“Indus” ต้อนรับนักกินด้วยอาหารอินเดียสูตรดั้งเดิมที่ได้แรงบันดาลใจจากวิถีชีวิตของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำอินดัสซึ่งไหลผ่านตอนเหนือของอินเดียและหลายประเทศ หยิบมานำเสนอสไตล์โมเดิร์นทั้งการตกแต่งจานอาหารและบรรยากาศสบายๆ ให้ความรู้สึกเฟรนด์ลี่ แตกต่างจากร้านอินเดียแบบดั้งเดิมที่เคยสัมผัส และใครที่แอบกังวลเรื่องกลิ่นเครื่องเทศอาจต้องแปลกใจ เพราะร้านนี้มีเพียงความหอมกรุ่นที่กระตุ้นความหิวเท่านั้น         ระหว่างรอจานหลักทางร้านจะเสิร์ฟของว่าง ปาปาดัมกับซอส 3 รสชาติและหอมแดงให้เคี้ยวเล่นเพลินๆ     จานต่อมาแนะนำ Papdi Chaat เมนูเรียกน้ำย่อย ข้าวเกรียบทอดกรอบทำจากแป้งถั่วชิ้นพอดีคำ โรยด้วยถั่วชิกพี มันฝรั่ง โยเกิร์ต ชูรสด้วยซอสสะระแหน่และซอสมะขาม     ต่อด้วย Raan ขาแกะสูตรอินดัสหมักกับเครื่องเทศ 6 ชนิดนานถึง 24 ชั่วโมง และสโลว์คุกอีก 7 ชั่วโมง จากนั้นย่างในเตาทันดูร์เพิ่มกลิ่นหอมจากเตาดิน ยกให้เป็นเมนูคู่โต๊ะที่ควรสั่งมาลิ้มรสอย่างยิ่ง     ของย่างก็มีให้สั่งอย่างหลากหลาย แต่ถ้ายังลังเลใจแนะนำ Mixed Grill รวมมิตรเตาทันดูร์ นำทัพโดยไก่นุ่มหมักโยเกิร์ตย่าง ปลากระพงย่าง กุ้งกุลาย่าง และเคบับเนื้อแพะสับเสียบไม้ย่าง ทุกชิ้นหอมกลิ่นเครื่องปรุงรส เนื้อนุ่มไม่แห้งกระด้าง แม้วางไว้สักพักก็ยังนุ่มฉ่ำเหมือนเพิ่งเสิร์ฟใหม่ๆ     Butter Chicken ไก่รมควันเคี่ยวในน้ำเกรวี มะเขือเทศ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ราดเนยและครีมเพิ่มความหอมมัน กินคู่ Garlic Nan กรอบนอกนุ่มในหอมกลิ่นกระเทียม ถ้าไม่จุใจอยากให้ลอง Family Nan แผ่นใหญ่ไซส์ยักษ์ที่ฉีกกินได้จุใจทั้งครอบครัว         ส่วนชีสเลิฟเวอร์แนะนำ Palak Paneer ผักโขมสับใส่ครีม ผัดกับคอตเตจชีสหั่นสี่เหลี่ยมชิ้นโตเต็มคำ เป็นเมนูที่กินได้เต็มที่เพราะแคลอรี่ต่ำมาก     ปิดท้ายล้างปากด้วย Gulab Jamun Flambé ขนมหวานทำจากแป้งผสมนม ปั้นเป็นลูกกลมแล้วทอดในเนย ก่อนเสิร์ฟสมทบด้วยน้ำเชื่อมหอมหวาน ควรสั่งมากินคู่ Masala Tea ชานมร้อนสไตล์อินเดียที่เติมความหวานได้ตามชอบ     จิบเพลินๆ ฟีลกู้ดเหมือนนั่งอยู่ริมแม่น้ำอินดัส!

ร้านเครื่องดื่มแนวใหม่เอาใจวัยรุ่น “Want it Blank” ตั้งอยู่ใจกลาง Siam Square One ที่เพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับหนุ่มสาวที่ชอบเครื่องดื่มเย็นๆ หวานๆ ชื่นใจ พร้อมกับรสชาติอันแสนคุ้นเคยในวัยเด็กอย่างนมมอลต์อีกด้วย     ถึงแม้จะเป็นร้านรูปแบบ Grab and Go แต่การออกแบบสไตล์มินิมอลโทนขาวสลับกับไม้ ทำให้ร้านดูโมเดิร์นไม่เหมือนใคร ดึงดูดวัยรุ่นชาวสยามให้มาลิ้มลองได้ไม่ยาก       มากันที่เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของร้านอย่าง “Cereal Malted Milk” มีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Basic, Signature และ Overload ซึ่งทั้ง 3 แบบแตกต่างกันที่ท็อปปิงที่เพิ่มเข้ามานั่นเอง     โดยแก้วแรกเราเลือกเป็น “Signature” ที่ได้รสชาตินมมอลต์อันแสนคุ้นเคยในวัยเด็ก เพิ่มมิติด้วยซีเรียลกรุบกรอบ และไข่มุกเหนียวนุ่ม เป็นแก้วที่คนรักมอลต์ไม่ควรพลาด       แก้วที่สองเพิ่มความเข้มข้นด้วยฟองชีสอย่าง “Overload” เมื่อดื่มแล้วได้ความเค็ม มันของชีส ตามมาด้วยรสชาติหวานหอมของมอลต์ เพิ่มความกรุบกรอบกับซีเรียล เคี้ยวสนุกปิดท้ายด้วยไข่มุกเหนียมนุ่มหวานกำลังดี เป็นเมนูที่ควรลิ้มลอง เพราะมีหลายมิติในคำเดียวจริงๆ         และสำหรับสายเฮลท์ตี้ ที่ร้านมี “Homemade Almond Milk” เป็นทางเลือกอีกด้วยนะ จะเลือกแบบนมอัลมอนต์ปกติหรือนำไปมิกซ์กับท็อปปิงต่างๆ ก็ได้เช่นกัน นมอัลมอนต์รสชาติเข้มข้น ดื่มแล้วไม่หนักท้องแถมไม่อ้วนอีกด้วย      

ตึกสีดำแปลกตาน่าค้นหาที่ตั้งอยู่ริมถนนกาญจนาฯ ย่านบางแค แท้จริงแล้วคือ Galley Bar & Restaurant ร้านอาหารนานาชาติที่อัดแน่นไปด้วยความอร่อยลงตัว ภายในร้านจำลองเป็นห้องครัวบนเรือสำราญ ผนังไม้และเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลเข้าคู่กันได้ดี มีบาร์เล็กๆ ข้างบันไดพร้อมให้บริการเครื่องดื่มตลอดวัน         เดินขึ้นไปชั้นบนจะเป็นโซนที่นั่งเพิ่มเติม ผนังไม้รอบๆ ติดกระจกใสรูปวงกลมสลับกับโคมไฟติดผนัง ด้านหลังติดหน้าต่างวงกลมใหญ่ยักษ์ตรงกลางมีใบพัดระบายอากาศ บรรยากาศเสมือนกำลังดินเนอร์อยู่บนเรือสำราญอย่างไรอย่างนั้น     ประเดิมความอร่อยด้วยเมนูจัดจาน ตำไหลบัวกุ้งสด ไหลบัวกรุบกรอบหั่นพอดีคำ คลุกเคล้ากับกุ้งสดตัวโตและน้ำส้มตำรสนัว จานนี้แซ่บได้ที่ ถูกใจคนรักอาหารอีสาน     ต่อกันด้วย ข้าวผัดรถไฟ ข้าวหอมมะลิผัดกับซีอิ๊วดำ พร้อมกองทัพซีฟู้ด อาทิ กุ้งไซส์ใหญ่ ปลาหมึกเนื้อหวาน และหอยแมลงผู้ตัวอวบๆ รสเค็มกลมกล่อม บีบมะนาวเพิ่มความเปรี้ยวเล็กน้อย อร่อยลงตัว     สปาเก็ตตีผัดพริกแห้ง เส้นหมึกดำเหนียวนุ่มกำลังดี ผัดพร้อมเครื่องซีฟู้ดแบบจัดเต็ม โรยด้วยชีสหอมมัน เค็มนิดๆ เผ็ดร้อนเล็กๆ คนรักเมนูเส้นต้องเลิฟ     ปลากะพงเหนือเมฆ ปลากะพงทอดกรอบนอกนุ่มในไม่อมน้ำมัน ราดด้วยซอสรสเค็มหวานกลมกล่อม หอมกลิ่นสมุนไพร กินคู่กับหมี่กรอบ ดีงามอย่าบอกใคร     มาถึงเมนูโดนใจที่ใครกินก็ต้องหลงรัก ซี่โครงหมูสะพานโค้ง ซี่โครงหมูตุ๋นจนเนื้อนุ่ม เสร็จแล้วนำมาย่างแล้วราดซอสมะเขือเทศสูตรเฉพาะของทางร้าน รสเปรี้ยว หอมกลิ่นพาร์สลีย์ เสิร์ฟคู่มันบดเนื้อเนียน อร่อยเต็มคำ     ล้างปากด้วยของหวานอย่าง Honey Toast โทสต์ชิ้นใหญ่หอมกลิ่นเนย กินกับไอศกรีมวานิลลาหวานหอม วิปปิงครีมและซอสช็อกโกแลตเข้มข้น ฟินแบบนี้สวีตเลิฟเวอร์เทใจให้เลย     สายดื่มอย่าลืมสั่ง Strawberry Daiquiri ค็อกเทลสีแดงสดใส ที่มีส่วนผสมของเหล้ารัม น้ำมะนาวและไซรัปสตรอว์เบอร์รี หวานอมเปรี้ยว สดชื่นลื่นคอ     ปิดท้ายด้วยค็อกเทลสุดฮิต Margarita ความลงตัวระหว่าง Tequila ไซรัป น้ำมะนาวและ Triple sec รสเปรี้ยวชื่นใจ จิบเพลินไปยาวๆ  

ภายในโครงการ Seenspace ซอยทองหล่อ 13 มีร้านชื่อ Sundance Lounge สวรรค์แห่งใหม่ของทีเลิฟเวอร์ทั้งหลาย ด้วยใบชาออร์แกนิกที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี มีชาหลากหลายให้คุณได้ลิ้มลอง อาทิ ชาเครื่องเทศ ชาดอกไม้ ชาผลไม้ เสิร์ฟมาในสไตล์ร้อนหรือเย็นก็สามารถเลือกได้ตามใจ พร้อมดื่มด่ำในบรรยากาศดีๆ พื้นที่กว้างขวาง มีฉากกั้นระหว่างสองโซนให้ความรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว ชัวร์ว่าใครมาก็ต้องเพลิดเพลิน           เริ่มต้นความอร่อยด้วย ครัวซองต์ราสป์เบอร์รี จากร้าน Eric Kayser กรอบนอกนุ่มใน อบสดใหม่ทุกวัน     ต่อกันที่เมนูเพื่อสุขภาพอย่าง Very Berry สมูตตี้อาซาอิรสเปรี้ยวสดชื่น ท็อปด้วยกราโนร่ากรุบกรอบ เมล็ดเจีย และผลไม้สดต่างๆ อาทิ กล้วย สตรอว์เบอร์รีและบลูเบอรี     ส่วนเครื่องดื่มแนะนำ Sun ชาขาวเบลนด์กับมะม่วงและสัปปะรด หอมหวานชื่นใจ ดับร้อนได้อย่างดี     สำหรับใครที่เป็นสาวกพีชต้องนี่เลย You’re A “Peach” ชาพีชเปรี้ยวอมหวาน ดื่มแล้วกระปรี้กระเปร่า แก้วนี้ถูกใจใช่เลย     ทีเลิฟเวอร์ต้องลอง World ชาเขียวเบลนด์กับชาขาว มะลิและกุหลาบขาว รสนุ่ม หอมกรุ่นมาแต่ไกล     Two To“Mango” ชามะม่วงแสนหอม จิบอุ่นๆ สุดฟิน     ได้จิบชาดีๆ สักแก้ว แค่นี้ชีวิตก็แฮปปี้แล้ว!

ไม่เพียงแค่เปลี่ยนชื่อจาก Smooth Curry มาเป็น The House of Smooth Curry” ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเองมากขึ้น แต่ห้องอาหารไทยบนชั้น 3 ของโรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อกแห่งนี้ยังปรับเปลี่ยนสไตล์การตกแต่งและบรรยากาศให้แคชชวลนั่งสบายยิ่งขึ้น รวมทั้งเพิ่มโซนเอาต์ดอร์ด้านนอกกระจกให้นั่งรับลมชมวิวแบบเพลิดเพลินอีกด้วย       สำหรับเมนูอาหารไทยของที่นี่ก็ยังคงความอร่อยเด็ดขาดด้วยฝีมือของ "เชฟต้น - มนตรี จิรฐิติกาลกิจ" Head Chef ประจำห้องอาหารที่พาเราดื่มด่ำไปกับความอร่อยของอาหารไทย 4 ภาคและอาหารไทยสูตรโบราณที่หากินได้ยากในปัจจุบัน ซึ่งเชฟคัดสรรวัตถุดิบออร์แกนิกท้องถิ่นระดับคุณภาพจากทั่วประเทศด้วยตัวเอง     เมื่อเปิดเมนูเล่มใหม่ก็ทำเอาเราละลานตากับบรรดาจานเด่นที่แค่อ่านชื่อก็อยากลองไปเสียทุกจาน และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราขอเริ่มด้วยเมนูกินเล่นอย่างค้างคาวเผือกมันม่วง เมนูโบราณที่ทำจากมันม่วงทอดกรอบเบา สอดไส้กุ้งแม่น้ำสับและเห็ด ต่อด้วยแสร้งว่ากุ้ง ยำรสจัดจ้านแต่ไม่เผ็ดมาก เนื้อกุ้งแม่น้ำจากอยุธยาสดเด้งสุดๆ       จากนั้นเร่งเครื่องความอร่อยด้วยจานหลัก ทั้งแกงรัญจวนเนื้อ ที่ใช้แก้มโคขุนโพนยางคำจากสกลนครผสานความอร่อยกับกะปิจากระยอง แกงของแม่ หรือแกงนอกหม้อไก่บ้านสูตรคุณแม่ของเชฟ เมนูเด็ดของชาวนครสวรรค์ที่คล้ายลาบคั่วผัดใส่กะทิ ปลาเก๋าทอดซอสมะขาม ปลาเก๋าจากปัตตานีทอดกรอบนอกนุ่มใน ราดซอสมะขามสูตรเด็ดรสหวานเปรี้ยวกลมกล่อม และแกงปูใบชะพลู ที่ใช้เครื่องแกงผสมระหว่างน้ำพริกแกงแดงและแกงเขียว เสิร์ฟพร้อมขนมจีนและปูนิ่มทอดกรอบ           ถ้ายังไม่อิ่มอย่าลืมตบท้ายมื้อนี้ (เหมือนเรา) กับเมนูของหวานไทยที่หากินยากอย่างส้มฉุน ที่ใช้น้ำลอยดอกมะลิในช่วงกลางคืน หอมกลิ่นส้มซ่าที่มาขูดโรยหน้ากันถึงโต๊ะ และขนมโคกะทิสด คล้ายขนมต้มในน้ำกะทิ สอดไส้มะพร้าวและน้ำตาลหอมหวานนุ่มนวล หรือจะตัดรสชาติหนักๆ ด้วย Summer Floral มอกเทลสูตรเด็ดที่มีส่วนผสมของไซรัปเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ ตะไคร้ ใบมินต์ มะนาวฝาน และโซดาก็สดชื่นไม่แพ้กัน      

ทุกเย็นที่ Groove เซ็นทรัลเวิลด์ จะคึกคักไปด้วยผู้คนโดยเฉพาะหนุ่มสาวออฟฟิศที่ออกมาแฮ้งค์เอ้าท์หลังเลิกงาน หนึ่งในร้านที่ยังคงฮิตติดลมบนเข้าคิวรอโต๊ะหนีไม่พ้นไวน์บาร์สุดเท่อย่าง Wine I Love You     9 ปีที่แล้วคุณวิน สิงห์พัฒนากุล หนุ่มดีกรี เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต หลักสูตร Cuisine เปิดร้านนี้ก่อนที่จะเรียนจบเพื่อต่อยอดธุรกิจร้านอาหารของครอบครัว โดยเปิดสาขา CDC เป็นเป้เปนเดดนที่แรก ก่อนจะขยับขยายไปอีกหลายสาขา     Wine I Love You  ด้วยโทนสีดำสุดเท่สไตล์ Bar & Bistro ขายอาหารคอมฟอร์ตฟู้ดกินง่ายทั้งไทยและตะวันตก มีเครื่องดื่มให้เลือกทั้งค็อกเทล เบียร์ และไวน์ เน้นที่ไวน์โลกใหม่พร้อมดื่มถูกใจชาวออฟฟิศใจกลางเมือง     อาหารแนะนำที่ทุกโต๊ะต้องสั่งคือ แซลมอนแซ่บ กับแกล้มรสเด็ดที่ใช้เนื้อปลาแซลมอนรมควันสไลด์บาง ท๊อปบนผักสลัดสดกรอบ ราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ กินแล้วสดชื่นตื่นเต็มตา     ส่วนสาวๆ ให้ลองสั่ง สลัดซีซาร์ สลัดสุดคลาสสิคที่ใช้ผักกาดคอสคลุกมากับน้ำสลัดซีซาร์สูตรลับของร้าน รสเค็มมัน หอมกลิ่นชีสพาร์เมซาน เสิร์ฟพร้อมกับขนมปังกรูตองชิ้นใหญ่ กินอร่อยเข้ากัน     สันคอหมูซอสครีมเห็ดทรัฟเฟิล เต็มอิ่มกับสันคอหมูคุโรบุตะชิ้นใหญ่ ย่างมาสุกแบบเนื้อนุ่มพอดี ราดซอสครีมที่ใส่เห็ดทรัฟเฟิลส่งกลิ่นหอมฟุ้งชวนกิน     สุดท้ายเป็นเมนูที่เหมาะกับทุกเครื่องดื่มทุกประเภทอย่าง ซี่โครงหมูใหญ่มาก ใช้ซี่โครงหมูชิ้นใหญ่สมชื่อ หมักด้วยซอสสูตรเด็ดรสเผ็ดเปรี้ยว ย่างมากลิ่นหอมน่ากิน เนื้อหมูนุ่มร่อนออกจากกระดูกแทะเพลิน     นี่ถ้าอยู่ข้างออฟฟิศจะรีบไปทุกหลังเลิกงาน!

จากรายการทำขนมชื่อดัง Sweet Chef Thailand  สู่ร้าน “Sweet Chef Café” ที่หยิบยกเอาเมนูของหวานสุดครีเอทที่แข่งขันในรายการมาเป็นเมนูประจำร้าน ให้แฟนรายการและเหล่านักชิมของหวานได้ลิ้มลอง โดยแต่ละเมนูถือเป็นลายเส้นของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนที่อยากจะสร้างสรรค์เมนูของหวานแปลกใหม่ หน้าตาดี แต่คงไว้ซึ่งความอร่อยนั่นเอง       เพียงแค่หน้าร้านเราก็จะพบกับประตูบานใหญ่สีชมพูหวานสะดุดตา สมกับชื่อ Sweet จริงๆ เมื่อเดินเข้ามาภายในร้าน เจอกับผนังสีลาเวนเดอร์ และโซฟาสีม่วงและโต๊ะลายหินอ่อนสีขาวสบายตา เพิ่มดีเทลเล็กๆ ที่มุมกำแพงโค้งที่ใส่ลวดลายเป็นรูปสลักอุปกรณ์เครื่องครัวอีกด้วย       ไม่รอช้า เริ่มที่ความหวานจานแรกอย่าง “พีชชี่ ฟีชชี่ (Peachy Fizzy)” ไอศกรีมลูกท้อผสมแชมเปญได้ความสดชื่นและความหอมไปพร้อมๆ กัน ด้านล่างเป็นเมอแรงค์กรุบกรอบ กินคู่กับชีสเค้ก เคิร์ตลูกท้อ และซอสวานิลลาพีช เปรี้ยวอมหวานแต่กลมกล่อม ทีเด็ดอยู่ที่ลูกท้อที่นำไปตุ๋นในเครื่องเทศจนได้กลิ่นหอมและได้ความเผ็ดเล็กๆ อีกด้วย       ส่วนใครเป็นฮันนี่เลิฟเวอร์ต้องเมนูนี้เลย “มูสหยดน้ำผึ้ง (Honey Bubble Yuzu Mousse)” มูสเย็นๆ เนื้อละมุน มีรสหวานอมเปรี้ยวจากส้มยูซุและน้ำผึ้ง เนื้อมูสทำจากเลมอนครีมชีสเคลือบไวท์ช็อกโกแลต แอบซ่อนความสดชื่นด้านในด้วยเจลลี่ส้มยูซุผสมน้ำผึ้ง มะม่วงสุก สปันจ์เค้กวานิลลา ทานคู่กับคุกกี้น้ำผึ้งกรุบๆ ตัดด้วยไอศกรีมส้มยูซุรสเปรี้ยว เป็นจานที่กินได้เพลินไม่รู้เบื่อเลยทีเดียว     ปิดท้ายเมนูขนมหวานที่ซ่อนสมุนไพรเพื่อสุขภาพภายในจานกันบ้าง “ครีมชีสว่านหางจระเข้ (Aloe Vera Creamcheese Muesli)” ครีมชีสไลท์ๆ ผสมว่านหางจระเข้ กินคู่กับสเฟียร์โยเกิร์ต ตัดด้วยเลมอนครีมและกรานิต้าราสป์เบอร์รี่และสตรอว์เบอร์รี่ เป็นเมนูเพื่อสุขภาพที่ได้ความเบาและสดชื่นไปพร้อมๆ กัน       นอกจากนี้ที่ร้านยังมีเมนูเครื่องดื่มไว้ลิ้มลองอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น “Bitter Orange with Ginger Juice” น้ำส้มซ่าที่เติมความสดชื่นและความหอมหวาน หรือจะเป็น “Torch Ginger Drink” น้ำดอกดาหลาสีสวย ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ พร้อมความหวาน พอเมื่อดื่มแล้วรู้สึกผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี    

  Tuk Tuk คำสั้นๆ ที่สื่อถึงความเป็นเอเชียถูกนำมาตั้งเป็นชื่อร้าน รวมทั้งตกแต่งบรรยากาศให้อบอวลด้วยกลิ่นอายบนท้องถนนอันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของประเทศอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นสตรีทอาร์ทสีจัดจ้านที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา หรืออาหารการกินที่สะท้อนวิถีชีวิตของผู้คนได้อย่างน่าสนใจและชวนหิวทีเดียว           ทางร้านนำจานเด็ดสไตล์สตรีทฟู้ดมาปรุงอย่างพิถีพิถัน เน้นวัตถุดิบสดใหม่และเครื่องเทศต้นตำรับเพื่อคงเอกลักษณ์ของอาหารอินเดียไว้ แต่ใช้วิธีปรับระดับให้เข้ากับลิ้นคนไทยมากขึ้นจนเราลืมกลิ่นและรสชาติที่ค้างคาใจไปเลย         อุ่นเครื่องเบาๆ กับ Okra Fries กระเจี๊ยบชุบแป้งที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศสีแดงช่วยเพิ่มสีสันชวนน้ำลายสอ ทอดกรอบๆ เสิร์ฟพร้อมมายองเนสและน้ำพริกเผาไทย เป็นเมนูกินเล่นเพลินๆ เหมือนเฟรนฟรายส์       Chicken Lollipops ปีกไก่บนที่รูดเนื้อขึ้นคล้ายโลลิป๊อบ คลุกเคล้ากับเครื่องเทศ ทอดในน้ำมันร้อนๆ จนเนื้อนุ่มหนังกรอบ หยิบกินได้แบบพอดีคำ รสชาติเผ็ดซ่านติดปลายลิ้น เสิร์ฟให้กินกับมินท์ชัตนีย์และน้ำจิ้มไก่       ขยับมาจานหลักจากเตาทันดูรี Chicken Tikka ไก่ย่างสไตล์อินเดีย หมักเครื่องเทศจนซึมซาบเข้าเนื้อ และย่างจนหอมกรุ่นได้ที่ เสิร์ฟให้กินคู่มินต์ชัตนีย์ ควรบีบมะนาวนิดหน่อยจะชูรสชาติความอร่อยยิ่งขึ้น       หรือจะเปลี่ยนจากไก่เป็นปลากระพงย่างหอมๆ ก็เข้าทีกับ Tawa Seabass เมนูเพื่อสุขภาพประจำร้าน เสิร์ฟกับซอสสับปะรด รสหวานอมเปรี้ยวเจือรสเผ็ดนิดๆ เพิ่มความสดชื่นและช่วยลดกลิ่นเครื่องเทศลงด้วย       มาร้านอาหารอินเดียทั้งทีเมนูต้องมีคือ Garlic Naan แป้งนานกรอบนุ่มหอมกลิ่นกระเทียม ทางร้านมีแกงให้เลือกสั่งมากินคู่หลายอย่าง อาทิ Coastal Prawn Curry แกงกุ้งกะทิ เครื่องแกงเข้มข้นหอมมันกุ้ง       หรือถ้าชอบความเนียนนุ่มละมุนลิ้นสั่ง Butter Chicken ที่ครบครันความหอมมันจากเนยนม       บางท่านที่ยังไม่คุ้นชินกับอาหารอินเดีย ที่นี่ก็มีทางเลือกไว้ให้อิ่มท้องแบบไม่น้อยหน้ากัน อาทิ Old School Pad Thai ไทยสตรีทฟู้ดรสชาติกลมกล่อมจากซอสสูตรลับฉบับตุ๊กตุ๊ก ลองแล้วจะติดใจ       ปิดท้ายด้วยขนมหวานล้างปาก Nutella Naan เปลี่ยนแป้งนานในเมนูของคาวมาเป็นของหวานราดนูเทลลา เคี้ยวหนึบหอมหวานคล้ายโรตีที่คุ้นเคย       และ Grilled Pineapple สับปะรดย่างเนย สับปะรดพันธุ์หอมสุวรรณ หวานฉ่ำอมรสเปรี้ยวเล็กน้อย หั่นเป็นชิ้นตามยาวเสียบไม้ย่าง เคลือบด้วยเนยหอมๆ กินคู่ไอศกรีมกะทิเนื้อเนียนหอมมันจากกะทิคั้นสด       ส่วนเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ Rani’s Kiss สลับสีสวยถึง 3 เลเยอร์ ชั้นล่างเป็นน้ำส้มสดผสมน้ำมะนาว ใส่ใบมินต์อินฟิวส์เพิ่มกลิ่นรส โรยน้ำแข็งและโซดา ตรงกลางเป็นแบล็กเคอแรนท์ไซรัปปราศจากน้ำตาล 100% ก่อนปิดจ๊อบด้วยโซดา     ยกให้เป็นเครื่องดื่มเปรี้ยวซ่าที่สั่งมาปิดท้ายมื้อได้สุดเปอร์เฟ็กต์

ภายใต้โกดังเก่าสีขาวที่ภายนอกดูลึกลับแท้จริงแล้วคือคาเฟ่สุดอินดี้ที่เปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ชื่อ Simple Plan x River ร้านเรียบง่ายมีสไตล์เป็นของตัวเอง ผนังด้านในเป็นปูนเปลือยดิบ ตกแต่งด้วยกรอบรูปน้อยใหญ่ ไร้เครื่องปรับอากาศแต่ไม่ร้อนอบอ้าวเพราะได้ความเย็นจากธรรมชาติแม่น้ำท่าจีน มีหน้าต่างเปิดโล่งรับลมได้อย่างเต็มที่ทำให้อากาศปลอดโปร่ง ใครอยากสัมผัสบรรยากาศดีๆ ได้มองวิวสวยๆ พร้อมจิบกาแฟรสเลิศ เราแนะนำให้มาเยือนที่นี่เลย           ขอประเดิมเมนูแรกด้วย Red Velvet เค้กสีแดงเนื้อละเอียดที่มีส่วนผสมของโกโก้รสเข้ม สลับชั้นกับครีมชีสเปรี้ยวเล็กๆ หอมมัน เข้ากั๊นเข้ากัน     ต่อด้วยเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ Spice Coffee กาแฟเอสเปรสโซรสเข้มผสมกับน้ำมะพร้าวหวานชื่นใจ หอมกลิ่นซินนามอน ดื่มแล้วกระปรี้กระเปร่า     หรือจะลอง ชาพีช รสเปรี้ยวอมหวาน จิบแล้วคลายร้อนได้อย่างดี แถมมีเนื้อพีชชุ่มฉ่ำมาให้เคี้ยวเล่นเพลินๆ     กาแฟข้าวกล้องงอก กาแฟลาเต้ที่เพิ่มความหอมมันด้วยผงข้าวกล้องงอก หอม ดื่มง่าย รสกลมกล่อม     อย่าลืมสั่ง Honey Brandy กาแฟคั่วกลางอ่อน หอมกลิ่นน้ำผึ้งจางๆ ยิ่งจิบยิ่งฟิน ถูกใจคอกาแฟ       เสาร์-อาทิตย์ใครยังไม่มี Plan ลองแวะเวียนไป  Simple Plan x River สิ                                                     

ใครเป็นสายดื่มที่ชอบดนตรีแจ๊สรับรองต้องถูกใจ Crimson Room บาร์หรูเปิดใหม่ในโครงการ Velaa Sindhorn Village แห่งถนนหลังสวน ภายในบาร์เป็นธีมสีดำแดงให้ความรู้สึกคึกคักเหมาะกับบรรยากาศยามค่ำคืน เพดานด้านบนสูงโออ่าไม่อึดอัด โดดเด่นด้วยแชนเดอเลียร์ทองเหลืองห้อยระย้า ที่นั่งเป็นสเตเดียมหันหน้าเข้าเวทีที่ให้แขกได้เพลิดเพลินไปกับดีเจและวงแจ๊สดนตรีสด พร้อมลิ้มรสค็อกเทลและแชมเปญรสเลิศที่ทางร้านบรรจงเลือกสรรมาอย่างดี         เริ่มต้นจิบเบาๆ ด้วย Sparkling Wine ไวน์สุดหรูที่อยู่คู่กับงานปาร์ตี้ น้ำสีเหลืองทองกับฟองซ่าๆ ดื่มแล้วสดชื่นลื่นคอ     ต่อด้วย Bee Pollen ค็อกเทลสีเหลืองนวลเสิร์ฟมาในแก้วนกน้อยน่ารัก ความลงตัวระหว่างซิตรัส ไซรัปคาราเมลหอมหวาน Hendrick’s และ Yellow Chatreuse เปรี้ยวหวานจิบเพลินจนหยดสุดท้าย     Them Apples ค็อกเทลที่ผสมผสานลงตัวระหว่าง วิสกี้ ไซรัปแอปเปิ้ล ซิตรัสและไวน์แดง รสเข้ม เปรี้ยวนิดๆ หอมกลิ่นแอปเปิ้ล ถูกใจนักดื่มตัวจริง       ค็อกเทลสีแดงสดแก้วนี้เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ Lavender Mood เปรี้ยวสดชื่น หอมกลิ่นลาเวนเดอร์ จิบแล้วผ่อนคลาย     ปิดท้ายด้วย Jungle Fever โดดเด่นด้วยสปิริตสัญชาติไทยระดับพรีเมียมอย่าง Lanna หอมละมุน พร้อมด้วยเหล้าส้มจากฝรั่งเศสอย่าง Cointreau บอกเลยแก้วนี้รสเข้มดุเดือดไม่เป็นรองแก้วไหน!       ใครอยากแฮงค์เอ้าท์สัมผัสประสบการณ์สุดหรูเชิญได้ที่ “Crimson Room”

El Tapeo (เอล ทาเปโญ่) ร้านอาหารสเปนรสดั้งเดิมตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านทองหล่อ ซอยสุขุมวิท 55 ภายในร้านมี 3 ชั้นซึ่งให้ฟิลที่แตกต่างกันออกไป ชั้นแรกมีบาร์ขนาดใหญ่ คึกครื้น เหมาะสำหรับใครที่อยากมานั่งจิบเพลินๆ เดินขึ้นไปชั้นสองจะพบกับโซนรับประทานอาหารชิลๆ ผนังตกแต่งด้วยจานอันดาลูเชียนซึ่งมีลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์จากทางใต้ของสเปน       ส่วนชั้นบนสุดเป็นโซนรับแสงที่ดีที่สุดของร้าน หน้าต่างกระจกบานใหญ่มองเห็นทิศทัศน์ด้านนอก ช่วยให้คุณผ่อนคลายมากขึ้น ผนังอิฐสีขาวถูกแซมด้วยภาพสถานที่สำคัญต่างๆ ในกรุงมาดริดที่ยิ่งมองก็ยิ่งน่าหลงใหล       เริ่มต้นความอร่อยด้วย Torreznos Con Mojo Canario หมูสามชั้นทอดกรอบเคี้ยวเพลินราดด้วยซอสรสเผ็ดสูตรทางใต้ของประเทศสเปน     ตามด้วยเมนูขายดี Gambas Al Ajillo Arlic Prawns กุ้งผัดกับน้ำมันมะกอก กระเทียม ปาปริก้าและพาร์สลีย์ รสเค็มพอดีซ่อนความเผ็ดเล็กๆ กินคู่กับขนมปังอุ่นๆ อร่อยสุดๆ     หรือจะลอง Albondlgas Da Cerdo Caseras มีทบอลราดซอสมะเขือเทศ รสเปรี้ยวนิดๆ หอมกลิ่นของกระเทียมและพาร์สลีย์ เสิร์ฟพร้อมขนมปังหอมกรุ่นเช่นเคย     ฟินไปกับแซนด์วิชหน้าเปิด 2 สไตล์ในจานเดียว ทั้ง Brie con cebolla confitada หน้าหัวหอมผัดคาราเมลผสานกับบรีชีสหอมมัน เข้ากันได้อย่างดี Jamón Ibérico Con Tomate Y aceite De Olive หน้าแฮมหมูดำหนึบหนับบวกกับรสเปรี้ยวจากซอสมะเขือเทศสด ดีงามไม่แพ้กัน     พลาดไม่ได้กับ Arroz Negro ข้าวบาสมาตีหุงพร้อมหมึกดำ ผักต่างๆ และปลาหมึก เสิร์ฟบนกระทะร้อนที่ด้านบนเรียงรายด้วยหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์และกุ้งเนื้อหวาน หอมฟุ้งมาแต่ไกล ชูรสชาติด้วยมายองเนสรสกระเทียม กลมกล่อม จานนี้ได้ใจเราเต็มๆ     เอาใจสวีตเลิฟเวอร์ด้วย Coulant De Chocolate Al Turron เค้กช็อกโกแลตลาวารสเข้ม มาพร้อมไอศกรีมวานิลลาหวานหอม ถูกใจใช่เลย และ Churros Con Chocolate ปาท่องโก๋สเปนกรอบนอกนุ่มใน จิ้มกับช็อกโกแลตร้อนเข้มข้น       จบมื้อนี้ด้วย Sangria ค็อกเทลสีแดงแรงฤทธิ์ที่มีส่วนผสมของไวน์แดง น้ำมะนาว สไปรท์ และแอปเปิ้ลสดหั่นเต๋า รสเปรี้ยวซ่า ดื่มแล้วสดชื่น       ชิมแล้วประทับใจ อร่อยจนลืมไม่ลง!

ตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้บริการเมื่อ 8 ปีที่แล้วก็เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในทันที เพราะ Chocolate Ville คือร้านอาหารสไตล์ธีมปาร์คแห่งแรกที่มีสีสันสะดุดตาเรียกให้ผู้คนต้องเข้ามาถ่ายรูปเช็คอิน       หมู่บ้านสไตล์ยุโรปสีพาสเทลแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 15 ไร่ มีประภาคารสูงเป็นแลนด์มาร์ค มีลำคลองเล็กๆ ไหลผ่าน ในหมู่บ้านประกอบไปด้วยโรงนา หอนาฬิกา สถานีรถไฟ ฯลฯ บ้านแต่ละหลังสร้างขึ้นจริงเพื่อใช้เป็นห้องอาหารและร้านค้า ด้วยแนวคิด Dining in the park โดย คุณวิน สิงห์พัฒนากุล หนุ่มดีกรี เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต และเจ้าของร้านบริสโตรสุดเท่อย่าง Wine I Love You       เที่ยวพักผ่อนในบรรยากาศดีๆ ถ่ายรูปและกินอาหารคือความสุขง่ายๆ ในวันหยุด ที่นี่เสิร์ฟเมนูหลากหลายทั้งไทย จีน ฝรั่ง แต่ละจานไซส์ใหญ่เหมาะกับการแชร์กันทั้งครอบครัวและกลุ่มเพื่อน นอกจากซี่โครงหมูใหญ่มากและขาหมูเยอรมันที่เป็นอาหารขึ้นชื่อแล้ว ช่วงนี้มีเมนูใหม่ที่แนะนำคือ ทีโบนสเต็ก และริบอายสเต็ก ใช้เนื้อสเต็กจากประเทศออสเตรเลีย ชิ้นใหญ่เนื้อนุ่ม เสิร์ฟพร้อมซอส 3 แบบแล้วแต่ความชอบ ทั้งซอสเปปเปอร์พริกไทยรสเผ็ดร้อน น้ำจิ้มแจ่วรสออกหวาน และมัสตาร์ดเผ็ดฉุนขึ้นจมูก       อีกจานที่ใหญ่ไม่แพ้กันคือ ปูผัดผงกะหรี่ ใช้ปูทะเลขนาด 500 กรัมขึ้นไป ผัดกับซอสผงกะหรี่กลิ่นหอม รสหวานละมุน ถูกใจทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยว     จานสุดท้ายเรียกเสียงชัตเตอร์ได้รอบโต๊ะคือเมนู กุ้งมังกรอบชีส กุ้งมังกรตัวโตจากภูเก็ต เนื้อแน่นหวาน อบกับชีสยืดๆ เสิร์ฟพร้อมซอสเนยกระเทียมกลิ่นหอม กินแล้วอร่อยเต็มปากเต็มคำ     เพลิดเพลินกับวิวและอาหาร เรียกว่าครบจบในที่เดียว

Truly Scrumptious ร้านคาเฟ่น้องใหม่ในซอยสุขุมวิท 49 ที่เน้นเสิร์ฟเค้กโฮมเมดทำเองวันต่อวัน รวมถึงเครื่องดื่มที่มีให้เลือกหลายเมนู แต่อะไรทำให้ร้านนี้กลายเป็นร้านเค้กขวัญใจใครหลายคนภายในเวลาไม่ถึงปี เรามาหาคำตอบกัน     Truly Scrumptious เป็นที่รู้จักในนามร้านขนมเค้กออนไลน์ผ่านอินสตาแกรมมากว่า 1 ปี จนกลายเป็นที่ถูกอกถูกใจเหล่านักกินเค้กมากมาย โดย คุณดิ๋ง นิดา สิงหเนตร และ คุณแพรว ชุลีอร ชลิตอาภรณ์ หุ้นส่วนสาวแสนสวย คิดค้นสูตรเองจากความชอบส่วนตัว และประสบการณ์ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ประเทศอังกฤษเป็นเวลาหลายปี ทำให้เค้กของร้านมีความเนื้อแน่นสไตล์อังกฤษนั้นเอง         บรรยากาศร้านมีความเรียบง่าย ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ภายในถูกออกแบบสไตล์อังกฤษ ปูพื้นด้วยกระเบื้องสีขาวสลับดำ พร้อมด้วยกระจกใสรอบร้าน ทำให้มีความโปร่ง โล่งสบาย เหมาะกับการมานั่งจิบกาแฟพร้อมกินขนมเค้กยามบ่ายจริงๆ         เค้กตัวแรกถือเป็นเค้กซิกเนเจอร์ที่คุณดิ๋งแอบกระซิบมาว่าไม่เคยกินที่ไหนแน่นอน “Signature Black Beer Cake” เค้กเบียร์ดำ เนื้อเค้กด้านล่างเป็นช็อกโกแลตรสเข้มแบ่งชั้นกับครีมชีสหนาๆ ฟินๆ โดยความพิเศษอีกอย่างคือ ร้านได้เพิ่มคอนญักผสมอยู่ในครีมชีสด้วย ปิดท้ายด้านบนสุดด้วยบลูเบอร์รีสดเพิ่มรสชาติเปรี้ยวอ่อนๆ ทำให้เค้กชิ้นนี้กลมกล่อมและเข้ากันได้เป็นอย่างดี     ตามมาด้วย “Chocoflan” เค้กช็อกโกแลตเนื้อนุ่มแบ่งชั้นกับวานิลลาฟลานหอมละมุน ราดด้วย Cajeta หรือคาราเมลเม็กซิกันเข้มข้น และถั่วพีแคน เป็นรสชาติหอมหวานที่ใครก็ปฎิเสธไม่ลง       ยังคงอยู่กับเมนูช็อกโกแลตอย่าง “Dark Chocolate Oreo Pie with Raspberries” ทาร์ตชิ้นใหญ่ที่ด้านล่างเป็นบิสกิตโอริโอกรุบกรอบ ตรงกลางเป็นช็อกโกแลตกานาชรสเข้มข้น ท็อปด้วยราสป์เบอร์รีสดที่นอกจากจะช่วยตัดรสชาติกับดาร์กช็อกโกแลตแล้ว ยังทำให้หน้าตาเค้กชิ้นนี้น่ากินมากยิ่งขึ้น     อีกหนึ่งเค้กขายดีไม่แพ้กันอย่าง “Signature Carrot Cake” เค้กแครอตที่หลายคนคุ้นเคย มีวอลนัตกรุบกรอบแทรกตัวอยู่ในเนื้อเค้ก พร้อมด้วยกลิ่นซินนามอนหอมๆ ด้านบนเป็นครีมชีสสูตรเฉพาะของทางร้าน ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาด     นอกจากนี้ทางร้านยังมีบริการกาแฟสด และเครื่องดื่มต่างๆ ไว้ดื่มคู่กับเค้กของร้านอีกด้วย  

ใครผ่านไปมาแถวสยามสแควร์ คงได้กลิ่นหอมจนต้องเดินตามหาของครีมพัฟสไตล์ฝรั่งเศส (French Cream Puff) จากร้าน Mihimihi Thailand แบรนด์ดังจากประเทศจีนที่ชิมลางจากร้านต้นแบบสาขาแรก ชั้น LG สยามสแควร์วัน แม้จะเปิดตัวได้ไม่นานแต่เสียงตอบรับคึกคักแค่ไหนให้ดูได้จากจำนวนคนยืนรอซื้ออยู่หน้าร้าน     กระทั่งเป็นที่มาของสาขาล่าสุดที่ตั้งใจกระจายความฟินให้ได้กินกันอย่างทั่วถึง อยู่ไม่ไกลจากสาขาแรกเท่าไหร่โดยพิกัดน้องใหม่อยู่ในสยามสแควร์ ซอย 10 เยื้องกับศูนย์หนังสือจุฬา ช็อปหนังสือเสร็จก็มุ่งหน้ามาเติมความหวานละมุนให้ชุ่มชื่นหัวใจกันได้ที่สาขานี้เลย       จุดเด่นของครีมพัฟแท่งนี้นอกจากกลิ่นหอมยั่วยวนแล้วก็คือผิวนอกกรอบโรยอัลมอนด์ให้เคี้ยวกรุบๆ สอดไส้ครีมละมุนลิ้นที่มีให้เลือก 5 รสชาติ ได้แก่ ออริจินอล ช็อกโกแลต ลาเต้ มัตฉะ และสตรอเบอร์รี     ใครกินครั้งแรกคงอยากทดลองให้ครบทั้ง 5 รสเพื่อค้นหารสชาติที่ชื่นชอบ ซึ่งทั้งหมดทำออกมาได้รสหวานกำลังดีเราเลยละเลียดได้เรื่อยๆ เผลอเดี๋ยวเดียวกินครบทุกรสชาติ แบบไม่รู้สึกว่าเลี่ยนเลย       นอกจากครีมพัฟยังมีซูเฟล่นุ่มๆ ให้เลือกสั่งมาเอ็นจอยอีก 4 รสชาติ ได้แก่ ออริจินอล ออริจินอลบับเบิ้ล มัตฉะ และสตรอเบอร์รี เมนูนี้อาจต้องรอนานหน่อยเพราะทางร้านจะอบใหม่เมื่อสั่งเท่านั้น เนื้อแป้งนุ่มฟู ราดครีมเข้มข้นรสหวานละมุน แค่ตักเข้าปากก็แทบละลายแล้ว         ประสบการณ์สุดฟินที่ใครก็ยินดีรอ!

แค่มองผนังร้านที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีหวานของร้าน Another Day Desserts คาเฟ่ดอกไม้แห่งใหม่ที่ชั้น G ดิ เอ็มควอเทียร์ก็ชวนให้รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ ยิ่งได้กลิ่นหอมของขนมอบใหม่ที่ลอยมาเตะจมูก ทำให้รู้ในทันทีว่าเราควรเก็บเรื่องไดเอตไปคุยกันวันอื่น!       คุณจิมมี่-อัครวินท์ เตชะอุบล เจ้าของร้านได้ไอเดียการตกแต่งจากคาเฟ่ในอังกฤษที่มีดอกไม้เบ่งบานเข้ากับการนั่งจิบชาและละเลียดของหวานอย่างสบายอารมณ์ แล้วเพิ่มความพิเศษขึ้นอีกนิดด้วยการรวบรวมขนมที่ใครๆ ก็หลงรักมาไว้ด้วยกันเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นวาฟเฟิล คากิโกริ บิงซู โทสต์ แพนเค้ก ฯลฯ ที่ใช้วัตถุดิบอย่างดี อาทิ เนยจากฝรั่งเศสและนมฮอกไกโดของญี่ปุ่น     มาถึงที่ร้านห้ามพลาด Bubble Waffles ‘Pistachio Rose’ วาฟเฟิลที่กรอบนอกนุ่มใน เลือกได้ทั้งรสออริจินอลและช็อกโกแลต ด้านในซ่อนไอศกรีมโฮมเมดกลิ่นกุหลาบหอมหวาน มีสตรอว์เบอร์รี่สดไว้เพิ่มรสเปรี้ยว ตามด้วยอีกหนึ่งเมนูฮอต Original Premium Pancakes ใครชอบแพนเค้กแบบญี่ปุ่นอย่าพลาดเชียว เนื้อแพนเค้กทั้งนุ่มและฟู (เสิร์ฟมาแบบเด้งดึ๋ง) ก่อนกินราดน้ำผึ้งลงไปเพิ่มดีกรีความหวานกินคู่ไอศกรีมและกล้วยหอม       ส่วนคนรักเค้กที่ร้านก็มีให้เลือกหลายเมนูด้วยกัน แนะนำ Pistachio Rose Cake เค้กสีชมพูอ่อนที่มีถั่วพิตาชิโตและกลีบกุหลาบชิ้นเล็กๆ ตกแต่งอยู่โดยรอบ ครีมกุหลาบกลิ่นหอมชัดดี ชิ้นนี้ค่อนข้างหวาน แต่เมื่อละเลียดคู่ชาร้อนแล้วกำลังเหมาะ ปิดท้ายด้วย Italian Soda นอกจากซาบซ่าแล้วยังน่ารักมาก เสิร์ฟแก้วใหญ่ มีสายไหมฟูฟ่องท็อปด้านบน เลือกรสและสีสันได้ตามชอบทั้ง Rose Lychee ,Yuzu Lavender, Blue Peach และ Elderflower Apple       ตอบโจทย์คนรักความหวานแบบครบทุกข้อไปเลย  

ภายในตลาดศรีย่านมีร้านเก่า (แต่เก๋า) ที่ชื่อ “ปาเน็ตโทน” ร้านอาหารเล็กๆ ที่เสิร์ฟความอร่อยมานานกว่า 20 ปี ด้วยดีกรีรสชาติอาหารที่ไม่ธรรมดาแต่ราคาเป็นมิตร พร้อมด้วยบริการที่ใส่ใจสไมล์เซอร์วิส ทำให้ร้านปาเน็ตโทน ครองใจผู้คนทุกยุคทุกสมัย       ก้าวเข้าไปคุณจะสัมผัสถึงกลิ่นอายยุค 80 ทั้งของตกแต่ง โต๊ะ เก้าอี้ ล้วนเป็นของเก่าทั้งหมด  ใครที่ชอบร้านสไตล์วินเทจชิคๆ “ปาเน็ตโทน” เป็นอีกที่ในลิสต์ที่คุณต้องไปเยือน       เริ่มที่จานหลักอย่าง ข้าวไก่อบ สะโพกไก่อบจนเนื้อนุ่ม ราดด้วยซอสรสเปรี้ยวเผ็ดสูตรเด็ดจากทางร้าน เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ ยิ่งกินก็ยิ่งติดใจ     ต่อด้วยเมนูไทยแท้ตำรับชาววัง แกงรัญจวนหมู ซี่โครงหมูอ่อนเคี้ยวเพลินในน้ำแกงเผ็ดร้อน ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกะปิและใบโหระพา ซดแล้วคล่องคอดี     เอาใจคนรักเมนูยำกับ ยำหมูย่างยอดมะพร้าว คอหมูย่างเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ยอดมะพร้าวมันกรอบ คลุกเคล้ากับน้ำยำรสจัดจ้านถึงใจ     อย่าลืมสั่ง เค้กกาโตว์ เมนูดาวเด่นประจำร้าน เค้กไร้แป้งที่ทำจากไข่ขาวตีเข้ากับถั่วเม็ดมะม่วงหิมพานต์กรุบกรอบ สลับชั้นกับครีมคัสตาร์ดหอมหวานพอดี อร่อยฟินจนไม่อยากวางช้อน  

หากใครมองหาร้านคาเฟ่บรรยากาศเรียบหรู พร้อมชาดีๆ และอาหารอร่อยสักที่ เราขอแนะนำ “Maison d’olivia”  ร้านอาหารบรรยากาศสุดหวาน อบอวลไปด้วยกลิ่นอายสไตล์ฝรั่งเศส พร้อมด้วยหมู่มวลดอกไม้โทนชมพูที่จะมาเพิ่มดีกรีความน่ารักให้สาวกคาเฟ่ได้ประทับใจ พร้อมปักหมุดเป็นแหล่งแฮงเอาต์ใหม่ได้ไม่ยาก       เมื่อเข้ามาในร้าน เราจะพบกับผนัง  โซฟา และเก้าอี้โทนชมพูขาว พร้อมด้วยโต๊ะไม้หินอ่อน สร้างความหวานตั้งแต่แรกเห็น อีกทั้งดอกไม้หลากสีปักสลับกันตามแนวผนังให้ร้านมีความสดชื่นมากยิ่งขึ้น ในส่วนของเคาน์เตอร์บาร์ ร้านเลือกนำแก้วและกาน้ำชาลายดอกกุหลาบวางเรียงสวยสะดุดตา คุมโทนคาเฟ่สไตล์ฝรั่งเศสแบบหวานๆ ได้เป็นอย่างดี         เมื่อเมนูซิกเนเจอร์ของร้านคือชา  ร้านจึงต้อนรับเราด้วยชุดน้ำชา “Olivia Tea Set” เราเลือก Rose Tea และเค้ก Red Velvet Cream Cheese Cake ชากุหลาบหอมๆ ทานคู่กับชีสเค้กเรดเวลเวตเนื้อนุ่มหวานกำลังดี  เป็นเมนูจิบน้ำชายามบ่ายที่สาวๆ ทั้งหลายไม่ควรพลาด         ต่อด้วยเมนูซุปขายดีที่สาวกทรัฟเฟิลไม่ควรพลาด “Mushroom Truffle Cream” ซุปเห็ดทรัฟเฟิลชั้นดี ที่นำเอาน้ำมันทรัฟเฟิลผสมผสานกับเนื้อเห็ดทรัฟเฟิลบด กลายเป็นซุปครีมข้นๆ ที่หอมกรุ่นทรัลเฟิลทุกคำ       ในส่วนของอาหารจานหลักเป็น “Wagyu Steak” สเต็กวากิวเนื้อนุ่มแบบมีเดียมแรร์ เสิร์ฟเคียงข้างสปาเก็ตตี้ผัดพริกแห้งรสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทย       ปิดท้ายด้วยเมนูสุดเก๋ของร้านอย่าง “Signature Mocktail” ม็อคเทลสูตรพิเศษที่มีกลิ่นหอมของลิ้นจี่ กุหลาบ และเชอร์รีบลอสซั่ม เติมความสดชื่นปิดท้ายมื้ออาหารด้วยความประทับใจ  

ความทรงจำระหว่างการท่องเที่ยวทั่วโลกของเจ้าของร้านถูกนำมาถ่ายทอดสู่อาหารเช้าเรียบง่ายสไตล์สแกนดิเนเวีย ประเภทแซนวิช พาสต้า สลัด สปาเก็ตตี ที่เสิร์ฟให้กินได้ทั้งวัน รวมถึงเครื่องดื่มรสชาติดีที่มีให้เลือกมาก ที่นี่ยังเป็นร้านแรกๆ ที่ริเริ่มนำคาร์ฟคอฟฟี่เข้ามาสร้างสีสันจนกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ของกลุ่มคนรักกาแฟในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาและยังต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน       เมนูเน้นปรุงจากวัตถุดิบออร์แกนิกในท้องถิ่นผสมผสานกับวัตถุดิบนำเข้าบางชนิดเพื่อคงกลิ่นและรสอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของอาหารสไตล์สแกนดิเนเวียไว้  แม้จะชูเมนูสไตล์ยุโรปเป็นหลักแต่เสริมทัพอาหารไทยที่ปรุงรสชาติได้อย่างน่าทึ่งเช่นเดียวกัน     เริ่มที่เมนูสุดคลาสสิก Benedict with Bacon or Smoked Salmon อิงลิชมัฟฟินโฮมเมด ท็อปด้วยเบคอนหรือแซลมอนรมควัน โพ้ชเอ้กนุ่มเนียนลิ้น อะโวคาโด และซอสฮอลแลนด์เดสรสกลมกล่อม เสิร์ฟ 2 ชิ้นให้กินได้อิ่มท้องกำลังดี     Nordic รวมทีเด็ดสไตล์นอร์ดิกไว้ในเซ็ตเดียว ได้แก่ แซลมอนรมควัน ลูกชิ้นสไตล์สวีเดน กุ้งในมายองเนส สลัดผัก และโทสต์     อีกหนึ่งเมนูขายดียกให้ Egg Fettuccine เส้นเฟตตูชินีในซอสสุดครีมมี่ เบคอน และพริกไทยดำ โรยชีสนมแกะเพิ่มรสเค็มมัน     ส่วนอาหารไทยห้ามพลาด ข้าวซอยกุ้ง เด่นทั้งน้ำซุปรสกลมกล่อมที่ใส่มาให้แบบขลุกขลิกและกุ้งสดเนื้อกรอบเด้ง กินแกล้มหัวหอมซอยและผักกาดดองช่วยตัดเลี่ยน  หากอยากเพิ่มรสเปรี้ยวจะบีบมะนาวอีกหน่อยก็ได้     อีกจานคือ ยำเนื้อ เลือกใช้เนื้อคุณภาพจากออสเตรเลียคลุกเคล้ากับน้ำยำรสเด็ด หอมกลิ่นมะนาวสด และปรุงรสเผ็ดเล็กน้อย เป็นเมนูที่คนไทยยกนิ้วให้ ในขณะที่คนต่างชาติก็กินได้สบายปาก     ส่วนเครื่องดื่มแนะนำ Lychee Cold Brew Tonic กาแฟเอสเปรสโซผสมกับโทนิค ได้ความหวานซ่อนเปรี้ยวจากลิ้นจี่ ดื่มแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า รับมือกับอากาศร้อนได้สบาย     หรือจะลอง Orange Sprinkle กาแฟเอสเปรสโซ ผสมกับน้ำส้มคั้นและน้ำมะนาว ก็ได้ความสดใสไปอีกแบบ     แต่ถ้ายังลังเลก็มี Cappuccino กาแฟรสละมุนสูตรคุ้นเคย ที่สั่งมาดื่มเมื่อไหร่ก็ฟิน!  

ท่ามกลางความคึกคักของย่านบางรัก “Casa Sapparod” ได้เปิดร้านเอาใจคนรักสับปะรดไว้ในซอยเจริญกรุง 44  โดยทางร้านนำสับปะรดซึ่งเป็นส่วนผสมหลัก มาประยุกต์กับเมนูต่างๆ ทั้งคาว หวาน รวมไปถึงเมนูเครื่องดื่ม ไว้เอาใจคนรักสับปะรดโดยเฉพาะ       เมื่อเข้ามาภายในร้าน เราจะพบการตกแต่งสไตล์เรโทร มีวอลเปเปอร์พิมพ์ลายสับปะรดบนผนังทั่วทั้งร้าน นอกจากนี้ยังมีกระเบื้องโมโนโครมบนพื้นไปจนถึงเคาร์เตอร์บาร์ที่มีลวดลายเป็นรูปดาว พร้อมด้วยกระจกรอบร้าน ให้ความรู้สึกโปร่งโล่งสบาย และผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี       มาเริ่มที่เมนูเรียกน้ำย่อยจานแรกของร้านอย่าง พล่าไก่ซอสพลัม ที่มีสับปะรดจากภูเก็ต เนื้อไก่ฉีก และผักต่างๆ ยำรวมกัน เสิร์ฟพร้อมกับพริกป่น มะนาว และส้มโอไซส์เล็ก ไว้ให้เติมความเผ็ด และเปรี้ยวกันตามชอบ     จากนั้นตามมาด้วย ปอเปี๊ยะสดเนื้อกุ้งกับเป็ด วางมาบนตะกร้าสานสวยงาม ทานคู่กับอาจาดสับปะรดสูตรเฉพาะของร้าน และซีอิ้วดำปรุงพิเศษ ได้ทั้งความเปรี้ยวและหวานที่เข้ากันเป็นอย่างดี     นอกจากนี้ยังมี หมูปิ้งราดพะแนง รสจัดจ้านถึงเครื่องพะแนงไทย แถมยังได้รสเปรี้ยวจากเนื้อสับปะรดที่คลุกเคล้าอยู่ในเครื่องแกงอีกด้วยติ่มซำทอดเนื้อหมูและกุ้ง เสิร์ฟบนผลของสับปะรดสุดเก๋ ทานคู่กับวินีการ์        ตามมาด้วย ข้าวโพดทอด จิ้มซอสสับปะรดสูตรเฉพาะของร้าน รสหวานอมเปรี้ยว และขนมจีนซาวน้ำ ที่ท็อปด้วยสับปะรดกรานิต้า ราดด้วยน้ำกะทิสูตรเข้มข้น แต่รสสัมผัสบางเบา พร้อมลุยกับอาหารจานหลักต่อไป       และก็มาถึงเมนูพระเอกของร้านอย่าง “ข้าวผัดสับปะรด” กันบ้าง ที่ร้านมีให้เลือกทั้งหมู ไก่ และซีฟู้ด รวมถึงคนทานเจที่ร้านก็มีรองรับอีกด้วย ใช้ข้าวกล้องจากนครปฐม และสับปะรดจากศรีราชา เพิ่มรสชาติเผ็ดร้อนด้วยเครื่องแกงกระหรี่ และกุนเชียงหั่นเต๋า     ในส่วนของหวานและเครื่องดื่มที่ร้านกันบ้าง เริ่มที่ เชอร์เบทสับปะรด ที่เสิร์ฟมาในสับปะรดทั้งลูกสุดเก๋ กินแล้วได้ความสดชื่น ตามมาด้วย พุดดิ้งสับปะรด ที่ได้ทั้งความหวานหอมจากพุดดิ้งและเปรี้ยวจากสับปะรดสดๆ       Pineapple juice of the day น้ำสับปะรดซิเนเจอร์ โดยจะสับเปลี่ยนสายพันธุ์ให้ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน มีทั้งภูเก็ต ตราดสีทอง ภูแล และเพชรบุรี และปิดท้ายด้วย Pineapple ginger chill ที่มีส่วนผสมของขิงไซรัป เลม่อน และน้ำสับปะรด เป็นอีกหนึ่งเมนูน้ำของร้านที่ดับร้อนได้เป็นอย่างดี    

นอกจากจะมีเบกกิงสตูดิโอสอนทำขนมและเบเกอรีนานาชนิดแล้ว Salon de Ka.Lim” (ซาลง เดอ คาลิม) ยังแบ่งพื้นที่ขนาด 2 คูหาให้กลายเป็นร้านอาหารโฮมเมดสไตล์ยุโรปหรูหราน่านั่งประดับประดาด้วยต้นไม้และดอกไม้สวยงามที่พร้อมต้อนรับเหล่านักชิมที่ผ่านมาเยี่ยมเยือนจังหวัดจันทบุรีด้วยหลากหลายเมนูเด็ดสไตล์ตะวันตกผสานกลิ่นอายเอเชียนที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์         จานเด่นห้ามพลาดของที่นี่มีทั้ง Pasta Old Rose Sauce สปาเกตตีเส้นเหนียวนุ่มคลุกเคล้าครีมซอสมะเขือเทศสูตรเฉพาะของเชฟที่ทำจากคุกกิงครีมคุณภาพดีและกุ้งสดเนื้อเด้ง และ Pizza Set พิซซาหน้าข้าวโพดและชีสมอสซาเรลลาหอมมัน กินกับซอสปลาหมึกผัดเผ็ดสไตล์เกาหลีที่เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ       ส่วนใครอยากมานั่งชิลละเลียดเครื่องดื่มเบาๆ เราแนะนำ Iced Chocolate ช็อกโกแลตเย็นเข้มข้นที่มีส่วนผสมของเหรียญ Chocolate Couverture นมสด และวิปปิงครีมรสกลมกล่อม กินคู่ครัวซองต์กรอบนอกนุ่มในสักชิ้นเป็นอันอิ่มกำลังดี