ลาดอตตา ลากราสซา ร้านที่เป็นมากกว่าสาขาที่ 2 ของลาดอตตาทองหล่อ “La Grassa” เป็นภาษาอิตาเลียน แปลว่า “จ้ำม่ำ” และเป็นชื่อเล่นของ Bologna เมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องอาหารการกินของประเทศอิตาลี แน่นอนว่าร้านนี้ต้องมีดีมากกว่าพาสตา     ร้านใหม่นี้กว้างขวางขึ้นด้วยกระจกใส ดูแล้วสว่างสดใส ตกแต่งด้วยโทนสีชมพู-น้ำเงิน มีบาร์ทำจากหินอ่อนดูสวยพรีเมียม ส่วนของครัวได้ “ฟรานเชสโก” เชฟพาร์ตเนอร์ของร้าน และ “ลูกา” หัวหน้าเชฟเป็นผู้ดูแลเมนู       เราเริ่มต้นมื้อด้วย Strawberry & Truffle สลัดร็อกเก็ตรสฉุนซ่ากับสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน เพิ่มรสเค็มมันด้วยชีสพาร์มิจิอาโน เร็กจิอาโน ใส่ทรัฟเฟิลสไลซ์ น้ำสลัดทำจากทรัฟเฟิลบดและน้ำมันมะกอกกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย     จานต่อมา Slow Cooked Crispy Skin Suckling Pig หมูหันสไตล์อิตาเลียนสูตรจากซาร์ดิเนียบ้านเกิดของเชฟฟรานเชฟโก หนังหมูกรอบ เนื้อนุ่ม กินกับเกรวีไวน์แดงรสเข้มข้น     มาร้านนี้ทั้งทีก็ไม่อยากให้พลาดสั่งพาสตาเมนูพิเศษ Bouillabaisse Seafood Stew Pasta แค่ยกมาวางที่โต๊ะก็ได้กลิ่นหอมฟุ้งของแซฟฟรอน จานนี้เชฟได้แรงบันดาลใจจากซุปทะเลบุยยาแบสของฝรั่งเศส เมื่อใส่พาสตาริกาโตนี (Rigatoni) ลงผัดทำให้เส้นซึมความอร่อย รวมทั้งกลิ่นหอมและรสชาติของซุปทะเลไว้เต็มๆ     ใครที่ชอบชีสลองสั่ง Wagyu Mac & Cheese พาสตาอบที่ใช้คองคิเย (Conchiglie) พาสตารูปหอยสัญลักษณ์ของร้านมาผัดกับเนื้อวากิวที่ตุ๋นกับไวน์แดงจนนุ่ม ใส่ชีสมอซซาเรลลาและชีสพาร์มิจิอาโน เร็กจิอาโน อบจนมีกลิ่นหอมและชีสยืดถึงใจชีสเลิฟเวอร์     สุดท้ายจบด้วย Bomboloni โดนัทอิตาเลียนกรอบนอก นุ่มใน มีไส้ให้เลือก 5 อย่าง เราชิมไส้ทีรามิสุ รสเข้มข้นหอมกลิ่นกาแฟ และไส้บลูเบอร์รีชีสเค้กรสเปรี้ยวหวานลงตัว     ตกเย็นจะนั่งจิบเครื่องดื่มอย่าง Orange Lemonade น้ำส้มผสมน้ำมะนาวสดชื่น หรืออิตาเลียนค็อกเทลคลาสสิคอย่าง Strawberry Spritz ซ่าหอมกลิ่นสตรอว์เบอร์รี ก็มีนะ       จบครบทั้งคาวหวาน....ยกให้เป็นร้านโปรดของเด็กอ้วนไปเลย

หลังจาก Jamie’s Italian ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ดของเชฟชาวอังกฤษเจ้าของตำราอาหารและรายการสุดฮิต เจมี โอลิเวอร์ (Jamie Oliver) ได้ประจำการสร้างความอร่อยให้กับพวกเรามาปีกว่าๆ ตอนนี้เราได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง เพราะได้ยินข่าวว่า Jamie’s Italian ได้ยกขบวนเมนูใหม่และเมนูมังสวิรัติมากกว่า 10 เมนู ให้เลือกชิมกันอย่างจุใจ     แน่นอนว่าเมนูใหม่ก็ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของเชฟคนดัง ด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบสดใหม่ตามฤดูกาลและใช้ของที่ปลูกและผลิตในบ้านเราเป็นส่วนใหญ่ อย่างไก่และไข่ก็ได้จากสิรินฟาร์ม จังหวัดเชียงราย เนื้อหมูและไส้กรอกก็มาจากร้าน Sloane’s ขณะที่เส้นพาสต้าก็ทำสดกันวันต่อวันผ่านเครื่องทำพาสต้าขนาดย่อมที่ตั้งอยู่หน้าร้าน เพื่อให้เราได้ยืนดูทำความรู้จักกับพาสต้าหน้าตาแปลกหลากชนิดกันแบบเพลินๆ ก่อนกิน       เริ่มวอร์มอัพกันด้วย Ultimate Garlic Bread (185 บาท) ขนมปังกระเทียมเนื้อนุ่มฉ่ำด้วยเนยและกระเทียมหอมกรุ่น สำหรับใครที่อยากเพิ่มความเข้มข้นก็สามารถสั่งเห็ดทรัฟเฟิลและชีสบูราต้าท็อปปิ้งเพิ่มกันได้ ต่อด้วย Spicy Italian Pork Meatballs (265 บาท) มีตบอลที่ทำจากเนื้อหมูอารมณ์ดีในซอสมะเขือเทศรสเผ็ดกินคู่กับขนมปังโทสต์เสิร์ฟร้อนๆ       สำหรับคนชอบกินผักก็ขอแนะนำ Jamie’s Burrata Salad (420 บาท) สลัดสควอซย่างที่เข้าคู่กับความเนียนนุ่มของชีสบูราต้าได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังเติมเต็มความสดชื่นด้วยส้มคลีเมนไทน์ ทับทิม เฟนเนล และผักร็อกเก็ต หรือจะลอง Bresaola Salad (480 บาท) สลัดตำรับอิตาเลียนที่โดดเด่นด้วยความนุ่มหนึบของเนื้อลูกวัวตากแห้งสไลซ์บางๆ คลุกเคล้ากับชีสบูราต้าและบัลซามิค ร่วมด้วยอาร์ติโชค ผักร็อกเก็ต และกรับกรอบด้วยอัลมอนด์       แล้วก็มาถึงกับเมนูที่เรารอคอย Porcini Pappardelle (345 บาท) ที่นำเอาเส้นพาสต้าชื่อเรียกยากแต่น่ารักอย่างพัพพาร์เดลล์ (Pappardelle) ที่มีความกว้างและหยักเล็กน้อยมาคลุกเคล้ากับซอสเห็ดสุดเข้มข้นหอมมันด้วยส่วนผสมของชีสมาสคาโปน กระเทียม และไวน์ขาว ส่วนคนรักคาโบนาร่าก็ต้องลอง Carbonara Casarecce (365 บาท) คาโบนาร่าเบคอนอิตาเลียนรมควันที่เลือกใช้พาสต้าเส้นเกลียวเหนียวหนึบตำรับซิซิลีแทนสปาเก็ตตี้ที่เราคุ้นกัน       พิซซ่าเลิฟเวอร์ก็อย่าเพิ่งบ่นน้อยใจ เพราะพิซซ่าก็มีให้เลือกละลานตาอีกเช่นกัน ที่ห้ามพลาดเลยก็ขอยกให้ Four Cheese Pizza (380 บาท) พิซซ่าหน้าชีส 4 ชนิดสีเหลืองทองสะใจคนรักชีส จากการรวมตัวกันของชีสมอสซาเรลล่า เชดด้า พาเมซาน และทาเลจิโอ ก่อนจะเติมเต็มความหอมด้วยโรสแมรี่และน้ำมันมะกอก แต่ถ้าชอบรสเผ็ดๆ หน่อยก็ต้อง The Spicy Norma Pizza (380 บาท) พิซซ่าหน้ามะเขือย่างกับซอสมะเขือเทศรสเผ็ด       แม้จะอิ่มจนเริ่มพุงกางออกข้าง แต่เรายังมีของหวานที่ต้องไปต่อ ไม่ว่าจะเป็น Epic Chocolate Brownie (260 บาท) บราวนีย์ช็อกโกแลตที่อัดแน่นด้วยความเข้มข้นในทุกๆ คำด้วยท้อปปิ้งอย่างไอศกรีมรสซอลท์เท็ดคาราเมล ซอสช็อกโกแลต และป็อบคอร์นเคลือบคาราเมล     แต่ถ้าชอบรสเปรี้ยวสดชื่นแล้วล่ะก็ อย่าลืมลอง Amalfi Lemon Meringue Cheesecake (285 บาท) ชีสเค้กเลมอนชิ้นโตท็อปปิ้งด้วยเมอร์แรงก์ชุดใหญ่กินคู่กับเลมอนเคิร์ดรสเปรี้ยวอมหวานและแบล็คเคอร์แรนท์  

ไม่เพียงการเป็นเจ้าของรางวัลห้องอาหารอิตาเลียนที่ดีที่สุดในเอเชียจาก World Luxury Restaurant Award จะการันตีความอร่อยระดับคุณภาพ แต่ความหลากหลายและคุ้มค่าของเมนูอร่อยละลานตาบนไลน์บุฟเฟต์ของ Medinii ห้องอาหารอิตาเลียนบนชั้น 35 ของโรงแรม เดอะ คอนทิเน้นท์ กรุงเทพฯ ยังดึงดูดใจคนรักอาหารอิตาเลียนอีกด้วย         หากใครชอบดื่มด่ำกับวิวสวยๆ ยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ แนะนำให้มาลองมื้อค่ำแล้วเลือกโซนติดผนังกระจกหรือห้องไพรเวตที่ทั้งนั่งสบายและให้ความเป็นส่วนตัว ก่อนไปเริ่มมื้ออร่อยกับเมนูเรียกน้ำย่อยอย่างโคลด์คัต ผักย่างราดซอสบัลซามิกและสลัดต่างๆ อาทิ Cheese Salad ที่ใช้ชีสบูราตาสดเนียนนุ่ม Corn Salad สลัดข้าวโพดใส่พริกหวาน ถั่วลันเตา และมะเขือเทศอบแห้ง รวมทั้ง ชีสต่างๆ อาทิ เชดดา เกาดา อีดัม กินคู่กับถั่วและผลไม้แห้ง       ต่อด้วยพาสต้าที่เชฟผัดกันสดใหม่จานต่อจาน ห้ามพลาดเมนูเด่นอย่าง Spaghetti Alle Vongole เส้นแองเจิลแฮร์ผัดกับหอยลายและซอสมะเขือเทศ Aglio E Olio ผัดกระเทียม พริกแห้ง และน้ำมันมะกอก และเพนเนผัดขี้เมาทะเล ส่วนสาวกพิซซาต้องลอง Pizza Paradiso หน้าชีส แฮม และเห็ด Hawaiian pizza ที่มาพร้อมแฮม ข้าวโพด สับปะรด โรยพาสลีย์เพิ่มความหอม Seafood Pizza ที่มีทั้งหอยลาย กุ้ง และปลาหมึก และพิซซาหน้าลาบไก่รสจัดจ้านแบบไทยๆ             แล้วมาอิ่มเต็มที่กับเมนูยอดนิยม อาทิ Pork with Peppercorn Sauce หมูสันในยัดไส้ลูกพรุนห่อด้วยเบคอนอบจนนุ่ม ราดซอสพริกไทย Chicken with Mustard Sauce อกไก่ยัดไส้พริกหวาน ราดซอสมัสตาร์ด Lasagna ลาซานญาที่มีให้เลือกทั้งไก่ หมู และเนื้อ Mixed Vegetable Gratin กราแตงผักอบชีสหอมมัน และ Roasted Seabass with Lemon Caper Sauce ปลากะพงขาวฟิลเลต์ ราดซอสเคเปอร์หอมพริกไทยและเปลือกมะนาว     หรือจะเสริมทัพด้วยเมนู A La Carte อย่าง Merluzzo Al Pomodoro ปลาหิมะหมักไวน์ขาวนาบกระทะสุกกำลังดี กินกับพูเรผักและซอสมะเขือเทศสไปซี และ Australian Lamb Shank ขาหน้าแกะหมักเครื่องเทศตุ๋นจนนุ่มร่อนแทบไม่ติดกระดูก มาพร้อมริซอตโตหอมน้ำมันทรัฟเฟิล       ถ้ายังไม่จุใจอย่างลืมตบท้ายด้วยไลน์ของหวานที่มีให้เลือกมากมาย ทั้งเค้ก พาย ทาร์ต คัสตาร์ด และแครมบูเล แต่ที่พลาดไม่ได้เลยคือ Bread Pudding ทีเด็ดอยู่ที่การใช้ครัวซองต์หอมเนยอบกับครีมคัสตาร์ด ราดซอสวานิลลาหอมหวานที่กินแล้วหยุดไม่อยู่เลยทีเดียว  

หลีกหนีรถติดและความวุ่นวาย แล้วไปนั่งชิลด้วยกันที่ ลิงค์ คูซีน แอนด์ บาร์ (Link Cuisine & bar ) ร้านอาหารอิตาเลียนฟิวชันแห่งใหม่จากเกาะสมุย ที่แอบซุกซ่อนตัวอยู่ในซอยเย็นอากาศ ตัวร้านร่มรื่นน่านั่งด้วยความเขียวชอุ่มของสวนเมืองร้อน กลางร้านมีบ่อปลาคาร์ปขนาดใหญ่ให้ได้มองเพลินๆ ระหว่างรออาหารสุดพิเศษจากเชฟ ให้ความรู้สึกเหมือนได้ลาพักร้อนไปพักผ่อนในรีสอร์ตดีๆ สักแห่ง       คุณแพทริค ซูลิแยร์ เจ้าของร้านบอกเล่าถึงคอนเซ็ปต์ว่า ตั้งใจให้เป็นจุดเชื่อมโยงความอร่อยของเมนูตะวันตกและตะวันออกเหมือนชื่อร้าน ภายในแบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก คือโซนเอาต์ดอร์ อินดอร์ และโซนบาร์ (บาร์เก๋มากเหมาะแก่การถ่ายรูปเช็คอินลงโซเชียล)       เรียกน้ำย่อยกันด้วยเมนูแรก Tuna Tartare ทูน่าดิบในซอสเทริยากิและงา ท็อปด้านบนด้วยมะม่วงสุกหวานฉ่ำ และตกแต่งด้วยเม็ดทับทิม ก่อนกินบีบมะนาวลงไปเล็กน้อย สดชื่นดี ต่อด้วย Scallops หอยเชล์ตัวอวบอ้วนย่างพอสุก วางบนถั่วพิตาชิโอบด หน่อไม้ฝรั่งย่าง มะม่วง และแรดิช แนะนำให้กินทุกอย่างพร้อมกันจะได้หลายรสชาติในคำเดียว       ต่อด้วยจานโปรดของเรา Truffle and Mushrooms Ravioli ที่ส่งกลิ่นหอมยวนใจมาแต่ไกล ราวิโอลีไส้เห็ดและชีสมาสคาโปนในทรัฟเฟิลครีม วางด้านบนด้วยทรัฟเฟิลสไลซ์ จานนี้ถูกใจมาก ราวิโอลีไส้แน่น แต่นุ่ม รสชาติเข้มข้นเข้ากับทรัฟเฟิลครีม กลืนแล้วยังได้กลิ่นหอมอวลอยู่ในปาก ขยับมาที่จานหลัก Rib Eye Steak เนื้อริบอายย่างพร้อมน้ำเกวีซอสพริกไทยหอมๆ เคียงมาด้วยสลัดร็อคเก็ต และเฟรนช์ฟราย ส่วนใครเป็นแฟนคลับทูน่า แนะนำ Tuna Steak เชฟกริลล์มาได้สีสวยน่ากิน ราดด้วยซอสเทริยากิ เสิร์ฟคู่ผักย่างเสียบไม้เข้ากันดีเชียว         อิ่มของคาวแล้ว อย่าพลาดของหวาน Baileys Semifreddo ไอศกรีมเค้ก มีส่วนผสมของเหล้าหวานเบย์ลี่ส์ไอริชครีม เสิร์ฟพร้อมถั่วเคลือบคาราเมล แล้วราดซอสคาราเมลอีกครั้งเพิ่มความหอมหวาน และอีกหนึ่งเมนูสุดคลาสสิกตลอดกาลอย่าง Tiramisu เชฟก็ทำออกมาได้ดีงาม     ปิดท้ายค่ำคืนด้วยซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่ให้ฟีลทรอปิคอลแบบสุดๆ อาทิ  Green Link มีส่วนผสมของ Bombay Gin แตงกวา น้ำแอปเปิล และน้ำมะนาว จิบแล้วสดชื่นมาก ส่วน Yellow Link ใช้บาร์คาดี้เป็นเบส รสเปรี้ยวหวานจากสับปะรด และ White Link ความเก๋อยู่ที่ใส่เนื้อมะพร้าวลงไปด้วยให้ได้เคี้ยว กลิ่นหอมนวลๆ       จิบแล้วเหมือนได้นั่งชิลอยู่ที่สมุยเลยทีเดียว

คนที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนน่าจะมีชื่อร้านอาหารอิตาเลียนอยู่ในใจ และหนึ่งในนั้นน่าจะต้องมีห้องอาหารรอสซินีส์ แม้ว่าจะเปิดมานานแต่ความอร่อยก็ยังคงประทับใจเช่นเดิม     ห้องอาหารรอสซินีส์ไปสะดวกมากเพราะอยู่บนถนนนสุขุมวิทที่รถไฟฟ้าไปถึง ลงที่สถานีรถไฟฟ้าอโศก แล้วเดินเข้าโรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท, เอ ลักช์ชัวรี่ คอลเล็คชั่น โฮเต็ล ชั้น 1 จะพบห้องอาหารอิตาเลียนโอ่โถงที่ยังอยู่ในความทรงจำ ภายในตกแต่งด้วยขวดไวน์ ชีส นานาชนิดจากภาคต่างๆ ของอิตาลี และภาพวาดสไตล์ทัสกันวิลล่าของเมืองทัสคานี บรรยากาศชวนผ่อนคลาย     อาหารเป็นสไตล์อิตาเลียนดั้งเดิมตามฝีมือของเชฟเกตาโน่ พาลุมโบ้ จากเกาะซิซิลีที่พกพาอาหารจากบ้านเกิดเดินทางไปทำงานทั่วโลก และนำมาผสมผสานสร้างสรรค์เป็นจานเด่นของที่นี่ หลายจานจึงอร่อยสไตล์ดั้งเดิมแต่มีเทคนิคชวนให้ตื่นตาตื่นใจ อย่างเช่น อาหารเรียกน้ำย่อยจานแรกพนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟพร้อมควันสโม๊คในฝาครอบแก้ว พอควันเริ่มจางจะเห็นชิ้นปลาแซลมอนลายสวยสีส้มเนื้อฉ่ำ rosemary smoked salmon, parmesan cream, sweet pickled baby onions, onion powder เนื้อปลารสนุ่มหอมกลิ่นสโม๊คได้รสเค็มนิดๆ จากครีมของชีสพาร์เมซาน และผงหอมหัวใหญ่ที่นำหอมหัวใหญ่ไปอบจนแห้งและบดเป็นผงช่วยเพิ่มรสเป็นเสน่ห์ของจานนี้     จานต่อมา roast turbot fish, zucchini, culatello ham and taleggio cheese จานนี้ทั้งแฮมคาลาเทลโล รสเค็มนุ่ม และชีสเนื้อนุ่ม อาหารลือชื่อของอิตาเลียนวางมาบนปลาเทอร์บอทเนื้อแน่น ช่วยชูรสปลาให้โดดเด่น     ส่วนมีตเลิฟเวอร์ไม่ควรพลาด miyazaki wagyu sirloin, banana shallot วากิวผิวนอกเกรียมเนื้อในสีแดงชุ่มฉ่ำเพียงแค่เห็นก็ชวนให้ต้องรีบหยิบมีดและส้อมขึ้นมาทันที     คนที่หลงไหลเส้นพาสต้าที่ห้องรอสซินีส์มีให้เลือกหลากหลาย เส้นเหนียวนุ่ม Al dented กับซอสและชีสต้นตำรับ รับรองว่าไม่ทำให้ผิดหวัง ถ้าจบของหวานด้วย Tiramisu อันโด่งดังที่มีชีสมาสคาโปเนครีมมันกับกลิ่นและรสหอมของกาแฟที่เสิร์ฟมาในขวดใบย่อมๆ ยิ่งช่วยเพิ่มรสชาติความเป็นอาหารอิตาเลียนได้อย่างจุใจ     มื้อนี้เรียกได้ว่าอยู่กลางกรุงเทพฯ แต่ก็ได้ลิ้มชิมรสอาหารอิตาเลียนได้อย่างอิ่มอกอิ่มใจ  

สำหรับคนที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนแล้ว คงดีไม่น้อยหากได้กินอาหารอิตาเลียนรสชาติดั้งเดิมที่ส่งต่อความอร่อยจากรุ่นสู่รุ่น อย่างที่ห้องอาหารเทอราซซ่า อิตาเลียน เรสเตอรองส์ ตั้งอยู่บนชั้น 8 ของโรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ที่นำความพิเศษของอาหารสไตล์อิตาเลียนแท้มานำเสนอให้ทุกคนได้กินกันอย่างอิ่มหนำโดยไม่ต้องบินไปไกลถึงต่างประเทศอีกต่อไป       สิ่งที่น่าสนใจของที่นี่นอกจากบรรยากาศบนตึกสูงติดริมสระว่ายน้ำ รวมถึงการดีไซน์ห้องอาหารล้อมรอบด้วยกระจกใส มีมุมเอ้าท์ดอร์ให้เลือกนั่งอย่างเหมาะใจทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายที่สุดแล้ว ยังได้ “เชฟโรแบร์โต้ พานาลิเอลโล่” ชาวอิตาลี มาดูแลอาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมคุกสูตรของคุณยายและคุณแม่ ที่พิถีพิถันในการปรุงทุกขั้นตอนตั้งแต่รสชาติเรื่อยมาจนถึงวัตถุดิบซึ่งคัดสรรเป็นอย่างดีจากประเทศอิตาลี เพื่อให้ทุกจานมีรสชาติและรสสัมผัสใกล้เคียงมากที่สุดนั่นเอง     จานแรกห้ามพลาดเลยคือ Ravioli Ricotta เมนูเวทเจททาเรียนกินแล้วสดชื่น แป้งราวีโอลีโฮมเมดที่เชฟตั้งใจทำเข้ากันกับไส้ที่ทำจากผักโขมผัดกับพาเมซานชีสและไวน์ขาว ราดซอสมะเขือเทศรสอมเปรี้ยว ส่วน Pizza Terrazza ก็เป็นเมนูเด่นมัดใจทุกคน ด้วยแป้งพิซซ่าโฮมเมดบางกรอบอบใหม่ร้อนๆ เข้ากันกับซอสสูตรพิเศษ พาร์มาแฮม และมอสซาเรลล่าหอมมันจากนมควาย       จานต่อไปเป็น Fantasy Salmon ไฮไลต์อยู่ตรงแซลมอนปรุงรส 3 สไตล์ กินแล้วได้รสสดชื่นจากเลมอนและซอสเวนิการ์หอมๆ Funghi Porcini, Pecorino Cheese & Summer Black Truffle ก็อร่อยลงตัว รีซ็อตโต้เห็ดพอร์ชินีรสนุ่มนวล เพิ่มความฟินขึ้นไปอีกขั้นด้วยชีสเห็ดทรัฟเฟิล       ก่อนปิดท้ายกับเบเกอรีหวานหอมสไตล์อิตาเลียน Cannolo Siciliano แป้งทอดมีส่วนผสมของไวน์ขาวและผงชินนามอนสอดไส้ชีสนานาชนิด เคลือบด้วยดาร์กช็อกโกแลต โรยแอลมอนด์สไลด์และสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน แล้วสั่งเครื่องดื่มซิกเนเจอร์อย่าง Tequila Sunrise หรือ Blue Lagoon มาเข้าคู่ด้วยสักหน่อย รับรองว่าอิ่มอร่อย นั่งชิลได้ยาวๆ แน่นอน      

ต้องบอกว่านี่คือการปรับโฉมใหม่ทั้งหมดของร้านอาหารอิตาเลียน La Scala ที่อยู่คู่กับโรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ มานานกว่า 15 ปี โดยตกแต่งให้มีบรรยากาศโปร่งสบายตาในโทนสว่างมากขึ้น ย้ายครัวจากตรงกลางร้านเข้าไปชิดกับผนังฝั่งหน้าร้าน แต่ยังคงเป็นครัวเปิดที่สามารถเห็นเชฟทำอาหารได้ ส่วนมุมที่เป็นเตาพิซซาตกแต่งให้ดูหรูขึ้นด้วยการเปลี่ยนจากไม้ให้เป็นหินอ่อน และเพิ่มบาร์เครื่องดื่มเข้ามา       นอกจากการตกแต่งที่แปลกตาไปแล้ว เชฟเดวิด แทมบูรินิ (David Tamburini) ก็ยังปรับเมนูใหม่ทั้งหมดให้มีคอนเซ็ปต์ อิตาเลียนไฟน์ไดนิ่ง ที่ใช้สูตรดั้งเดิมแต่ปรับหน้าตาให้ดูสร้างสรรค์และร่วมสมัย เมื่อเชฟเดวิดรู้ว่า G&C มาเยือน เชฟจึงจัดเต็มให้เราเลยทีเดียว     เริ่มจากอาหารเรียกน้ำย่อยจานแรกคือ Artichokes petals and cardoons salad สลัดอาร์ติโชคกับชีสพาร์มิจิอาโน เร็กจิอาโน นมไพน์นัตและไข่ออนเซ็น เชฟเข้าใจวัตถุดิบเป็นอย่างดีเสิร์ฟอาร์ติโชคกับชีสให้มีรสเค็มมันเข็มข้นอร่อย     อีกจานคือ Seared hokkaido scallops หอยเชลล์ตัวใหญ่ย่างเนื้อหวานนุ่มเสิร์ฟพร้อมคาร์เวียร์และผักเคลที่เชฟปรุงมาหลายแบบทั้งสด ย่าง ทอด ทำให้จานนี้มีรสสัมผัสที่หลากหลาย     มาถึงจานที่เรารู้สึกว้าวกับเมนู Spaghetti with smoked eggplants juice สปาเก็ตตี้จานนี้ไม่มีเนื้อสัตว์แต่อร่อยด้วยมะเขือม่วง เชฟนำมะเขือม่วงมาย่างและบีบน้ำออก นำน้ำมะเขือม่วงนั้นมาผัดกับพาสต้า ทำให้ได้กลิ่นสโมคหอมๆ ใส่เนื้อมะเขือม่วงหั่นเต๋าและมีมะเขือเทศจากอิตาลีรสหวานอร่อยลงตัว     ส่วนอีกจาน Mixed pasta in crustaceus and sesame infused broth ที่ได้ไอเดียจากครัวของอิตาลีที่ใช้พาสต้าเหลือหลายๆ รูปทรงมาต้มรวมกัน เสิร์ฟมาในซุปคล้ายล็อบสเตอร์บิสค์ที่เบาและใสกว่า กินแล้วอร่อยอุ่นท้อง     อาหารจานหลักคือ Mediterranean red mullet ปลาเรดมูเล็ตย่างเนื้อนุ่มหวาน เสิร์ฟกับสาหร่ายรสขมนิดๆ มีกลิ่นของทะเลเต็มๆ     อีกจานที่ทุกคนฟินมากคือ Roasted milk fed veal tenderloin เนื้อลูกวัวย่างนุ่มๆ กับผักเรดดิชิโอรสขมนิดๆ เพิ่มความหอมหวานด้วยบัลซามิคและหอมหัวใหญ่ลูกเล็ก     สุดท้ายห้ามพลาด Orange zabaione in crispy orange skin ไวท์ช็อกโกแลตทำเป็นรูปส้ม หุ้มซาบายองเนื้อนุ่มเบา ข้างในเป็นแยมส้มหอมหวาน ผิวเป็นอัลมอนด์บดและผิวส้มขูด ได้เนื้อสัมผัสทั้งกรอบและนุ่ม และมีรสหวาน เปรี้ยวและขมนิดๆ จากผิวส้ม  

ร้านพิซซาน้องใหม่ในเครือ Water Library ที่นำเสนอความอร่อยแบบอิตาเลียนขนานแท้ แต่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เพราะพิซซาแป้งบางกรอบของที่นี่เป็นสูตรพิเศษที่สืบทอดกันมาในครอบครัวของ Gerardo Calabrese เชฟชาวอิตาลีที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่าสิบปี ซึ่งใช้วิธีพักแป้งจนได้เนื้อแป้งเบาและมียีสต์น้อย กินแล้วไม่ต้องกลัวแน่นท้อง ที่สำคัญยังอบถาดต่อถาดในเตาถ่านกลางร้านให้ได้ชิมและชมกันแบบเพลินๆ อีกด้วย   เมนูแนะนำ Pizza Al Tartufo E Uovo ความอร่อยลงตัวของพิซซาหน้าไข่ดาว ชีสมอซซาเรลลา ชีสฟอนตินา เห็ดทรัฟเฟิล ชีสริคอตตาสไตล์อิตาเลียน    Focaccia Tartufo ขนมปังฟอกาเซียอบกรอบนอกนุ่มใน สอดไส้ครีมชีสเห็ดทรัฟเฟิลหอมมัน   Linguini A.O.P Seafood เส้นลิงกวินีเหนียวนุ่มผัดน้ำมันมะกอก กระเทียม และพริกแห้ง มาพร้อมกุ้ง ปลาหมึก และหอยแมลงภู่ตัวโต    Funky Berry สมูทตีสีสวยที่ผสมผสานสตรอว์เบอร์รี ราสป์เบอร์รี และแครนเบอร์รี เรียกความสดชื่นได้เป็นอย่างดี

คนไทยคุ้นเคยกับอาหารอิตาเลียนจนมีร้านอาหารอิตาเลียนให้เลือกมากมาย แต่ความอร่อยที่หลายคนตามหาดูจะไม่ใช่ความหวือหวา แต่เป็นรสชาติอร่อยดั้งเดิม และถ้าไปที่ร้าน Sala Rossa ไม่มีคำว่าผิดหวังแน่นอน     แม้ว่า Sala Rossa จะเปิดมานาน แต่บรรยากาศในร้านที่ตกแต่งสไตล์อิตาเลียนแบบเป็นกันเอง มีเตาพิซซาใหญ่อยู่กลางร้าน ชวนอยากให้ชิมพิซซาและพาสตาขึ้นมาทันที และไม่ต้องแปลกใจถ้าจะมีแอพพิไทเซอร์หรือวัตถุดิบตามฤดูกาลที่มาจากอิตาลีโดยตรง เพราะเจ้าของร้านเคยทำงานอยู่ที่อิตาลีกว่า 20 ปี ก่อนจะมาเปิดร้าน และยังมีงานที่ต้องเดินทางไปอิตาลีเกือบทุกเดือน จึงมีของสดๆ ให้ลูกค้าได้ลิ้มลองอยู่เป็นประจำ     ถ้าใครชอบลูกมะกอกดองหรือโอลีฟต้องประทับใจกับ Marinate Baby Peach in Truffle Oil พีชผลเล็กที่ยังไม่มีเม็ดแช่ในน้ำมันทรัฟเฟิล เนื้อกรอบ เค็ม มัน อร่อยลงตัว เจ้าของร้านบอกว่าแม้แต่ในอิตาลีก็ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ     Parma Ham served with Honey Italian Melon เมนูธรรมดาทั่วไปในร้านอิตาลีที่บางคนอาจไม่รู้ว่าเมลอนของอิตาเลียนนั้นต้องหอมและหวาน ต่างจากเมลอนญี่ปุ่นที่มีรสหวานโดดเด่น               ต่อด้วย Pizza Sala Rossa  พิซซาที่อบในเตาพิซซาหอมกลิ่นไม้ แป้งบางกรอบ โชยกลิ่นหอมก่อนวางบนโต๊ะ พิซซาที่ดูธรรมดาแต่รสชาติไม่ธรรมดา     ส่วนพาสตาแนะนำ Ange Hair Capellini with Extra Virgin Olive Oil, Roasted Garlic, Halian Chili, Fried Bacon and Crab Meat เส้นแองเจิลแฮร์เล็กนุ่มแต่ไม่เละ หอมกลิ่นน้ำมันมะกอก กระเทียม พริกอิตาเลียน รสเผ็ดนิดๆ กับเบคอนทอดกรอบและเนื้อปู     ส่วนของหวานไม่ต้องคิดเลย เพราะร้านนี้เป็นเฟรนไชส์เจลาโตหรือไอศกรีมอิตาเลียนกีโญนี (Ghignoni) นำเข้าทั้งตัวเชฟและวัตถุดิบที่ทำใหม่ทุกวัน ลองสั่ง Gelato Affogato al Coffee ไอศกรีมใส่ในกาแฟร้อน ไอศกรีมพิสตาชิโอ หรือเชอร์เบตสับปะรด อร่อยทุกรส คนชอบไอศกรีมอิตาเลียนห้ามพลาด มีรสชาติหมุนเวียนกว่า 20 รส ปัจจุบันมีขายที่ดิ เอ็มควอเทียร์, อาคารธนิยะ และศูนย์การค้าแพลตตินั่ม                การค้นหาอาหารอร่อยของบางคนไม่ใช่อาหารแปลกใหม่ แต่การได้กินอร่อยตามต้นตำรับช่วยให้อิ่มเอมใจแล้ว 

ใครเป็นแฟนคราฟต์เบียร์ห้ามพลาดกับ Taproom บาร์เบียร์ที่รวมเอาคราฟต์เบียร์แบบสดไว้มากถึง 26 แท๊ป เบียร์ทั้งหมดเน้นความหลากหลายด้วยสไตล์และแอลกอฮอล์ที่มีตั้งแต่เบาไปจนถึงหนักหน่วง เพื่อให้ทุกคนสามารถดื่มได้ตามคอนเซ็ปต์ Experience Craft Beer, Craft Beer is for Everyone ให้คราฟต์เบียร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวและดื่มยาก     แท๊ปเบียร์สดทั้ง 26 แท๊ป ควบคุมอุณหภูมิที่ 0 ถึง -1 องศา ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านฟรีซด้านล่างแท๊ปเบียร์จึงคงอุณหภูมิได้ดีกว่าการย้ายไปเก็บในห้องเย็นหลังบาร์ปิด ที่นี่หมุนเวียนคราฟต์เบียร์จากทุกค่ายเข้ามาตลอด และไล่เรียงตามสไตล์เบียร์ แท๊ป 1-10 คราฟต์เบียร์ดื่มง่ายรสชาติเบาๆ แท๊ป 11-18 แอลกอฮอล์กลางๆ แท๊ป 19-24 คราฟต์เบียร์แบบรสหนักหน่อย พวกดับเบิ้ลไอพีเอและอิมพีเรียลเพียวเอล แท๊ป 25-26 เป็นไซเดอร์ สำหรับคนไม่ดื่มเบียร์ก็มีคลาสสิกค็อกเทลและซิงเกิลมอลต์ไว้บริการ     สำหรับคอเบียร์ที่ไม่คุ้นเคยกับคราฟต์เบียร์แนะนำให้ถามคุณโจผู้จัดการร้าน หรือพนักงานทุกคนในร้านได้ว่าเบียร์ตัวไหนต่างกันอย่างไร เพราะทุกคนผ่านการเทรนและชิมเบียร์มาหมดแล้ว ความแตกต่างของที่นี่กับบาร์เบียร์อื่นๆ ก็คือการบริการที่สั่งเบียร์จากโต๊ะได้เลย ดื่มก่อนแล้วจ่ายทีหลัง ที่สำคัญไม่ต้องกินข้าวมาก่อน เพราะที่นี่มีอาหารตั้งแต่อาหารกินเล่นจนถึงกินจริงจัง ซึ่งเป็นอาหารจาก One Day at a Time     เบียร์สดมี 3 ขนาด Small, Large และ Flight (6 และ 10 แก้ว) เราแนะนำแบบ Flight 6 ได้ประสบการณ์การดื่มแบบพอดีๆ ชอบตัวไหนสั่งเพิ่มหลังจากลองทั้ง 6 แก้วก็ยังได้ เริ่มที่เบียร์ไวเซนดื่มง่าย Grosse Bertha ต่อด้วยเบียร์ไซซอง Lomaland ที่ให้กลิ่นผลไม้และซ่าหน่อย    ตามด้วย Prohibition เรดเอลที่เด่นตรงมีสีแดงแทนสีอำพัน หลังจากนี้อีก 3 ตัวจะเริ่มหนักหน่วงขึ้น Racer 5 เบียร์ไอพีเอที่ให้กลิ่นฮอปส์เด่นและติดขม Ruination เบียร์ดับเบิ้ลไอพีเอที่ทวีความขมเข้ม ปิดท้ายด้วย Bigbad Baptist เบียร์อิมพีเรียลสเตราท์ที่หอมกลิ่นรสแบบกาแฟ ซึ่งเราชอบที่สุดและหนักที่สุด     ข้อดีของที่นี่คืออาหารทำให้การดื่ม Flight ไม่หนักเกินไป มีอาหารหลายจานที่เข้ากับเบียร์ได้ดี อย่าง Mac’n Cheese ชีสมากนี่แหละตัดกับเบียร์ได้ดี Taproom Bomb มีตบอลกับชีส BBQ Chicken Wing ก็รสจัดดี         แต่ถ้าไม่หิวมาก Oneday Fried Away เฟรนช์ฟรายส์แบบสเต๊กคัตกับซาวร์ครีมเบคอนและแอนโชวีก็พอแกล้มเบียร์ได้แล้ว

หลังจากขยายความอร่อยไปไกลกว่า 400 สาขา ทั้งในเกาหลี อเมริกา จีน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ก็ถึงเวลาที่ Mr.Pizza พิซซาแบรนด์ดังจากเกาหลีจะนำความอร่อยมายังบ้านเรา นอกจากพิซซาของร้านนี้จะใหญ่บึ้ม (ไซส์ L ขนาด 14 นิ้ว)  จุดเด่นยังอยู่ที่ครัวเปิดให้ได้เห็นทีมเชฟสุดเท่โชว์ลีลาการทำทุกขั้นตอน เครื่องเคราที่นี่ใช้เกรดพรีเมียม ทั้งเบคอน กุ้ง ปู รวมถึงชีสนำเข้าจากอิตาลี ทุกถาดใช้วิธีการย่างในเตาอบเพื่อให้แป้งกรอบแบบไม่มีน้ำมันอีกด้วย       เมนูแนะนำ Potato Gold ซิกเนเจอร์พิซซาเครื่องตู้ม ทั้งเบคอนและมันฝรั่ง แอบซ่อนทีเด็ดด้วยครีมมันหวานสุดอร่อยไว้ที่ตรงขอบพิซซ่าให้อร่อยได้ทั้งชิ้น   Cajun Salad สลัดผักสด วางด้านบนด้วยไก่กรอบซอสเคจุน ราดด้วยน้ำสลัดฮันนี่มัสตาร์ด ได้หลายรสชาติในคำเดียว   Carbonara Spaghetti  สปาเกตตีสุดครีมมี่ หอมชีส ได้รสเค็มนิดๆ จากเบคอน   Oreo Bingsu ไอศกรีมวานิลลาบนนมเกล็ดหิมะเย็นฉ่ำ โรยหน้าด้วยโอรีโอ คอร์นเฟล็กช็อกโกแลต ราดซอสช็อกโกแลต

คงพูดได้อย่างไม่เต็มปากว่า Il Fumo Charcoal & Cocktail เป็นภาคต่อของ Vesper Cocktail Bar & Restaurant เนื่องจากนำหน้าด้วยอาหารมากกว่าค็อกเทล โดยยังคงมีหุ้นส่วนหลักเดิม คุณโชติพงษ์ ลีนุตพงษ์, คุณเด็บบี ตัง (Debby Tang) ภรรยา และเชฟลูก้า แอปปิโน (Luca Appino)     “อิล ฟูโม” ในภาษาอิตาเลียนแปลว่า “ควันไฟ” ซึ่งทางร้านตั้งใจประกาศชัดว่าใช้วิธีการย่างด้วยถ่านจากไม้ที่นำเข้ามาจากอิตาลี อาทิ ไม้เชอร์รีสำหรับย่างเนื้อวัวและเนื้อหมู ส่วนไม้อัลมอนด์สำหรับย่างอาหารทะเล และเร็วๆ นี้ก็เตรียมนำเข้าไม้มะกอกมาเพิ่ม คุณโชติพงษ์เล่าว่าได้ไอเดียมาจากร้านอาหารในสเปนและอังกฤษที่เด่นเรื่องการย่าง แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียวเนื่องจากเป็นอาหารอิตาเลียน     ที่นี่แยกบาร์ออกจากห้องอาหาร เพื่อให้เป็นพื้นที่สำหรับดื่มก่อนและหลังมื้ออาหาร โดยมีคุณมิ้ลค์-ไพลิน สัจจานิตย์ ผู้ผ่านเข้ารอบ 4 คนสุดท้ายของดิอาจิโอเวิล์ดคลาสมารับหน้าที่ผู้จัดการบาร์ โดยนำเอาวินเทจค็อกเทลที่หาดื่มได้ยากมานำเสนอ Il Fumo #3 บอกเล่าสไตล์ค็อกเทลของที่นี่ได้ดี จะเรียกน้ำย่อยหรือกินกับอาหารก็ได้ เนื่องจากมีกลิ่นที่ออกโอ๊กและสโมกหน่อยๆ      ส่วนอาหารแนะนำเป็น Wood Charcoal Grilled Squid ปลาหมึกย่างเนื้อหวานและหอมไหม้ๆ ยิ่งได้ซอสจากหมึกดำยิ่งออกรส กินกับถั่วที่ย่างใต้เตาไฟ      จานต่อมาเป็น Wood Charcoal Grilled Bone Marrow & Lavender and Lemon Risotto ไขกระดูกล้วน สำหรับเราอาจจะเลี่ยนไป แต่พอกินกับข้าวริซอตโตที่หุงกับผิวเลมอนและดอกลาเวนเดอร์แล้ว ข้าวช่วยให้กินไขกระดูกได้อร่อยขึ้นด้วยกลิ่นรสของลาเวนเดอร์และเลมอน     ส่วนไฮไลต์เป็นเนื้อวัวจาก 3 ประเทศ Australian Wagyu เนื้อวากิวที่มีมันแทรกมากหน่อย Fassone จากพรีมอนด์ อิตาลี เนื้อมากกว่าไขมัน และ Rubia Gallega จากสเปน โดยเฉพาะรูเบน กัลเลกา ที่มีความแปลกกว่าเนื้อวัวอื่นๆ ตรงที่เป็นเนื้อจากวัวอายุ 8-15 ปี Rubia Gallega Prime Striploin 400 grams เป็นจานที่เราไม่อยากให้พลาดตามประสาคนชอบเนื้อวัว เคี้ยวถูกใจเรามากกว่าเนื้อที่มีไขมันมาก รูเบนจึงเป็นตัวที่เราแนะนำ มันไม่มาก เนื้อรสชาติดีอยู่แล้ว แต่ถ้าชอบรสชาติใหม่ๆ เกลือ 4 ชนิดและเกรนมัสตาร์ด 4 ชนิดก็บันเทิงลิ้นดี     ที่นี่ยังมี John Walker & Sons ห้องไพรเวตดินเนอร์ที่ทางร้านร่วมกับดิอาจิโอไว้เพิ่มความเป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นห้องที่ 3 ในเอเชีย

ว่ากันตามจริง Volti Ristorante & Bar ก็ไม่ใช่เพียงบ้านใหม่สำหรับเชฟลูก้า คาสินี (Luca Casini) เท่านั้น แต่เป็นห้องอาหารอิตาเลียนแห่งใหม่ของโรงแรมฯ ที่ปรับโฉมใหม่จากห้องอาหารแอนเจลินีเดิม      โวลติออกแบบใหม่ให้ดูสบายมากขึ้นด้วยภาพใบหน้าคนที่ยิ้มแย้ม เข้ากับชื่อที่แปลว่า “ใบหน้า” ในภาษาอิตาเลียน เพิ่มเติมส่วนของโคลด์คัตที่เชฟสไลซ์ใหม่ๆ ด้วยตัวเอง รวมถึงเลาน์จบาร์ซึ่งออกแบบขึ้นมาใหม่ให้เป็นมุมนั่งดื่มก่อนและหลังมื้ออาหาร     เชฟลูก้าย้ายมาจากห้องอาหารอิตาเลียนในโรงแรมบ้านใกล้เรือนเคียงนี่เอง เชฟเล่าว่าโวลติเน้นรสชาติดั้งเดิม แต่ทวิสต์บางอย่างเข้าไปเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับจานอาหาร Yellow Fin Tuna Carpaccio ทูน่าเยลโลว์ฟินสไลซ์บางเฉียบ ปรุงรสด้วยพริกไทย น้ำมันมะกอก น้ำมะนาว หอมดอง มัสตาร์ด ส้มสด และผักไมโครกรีน ซึ่งเชฟทวิสต์โดยนำส้มสดและหอมดองเข้ามาเพิ่มรสชาติให้สดชื่นขึ้น Marinated Octopus หนวดปลาหมึกสโลว์คุกกับผักนาน 5-6 ชั่วโมงแล้วลอกหนังออก หน้าตาคล้ายไส้กรอกแต่เนื้อสัมผัสนุ่มหนึบไม่เหมือนเนื้อสัมผัสเดิมของปลาหมึก กินกับสลัดมันฝรั่งที่ได้รสเปรี้ยวหวานจากมะเขือเทศตากแห้ง      มาที่จานพาสตา Fettuccine Porcini เส้นเฟตตูชินีทำเองปรุงง่ายๆ กับน้ำมันมะกอก กระเทียม น้ำสต๊อกผัก และเห็ดพอร์ชินีสดผสมแห้ง เส้นหนึบหน่อยได้รสหวานอร่อยจากเห็ดและน้ำสต๊อกผัก มีรสเปรี้ยวหวานของมะเขือเทศตากแห้งเพิ่มรส     ส่วนจานหลักที่มีให้เลือก เช่น  Roasted Sea Bass ปลากะพงอบกับซัฟฟรอน ไวน์ขาว เลมอน และผักซาลิคอร์เนีย (Salicornia) หน้าตาคล้ายหน่อไม้ฝรั่งแต่เล็กและเนื้อสัมผัสต่างกัน จานนี้เนื้อปลาหวานหอมซัฟฟรอน     จานสุดท้าย Italian Tenderloin เชฟลูก้าบอกว่าสเต๊กแบบอิตาเลียนต้องเนื้อวัวฟาสโซเน (Fassone) จากพรีมอนด์ เนื้อไม่เหนียวและไม่ละลายเกินไป มีอะไรให้เคี้ยว ไขมันไม่มาก ราดเพียงน้ำมันมะกอก กินกับสลัดร็อกเก็ต ชีสพาร์เมซาน และบัลซามิกก็อร่อยแล้ว     ส่วนของหวานเป็น Panna Cotta เชฟผสมรสของเลมอนลงไปพร้อมวานิลลา ราดหน้าด้วยอะมาเรตโต กินกับสตรอว์เบอร์รีซอร์เบย์ และมาสคาร์โปเนเย็นฉ่ำ  

ชวนมาเช็กอินด้วยกันที่ Emmie’s ร้านใหม่ย่านพระราม 9 ที่สะกดใจเราตั้งแต่แรกเห็นกับคอนเซ็ปต์ All Day Café ให้ทุกคนมานั่งชิวได้ตลอดวัน เสิร์ฟเมนูเบาๆ อย่างสลัด พาสตา กาแฟ และของหวาน แซมด้วยเมนูสุขภาพอย่างน้ำผลไม้สกัดเย็นไม่ใส่ไซรัป ตัวร้านปรับโฉมจากบ้านหลังเก่า ทาสีขาว ล้อมรอบกระจกใสไว้รับแสงจากธรรมชาติ มีกิมมิกเก๋ๆ เป็นต้นอินทผลัมต้นใหญ่ตั้งเด่นอยู่กลางร้าน และครัวเปิดที่ออกแบบให้ได้เห็นเชฟปรุงอาหารกันเพลินๆ อีกด้วย         เมนูแนะนำ Spaghetti Wagyu Meatball มีตบอลจากเนื้อวากิว รสเค็มนิดๆ เข้ากับสปาเกตตีเป็นที่สุด   Grilled Avocado Salad สลัดอะโวคาโด้ย่างร็อกเก็ตและมะเขือเทศสด ราดด้วยบัลซามิกเดรสซิง   Rice Krispies & Salted Caramel ข้าวพองกรุบกรอบเคลือบมาร์ชแมลโลว์ละลาย เข้ากับซอลต์คาราเมลรสเค็มๆ หวานๆ   Pana Cotta เนื้อเนียนหวานน้อยเย็นเจี๊ยบเสิร์ฟในแก้วใส ตัดเลี่ยนด้วยบลูเบอร์รี

*ปิดถาวร ร้านสเต๊กแอนด์กริลล์เฮาส์ที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่ประสบการณ์ความอร่อยไม่ธรรมดา เพราะนี่คือโปรเจกต์ใหม่ของคุณหนึ่ง-ภาวัสวนะภูติ อดีตเจ้าของร้านอาหาร Italian Job ที่ดัดแปลงบ้านเก่าอายุกว่าร้อยปีของครอบครัวให้กลายเป็นสถานที่แฮงก์เอาต์น่านั่งในสไตล์ของตัวเอง ด้วยการผสมผสานผนังอิฐ พื้นปูนขัด และเคาน์เตอร์สังกะสีที่ดูดิบเท่เข้ากับโทนร้านสีขาว   นอกจากจะหยิบยกหลากหลายเมนูอิตาเลียนยอดนิยมจากร้านเดิมอย่างพิซซาและพาสตามาให้ขาประจำหายคิดถึงแล้ว The Flying Ribs เสริมเมนูสเต๊กสไตล์โฮมเมดที่พัฒนาสูตรให้แตกต่างและน่ากินยิ่งขึ้น     จานเด่นซิกเนเจอร์ที่เจ้าของร้านภูมิใจนำเสนอคือ Flying Ribs ซี่โครงหมูหมักซอสบาร์บีคิวโฮมเมดจนเนื้อนุ่ม ก่อนทาซอสซ้ำอีกครั้งขณะย่างเพื่อความเข้มข้นและเคลือบด้วยฮันนี่เกลซเพิ่มความหอมหวาน เสิร์ฟพร้อมมันอบ มันฝรั่งทอด และป๊อปคอร์นที่เราขอบอกว่ากินกับซี่โครงหมูเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ     อีกหนึ่งจานที่ดูเหมือนธรรมดาอย่าง Bake Spinach with 3 Cheese หรือผักโขมอบชีสมอซซาเรลลาเชดดาร์ และพาร์เมซาน โรยหน้าด้วยออริกาโนตัดความเลี่ยน แต่ที่นี่อบบนจานแบนไม่เหมือนใครให้ชีสละลายเยิ้มแผ่เป็นขอบกรอบๆ เต็มจานให้อร่อยกันอย่างทั่วถึง     ต่อด้วย Baked New Zealand Mussel with Cheese หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวโตอบชีสมอซซาเรลลาและไวต์ไวน์ครีม เสิร์ฟบนจานแก้วที่รองด้วยเกลือทะเลสุดเก๋ อีกจานเด่นคนรักชีสไม่ควรพลาด     ส่วนใครชอบของทอดต้องลอง Fish and Chips สไตล์นิวซีแลนด์ที่ใช้ปลาค้อดดำชิ้นใหญ่เนื้อแน่นชุบแป้งหนาทอดจนกรอบกำลังดี กินกับมันฝรั่งทอดและซอสทาร์ทาร์ที่ใส่ถั่วลันเตาและหอมแดงเพิ่มรสชาติ แนะนำให้สั่งคู่กับ Fresh Mix Salad สลัดผักสดที่มีทั้งกรีนโอ๊กเรดโอ๊ก มะเขือเทศ และหอมหัวใหญ่ ราดซอสไวต์ไวน์วินีการ์รสเปรี้ยวสูตรเฉพาะที่ช่วยเบรกความมันได้เป็นอย่างดี    

Lucca เป็นเมืองเล็กๆ ในแคว้นทัสคานี แคว้นที่ได้ชื่อว่ามีวัตถุดิบดีและอาหารอร่อย ซึ่งคุณณัฐดนัย ยุวบูรณ์หนึ่งในหุ้นส่วนของร้านบอกว่าเปรียบได้กับร้านของเขาที่เป็นร้านเล็กๆ ในเมืองใหญ่ที่ใส่ใจเรื่องวัตถุดิบที่ดีเช่นกันวัตถุดิบส่วนใหญ่นำเข้า มีเฉพาะผักที่ใช้จากฟาร์มออร์แกนิกของคุณณัฐเอง ส่วนผักที่ปลูกไม่ได้ก็ซื้อจากโครงการหลวง เขายังบอกว่าที่นี่ไม่ใช่ร้านอาหารอิตาเลียนจ๋า แต่มีอาหารเมดิเตอร์เรเนียนผสมเข้ามาด้วย      ด้วยที่ตั้งกลางซอยสุขุมวิท 65 ทำให้ที่นี่กลายเป็นร้านละแวกบ้านพักอาศัยที่น่าจับตามอง จากคำบอกเล่าของคุณณัฐว่าหลังจากเปิดร้านมานาน 2 เดือน ทางร้านได้ลูกค้าคู่สามีภรรยาที่อาศัยแถบนี้แวะมากินที่ร้านถึง 8 ครั้ง เรียกว่าสัปดาห์ละครั้งเลยทีเดียว     อีกความแตกต่างคือการดึงเชฟไทยแทนที่เชฟอิตาเลียน เชฟฮี้ จรรยาดี ผ่านประสบการณ์มาไม่น้อยกับโรงแรม 5 ดาว ด้วยความสนใจส่วนตัวสมัยทำงานโรงแรมทำให้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้กับเชฟดังมาไม่น้อย จนมีสูตรอาหารที่หลากหลายติดตัวมาด้วย   จานแรกที่เชฟฮี้แนะนำเป็น Warm Terrine Goat Cheese and Smoked Salmon วิธีการทำสลับซับซ้อนพอสมควร มันฝรั่งแผ่นบางนาบกระทะมาจนกรอบพันแซลมอนรมควันและชีสนมแพะ ได้รสเค็มของชีส พร้อมด้วยกลิ่นรสที่มาเต็ม เพิ่มรสชาติด้วยซอสสมุนไพร     ตามด้วยซุปคลาสสิกอย่าง Bouillabaisse สูตรสำเร็จอย่างซุปทะเล น้ำสต๊อกซีฟู้ด น้ำสต๊อกปลา และแซฟฟรอน มีแอบเติมเหล้าลงไปเล็กน้อย ให้รสของทะเลที่กำลังพอดีไม่เค็มหรือเปรี้ยวแหลม      มาที่ Gnocchi with Sautéed Alaskan Crab Meat ญ็อกกีหนึ่งในวัตถุดิบโฮมเมดของร้าน รวมถึงเส้นพาสตาโฮมเมดอย่างราวิโอลีและทาเตเกเล่ญ็อกกีจะกรุบหน่อยเพราะผ่านการนาบกระทะมาก่อน ราดด้วยซอสมะเขือเทศผสมใบโหระพาและเนื้อปูที่มาเป็นก้อนๆ ได้กลิ่นรสของมะเขือเทศและใบโหระพาเป็นตัวชูโรง     จานหลักเป็น Snow Fish with Sherry Vinegar เนื้อปลาหิมะหวานอร่อย ติดนิดเดียวตรงซอสที่ออกเปรี้ยวไปนิด ถ้าได้เบคอนในซอสมากหน่อยรสชาติจะกินง่ายกว่านี้      เร็วๆ นี้ทางร้านยังได้เตรียม Italian Cuisine at Your Wish ให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนซอส เส้นพาสตา และไซด์ดิชได้ตามใจ รวมถึงเซ็ตอาหารกลางวัน 2 คอร์ส 360 บาท และ3 คอร์ส490 บาท

แม้จะโยกย้ายมาเปิดใหม่ในแถบชานเมือง แต่ความอร่อยแบบอิตาเลียนที่ผสมผสานรสชาติและกลิ่นอายสไตล์เอเชียนของ Fuzio ยังคงเดิม ที่เพิ่มเติมคือบรรยากาศสบายๆ ปรับเปลี่ยนจากไฟน์ไดนิงเป็นร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ซึ่งเหมาะกับทุกคนในครอบครัว มาพร้อมหลากหลายเมนูเด็ดทั้งซุปทรัฟเฟิล พอร์กชอป ไปจนถึงขนมจีนน้ำยาปูรสชาติเข้มข้นจัดจ้าน และของหวานอย่างวัฟเฟิลหนานุ่มเสิร์ฟแบบจานใหญ่จัดเต็ม       เมนูแนะนำ Little Shrimps กุ้งขาวทอดกรอบนอกนุ่มในผัดเนย ไข่ และพริกชี้ฟ้าแดงคลุกเคล้าเครื่องเทศนานาชนิด เช่น ผงบาร์บีคิวสไปซ์ พริกฮาลาเปโย เครื่องเทศจีน 5 ชนิด Angel Hair A.O.P Pork Belly เส้นแองเจิลแฮร์ผัดโอลิโอแบบอิตาเลียน แต่เพิ่มความแปลกใหม่ด้วยหมูสามชั้นตุ๋นเครื่องเทศสไตล์เอเชียน   Wagyu Beef Burger ใช้เนื้อวากิวจากออสเตรเลียที่นุ่มและหอม ประกบด้วยซอฟต์บันโฮมเมด มาพร้อมแบล็กเบคอนทอด ทรัฟเฟิลฟรายส์ และซอส 3 สไตล์   Molten Chocolate ช็อกโกแลตลาวาหอมหวาน รสออกขมนิดๆ กำลังดี เสิร์ฟคู่ไอศกรีมวานิลลาและเบอร์รี

ด้วยระดับความสูง 100 เมตรจากพื้นดิน บวกกับการวางคอนเซ็ปต์ให้เป็นร้านกินดื่มที่รวบรวมไวน์จากโลกเก่าและโลกใหม่หลากหลายประเทศ จึงเป็นที่มาของชื่อ 100m Wine & Bistro ร้านอาหารอิตาเลียนขนาดกะทัดรัดบนความสูงของชั้น 22 โรงแรม S31 จุดนัดพบสังสรรค์กลางกรุงและชมวิวกรุงเทพฯ ในมุมมอง 180 องศา       เฟอร์นิเจอร์โทนสีน้ำตาลดำสร้างบรรยากาศร้านให้ดูขรึม แต่โปร่งด้วยกระจกใสโดยรอบซึ่งเป็นจุดเด่นของร้านที่ลูกค้าชื่นชอบ เพราะได้ดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำ เพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้นด้วยเคาน์เตอร์บาร์กลางห้อง จะเลือกนั่งชิวบนโซฟาหรือนั่งโต๊ะแบบไฟน์ไดนิงทางร้านก็พร้อมรองรับ      เริ่มเรียกน้ำย่อยกันด้วย Beef Carpaccio ใช้เนื้อสันในเกรดดีสไลซ์บาง กินกับบัลซามิกรสกลมกล่อม มาพร้อมสลัดร็อกเก็ตในถ้วยเก๋ที่ทำจากชีสพาร์เมซานอบกรอบ โรยหน้าด้วยทรัฟเฟิลขูด      ต่อด้วย Foie Gras Crème Brûlée with Toast  กลิ่นหอมของฟัวกราส์เนื้อเนียนตัดรสด้วยซอสเชอร์รี กินกับขนมปังโฮมเมดร้อนๆ อร่อยเพลิน    หรือจะลอง Blue Mussel with White Wine Creamy Sauce หอยแมลงภู่ชิลีผัดครีมซอสไวน์ขาว แค่วางจานก็ได้กลิ่นหอมของซอสไวน์ขาวโชยเตะจมูก เนื้อหอยหวาน ครีมซอสรสกลมกล่อมไม่เลี่ยน    จานหลักเชฟภูมิใจนำเสนอ Tomahawk เนื้อโทมาฮอกชิ้นใหญ่ขนาด 1300 กรัม เสิร์ฟพร้อมซอสเห็ดและซอสพริกไทย พร้อมผักย่างและมันบด จานนี้กินได้ 3-4 คนสบายๆ     อิ่มแล้วจะนั่งจิบไวน์ สังสรรค์ต่อก็เพลินได้เต็มที่ เพราะมีทั้งค็อกเทล วิสกี้ แบบ Full Bar ให้เลือกสั่ง แถมอีกนิดใครที่แจ้งว่าทราบข่าวมาจาก Gourmet & Cuisine ทางร้านยินดีมอบส่วนลด 20 % ทั้งอาหารและเครื่องดื่ม...   โปรดีๆ แบบนี้คงช้าไม่ได้แล้ว

ด้วยความเป็นเด็กติดทีวี หนึ่งในรายการที่ดูบ่อยคงหนีไม่พ้นรายการอาหารของเชฟสุดแนว "เจมี่ โอลิเวอร์" ไม่ว่าอะไรที่เขาปรุงออกมามันไม่ได้สวยงาม แต่กลับน่าอร่อยและดูเหมือนว่าคนทั่วไปก็น่าจะทำได้ไม่ยาก การได้กินอาหารที่ผ่านมือเขาโดยตรงจึงอยู่ในความใฝ่ฝันของเราตลอดมา จนเมื่อครั้งที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวสิงคโปร์ Jamie’s Italian ก็กลายเป็นหนึ่งในจุดหมาย ราคาอาจจะสูงไปสักหน่อย แต่พาสตาเส้นสดก็ทำให้เราติดใจมาตลอด จนเมื่อเขาเลือกกรุงเทพฯ เป็นจุดหมายล่าสุด     เจมี่ส์ อิตาเลียน เป็น 1 ใน 5 แบรนด์ร้านอาหารของเจมี่ ซึ่งรวมถึง Barbecoa (ข่าวลือว่าร้านนี้จะมา), Fifteen, Union Jacks และ Jamie Oliver’s Diner ร้านนี้เจมี่ไม่ได้ทำคนเดียว แต่ได้เจนนาโร คอนทาลโด เชฟที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาหารอิตาเลียนมาร่วมด้วย โดยเปิดสาขาแรกที่อ๊อกซฟอร์ด ก่อนขยายสาขาทั่วสหราชอาณาจักรรวม 42 สาขาและ 25 สาขาทั่วโลก ซึ่งในบ้านเราเปิดตัวพร้อมกับสาขาไต้หวัน     เรายอมรับว่าไม่ประทับใจสักเท่าไรที่สิงคโปร์จึงไม่คาดหวังมาก แต่ผิดคาดกลายเป็นว่าที่นี่ถูกปากเรา เจมี่เลือกใช้วัตถุดิบบางส่วนจากในบ้านเราด้วยความสด รวมถึงความพยายามใช้วัตถุดิบออร์แกนิกและ Free Range เท่าที่จะหาได้                    Our Famous Planks อาหารเรียกน้ำย่อยที่เก๋ตรงวิธีเสิร์ฟบนกระป๋องซึ่งได้ไอเดียจากเพื่อนในงานปาร์ตี้ โคลด์คัตและชีส อาทิ โพรชูโต มอร์ทาเดลลา วากิวบรีซาลลา เฟนเนลซาลามี ชีสมอซซาเรลลานมควาย ชีสเปโกรีโน ของดอง      ตามด้วย Crispy Squid  ปลาหมึกทอดกับชิลลีไอโอรี      Crunchy Italian Nachos ราวิโอลีไส้ชีส 3 อย่างทอด จิ้มกับซอสมะเขือเทศเผ็ดแบบซิซิเลียน     และ Roasted Carrot & Avocado Salad สลัดเบบี้แครอท เฟต้าชีส และน้ำสลัดมะนาว     เส้นพาสตาสดยังเป็นสิ่งที่เราคิดว่าอร่อยที่สุด ที่นี่มีเส้นทั้งหมด 9 ชนิด ใช้แป้ง 2 ชนิด ผสมกับไข่ไก่ นวดใหม่ตลอดวัน เราเคยกิน Penne Arrabbiata ที่สิงคโปร์ แต่วันนี้ที่ร้านแนะนำ Our Famous Prawn Linguine เส้นลิงกวินีเด้งสู้ลิ้นดี ตามด้วยรสชาติของซอสมะเขือเทศรสเผ็ด ส่วนพิซซากับริซอตโตเฉยๆ      เราชอบ Chicken Al Mattone ไก่ย่างสไตล์ทัสคานีที่ใช้ก้อนอิฐทับให้ตะแกรงเหล็กนาบกับไก่ ใช้ไก่ปล่อยตามธรรมชาติส่วนอกติดสะโพก ผิวนอกไหม้ไปหน่อยแต่รสชาติดี ราดซอสครีมเห็ด ใส่ผักร็อกเก็ตและชีสพาร์เมซาน    แว่วว่าเจมี่ส์ อิตาเลียน มีแผนเตรียมเปิดสาขา 2 เร็วๆ นี้ แต่ว่าจะเป็นที่ไหนคงต้องอดใจรอ

ขอยกให้ที่นี่เป็นคาเฟ่แสนสวยสุดฮิปประจำย่านลาดพร้าวกันเลยทีเดียว จากไอเดียการตกแต่งให้ดูเหมือนโรงงานน้ำตาลที่แฝงความเนี้ยบเท่ของโครงสร้างเหล็กและไม้ รายล้อมด้วยบรรยากาศความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ เรือนกระจกปลูกผักสวนครัว (ใช้ในร้าน) และเต็นท์ผ้าที่จำลองความสนุกอบอุ่นแบบบ้านนา แต่สิ่งที่เรารักยิ่งกว่ากลับเป็นอาหารจานเด็ดที่แม้หน้าตาจะดูฝรั่งแต่รสชาติกลับถูกใจคนไทยอย่างที่สุด       เมนูแนะนำ Spaghetti Seafood Heavyweight สปาเกตตีผัดฉ่าทะเลรสเผ็ดซี้ดที่ยกความอร่อยของกุ้งแม่น้ำตัวยักษ์ ปลาหมึก และหอยแมลงภู่ เสิร์ฟมาในถาดขนาดใหญ่ไซส์บิ๊ก แบ่งกิน 3-4 คนได้แบบสบายๆ   Pork Steak with Black Pepper Sauce พอร์กชอปเนื้อนุ่มราดซอสพริกไทยดำหอมๆ   Brownie Waffle Strawberry Crumble วัฟเฟิลแป้งบราวนี่ที่เน้นรสเข้มของช็อกโกแลต ทั้งยังแอบซ่อนเปรี้ยวด้วยเนื้อสตรอว์เบอร์รีและซอส พร้อมครัมเบิลเคี้ยวกรุบกรอบ   Lychee Mojito เย็นซ่าชื่นใจด้วยความหวานอมเปรี้ยวจากส่วนผสมของของน้ำเชื่อมลิ้นจี่ มะนาว ใบมินท์ โซดา และเหล้ารัม