ใครกำลังเหนื่อยหน่ายกับการงานอันเคร่งเครียดอยู่ล่ะก็ ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาชาร์จพลังสักนิดที่ Gloria Jean’s Coffees สาขาสาทร-นราธิวาส ร้านกาแฟสัญชาติออสเตรเลียที่ไม่ได้เป็นแค่ร้านกาแฟเท่านั้น แต่ยังเป็นโชว์รูมขนาดย่อมที่รวบรวมเมล็ดกาแฟจากหลายประเทศทั่วโลกเอาไว้ รวมถึงมีเครื่องชงกาแฟหลายแบบ ตั้งแต่เฟรนช์เพรสไปจนถึงไซฟอนเลยทีเดียว         แม้ Gloria Jean’s Coffees จะมีให้เราได้เช็คอินหลายสาขา แต่สิ่งที่ทำให้สาขานี้แตกต่างออกไปคือความโปร่งโล่ง นั่งสบาย และเป็นส่วนตัวมากๆ เหมาะกับการหอบหิ้วโน้ตบุ้กมานั่งทำงาน (โซฟานุ่มเหลือเกิน) รวมถึงทีมบาริสต้าที่มีความรู้เรื่องกาแฟอย่างครอบคลุม       มาถึงแล้วลองเทสต์กลิ่นของเมล็ดกาแฟที่หน้าเคาน์เตอร์สักหน่อย วันนี้เราได้ลอง French Breakfast Blend, French Vanilla ,Papua New Guinea Organic และ Chocolate Macadamia และตกลงปลงใจเลือก Chocolate Macadamia มาชงแบบไซฟอน กลิ่นหอมหวาน ดื่มง่าย รสชาติสมดุล และมีรสขมปลาย เหมาะกับคนที่อยากจิบกาแฟดำที่ไม่หนักจนเกินไปนัก แล้วสั่ง GJC’s Signature Cheesecake ชีสเค้กเนื้อแน่น รสละมุนมากินคู่กัน เก๋ตรงที่เบิร์นน้ำตาลที่โรยด้านบนให้เป็นสีน้ำตาลสวยก่อนเสิร์ฟ ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมและความกรุบกรอบเบาๆ       ส่วนใครชอบกาแฟเย็น แนะนำ Iced Coffee Yuzu Soda แก้วนี้ช่วยเรียกความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เพราะมีทั้งความขม รสเปรี้ยวซ่า และกลิ่นหอมๆ ของยูซุ และสำหรับสายหวาน ลองสั่ง Voltage เมนูซิกเนเจอร์ที่นำกลิ่นหอมละมุนของวานิลลา ความมันจากนมสด และรสขมเล็กๆ จาก Espresso Bean มาปั่นรวมกันจนเนื้อเนียน ก่อนกินเทเอสเพรซโซ่ช็อตลงไปด้านบนให้ไหลลงมาเหมือนลาวา หรือจะลอง Affogato ไอศกรีมวานิลลาหอมหวานตัดกับกาแฟเอสเพรสโซเข้มข้นก็ดีงาม         ชาว Coffee Lover อย่าพลาดเชียว

ใครจะคิดว่าย่านเก่าแก่อย่างเฟื่องนครจะมีร้านคาเฟ่สุดเก๋ซ่อนตัวอยู่ “Simiaokafei” (ซื่อเมี่ยวคาเฟย) แปลว่ากาแฟข้างวัด ดูเหมือนว่าชื่อและสถานที่จะมีความสอดคล้องกันไม่ใช่น้อย ก็แหมม ร้านนี้อยู่ห่างจากวัดราชบพิธเพียงแค่ข้ามถนนมาเท่านั้น       เมื่อก้าวเข้ามาบรรยากาศภายในร้านตกแต่งด้วยสไตล์จีนโมเดิร์นแต่ยังแฝงกลิ่นอายของชิโนโปรตุกีส เพราะตัวร้านเป็นตึกเก่าแก่อายุมากกว่า 150 ปี นอกจากนี้เจ้าของยังเพิ่มความเก๋ด้วยการทุบกำแพงบางส่วนเพื่อเผยให้เห็นเนื้ออิฐด้านใน แถมยังพ่นรูปผู้หญิงใส่ชุดจีนบนผนังเพื่อเพิ่มลูกเล่นให้กับร้านอีกด้วย       นอกจากบรรยากาศร้านและการตกแต่งจะเป็นสไตล์จีน เมนูของที่นี่ก็มีกลิ่นอายของจีนด้วยเช่นกัน เริ่มจากซิกเนเจอร์อย่างก๊กเฟย น้ำเก๊กฮวยเย็นๆ แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนจากขนุน เพิ่มความน่ารักที่ขอบแก้วด้วยสับปะรดอบแห้งที่เจ้าของร้านทำขึ้นมาเอง แต่สำหรับคอกาแฟต้องจัดไปเลยกับเมนูพิโคโล ลาเต้ ได้เมล็ดกาแฟที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ส่งตรงจากโรงคั่วที่ชนะเลิศการประกวดของประเทศเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมี ช็อกโกแลตเย็นสูตรเข้มข้น เพราะเป็นช็อกโกแลตนำเข้าจากฝรั่งเศส แถมยังได้บาริสต้าฝีมือดีมาชงอีก งานนี้ใครที่เป็นสาวกช็อกโกแลตต้องถูกใจแน่นอน         แต่หากใครอยากหาอะไรรองท้องเบาๆ ก็ขอแนะนำปังจีบ ขนมปังขาวกรอบๆ ที่ห่อไส้ด้วยไวท์ซอสแฮม รสชาติเข้มข้น ไม่ว่าจะกินคู่กับเครื่องดื่มไหนก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี นอกจากนี้ทางร้านยังมีเมนูลับในแต่ละเดือนสลับหมุนเวียนกันมาให้เราได้ลิ้มลองกัน สามารถติดตามได้จากทางเพจเฟสบุ๊คหรือเข้ามาสอบถามที่ร้านก็ได้  

ใครเป็นแฟน Amber Coffee Brewery ร้านกาแฟชื่อดังจากฮ่องกงซึ่งปลุกปั้นโดย Dawn Chan เจ้าของร้านผู้เป็นแชมป์บาริสต้าฮ่องกง 2 สมัย แถมยังไปคว้าอันดับ 4 จากการแข่งขัน World Barista Championship มาครองไม่ต้องไปรอคิวอันยาวเหยียดที่ฮ่องกงอีกต่อไป เพราะแอมเบอร์มาเปิดสาขาแรกในไทยให้ไปละเลียดรสชาติของกาแฟ Specialty Coffee ระดับพรีเมียมกันสบายๆ ในชื่อ “høst x AMBER” ซึ่งเป็น Collaboration Project ร้านแรกของ Zen@Central world         ก่อนเลือกกาแฟรสเลิศมาเป็นแก้วแรกของวัน เราอยากให้ลองหามุมสวยๆ ในร้านนั่งให้สบายใจสักนิด โดยเฉพาะมุมโต๊ะเก๋ๆ ข้างผนังกระจก ที่มีแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าทอดเข้ามายิ่งช่วยให้อารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก       สำหรับกาแฟแก้วแรกที่เราไม่ขอพลาดแน่นอนต้อเงป็น Amber เมนูซิกเนเจอร์ดีกรีแชมป์ที่คุณ Dawn หยิบ Gesha หนึ่งในเมล็ดกาแฟราคาสูงระดับโลกมาใช้เป็นเบสเอสเปรสโซ ผสมน้ำสับปะรดหมักกับดอกฮ็อบส์ เพิ่มกลิ่นอโรมาด้วยควันจากชาเอิร์ลเกรย์ เป็นเมนูที่ซับซ้อนแต่หอมและสดชื่นสุดๆ ต่อด้วย Strawberry Soda เมนูกาแฟสุดเก๋ที่มีชื่อน่าแปลกใจ เพราะนี่คือเอสเปรสโซอินฟิวส์กับ Palm Sugar เพิ่มความซ่าด้วยโซดา จิบแล้วเหมือนกำลังดื่มสตรอว์เบอร์รีโซดาหวานเปรี้ยวเย็นสดชื่น       ส่วนสายกาแฟนม เราแนะนำ Hot Latte เมนูยอดนิยมใช้เมล็ดกาแฟบราซิล 70 เปอร์เซ็นต์ และอินโดนีเซีย 30 เปอร์เซ็นต์ ผสมผสานจนได้กาแฟเฮาส์เบลนด์รสชาตินุ่มละมุน หากรู้สึกว่าท้องจะว่างเกินไป ลองสั่ง Dark Chocolate Brownie บราวนีดาร์กช็อกโกแลตเข้มข้น เนื้อแน่นหนึบ ราดช็อกโกแลตหอมหวานอีกสักชิ้นเป็นอันอิ่มกำลังดี    

ใครที่กำลังจะไปเที่ยวโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น อย่าพลาดจุดเช็คอินใหม่ล่าสุด! Starbucks Reserve® Roastery Tokyo ตั้งอยู่ใจกลางย่านสร้างสรรค์สุดฮิป “นากะเมะกุโระ” (Nakameguro) สตาร์บัคส์ โรสเตอรี่ โตเกียว แห่งนี้นับเป็นสตาร์บัคส์ โรสเตอรี่ลำดับที่ห้าของโลก เปิดให้บริการเมื่อ28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ครอบคลุมพื้นที่อาคารทั้งสี่ชั้นที่ตั้งโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหล่าต้นซากุระที่เรียงรายริมแม่น้ำเมะกุโระพร้อมให้บริการลูกค้าด้วยกาแฟและชาคุณภาพกว่า 100 รายการ       The Tokyo Roastery ได้รับการออกแบบร่วมกับสถาปนิกชาวญี่ปุ่นชื่อดัง Kengo Kuma เป็นสตาร์บัคส์แห่งเดียวที่ใช้โทนสีของไม้เนื้ออ่อนซึ่งได้จากการปลูกป่าแบบยั่งยืนในญี่ปุ่นโดยมีปรัชญาในการออกแบบคือการเชื่อมต่อ เชื่อมพื้นที่ภายในและภายนอกแบบไร้รอยต่อ ผสมผสานการออกแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่เข้าด้วยกันเพื่อมอบประสบการณ์ที่จะสร้างแรงบันดาลใจตลอดทั้งสี่ชั้น     เมื่อก้าวเข้ามาเราจะได้พบกับถังคั่วกาแฟใหญ่ที่สุดในบรรดา Roastery ของสตาร์บัคส์ มีความสูงตลอดสี่ชั้นของอาคารเลยทีเดียว ถังคั่วทองแดงนี้สร้างขึ้นด้วยเทคนิคการตีทองแดงของญี่ปุ่นที่เรียกว่า Tsubame-Tsuiki ประดับด้วยดอกซากุระทองแดงแฮนด์เมดตั้งแต่ฐานที่ชั้นล่างก่อนจะค่อยๆ กระจายตัวขึ้นสู่ด้านบนสื่อถึงซากุระริมคลองเมะกุโระที่สร้างชื่อให้กับย่านนี้ อย่าลืมเงยหน้ามองเพดานซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะการพับกระดาษ “โอริกามิ” ด้วยล่ะ [readmore]       ณ ที่แห่งนี้ ผู้ที่หลงใหลกาแฟจะได้ทำความรู้จักกาแฟตั้งแต่เมล็ดไปจนถึงกาแฟในถ้วยเสิร์ฟ เริ่มที่ชั้นแรกเป็นโอเพ่นฟลอร์ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาพบกับศิลปะการคั่ว การต้ม และการสร้างสรรค์กาแฟเราจะได้ลิ้มรสกาแฟแปลกใหม่อาทิ Barrel-Aged Cold Brew หรือ The Melrose Tokyo เลือกจับคู่กับของว่างแบบอิตาเลียนแท้จากร้านเบเกอรี่ Princi แห่งแรกในญี่ปุ่นอบสดใหม่ตลอดวันอย่าพลาดชิม Mini Panettone รสชาติพิเศษสำหรับญี่ปุ่น “รสเลมอน” ที่ได้แรงบันดาลใจจากอิตาลี และ “รสซากุระ” ที่ได้แรงบันดาลใจจากญี่ปุ่น รวมทั้งเมนูอื่นๆ อย่าง พิซซา คอร์เน็ต โฟคาเซีย ฯลฯ       นอกจากนี้ยังมีมุมสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟที่สตาร์บัคส์ร่วมออกแบบกับศิลปินและนักออกแบบชาวญี่ปุ่น อาทิ ขนมญี่ปุ่นที่มีอายุกว่า 100 ปี ชุดภาชนะที่ออกแบบโดย Kengo Kuma เค้กเซ็ทของ Tokyo Roastery ที่ร่วมกับแบรนด์เค้กคัสเทลลาที่ก่อตั้งในปี 1624 เป็นต้น     จากนั้นขึ้นบันไดโปร่งสู่ชั้นสองซึ่งจะพาเข้าสู่โลกของชาญี่ปุ่นกับ Teavana Bar ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราจะได้ลิ้มรสชาสูตรพิเศษอย่าง Pop'n Tea Sakura Jasmine ชาจัสมินประดับด้วยหวานเย็นรสไฮบิสคัสและเชอร์รี หรือ Golden Sky Black Tea Latte ที่มีส่วนผสมของผงขมิ้น ทอปด้วยสายไหมขมิ้นสีทอง     Pop'n Tea Sakura Jasmine Golden Sky Black Tea Latte เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสามก็จะได้พบกับค็อกเทลบาร์แห่งแรกของสตาร์บัคส์ในญี่ปุ่น Arriviamo ™ ที่ซึ่งเราจะได้ลิ้มรสเครื่องดื่มค็อกเทลจากกาแฟและชา เฉพาะที่ Tokyo Roastery แห่งนี้เท่านั้น อาทิ Nakameguro Espresso Martini ที่ทำจากเหล้าเกาลัด Crème de Cacao และเอสเปรสโซ่ เสิร์ฟคู่กับช็อกโกแลตจากแบรนด์ของนากาเมะกุโระ หรือ Tokyo Pour Over กาแฟฟิลเตอร์หยดลงมาบนค็อกเทลวิสกี้ เสิร์ฟมาใน Tokkuri หรือภาชนะเสิร์ฟสาเกของญี่ปุ่น และถ้วย Oshoko 2 ใบ นอกจากนี้ยังมีเครืองดื่มอื่นๆ อย่างค็อกเทลคลาสสิค ไวน์ และเบียร์ให้บริการด้วย     Cascara Lemon Sour Nakameguro Way Spring Shower Nakameguro Expresso Martini Tokyo Pour Over ส่วนชั้นสี่เป็นที่ตั้งของเลาจน์ AMU Inspiration Lounge พื้นที่เฉพาะสำหรับการรวมตัวกันที่จัดขึ้นตามแนวคิดของ “AMU” ซึ่งแปลว่า “ถักทอเข้าด้วยกัน” ซึ่งมีรากฐานมาจากการเชื่อมโยงมนุษย์และความสนใจเข้าด้วยกัน นับเป็นครั้งแรกของสตาร์บัคส์ที่จัดให้มีแพลตฟอร์มสำหรับผู้ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมและนักคิดสร้างสรรค์จากทั่วญี่ปุ่น โดยอีเวนท์แรกในเดือนเมษายนเป็นการเฉลิมฉลองบทบาทของผู้นำสตรีในญี่ปุ่น นอกจากนี้ The Tokyo Roastery ยังได้รับการวางแผนให้เป็นที่ตั้งของสมาคมกาแฟพิเศษ หรือ Specialty Coffee Association (SCA) ที่ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกของสตาร์บัคเพื่อฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟในอนาคตด้วย     ปัจจุบัน Starbucks Japan มีสาขา 1,400 แห่งใน 47 จังหวัดทั่วญี่ปุ่น มีบุคลากรในชุดผ้ากันเปื้อนเขียวกว่า 37,000 คน โดย 250 คนประจำที่สาขา The Tokyo Roastery แห่งนี้ ที่พร้อมจะต่อยอดศิลปะและนวัตกรรมกาแฟผ่านกาแฟคั่วสดใหม่ที่ส่งตรงจากทุกมุมโลกสู่โตเกียวในทุกวัน และสร้างสรรค์เป็นเบลนด์ใหม่ เริ่มต้นด้วยเบลนด์ “Tokyo Roast” ที่ผลิตขึ้นในโรสเตอรี่แห่งนี้ ซึ่งจะวางจำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น โดยวางจำหน่ายพร้อมกันทุกสาขาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 มาชมภาพบรรยากาศเปิดร้านวันแรกกันเถอะ   ภาพประกอบโดย Starbucks.com       [/readmore]

เชื่อว่ามิตรรักแฟนคลับร้าน Roots คงยิ้มกันแก้มปริ เมื่อร้านที่หลายคนนิยามว่าเป็นสวรรค์ของคอกาแฟได้ขยับขยายสาขามาใกล้ชิดกับย่านธุรกิจที่เต็มไปด้วยคนทำงานผู้กระหายกาแฟการอย่างแท้จริง แต่การมาครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการเปิดตลาดใหม่ๆ เท่านั้น หากยังเป็นการแนะนำ “กาแฟไทย” มาให้ทุกคนรู้จักกันอย่างเต็มตัวอีกด้วย       แน่นอนว่าบรรยากาศของยังคงให้ความอบอุ่นคุ้นเคยไม่แพ้สาขา The Common ทองหล่อ แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็คือพื้นที่ที่มากกว่าเดิมเกือบเท่าตัว สาขานี้จึงมาพร้อมบาร์กาแฟขนาดใหญ่ใจกลางร้านที่มีที่นั่งรอบๆ ให้เราได้นั่งพูดคุยกับเหล่าพี่ๆ น้องๆ บาริสต้าที่พร้อมแสตนบายให้บริการ โดยกาแฟของที่นี่จะมาจาก 3 พื้นที่หลัก ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย และตาก ที่จะหมุนเวียนมาให้ชิมกัน       เฮาส์เบลนด์หรือกาแฟตัวหลักที่ใช้อยู่ตอนนี้จะมาจากหมู่บ้านปางขอน จังหวัดเชียงราย และหมู่บ้านเลอตอโกร จังหวัดตาก ผสมกันในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 จนได้กาแฟรสเข้มหอมอมเปรี้ยวนิดๆ แต่ถ้าอยากลอง Single Origin ที่นี่ก็มีกาแฟจากพี่สมจิตต์ บ้านขุนลาว จังหวัดเชียงราย กาแฟรสเปรี้ยวสดชื่นอมหวานที่จะนำมาทำเป็นเอสเปรซโซ่       แต่ตัวที่เราได้ลองจะเป็นกาแฟช่างเปา จากหมู่บ้านเลอตอโกร จังหวัดตาก กาแฟรสเปรี้ยวแบบแบล็คเคอร์เรนท์ที่นำเสนอในรูปแบบของ Filter Coffee (120 บาท) ที่เราจะได้ความสนุกจากการเลือกแก้วกาแฟของตัวเอง เพราะแก้วแต่ละใบเป็นเซรามิคปั้นที่ทำมาจากดินอันเป็นแหล่งของกาแฟ หน้าตา ขนาด และลวดลายที่ออกมาจึงไม่เหมือนกันเลย     หากใครเบื่อกาแฟในรูปแบบเดิมก็มี Roots Coffee Shake (180 บาท) กาแฟโคลด์บริวที่ปั่นรวมกับไอศครีมนมกาแฟจากปางขอนจนได้ความละมุนเข้มข้นเย็นชื่นใจ หรือจะลอง Orange Tonic (100 บาท) กาแฟโคลด์บริวผสมโทนิคส้มโฮมเมดที่ยิ่งจิบก็ยิ่งสดชื่น       แต่ถ้ายังไม่จุใจก็ขอแนะนำให้ลองมาจับคู่โดนัทสดใหม่ที่ทอดสดกันวันต่อวัน หรือจะลองพร้อมกับครัวซองต์ก็ขอบอกว่าดีไม่หยอก       แล้วอย่าลืมเขียนให้กำลังใจเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟกันด้วยล่ะ

KOF คอฟฟี่บาร์ดีไซน์เก๋ที่แฝงความเท่ไว้ทุกอณู เปิดตัวในคอนเซปต์ Grab & Go เอาใจคนรักกาแฟย่านสาทร มองเผินๆ ไม่หวือหวาแต่ดาเมจแรงมาก แค่ลองครั้งเดียวก็ตกหลุมรักเพราะจัดเต็มวัตถุดิบพรีเมียมตั้งแต่เมล็ดกาแฟอราบิก้า 100%  นมสด นมถั่วเหลือง ช็อกโกแลต และมัตฉะเจ้าตำรับจากญี่ปุ่น แนะนำให้เตรียมพร้อมรับมือกับประสบการณ์ความตื่นเต้นจาก Single Origin จากทั่วโลกที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้ได้ลิ้มลอง เพราะเรารู้ว่านี่คือที่สุดแห่งความสุขของคอกาแฟตัวจริง         เมนูเด่น KOF Kone จิบเครื่องดื่มสุดล้ำไม่ซ้ำใครในโคนที่มีให้เลือกถึง 3 รสชาติ ได้แก่ ลาเต้ ช็อกโกแลต และมัตฉะ ตัวโคนเคลือบด้วยช็อกโกแลตฟัดจ์ตั้งแต่ต้นจรดปลาย เคี้ยวกรุบกรอบหวานมันอย่างลงตัว Morocchino ดีต่อใจช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ด้วยกาแฟเข้มข้นผสมช็อกโกแลตแท้ ท็อปด้วยช็อกโกแลตขูดใส่ให้กินแบบเน้นๆ Coffee Pudding Latte กาแฟลาเต้เย็น ด้านล่างมีพุดดิ้งรสกาแฟเครมบูเล่ หวานหอมละมุนลิ้น Ruby Fizz เครื่องดื่มสีหวานที่ออกแบบหน้าตาและรสชาติมาเพื่อเติมความสดใสระหว่างวัน จิบเบาๆ ก็เบิกบาน สาขาแรก ชั้น G โรงแรม So Sofitel Bangkok สาทร สาขาล่าสุด J Avenue ทองหล่อ พร้อมเมนูใหม่ๆ ให้ไปลิ้มลอง          

สำหรับใครที่เป็นคอกาแฟอยู่แล้ว เราว่านอกจากการมีหนึ่งในสถานที่โปรดไว้นั่งละเลียดกาแฟหอมกรุ่นแก้วที่ชอบ หลายคนก็ยังคงตามหาร้านกาแฟที่เหมาะใจอยู่เรื่อยๆ แล้วถ้าได้กาแฟคุณภาพที่ปราศจากสารเคมีด้วยแล้วยิ่งดีต่อใจขึ้นไปอีกขั้น เราเลยอยากชวนคนรักน้ำดำให้มาดื่มกาแฟออร์แกนิคที่ร้าน Buna Organic Coffee กัน       กาแฟของที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของ “เปรมสุขฟาร์ม” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “ฟาร์มผักเกษตรอินทรีย์  จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากพี่เปิ้ลเจ้าของฟาร์มทำแปลงผักมานาน ก็เริ่มอยากลองปลูกกาแฟดูบ้าง โดยใช้วิธีปลูกตามธรรมชาติแซมกับต้นไม้ใหญ่ในป่าแบบไม่ใช้สารเคมีในการเลี้ยงดู ตลอดจนการเก็บเกี่ยวและคั่วเบลนด์ที่ปลอดสารอันตรายด้วยเหมือนกัน     กาแฟที่ร้านบูน่า (ชื่อร้านในภาษาแอฟริกาแปลว่ากาแฟ) จะไม่หวือหวาเท่าไหร่ เพราะพี่เปิ้ลและพี่ประครองหุ้นส่วนร้าน อยากให้ทุกคนเข้ามาสัมผัสรสชาติกาแฟอาราบิก้า 100 เปอร์เซ็นต์อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นเลยเน้นเป็นเมนูหลักอย่างเอสเพรสโซ่ อเมริกาโน่ คาปูชิโน่ หรือลาเต้ ที่เราคุ้นเคยกัน ส่วนรสชาติกาแฟจะต่างออกไปตามเมล็ดที่ใช้ เช่น เมนูกาแฟร้อน จะใช้เมล็ดคั่วเข้มกลาง ไม่เหมือนกับเมนูกาแฟเย็น ที่รสชาติเข้มกว่านิดหน่อยเพราะใช้เมล็ดกาแฟคั่วกลางและคั่วเข้มเบลนด์รวมกัน หรือถ้าใครอยากนำเมล็ดกาแฟไปดริปเองที่บ้าน ทางร้านก็มีขายด้วย         อีกหนึ่งอย่างที่เราชอบไม่แพ้กับกาแฟก็คือบรรยากาศ เวลามองจากหน้าต่างออกไปจะเห็นต้นไม้สีเขียวและสวนสวยชวนให้ถ่ายรูปเพลินๆ แถมร้านยังกว้างขวาง มีโซนให้เลือกนั่งเพียบเลย เราจะสั่งกาแฟหนึ่งแก้วแล้วนั่งทอดอารมณ์ ใช้ชีวิตเนิบช้าไปกับกาแฟนานๆ ก็ได้ (พี่เปิ้ลและพี่ประครองก็อยากให้เป็นแบบนั้น)         นอกจากนี้ทางร้านยังเพิ่มอาหารสุขภาพมาสมทบ โดยนำผักตามฤดูกาลจากฟาร์มมาทำเป็นซุป สลัด และอาหารจานเดียว หรือเมนูฟิวชันที่รสชาติดีไม่แพ้กันอย่างสเต็กซี่โครงหมูบาร์บิคิว สปาเกตตีเบคอนพริกกระเทียม โทสต์คาโบนาร่า ให้เราเลือกกินได้ตามชอบ อีกทั้งยังมีโซนให้เราชอปสินค้าออร์แกนิครวมถึงผักตามฤดูกาลจากฟาร์มในราคาย่อมเยาว์ด้วยนะ เรียกว่าอิ่มครบจบในที่เดียวมากๆ        

เราได้ข่าวมาว่า Factory Coffee ย้ายร้านไปสถานที่ใหม่มาสักพักใหญ่แล้ว แต่เราตั้งใจรอให้กลุ่มน้องเจ้าของร้านพร้อมทุกอย่างก่อน     ร้านใหม่ใหญ่ขึ้นมากและรองรับลูกค้าได้สบายๆ เราแวะไปนั่งดื่มกาแฟหลายครั้งแล้ว อดใจรอว่าเมื่อไรอาหารของที่นี่จะพร้อมเสิร์ฟ จนมารู้ข่าวว่าน้องๆ เปลี่ยนใจเลือกทำกาแฟเพียงอย่างเดียวอย่างจริงจัง ประจวบเหมาะกับที่หนึ่งในหุ้นส่วนร้านคว้าตำแหน่งแชมป์ Thailand Indy Barista Championship ปีล่าสุดมาครอง จึงถึงเวลาที่เราจะกลับไปอีกครั้ง     คุณบิว หุ้นส่วนดั้งเดิมเล่าว่า "ตอนนี้มีหุ้นส่วนทั้งหมด 4 คน ผมดูเรื่องสูตรกาแฟ นิคดูเรื่องสโลว์บาร์ เพฟยืนเป็นตัวหลักที่เอสเปรสโซบาร์ และแมน (แชมป์คนล่าสุดของอินดี้บาริสตา) ดูแลเรื่องบริการ ที่นี่จริงจังกว่าเดิม ด้วยระยะเวลา 4 ปีที่เปิดให้บริการทำให้เราเน้นกาแฟที่ดียิ่งขึ้น เราเปลี่ยนเมนูกาแฟ ตำแหน่งเอสเปรสโซบาร์ที่อยู่ตรงกลางของพื้นที่ทำงาน เพื่อให้บาริสตาโฟกัสกับการทำกาแฟที่ดีแทนการชงไป คุยกับลูกค้าไป แต่ก็เสริมให้อีกคนดูลูกค้าแทน รวมถึงกาแฟเอสเปรสโซเบลนด์ที่เริ่มเบลนด์เอง โดยเลือกเมล็ดกาแฟที่ดีในช่วงนั้น ใช้เมล็ดกาแฟไทยเพราะอยากลดต้นทุน ที่สำคัญได้ช่วยเกษตรกรด้วย"     แม้ว่าเราจะยังชอบ Mrs. Cold ช็อตเอสเปรสโซกับนมเย็น แต่คราวนี้แฟคตอรี่เพิ่มความล้ำด้วย Supreme ที่เพิ่มมิติของรสชาติให้กับนมด้วยไซรัปโฮมเมดสูตรลับที่ถามเท่าไรก็ไม่ยอมบอก สัมผัสของนมนวลเนียนกว่าเดิม แทรกด้วยกลิ่นหอมของไซรัป เราจับได้กลิ่นของซินนามอนแน่ๆ แต่ขอบอกว่ามีมากกว่านั้น     ส่วนแก้วที่เราสั่งประจำด้วยรสชาติที่สดชื่น Phayathai Citric ช็อตเอสเปรสโซ โทนิก และเลมอน ฉีดด้วยสเปรย์มินต์ ให้กลิ่นรสของกาแฟกับเลมอนเปรี้ยวสดชื่น     และแก้วสุดท้าย Black Toxic มีความคล้ายพญาไทซิตริก แต่ใช้กาแฟโคลด์บริวผสมโทนิก ไซรัปเครื่องเทศ และส้ม รสนวลกว่า และมีรสเผ็ดซ่อนเอาไว้     เราขอบอกว่าให้ไปลองกัน แค่เอสเปรสโซสักช็อตจากแชมป์บาริสตาก็คุ้มแล้ว 

คอฟฟี่เลิฟเวอร์ที่ชอบดื่มกาแฟโทนฟรุตตี้ต้องลองแวะมาที่นี่ เพราะคุณโอเจ้าของร้านคัดเมล็ดกาแฟ  ซิงเกิลออริจินติดเปรี้ยวเล็กน้อยอย่างเอธิโอเปีย โคลอมเบีย และบราซิล ฯลฯ จากโรงคั่วหลายแห่งมาใช้ดริปกาแฟ นอกจากนี้ยังมีเมล็ดกาแฟเบสเอสเปรสโซเบลนด์ 2 แบบสำหรับทำกาแฟร้อนและเย็นโดยเฉพาะจากโรงคั่ว Bottomless ไว้ให้ดื่มคู่กับครัวซองต์ Maison Jean Philippe สคอนโฮมเมดเนื้อฉ่ำ หอมเนย หรือแกล้มกับอาหารจานเดียวก็อร่อยไปอีกแบบ ส่วนใครที่ไม่ถนัดดื่มน้ำดำก็มีเครื่องดื่มชนิดอื่นชวนให้ลองอีกหลายเมนู     เมนูแนะนำ Latte Macchiato ความพิเศษอยู่ตรงวิธีการดื่ม 3 ขั้นตอน เริ่มจากชิมเอสเปรสโซร้อนด้านบน จากนั้นยกดื่มให้นมหอมมันไหลผ่านมาผสม สุดท้ายคนให้เข้ากัน รับรองว่าอร่อยจนดื่มหมดภายในพริบตา   Cafe Latte กาแฟเบลนด์คั่วกลางเข้ากันกับนมสตรีมฟองนุ่มกำลังดี   Lychee and Thyme น้ำลิ้นจี่โซดาเย็นซ่าเพิ่มกลิ่นหอมๆ ด้วยใบไทม์ และ Passion Fruit and Mango น้ำมะม่วงสุกหอมหวาน ผสมน้ำเสาวรสรสเปรี้ยว   Spaghetti Garlic Bacon เส้นนุ่มเหนียว หอมกลิ่นกระเทียม พริกแห้ง และเบคอนยั่วใจ  

ขม คอฟฟี่ แฝงตัวอยู่ภายใน Café daypoets (ร้านหนังสือกึ่งออฟฟิศของ Aday) โดยคุณขม เจ้าของร้าน วางคอนเซ็ปต์เอาไว้ว่าอยากให้ทุกคนที่มาได้ดื่มกาแฟจริงๆ จึงไม่แปลกหากเมนูที่ร้านจะเป็นกาแฟกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ คุณขมนำเมล็ดกาแฟมาจากทั่วสารทิศทั้งไทยและต่างประเทศ สลับสับเปลี่ยนเมล็ดกาแฟใหม่ๆ ให้คอฟฟี่เลิฟเวอร์ได้ลองดื่มกันแบบไม่ซ้ำอยู่เสมอ ส่วนใหญ่เป็นแบบซิงเกิลออริจิน มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่น จะเลือกดื่มแบบกาแฟดำก็ดีหรือกินคู่กับเบเกอรี่โฮมเมดจากร้าน Conky ก็อร่อยไปอีกแบบ!         เมนูแนะนำ Cold Brew ใช้เมล็ดกาแฟฮอนดูรัสผสมกับเมล็ดกาแฟแม่สรวยแล้วแช่น้ำทิ้งไว้จนได้ที่ ก่อนเสิร์ฟผสมน้ำส้มนิดหน่อย ดื่มแล้วสดชื่น    Pour Over กาแฟดริปจากเมล็ดกาแฟอมก๋อย ดื่มง่าย หอมกลิ่นผลไม้นิดๆ นั่งละเลียดได้นานๆ   Expresso กาแฟรสเข้มจากจังหวัดชัยภูมิ ดื่มแล้วตาใสปิ๊ง    ครัวซองต์ช็อกโกแลต เนื้อนุ่มหอม ฉ่ำช็อกโกแลตรสหวาน กินกับกาแฟรสขม 

น้อยคนนักที่รับรู้ว่าจังหวัดภูเก็ตมีทั้งโรงคั่วกาแฟและแหล่งปลูกกาแฟโรบัสตาเนื่องจากการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวทำให้แหล่งปลูกกาแฟหายไปและย้ายไปยังแหล่งปลูกที่ดีกว่าอย่างชุมพรและระนอง เหลือไว้เพียงโรงคั่วระดับตำนาน Hock Hoe Lee ที่ยืนหยัดอย่างยาวนานกว่า 60 ปี แถมต่อยอดด้วยคาเฟ่สมัยใหม่ใกล้หาดราไวย์     ฮกโหหลี เริ่มต้นในสมัยคุณปู่นำเข้าเมล็ดกาแฟมาจากเกาะปีนังและคั่วกาแฟแบบกาแฟโบราณ ตามด้วยคุณพ่อสมบูรณ์ ตันพัชรพิสุทธิ์ มาสานต่อดูแลโรงคั่วในตัวเมือง ก่อนที่รุ่นที่สาม คุณจุฑามาศตันพัชรพิสุทธิ์ และคุณเรืองฤทธิ์ เพชรวรกุล จะขยายมาเปิดคาเฟ่ จึงเริ่มใช้เมล็ดกาแฟอะราบิกาเพื่อสร้างรสชาติให้กาแฟเอสเปรสโซและเนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่อยากดื่มกาแฟของบ้านเรา คุณเรืองฤทธิ์จึงเริ่มคั่วเมล็ดกาแฟแบบสมัยใหม่ด้วยตัวเองโดยใช้ทั้งกาแฟอะราบิกาและโรบัสตาจากแหล่งปลูกในประเทศ อาทิ ดอยช้าง ดอยสะเก็ด อมก๋อย ระนอง สุราษฎร์ธานี และชุมพร      ตอนนี้ที่นี่จึงมีกาแฟ 2 เบลนด์และ 2 แหล่งปลูก ถุงสีเทาเป็นเมล็ดกาแฟดอยสะเก็ดผสมโรบัสตา ถุงสีดำเป็นเมล็ดกาแฟดอยช้างผสมดอยสะเก็ดและโรบัสตา ถุงสีทองเป็นกาแฟดอยช้างล้วน และเมล็ดกาแฟออร์แกนิกจากอมก๋อย ทั้งหมดคั่วเข้มแต่ไม่ถึงกับเข้มมากแบบกาแฟโบราณ นอกจากใช้ในร้านแล้วกาแฟของร้านยังถูกส่งไปตามโรงแรมในภูเก็ตด้วย   กาแฟแก้วเด่น Long Black กดเอสเปรสโซดับเบิ้ลช็อตลงบนน้ำร้อน ซึ่งให้ครีมม่าที่สวยงามและรสชาติก็ออกมาดี Coffee Drip ก็มีเช่นกัน โดยทางร้านผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะกับการดริปเย็นออกมา เก๋มาก     และล่าสุด Cold Brew ที่ผ่านการแช่กาแฟมานานกว่า 18 ชั่วโมง ให้ความเข้มข้นและกลิ่นรสที่ชัดเจน ดื่มแบบใส่นมหรือเติมไซรัปก็ได้ แต่เราแนะนำว่ากาแฟดำรสดีที่สุด     นอกจากกาแฟแล้วยังเลือกเอา ชา A1 สินค้าขายดีของฮกโหหลีในเมืองมาใช้ที่นี่ เป็นชาซีลอนผสมชาไทยและชามาเล ชงด้วยเฟรนช์เพรส หอมอร่อยดี รวมถึงเครื่องดื่มโคลด์เพรส Sun Beach Cold Pressed Juice ที่คุณจุฑามาศทำเองจึงมีให้ดื่มที่นี่ที่เดียวในภูเก็ต

ใครกำลังมองหาร้านกาแฟบรรยากาศดี สำหรับนั่งทำงานชิวๆ เราแนะนำ Drip & Drop Coffee Supply คาเฟ่ดังจากเมืองเกียวโต ที่ตอนนี้ยกสาขามาไว้ที่ตึก G Tower พระราม 9 ด้วยลุคสุดเท่ไม่แพ้ร้านต้นแบบ ตั้งแต่การจัดดิสเพลย์ร้านที่เน้นความโปร่งสบาย ทีมบาริสต้าที่ผ่านการเทรนด์เป็นพิเศษ รวมถึงเมนูซิกเนเจอร์แบบฉบับของดริปแอนด์ดรอป     เมล็ดกาแฟของที่ร้านมีทั้ง Original Blend ความพิเศษอยู่ที่รสชาติสมดุล ดื่มง่าย ไม่เปรี้ยวเกินและไม่ขมไป ที่สำคัญคือกลิ่นหอมและมีหวานปลายนิดๆ รวมถึงเมล็ดกาแฟแบบ Single Origin เลือกชงได้ตามชอบทั้งเฟรนช์เพรส ดริป และแอโร่เพรส     แก้วแรกแนะนำ Fruits Iced Coffee แก้วนี้เก๋และเรียกความสดชื่นได้ดี (ถ่ายรูปสวยด้วยนะ) น้ำแข็งผลไม้สดก้อนใหญ่ละลายช้าราดด้วยกาแฟดริป แล้วเพิ่มความหวานอีกนิดด้วยไซรัปมาร์มาเลด อีกหนึ่งเมนูซิกเนเจอร์ Caramel Latte ลาเต้ร้อนรสนุ่มนวล ความสนุกอยู่ที่เสิร์ฟพร้อมแผ่นคาราเมลวางบนปากแก้ว อย่าลืมหักแผ่นคาราเมลให้แตกแล้วคนในลาเต้ช้าๆ เวลาจิบจะได้กลิ่นหอมหวานอวลติดอยู่ในปาก       นอกจากกาแฟจะดีแล้ว ที่นี่ยังเอาใจคนออฟฟิศด้วยเมนูอาหารเช้าแบบง่ายๆ ให้หม่ำได้ตลอดวันอย่าง Hot Dog ขนมปังและฮอทดอกกรุบกรอบเนื้อแน่นสไตล์ญี่ปุ่น ท็อปด้วยผักดองหลากสีสูตรจากเกียวโตรสเปรี้ยวๆ หวาน ๆ อร่อยดี และอีกเมนูที่ไม่อยากให้พลาดคือ Egg Sandwich เพราะนี่ไม่ใช่แซนวิชไข่ธรรมดา แต่เป็นแซนวิชไส้ไข่ม้วน! เพิ่มรสชาติด้วยเบคอน และผักสด เสิร์ฟคู่มันฝรั่งทอด ใครหิ้วท้องมาจากบ้านรับรองว่าเมนูนี้เอาอยู่ เพราะชิ้นโตให้กัดได้เต็มคำ แถมเข้ากันดีกับกาแฟของทางร้าน       ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะดริปแอนด์ดรอปแอบเพิ่มลูกเล่นให้ต่างจากสาขาที่ญี่ปุ่นด้วยคราฟท์เบียร์แบรนด์ COEDO ไว้ให้นั่งจิบแก้เหนื่อยช่วงหัวค่ำหลังเลิกงาน เรียกว่าตอบโจทย์ได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำเลยทีเดียว

Tag: , กาแฟ,

ร้านกาแฟน้องใหม่ในโครงการ The Bloc โดดเด่นด้วยสไตล์การตกแต่งเหมือนตู้คอนเทนเนอร์ คงความมินิมอลด้วยการใช้โทนสีขาวดำ ก่อนจะเพิ่มความอบอุ่นและเป็นกันเองจากงานไม้ พร้อมเปิดต้อนรับให้คนรักกาแฟแวะมาจิบกาแฟเฮาส์เบลนด์รสนุ่มนวลจากเมล็ดกาแฟไทย อินโดนีเซีย และบราซิล หรือจะลองกาแฟดริปที่หมุนเวียนเมล็ดจากทั่วโลกมาให้ลิ้มลอง แต่ความดีงามยังไม่หมดแค่นั้น เพราะยังมีขนมชิ้นเล็กแสนอร่อยที่จะทำให้กาแฟรสกลมกล่อมยิ่งขึ้น         เมนูแนะนำ Cheese Cake & Biscuit ชีสเค้กเนื้อนุ่มโรยบิสกิตชิ้นเล็กชิ้นน้อยเคี้ยวเพลิน เสิร์ฟในขวดโหลใบย่อม    Carrot Cake เค้กแครอตเนื้อฉ่ำกับนัตและผลไม้แห้ง เคียงคู่กับครีมชีสเยิ้ม   Mini Canelé คานาเล่ชิ้นพอดีคำมี 3 รสให้เลือก วานิลลา กาแฟ และชาเขียว   Honey Latte กาแฟลาเต้รสเข้มที่เติมความหอมหวานด้วยน้ำผึ้งและฟองนม

มาแรงมากจริงๆ สำหรับคาเฟ่แห่งใหม่บนถนนพระราม 9 ซอย 41 เพราะที่นี่ไม่ใช่คาเฟ่ธรรมดา แต่เป็นเหมือน ‘secret place’ ที่ซ่อนตัวอยู่ค่อนข้างลึก เพื่อหลบความจอแจของตัวเมืองมานั่งเงียบๆ จิบกาแฟดีๆ สักแก้ว     The Hub Café & Eatery ชนะใจเราตั้งแต่แรกเห็นด้วยตัวร้านสีดำสนิท เพดานสูง ล้อมรอบด้วยกระจกใส ด้านนอกร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ส่วนพื้นที่ด้านในเหมือนเป็น co-working space ขนาดย่อม มีปลั๊กไฟบริการทุกโต๊ะ แอบถามได้ความว่า เจ้าของร้านชื่นชอบการหอบงานไปทำตามร้านกาแฟอยู่เป็นทุนเดิม เมื่อเปิดร้านของตัวเองจึงรวบรวมทุกอย่างที่ร้านกาแฟควรมีเอาไว้ด้วยกัน ที่นี่จึงตอบโจทย์ทั้ง บรรยากาศ ตัวอาหารและเครื่องดื่มไปพร้อมกันในคราวเดียว     ไฮไลต์ของ The Hub อยู่ที่กาแฟเบลนด์เอง แยกเมล็ดสำหรับทำเป็นกาแฟร้อนและเย็น เราแนะนำ Hot Latte แก้วนี้ใช้เมล็ดกาแฟลาว เอธิโอเปีย และโคลัมเบีย เบลนด์เข้าด้วยกัน รสชาติจะซับซ้อนหน่อย มีกลิ่นมะพร้าวคั่วนิดๆ กลิ่นโกโก้ และได้ความเปรี้ยวอมหวานของเบอร์รี่นำมาผสมกับนมแล้วหอมมัน วิธีจิบต้องค่อยๆ ละเลียดฟองนมก่อน แล้วตามด้วยกาแฟ      ส่วนใครไม่ถนัดเรื่องคาเฟอีนลองสั่งซอฟต์ดริ๊งก์ซึ่งที่ร้านทำออกมาได้เก๋ อาทิ Peach Soda แก้วนี้ได้ความหอมของเนื้อพีชสด ผสมกับรสเปรี้ยวของน้ำเลมอน ใส่ใบไธม์ และโซดา     ส่วนเมนูอาหารเน้นเสิร์ฟ All day breakfast ตื่นสายแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา เราปลื้ม Royal Egg Benedict มัฟฟินอบใหม่ท็อปด้วยโพชเอ้กแซลมอนรมควัน ตกแต่งด้วยไข่กุ้งและไข่คาเวียร์ ความอร่อยอยู่ที่ซอสฮอลันเดสเข้มข้นสูตรจากเลอ กอร์ดองเบลอ เสิร์ฟคู่สลัดผักตัดเลี่ยน     ปิดท้ายด้วยของหวาน Waffle วัฟเฟิลนุ่มๆ สูตรของทางร้านเสิร์ฟคู่ไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด และกล้วยหอมเคลือบคาราเมล จานนี้ละเลียดเพลินมากจริงๆ     

ฟังชื่อ Grind Size Bangkok แล้วหลายคนอาจมีคำถามว่าเกี่ยวข้องกับกาแฟอย่างไร ฟังผิวเผินอาจมองว่าไม่เกี่ยว แต่คอกาแฟที่ผ่านการชงกาแฟแบบโฮมบริวอย่างเราทราบดีว่าขนาดของการบดเมล็ดกาแฟ (Grind Size) มีส่วนสำคัญในการชงกาแฟให้มีรสชาติต่างกันหากเราปรับการบดเมล็ดให้หยาบหรือละเอียดขึ้น      คุณเซน-ฌาณวิทย์ ไชยศิริวงค์ จริงจังกับเรื่องกาแฟจึงทั้งฝึกมือเป็นบาริสตาและพิธีกรงานแข่งขันบาริสตามาแล้ว ทำให้เขาเก็บรายละเอียดทุกเม็ดจนกลายเป็นร้านกาแฟในแบบคอนเซ็ปต์สโตร์ที่ไม่เพียงสนับสนุนเมล็ดกาแฟไทย แต่ยังสนับสนุนโรงคั่วท้องถิ่นขนาดเล็ก แน่นอนสินค้ากาแฟที่เลือกเข้ามาเป็นสิ่งที่คุณเซนเลือกมาแล้วว่าดี “เราเลือกสิ่งที่เรากินให้กับลูกค้า”      Grind Size มาในดีไซน์สีสันของ Pantone Teal Green ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม สีสันสดใสสบายตาทั่วทั้งร้าน สลับกับภาพวาดบนผนังที่นำสตอรี่ของกาแฟมาสร้างบรรยากาศที่ดูอบอุ่น    ทางร้านใช้กาแฟเบลนด์ 2 เบลนด์ BKK เมล็ดกาแฟไทยเบลนด์กับลาว อินโดนีเซีย และเอกวาดอร์ โดยโรงคั่วขนาดเล็กในกรุงเทพฯ และ CNX จากโรงคั่วในเชียงใหม่ ซึ่งดีไซน์โดยอาศัยวงล้อรสชาติ (Flavor Wheel) ส่วนเบเกอรี่โฮมเมดมาจากฝีมือเจ้าของร้าน อาทิ สคอน บานาน่าเบรด ซึ่งเตรียมนำไปแลกกับขนมปังของเพื่อนๆ ในกลุ่มร้านกาแฟในรูปแบบของเฟรนด์เทรด      เริ่มที่อาหารเช้า สัมพันธมิตร ออน ดิช เฟรนช์โทสต์ปะทะเอ้กเบเนดิกต์ ขนมปังนุ่มชุ่มไข่ที่หอมซินนามอนและวานิลลา กินกับไข่ดาวน้ำ ราดฮอลลันเดสและเบคอน      แนะนำให้สั่งกาแฟ Latte ที่ใช้กาแฟเบลนด์ BKK หรือจะลองเบลนด์ CNX คุณเซนก็จัดให้ได้      และที่พีคมากคือเมนูใหม่อย่างเยาวราชที่คุณเซนไปตระเวนหาซื้อวัตถุดิบในเยาวราชทำเป็นหัวเชื้อที่มีกลิ่นรสเฉพาะตัวผสมกับกาแฟโคลด์บริว CNX เป็นเยาวราชออนเดอะร็อกที่ยังคงมีกลิ่นรสของกาแฟแต่ก็หอมความเป็นเยาวราช    แต่ถ้าผสมโซดาก็เป็นม็อกเทลดีๆ อย่างเยาวราชออนไอซ์   เครื่องดื่มเย็นที่ยังน่าลองเป็นอัญชันพลาดิโซ่โซดา ชาดอกอัญชัน ไซรัปชาดอกอัญชัน และโซดา ซ่าๆ หวานพอดี   

มองเผินๆ ที่นี่อาจดูเหมือนขายกาแฟเป็นหลัก แต่แท้จริงแล้วยังมีเมนูเครื่องดื่มเก๋ๆ ซ่อนไว้อีกเพียบ คุณเกลอเจ้าของร้านบอกเล่าถึงคอนเซ็ปต์ของ Snap Cafe ว่าเป็น 'ห้องแล็บ' สำหรับทดลองเมนูอาหารและเครื่องดื่มใหม่ๆ พื้นที่ด้านในคุมโทนด้วยสีขาว ดำ และน้ำตาล ให้อารมณ์ขรึมเท่ ส่วนกาแฟของที่ร้านใช้เมล็ดสายพันธุ์เอธิโอเปียแบบคั่วอ่อน ดื่มง่าย แถมแอบใส่กิมมิกความเป็นไทยไว้ด้วยในบางแก้ว   เมนูแนะนำ Lemongrass Coffee เมนูสุดรักของคุณเกลอที่นำเอสเปรสโซรสเข้มผสมกับน้ำตะไคร้ ให้รสขมปนหวาน บวกกับกลิ่นหอมๆ ในแก้วเดียว   กาแฟข้าวพอง แก้วนี้หอมหวานคาราเมล และเพิ่มความสนุกด้วยข้าวพองกรุบกรอบด้านบน   BBQ Chicken Croissant ครัวซองต์ชาร์โคลไส้ไก่ผัดซอสบาร์บีคิว รสเผ็ดนิดๆ เสิร์ฟพร้อมส้มสดและแอปเปิล   Choc Mint ไอศกรีมนมฮอกไกโด ราดช็อกโกแลตมินต์ แนะนำให้รอไอศกรีมละลายจะได้นมช็อกโกแลตสุดเข้มข้นไว้ดื่มเพลินๆ  

จากที่เราเห็นร้านกาแฟ D’Oro ตามห้างร้านต่างๆ มานานก็ถึงเวลาที่ร้านกาแฟ D’Oro จะมีสาขาแฟล็กชิปสักที ร้านสาขานี้ตั้งอยู่ที่ถนนสุขาภิบาล 5 สายไหม ตัวอาคารชั้นเดียวสีเขียวอมน้ำเงินสไตล์โมเดิร์นนั้นดูโดดเด่นจนไม่มีทางมองข้ามไปได้แน่ๆ ที่จอดรถกว้างขวาง เรียกว่าสัญจรสะดวกทีเดียว เมื่อเดินเข้ามาสัมผัสแอร์เย็นฉ่ำและบรรยากาศน่ารักๆ โปร่งสบายด้านในก็รู้สึกได้เลยว่า นี่แหละที่นั่งจิบกาแฟสุดชิล!     เริ่มจากสั่งเครื่องดื่มกับเบเกอรี่ที่มุมเคาน์เตอร์กันก่อน เราขอแนะนำ D’coffee กาแฟเย็นสูตรใหม่ที่รสนุ่มนวลกลมกล่อมมากๆ ไม่หวานจนเกินไป เห็นว่ามีส่วนผสมลับที่ทำให้รสละมุนละไมกว่ากาแฟเย็นสูตรเดิม และอีกเมนูสำหรับคนที่ชอบทานหวานหน่อย Malt x Coffee ที่ได้รสมอลต์หวานมันและท็อปด้วยวิปครีมอีกที      ส่วนขนมหวานซิกเนเจอร์ของร้านต้อง “เค้กช็อกโกแลต” สูตรที่คุณแม่ของคุณนีน่าเจ้าของร้านเป็นผู้คิดค้นขึ้นตั้งแต่เริ่มเปิดร้านใหม่ๆ เค้กช็อกโกแลตเนื้อนิ่มรสเข้มข้น โรยด้วยผิวส้ม และ “ช็อกโกแลตบราวนี่” ซึ่งเป็นเมนูขายดีที่สุดของร้าน นอกจากนี้ยังมีขนมหวานที่คิดขึ้นมาใหม่สำหรับร้านสาขานี้คือ “ช็อกโกแลตมูส” เนื้อมูสได้รสช็อกโกแลตเข้มข้นทีเดียว       นอกจากเมนูประจำแล้ว ในแต่ละช่วงของปีเรายังจะได้ลิ้มรสเมนูประจำฤดูกาลจากการรังสรรค์ของเชฟ อย่างช่วงซัมเมอร์ก็มีเมนูขนมหวานที่ผสมผสานรสชาติแบบไทยๆ มาให้ลิ้มลองกัน อาทิ เค้กสังขยาไบเตย เอแคลร์กระเจี๊ยบ และเดนิชลูกตาล เครื่องดื่มพิเศษก็มีให้เลือกสั่งด้วยเช่นกันอย่างอเมริกาโน่กระเจี๊ยบ ดื่มแล้วได้รสเปรี้ยวหวานสดชื่นของกระเจี๊ยบเข้ามาเสริมรสกาแฟ ส่วนในฤดูกาลต่อไปจะมีเมนูใหม่อะไรมาเสนอต้องติดตามดู       เมนูของหวานที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งคือ Bread Butter Banana Coffee เนื้อขนมเป็นเหมือนลูกครึ่งระหว่างครัวซองต์และบริออช คือมีความนุ่มเนียนและหอมเนยมากๆ เนื้อสัมผัสเป็นชั้นๆ กรอบนอกนุ่มในแบบครัวซองต์ ท็อปด้วยกล้วยหอมเฟลมเบ้หอมหวานคาราเมลและอมเปรี้ยวนิดๆ เสิร์ฟกับเอสเปรสโซ สเฟียร์ กาแฟรสเข้มที่อัดแน่นอยู่ในสเฟียร์ เมื่อทานเข้าไปทั้งคำก็จะแตกโพละเป็นรสกาแฟในปาก ชวนให้ทานเพลินจนหมดจานไม่รู้ตัว!     ที่สำคัญสาขานี้ยังสามารถสั่งแบบ Drive-thru ได้ด้วย คือโทรสั่งล่วงหน้าเพื่อแวะรับกาแฟและขนมหวานไปทานต่อที่อื่นได้เลย เป็นอีกทางเลือกสำหรับใครที่มีเวลาจำกัด ลองแวะไปดูกันนะ   

อยู่เบื้องหลังร้านดังมานาน ถึงเวลาแล้วที่ Synova ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องดื่มและเบเกอรี่จะเปิดตัวคาเฟ่ของตัวเองสักที ในชื่อ Syn Lab กับคอนเซ็ปต์เท่ๆ จำลองให้ตัวร้านเป็นเหมือนห้องแล็บขนาดย่อมสำหรับทดลองเมนูสุดอร่อย     ทันทีที่เปิดประตูบานใหญ่เข้าไป สิ่งแรกที่ได้เจอคือเคาน์เตอร์บาร์เรียบเท่ ตกแต่งให้ตื่นเต้นด้วยบีกเกอร์และหลอดทดลองที่ซ่อนตัวอยู่ตามมุมต่างๆ ให้อารมณ์เหมือนได้เข้าห้องแล็บจริง (เหมาะสำหรับการถ่ายรูปเช็คอินที่สุด) ที่เก๋กว่านั้นคือที่นี่เป็น Sales Gallery ในตัว ชิมเมนูไหนแล้วเกิดติดอกติดใจก็ซื้อกลับไปที่บ้านได้ (ชาพีชสดชื่นมาก แอบบอกไว้ตรงนี้) แถมมีไพรเวทรูมสำหรับจัดเวิร์คช็อปและ Co-working space อีกด้วย       เมนูของทางร้านครีเอตจากวัตถุดิบของแบรนด์ Synova ทั้งตัวกาแฟ ชา ขนม ไอศกรีม ฯลฯ แต่นำมาประยุกต์เป็นเมนูใหม่ได้น่าสนใจ เริ่มด้วยกาแฟ Syn Lab Blend เฮ้าส์เบลนด์ของทางร้าน เบลนด์จากเมล็ดกาแฟกัวเตมาลากับกาแฟจากแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ รสเข้มชัด ได้กลิ่นออกเบอร์รี่ แนะนำเป็น Espresso on the rock เอสเพรซโซ่ช็อตเสิร์ฟในแก้วเอียง ที่ร้านใช้น้ำแข็งก้อนใหญ่ละลายช้า ให้ดื่มด่ำรสเข้มได้จนหยุดสุดท้าย       ส่วนคนรักชาห้ามพลาด  Matcha Green Tea Frappe ชามัทฉะปั่น พิเศษตรงที่บีบครีมงาดำลงไปด้านบนแล้ววางด้วยไอศกรีมมัทฉะอีกทีเอาใจคนรักมัทฉะแบบเต็มที่  หรือจะลอง Iced Ceylon Milk Tea with Espresso Panna Cotta ชาซีลอนหอมๆ ที่เพิ่มเนื้อสัมผัสด้วยเอสเพรสโซ่พานนาคอตต้าเข้ากัน       จานหลักของ Syn Lab ต้องเมนูนี้ Coffee Rubbed Burger with Homemade Sauce ชาโคลบันแทรกด้วยเนื้อไทยเฟรนช์หมักซอสบาร์บีคิวโฮมเมด แอบเก๋ตรงที่ใส่เอสเพรสโซ่ช็อตลงไปในซอสด้วย ให้พอได้กลิ่นกาแฟนิดๆ เสิร์ฟคู่ซีตรัสลัดและเพรสเซลชิปอบกรอบ ต่อด้วยเมนูไฮไลต์ Three-Cheese Croissant Toast 3 ชีสในจานเดียว พรีเมียมบัตเตอร์ซองต์โทสต์ ได้รสหอมๆ เค็มๆ ไอศกรีมรสชีสเค้กเข้มข้น และนิวยอร์คชีสเค้กที่ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แทรกอยู่ด้วย ราดซอสเบอร์รี่ตัดเลี่ยน เสิร์ฟพร้อมกราโนล่ากรุบกรอบไว้กินคู่กัน    

4th Floor Drip Bar หรือชั้น 4 ร้านกาแฟใหม่เอี่ยมที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่ถึงเดือน ตั้งอยู่บนชั้น 4 ของร้าน Baker Gonna Bake ซอยสุขุมวิท 26 ร้านนี้ดูแลโดยกลุ่มเพื่อน 4 คน คือ คุณอิฐ-คุณยู-คุณจักร และคุณแป้งที่ชาว G&C คงพอคุ้นกันอยู่แล้ว      ทันทีที่เปิดประตูไม้เข้าไป เราก็รู้สึกเหมือนได้เจอ Hidden Place แห่งใหม่กับบรรยากาศที่เป็นส่วนตัวอย่างที่สุด โดยเฉพาะกลิ่นหอมของกาแฟและเสียงเพลงที่เปิดคลอช่วยให้ลืมอากาศร้อนด้านนอกไปซะดื้อๆ  ตัวร้านอบอุ่นด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ มีบาร์เล็กๆ ให้นั่งจิบกาแฟไป ชวนคุณอิฐคุยไปด้วย (คุณอิฐความรู้แน่นมาก คุยสนุกด้วยนะ) นอกจากที่นี่จะมีกาแฟดริปเป็นตัวชูโรง ยังมีเมนูพิเศษที่นำดอกไม้หรือผลไม้ไทยมาเพิ่มลูกเล่น ซึ่งคุณอิฐบอกว่านำประสบการณ์หลายปีเมื่อครั้งยังเป็นบาริสตามาคิดค้นสูตรใหม่ๆ ให้กาแฟน่าสนใจมากขึ้น ทุกแก้วของที่นี่จึงไม่ใช่แค่รสชาติดีเท่านั้น แต่ยังมองแล้วสวย กลิ่นก็หอมรัญจวนใจ       เริ่มแก้วแรก ช่อกินรี แก้วนี้สีแดงเข้มสวย ทางร้านใช้เมล็ดกาแฟม่อนแจ่ม ชงด้วยวิธีดั้งเดิมตามความถนัดของคุณอิฐ คือนำเมล็ดมาทุบแล้วต้มในหม้อ แต่ต้องใช้ความชำนาญเป็นพิเศษ ใส่ไซรัปทำจากกระเจี๊ยบและขิง จิบแล้วสดชื่นแปลกใหม่ ประดับแก้วด้วยขิงสดและดอกกระเจี๊ยบ เวลายกจิบจะอยู่ใกล้จมูกเราพอดี      ต่อด้วยแก้วโปรดของเรา มงกุฎสุมาลา ชื่อหมายถึงมงกุฏดอกไม้สีขาว เมื่อนำมาสวมแล้วจะได้กลิ่นหอมจรุงใจ แก้วนี้ใช้ชาขาวดอกมะลิ ใส่วุ้นว่านหางจระเข้ หยดด้วยน้ำปรุงทำเองจากกระเจี๊ยบและทับทิม ช่วยเรื่องกลิ่นและรสชาติ เพิ่มลูกเล่นด้วยเมล็ดทับทิมและส้ม ประดับด้วยใบเตย กลิ่นหอมมาก จิบแล้วชื่นใจหายเหนื่อย แถมมีเมล็ดทับทิมกรุบๆ ให้ได้เคี้ยว       ปิดท้ายด้วยแก้วเด็ด เสน่ห์วันทอง แค่ชื่อก็กินขาด คุณอิฐจับมะขามคลุกบ้านเรามาทำเป็นเครื่องดื่ม เติมไซรัปพริกเกลือ และจิงเจอร์เอลเล็กน้อย แก้วนี้ครบทั้งเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด แต่งปากแก้วด้วยเกลือและพริกสด...ยกขึ้นจิบแล้วได้รสเผ็ดนิดๆ ให้พอปากเจ่อ   

แม้จะเปิดตัวมานานหลายปี แต่ Riva Floating Café คาเฟ่ลอยน้ำภายในปานเทวี ริเวอร์ไซด์รีสอร์ทแอนด์สปา จังหวัดนครปฐม ยังคงเป็น Secret Place ในหัวใจของใครหลายคน ด้วยวิวสวยสงบริมแม่น้ำท่าจีน บวกกับโซนด้านนอกที่ให้ได้จุ่มขาลงไปในน้ำได้สบายใจ     กลับมาครั้งนี้ ที่นี่เพิ่งเปิดตัวเรือนลอยน้ำหลังใหม่ ดีไซน์คล้ายหลังเดิมแต่ดูโฮมมี่กว่า ตัวร้านยังเป็นกระจกใสล้อมรอบ พร้อมที่นั่งด้านนอกเหมือนเคย ส่วนหลังเก่ากำลังรีโนเวททำเป็นห้องสัมมนาลอยน้ำซึ่งกำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้       แน่นอนว่าไฮไลต์ของร้านนี้ยังคงเป็นเมนูกาแฟ กาแฟเฮ้าส์เบลนด์มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวมาก เพราะเบลนด์จากเมล็ดกาแฟทางเหนืออย่าง ดอยอมก๋อย ดอยช้าง และเมล็ดจากต่างประเทศอย่างเอธิโอเปีย บราซิล รวมถึงอินโดนีเซีย แต่เราอยากให้ลองเมนูเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ทางร้านทำออกมาได้เก๋ไม่แพ้กัน อาทิ Emerald Summer Tea ชาผลไม้สีสวยไร้คาเฟอีน รสออกเบอร์รี่ จิบแล้วสดชื่นคลายร้อน Coco Blue Frappe น้ำมะพร้าวอัญชันปั่น ตกแต่งด้านบนด้วยสายไหม หรือจะลอง Raspberry Rosé ราปส์เบอรรี่โซดาซาบซ่า หอมกลิ่นกุหลาบ แถมมีเนื้อราสป์เบอรรี่ให้ได้เคี้ยว       ขยับมาที่ของคาวกันบ้าง เริ่มด้วยเมนูกินเล่นอย่างหมูทอดเสิร์ฟกับน้ำจิ้มแจ่ว สันคอหมูนุ่มๆ หมักจนเข้าเนื้อ มีมันติดนิดๆ เรียกน้ำย่อยได้ดีเชียว ต่อด้วย Salami Pizza พิซซ่าแป้งบางกรอบ หน้าซาลามี่อย่างดีนำเข้าจากอิตาลี หอมเค็มกำลังดี ซอสพิซซ่าทำเองรสดีเชียว Smoked Salmon Rocket Salad สลัดแซลมอนรมควันและผักร็อกเก็ต ราดด้วยน้ำยำรสแซบจัดจ้าน กินได้เพลินๆ ไม่เลี่ยน         ปิดท้ายด้วยขนมหวานเมนูใหม่ (ต้อนรับเรือนลอยน้ำใหม่) Pomelo Sorbet Ice cream served with Glutinous Rice Roasted in Bamboo Joints นำของขึ้นชื่อของ นครปฐมมาเสิร์ฟพร้อมกัน คือข้าวหลามมะพร้าวอ่อนกับไอศกรีมส้มโอโฮมเมด ท็อปด้วยเปลือกส้มโออบแห้ง อร่อยชื่นใจมาก หรือจะลอง Passion fruit Tart ทาร์ตเสาวรสที่ทางร้านผสมเนื้อเสาวรสลงไปในแป้งทาร์ตด้วย รสเปรี้ยวๆ หวานๆ  ท็อปด้วยเบอร์รี่และสตรอว์เบอร์รี่