ชาไทยยังคงฟีเวอร์ต่อเนื่องชวนทำเค้กชาไทยหอมเข้มข้นที่ตัดด้วยความละมุนของครีมสังขยาและวิปครีม   ส่วนผสมเค้ก แป้งเค้ก 150 กรัม ไข่แดง (ไข่ไก่เบอร์ 1) 3 ฟอง ไข่ขาว (ไข่ไก่เบอร์ 1) 3 ฟอง น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 65 กรัม (1/3 ถ้วย) น้ำชาไทยเข้มข้น 1/3 ถ้วย น้ำมันรำข้าวอุ่นๆ 1/3 ถ้วย ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา ผงฟู 2 ช้อนชา เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ส่วนผสมครีมสังขยา แป้งข้าวโพด 7 ช้อนโต๊ะ ไข่แดง (ไข่ไก่เบอร์ 1) 2 ฟอง น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำชาไทยเข้มข้น 1/2 ถ้วย นมสด 1/4 ถ้วย วิปปิงครีม 1 ถ้วย วิธีทำ ทำเค้กโดยผสมน้ำมันอุ่นๆ กับแป้งเค้ก คนให้เข้ากัน ใส่น้ำชาไทย คนให้เข้ากัน ค่อยๆ ใส่ไข่แดง คนให้เข้ากันทั่ว ใส่ผงฟู เกลือ และน้ำตาลทราย ผสมให้เข้ากัน พักไว้ ตีไข่ขาวพอเป็นฟองหยาบๆ ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ ตีต่อจนเป็นฟองละเอียด ใส่น้ำตาลเม็ดทรายละเอียด ตีต่อจนขึ้นฟูอยู่ตัว นำไปผสมกับส่วนผสมไข่แดง ตะล่อมให้เข้ากัน เทใส่พิมพ์ขนาด 8×8 นิ้ว นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 25 นาทีหรือจนสุก พักไว้ให้เย็น ทำครีมสังขยาชาไทยโดยผสมไข่แดง น้ำตาลทราย แป้งข้าวโพด และเกลือ คนให้เข้ากัน ใส่น้ำชาไทยและนมสด คนให้เข้ากัน นำไปตุ๋นบนหม้อน้ำร้อนจนส่วนผสมสุกข้น พักไว้ให้เย็น ตีวิปปิงครีมให้ขึ้นฟูอยู่ตัว แบ่งเป็น 2 ส่วน นำส่วนที่ 1 ไปตะล่อมกับสังขยาชาไทย คนให้เข้ากัน ตัดเค้กใส่จาน ราดด้วยครีมสังขยา แต่งด้วยวิปครีมที่แบ่งไว้ส่วนที่ 2

Torta Della Nonna เป็นหนึ่งในขนมหวานคลาสสิกของอิตาลี มีต้นกำเนิดในแถบทัสคานีและแพร่หลายไปทั่วประเทศ ถ้าใครไปอิตาลีจะเห็นเสิร์ฟในร้านอาหารและร้านกาแฟ มีขายในร้านขนมแทบทุกร้าน และตามบ้านก็ทำทานกันอีกด้วย เพราะเป็นขนมที่ทำง่าย รสไม่หวานและทานได้ทั้งวัน   ขนมนี้มีส่วนประกอบของแป้งหวานและมีไส้คัสตาร์ด (นาโปลีแตน คัสตาร์ด) โรยหน้าด้วยไพน์นัต และน้ำตาลไอซิง รูปร่างคล้าย Gâteau Basque แต่บางกว่า รสชาติคล้าย Karpatka ของโปแลนด์   ในบ้านเราอาจจะไม่เห็นตามร้านขนมทำขาย แต่น่าสนใจและทำไม่ยาก   Torta Della Nonna ส่วนผสมแป้งทาร์ต แป้งสาลีอเนกประสงค์ 450 กรัม น้ำตาลทรายละเอียด 150 กรัม เนยเย็น 200 กรัม ไข่ 2 ฟอง ผิวเลมอน 1 ผล วิธีทำแป้งทาร์ต ผสมแป้ง น้ำตาลทราย เนย ไข่ และผิวเลมอนลงในเครื่องปั่น ปั่นจนเป็นเม็ดเหมือนทราย เทลงกระดาษไข นวดเล็กน้อยพอจับกันเป็นก้อน แช่ตู้เย็นไว้ 30 นาที ส่วนผสมนาโปลีแตน คัสตาร์ด (Crema Pasticcera) นมสด 500 กรัม แป้งเค้ก 50 กรัม น้ำตาลทราย 100 กรัม ไข่แดง 4 ฟอง ผงวานิลลา 1/2 ช้อนชา เกลือ หยิบมือ ผิวเลมอน 1 ผล วิธีทำนาโปลีแตน ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น ปั่นพอเนียน เทใส่หม้อ ตั้งไฟปานกลาง คนจนข้นประมาณ 7 นาที เทใส่ภาชนะ ใช้แร็ปปิดให้แนบหน้า และพักให้เย็น อุปกรณ์ : พิมพ์ทาร์ตที่ถอดก้นได้ ขนาด 26 เซนติเมตร   วิธีประกอบขนม เมื่อแช่แป้งจนครบ 30 นาทีแล้ว นำแป้งออกมาแบ่งเป็น 3 ส่วน นำแป้ง 2 ส่วนมาคลึงให้หนา กรุใส่ถาดทาร์ต ใช้ส้อมจิ้มก้นถาดเป็นระยะ ใส่คัสตาร์ดทั้งหมด และเกลี่ยให้หน้าเสมอ คลึงแป้งที่เหลือออกเป็นวงกลม ปิดหน้าคัสตาร์ด ตัดเก็บริมขอบให้เรียบเสมอกับถาด โรยไพน์นัตให้ทั่ว นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 55-60 นาที นำออกจากเตา พักให้เย็น โรยไอซิงจนเป็นสีขาวให้ทั่ว ตัดเสิร์ฟ

คุกกี้สีชมพูดำน่ารักเหมาะกับวันวาเลนไทน์แสนหวานจะมอบให้คนที่รัก หรือทำกินเองก็ดีไม่แพ้กัน   ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 1/2 ถ้วย เนยสดจืด 125 กรัม น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 1/3 ถ้วย สีผสมอาหารสีชมพูชนิดเจล 1/4 ช้อนชา เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ไข่ไก่ตีให้เข้ากัน 1/2 ฟอง วิธีทำ คนเนยสดกับน้ำตาลทราย และเกลือเข้าด้วยกันจนอ่อนตัว ใส่ไข่ คนให้เข้ากันจนฟูเล็กน้อย ใส่สีผสมอาหาร คนให้เข้ากัน ใส่แป้ง ผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถุงบีบ บีบใส่ถาดอบเป็นรูปหัวใจ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 155 องศาเซลเซียส เวลา 15-17 นาทีจนสุก ยกออกจากเตา พักไว้ให้เย็น นำคุกกี้มาชุบช็อกโกแลต โรยช็อกโกแลตชิปและลูกปัดน้ำตาลรูปหัวใจ

มูสทาร์ตอิสปาอองเนื้อเนียน ด้านในแยกเป็นชั้นเลเยอร์ ได้เนื้อสัมผัสกรอบจากแป้งทาร์ตเล็กน้อย ทาร์ตนี้ได้แรงบันดาลใจจากเชฟ Pierre Hermé ที่นำกุหลาบ ลิ้นจี่ และราสป์เบอร์รีมาผสมกันจนได้รสชาติที่น่าหลงใหล   ส่วนผสมแป้งทาร์ต แป้งสาลีอเนกประสงค์ 200 กรัม | น้ำตาลไอซิง 80 กรัม | เกลือ 1/4 ช้อนชา | เนยจืด 130 กรัม | ไข่ไก่ 25 กรัม   วิธีทำ ปั่นส่วนผสมให้พอเข้ากันด้วยเครื่องปั่นผสมอาหาร ตักใส่กระดาษไข ห่อแล้วนำเข้าพักไว้ในตู้เย็นนาน 30 นาทีให้เซ็ตตัว รีดแป้งทาร์ตให้เป็นแผ่นหนาประมาณ 2 มิลลิเมตร กรุใส่พิมพ์ขนาด 8 นิ้ว ตัดขอบให้สวยงาม นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 165 องศาเซลเซียส นาน 15-18 นาที หรือจนสีเหลืองสวย พักให้เย็น ส่วนผสมและวิธีทำเจลลีราสป์เบอร์รี ราสป์เบอร์รีแช่แข็ง 2 ถ้วย | สตรอว์เบอร์รีแช่แข็ง 1 ถ้วย | น้ำตาลทราย 4 ช้อนโต๊ะ | น้ำเลมอน 2 ช้อนโต๊ะ | แผ่นเจลาติน (แช่ในน้ำเย็น) 6 แผ่น  ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อใบเล็ก ต้มให้ส่วนผสมเดือดสักครู่ เทใส่พิมพ์ซิลิโคนวงกลมขนาด 6 นิ้ว เกลี่ยให้เท่ากัน  นำไปแช่ในตู้เย็นประมาณ 2 ชั่วโมงจนเซ็ตตัว ส่วนผสมมูสลิ้นจี่กุหลาบ ไข่แดง 3 ฟอง | น้ำตาลทราย 120 กรัม | น้ำลิ้นจี่ 80 กรัม | โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย | เนื้อลิ้นจี่บดละเอียด 50 กรัม | กลิ่นกุหลาบ (Rose Water) 1 ช้อนโต๊ะ | ฝักวานิลลา 1 ฝัก | นมรสจืด 200 กรัม | วิปครีม (ตียอดอ่อน) 300 กรัม | แผ่นเจลาติน (แช่ในน้ำเย็น) 8 แผ่น   วิธีทำ ตีไข่แดงกับน้ำตาลทรายบนอ่างที่หล่อด้วยน้ำร้อนให้ส่วนผสมสีอ่อนลงและฟูขึ้นเล็กน้อย ใส่น้ำลิ้นจี่ โยเกิร์ต เนื้อลิ้นจี่บด ฝักวานิลลา กลิ่นกุหลาบ และนมรสจืด คนให้เข้ากันและข้นขึ้นเล็กน้อย ใส่เจลาตินแล้วคนต่อให้เข้ากัน เทใส่ชามผสม คลุมด้วยพลาสติกแร็ปให้แนบหน้า นำไปแช่ในตู้เย็นประมาณ 2 ชั่วโมงจนเซ็ตตัว นำออกมาตีให้ฟูเล็กน้อย ใส่วิปครีม ใช้พายยางคนให้พอเข้ากันและเนื้อเนียน ตักใส่พิมพ์ซิลิโคนครึ่งวงกลมขนาด 8.5 นิ้ว ประมาณครึ่งหนึ่งของพิมพ์ วางเจลลีราสป์เบอร์รีตรงกลาง ปิดด้วยมูสที่เหลือจนเต็มพิมพ์ เกลี่ยให้เท่ากัน แช่ไว้ในช่องแช่แข็งนาน 1 คืน ส่วนผสมเกลซ น้ำตาลทราย 100 กรัม | น้ำเปล่า 100 กรัม | น้ำเชื่อมข้าวโพด 100 กรัม | ไวต์ช็อกโกแลต 90 กรัม | นมข้นหวาน 120 กรัม | แผ่นเจลาติน (แช่ในน้ำเย็น) 5 แผ่น | กลิ่นกุหลาบ 2 ช้อนชา | สีเจลผสมอาหารสีชมพู 1 ช้อนชา | ราสป์เบอร์รีสด กลีบกุหลาบ เนื้อลิ้นจี่ และไวต์ช็อกโกแลตสำหรับตกแต่งเล็กน้อย   วิธีทำ ต้มน้ำตาลทรายกับน้ำเปล่าและน้ำเชื่อมข้าวโพดให้เดือดเล็กน้อย ใส่ไวต์ช็อกโกแลตและนมข้นหวาน คนด้วยพายยางให้ละลายเข้ากัน ใส่เจลาติน กลิ่นกุหลาบ และสีผสมอาหาร ผสมให้เข้ากันด้วยเครื่องตีมือถือจนเนื้อเนียน คลุมด้วยพลาสติกแร็ปให้แนบหน้า พักไว้ให้หายร้อนสักครู่ วัดอุณหภูมิให้ได้ 28 องศาเซลเซียส แกะมูสที่แช่ไว้ออกจากพิมพ์วางบนตะแกรง ค่อยๆ ราดเกลซให้ทั่วชิ้น พักไว้ให้เซ็ตตัวสักครู่ ค่อยๆ ยกวางใส่บนทาร์ตที่เตรียมไว้ ตกแต่งด้วยราสป์เบอร์รี กลีบกุหลาบ เนื้อลิ้นจี่ และไวต์ช็อกโกแลตให้สวยงาม  

เค้กแต่งงานสีสวยหวาน เค้กสปันจ์เนื้อนุ่มฟูหอมกลิ่นกุหลาบ สอดไส้สตรอว์เบอร์รีสด คลุมด้วยโรสบัตเตอร์ครีม รสชาติหวานมัน ตกแต่งด้วยดอกกุหลาบออร์แกนิกสด   ส่วนผสมเค้กสปันจ์ ไข่แดง 3 ฟอง | น้ำตาลทราย (1) 80 กรัม | นมรสจืด 30 กรัม | น้ำมันพืช 25 กรัม | แป้งเค้ก 90 กรัม | กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา | กลิ่นกุหลาบ 2 ช้อนชา | ไข่ขาว 3 ฟอง | น้ำตาลทราย (2) 40 กรัม   วิธีทำ ตีผสมไข่แดง น้ำตาลทราย (1) นมรสจืด และน้ำมันพืชให้เข้ากันจนเนื้อเนียน ร่อนแป้งใส่แล้วคนด้วยตะกร้อมือจนเนื้อเนียนละเอียด พักไว้ ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทราย (2) ด้วยเครื่องตีไฟฟ้ามือถือให้ขึ้นฟูและตั้งยอดปานกลาง นำไปผสมกับแป้งเค้กที่เตรียมไว้ ใส่กลิ่นวานิลลา และกลิ่นกุหลาบ ตะล่อมด้วยพายยางให้เข้ากัน เตรียมพิมพ์สี่เหลี่ยมขนาด 8 × 8 นิ้ว รองด้วยกระดาษไขแล้วทาเนยเล็กน้อย เทเนื้อเค้กใส่พิมพ์ประมาณ 1/2 ของพิมพ์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส นาน 25-30 นาที หรือจนเค้กสุก นำออกจากพิมพ์ พักไว้บนตะแกรงให้เย็น ค่อยๆ ใช้มีดฟันเลื่อยแต่งเค้กให้เป็นทรงกระบอกและหั่นครึ่ง เตรียมไว้ ส่วนผสมบัตเตอร์ครีมกุหลาบ เนยจืดพักไว้ให้นุ่ม 250 กรัม | น้ำตาลทรายเบเกอรี่ 200 กรัม | น้ำตาลไอซิง 350 กรัม | เฮฟวีครีม 80 มิลลิลิตร | กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา | กลิ่นกุหลาบ (Rose Water) 1 ช้อนโต๊ะ | เกลือทะเล 1/4 ช้อนชา | สีผสมอาหารสีส้มและชมพูตามชอบ | สตรอว์เบอร์รีสดหั่นสไลซ์ตามชอบ | ดอกกุหลาบออร์แกนิก   วิธีทำ ตีส่วนผสมทั้งหมดด้วยเครื่องตีผสมอาหารโดยใช้หัวตีตะกร้อจนขึ้นฟูและเนื้อเนียน พักไว้ วางเนื้อเค้กไว้บนแท่นหมุน ปาดครีมเล็กน้อย วางสตรอว์เบอร์รีสดหั่น วางเค้กอีกชิ้นแล้วปาดครีมให้ทั่ว ตกแต่งด้วยกุหลาบให้สวยงาม

ขนมอันลือชื่อของฝรั่งเศสสูตรนี้เนื้อแน่นและชุ่มฉ่ำไปด้วยกลิ่นเนย และได้กลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ของน้ำกุหลาบ (Rose Water) เคลือบด้วยช็อกโกแลตสีสันต่างๆ จัดวางเรียงอย่างสวยงาม   ส่วนผสมมาเดอลีน (สำหรับ 12-16 ชิ้น) ไข่ไก่ 4 ฟอง ไข่แดง 2 ฟอง น้ำตาลทราย 140 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 130 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา เนยจืดละลาย (อุ่น) 160 กรัม เกลือ 1/4 ช้อนชา กลิ่นกุหลาบ 1 ช้อนชา กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา ช็อกโกแลตละลายตามชอบ เช่น ดาร์กช็อกโกแลต ไวต์ช็อกโกแลต และราสป์เบอร์รีช็อกโกแลต วิธีทำ ในชามผสมตีไข่ไก่ ไข่แดง น้ำตาลทราย และเกลือให้เข้ากันและขึ้นฟูเล็กน้อย ร่อนแป้งสาลีและผงฟูใส่ลงไปแล้วคนให้เข้ากัน ค่อยๆ เทเนยละลายลงไป คนผสมให้เข้ากันจนเนื้อเนียน ใส่กลิ่นกุหลาบและกลิ่นวานิลลาเล็กน้อย คนให้พอเข้ากัน คลุมด้วยพลาสติกแร็ปให้แนบหน้า แช่ไว้ในตู้เย็นนาน 12 ชั่วโมงหรือข้ามคืน ตักใส่ถุงบีบเตรียมไว้ อุ่นเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 210 องศาเซลเซียส เตรียมพิมพ์มาเดอลีนโดยทาเนยและโรยแป้งเล็กน้อย เคาะแป้งส่วนที่เหลือออก เตรียมไว้ นำแป้งออกมาบีบใส่พิมพ์ประมาณ 3/4 ของพิมพ์ นำเข้าเตาอบประมาณ 3-4 นาที จากนั้นลดไฟเป็น 190 องศาเซลเซียส อบต่อนาน 10-12 นาที หรือจนแป้งสุกและฟูตรงกลาง แกะออกจากพิมพ์ แล้วพักไว้บนตะแกรงให้หายร้อน เช็ดพิมพ์ให้สะอาด บีบช็อกโกแลตละลายลงในพิมพ์ วางมาเดอลีน กดให้ช็อกโกแลตเคลือบเต็มพิมพ์ นำเข้าตู้เย็นให้แข็งตัวประมาณ 30 นาที แล้วค่อยๆ แกะออกจากพิมพ์ นำมาจัดเรียงให้สวยงาม

ชะอมชุบไข่ทอดเป็นเหตุค่ะ!   ป้าแจงส่งคลิปชะอมชุบไข่ทอดลูกกลมๆ เสิร์ฟกับน้ำพริกกะปิ ปลาทูทอดมาในไลน์ครอบครัว ความอยากกินแบบนั้นทำให้ป้าเจี๊ยบสั่งซื้อเตาทาโกะยากิทางออนไลน์มาในราคา 350 บาท มีแต่ปุ่มสวิตช์เปิดปิดอย่างเดียว!   ทำกินครั้งเดียว สมใจอยากแล้วก็จบไป เตาขึ้นหิ้งไปนาน จนกระทั่งปลายปีป้าเจี๊ยบมีงานต้องไปประชุมที่หลวงพระบาง ซื้อขนมครกลาวแถวถนนคนเดินมากิน รสชาติไม่ถูกปากเหมือนขนมครกไทย เกิดความค้างคาใจอย่างแรง จนวันแรกที่กลับถึงบ้านป้าเจี๊ยบต้องยกเตาทาโกะยากิออกมาเพื่อทำขนมครกกิน...ฮา!   วันถัดมาอยากกินแพนเค้กเป็นอาหารเช้า เหลือบเห็นเตาทาโกะยากิยังวางอยู่ คิดว่าน่าจะลองทอดแพนเค้กในเตานี้ดูสักหน่อย จัดแจงลงมือทำในแบบที่อยากกินทันที   เตรียมชามแห้งก่อนค่ะ มีแป้งสาลีอเนกประสงค์ 50 กรัม ผงมัตฉะ 5 กรัม แป้งข้าวโพด 5 กรัม น้ำตาลไอซิง 5 กรัม ผงฟู 1/2 ช้อนชา ใช้ตะกร้อมือคนๆ ให้ส่วนผสมเข้ากันดี วางพักไว้ก่อน แล้วเสียบปลั๊กเปิดเตาทาโกะยากิรอ   ลงมือทำชามเปียกโดยละลายเนยแท้รสเค็ม 10 กรัมในไมโครเวฟ ตอกไข่ไก่ 1 ฟองลงในชาม วางชามบนเครื่องชั่ง เทนมสดรสจืดลงไปให้ได้ปริมาณรวม 120 กรัม ยกชามออกมาใส่เนยละลายแล้วใช้ตะกร้อมือตีให้ส่วนผสมกลมกลืนกัน จากนั้นเทชามแห้งลงไปในชามเปียก ใช้พายซิลิโคนตะล่อมให้ส่วนผสมทั้งหมดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ตักแป้งหยอดหลุมให้เกือบเต็มแล้วโรยเมล็ดฟักทองอบลงไปหลุมละ 3-4 เม็ด พอขอบเริ่มสุกก็ใช้ไม้เสียบลูกชิ้นเขี่ยให้ตะแคง ตักแป้งเพิ่มในแต่ละหลุมแล้วเขี่ยส่วนแรกให้คว่ำทับลงไปเป็นลูกกลม ป้าเจี๊ยบทำทีละ 5 หลุมค่ะ มากกว่านั้นทำไม่ทัน เตานี้ไม่มีปุ่มปรับอุณหภูมิ พอเขี่ยไปเขี่ยมาจนขอบนอกสุกเสมอกันเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ ก็จิ้มออกมาใส่จาน    ป้าเจี๊ยบได้แพนเค้กกลมๆ 10 ลูกค่ะ โรยหน้าด้วยผงมัตฉะ ผงไอซิง และเมล็ดฟักทองอบอย่างละนิดละหน่อยพองาม กินอุ่นๆ จิ้มน้ำผึ้งแท้ ผลผลิตของลุงหน่อยหวานใจป้าแจง จิบกาแฟดำไปพลาง กินไป 4 ลูก อิ่มกำลังดี ส่วนอีก 6 ลูกลงท้องป้าอี๊ดอย่างรวดเร็ว...อิอิ   ระหว่างกินกัน...ป้าอี๊ดถามว่า “น้องคืออะไร?” นั่นสิ จะเรียกว่าอะไรดี แพนเค้กเฉยๆ ก็ไม่ใช่เพราะไม่กลมแบน แต่กลมกลิ้ง เรียก “แพนเค้กบอล” แล้วกัน!   กินเสร็จแล้วป้าเจี๊ยบยังสงสัยต่ออีก มีใครทำแพนเค้กแบบนี้บ้างมั้ยนะ? สืบค้นแล้วเจอสิคะ เอเบิลสกิเวอร์ (Æbleskiver) หรือเดนิสแพนเค้ก (Danish Pancake) อาหารเช้าดั้งเดิมของชาวนอร์ดิก (Nordic) ทำในกระทะเหล็กเป็นหลุม ลูกกลมๆ เหมือนกันเล้ยยย...   ป้าเจี๊ยบจับญี่ปุ่นมาปะทะไทยแล้ว ยังไปชนนอร์ดิกเข้าอีกซะงั้น...ฮา!

มาทำมัฟฟินแบบฉบับขนมปังใส่ไส้บลูเบอร์รีกวนรสชาติเปรี้ยวหวาน เพิ่มความน่ารักด้วยการขึ้นรูปเป็นน้องหมี    ส่วนผสม แป้งขนมปัง 150 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 80 กรัม ผงยีสต์ 1 1/2 ช้อนชา  น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/4 ช้อนชา นมสด 1/3 ถ้วย ไข่ไก่เบอร์สาม 1 ฟอง น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมไส้บลูเบอร์รี บลูเบอร์รีแช่แข็ง 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ แป้งข้าวโพด 2 ช้อนชา น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ เตรียมไส้บลูเบอร์รีโดยผสมบลูเบอร์รีกับน้ำตาลทราย แป้งข้าวโพด และน้ำเปล่า คนให้เข้ากัน ตั้งไฟกวนจนงวด พักไว้ ผสมแป้งขนมปัง แป้งสาลี ยีสต์ น้ำตาลทราย และเกลือให้เข้ากัน ใส่ไข่ นมสด นวดพอเข้ากัน ใส่น้ำมัน นวดให้เข้ากันจนแป้งเนียน พักแป้งไว้ 1 ชั่วโมงจนขึ้นฟู ตัดแป้งสำหรับใส้ไส้ก้อนละ 80 กรัม คลึงให้กลม พักไว้ และตัดเป็นก้อนเล็กก้อนละ 4-5 กรัม สำหรับทำส่วนหู นำแป้งแต่ละก้อนมาใส่ไส้บลูเบอร์รี หุ้มให้มิด ใส่ลงในพิมพ์มัฟฟิน พักแป้งไว้ 20 นาทีจนขึ้นฟู ทาหน้าขนมปังด้วยนมสด นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 20 นาทีจนสุก ทาด้วยเนยสด ตกแต่งด้วยช็อกโกแลตให้สวยงาม

มาทำขนมปังแฟนซีน่ารักๆ ด้วยลวดลายแบบง่ายๆ อย่างขนมปังลายม้าลาย แป้งสลับสีขาวดำนำไปอบจนสุกหอม ได้ขนมปังเนื้อนิ่ม ลไลซ์แผ่นหนาหรือบาง เสิร์ฟกับชา กาแฟ หรือแซนด์วิชไส้ตามชอบ   ส่วนผสม แป้งขนมปัง 200 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 100 กรัม น้ำตาลทราย 45 กรัม นมสด 3/4 ถ้วย ยีสต์แห้ง 2 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา เนยสดเค็ม 55 กรัม ผงชาร์โคล 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ผสมนมสด น้ำตาลทราย และเกลือ คนให้เข้ากัน ใส่ยีสต์ คนพอเข้ากัน ใส่แป้งขนมปังและแป้งสาลี คนให้เข้ากัน ใส่เนยสดเค็มละลาย นวดต่อให้เข้ากันจนจับตัวเป็นก้อน   แบ่งแป้ง 1/3 ส่วน นำมาผสมกับผงชาร์โคล นวดให้เข้ากัน พักแป้งทั้ง 2 สีไว้ประมาณ 30 นาทีจนขึ้นเป็นสองเท่า ตัดแบ่งแป้งสีขาวและสีดำเป็นก้อนเล็กให้ได้ประมาณ 10-12 ก้อน นำมารีดเป็นแผ่น วางซ้อนสลับสีขาวกับสีดำจนหมดแป้ง ใส่แป้งลงในพิมพ์ขนมปังขนาด 8 นิ้ว พักแป้งให้ขึ้นเป็น 2 เท่า ปิดฝา พักแป้งไว้อีก 15 นาที นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 40-45 นาทีจนสุก พอขนมปังเย็น นำออกจากพิมพ์ สไลซ์เป็นแผ่นหนาบางตามชอบ

Flan Pâtissier (ฟรอง ปาติซีเรีย) เป็นขนมเก่าแก่ที่รู้จักกันดีทั่วฝรั่งเศส ขนมนี้ทำด้วยแป้งข้าวโพด ไข่ นม น้ำตาล ทำกันในราชสำนักมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 โดยเฉพาะในพิธีราชาภิเษกของพระเจ้า Henri IV   ฟรองเป็นขนมคัสตาร์ดขึ้นรูปชนิดหนึ่ง สมัยนี้ทำไม่ยากเพราะแป้งที่ใช้กรุพิมพ์จะเป็นแป้ง Puffหรือ Pâte Sucrée และอื่นๆ ที่มีขายสำเร็จรูปตามร้านทั่วไป ขนมแบบนี้มีในแทบทุกประเทศของยุโรปโปรตุเกสมี Pastel de Nata อังกฤษมี Custard Tart และ Crème Caramel ก็เป็นฟรองชนิดหนึ่ง   นอกจากชนิดหวานแล้วยังมีแบบเค็มในรูปของ Quiche ต่างๆ ปัจจุบันฟรองมีหลากหลายรสให้เลือก มีขายตามร้านขนมทั่วไป แต่เพราะทำง่ายจึงทำทานกันตามบ้านด้วย หลายคนชอบอวดว่ามีตำราลับของครอบครัว สูตรที่ทำในฉบับนี้เพื่อนของผู้เขียนที่เป็นเชฟให้มา ซึ่งเป็นตำราที่อยู่ในครอบครัวเขามาหลายชั่วคน   สูตรนี้ใช้แป้งพัฟแต่ถ้าหาไม่ได้ก็ทำเองแบบง่ายๆ กันได้   Rough Puff Pastry ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 200 กรัม น้ำตาลทราย 10 กรัม เกลือ หยิบมือ เนยเย็นหั่นเป็นเต๋าเล็กๆ 240 กรัม น้ำเย็นจัด 90 กรัม (6-8 ช้อนโต๊ะ) วิธีทำ ผสมแป้ง น้ำตาลทราย และเกลือให้เข้ากัน ใส่เนยทั้งหมด ตีด้วยหัวตีรูปพายจนจับเป็นก้อน หรือเติมน้ำทีละช้อนโต๊ะ ใช้มือคลุกพอรวมเป็นก้อนได้ คลึงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พับแป้งเข้าหากันสามทบ กลับด้านพับสอง ห่อด้วยแร็ป เข้าตู้เย็นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง นำแป้งออกจากตู้เย็น คลึงและพับแป้งเหมือนเดิมอีก 5 ครั้ง แช่ตู้เย็นอย่างน้อย 15 นาทีก่อนใช้ Note เนยที่ใช้ต้องเย็นไม่เช่นนั้นแป้งจะไม่พัฟ Custard ส่วนผสม นม 1,200 กรัม วานิลลา 1 ฝัก ไข่ เบอร์ 0 6 ฟอง น้ำตาลทราย 200 กรัม แป้งข้าวโพด 120 กรัม วิปปิงครีม 300 กรัม วิธีทำ เทนมใส่หม้อ ใส่ฝักวานิลลา และน้ำตาลนิดหน่อย ตั้งไฟ คอยคนอยู่เรื่อยๆ ตีไข่กับน้ำตาลและแป้งข้าวโพดด้วยตะกร้อมือ และใช้ที่ปั่นมือ (Giraffe) ตีจนเนียน พอนมเริ่มเดือด ค่อยๆ เทใส่ในไข่จนหมด เทส่วนผสมกลับลงหม้อ ตั้งไฟอ่อน คนจนข้นเหนียว ยกลงจากเตา เติมวิปปิงครีม คนให้ทั่ว เทใส่ภาชนะแบนๆ ปิดด้วยแร็ปให้แนบหน้า พักให้คลายร้อน 1 ชั่วโมง อุปกรณ์ พิมพ์กลมขนาด 22-25 เซนติเมตร ถอดก้นได้   วิธีประกอบขนม ทาเนยให้ทั่วพิมพ์ โรยน้ำตาลทรายสีรำ (น้ำตาลไม่ฟอก) 60 กรัม รีดแป้งพัฟและกรุลงพิมพ์ ใช้ส้อมจิ้มให้ทั่ว แช่ตู้เย็นไว้ระหว่างทำคัสตาร์ด พอคัสตาร์ดพักจนคลายร้อนแล้ว ตีด้วยที่ปั่นมือจนเนียน เทคัสตาร์ดลงในพิมพ์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส นาน 25 นาที เพิ่มไฟเป็น 230 องศาเซลเซียส อบต่ออีก 5 นาที พอให้หน้ามีสีไหม้ๆ นำออกจากเตาอบ พักให้คลายร้อน และนำเข้าตู้เย็นอย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนตัด

เค้กสตรอว์เบอร์รีแบบปอนด์เนื้อเค้กร่วนฟูตัดกับความเปรี้ยวนิดหวานหน่อยของสตรอว์เบอร์รีได้แบบพอดี   ส่วนผสม เนยเค็มละลาย 1/2 ถ้วย น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 3/4 ถ้วย เกลือ 1/8 ช้อนชา ผิวเลมอน 2 ผล ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 3 ฟอง กลิ่นวานิลลา 1 1/2 ช้อนชา โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 110 กรัม น้ำเชื่อมข้าวโพด 1/4 ถ้วย แป้งเค้ก 1 2/3 ถ้วย ผงฟู 2 ช้อนชา เบกกิงโซดา 1/4 ถ้วย สตรอว์เบอร์รี วิธีทำ ผสมน้ำตาลทรายกับผิวเลมอน คนให้เข้ากัน ใส่เกลือ คนให้เข้ากัน ใส่เนยละลาย และน้ำเชื่อมข้าวโพด คนให้เข้ากัน ใส่ไข่ไก่ ตีให้เข้ากัน ใส่โยเกิร์ต และกลิ่นวานิลลา คนอีกครั้งให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้ก ผงฟู และเบกกิงโซดา คนจนเป็นเนื้อเดียวกัน ตักส่วนผสมแป้งประมาณครึ่งหนึ่งใส่พิมพ์เค้กขนาด 2 ปอนด์ วางสตรอว์เบอร์รีหั่นสไลซ์ ใส่ส่วนผสมแป้งเค้กที่เหลือ แล้ววางสตรอว์เบอร์รีอีกชั้น นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 45 นาที จากนั้นลดอุณหภูมิเป็น 160 องศาเซลเซียส เวลา 10 นาทีจนสุก

IF หรือ Intermittent Fasting แนวทางการลดน้ำหนักที่ไม่เน้นอาหาร แต่เน้นช่วงเวลาในการกิน ใน 1 วันจึงมีช่วงเวลาที่กินได้เรียกว่า Feeding และช่วงอดอาหาร Fasting ที่ฮิตที่สุดคือ 16/8 หมายถึง ช่วงเวลาที่กินได้ 8 ชั่วโมง ช่วงอด 16 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายดึงไขมันที่สะสมไว้มาใช้ น้ำหนักเราก็จะลดลงเมื่อทำอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่ง แนวทางนี้แม้จะไม่ถูกกำหนดหรือบังคับเรื่องอาหาร แต่คนรักสุขภาพก็มักจะเลือกของดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และเมื่อเทศกาลปีใหม่มาถึงจึงต้องมองหาขนมที่ไม่มีแคลอรีสูง หรืออาจจะต้องลงมือทำเองเพื่อให้ได้ดั่งใจ ซึ่งไม่ควรยากเกินไปด้วย Almond Flower Financiers น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ   ฟินองเซียเป็นขนมฝรั่งเศสชิ้นเล็กๆ จัดอยู่ในประเภทของกินเล่น แต่เดิมเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ คล้ายทองแท่ง และเป็นที่นิยมกันแถวตลาดหุ้นในปารีสจึงมีชื่อว่า Financier หรือ Finance ขนมนี้ถือกินและพกพาได้สะดวก ไม่หัก ว่ากันว่าแม่ชีในคอนแวนต์เป็นผู้คิดค้นขึ้น และเป็นที่นิยมกันในศตวรรษที่ 19   ส่วนผสมหลักของฟินองเซียมีผงอัลมอนด์ ไข่ขาว แป้ง น้ำตาล วิธีทำดั้งเดิมจะซับซ้อนกว่าในสูตรนี้เพราะต้องนำเนยไปตั้งไฟจนละลายเพื่อให้มีกลิ่นหอมคล้ายนัตหรือที่เรียกว่า Brown Butter เพื่อให้ขนมมีกลิ่นหอม และตีไข่ขาวจนตั้งยอดก่อนไปผสมกับแป้งเพื่อให้เนื้อขนมเบาขึ้น แต่สูตรนี้นำมาผสมตีรวมกัน เนื้อขนมจึงอาจจะแน่นและหนัก และเปลี่ยนจากชิ้นสี่เหลี่ยมเป็นใส่ในพิมพ์เล็กลายหยัก วางราสป์เบอร์รีสีแดงสดใส และตกแต่งด้วยอัลมอนด์สไลซ์ให้ดูสวย   ผงอัลมอนด์ทำจากอัลมอนด์ลอกเปลือกออกแล้วนำมาปั่นให้ละเอียด จัดว่ามีไขมันไม่อิ่มตัวสูง ใช้ไข่ขาวที่มีโปรตีนเป็นหลัก มีส่วนผสมของเนยไม่มาก และหวานนิดๆ มีกลิ่นหอมของผิวเลมอน เมื่ออบเสร็จแล้วริมขอบขนมจะกรอบนิดๆ เนื้อในจะนุ่ม   ปีใหม่นี้ใครมองหาขนมส่งความสุขให้กัน Almond Flower Financiers น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ทั้งสุขภาพดี ความหมายดี และยังทำไม่ยากเลย Almond Flower Financiers ส่วนผสม        แป้งสาลีอเนกประสงค์ 102 กรัม ผงอัลมอนด์ 85 กรัม น้ำตาลทราย 92 กรัม ผิวเลมอนขูด 1 ผล เนยพักไว้ให้นุ่ม 85 กรัม วานิลลา 1 ช้อนชา ไข่ขาว 85 กรัม (ประมาณ 3 ฟอง) ราสป์เบอร์รีสด หรือแช่แข็ง ประมาณ 25 ผล อัลมอนด์สไลซ์สำหรับโรยหน้า อุปกรณ์ พิมพ์ลายหยักอันเล็ก หรือพิมพ์เล็กตามชอบ   วิธีทำ ในชามผสมใส่แป้ง ผงอัลมอนด์ น้ำตาล และผิวเลมอน ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ใส่เนย ตีทั้งหมดให้เข้ากัน ใส่ไข่ขาวทีละฟอง ใส่วานิลลา ตีให้ส่วนผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ตักใส่ในพิมพ์ วางราสป์เบอร์รีตรงกลาง และอัลมอนด์สไลซ์ข้างๆ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส อบนาน 25-30 นาที หรือจนหน้าเป็นสีเหลืองทองสวย พักไว้สักครู่ และแกะออกจากพิมพ์ โรยน้ำตาลไอซิงได้ตามชอบ

ปีใหม่นี้มีสูตรขนมที่อยากครีเอตมอบให้คนรู้ใจกันรึยัง? คุกกี้ช็อกโกแลตจาก G&C น่ารักอร่อยถูกใจผู้รับแน่นอน   ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม เนยสดเค็ม 200 กรัม น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 125 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์สอง 1 ฟอง ช็อกโกแลตแผ่น วิธีทำ ผสมเนยสด น้ำตาลทราย และเกลือ คนด้วยตะกร้อมือให้เข้ากันจนขึ้นฟู ใส่ไข่ ตีให้เข้ากันอีกครั้ง ใส่แป้งสาลี ตีให้เข้ากัน ใส่ถุงบีบพร้อมหัวบีบ (หัวบีบลายตะกร้าขนาด 1 นิ้ว) บีบใส่ถาดอบเป็นแผ่นยาวประมาณ 3.5 นิ้ว วางช็อกโกแลตแผ่น ม้วนแล้วเรียงใส่ถาดอบไว้ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 165 องศาเซลเซียส เวลา 15-20 นาที หรือจนสุก

“อร่อยจังเลยค่ะ ป้าเจี๊ยบ”   ทันทีที่กิน คุกกี้สารพัดถั่ว ของป้าเจี๊ยบ น้องแพรและน้องก๋อน หลานหมายเลข 4 และ 5 พูดเหมือนกันเป๊ะ!   ป้าเจี๊ยบทำคุกกี้สารพัดถั่วเป็นของกินเล่นในวันครอบครัวสัญจรที่พูลวิลล่าจอมเทียนค่ะ การยกครอบครัวออกไปนอกบ้านครั้งแรกคือที่สัตหีบนั้น สมาชิกติดใจมากมาย ขอให้ป้าเจี๊ยบจัดครั้งต่อไปอีก ป้าเจี๊ยบยินดีสิคะ แต่ยกหน้าที่ผู้จัดให้ไม้ไผ่ ใบตอง หลานหมายเลข 1 และ 2 ทำแทน ป้าเจี๊ยบอยู่เฉยๆ เป็นสปอนเซอร์อย่างเดียว...ฮา!   แม้จะมอบหน้าที่ให้หลานๆ ไปแล้วป้าเจี๊ยบก็อยู่เฉยไม่เป็น หาเรื่องทำอาหารและขนมติดมือไปด้วย คุกกี้สารพัดถั่วที่ทำไปนั้นเป็นขนมที่ป้าเจี๊ยบแน่ใจว่าทุกคนจะต้องชอบถึงระดับเบรกแตก กินชิ้นเดียวหยุดไม่ได้!   วิธีทำของป้าเจี๊ยบเริ่มด้วยการกรุกระดาษไขรองอบในถาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 7×7 นิ้ว โดยให้กระดาษไขเกินออกมาทั้ง 4 ด้าน เพื่อจะได้ยกขนมที่เสร็จแล้วออกมาได้ง่าย เตรียมไว้ก่อน   จากนั้นเตรียมถั่วต่างๆ ค่ะ มีพีแคน 1/3 ถ้วยตวง พิสตาชิโอ 1/3 ถ้วยตวง อัลมอนด์ 1/3 ถ้วยตวง เฮเซลนัต 1/3 ถ้วยตวง วอลนัต 1/3 ถ้วยตวง และเมล็ดฟักทอง 1/3 ถ้วยตวง   ป้าเจี๊ยบจะอบบรรดาถั่วทั้งหลายทีละอย่างก่อนค่ะ อบรวมๆ กันไม่ได้เพราะถั่วแต่ละชนิดสุกไม่พร้อมกัน ใส่ถาดเข้าเตาอบที่ปุ่มความร้อน 150 องศาเซลเซียส หรือ 300 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง และปุ่มเวลา 8-10 นาที ต้องคอยเฝ้าไม่ให้ไหม้ เมื่อสุกเป็นสีเข้มขึ้นแล้ว นำถาดออกมาวางพักไว้ให้เย็น ถ้าใช้ถั่วแบบอบแล้วข้ามขั้นตอนนี้ได้ แต่ป้าเจี๊ยบชอบซื้อแบบดิบมาอบเอง   ทำแป้งโดคุกกี้ มีแป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 3/4 ถ้วยตวง เกลือป่น 1/2 ช้อนชา และน้ำตาลทรายละเอียด 6 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงในชาม ใช้ตะกร้อมือคนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วเทเนยแท้รสจืด 1/2 ถ้วยตวงที่ทำให้ละลายแล้วใส่ลงไป ใช้พายซิลิโคนคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน เทแป้งโดลงในถาดอบที่เตรียมไว้ ใช้มือเกลี่ยและกดให้ผิวเรียบแน่นเสมอกัน วางพักไว้ ต่อไปป้าเจี๊ยบเทน้ำเชื่อมข้าวโพด (Corn Syrup) 1/2 ถ้วยตวง นมข้นจืด 1/3 ถ้วยตวง น้ำตาลทรายแดง 3/4 ถ้วยตวง เกลือป่น 1/2 ช้อนชา แป้งเค้ก 1 ช้อนโต๊ะ และเนยแท้รสเค็ม 1/3 ถ้วยตวง ลงในกระทะ ตั้งไฟปานกลาง ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมทั้งหมดกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อสังเกตว่ามีความข้นเหนียวขึ้นจึงใส่ถั่วทั้งหมดที่พักไว้ลงไป ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วเทลงในถาดแป้งโดที่เตรียมไว้ เกลี่ยถั่วให้เสมอกัน   นำถาดเข้าเตาอบที่ปุ่มความร้อน 175 องศาเซลเซียส หรือ 350 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง และปุ่มเวลา 20 นาที พอได้ยินเสียงติ๊ง ก็ยกถาดออกมาวางพักไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง จึงยกกระดาษไขขึ้นเพื่อนำขนมออกจากถาด ดึงกระดาษไขออกแล้วใช้มีดตัดแบ่งเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม ป้าเจี๊ยบตัดเป็นชิ้นพอคำได้ 36 ชิ้นค่ะ   น้องแพรและน้องก๋อนเบรกแตกไปเรียบร้อยแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ เบรกแตกตามมาติดๆ ฮา!   ป้าเจี๊ยบคิดว่านี่แหละ...เหมาะจะทำเป็นของขวัญแก่ญาติมิตรในโอกาสวันปีใหม่ที่จะถึงนี้เล้ยยยย…

เมนูคุกกี้ทำง่ายของหวานสุดเก๋ในช่วงคริสต์มาส   ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 1/2 ถ้วย เนยสดรสจืด 150 กรัม น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 1/2 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 1 ฟอง สีผสมอาหารชนิดเจล สีเขียวมินต์ 2-3 หยด ลูกปัดน้ำตาลตามชอบ วิธีทำ คนเนยสด น้ำตาลทราย และเกลือเข้าด้วยกันจนเป็นครีม ใส่ไข่ไก่ ตีต่อให้เข้ากัน ใส่แป้งสาลี ผสมให้เข้ากัน แบ่งไว้เล็กน้อย ใส่สีผสมอาหาร ผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถุงบีบ บีบเป็นรูปต้นสนและวงกลม นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 155 องศาเซลเซียส เวลา 15 นาที หรือจนสุก พักคุกกี้ให้เย็น ใช้ไวต์ช็อกโกแลตละลายแต้มบนคุกกี้ ติดด้วยลูกปัดน้ำตาล 

ส่วนผสมและวิธีทำผลไม้แห้งแช่เหล้ารัม เนื้อเชอร์รีในน้ำเชื่อม 200 กรัม | เนื้อมะม่วงตากแห้ง 200 กรัม | เนื้อสับปะรดตากแห้ง 200 กรัม | เนื้อมะละกอตากแห้ง 200 กรัม | ลูกเกด 200 กรัม | มิกซ์เบอร์รีตากแห้ง 300 กรัม | เหล้ารัม 1 ลิตร ลวกขวดแก้วที่จะแช่ผลไม้ด้วยน้ำร้อน เช็ดให้แห้ง ใส่ผลไม้แห้งในขวด ใส่เหล้ารัมจนท่วมผลไม้แห้ง ปิดฝาให้สนิท วางไว้ในที่ไม่โดนแสงประมาณ 1 เดือน ส่วนผสมฟรุตเค้ก (สำหรับ 4 ปอนด์) บราวน์บัตเตอร์ 400 กรัม | น้ำตาลทรายแดง 450 กรัม | ไข่ไก่ 8 ฟอง | แป้งสาลีอเนกประสงค์ 420 กรัม | ผงฟู 1 1/2 ช้อนชา | ผงอบเชย 3 ช้อนชา | ผลไม้แห้งแช่เหล้ารัม 900 กรัม | เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 450 กรัม | กลิ่นวานิลลา 2 ช้อนชา | ผงออลสไปซ์ (All Spice) 1 ช้อนชา | ผงลูกจันทน์เทศ (Nutmeg) 1 ช้อนชา | ผลไม้สำหรับตกแต่งหน้าเค้กตามชอบ   วิธีทำ ตีบราวน์บัตเตอร์ น้ำตาลทรายแดง และไข่ไก่ด้วยหัวตีใบไม้ (Paddle) ในเครื่องผสมให้เข้ากัน ค่อยๆ ร่อนแป้ง และผงฟูใส่ลงไป ใช้ความเร็วต่ำตีผสมให้เข้ากัน ใส่ผงอบเชย กลิ่นวานิลลา ผงออลสไปซ์ และผงลูกจันทน์เทศ ผสมต่อให้เข้ากันสักครู่ ใส่เนื้อผลไม้แช่เหล้า และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผสมให้เข้ากันดี เทใส่พิมพ์ขนาด 4 ปอนด์ที่ทาเนยและร่อนแป้งเตรียมไว้ เทใส่ประมาณ 3/4 ของพิมพ์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 30-45 นาที จนเค้กสุก พักไว้บนตะแกรงให้หายร้อน นำเหล้าที่ได้จากการแช่ผลไม้แห้งพรมให้ทั่วเค้ก แล้วนำไปแช่ในตู้เย็น ทำซ้ำประมาณ 2-3 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับความชอบ) ตกแต่งบนหน้าเค้กด้วยผลไม้สดตามชอบให้สวยงาม

ชวนทำเมนูขนมปังฟักทอง หน้าตาน่ารักน่ากินเหมือนผลฟักทองจริงๆ อร่อยกันได้ทั้งบ้าน   ส่วนผสม เนื้อฟักทองนึ่งบด 1 ถ้วย แป้งขนมปัง 430 กรัม ยีสต์แห้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/4 ช้อนชา นมสด 1/4 ถ้วย ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 1 ฟอง เนยสด 1/4 ถ้วย   วิธีทำ ผสมแป้งขนมปัง น้ำตาลทราย ยีสต์ และเกลือลงในโถผสม ใส่เนื้อฟักทอง ตีให้พอเริ่มเข้ากัน ใส่ไข่ไก่ ตีไปเรื่อยๆ ใส่นมขณะเครื่องทำงาน พอส่วนผสมเข้ากันใส่เนยสด ตีจนแป้งเนียน พักแป้งไว้ 45 นาทีจนขึ้นเป็น 2 เท่า นำแป้งออกจากพิมพ์ ตัดแบ่งเป็นก้อนเล็กๆ คลึงให้กลม มัดด้วยเชือกให้เป็นทรงผลฟักทอง พักแป้งไว้ 15 นาที ทาแป้งด้วยไข่แดงผสมน้ำ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 20-25 นาทีจนสุก พักไว้ ติดขั้วด้วยแท่งขนมปังกรอบ  

เค้กหลุยส์ (Louise Cake) เป็นขนมที่อร่อยชนิดหนึ่งของประเทศนิวซีแลนด์ มีชื่อเสียงพอๆ กับพาฟโลวา ขนมที่ทำจากเมอแรงก์ เนื้อเบา กรอบ ถ้าใครไปเที่ยวนิวซีแลนด์ก็จะเห็นขายตามร้านขนมทั่วไป   ขนมนี้ประกอบด้วยฐานที่เป็น Shortbread ไส้ราสป์เบอร์รีหรือพลัม ปิดด้วยเมอแรงก์มะพร้าวและ/หรืออัลมอนด์ ว่ากันว่าทำขึ้นเพื่อฉลองการแต่งงานของเจ้าหญิงหลุยส์ ธิดาองค์หนึ่งของพระราชินีวิคตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร ปัจจุบันเค้กหลุยส์จะมาในหลายรูปแบบ ฐานบางทีเป็นเค้กมะพร้าว ไส้อาจจะเป็นผลไม้สด เช่น พีช แอปริคอต เชอร์รี และเมอแรงก์อัลมอนด์   เค้กนี้เมื่อทำเสร็จแล้วเก็บในตู้เย็นได้นานถึง 2 สัปดาห์   Louise Cake ส่วนผสมฐานเค้ก เนยอุณหภูมิห้อง 130 กรัม น้ำตาลทราย 100 กรัม ผิวเลมอน 1 ผล ไข่แดงเบอร์ 0 3 ฟอง แป้งสาลีอเนกประสงค์ 110 กรัม ผงอัลมอนด์ 35 กรัม ผงฟู 5 กรัม เกลือ 3 กรัม นมข้นจืด 80 กรัม วานิลลา 1 ช้อนชา อุปกรณ์ พิมพ์ถอดได้ขนาด 12×10 นิ้ว กรุกระดาษไข ทาเนย เตรียมไว้   วิธีทำ ตีเนยกับน้ำตาลทรายจนฟู ใส่ไข่แดงทีละฟอง ตีพอเข้ากัน ผสมแป้ง ผงอัลมอนด์ ผงฟู และเกลือเข้าด้วยกัน ใส่ลงในส่วนผสมเนยสลับกับนมข้นจืด ใส่ผิวเลมอน และวานิลลา เทใส่พิมพ์แล้วเกลี่ยหน้าให้เสมอกัน นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส อบนาน 20-30 นาที นำออกจากเตา พักสักครู่ให้คลายร้อน ส่วนผสมไส้ผลไม้ ลูกพลัมสด 10 ผล แยมผลไม้สีแดง 3 ช้อนโต๊ะ เหล้ารัม 3 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ หั่นพลัมออกเป็นผลละ 8 ชิ้น ใส่แยมและเหล้ารัมในกระทะ ตั้งไฟพอเดือด ใส่ลูกพลัม คนจนน้ำแห้ง พักไว้   ส่วนผสมเมอแรงก์ ไข่ขาว 140 กรัม เกลือ หยิบมือ น้ำตาลทราย 180 กรัม วานิลลา 1 ช้อนชา น้ำส้มสายชู 1 ช้อนชา แป้งข้าวโพด 1 ช้อนชา อัลมอนด์สไลซ์ 60 กรัม มะพร้าวอบแห้ง 20 กรัม วิธีทำ ใส่เกลือในไข่ขาว ตีจนตั้งยอดอ่อน ค่อยๆ ใส่น้ำตาลทรายจนหมด ตีจนยอดแข็ง ใส่วานิลลา แป้งข้าวโพด และน้ำส้มสายชู ตะล่อมให้เข้ากัน ใส่อัลมอนด์และมะพร้าวอบแห้ง ตะล่อมให้เข้ากัน วิธีประกอบเค้ก ตักลูกพลัมวางบนฐานเค้ก จะวางเรียงให้เป็นระเบียบก็ได้ ไข่ขาวหรือเมอแรงก์จะเกาะมากกว่า แต่อย่าวางซ้อนกัน ตักเมอแรงก์วางบนหน้า นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 35-40 นาที หรือจนหน้ามีสีเหลืองสวย นำออกจากเตาอบ พักไว้อย่างน้อย 30 นาที ก่อนตัดเสิร์ฟ

Blue by Alain Ducasse ห้องอาหารสัญชาติฝรั่งเศสมิชลินสตาร์ 1 ดาว ของเชฟอลัง ดูคาส (Alain Ducasse) ที่ตั้งอยู่ในไอคอนสยาม ศูนย์การค้าชื่อดังริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา รังสรรค์ Bespoke Afternoon Tea มานำเสนอเป็นครั้งแรกของร้าน จากฝีมือเชฟคนใหม่ของครอบครัวบลู เชฟคริสตอฟ กรีโล (Chef Christophe Grilo) ผู้อยู่เบื้องหลังชุดน้ำชารสเลิศและขนมซิกเนเจอร์ ปาเนตโตเน (Panettone) แสนอร่อย เชฟคริสตอฟ กรีโล (Chef Christophe Grilo) เชฟชาวฝรั่งเศสผู้มีสีหน้าดูเข้มและดุดัน แต่แฝงด้วยอารมณ์ขันเมื่อได้พูดคุย เชฟเติบโตและเรียนทำอาหารที่ประเทศฝรั่งเศสก่อนออกเดินทางท่องเที่ยวและทำงานหลากหลายที่ในตำแหน่ง Executive Pastry Chef เช่น l'Orangerie Relais et Chateaux Los Angeles จนกระทั่งเปิดร้านเบเกอรี่ชื่อ Canelé Pâtisserie Chocolaterie ที่สิงคโปร์กว่า 10 ปี จึงได้มาทำงานที่ไทย   เมื่อพูดถึงคอนเซ็ปต์อาฟเตอร์นูนที เชฟบอกว่า “ผมต้องการทำสิ่งใหม่ที่แตกต่างจากอาฟเตอร์นูนทีให้มากกว่าเดิม จะเห็นได้ว่าเรามีอะมุสบุช (Amuse-bouche) ทั้งของคาวและหวานที่ทำใหม่ทุกครั้งเมื่อจะเสิร์ฟ นอกจากเซ็ตอาฟเตอร์นูนทีแล้วจะมีโทรลลีย์ขนมหวานหลากหลาย เช่น Rum Baba, Lemon Tarte, Strawberry Short Cake French Style และขนมอื่นๆ ผมอยากให้คนได้มาชิมแล้วมีความสุขและอบอุ่น ดื่มด่ำกับบรรยากาศในทุกช่วงเวลาที่เข้ามาในที่แห่งนี้”   แล้วเซ็ตอาฟเตอร์นูนทีควรจะเป็นเช่นไร? เชฟบอกว่าโดยทั่วไปต้องมีเชิงหรือชั้นสำหรับใส่ของคาวและของหวานอย่างละครึ่งๆ ของหวานก็ยังแบ่งเป็นของหวานกึ่งคาว (Savory Sweet) และของหวาน (Sweet-Sweet) แล้วแต่ว่าบ้านไหนอยากจะเสิร์ฟอะไร ถ้าเป็นร้านอาหารอย่างที่นี่จะมาพร้อมรถเข็น (Trolly) ที่มีขนมหรือของว่างเพิ่มเติม โดยเลือกใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล และจะต้องจับคู่กับชาชั้นดีเพื่อเพิ่มความสุนทรี สำหรับ “Panettone” แปลว่า “ขนมปังก้อนใหญ่” เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของเชฟคริสตอฟ รสชาติเข้มข้น ได้กลิ่นหวานหอมจากเปลือกส้มและลูกเกด จัดว่าเป็นขนมปังที่ทำยากเมนูหนึ่ง เชฟเริ่มทำเมื่อ 15 ปีก่อน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 โดยมีเชื้อหมักซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของขนมปังชนิดนี้ที่เรียกว่า “Pasta Madre” หรือ “Levain” ยีสต์ตั้งต้นหมักแบบธรรมชาติที่เชฟเลี้ยงด้วยแป้งและน้ำในทุกๆ เช้า   ขั้นตอนการทำก็ต้องใช้เวลากว่า 40 ชั่วโมง หรือประมาณ 3 วัน เริ่มตั้งแต่หมักแป้ง พักแป้ง อบ และพักให้เย็น ต้องพิถีพิถันทุกขั้นตอน และใส่ใจในรายละเอียดอย่างมาก ความพิเศษยังอยู่ที่หลังอบเสร็จจะต้องเสียบไม้ที่ฐานแล้วแขวนคว่ำหน้าขนมปังลงประมาณ 12 ชั่วโมง จะทำให้เนื้อขนมปังเป็นโพรงสวย เพราะความเข้มข้นของไข่และเนยจะทำให้ยุบตัวเมื่อเย็นลง   แค่ฟังรายละเอียดก็เชื้อเชิญให้ไปชิมอาฟเตอร์นูนทีที่น่าประทับใจนี้ Panettone ปาเนตโตเน ส่วนผสมแป้งโดที่ 1 (สำหรับ 1 ชิ้น นำหนักประมาณ​ 500 กรัม) แป้งขนมปัง 140 กรัม ยีสต์ตั้งต้น (Pasta Madre) 30 กรัม น้ำเปล่า 40 กรัม น้ำตาลทราย 30 กรัม ไข่แดง 1 ฟอง เนยจืด (อุณหภูมิห้อง) 80 กรัม วิธีทำ ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องผสม (ยกเว้นเนย) ใช้หัวตีตะขอ (Dough Hook) นวดให้เนื้อเนียนสักพัก เมื่อแป้งเริ่มไม่ติดโถผสมให้ใส่เนย แล้วนวดต่อให้พอเข้ากัน นวดด้วยความเร็วระดับ 1 ประมาณ 12 นาที และต่อด้วยความเร็วระดับ 2 ประมาณ 8 นาที จนเนยกับแป้งเข้ากันและเนื้อเนียน พักแป้งไว้ในกล่องพลาสติกที่อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียส นาน 16 ชั่วโมง ส่วนผสมแป้งโดที่ 2 แป้งโดที่ 1 แป้งขนมปัง 20 กรัม น้ำตาลทราย 30 กรัม ไข่แดง 50 กรัม เนื้อส้มบด 10 กรัม กลิ่นวานิลลา 5 กรัม น้ำผึ้ง 12 กรัม เกลือ 3 กรัม เนยจืด 80 กรัม ลูกเกดดำ 50 กรัม ผิวส้มเชื่อม 50 กรัม วิธีทำ ผสมแป้งโดที่ 1 กับแป้งขนมปัง น้ำตาลทราย เกลือ และไข่แดงในเครื่องผสมด้วยความเร็วระดับ 1 นาน 15 นาที ใส่เนย กลิ่นวานิลลา น้ำผึ้ง และเนื้อส้มบด ผสมต่ออีก 15 นาทีจนเนื้อเนียน ใส่ลูกเกดและผิวส้มเชื่อม ผสมต่อสักครู่ด้วยความเร็วระดับ 1 ประมาณ 2 นาที เทแป้งใส่ชาม พักแป้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วพับแป้งให้เป็นทรง นำไปใส่พิมพ์ปาเนตโตเน พักแป้งต่อในอุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียส นาน 14 ชั่วโมง นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส นาน 50 นาที เมื่ออบจนสุกให้นำไม้แหลมยาวๆ 2 ไม้เสียบที่ฐานแล้วนำไปแขวนคว่ำหน้าลง พักไว้ 12 ชั่วโมง

ขนมตาล...   ป้าเจี๊ยบชอบกินขนมตาลมากค่ะ สมัยก่อนเห็นที่ไหนเป็นต้องซื้อมากิน แต่กัดคำเดียวก็คายทิ้งทุกครั้ง เพราะไม่ได้กลิ่นตาล ลิ้นสัมผัสบอกว่าเหมือนกินแป้งใส่สีเหลือง ไม่ใช่ขนมตาลแบบที่เคยกิน ถอดใจหันหลังให้ขนมตาลมานับสิบปี ใครคะยั้นคะยอก็ไม่เปลี่ยนใจ   แต่แล้ววันหนึ่ง เห็นโฆษณาออนไลน์ขายเนื้อลูกตาลสุก ยีสดๆ บรรจุขวด รีบสั่งขนาด 500 กรัมมา 1 ขวดทันที จัดการทำขนมตาลโบราณที่หอมกลิ่นตาลและเจือรสเปรี้ยวนิดๆ ติดปลายลิ้น กินจนจุใจ หายอยาก เนื้อตาลยีเหลือประมาณ 1/3 ขวด เก็บแช่แข็งไว้ อยากกินเมื่อไรค่อยทำอีก   แช่แข็งไว้นาน...จนกระทั่งเพื่อนชาวคณะเรื่อยเปื่อยเปรยว่าอยากกินปู ป้าเจี๊ยบจึงจัดทัวร์ 3 วัน ขับรถพาเพื่อนๆ ไปคลองวาฬ ประจวบคีรีขันธ์ แวะเที่ยวกันไปเรื่อยๆ ทั้งถ้ำเขาหลวง วนอุทยานปราณบุรี บึงบัวสามร้อยยอด ถ้ำพระยานคร พอถึงคลองวาฬได้กินปูสดๆ หวานๆ เต็มอิ่ม จัดให้โดยเจ้าถิ่น ศรีสุลักษณ์ เจียมเจิม    ในระหว่างเที่ยวพวกเราถือคติว่าต้องกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น แต่ละคนซื้อโน่นนี่ไปตามอัธยาศัย ป้าเจี๊ยบเจอจาวตาลเชื่อมสิคะ ปิ๊งๆๆ ไอเดียเค้กจาวตาลใส่เนื้อลูกตาลยีขึ้นมาทันที...เย้!   ใครๆ ทำเค้กเนื้อลูกตาล พายลูกตาล ป้าเจี๊ยบจะทำเค้กจาวตาล ของหายาก สืบค้นสรรพคุณพบว่ามีฟอสฟอรัสสูง เสริมสร้างกระดูก คนโบราณใช้รักษาอาการนิ่วในถุงน้ำดี ภาวะน้ำดีข้น อาหารไม่ย่อย กรดไหลย้อน   กลับถึงพระนคร พักผ่อนจนหายเมื่อยล้า ไม่รอช้าทำตามที่คิดไว้ทันที หยิบเนื้อลูกตาลยีแช่แข็งออกมาวางทิ้งไว้จนละลาย เตรียมถาดอบขนาด 8×8 นิ้ว ปูด้วยกระดาษรองอบ แล้ววอร์มเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส หรือ 325 องศาฟาเรนไฮต์   เตรียมชามแห้ง มีแป้งสาลีอเนกประสงค์ 125 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ผงฟู 1 ช้อนชา ใช้ตะกร้อมือคนส่วนผสมทั้งหมดให้กลมกลืนกันดี   ถึงเวลาทำชามเปียกค่ะ ป้าเจี๊ยบใช้ตะกร้อมือตีเนยแท้รสจืด (อุณหภูมิห้อง) 30 กรัม น้ำมันมะพร้าว 20 กรัม และน้ำตาลทรายแดง (ร่อนก่อน) 100 กรัม จนกระทั่งน้ำตาลละลายหมด ใส่ไข่ไก่เบอร์สาม 1 ฟอง ตีต่อให้เข้ากัน จากนั้นใส่เนื้อลูกตาลยี 120 กรัม แล้วตีต่อจนเนียนเป็นครีม ใส่เนื้อจาวตาลเชื่อมหั่นเต๋า 1/3 ถ้วยตวงลงไป คนให้เข้ากัน     เทชามแห้งลงไปในชามเปียก ใช้พายซิลิโคนตะล่อมๆ ให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน เทใส่ถาดแล้วเกลี่ยหน้าให้เสมอกัน กระแทกถาด 3-4 ครั้งกับโต๊ะเพื่อไล่ฟองอากาศ วางเรียงเนื้อจาวตาลเชื่อมหั่นเส้นไว้ด้านบนเป็นแถวๆ   นำเข้าเตาอบที่ตั้งปุ่มความร้อนไว้ที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส หรือ 325 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง ปุ่มเวลา 30 นาที กลิ่นตาลหอมฟุ้งมาก่อนเสียงติ๊งเลยค่ะ พอครบเวลาแล้วป้าเจี๊ยบยกถาดออกมาวางพักไว้ประมาณ 10 นาที จึงนำเค้กออกจากถาดมาผึ่งบนตะแกรง   ป้าอี๊ดแผนกคิวซีตามกลิ่นมานั่งรออยู่แล้ว ป้าเจี๊ยบตัดเค้กเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมได้ 16 ชิ้น เนื้อเค้กสีเหลืองลูกตาลสวยเลยค่ะ จัด 2 ชิ้นใส่จาน แต่งหน้าด้วยจาวตาลเชื่อมเพิ่มอีกหน่อย ชิมกันสิคะ   ป้าเจี๊ยบขอไปชงชาก่อน ตอนถือถ้วยชากลับมาได้ยินเสียงป้าอี๊ดถามว่า “กินอีกได้มั้ย?”   อ้าว! จานของป้าอี๊ดเกลี้ยงแล้วนิ...อิอิ ตามสบายเลยเพื่อน!