Touché Hombre ร้านอาหารเม็กซิกันจากเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เมืองที่ได้ชื่อว่ามีร้านอาหารดีไม่น้อย โดยเฉพาะการผสมผสานทางวัฒนธรรมอาหาร ทำให้อาหารของทูเช่ ฮอมเบร มีความโมเดิร์นกว่าอาหารเม็กซิกันทั่วไป ไม่เฉพาะอาหารที่ฉีกแนว การตกแต่งร้านยังดีไซน์เก๋ด้วยงานป๊อปอาร์ต กราฟฟิตี้ และแสงไฟนีออน โดย Nychos ศิลปินชาวออสซี่ที่เคยตกแต่งร้านเดียวกันในเมลเบิร์นมาแล้ว     ที่นี่ใช้ทีมของ Sapparot Group (Rocket, Lady Brett, U.N.C.L.E) ดูแลทั้งอาหารและเครื่องดื่ม โดยอาหารได้เชฟแพทริค มาร์เทนส์ (Patrick Martens) เชฟใหญ่มาปรับโฉมอาหารเม็กซิกันให้ดูโมเดิร์นน่ากินขึ้น     เริ่มที่ตอร์ติญาชิป จิ้มกับซัลซา 3 ชนิดที่ไล่ความเผ็ดของพริกฮาลาเปโย ตามด้วย Elotes Callejeros ข้าวโพดปิ้ง สตรีทฟู้ดของเม็กซิกันที่หากินได้ทุกหัวถนน นำมาปรับโฉมด้วยการทาชิตโพเลมาโย โรยชีส Cotija พริกปาปริกา ก่อนกินบีบมะนาวลงไป รสชีสหนักๆ กับรสหวานของข้าวโพด     อาหารเรียกน้ำย่อยอีกจานที่เร่งเร้ามื้ออาหารได้ดี Bloody Maria Oyster  กลิ่นรสของทะเลจากหอยนางรมกับกลิ่นรสของมะเขือเทศที่มาพร้อมกันใน 1 คำ     เรายังคงอยู่ที่อาหารเรียกน้ำย่อย Smoked Cuttlefish ปลาหมึกเคี้ยวหนึบกับซัลซาและอะโวคาโดครีมที่รสไม่เยอะมาก เปรี้ยวตัดด้วยครีมมัน   มาที่อาหารหลักอย่าง Tacos เสิร์ฟ 2 ชิ้น Pato Y Foie Gras แป้งข้าวโพดไส้เป็ดอบและฟัวกราส์นาบกระทะ ราดโมเลที่เข้มข้นด้วยช็อกโกแลตและส้มรสเปรี้ยวกับผิวส้ม กินแกล้มกับค็อกเทลจากเตกีล่าและเมสคาวที่ให้กลิ่นรสเข้ากัน Trick Me เตกีล่าอินฟิวกับชา ผสมเมสคาว ลิเคียวร์แอปริคอต มะนาว และบิตเตอร์ กับ El Pajaro เตกีล่า คัมปารี ลิเคียวร์เชอร์รี น้ำราสป์เบอร์รี สับปะรด และมะนาว     ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง Tres Leches บัตเตอร์เค้กกับนม 3 ชนิด วิปครีม นมข้น และนมสดคู่กับไอศกรีมอัลมอนด์ที่มีกลิ่นเครื่องเทศจางๆ  

การผสมผสานความตั้งใจสร้างคอมมูนิตี้ของคนรักกฎหมายและความหลงใหลในรสชาติกาแฟของ 3 เพื่อนสนิท จนได้ผลลัพธ์เป็น Cafe & Workspace น่านั่ง (ทั้งทำงานและพักผ่อน) ในบรรยากาศโปร่งสบายด้วยระยะห่างระหว่างโต๊ะที่ให้ความเป็นส่วนตัว แต่ไม่ไกลเกินจะสร้างมิตรภาพระหว่างกัน ที่สำคัญยังพร้อมเสิร์ฟเมนูโฮมเมดทั้งคาวหวานมากมายให้อร่อยกันได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำแบบไม่มีเบื่อ       เมนูแนะนำ Spicy Bacon สปาเกตตีผัดแห้งกับเบคอนและใบโหระพา เผ็ดกำลังดี โรยไข่กุ้งเพิ่มความมัน   Round About Pancake แพนเค้กวานิลลาหนานุ่ม มาพร้อมไอศกรีมวานิลลา วิปครีม และเบอร์รีสด ราดซอสส้ม   Round Berry ชาไวด์เบอร์รีที่เพิ่มความเก๋ด้วยน้ำแข็งบลูเบอร์รี ราสป์เบอร์รี และสตรอว์เบอร์รี   Hot Cafe Latte ใช้เมล็ดกาแฟไทยเบลนด์พิเศษ รสเข้ม หอมกลมกล่อม หวานน้อย

ถือเป็นร้านอาหารเปรูแบบดั้งเดิมร้านแรกในเมืองไทยก็ว่าได้ แม้คนไทยจะยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับอาหารจากดินแดนอเมริกาใต้สักเท่าไร แต่รับรองว่ารสชาติโดนใจ เพราะอาหารเปรูมีความคล้ายคลึงกับอาหารไทย แถมยังใช้พริกสดและพริกแห้งแทรกความเผ็ดเข้าไปเกือบทุกเมนู ร้านนี้เปิดเฉพาะมื้อเย็น เครื่องดื่มที่ใช้เหล้าพิสโก้ตำรับเปรูจึงเป็นทีเด็ด ทำเป็นค็อกเทลพิสโก้ซาวร์ได้หลากรส       เมนูแนะนำ Ceviche de Atun ปลาทูน่าดิบหมักในน้ำมะนาว ใส่หอมแดง ข้าวโพด และผักชี รสเปรี้ยวเผ็ดคล้ายยำบ้านเรา ช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดี   Anticucho de Lomo เนื้อวัวสันนอกจากออสเตรเลีย เสียบไม้ย่างหอมๆ ทีเด็ดอยู่ที่ซอสอาจิ (Aji) ซอสพริกแบบเปรูที่เผ็ดสะใจ   Papa Rellena มันฝรั่งบดยัดไส้หมูสับปรุงรสสไตล์เปรู หอมนุ่ม เสิร์ฟกับซอสพริกอาจิ   Tres Leches แปลว่านม 3 ชนิด เค้กเนื้อนุ่มเบาแทรกด้วยแยมสตรอว์เบอร์รี วางบนนม 3 ชนิดที่ผสมกัน 

นอกจาก Dean & Deluca The Crystal Veranda จะเป็นสาขาที่ใหม่ที่สุดของแบรนด์แล้ว ที่นี่ยังเป็นสาขาแรกที่นำเอาคอนเซ็ปต์ของ Dine & Wine Destination มาใช้เป็นครั้งแรก จากเดิมที่เน้นความเป็นคาเฟ่คู่กับร้านขายวัตถุดิบนำเข้าก็กลายเป็นร้านอาหารของครอบครัวที่มาพร้อมกับไวน์ซึ่งมีตัวเลือกมากกว่าสาขาอื่นๆ     ด้วยความเป็นไวน์เดสติเนชันจึงมีตัวเลือกของไวน์จากทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีไวน์แบรนด์ดีนแอนด์เดลูก้าที่ให้ทางไวน์เนอรี่ในออสเตรเลียช่วยผลิตให้ซึ่งมีทั้งไวน์ขาวและไวน์แดง ไวน์ขาวผลิตจากองุ่นพันธุ์ซาวิญองบลอง และไวน์แดงผลิตจากองุ่นพันธุ์คาบองเนต ซาวิญอง     แน่นอนว่าอาหารสไตล์คาเฟ่ยังมีอยู่คู่กับกาแฟที่สั่งเบลนด์มาเป็นพิเศษ Bangkok Blend ที่ใช้กับกาแฟนม Mahanakorn Blend ที่ใช้กับกาแฟดำ และ Brew Coffee ที่เลือกใช้กาแฟจากปานามา   เริ่มต้นที่อาหารเช้าวันใหม่อย่าง All American Breakfast Griddle อาหารเช้าเสิร์ฟมาในกระทะร้อน มีแฮมรมควัน เบคอน ไส้กรอก ไข่ดาว มันฝรั่ง และแพนเค้ก กินกับกาแฟดำสักแก้ว      มื้อสายหน่อยลองเป็น The Dean Burger เบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อวากิวของไทย เบคอน ชีสเชดดาร์ หัวหอม มัสตาร์ด และซอสเผ็ดกับขนมปังบริออช รสเผ็ดของซอสทำให้เจริญอาหาร เข้าคู่ได้ดีกับมิลก์เชก ซึ่งเป็นการกินเบอร์เกอร์สไตล์อเมริกัน      ช่วงบ่ายๆ แนะนำ Dean & Deluca Tropical Pancakes แพนเค้กเนื้อนุ่มหอมรสชาติดีวางสลับชั้นกับผลไม้เมืองร้อน อาทิ มะม่วง สับปะรด กล้วย และซัลซาสตรอว์เบอร์รี โปะวิปครีม ไอซิง และเมเปิลไซรัป กับกาแฟเย็นสักแก้ว     ปิดท้ายที่มื้อค่ำสั่งไวน์ขาวซาวิญองบลองของดีนแอนด์เดลูก้าสักแก้ว ตามด้วย Maine Lobster ล็อบเตอร์เนื้อแน่นที่นึ่งมาจนสุกหวาน กินกับเนยละลาย เลมอน และน้ำจิ้มซีฟู้ด  

แม้ว่า Char Shanghai ห้องอาหารซิกเนเจอร์สาขาแรกของโฮเตลอินดิโกจะเป็นสเต๊กเฮาส์อารมณ์ไฟน์ไดนิง แต่ Char Bangkok แตกต่างแบบสุดขั้วในคอนเซ็ปต์แคชชวลไดนิง โดยเชฟลีโอเนล วีนาเธียร์ (Lionel Vinatier) เชฟชาวฝรั่งเศสนำเสนออาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่มีรสชาติแบบเวิลด์เฟเวอร์     ชาร์ แบงค็อก แบ่งเป็น 3 ส่วน รูฟท็อปบาร์ ห้องอาหาร และห้องไพรเวตที่มีเมนูอาหารพิเศษออกไป โดยยังมีอาหารซิกเนเจอร์จากชาร์ เซี่ยงไฮ้ อาทิ ล็อบสเตอร์บิสก์ ฟัวกราส์ครัมเบิล ดั๊กกงฟี และบานาน่าชีสเค้ก ความพิเศษของชาร์ยังอยู่ที่การเลือกใช้วัตถุดิบในประเทศและอาร์ติซานโปรดักต์ อาทิ ขนมปังเมซง ฌอง ฟิลิปป์, เนื้อวัวเอจจิงบางส่วนจากอาร์โนลด์เดอะบุชเชอร์, ชีสบูราตาในประเทศ, ผักโครงการหลวง, กุ้งลายเสือจากอยุธยา และเนื้อแกะจากปากช่อง     ก่อนมื้ออาหารแนะนำให้ดื่มค็อกเทลที่รูฟท็อปแล้วเริ่มด้วย Tuna Tartar ทูน่าหางเหลืองกินกับกัวกาโมเล เสิร์ฟมาในครก ปรุงรสได้เองด้วยกระเทียม หอมแดง มะนาว     และแอปเปิลดอง ให้รสชาติแปลกใหม่ดี Smoked Beef Tartar เนื้อวัวกับฟรุตมัสตาร์ดและหอมแดง เรียกน้ำย่อยเบาๆ     คั่นด้วยซุป Lemongrass Infused Lobster Bisque ล็อบสเตอร์บิสก์รสชาติมาตรฐาน แต่เติมโฟมตะไคร้เข้ามา     หรือลอง French Onion Soup ซุปหัวหอมที่ใช้เวลาเคี่ยวยาวนานถึง 4 วัน เชฟยังคงส่งอาหารคลาสสิกที่บอกว่าเป็นเวิลด์เฟเวอร์มาเรื่อยๆ Duck Confit ผิวนอกกรอบ เนื้อในนุ่มไม่แห้ง     ส่วนจานปลาถือว่าเชฟทำได้ดี North Pacific Black Cod Steak ปลาค้อดเนื้อหวานกับซัลซาที่หอมเครื่องเทศ      และจานสุดท้าย Darling Downs Wagyu อาหารเมดิเตอร์เรเนียนสันในจากออสเตรเลียไขมันแทรกเบาๆ ที่เอ 4 มาพร้อมหน่อไม้ฝรั่งย่างและผักโขมอบครีม   ปิดท้ายด้วยของหวานซิกเนเจอร์ Banana Cheesecake ชีสเค้กใส่กล้วยเพิ่มความหอมหวาน

สร้างความแปลกใหม่ให้กับการดื่มไวน์ไม่น้อย เมื่อ About Eatery ประกาศตัวชัดว่าเป็นไวน์บาร์แห่งแรกที่ให้บริการออร์แกนิกไวน์ เนเชอรัลไวน์ และไบโอไดนามิกไวน์ ที่ล้วนมีวิธีการปลูกและผลิตโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของคนดื่มเป็นสำคัญ     คุณจิวลิโอ้ ซาเวลิโน่ (Giulio Saverino) ไวน์ซอมเมอลิเยร์และเจ้าของร้าน แนะนำให้เรารู้ถึงสัญลักษณ์ที่ช่วยเป็นตัวเลือกให้เราดื่มไวน์ได้อย่างที่เราต้องการ อาทิ ปริมาณน้ำตาล ปริมาณสารซัลไฟต์ในออร์แกนิกไวน์ เนเชอรัลไวน์ ไบโอไดนามิกไวน์ ไม่เว้นแม้แต่วีแกนไวน์ ที่นี่มีไวน์ทั้งหมด 45 เลเบล โดยเฉพาะออเรนจ์ไวน์ (Orange Wine) ไวน์ขาวที่ผ่านกระบวนการผลิตแบบไวน์แดงทำให้ได้สีอมส้ม ซึ่งคุณจิวลิโอ้บอกว่ามีให้ดื่มเฉพาะที่นี่     ที่นี่เสิร์ฟอาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่เข้ากันได้ดีกับไวน์ หากตัดสินใจไม่ถูกสอบถามคุณจิวลิโอ้ หรืออ่านคำแนะนำเรื่องแพริงบนกระดานดำก็ได้ เริ่มที่ Sautéed Spanish Mussels and Vongole หอยแมลงภู่และหอยกาบผัดกับไวน์ขาว ซัฟฟรอน กระเทียม พริกป่น     และแอนโชวี ไปได้ดีกับ Crazy by Nature Cosmo White ไวน์ขาวไบโอไดนามิกที่เบลนด์จากองุ่นในนิวซีแลนด์ ค่อนข้างสไปซ์หน่อย เข้ากับกลิ่นของซัฟฟรอน   จานนี้เด็ดจริง Beetroot Ravioli ราวิโอลีโฮมเมดไส้บีตรูตกับริคอตตาชีส ราดซอสครีมพาร์เมซาน ครีมมี่และออกเปรี้ยว เข้ากับ Clockwork Orange ออเรนจ์ไวน์จากพรีโนกรีผสมชาร์ดอนเนย์ที่ออกเปรี้ยว     ปิดท้ายด้วย Silere Lamb Chop เลือกใช้แกะที่ปล่อยเลี้ยงตามธรรมชาติของนิวซีแลนด์ ย่างกับโรสแมรี่ เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งและกระเทียมอบ บีบมะนาวย่างเพิ่มรส กินกับซอสโยเกิร์ตแตงกวา ตามสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน     เข้ากับ Crofters Syrah ไวน์ชีราซออร์แกนิกที่ถือว่าเป็นการจับคู่ที่สุดคลาสสิก

Punjab Grill Gourmet Fine Dining เป็นร้านอาหารอินเดียแบบไฟน์ไดนิงที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดียซึ่งมีมากกว่า 10 สาขา ก่อนต่อยอดออกมายังต่างประเทศที่อาบูดาบีและสิงคโปร์ โดยมีกรุงเทพฯ เป็นสาขาที่ 3      ปัญจาบ กริลล์ อาจจะเป็นร้านอาหารไฟน์ไดนิงเพียงไม่กี่ร้านที่อนุญาตให้ใช้มือเปิบกินอาหารได้ตามวัฒนธรรมการกินแบบอินเดีย โดยมี เชฟบารัธ ชรินดาร์บัต ชาวอินเดียที่เคยร่วมทำงานกับร้านอาหารอินเดียซึ่งได้มิชลินสตาร์ 1 ดาว     อะมุสบุชเป็น Watermelon PalakPattaChaat แป้งทอดกรอบกับแตงโม ผักโขม โยเกิร์ต และมินต์ชัตเนย์ รสชาติดีเปรี้ยวหวาน คั่นด้วยปาปาดัมกับเครื่องจิ้ม โดยเฉพาะชัตเนย์สับปะรดที่แปลกน่าสนใจ     ตามด้วย Crab and Lentil Shorba ซุปใสที่รสคล้ายกับ Bisque ของฝรั่ง มาพร้อมเนื้อปูไข่ปลาและถั่วเลนทิล     เรียกน้ำย่อยด้วย Non Veg Platter เนื้อไก่ กุ้ง และแกะที่คลุกเคล้าเครื่องเทศสมุนไพรย่างในชาร์โคลทันดูร์ หอมไหม้ๆ ได้กลิ่นรสเครื่องเทศ Butter Chicken ไก่ทันดูร์กับครีมบัตเตอร์ รสออกหวานแต่หอมเครื่องเทศ กินกับกาลิคนานก็ใช้ได้     RaanSikandari ขาแกะที่ตุ๋นและย่างมาแล้ว ก่อนเสิร์ฟราดคอนญักและจุดไฟเพิ่มกลิ่นหอมให้แกะ Dal Makhani แกงถั่วเลนทิลดำ ปิดท้ายด้วย Chicken Dum Biryani ข้าวหมกไก่กับคาร์ดามอม กินคู่ Raita โยเกิร์ตผสมมะเขือเทศและแตงกวา     ปิดท้ายด้วยของหวาน Paneer Jalebi เชฟใช้ชีสนมวัวไปบดแล้วทอดออกมาหน้าตาคล้ายชูร์โรส์ และ Chocolate Sphere ช็อกโกแลตสเฟียร์สอดไส้ไอศกรีมและพิสตาชิโอ     

ใบไทม์เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของสมุนไพรที่ใช้ปรุงอาหารของทางฝั่งยุโรป ทำให้ร้าน Thyme Eatery & Bar เลือกใช้สมุนไพรชนิดนี้เพื่อบอกกับลูกค้าว่าที่นี่เป็นร้านอาหารยุโรป คุณประณัย พรประภา และ เชฟวิคเตอร์แกนหลักของร้านได้ตกลงใจที่จะนำเสนออาหารโมเดิร์นยูโรเปียนแทนอาหารสเปนที่เชฟถนัด เนื่องจากอาหารสเปนหลายจานยังไม่คุ้นเคยกับลิ้นของคนไทย        เริ่มกันที่อาหารสเปนที่เชฟถนัด Roast Beef Toast เชฟนำเนื้อวัวไปสโลว์คุกกับไวน์แดงนาน 2 ชั่วโมง มาพร้อมบรีชีส หอมผัดคาลาเมลไลซ์และขนมปัง อาหารเรียกน้ำย่อยอีกจานเป็นโมเดิร์นยูโรเปียน Shaved Foie Gras เชฟทำฟัวกราส์เทอร์รีนแล้วสไลซ์เป็นแผ่นม้วนๆ กินกับลูกพีชบดและคอร์นเฟล็กกรอบๆ     ต่อด้วยจานถนัดของเชฟ “ปาเอลญา” เชฟเลือกใช้น้ำสต๊อกหลากหลายให้เข้ากับรสของปาเอลญาแต่ละเมนูโดยไม่ใช้แซฟฟรอนใช้เพียงน้ำสต๊อกสร้างรสชาติ Paella Black ข้าวหุงกับน้ำสต๊อกซีฟู๊ด หมึกดำ และปลาหมึกให้ความหอมหวานแทรกด้วยเนื้อปลาหมึกเคี้ยวหนุบหนับ     จานหลักอีกจานเป็นอาหารยุโรป Rack of Lamb ซี่โครงนาบกระทะแล้วอบ เคลือบดิจองมัสตาร์ด สมุนไพร ชีสนมแพะ และเบคอน ให้กลิ่นรสของแกะนิดๆ พอให้ระลึกถึง ตามด้วยกลิ่นรสของมัสตาร์ดและความกรุบของเบคอนและมันอบ     ปิดท้ายที่ของหวาน Torrija ขนมปังชุบนมแล้วทอดคล้ายเฟรนช์โทสต์ มาพร้อมครีมวานิลลา เบอร์รีสด และไอศกรีม กินกับ Thyme Tea นมปั้นผสมชาไทย หรือถ้าชอบกาแฟเป็น Thyme Latte ฟองนมผสมกับกาแฟนม        เร็วๆ นี้ทางร้านก็จะเริ่มเสิร์ฟอาหารเช้าด้วย ส่วนเวลาสอบถามได้กับทางร้าน

Printa Café คาเฟ่แห่งใหม่บนถนนปั้น (หลังวัดแขกสีลม) ที่เกิดจากความหลงใหลในมื้อเช้าของกลุ่มเพื่อนเจ้าของแบรนด์แว่นตาสุดฮิป GLAZZIQ ทำให้ที่นี่เป็นทั้งคาเฟ่และโชว์รูมแว่นตาไปในตัว ภายในร้านสว่างน่านั่งด้วยโทนสีขาวตัดกับสีเขียวของต้นไม้ เพิ่มความสดชื่นกระปรี้กระเปร่ายามเช้าก่อนออกไปลุยงานหนัก เน้นเสิร์ฟเมนูไข่ สลัด และพาสตา ซึ่งคัดสรรวัตถุดิบมาอย่างดี โดยเฉพาะไข่โอเมกาจากฟาร์มส่วนตัว การันตีความสดใหม่ แถมแต่ละเมนูยังแอบใส่รสชาติแบบไทยๆ ลงไปให้ได้ว้าวกันอีกด้วย        เมนูแนะนำ Healthy Benedict ไข่ซูสวิดด้วยอุณหภูมิ 64 องศาเซลเซียส วางบนกัวกาโมเลบดรสชาติดี ราดซอสพริกศรีราชา   Linguine Clams เส้นลิงกวินีผัดคลุกเคล้ากับหอยกาบและซอสพริกเผา ได้ทั้งรสเผ็ด เค็ม และหวาน เสิร์ฟจานใหญ่ให้หอยแบบไม่หวง   Grilled Veg Salad สลัดผักย่างขวัญใจสาวๆ ความอร่อยอยู่ที่น้ำสลัดวิเนแกรตต์ตีผสมกับชีสริคอตตารสเค็มๆ มันๆ    Pulled Pork Sandwich เสิร์ฟร้อนแบบชีสยืดเป็นเส้น ความเก๋อยู่ที่ใช้อาจาดทำเองแทนแตงกวาดอง ได้รสเปรี้ยวตามด้วยหวาน เพิ่มความกลมกล่อมได้ดี

ใครเคยติดใจกับรสชาติอาหารของห้องอาหารเมซซาลูนาขอให้ตามไปชิมกันต่อที่ Sühring ร้านอาหารเยอรมันแนวใหม่ของเชฟแฝด มาทีอัส (Mathias Sühring) และโทมัส ซูริง (Thomas Sühring) ที่ไปร่วมลงทุนกับเชฟกากัน อนันต์     ซูริงเป็นทั้งบ้านพักอาศัยและร้านอาหารไปด้วยในตัว จึงไม่แปลกหากเราเข้าไปแล้วจะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน โต๊ะที่เราอยากให้จับจองเป็นโต๊ะด้านหน้าครัวเปิดที่มีเชฟแฝดง่วนอยู่กับการปรุงอาหาร      ที่นี่เสิร์ฟเฉพาะเทสติงเมนู ซึ่งตอนนี้มีให้เลือกระหว่าง Sühring-9 servings และ Sühring-12 servings เชฟแฝดตั้งใจให้ลูกค้าที่มากินอาหารที่นี่ลืมภาพของอาหารเยอรมันแบบเดิมโดยปรับให้ทันสมัยและเบาขึ้น ด้วยที่ตั้งของประเทศซึ่งอยู่ใจกลางยุโรปทำให้เสน่ห์ของอาหารเยอรมันอยู่ที่การรับเอาวัฒนธรรมอาหารของเพื่อนบ้านโดยรอบมาผสมผสานกลายเป็นวัฒนธรรมอาหารของตัวเอง     เริ่มต้นที่เครื่องดื่มอย่างเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ ก่อนชิม New German Experience-Finger Food อาหารคำเล็ก 5 คำ German Spring Harvest ขนมปังพัมเพอร์นิกเคิลผักสลัดตามฤดูกาล และครีมฮอร์สแรดิช Frankfurter GrüneSoße กรีนซอสสอดไส้ผักและสมุนไพรกับมันฝรั่งทอด Spiced TomatoCracker คล้ายขนมปังกระเทียมจิ้มกับซอสมะเขือเทศรสเผ็ด Pork Knuckle Sandwich น่าสนใจตรงที่จับขาหมูเยอรมันมาแปลงโฉมให้เหลือเพียงชิ้นพอดีคำ และ Duck Liver ฟัวกราส์ฮังกาเรียนกับไวน์หวานออสเตรียที่เข้ากันและตัดเลี่ยนได้ดี   จากนั้นคั่นด้วยสลัด Any Vegetables & Leaves ผักสลัดหลากเนื้อสัมผัส สด ดอง อบแห้ง และย่าง ราดด้วยซอสเปรี้ยว ที่เด่นสุดน่าจะเป็นผักอบแห้ง     ห้ามพลาดความสนุกของ Brotzeit for Sharing ที่มีขนมปังเป็นศูนย์กลางของมื้ออาหารแบบคนเยอรมันซาวร์โดอบแล้วย่างบนเตาถ่านจิ้มกับเนยและซอสที่โรยด้วยกากหมู เพรสเซลกับซอสรสเผ็ดเปรี้ยว เนื้อเอจจิงแบล็กฟอเรสต์แฮม (แฮมรมควัน) และผักดองโฮมเมดอย่างลืมถามหาเบียร์ FürstWallerstein เอลรสนุ่มแต่หนักแอลกอฮอล์      ก่อนจานหลักเป็น Scallop หอยเชลล์กับทรัฟเฟิลโฟมและทรัฟเฟิลสไลซ์ และ Red Tilefish ปลาเนื้ออ่อนทอดพร้อมเกล็ดปลาจนกรอบกับซอสถั่วรสหวานและหอมสมุนไพร     ส่วนจานหลัก Simmentaler Beef Tenderloin เนื้อวัวซิมเมนเทลย่างมาแบบสุกหอมไหม้ๆ เนื้อแน่นๆ เคี้ยวอร่อยกับเกรวีหอมแดง กินกับ Käsespätzle พาสตาโฮมเมดเส้นหนึบ      ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง Rice Pudding และ Waldorf Salad ที่ปรับโฉมสลัดผักให้กลายเป็นของหวานที่น่าสนใจ  

หลังจากเป็นคาเฟ่สุดฮิปและสถานที่แฮงค์เอาท์ขวัญใจเด็กสามย่านมาหลายปี ได้เวลาที่ High Thyme X Top Chef ตัดสินใจขยับขยายมาเป็นร้านอาหารนั่งสบายอย่างเต็มตัวในตลาดน้ำสำเพ็ง 2 โดยโฉมใหม่ของไฮไทม์มาพร้อมบรรยากาศสุดชิล เคล้าเสียงเพลงจากวงดนตรีสด     สำหรับจานเด็ดยังคงสไตล์ฟิวชั่นสุดสร้างสรรค์สมกับสโลแกนของร้านอย่าง Experiment With Your Creativity ที่สำคัญคือการคิดค้นความอร่อยแปลกใหม่ร่วมกับสุดยอดเชฟจากรายการ Top Chef Thailand ส่วนเมนูเครื่องดื่มสุดเก๋ที่หลายคนติดใจจากร้านแรกก็ยกมาไว้ที่นี่อย่างครบครันอีกด้วย      มาเยือนนิวไฮไทม์แบบนี้ เราต้องขอลองเมนูใหม่อย่าง ทอดมันกุ้งสอดไส้ชีสยำตะไคร้ ที่เจ้าของร้านเพิ่มความพิเศษให้ทอดมันกุ้งที่เราคุ้นเคยด้วยการใส่ไส้ชีสมอสซาเรลลากลมกล่อมหอมมัน เสิร์ฟพร้อมย้ำตะไคร้รสแซ่บจัดจ้านกินคู่กันได้อย่างลงตัว     ก่อนต่อด้วย สปาเกตตีซีฟู้ดครีม ที่อัพความอร่อยให้สปาเกตตีคาโบนาราธรรมดาด้วยพลพรรคอาหารทะเล ทั้งหอยเชลล์ กุ้งแม่น้ำ หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์อบชีส คลุกเคล้าซอสครีมเข้มข้นหอมมันทำจากนมและวิปปิงครีมคุณภาพดี มาพร้อมมะนาวที่ช่วยเพิ่มรสเปรี้ยวและตัดความเลี่ยนได้เป็นอย่างดี     ใครอยากลองหลบเลี่ยงความวุ่นวายในใจกลางเมืองมาชิลในแถบชานเมืองแบบนี้ดูบ้าง บอกเลยว่า High Thyme X Top Chef เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุณไม่ควรพลาด   สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย   

เราเคยแนะนำห้องพักของที่นี่ไปแล้ว เมื่อมีโอกาสมาเยือนภูเก็ตอีกครั้งจึงไม่พลาดที่จะมาชิมอาหารจานพิเศษของห้องอาหารบับเบิ้ลส์  (Bubbles Restaurant)    “บับเบิ้ลส์” เป็นห้องอาหารหลักของโรงแรมที่เสิร์ฟทั้งมื้อเช้า กลางวันและเย็น ตกแต่งแบบร่วมสมัยในบรรยากาศสบายๆผสานด้วยสไตล์ตะวันตกและตะวันออก มีที่นั่งทั้งภายในห้องปรับอากาศหรือจะเลือกนั่งรับลมด้านนอกริมสระว่ายน้ำก็ได้     มื้อเย็นของที่นี่เสิร์ฟอาหารหลากหลายผสมผสานกลิ่นอายของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรป เอเชีย และอาหารท้องถิ่นของภูเก็ตเราเรียกน้ำย่อยด้วยเมนู ทาปาส สไตล์สเปนเสิร์ฟใส่จานเล็กๆ ที่มีหลากหลายเมนูให้เลือกสั่ง เช่น เนื้อปลาทูน่าสดคลุกกับพริกไทยย่างจนสุกแต่เฉพาะด้านนอก เนื้อในยังแดงสดอยู่ได้รสหวานและกลิ่นหอม ขนมปังบรูเชตตาหน้าอะโวคาโด กุ้งพันโชริโซย่างได้รสหวานเค็มมัน ปลาหมึกสายตัวเล็กยำรสจัดแบบสเปน และมะเขือเทศเชอร์รีและชีสมอซซาเรลลาสดเสียบไม้     หากชอบของกินเล่นแบบไทยฟิวชันต้องสั่งเมนูนี้ Spring Rolls Our Way เปาะเปี๊ยะไส้ไก่บดผสมสมุนไพรและเครื่องเทศ ทอดจนกรอบ เมื่อกัดเข้าปากจะเซอร์ไพรส์ด้วยชีสเอ็มเมนทอลเยิ้มๆ รสเค็มมันต้องกินขณะที่ยังร้อนๆ อยู่จะกรอบอร่อย     ต่อกันด้วยเมนูหลักที่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติชื่นชอบ Thai Style Berger เบอร์เกอร์ลาบหมูที่ผสมเครื่องลาบ สมุนไพรและพริกในเนื้อเบอร์เกอร์ ประกบด้วยขนมปังเบอร์เกอร์โฮมเมดนุ่มๆ     มาถึงภูเก็ตทั้งทีต้องสั่ง ข้าวผัดสับปะรด เมล็ดข้าวสวยผัดจนร่วนหอม ใส่เนื้อไก่ เสิร์ฟมาในผลสับปะรดภูเก็ต โรยด้วยไก่หย็องเค็มๆ หวานๆ เข้ากัน     จานสุดท้ายของดีประจำจังหวัด หมี่ฮุ้นแกงปู ใช้เส้นหมี่ขาวที่คนภูเก็ตเรียกว่า “หมี่ฮุ้น” เคล้ากับสีอิ๊วดำเล็กน้อยเพื่อให้มีสีน้ำตาลอ่อน เสิร์ฟกับแกงปูรสจัดจ้าน สูตรเด็ดจากภูเก็ตแท้ๆ  

ใครเคยได้ยินชื่อของคราฟต์เบียร์ไทย Golden Coins แต่ไม่รู้ว่าจะหาดื่มได้ที่ไหนตอนนี้ คุณเปี๊ยก-พิพัฒนพล พุ่มโพธิ์ หนึ่งในทีมโกลเด้นคอยส์ได้ปรับโฉมร้านอาหารเก่าของครอบครัวให้กลายเป็น Let the Boy Die บาร์คราฟต์เบียร์ที่รวมเอาเบียร์สัญชาติไทยมาให้ได้ดื่มกัน    คุณเปี๊ยก เล่าว่า “เลทเดอะบอย ดาย” มาจากรอยต่อของการตัดสินใจของทีมโกลเด้นคอยส์ว่าจะเปลี่ยนจากงานประจำสู่การทำในสิ่งที่ชอบนั่นก็คือคราฟต์เบียร์ไทย ด้วยการเอาชนะความกลัวเปลี่ยนจากเด็กสู่ผู้ใหญ่คุณเปี๊ยกยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเพจเฟซบุ๊ก Craft Brewery is not a crime ที่สื่อสารเรื่องคราฟต์เบียร์ในแง่มุมของความรู้ ส่วนดีไซน์ร้านลงมือออกแบบเองทั้งหมด เป็นโต๊ะไม้ยาวผสมกับเหล็ก ให้อารมณ์แบบโรงอาหาร เดินไปสั่งเบียร์ได้พูดคุยกันทีมของร้าน แล้วมานั่งดื่มที่โต๊ะ เพื่อให้ร้านนี้เป็นคอมมูนิตี้ของคนชอบเบียร์ได้คุยกัน     คราฟต์เบียร์ไทยของที่นี่มีเบียร์สดเพียง 6 แท๊ป เป็นเบียร์ของโกลเด้นคอยส์ 4 แท๊ป ส่วนอีก 2 แท๊ป คุณเปี๊ยกจะชักชวนคราฟต์เบียร์ไทยแบรนด์อื่นๆ หมุนเวียนให้ได้ดื่มกัน อาทิ Mahanakron, Sandports, Soi Beer และคราฟต์เบียร์ไทยแบรนด์อื่นๆ ซึ่งถูกเลือกมาแล้วว่ามีคุณภาพดี ตอนนี้ยังนำเบียร์ขวดจากเชียงใหม่เบียร์มาให้เลือกดื่มทั้งไวเซนและไอพีเอ     Golden Coins ตั้งใจทำเบียร์ให้คล้ายกับสไตล์ของเบียร์แท้ๆ ให้มากที่สุด ไม่เน้นรสชาติที่แปลกแหวกแนวเหมือนแบรนด์อื่น มีเพียง Stout เบียร์ดำที่พิเศษหน่อยเพื่อนำเสนอความเป็นย่านเยาวราชจึงเลือกผสมเอาน้ำตาลทรายแดงและเกาลัดใส่ลงไปเพื่อเพิ่มกลิ่นรส       นอกจากนั้นยังอยู่ระหว่างลองทำเบียร์ที่ผสมกาแฟขี้ช้าง เร็วๆ นี้คงมีให้ดื่มกัน ส่วนตัวที่คุณเปี๊ยกว่าทำให้คนไทยรู้จักโกลเด้นคอยส์คือ Pale Ale ที่ให้กลิ่นของฮอฟท์ชัด และหอมมอลต์ไปด้วยในตัว นอกจากนั้นมี IPA หอมฮอฟท์เช่นกันแต่ติดรสขม และ Amber เบียร์สีอำพันที่มีกลิ่นของคาราเมลและรสฝาด   นอกจากคราฟต์เบียร์ไทยที่นี่ยังมีอาหารอย่าง Dead Boy Burger เบอร์เกอร์สไตล์แคลิฟอร์เนียที่ผสมบลูชีสและเชดดาร์ชีสเข้ามาด้วย     หรือลองฟิชแอนด์ชิปส์และไส้กรอกก็เข้ากันกับเบียร์

สำหรับใครที่ชอบกินผักสลัดคงคุ้นหู “ไร่ยิ้มเขียวเกษตรอินทรีย์” กันอยู่บ้าง ตอนนี้ชาวกรุงอย่างเราไม่ต้องเดินทางไกลถึง “ปากช่อง” ก็ได้กินผัก ผลไม้ออร์แกนิกจากฟาร์มอย่างง่ายดาย เพราะพี่เก๋ ทายาท เปิดร้านส่งตรงวัตถุดิบมาแพ็กขายเองกับมือพร้อมทำอาหารโฮมเมดให้คนรักสุขภาพได้ยิ้มกันแก้มปริ เน้นปรุงคู่กับปลา ไม่มีเนื้อวัว หมู ไก่ และไม่ใส่ผงชูรส ไม่เพียงเท่านี้ยังมีเมนูตามฤดูกาลให้เราเลือกสั่งกันฉ่ำปอด ที่สำคัญมีเดลิเวอรีส่งตรงถึงหน้าบ้านด้วย!       เมนูแนะนำ สลัดผักออร์แกนิก ผักสลัดหวานกรอบเสิร์ฟพร้อมน้ำสลัดโฮมเมดและกรูตองกรุบกรอบ     บะหมี่แห้งยำพริกเจียว บะหมี่สดเส้นเล็กเหนียวนุ่ม ใส่ลูกชิ้นปลาอินทรีและปลาเส้นทอดไร้แป้ง ลูกชิ้นกุ้ง กุ้งแห้งป่น ถั่วลิสงคั่วเอง ถั่วแขก ผักกาดแก้ว และพริกป่นคั่วน้ำมันรำข้าวหอมกรุ่น    ขนมจีนแกงเขียวหวานปลาอินทรี รสกลมกล่อม หอมกะทิสด กินกับปลาอินทรีเนื้อแน่นนุ่ม   ข้าวไรซ์เบอร์รีน้ำพริงอ่องปลา ใช้เนื้อปลานิลแทนหมูสับ ได้รสเปรี้ยวอมหวานจากมะเขือเทศสด 3 ชนิด เสิร์ฟพร้อมผักสดจากฟาร์ม ฟักทองนึ่ง และไข่เป็ดไล่ทุ่งต้มยางมะตูม 

Tag: , สลัด,

เพียงแค่เปิดประตูร้าน Little Sunshine เข้ามาเราก็สามารถหลีกหนีความพลุกพล่านของถนนวิทยุมาสู่บรรยากาศอบอุ่นแสนสบาย (จนอยากนั่งชิวที่นี่ทั้งวัน) นอกจากการตกแต่งด้วยสีขาวสว่างชวนให้ผ่อนคลายผสานโต๊ะเก้าอี้ไม้และข้าวของกุ๊กกิ๊กที่มองได้เพลินตา รวมทั้งเมนูอาหารสไตล์เจแปนนีสฟิวชันสูตรโฮมเมดไม่เหมือนใครแล้ว รอยยิ้มสดใสและความเป็นกันเองของคู่รักเจ้าของร้านก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เราอยากกลับไปเยือนร้านนี้บ่อยๆ เช่นกัน     เมนูแนะนำ Spicy Three Little Eggs Pasta พาสตาเส้นเหนียวนุ่มกำลังดี เผ็ดนิดๆ สไตล์ฟิวชัน คลุกเคล้าด้วยไข่กุ้ง ไข่ปลาเมนไทโกะ และท็อปด้วยไข่ออนเซ็น   Spicy Thai Fried Rice with Norwegian Salmon and Herbs ข้าวผัดแจ่วรสแซ่บ มาพร้อมแซลมอนย่างชิ้นโต ผักนานาชนิด และน้ำจิ้มแจ่วสูตรเด็ด   Buta Kakuni Rice with Soft-Boiled Egg, Kimchi, Homemade Pickled Pumpkin and Sriracha Mayo ข้าวหน้าหมูสามชั้นตุ๋นจนนุ่มเปื่อยหวานเค็ม อร่อยด้วยไข่ต้ม กิมจิ ฟักทองดอง และซอสศรีราชามายองเนสซึ่งที่ร้านทำเอง   Sea Salt Butterscotch Blondies เหมือนบราวนี่แต่เป็นรสบัตเตอร์สกอตช์ รสเค็มหวานหอมมัน เหมาะกินคู่กับชาหรือกาแฟร้อน

ลืมไปได้เลยห้องน้ำชาของ Harrods Tearoom เนื่องจาก Harrods Café ปรับโฉมใหม่ให้บรรยากาศสบายๆ มากขึ้นในแบบของคาเฟ่ที่ต่างออกมาจากทีรูม 3 แห่ง โดยเฉพาะ Harrods London Ice Cream Parlour ไอศกรีมพาร์เลอร์สาขาที่ 3 ต่อจากลอนดอนและโตเกียว รวมถึงเมนูพิเศษ Harrods Savoury Toasts ที่มีเพียงสาขานี้เพียงแห่งเดียว     แฮร์รอดส์ คาเฟ่ ยังคงดีไซน์ร้านในแบบบริติชคลาสสิกและกลิ่นอายของแฮร์รอดส์ในโทนสีเทา ครีม และเขียวเอาไว้ พร้อมเพิ่มมุมของไอศกรีมพาร์เลอร์ที่ออกแบบเป็นเคาน์เตอร์รูปทรงไอศกรีมโคนเหมือนอย่างต้นฉบับในลอนดอน      Harrods Savoury Toasts เมนูใหม่ดีไซน์ไว้อย่างดีด้วยขนมปังคราฟต์คอร์น (Kraftkorn Bread) แป้งโฮลวีตผสมธัญพืชต่างๆ บั้งก่อนอบเพื่อให้คงความกรอบหลังจากราดซอสแล้ว มีทั้งหมด 4 เมนู คือ Toast Ham & Cheese ขนมปังอบหน้าแฮมกับชีสมอซซาเรลลา Toast Beef Bolognese ขนมปังอบราดซอสเนื้อโบโลญเนส หากไม่กินเนื้อวัวขอเปลี่ยนเป็นเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ได้ แต่เรายืนยันว่าโบโลญเนสก็ต้องเนื้อวัวนี่แหละ Toast Chicken Mushroom ขนมปังอบราดไก่และเห็ดผัดซอสครีม และ Toast Carbonara & English Bacon ขนมปังอบราดซอสคาร์โบนาราและเบคอนย่าง เรายกให้ขนมปังอบราดซอสโบโลญเนสคือที่สุด ด้วยรสชาติที่เข้มข้นของซอสกับความกรอบนุ่มของขนมปัง       ไม่เฉพาะเมนูโทสต์ที่เพิ่มเข้ามา แต่ยังมีอาหารไทยในแบบแฮร์รอดส์ให้เลือกชิม จานเด่นเป็น ข้าวกะเพราไก่ย่าง ไข่ดาวน้ำสต๊อก รสชาติจัดจ้าน มีพริกหวานใส่ลงผัดด้วย โรยหน้าด้วยกะเพรากรอบ ส่วนที่เพิ่มความอร่อยคือเนื้อสัมผัสของไข่ดาวที่คล้ายไข่ออนเซ็นแต่ผิวด้านนอกแน่น ด้านในไข่แดงฉ่ำๆ ถ้าไม่ชอบไก่ย่างเราแนะนำกะเพราเนื้อออสเตรเลีย อีกจานที่เด่นไม่แพ้กันเป็นสปาเกตตีเส้นดำผัดขี้เมาที่รสจัดจ้านไม่แพ้กัน   ปิดท้ายกับไอศกรีมพาร์เลอร์ที่เพิ่มเมนูพิเศษซึ่งมีเฉพาะประเทศไทย Earl Grey Tea Float with No.42 Earl Gray Royal Cream and Earl Grey Caviar ชาเอิร์ลเกรย์ ครีมนม และซอฟต์ครีมรสชาเอิร์ลเกรย์ ราดด้วยคาราเมล โฮมเมดคาเวียร์ชาเอิร์ลเกรย์และบิสกิตรูปหมี ดื่มชาก่อนแล้วเอาบิสกิตปาดหน้าขึ้นมากินอร่อยมาก และ Chocolate Milk with English Milk Cream นมช็อกโกแลตเข้มข้นกับซอฟต์ครีมนม ราดช็อกโกแลต และบิสกิตรูปหมี  

“Burnt Beer Burp” 3 คำนี้เย้ายวนใจสาวกเนื้อวัวได้ดีที่สุด แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Meatlicious ร้านอาหารบาร์บีคิวที่เชฟกากัน อนันต์ รับเป็นที่ปรึกษา แต่จะไม่รับก็คงไม่ได้เพราะเป็นร้านที่ภรรยาสุดที่รักร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ     ความเจ๋งของมีตลิเชียสอยู่ที่การปรุงอาหารด้วยไฟจากไม้ยูคาลิปตัสทั้งหมด เร็วๆ นี้เตรียมใช้ไม้ลิ้นจี่กับไม้บ๊วยที่หมดอายุไขจากโครงการหลวง อาศัยเตา 4 สไตล์ เตาอบ เตาเหล็กร้อน เตาย่าง และเตาย่างสไตล์อาร์เจนตินา (เลื่อนตะแกรงขึ้นลงได้) เรียกว่าปรุงกันแบบดั้งเดิมโดยไม่พึ่งพาแก๊สเลย เท่าที่คุยกันเชฟกากันเล่าว่าได้ไอเดียมาจากร้านอาหารในฝรั่งเศสและญี่ปุ่นมาผสมผสานกัน โดยเชฟหลักของที่นี่คือเชฟ Pierre รับหน้าที่ย่าง และเชฟ Jorge สเปเชียลลิสต์ด้านเนื้อวัวรับหน้าที่เลือกเนื้อวัวเข้าร้าน     โต๊ะที่นั่งแล้วฟินที่สุดคือเชฟเทเบิล มีลูกค้าเพียง 7 คนที่จะได้นั่งดูเชฟย่างและปรุงทุกอย่างผ่านเตาทั้ง 4 แบบ เฉพาะกลิ่นหอมและท่วงทำนองการปรุงก็เรียกน้ำย่อยได้ดีแล้ว เริ่มกันกับฟัวกราส์ราคาดี Foie Gras Breakfast ฟัวกราส์แครมบรูเลเผาหน้าและแยมเชอร์รี กินกับขนมปังบริออชฉ่ำเนย คั่นกลางด้วย Ceviche  มีให้เลือกทั้งปลาแซลมอนและปลาฮามาจิ       แต่ที่ถูกใจเรามากเป็น Corn on the Cob ข้าวโพดเผาในเตาอบ โรยเกลือบีบมะนาว B&BB ก็เช่นกันนำหัวหอมไปเข้าเตาอบ ใส่ด้วยสตูเนื้อที่ใช้เตาเหล็กร้อนปรุงจนเปื่อยนุ่มก็ได้ทั้งกลิ่นและรสที่ดีมาที่ไฮไลต์อย่างเนื้อวัวซึ่งมีให้เลือกตามความชอบระหว่างเนื้อแดงที่ปรุงด้วยเตาย่างสไตล์อาร์เจนตินาและเนื้อที่มีไขมันแทรกแบบเนื้อญี่ปุ่นที่ปรุงด้วยเตาเหล็กร้อน ซึ่งเชฟกากันกำลังติดต่อนำเนื้อวัวมิยาซากิเกรด A5++ Wagyu Black เกรดสูงสุดเข้ามา    เราการันตีว่า Argentine Chimichurri อร่อยเด็ดจริงๆ เนื้อยังฉ่ำ แถมได้เดรสซิงชิมิชูรีที่หอมด้วยกลิ่นสมุนไพรก็ยิ่งออกรส แต่เมนูยอดนิยมเป็น Tomahawk มีเกรนมัสตาร์ด แจ่ว และชิมิชูรีมาเพิ่มรสชาติ เนื้อนุ่มอร่อยแต่รสชาติไม่จัดเท่าจานแรก       ส่วนใครไม่กินเนื้อวัว Meatlicious Roast Chicken เป็นทางเลือกที่ไม่แย่ ใช้ไก่บ้านตะนาวศรีหมักเครื่องเทศแล้วอบ เนื้อน้อยหน่อยแต่อร่อยมาก โดยเฉพาะเนื้ออกแน่นๆ     ปิดท้ายด้วยของหวาน Burnt Ice Cream ไอศกรีมวานิลลา ราสป์เบอร์รี และสตรอว์เบอร์รี บีบเมอแรงก์จนท่วม เอาเข้าเตาอบให้ไหม้ๆ หน่อย หรือ Khao Tom Meatlicious ข้าวต้มเนื้อตุ๋น กินร้อนๆ หลังมื้ออาหารรับรองฟิน

ขอยกให้ Fat Kids เป็นร้านเสื้อผ้าผสมขนมสุดน่ารักแห่งปีกันเลยทีเดียว เพราะเพียงแค่ได้เห็นสโลแกนอย่าง “What the Fat” ที่ชวนให้คิดถึงประโยคกวนๆ ที่ไม่ควรพูดออกอากาศอย่าง “What the F**k” ก็ทำให้ยิ้มออกแล้ว         อย่างที่บอกไปแล้วว่าที่นี่คือ “ร้านเสื้อผ้า” ที่จับพลัดจับผลูกลายเป็นคาเฟ่ยอดฮิต เมื่อมุมหนึ่งของร้านได้เนรมิตเป็นบาร์ขนม อีกทั้งยังพกพาสีเหลืองสุดแสบสีโปรดของคุณแพรวและคุณนิค เจ้าของร้านมาเรียกคะแนนได้อย่างน่าประทับใจ เริ่มตั้งแต่โลโก้เด็กอ้วนจากไฟนีออนสีเหลือง กำแพงร้าน ไปจนถึงชุดของน้องๆ พนักงาน จนแอบเชื่อเลยว่าหากใครได้มาคงได้ตกหลุมรักสีเหลืองกันถ้วนหน้า       ด้วยคอนเซปต์เมนูที่คิดขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนได้อิ่มท้องระหว่างรอเสื้อผ้า เมนูจึงมาในสเกลเล็กเพียง 3 เมนูเท่านั้น แต่ก็รับประกันความอร่อย เมื่อเจ้าของคือทีมเดียวกับร้านขนมของหมีหิวอย่าง Hungry Bear ซึ่งคุณแพรวกับคุณนิคก็ยอมรับว่าร้านนี้คือ ภาคต่อของความอร่อย เพราะหลังจากทำร้านนั้น เธอทั้งสองก็กลายเป็นเด็กอ้วนไปเป็นที่เรียบร้อย     ขอเริ่มกันด้วยเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Hot Chocolate  Marshmellow (120 บาท) ช็อกโกแลตร้อนสุดเข้มข้นที่ขีดฆ่าคำว่าแคลอรี่ทิ้งไป ด้วยการเติมมาร์ชเมลโลว์ 1 สกู๊ปใหญ่ลงไปในถ้วย เข้มข้นหนุบหนับอย่างที่สุด     ถ้าช็อกโกแลตยังไม่จุใจก็ต้องมาเข้าคู่กับ Brownie Marshmellow (155 บาท) บราวนีย์ชิ้นกะทัดรัดอุ่นร้อนๆ ท็อปปิ้งด้วยมาร์ชเมลโลว์เหนียวหนึบ     แต่ถ้าชอบความเย็นชื่นใจก็ห้ามพลาด Ice Chocolate (120 บาท) เมนูล่าสุดกันสักแก้วนะคะ  

ร้านชื่อเก๋ชวนสะดุดหูของดีเจ พี่อ้อย-นภาพร ที่ร่วมหุ้นกับกลุ่มน้องๆ คนสนิทจากร้านชูศรี แอท แหลมเกตุ และร้านแหลมเกตุ เปิดร้านอาหารไทยฟิวชันที่มีคอนเซ็ปต์สนุกๆ ว่า “ที่แห่งเวลาและอาหาร” อาหารที่นี่จานใหญ่ กินอิ่ม แถมราคาสบายกระเป๋า รสชาติยังอร่อย โดยเฉพาะซีฟู้ดที่สั่งตรงมาจากฟาร์มในอำเภอศรีราชา รับประกันได้ว่าสดใหม่ บนชั้น 2 ยังมีพื้นที่ให้เราใช้เวลาอย่างคุ้มค่าด้วย Co - Workspace และห้องสมุดขนาดย่อมให้นั่งอ่านหนังสือกันเพลินๆ อีกด้วย      เมนูแนะนำ สเต๊กแซลมอน แซลมอนเนื้อนุ่มเสิร์ฟพร้อมผักโขมผัดเนย ราดไวต์ไวน์ซอสและฟักทองญี่ปุ่นบดเนื้อเนียนรสหวานมัน   ข้าวผัดต้มยำไก่ย่าง ข้าวผัดกับสมุนไพรต้มยำกลิ่นหอม เสิร์ฟพร้อมสะโพกไก่เนื้อนุ่ม    เบอร์เกอร์หมูชาร์โคลบัน ขนมปังชาร์โคลสีดำนุ่มแน่นเข้ากันกับเนื้อหมูย่างกลิ่นหอม ส่วนสันคอผสมกับเนื้อ หมู ราดซอสปาปริกา    ดาวอังคารสไปซี่ สปาเกตตีเส้นเล็กผัดคลุกเคล้ากับมันกุ้ง กระเทียม พริกแห้ง พริกไทย และซีฟู้ด 

ตามที่ G&C เคยบอกไว้ว่า Shuffle ร้านอาหารแนวรัสติกอเมริกัน มีแผนเปิดร้านแห่งที่ 2 ในคอนเซ็ปต์ใหม่ White Shuffle ร้านอาหารแนวนิวอเมริกันควีซีนที่ฉีกแนวออกมาจากร้านเดิมทั้งอาหารและดีไซน์ของร้าน จากความดิบและโทนสีดำกลายเป็นคาเฟ่นั่งสบายในโทนสีขาว      เชฟนิก-กฤษฎา จินตกานนท์ เชฟและเจ้าของร้านยังคงลงมือคิดและเฟ้นหาวัตถุดิบด้วยตัวเอง เชฟเลือกใช้วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะผักจากโครงการหลวงและวัตถุดิบออร์แกนิกเท่าที่พอจะซื้อหาได้ แน่นอนว่าเชฟค่อนข้างใส่ใจกับวัตถุดิบตามฤดูกาล นอกจากนี้ยังวางคอนเซ็ปต์ให้ที่นี่บริการอาหารครบทุกมื้อมากขึ้น โดยเฉพาะเมนูอาหารเช้าที่มีเพิ่มเข้ามามากขึ้น ครั้งนี้ยังได้เชฟแนน-ศุภรา สุขสันติสวัสดิ์ เข้ามาช่วยดูแลเบเกอรี่และเครื่องดื่ม ทำให้ไวต์ชัฟเฟิล พร้อมให้บริการแบบออลเดย์ไดนิง     เริ่มกันที่ Cold Press Juice no.3 น้ำดื่มโคลด์เพรสสีแดงผสมจากน้ำทับทิม น้ำส้ม และน้ำกูสเบอร์รี ดื่มแล้วให้ความสดชื่นดีทีเดียว กินกับ Classic Breakfast เห็ดพอร์ตาเบลโลจากโครงการหลวงย่าง ไข่ดาวน้ำ เบคอน ไส้กรอก และมะเขือเทศ เรียบง่ายแต่อร่อยดี     ถ้าอยากได้อาหารแบบที่เต็มอิ่มหน่อยแนะนำ Steak/Herb Sunny Up Egg/Wild Mushroom เนื้อวากิวส่วนท้องที่มีเนื้อสัมผัสให้เคี้ยวแทรกด้วยไขมันไม่มากย่างแบบมีเดียมแรร์ นุ่มหอมและยังเนื้อฉ่ำ กินกับไข่ดาวและเห็ดผัด     Harissa Chicken ไก่หมักโยเกิร์ตและซอสฮาริสสาอบ กลิ่นรสเครื่องเทศดีทีเดียว กินแบบไม่จิ้มก็หอมอร่อย แต่จิ้มกับโยเกิร์ได้อีกรสชาติ มาพร้อมกะหล่ำ ถั่ว และหน่อไม้ฝรั่ง      ปิดท้ายด้วย FrenchToast with Pecan Cream Cheese ขนมปังบริออชโฮมเมดชุบไข่ทอด กินกับเบคอน กูสเบอร์รี แบล็กเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี และครีมชีสผสมพีแคน บริออชนุ่มชุ่มฉ่ำด้วยเมเปิลไซรัป แถมได้รสครีมๆ มันๆ ของพีแคนก็ลงตัวมาก      ถ้ากลัวเลี่ยนดื่ม Strawberry Peach Thyme Iced Tea ชาเย็นผลไม้รสสดชื่นตามก็จะออกรส