“เหลียงเกา...”   คือคำบอกของบริกรสาวชาวจางเย่ (Zhangye) ที่นำของหวานหน้าตาคล้ายขนมโตเกียวมาเสิร์ฟ จานนี้แถมฟรีจากเจ้าของร้านในโอกาสเทศกาลบ๊ะจ่างในช่วงเวลาที่ป้าเจี๊ยบออกสำรวจมณฑลกานซู (Gansu) เพื่อตามรอยเส้นทางไปชมพูทวีปเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกของพระถังซัมจั๋ง   ป้าเจี๊ยบหยิบมาหนึ่งชิ้น เปิดดูด้านในเห็นไส้แบบเดียวกับบ๊ะจ่างดั้งเดิมที่ห่อใบไผ่ซึ่งเพิ่งกินจากร้านเมื่อวันวาน คือเป็นข้าวเหนียวหุ้มพุทราจีนทั้งลูกและมีถั่วแดงสองสามเมล็ดปนๆ อยู่ รสชาติหวานปะแล่มๆ ไม่ถูกปากคนไทยที่คุ้นชินกับบ๊ะจ่างทรงเครื่องถล่มทลาย...ฮา!   พอชิมแล้วป้าเจี๊ยบมองเห็นศักยภาพว่าปรับอีกสักหน่อย รับรองไปได้สวย อิอิ   กลับมาเมืองไทย เริ่มสืบค้นคำว่า “เหลียงเกา (Lieng Gao)” ปรากฏว่าเป็นของหวานคนละเรื่องไปเลย หุหุ นี่เป็นความด้อยภาษาจีนของป้าเจี๊ยบหรือความต่างทางภาษาของแต่ละมณฑลก็ไม่ทราบ?!?   แต่ที่ทราบแน่คือ ซงซือหรือบ๊ะจ่างไส้พุทราจีน (Jujube Zongzi) เป็นอาหารที่พบได้ทั่วไปในจีน ยิ่งมณฑลแถบตะวันตกซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องพุทราด้วยแล้ว อาหารที่ใช้พุทราทำมีหลากหลายมาก   ขนมที่หน้าตาและรสชาติใกล้เคียงกับบ๊ะจ่างพุทราจีน แต่ไม่ได้ห่อด้วยใบไผ่เป็นลูกๆ ผูกกันเป็นพวงเรียกว่า จิงเกา (Jing Gao) หรือเซิงเกา (Zeng Gao) แล้วแต่การออกเสียงของแต่ละท้องถิ่น ขนมชนิดนี้จัดเป็นเค้กชนิดหนึ่งของจีน นิยมกินกันในหน้าร้อน   จิงเกาใช้วิธีหุงข้าวเหนียวกับพุทราและถั่วแดงที่เรียงสลับกันเป็นชั้นๆ ในลังถึงค่ะ นึ่งกันอย่างน้อยก็ 3 ชั่วโมงขึ้นไป จนได้ขนมที่มีลักษณะคล้ายข้าวเหนียวตัดของไทย รสหวานนิดๆ หอมพุทราจีน ใครชอบหวานมากก็มีน้ำเชื่อมทำจากน้ำอ้อยราดให้ จึงสรุปได้ว่าขนมที่ป้าเจี๊ยบกินคือจิงเกาที่เจ้าของร้านนำมาหุ้มด้วยแผ่นแป้ง สร้างความหรูหราในการนำเสนอนั่นเอง!   ทำสิคะ... อยากปรับรสชาติให้ถูกปากตัวเองและญาติมิตรคนไทย   เริ่มจากทำส่วนที่จะเป็นไส้หรือจิงเกา สิ่งที่ต้องเตรียมคือ ข้าวเหนียวมูน 250 กรัม แบ่งเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กัน พุทราจีนเชื่อม 25 ผล ผ่าครึ่ง ถั่วแดงต้ม 50 กรัม แบ่งเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน และ แปะก๊วยต้ม 50 กรัม แบ่งเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน   ป้าเจี๊ยบใส่ข้าวส่วนที่หนึ่งในถาดสี่เหลี่ยมขนาด 7×7 นิ้ว เกลี่ยให้ทั่วถาดและกดให้เรียบสม่ำเสมอ วางเรียงพุทราจีนบนข้าวจำนวน 5 แถว แถวละ 5 ซีก โรยถั่วแดงและแปะก๊วยส่วนที่ 1 ให้ทั่ว ปิดทับด้วยข้าวส่วนที่ 2 ทำซ้ำเหมือนเดิมอีกชั้น แล้วปิดทับด้วยข้าวส่วนที่ 3 กดผิวหน้าให้เรียบสม่ำเสมอกัน   นำถาดไปนึ่งด้วยความร้อนปานกลางค่อนข้างสูงประมาณ 35 นาที แล้วนำออกมาพักไว้ รอจนเย็นสนิทดีแล้วจึงใช้มีดตัดแบ่งเป็นชิ้นขนาด 1×3.5 นิ้ว เท่ากับได้ 14 ชิ้น!   ต่อไปทำแผ่นเครปค่ะ เริ่มจากการเตรียมชามแห้ง มี แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ถ้วยตวง ร่อนสักหน่อยเพื่อกันแป้งเกาะเป็นก้อน และ เกลือป่น 1/4 ช้อนชา   ส่วนชามเปียกมี ไข่ไก่ 2 ฟอง นมข้นจืด 1 1/2 ถ้วยตวง และ น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ ตีให้เข้ากันด้วยตะกร้อมือ เทชามแห้งใส่ลงไปคนให้ผสมเป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำไปทอดเป็นแผ่นๆ   ป้าเจี๊ยบทอดในกระทะเคลือบเทฟลอนแบนๆ ตั้งบนเตาที่ความร้อนปานกลาง พอกระทะร้อนก็ยกออกจากเตา ตักแป้งที่ผสมไว้ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะใส่ลงไป เอียงกระทะนิดหน่อยให้แป้งแผ่เป็นวงกลมแล้ววางกลับไปบนเตา รอจนกระทั่งผิวด้านบนแห้งก็แซะออกมาวางผึ่งบนตะแกรง กะให้ได้ 14 แผ่น จะได้เท่ากับไส้ที่เตรียมไว้ แผ่นเครปที่ทำเสร็จแล้วเก็บในกล่องพลาสติกปิดฝาค่ะ   ผู้เสนอตัวเป็นหนูทดลองคราวนี้คือเพื่อนวัฒนาวิทยาลัยที่มีนัดกินข้าวที่บ้านป้าเจี๊ยบทุกเดือนเว้นเดือน แค่นำไส้มาวางบนแผ่นเครปแล้วม้วนก็เรียบร้อย   ป้าเจี๊ยบมีชามะลิหอมพิเศษจากจีนมาเสิร์ฟด้วยนะคะ เข้ากั๊นเข้ากัน กินหมดเกลี้ยงแล้วหนูทดลองบอกว่าคราวหน้าไม่ต้องเสียเวลาทำหรู จัดแต่ไส้อย่างเดียวก็พอ... ฮา!

เทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนี้ G&C ชวนทำขนมไหว้พระจันทร์ด้วยแป้งบัวหิมะ สีพาสเทล แป้งนุ่มกับไส้ถั่วกวนรสหวานกลมกล่อมเข้ากันพอดี   ส่วนผสม แป้งข้าวเหนียว 2 ถ้วย แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย แป้งทำฮะเก๋า (Wheat Starch) 1/3 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย นมสด 1 1/4 ถ้วย น้ำมันรำข้าว 2 ช้อนโต๊ะ สีผสมอาหารสีเขียวแอปเปิล สีชมพู สีเหลืองมะนาว สีละ 1-2 หยด ส่วนผสมไส้ ถั่วเขียวซีกกวน 300 กรัม ผงชาเขียว 1 ช้อนโต๊ะ สตรอว์เบอร์รีกวน 50 กรัม วิธีทำ ผสมแป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า และแป้งทำฮะเก๋า คนให้เข้ากัน ใส่น้ำตาลทราย นมสด และน้ำมันรำข้าว คนให้เข้ากัน นำไปตั้งไฟกวนจนแป้งสุกและร่อนออกจากกระทะ พักแป้งไว้จนอุ่น แบ่งแป้งเป็น 3 ส่วน แป้งส่วนที่ 1 ผสมสีเขียว ส่วนที่ 2 ผสมสีชมพู และส่วนที่ 3 ผสมสีเหลือง นวดให้เข้ากันจนแป้งนุ่ม แบ่งถั่วกวนออกเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 100 กรัม ส่วนที่ 1 ผสมกับผงชาเขียวให้เข้ากัน พักไว้ เป็นไส้แป้งสีเขียว ส่วนที่ 2 ผสมกับสตรอว์เบอร์รีกวนเป็นไส้แป้งสีชมพู และส่วนที่ 3 เป็นไส้แป้งสีเหลือง  ตัดแป้งแต่ละสีเป็นก้อนหนัก 20 กรัม แผ่แป้งออก ใส่ไส้แล้วหุ้มให้มิด นำไปกดลงในพิมพ์ขนมไหว้พระจันทร์ให้สวยงาม เรียงใส่ภาชนะ ปิดฝาไว้

ส่วนผสมครีมมาสคาร์โปเน (สำหรับ 3-4 ที่)     เฮฟวีครีม 1 ถ้วย ไข่แดง 5 ฟอง น้ำตาลทราย 1 ถ้วย ชีสมาสคาร์โปเน 2 ถ้วย กลิ่นวานิลลา 1/2  ช้อนชา วิธีทำ ตีเฮฟวีครีมให้พอขึ้นฟู เตรียมไว้ จากนั้นตีไข่แดงกับน้ำตาลทรายให้ฟูจนเป็นสีเหลืองอ่อน และน้ำตาลละลายเข้ากันดี ใส่ชีสมาสคาร์โปเน กลิ่นวานิลลา และเฮฟวีครีมที่เตรียมไว้ คนผสมให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเนียน ตักใส่ถุงบีบ พักไว้ในตู้เย็น ส่วนผสมมัตฉะทีรามิสุ เลดี้ฟิงเกอร์ 5-10 ชิ้น น้ำเปล่า 1 ถ้วย ผงมัตฉะ 3 ช้อนโต๊ะ เหล้ารัมหรือคอนญัก 1/3 ถ้วย วิธีทำ ผสมน้ำเปล่ากับผงมัตฉะและเหล้ารัมหรือคอนญักให้เข้ากันในถาดก้นลึก นำเลดี้ฟิงเกอร์ลงแช่สักครู่จนนิ่มและอิ่มน้ำ ใส่ถ้วยสำหรับเสิร์ฟไว้ บีบครีมมาสคาร์โปเนใส่เล็กน้อย เรียงเลดี้ฟิงเกอร์ให้เป็นอีกชั้น บีบครีมจนเต็มถ้วย โรยผงมัตฉะและตกแต่งให้สวยงาม

ปิดท้ายด้วยพุดดิงอัลมอนด์ หรือเต้าหู้อัลมอนด์ เนื้อเด้งดึ๋ง หวานเบาๆ เสิร์ฟคู่กับนมอัลมอนด์ผสมมักกอลลีและเหล้าบ๊วย รสหวานอมเปรี้ยว ให้จานนี้สดชื่นอย่างสมบูรณ์แบบด้วยสตรอว์เบอร์รีและสาลี่น้ำผึ้ง   ส่วนผสมพุดดิง (สำหรับ 3-4 ที่) นมอัลมอนด์ 400 กรัม น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย เจลาติน (แช่ในน้ำเย็น) 1 1/2 แผ่น กลิ่นกุหลาบ 1/2 ช้อนชา วิธีทำ ต้มนมอัลมอนด์กับน้ำตาลทรายให้พออุ่น ใส่เจลาติน (บีบน้ำออก) และกลิ่นกุหลาบ ต้มต่อสักครู่ให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน ตักใส่พิมพ์ซิลิโคนครึ่งวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 นิ้ว นำไปแช่ตู้เย็นนาน 1-2 ชั่วโมงจนพุดดิงเซ็ตตัว ส่วนผสมและวิธีทำนมอัลมอนด์ นมอัลมอนด์ 1/2 ถ้วย | มักกอลลี 1/2 ถ้วย | เหล้าบ๊วย 1/4 ถ้วย ผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ชิมรส นำไปแช่ตู้เย็น เตรียมไว้ ส่วนผสมสำหรับแช่ผลไม้ น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย | น้ำเปล่า 1 ถ้วย | สาเก 1/4 ถ้วย | เหล้ากุหลาบ 2 ช้อนโต๊ะ | สตรอว์เบอร์รีสด 5-6 ผล | สาลี่ 1/2 ผล   วิธีทำ ต้มน้ำเปล่าและน้ำตาลทรายให้ละลายหมด พักไว้ให้เย็น ใส่สาเกและเหล้ากุหลาบ นำไปแช่ในตู้เย็น เตรียมไว้ เตรียมผลไม้โดยสไลซ์สาลี่ให้เป็นแผ่นบาง กดด้วยพิมพ์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร แช่ลงในน้ำที่เตรียมไว้ หั่นสตรอว์เบอร์รีตามขวางให้บางประมาณ 2 มิลลิเมตร แช่ในน้ำที่เตรียมไว้ วิธีจัดจาน วางอัลมอนด์พุดดิงลงกลางจาน เรียงเนื้อสตรอว์เบอร์รีและสาลี่สลับกัน ค่อยๆ ราดนมอัลมอนด์ที่เตรียมไว้ ตกแต่งด้วยดอกไม้กินได้และแผ่นทองให้สวยงาม ราดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามชอบ เสิร์ฟทันที

ส่วนผสม (สำหรับ 8 ชิ้น) แป้งเค้ก 1/2 ถ้วย ผงมัตฉะ 2 ช้อนโต๊ะ ผงฟู 1/2 ช้อนชา เกลือทะเล 1/4 ช้อนชา ไข่แดง 6 ฟอง น้ำตาลทราย (1) 1 ถ้วย น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันคาโนล่า 1/3 ถ้วย ไข่ขาว 6 ฟอง น้ำตาลทราย (2) 1/2 ถ้วย กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา วิปครีมสำหรับตกแต่งประมาณ 1 ถ้วย เกาลัดเชื่อมสำหรับตกแต่ง 7-8 ผล น้ำตาลไอซิงสำหรับโรยหน้าเล็กน้อย วิธีทำ ร่อนแป้งเค้ก ผงมัตฉะ ผงฟู และเกลือ เตรียมไว้ ในอ่างผสมตีผสมไข่แดง น้ำตาลทราย (1) น้ำเปล่า และน้ำผึ้งให้ขึ้นฟูตั้งยอดอ่อน ใส่แป้งที่ร่อนไว้ คนเบาๆ ให้ส่วนผสมเข้ากัน แบ่งแป้งออกมาเล็กน้อย คนผสมกับน้ำมันคาโนล่าให้พอเข้ากัน เทกลับลงในอ่างผสมแล้วคนต่อสักครู่จนเนื้อเนียน ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทราย (2) จนตั้งยอดปานกลาง ใส่ในส่วนผสมแป้งแล้วตะล่อมให้พอเข้ากัน ใส่กลิ่นวานิลลา คนต่อเล็กน้อย ตักใส่พิมพ์ซิลิโคน นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 15-18 นาทีจนเค้กสุก นำออกจากพิมพ์ วางพักบนตะแกรงให้เย็น ส่วนผสมและวิธีทำครีมถั่วขาวมัตฉะ เนื้อถั่วขาวกวน 350 กรัม | เนยจืดละลาย 26 กรัม | วิปปิงครีม 1/3 ถ้วย | ผงมัตฉะ 4 ช้อนโต๊ะ ผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วกรองผ่านกระชอนจนได้เนื้อเนียน ตักใส่ถุงบีบพร้อมหัวบีบแบบเส้น เตรียมไว้ ตกแต่งเค้กโดยวางเค้กบนแท่นหมุน บีบวิปครีมให้รอบ วางเกาลัด บีบครีมลงบนหน้าอีกเล็กน้อยแล้วปาดให้เป็นทรงสูง บีบครีมถั่วขาวมัตฉะให้ทั่ว นำไปแช่ในตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนจัดเสิร์ฟโรยหน้าด้วยน้ำตาลไอซิง

ส่วนผสม (สำหรับ 2 ปอนด์) ไวต์ช็อกโกแลต 120 กรัม เนยจืด 4 ช้อนโต๊ะ นมสดรสจืด 2 ช้อนโต๊ะ ผงมัตฉะ 3 ช้อนโต๊ะ ไข่แดง 3 ฟอง น้ำตาลทราย (1) 1/4 ถ้วย แป้งเค้ก 1/4 ถ้วย ไข่ขาว 3 ฟอง น้ำตาลทราย (2) 1/4 ถ้วย เกลือทะเลเล็กน้อย วิธีทำ อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นำพิมพ์ขนาด 6 นิ้ว ทาเนยรองด้วยกระดาษไขเตรียมไว้ ละลายไวต์ช็อกโกแลตบนหม้อน้ำอุ่น ใส่เนย นม และผงมัตฉะ คนให้ละลายเข้ากัน ยกออกจากเตา พักไว้ ตีไข่แดงกับน้ำตาลทราย (1) จนส่วนผสมเป็นสีอ่อนและขึ้นฟูเล็กน้อย ใส่ไวต์ช็อกโกแลตมัตฉะที่เตรียมไว้ ใช้พายยางคนให้พอเข้ากัน ร่อนแป้งเค้ก และใส่เกลือ คนต่อสักครู่ ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทราย (2) ให้ขึ้นฟูตั้งยอดปานกลาง นำไปผสมกับแป้งที่เตรียมไว้ ตะล่อมด้วยพายยางให้ส่วนผสมเข้ากัน เทใส่พิมพ์ นำเข้าเตาอบนาน 15 นาที จากนั้นลดอุณหภูมิเป็น ​160 องศาเซลเซียส อบต่อประมาณ 15-20 นาที เมื่อเค้กสุกพักให้เย็นหน้าเค้กจะยุบลง นำไปแช่ตู้เย็นประมาณ​ 3-4 ชั่วโมง ก่อนเสิร์ฟโรยด้วยผงชาเขียว

ช็อกบอลที่มีกลิ่นหอมละมุนจากกล้วยหอม เนื้อนุ่มเบาคลุกกับมะพร้าวอบแห้งกินเพลินๆ   ส่วนผสม แครกเกอร์บด 2 1/4 ถ้วย กล้วยหอม 1 ผล ช็อกโกแลตเฮเซลนัต 1 1/2 ช้อนโต๊ะ มะพร้าวอบแห้ง 1/2 ถ้วย มะพร้าวอบแห้งสำหรับคลุก วิธีทำ บดกล้วยหอมให้ละเอียด ใส่แครกเกอร์บด ผสมให้เข้ากัน ใส่ช็อกโกแลตเฮเซลนัต ผสมให้ทั่ว ใส่มะพร้าวอบแห้ง คลุกให้เข้ากัน ปั้นส่วนผสมเป็นก้อนกลม คลุกกับมะพร้าวอบแห้ง จัดเสิร์ฟ

เปรียบเสมือนชีสเค้กแบบเร่งด่วน เพราะชีสเค้กชิ้นเล็กพอดีคำสองคำสูตรนี้ไม่ต้องอบ และใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที โดยตัวฐานเป็นบิสกิตเลดี้ฟิงเกอร์ เคลือบด้านบนด้วยไวต์ช็อกโกแลต มาพร้อมกับหน้าสตรอว์เบอร์รีชีสเค้กที่มีส่วนประกอบเพียงไม่กี่อย่าง ส่วนผสม บิสกิตเลดี้ฟิงเกอร์ 6 ชิ้น ไวต์ช็อกโกแลต 50 กรัม สตรอว์เบอร์รี 2 ผล น้ำตาลทราย 30 กรัม ครีมชีส 90 กรัม วิปปิงครีม 120 กรัม สตรอว์เบอร์รีฟรีซดราย 3 ผล ไวต์ช็อกโกแลตเพิร์ลสำหรับตกแต่ง วิธีทำ สับไวต์ช็อกโกแลตเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปละลายในไมโครเวฟ นำบิสกิตเลดี้ฟิงเกอร์ลงชุบในไวต์ช็อกโกแลตให้เคลือบบางๆ บนด้านหนึ่งของตัวบิสกิต พักให้เซ็ตตัว ใช้หลังส้อมกดสตรอว์เบอร์รีให้พอแหลก นำใส่หม้อพร้อมน้ำตาล เคี่ยวให้เป็นซอส กรอง และพักให้เย็น ตีครีมชีสให้พออ่อนตัว ใส่ซอสสตรอว์เบอร์รี ตามด้วยวิปปิงครีม ตีให้ตั้งยอดดี นำใส่ถุงบีบ บีบหน้าสตรอว์เบอร์รีชีสเค้กลงบนบิสกิต หั่นสตรอว์เบอร์รีฟรีซดรายเป็นชิ้นเล็กๆ ตกแต่งลงบนหน้าชีสเค้ก พร้อมด้วยไวต์ช็อกโกแลตเพิร์ล โรยด้วยสตรอว์เบอร์รีฟรีซดรายป่น

สูตรไดฟุกุที่ไม่ต้องเสียเวลากวนแป้ง สอดไส้วิปปิงครีมและผลไม้สด ทำง่ายอร่อยได้แบบประหยัดเวลา   ส่วนผสม แผ่นแป้งเวียดนามขนาด 6×6 นิ้ว 10 แผ่น วิปปิงครีม 1 ถ้วย น้ำตาลไอซิง 2 ช้อนโต๊ะ เนื้อมะม่วงสุกหั่นชิ้นใหญ่ สตรอว์เบอร์รีผลเล็ก แป้งข้าวเหนียวคั่วสุกทำนวล วิธีทำ เตรียมวิปครีมโดยตีวิปปิงครีมกับน้ำตาลไอซิงเข้าด้วยกันให้อยู่ตัว แช่เย็นพักไว้ นำแป้งเวียดนามแช่น้ำให้พอนิ่ม วางลงในพิมพ์ ใส่วิปครีม ใส่เนื้อมะม่วงหรือสตรอว์เบอร์รี แล้วใส่วิปครีมปิดให้มิด รวบแป้งเวียดนาม ตัดแป้งส่วนที่เหลือออก เรียงใส่ภาชนะ นำไปแช่ช่องแข็งพักไว้ นำไดฟุกุออกจากตู้เย็น โรยแป้งข้าวเหนียวคั่วสุก เสิร์ฟเย็นๆ

Sugar Work หรืองานน้ำตาลปั้น ผลงานแห่งการเฉลิมฉลองจากอาจารย์ผึ้ง-ณฐิณี จีระลักษณกุล โดดเด่นทั้งสีสัน ประดับประดาด้วยขวดแชมเปญ ริบบิ้น และลูกโป่งจากงานน้ำตาลปั้น ตอกย้ำถึงช่วงเวลาแห่งความสุขที่กำลังจะเริ่มขึ้น ส่วนผสม น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม น้ำเปล่า 400 มิลลิลิตร น้ำตาลกลูโคส 200 กรัม ผงกรดทาร์ทาริก (Tartaric Acid Powder) 0.7 กรัม สีผสมอาหารตามชอบ วิธีทำ ล้างหม้อให้สะอาดโดยนำเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำส้มสายชู 2-3 ช้อนโต๊ะ แล้วขัดให้ทั่วหม้อ เติมน้ำเปล่าจนเกือบเต็มหม้อ ต้มจนเดือด นำอุปกรณ์ที่ต้องการใช้ลงลวกในน้ำเดือดประมาณ 1 นาที ตักขึ้นแล้วล้างด้วยน้ำเปล่า ผสมน้ำตาลทรายกับน้ำเปล่าลงในหม้อ ต้มจนเดือดใสและน้ำตาลละลายหมด ใส่น้ำตาลกลูโคส ต้อให้เดือดอีกครั้งให้ได้อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ใส่ผงกรดทาร์ทาริกแล้วต้มต่อให้อุณหภูมิถึง 158 องศาเซลเซียส ปิดไฟ ยกลง เทน้ำเชื่อมลงบนแผ่นซิลิโคน รอจนขอบด้านข้างน้ำตาลเริ่มเซ็ตตัวจึงค่อยๆ พับด้านข้างเข้ามารวมให้เป็นก้อนเดียวกัน นวดต่อจนน้ำตาลเริ่มเย็นลง ค่อยๆ ยืดน้ำตาลออกเพื่อให้อากาศเข้าไปจนผิวของน้ำตาลเงางามเหมือนสีมุก ตัดเป็นก้อนเล็กๆ ผสมสีตามชอบสำหรับเตรียมพร้อมขึ้นรูป เช่น ลูกโป่ง ขวดแชมเปญ ดอกไม้

ทุเรียนยังไม่หมด วันนี้มาเพิ่มเมนูจากทุเรียนอีกเมนู ทำขนมญี่ปุ่นอย่าง “ไดฟุกุ” ที่ใช้เนื้อทุเรียนมาผสมกับวิปครีมสดใส่เป็นไส้ขนม และเพิ่มเนื้อทุเรียนชิ้นใหญ่ๆ กินได้เต็มๆ คำ   ส่วนผสม แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ นมสดรสจืด 3/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย เนยสดรสเค็ม 50 กรัม แป้งข้าวเหนียวคั่วสำหรับทำนวล ส่วนผสมครีมทุเรียน เนื้อทุเรียนบดละเอียด 1/2 ถ้วย วิปปิงครีม 1 ถ้วย      เนื้อทุเรียนหั่นเป็นชิ้นพอคำ วิธีทำ เตรียมแป้งโดยผสมแป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวโพด น้ำตาลทราย และนมสด คนให้เป็นเนื้อเดียวกันและน้ำตาลละลายหมด กรองแป้ง 1 รอบ นำไปเข้าเตาไมโครเวฟ นาน 2 นาที ให้แป้งสุก    ใส่เนยสดขณะแป้งยังร้อน ค่อยๆ นวดจนแป้งเป็นเนื้อเนียน พักแป้งไว้จนเย็น ทำครีมทุเรียนโดยตีวิปปิงครีมให้ขึ้นฟูอยู่ตัว ใส่เนื้อทุเรียนบด ตะล่อมเบาๆ ให้เข้ากัน แช่ตู้เย็นไว้ นำแป้งที่พักเย็นแล้วมาตัดแบ่งเป็นก้อนเล็ก คลึงเป็นก้อนกลม รีดแป้งแต่ละก้อนให้เป็นแผ่น โรยแป้งนวล ใส่ลงในถ้วยเล็ก บีบครีมทุเรียนใส่ ใส่เนื้อทุเรียน แล้วหุ้มแป้งให้มิด ตัดแป้งที่เหลือออก ใส่ภาชนะเตรียมไว้ก่อนเสิร์ฟ   

เมนูขนมพื้นบ้านที่วัากันว่าคล้ายกับโมจิ เนื้อแป้งบางๆ ตัดกับไส้ถั่วลิสงและงากรุบกรอบ กินเพลินมาก   ส่วนผสม แป้งข้าวเหนียว 2 ถ้วย แป้งข้าวเหนียวคั่วสุก 1 ถ้วย ถั่วลิสงคั่วบด 3/4 ถ้วย                  งาขาวคั่ว 1/4 ถ้วย งาดำคั่ว 1/4 ถ้วย น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 1/4 ถ้วย วิธีทำ ต้มน้ำกับน้ำตาลทรายแดงให้ละลายเป็นน้ำเชื่อม พักไว้ ผสมงาขาว งาดำคั่ว และถั่วลิสง ใส่น้ำเชื่อม คลุกให้เข้ากัน พักไว้ ผสมแป้งข้าวเหนียวกับน้ำ นวดให้นุ่ม  ตั้งหม้อน้ำให้เดือด นำแป้งมาปั้นเป็นก้อนกลมแล้วแผ่ออกให้เป็นแผ่น ใส่ลงต้มให้สุกลอย ตักวางบนแป้งข้าวเหนียวคั่ว ตักไส้ถั่วและงาที่ทำไว้ใส่ตรงกลางแป้งต้ม รวบชายแป้งให้แน่น วางใส่จาน จัดเสิร์ฟ

ขนมโบราณหากินยาก ตัวข้าวเหนียวนุ่มหวานมันจากหัวกะทิ กินพร้อมเม็ดมะม่วงหิมพานต์กรุบกรอบ   ส่วนผสม ข้าวเหนียว 3 ถ้วย หัวกะทิ 1 1/2 ถ้วย น้ำตาลมะพร้าว 230 กรัม น้ำตาลทรายไม่ฟอก 1/2 ถ้วย เกลือป่น 1/2 ช้อนชา เม็ดมะม่วงหิมพานต์ผ่าซีกอบ 500 กรัม น้ำตาลแว่น 200 กรัม น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 1/3 ถ้วย   วิธีทำ ทำข้าวเหนียวแดงโดยล้างข้าวเหนียว แช่น้ำ 3 ชั่วโมง นำไปนึ่งให้สุก พักไว้ ตั้งกระทะเคี่ยวหัวกะทิให้เดือดจนแตกมัน ใส่น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทราย และเกลือครึ่งหนึ่ง เคี่ยวต่อให้เหนียวเป็นสีน้ำตาล ใส่ข้าวเหนียวนึ่ง ผัดจนแห้ง เทใส่พิมพ์ กดเบาๆ ให้เรียบ พักไว้ ทำขนมหัวครกโดยเคี่ยวน้ำตาลแว่น น้ำเปล่า และเกลือที่เหลือจนเป็นสีน้ำตาล ใส่น้ำผึ้ง คนให้เข้ากันจนข้นเหนียว ใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ คลุกให้เข้ากันจนเกือบแห้ง ตักใส่บนข้าวเหนียว เกลี่ยให้ทั่ว กดเบาๆ พักไว้ให้เย็น ตัดขนมเป็นชิ้น จัดใส่จาน   

ส่วนผสม (สำหรับ 2-4 ที่) ข้าวเหนียวดำแช่น้ำ 1 คืน 2 ถ้วย หัวกะทิ 2 ถ้วย หางกะทิ 2 ถ้วย น้ำตาลทราย 1 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา ใบเตย (มัด) 2-3 ใบ ส่วนผสมกะทิราดหน้า หัวกะทิ 2 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำกะทิราดหน้า ผสมทั้งหมดให้เข้ากันแล้วนำขึ้นตั้งไฟให้ส่วนผสมข้นขึ้น ปิดไฟ พักไว้ เครื่องเคียง เมลอนญี่ปุ่นสีเขียวและสีส้มสกูปเป็นลูกกลม เนื้อมะพร้าวกะทิหั่นเต๋า และมะพร้าวขูดอบแห้งอย่างละเล็กน้อย  วิธีทำ ผสมหางกะทิกับหัวกะทิให้เข้ากัน ใส่หม้อต้มด้วยไฟกลางให้พอเดือด ใส่ข้าวเหนียวดำและใบเตย ต้มต่อให้สุกนิ่มประมาณ 20-30 นาทีจนสุกตามชอบ เติมน้ำตาลทรายและเกลือ ชิมรส ปิดไฟ พักไว้ให้เย็น ตักข้าวเหนียวลงในชามเสิร์ฟ วางเมลอนญี่ปุ่น เนื้อมะพร้าวกะทิ มะพร้าวอบแห้ง ตกแต่งด้วยดอกไม้กินได้ ก่อนเสิร์ฟราดด้วยน้ำกะทิ

ขนมมันเป็นขนมที่ทำจากมันสำปะหลังซึ่งทำง่ายมาก เมื่อผู้เขียนเป็นเด็กที่บ้านคุณย่าปลูกเพราะปลูกง่ายและขึ้นเร็วมาก เพียงแค่เอากิ่งจิ้มลงในดิน รดน้ำให้ชุ่ม ภายในสัปดาห์เดียวก็ออกราก ปลูกเพียง 5-6 เดือนก็เอามาทำขนมได้   มันสำปะหลังที่นำมาทำขนมได้อร่อยต้องเป็นมันพันธุ์ 5 นาที หัวเปลือกนอกมีสีน้ำตาลเข้ม เนื้อในสีขาว หัวเรียวยาว เปลือกปอกง่ายแค่แกะเปลือกก็ออกแล้ว เนื้อมันจะร่วนเหมาะนำไปทำขนมมัน มันเชื่อม และมันเผาคลุกน้ำเชื่อม ซึ่งสมัยก่อนจะมีขายทั่วไป   สมัยก่อนผู้ใหญ่จะเอามันหัวสวยๆ ไปเชื่อมหรือปิ้ง เด็กๆ ก็จะเอาหัวมันเล็กๆ หมกในขี้เถ้าของเตาอั้งโล่ ใส่ไว้เพียง 5 นาทีก็เอามาปอกทานได้แล้ว เพราะเหตุนี้จึงได้ชื่อว่ามัน 5 นาที ขนมนี้ใช้มัน 5 นาทีมาปอก ขูดฝอย ผสมกับแป้ง น้ำตาล เอาไปนึ่งจนสุกแล้วราดกะทิ เนื้อมันจะเหนียวเนียนนุ่ม รสไม่หวานจัด เมื่อทานกับกะทิที่มีรสเค็มๆ จะอร่อยเข้ากัน   ปัจจุบันมัน 5 นาทีมีขายในสื่อออนไลน์ ซื้อง่าย และทำไม่ยาก ใช้เวลาทำไม่นานก็ได้ทานขนมไทยอร่อยๆ   ขนมมันหน้ากะทิ ส่วนผสม (ตัวขนม) มัน 5 นาทีขูดฝอย 800 กรัม น้ำตาลทราย 320 กรัม แป้งเท้ายายม่อม 25 กรัม น้ำ 600 กรัม เกลือ หน้าขนม (กะทิ) กะทิ 625 กรัม แป้งข้าวเจ้า 35 กรัม เกลือ 3 กรัม อุปกรณ์ ลังถึงสำหรับนึ่ง และภาชนะใส่ขนม   วิธีทำ ผสมส่วนผสมตัวขนม ขยำทุกอย่างให้เข้ากัน เทใส่ภาชนะที่ใช้นึ่งประมาณ 2/3 ของภาชนะ นึ่งไฟกลางนาน 30-35 นาที (แล้วแต่ขนาดของภาชนะ) ผสมส่วนผสมกะทิ แล้วราดลงบนหน้าขนมที่สุกแล้ว นึ่งต่ออีก 10 นาที ยกออก พักไว้ให้เย็นแล้วตัดเป็นชิ้น