คนอบไม่ท้อ คนรอก็สู้ไม่ถอยเหมือนกัน นาทีนี้ต้องหลีกทางให้ YOLK ร้านทาร์ตไข่สไตล์ฮ่องกงบนถนนบรรทัดทองของคุณอิน-สาริน ที่ส่งกลิ่นหอมมาตั้งแต่ยังไม่ถึงหน้าร้าน ความเก๋ของทาร์ตไข่ร้านนี้คือตัวทาร์ตเป็นแป้งครัวซองต์ที่ใช้แป้งนำเข้าจากฝรั่งเศส อบแล้วได้เนื้อสัมผัสที่กรอบร่วน บาง และหอมกลิ่นเนยแท้ AOP ส่วนเนื้อคัสตาร์ดเนียนนุ่มก็มาจากไข่แดงแบบเน้นๆ จากฟาร์มแม่ไก่อารมณ์ดี ซึ่งเป็น 1 ในวัตถุดิบสำคัญเหมือนชื่อร้าน เมื่ออบแล้วจะได้สีทองสวยน่ากิน ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะด้านล่างสุดมีคาราเมลเยิ้มๆ ซ่อนอยู่ แนะนำให้กัดคำใหญ่ๆ จะได้กินครบทุกเลเยอร์ ทั้งความกรอบ ความนุ่ม และรสหวานละมุนตอนท้าย ตอนนี้ที่ร้านเปิดขายเป็นรอบๆ รอบละ 30 นาที เริ่มตั้งแต่ 15.00 น. เป็นต้นไป จะซื้อแบบ 1 ชิ้นกินหน้าร้านก็สะดวกดี หรือจะซื้อแบบ 1 กล่อง (6 ชิ้น) กลับไปฝากคนที่บ้าน ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอร่อยน้อยลง แค่นำไปอุ่นในเตาอบด้วยอุณหภูมิ 180 องศาฯ  2 -3 นาที ก็จะได้แป้งครัวซองต์กรอบๆ และคัสตาร์ดเนื้อเนียนถูกต้อง แน่นอนว่าคาราเมลเยิ้มเหมือนตอนอบใหม่ๆ เลยล่ะ

ลุยงานมาทั้งสัปดาห์อยากหาเวลาไปพักผ่อนฮีลใจต่างจังหวัดก็ติดขัดด้วยเวลา การได้พบคาเฟ่เปิดใหม่ใกล้กรุงฯ อย่าง Anyamanee Cafe and Roastery จึงเป็นเสมือนทางออกที่ตอบโจทย์ สถาปนิกถอดสมการจากความต้องการของเชฟโอ๊ค-พลสิน พลัสสินทร์เจ้าของร้านและภรรยา ที่ต้องการเนรมิตพื้นที่กว่า 6 ไร่ ให้เป็นมุมพักผ่อนของชาวบางนาและใกล้เคียง โดยนำกิจกรรมสุดโปรดทั้งการเข้าครัวและทำสวนมารวมไว้ด้วยกัน ทำให้เราได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศโฮมมี่ ผสมผสานความเป็นอิตาลีที่เน้นสีสันสดใสให้ความรู้สึกสนุกสนานและความหรูหราคลาสสิกในแบบฝรั่งเศสได้อย่างละเมียดละไม ในขณะเดียวกันก็สอดแทรกความทันสมัยให้ล้อไปด้วยกันอย่างลงตัว ส่วนพื้นที่ด้านนอกรายล้อมด้วยสวนสไตล์ยุโรป วางเก้าอี้สนามให้นั่งพักเป็นระยะใต้ร่มเงาของซุ้มไม้เลื้อย สลับด้วยพันธุ์ไม้หายากที่นำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ ต้นมะกอกหลายสายพันธุ์ ยังมีสระน้ำที่มีฝูงปลาแหวกว่าย รวมทั้งลำธารที่นอกจากเพิ่มความสวยงามแล้วยังเป็นทางระบายน้ำในยามที่ฝนตกหนัก นอกจากนี้ยังแบ่งพื้นที่เป็นสวนเลมอนกว่า 400 ต้นที่ออกดอกผลให้นำมาประกอบอาหารและเครื่องดื่มของร้านได้ตลอดทั้งปี   ใครเป็นอาร์ทติสหรือนักสะสมจะยิ่งถูกใจเพราะเชฟโอ๊คนำของสะสมแสนรักที่ได้จากการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ นำมาจัดวางให้ลูกค้าชื่นชม รวมถึงภาพวาดสีน้ำมันหลายขนาด เครื่องปั้นดินเผา และเซรามิกลวดลายประณีตงดงามที่นำมาอวดโฉมกว่าร้อยชิ้น จนดูราวกับที่นี่คือมิวเซียมอย่างไรอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ดีเทลการตกแต่งที่น่าสนใจ เพราะอาหาร ของหวาน และเครื่องดื่มยังถือเป็นลายเซ็นต์ของร้าน เชฟโอ๊คนำประสบการณ์จากการเป็นเชฟในสหรัฐอเมริกามารังสรรค์จานเด็ดในสไตล์คอมฟอร์ทฟู้ดที่อร่อยและเข้าถึงง่าย เน้นใช้วัตถุดิบอย่างดีและแน่นอนต้องมีเลมอนจากสวนของตนเอง เมนูแนะนำ ได้แก่ ปลาแซลมอนย่าง แซลมอนนอร์เวย์ย่างน้ำมันมะกอกกับมันฝรั่ง เห็ดแชมปิญอง และผักตามฤดูกาล เสิร์ฟกับซอสซีฟู้ดมายองเนส จานนี้อิ่มสบายท้องแล้วยังย่อยง่ายอีกด้วย ถัดมาคือสปาเก็ตตี้คาโบนารา เมนูที่ดูเหมือนเบสิก แต่เชฟปรับสูตรให้มีความโมเดิร์นขึ้น รสชาติเข้มข้นครีมมี่จากไข่แดงและพาร์มาซานชีส ก่อนท็อปด้วยเบคอนกรอบ อร่อยจนต้องยกนิ้ว สลับมาที่จานเด็ดสไตล์ไทย ยำวุ้นเส้นทะเลหมูสับ ยำวุ้นเส้นรสชาติจัดจ้าน เด่นที่เส้นเหนียวหนึบ กุ้ง ปลาหมึก โรยกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว ส่วนจานนี้กินเป็นกับข้าวก็ได้ กินเป็นกับแกล้มก็ดี ปอเปี๊ยะไส้หมูผัดวุ้นเส้นเห็ดหอม ทางร้านผัดไส้ที่มีส่วนผสมของหมูสับกับเห็ดหอม ปรุงรสชาติกลมกล่อมหอมกลิ่นเครื่องปรุงรส เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มรสเปรี้ยวอมหวานผสานกันได้อย่างลงตัว มาถึงของหวานล้างปากแนะนำ โชกุปังเนยสดโฮมเมด ซิกเนเจอร์เรียบง่ายแต่ขายดี ที่นี่มี Bake House ขนมอบและเบเกอรี่ทั้งหมดจึงอบสดใหม่ อย่างเมนูนี้นำขนมปังหอมกรุ่นมาปิ้งบนกระทะที่ละลายเนย เพื่อให้เนยซึมเข้าแผ่นขนมปังอย่างทั่วถึง รสชาติเค็มๆ มันๆ ดิปกับเนยละลายและแยมโฮมเมดยิ่งเพิ่มความฟินอีกเท่าตัว สำหรับเครื่องดื่ม แนะนำอเมริกาโนร้อน เมล็ดกาแฟพรีเมียมที่ทางร้านคัดสรรมาเป็นพิเศษ  หรือจะสั่งเป็น อัฟโฟกาโต้ ช็อตเอสเปรสโซเข้มข้น ท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด ก็ช่วยให้ดื่มง่ายยิ่งขึ้น และพระเอกของหมวดซอฟต์ดริงค์ น้ำผึ้งเลมอนอัญมณี ที่มีเลมอนของร้านเป็นตัวชูโรง ร่วมด้วยน้ำผึ้งป่าที่มีความหอมหวานเป็นพิเศษ วันไหนอากาศร้อนๆ ดื่มชื่นหัวใจยิ่งนัก การเช็คอินคาเฟ่สวยๆ คือของขวัญเรียบง่ายที่จะมอบให้ตัวเองเมื่อไหร่ก็ได้

เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานก็กลายเป็นหนึ่งในลิสต์ที่สายฟู้ด (โดยเฉพาะคนรักอาหารจีน) ต้องไปลิ้มลองกันให้ได้สำหรับ “K by Vicky Cheng” ร้านอาหารจีนเปิดใหม่ของเชฟวิกกี้ เชง หัวหน้าเชฟและเจ้าของร้าน VEA ร้านอาหารระดับมิชลิน 1 ดาวในเกาะฮ่องกง ที่ครั้งนี้จะพานักชิมเพลิดเพลินคอนเซ็ปต์ The Harvest of Kilin ด้วยแรงบรรดาลใจจาก ‘กิเลน’ สัตว์มงคงของเมืองจีนที่โดดเด่นเรื่องการเปลี่ยนสิ่งชั่วร้ายให้เป็นสิ่งที่ดีงาม คงความซื่อสัตย์ และอวยพรให้ผู้คนสุขภาพแข็งแรง เฉกเช่นเดียวกับตัวร้านที่ตั้งอยู่บนชั้น 56 ของ EA Rooftop at The Empire เน้นการตกแต่งด้วยสีทองหรูหราและเฟอร์นิเจอสีแดงเข้ม เสมือนกับสีเกล็ดแวววาวของกิเลนที่บินอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า เสิร์ฟพร้อมอาหารกวางตุ้งและแต้จิ๋วต้นตำรับ ซึ่งครั้งนี้เราได้มาชิม ‘Lunch Set Menu’ ที่ประกอบด้วย ออเดิร์ฟหรือติ่มซำ 2 ที่ จานหลักและของหวานอย่างละ 1 ที่ ในราคาเพียง 780++ บาทต่อท่าน หรือ 980++ บาทต่อท่าน (รวมซุป) ถือว่าเป็นเซ็ตอาหารเลอค่าสุดคุ้มแห่งยุคจริงๆ มาดูเมนูเรียกน้ำย่อยกันก่อน ไข่ลวกดองรมควัน ไข่ดองรสกลมกล่อม ด้านในมีไข่แดงเยิ้มๆ สุดฟิน ตามด้วย สลัดมะเขือเทศและมะเขือม่วง จานอร่อยสไตล์วีแกนที่ทำเราติดใจ มะเขือเทศรสเปรี้ยวและมะเขือยาวรสหวานธรรมชาติ คลุกเคล้าน้ำสลัดรสเปรี้ยวสดชื่น เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี หรือจะเป็นติ่มซำโฮมเมดสูตรของเชฟ Vicky Cheng ได้แก่ ขนมจีบเป๋าฮื้อ ลูกโตๆ แป้งบางๆ ไส้แน่นเต็มคำ แถมด้านบนยังท็อปด้วยเป๋าฮื้อเนื้อหวานและหนึบ พายไส้หมูแดง สไตล์ฮ่องกงที่แป้งข้างนอกกรอบ ข้างในนุ่มชุ่มฉ่ำ สอดไส้หมูแดงรสหวานละมุน กินเพลินสุดๆ ต้อด้วย เผือกทอดไส้เป็ด เผือกทอดรสหวานเนื้อแน่นฟู เข้ากันดีกับไส้อกเป็ดรมควันเนื้อนุ่ม รสเค็มได้ที่ สุดท้ายเป็น ฮั่มสุยก๊อเนื้อพริกไทยดำ หนึ่งในติ่มซำที่หลายคนชอบ ข้าวเหนียวทอดผิวกรอบหนึบ เคล้าไส้เนื้อฉ่ำๆ รสเค็มพอเหมาะ หอมกลิ่นพริกไทยดำ ก่อนไปบรรจบกับคาราวานจานหลักอย่าง หมูดำไอเบริโกย่างซอสฮ่องกงเสิร์ฟพร้อมไข่ดาว หนึ่งในจานดาวเด่นประจำห้องอาหาร หมูดำสเปนเนื้อนุ่มอาบน้ำซอสสไตล์ฮ่องกงรสหวานฉ่ำ (ไม่เลี่ยน) เสิร์ฟเคียงไข่ดาวเยิ้มๆ อิ่มเอม คนรักเนื้อต้องลอง ซี่โครงเนื้อตุ๋นซอสจูโห่ว ซี่โครงเนื้อไทยชิ้นอวบๆ ตุ๋นกับซอสสูตรลับรสชาติเค็มละมุนจนเนื้อนุ่มร่อน กุ้งแม่น้ำผัดพริกเสฉวน เหมาะมากสำหรับคนรักซีฟู้ด กุ้งแม่น้ำเนื้อหวานเด้ง ได้รสเผ็ดจัดจ้านของพริกเสฉวนร้อนแรง กินคู่ข้าวสวยร้อนๆ เข้ากัน ซดน้ำซุปกันบ้างดีกว่า ซุปปูสไตล์ฮ่องกง ปูเนื้อหวานกินอร่อย อยู่ในน้ำแกงรสเปรี้ยวสไตล์ฮ่องกงร้อนๆ ใครชอบรสเชงเชงต้องสั่ง ซุปปูไข่ขาว รสนุ่มละมุน ซดเพลินๆ ใครยังไม่อิ่มจะสั่งจานอะลาคาร์ตมาเสริมด้วยก็ไม่เกี่ยง เราเลือกเป็น K’s Singanature Crab with Chinese Black Olive and Galice หนึ่งในจานเด็ดของเชฟ Vicky Cheng ปูตัวใหญ่ผัดสไตล์ฮ่องกงที่ใส่ทั้งกระเทียม ใบหนำเลี้ยบ เพิ่มรสเค็มกลมกล่อมด้วยเต้าเจี้ยว บอกเลยอร่อยลืม ล้างปากด้วยของหวานฟินๆ ไอศกรีมมะพร้าวราดซอสมะม่วง ไอศกรีมมะพร้ามโฮมเมดรสหวานมัน เพิ่มรสหวานฉ่ำด้วยซอสมะม่วง ตัดด้วยรสเปรี้ยวของส้มโอ ยังมีสาคูเนื้อนุ่มกินไม่เบื่อ และ บัวลอยเผือก เสิร์ฟมาร้อนๆ แป้งบัวลอยเผือกเนื้อหนึบนุ่มรสหวาน ไปด้วยกันได้ดีกับน้ำกะทิรสครีมมี ที่มีความเค็มเล็กๆ จิบคู่ชาดีๆ อย่าง Four Season Taiwan Oolong ชาอู่หลงที่ปลูกจากเมืองเชียงราย รสนุ่มดื่มง่าย หรือใครชอบเครื่องดื่มเย็นๆ ต้องนี่ Peach Oolong Fizz น้ำลูกพีชรสหวานหอม มิ๊กซ์กับชาอู่หลงรสนุ่ม และน้ำโซดาซาบซ่า กินมื้ออร่อยแล้วมีแรงกลับไปทำงาน

ข้าวสารเสก คือร้านอาหารไทยชื่อสะดุดหูในตึกเก่าย่านทรงวาดของเชฟแพม-พิชญา สุนทรญาณกิจ เชฟบอกกับเราว่าแม้คาแรกเตอร์ของร้านนี้จะสนุก เข้าถึงง่าย สบาย และไม่เกร็ง แต่เรื่องอาหารนั้นจริงจัง ทั้งรสชาติที่ไม่ออมมือและวัตถุดิบอันเป็นหัวใจหลัก เสิร์ฟทั้งอะลาคาร์ตและ House Menu หรือที่เรียกว่า ‘วงข้าว’ ซึ่งช่วงแรกทดลองรับจองวันละ 20 ที่ก่อนและตอนนี้คิวจองยาวไป 2 เดือนแล้ว “อยากให้เป็นร้านอาหารที่คนไม่เล่นมือถือ อยากให้คุยกันมากกว่าเพราะอาหารเราเป็นแบบแชร์ริ่ง”   ตัวอาคารมีเสน่ห์แบบอาคารเก่าเคล้าด้วยความขลัง ส่วนอาหารมีกิมมิกเป็น 5 วัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ น้ำปลา ข้าว น้ำตาลโตนด พริก มะพร้าว ซึ่งเชฟนิยามว่าเป็นวัตถุดิบที่ทำให้อาหารไทยเป็นอาหารไทย และกลายมาเป็นชื่อเมนูทั้ง 5 หมวดคือ หอม กรุ่น ละมุน ร้อน และนัว มีทั้งเมนูหากินยากและเมนูไทยทวิสต์นำทีมโดยเชฟเกรซ แถมยังมีข้าวประจำวันที่เสิร์ฟฟรีไม่อั้น ระหว่างรออย่าลืมสังเกตลายบนจานและมองหาวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ซ่อนอยู่ตามมุมร้าน อาทิ ผนังที่ตกแต่งด้วยกะลามะพร้าว หรือไหเก็บน้ำปลา 100 ปีที่ได้จากโรงน้ำปลาเทพมงคล (ตั้งกิมฮวด) ครั้งนี้เราได้ลอง เนื้อริบกระดูกหมักกะทิ แกงเขียวไข่ครอบ เสิร์ฟจานใหญ่สำหรับแชร์ริ่ง กลิ่นหอมยั่วน้ำลายมาแต่ไกล เนื้อวากิวมาหมักกะทิและพริกแกงก่อนแล้วสโลว์คุ้กในเตาอบจนนุ่ม นำน้ำที่ได้มาทำแกงเขียวหวานแบบน้ำข้นขลุกขลิก รสจัดจ้านจากพริกแกงโขลกเองที่ซึมเข้าไปในเนื้อ กินคู่กับไข่ครอบมันๆ และข้าวเล็บนก ซุปมะเขือ บ้านเชฟแพม ซุปมะเขือที่คุณแม่เชฟทำทำให้กินตั้งแต่เด็กๆ ก็มาโชว์โฉมในร้านด้วย  วัตถุดิบหลักคือมะเขือเปาะ กระเทียม น้ำปลาร้า เกลือนิดหน่อย และพริก รสเผ็ดเบาๆ กลมกล่อม เสิร์ฟเป็นคำเล็กๆ ด้านล่างซ่อนข้าวเหนียวเอาไว้ และอีกเมนูที่รับจองแค่ 6 ออร์เดอร์ต่อวันคือ หมูหัน ข้าวสารเสก ซึ่งทำออกมารสชาติดีมาก หนังกรอบ และได้เนื้อไม่แห้งและไม่หนาเกินไป กินกับซอสรสหวานๆ เค็มๆ ที่สำคัญอย่าลืมจับคู่อาหารกับสาโทของทางร้านที่มีทั้งข้าวเหนียวแดงและข้าวเหนียวขาว เป็นการเพิ่มอรรถรสในวงข้าวที่ข้าวสารเสก

สำหรับชาวบรีฟเลิฟเวอร์คงต้องจดคติ NO MEAT NO LIFE! เอาไว้ในใจแล้วชวนกันไปลิ้มรสเนื้อระดับพรีเมียมที่ Kazama Yakiniku ร้านเนื้อย่าง "สไตล์คันไซ" เป็นร้านดังจากไต้หวันที่เพิ่งอิมพอตมาเปิดสาขาแรกในไทยบนชั้น 3 ของศูนย์การค้า Central World ตัวร้านบรรยากาศโล่งกว้างสัมผัสได้ถึงความพรีเมียมตั้งแต่ก้าวขาเข้าร้าน ในสมุดรายการอาหารมีเมนูหลากหลายให้เลือก ประกอบด้วยชุดเซ็ตเนื้อ เนื้อหมู และอาหารทะเล รวมถึงเมนูอะลาคาร์ตมากมายไม่ว่าจะเป็นจานผัด ต้มซุป ของทอด และข้าว ที่จะมาช่วยเสริมสร้างความอิ่ม ส่วนความพิเศษของเนื้อก็ยืนหนึ่งด้วยคุณภาพที่น่าประทับใจตั้งแต่การคัดสรรไปจนถึงการคัตเนื้ออย่าง "Kazama Cutting Technique" ซึ่งเป็นเทคนิคการตัดเนื้อแบบเฉพาะ ช่วยให้เนื้อมีความสมบูรณ์แบบในทุกคำที่เสิร์ฟ อย่าพลาดชุดเนื้อไฮไลต์ ประกอบด้วย Beef Tongue Core ลิ้นวัวหั่นหนา Australian Wagyu Finger Meat เนื้อวากิวส่วนติดซี่โครง Japanese Wagyu Karubii วากิวญี่ปุ่นคารูบิ Premium Meat Australian Wagyu ออสเตรเลียนวากิวพรีเมียม Australian Wagyu Kazama Cut ออสเตรเลียนวากิวสไตล์คาซามะ Australian Wagyu Oyster Blade Steak ออสเตรเลียนวากิวใบพายหั่นสเต๊ก ย่างฉ่ำๆ กินกับน้ำจิ้มสูตรเฉพาะของคาซามะอร่อยเลิศ ต่อด้วย Australian Wagyu Tsukimi Akami ออสเตรเลียนวากิวอาคามิ Wagyu Patty with Caramelized Onion วากิวแฮมเบิร์ก Chicken Neck Fillet สันคอไก่ ในชุดยังมีบัตเตอร์เบียร์ รูทเบียร์ และของหวานประจำวัน หากยังไม่หนำใจแนะนำให้สั่ง Kazama Salad สลัดน้ำส้มยูซุ กับ Wagyu Egg Rice ข้าวหน้าเนื้อวากิวใส่ไข่ จานอะลาคาร์ตมาเพิ่มความอิ่มท้อง

เป็นขวัญใจของคนรักบุฟเฟต์อยู่แล้วสำหรับ Espresso ห้องอาหารบุฟเฟต์นานาชาติแห่ง InterContinental Bangkok ที่ครั้งนี้กลับมาเติมความปลื้มปลิ่มให้นักชิมด้วย Premium Seafood Dinner Buffet โปรโมชั่นบุฟเฟต์ซีฟู้ดที่ราวกับขนทะเลขึ้นบก มาพร้อมกับขบวนจานอร่อยซิกเนเจอร์ประจำห้องอาหารฯ พร้อมเสิร์ฟทุกค่ำคืนวันศุกร์ – เสาร์ ให้สายฟู้ดเอ็นจอยกันถ้วนหน้า ขอเริ่มที่ ซาซิมิ คาราวานปลาดิบเนื้อสด ที่ประกอบด้วย แซลมอน มากุโระ นอกจากนี้ยังมี ซูชิ ไว้เอาใจคนรักอาหารญี่ปุ่น ได้แก่ ซูชิแซลมอน ซูชิทูน่า ซูชิปลาหมึกยักษ์ และโรลไข่กุ้งกรุบๆ ตามด้วยอาหารจีนน่าอร่อยอย่าง เป็ดปักกิ่ง เนื้อแน่นรสหวาน หมูกรอบ ชิ้นอวบกรอบนอกนุ่มใน ต่อด้วย ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊ว ปลาหิมะเนื้อสด ราดซอสสูตรเด็ดรสเค็มกลมกล่อม หรือใครชอบจานอร่อยนานาชาติ เราแนะนำ หมูอบ เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ มีตเลิฟเวอร์ต้องนี่เลย เนื้ออบซอสไวน์แดง เนื้อสัญชาติออสเตรเลียชั้นดี เคล้าซอสไวน์แดงรสเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมมันบดเนื้อเนียน ล็อบสเตอร์เทอร์มิดอร์ ก็น่าสนใจ ราชาแห่งกุ้งเนื้อหวานให้สัมผัสเด้ง มิ๊กซ์กับซอสสูตรเด็ดรสหอมมัน สเตชั่นสเต็กก็ดีงาม เพราะมีทั้ง เนื้อวากิว เนื้อออสเตรเลีย นุ่มฉ่ำ ขาแกะ ปราศจากกลิ่นคาว ราดซอสพริกไทยดำรสเค็มเผ็ด ซีฟู้ดเลิฟเวอร์ห้ามพลาด ปลาทูน่าเซีย เนื้อนุ่ม หอมกลิ่นเตาถ่าน กุ้งแม่น้ำ ตัวใหญ่เนื้อเด้ง กินคู่น้ำจิ้มซีฟู้ด กั้ง เนื้อแน่นก็เข้าที มาถึงแล้วอย่างไรก็ต้องลอง กุ้งแม่น้ำย่างตะไคร้ หนึ่งในเมนูซิกเนเจอร์ประจำห้องอาหารฯ กุ้งแม่น้ำตัวโต ย่างบนเตาถ่านจนส่งกลิ่นหอม ยัดไส้ด้วยเครื่องแกงสูตรเด็ดที่เต็มไปด้วยกลิ่นละมุนของตะไคร้ คนรักอาหารไทยถูกใจมากมาย ในที่สุดก็มาถึงคิว ซีฟู้ดออนไอซ์สักที งานนี้สายฟู้ดเต็มเหนี่ยวไปเลยเพราะ Espresso เขาขนมาทั้งทะเล ไม่ว่าจะเป็น ขาปูยักษ์สีทอง เนื้อหวานอย่าบอกใคร กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเผ็ดเปรี้ยว แคนาเดียนล็อบสเตอร์ เนื้อแน่นเด้ง กุ้งแม่น้ำและกุ้งขาวลวก ถูกใจสาวกซีฟู้ดมากมาย หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ ตัวใหญ่บิ๊กเบิ้ม และปูม้านึ่ง ของโปรดใครหลายคน นอกจากนี้ยังมีไข่ปลาต่างๆ ให้คุณได้ลิ้มลอง ทั้ง คาเวียร์ อาวูรูกา คาเวียร์สีดำ รสเค็มพอเหมาะ ไข่ปลาแซลมอน ที่เราคุ้นเคย ไข่ปลาลัมพิชสีดำ และไข่ปลาลัมพิชสีแดง ก่อนจบด้วยขบวนขนมหวานสุดฟินอย่าง สตรอว์เบอร์รีช็อตเค้ก เค้กเนื้อนุ่ม ท็อปด้วยครีมสดหอมมัน และสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน ทาร์ตช็อกโกแลต รสเข้มข้น เครปซูเซ็ตต์ เครปสไตล์ฝรั่งเศสโฮมเมด ที่ชุ่มไปด้วยซอสส้มรสเปรี้ยวสดชื่น หรือจะเป็น ช็อกโกแลตฟองดู จับคู่กับผลไม้ตามฤดูกาล ใครยังไปไปต่อกับข้าวเหนียวมะม่วงได้เลย

WYND ไม่ใช่แค่คาเฟ่ที่เสิร์ฟกาแฟและขนมอร่อย แต่ยังเป็นร้านอาหารแคชชวลไดนิ่งไวป์ดีที่มาในคอนเซ็ปต์ Post Modern British Cuisine โดดเด่นสะดุดตาด้วยตัวร้านสีน้ำตาลไม้ทรง Arch ที่เน้นเรื่องส่วนเว้าโค้งดูสวยงามเรียบหรู ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปด้านในจะเจอกับบาร์น้ำและครัวเปิดที่มีกลิ่นหอมจางๆ ของกาแฟและอาหารลอยออกมาทักทายกัน ทางร้านจะเสิร์ฟอาหารสไตล์โมเดิร์นบริติชที่มีกลิ่นอายของเอเชียผสมอยู่ โดยปรุงขึ้นจากมือเชฟไทยที่เคยประจำอยู่ร้านมิชลินทั้ง 2 และ 3 ดาว อย่าง Cuttlefish Somen ปลาหมึกหอมสดจากประมงพื้นบ้านใสรูปแบบเส้นโซเมงที่คลุกมากับผงเฮิร์บและวาซาบิ กินพร้อมบัตเตอร์มิลค์ซอส และ Dill Oil ทางร้านเสิร์ฟมาแบบเย็น เปรี้ยว ซ่าสดชื่น Prawn Dumpling เกี๊ยวในรูปแบบพาสต้าสอดไส้กุ้ง ปลาหมึก และสมุนไพรต่างๆ ราดด้วยซอสปลาแห้งที่มีส่วนผสมของไข่กุ้ง ไข่ปลาแซลมอนและเทราต์ ให้เท็กเจอร์กรุบนิดๆ ต่อด้วยเมนคอร์สสุดว้าว Chicken Be-Khla Sausage เชฟเลือกใช้ไก่พันธุ์เบขลา (ไก่เบตง+ไก่สงขลา) เนื้อนุ่มกำลังดี มาสอดไส้สะโพกไก่สับและขาเห็ด เสิร์ฟพร้อมครีมฟักทองบัตเตอร์นัต และบราวน์ซอสสูตรพิเศษของร้าน อร่อยกลมกล่อมลงตัว ปิดท้ายด้วย Chocolate Royaltine ของหวานที่ใช้ทั้งดาร์คและมิลค์ช็อกโกแลตมาทำให้มีเนื้อสัมผัส 4 แบบ เป็นเมนูที่ช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ห้ามพลาด

ใครเคยลิ้มลองเพสตรีตำรับฝรั่งเศสที่ Blue by Alain Ducasse ร้านอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยดีกรีมิชลินสตาร์ 5 ปีซ้อนที่ไอคอนสยาม โดยเชฟชื่อดังระดับโลก เชฟอลัง ดูคาส ต้องติดใจรสชาติความอร่อยที่รังสรรค์จากวัตถุดิบชั้นเลิศและเทคนิคขั้นสูง มาตอนนี้เราจะได้ลิ้มลองหลากหลายเมนูเพสตรีและเบเกอรี่แสนอร่อยได้มากกว่าเดิมและได้ทุกวันที่ Blue Café by Alain Ducasse คาเฟ่แห่งแรกโดย Blue by Alain Ducasse พร้อมเสิร์ฟความอร่อยแล้วที่สยามพารากอน ชั้น G ฝั่งนอร์ธ ขนมอบที่ทั้งสวยและอร่อยในคาเฟ่แห่งนี้ ดูแลโดย เชฟคริสตอฟ กรีโล (Christophe Grilo) Executive Pastry Chef & Artisan Baker แห่งร้าน Blue by Alain Ducasse ผู้เชี่ยวชาญการทำขนมอบกว่า20 ปี มาพร้อมหลากหลายเมนูที่โดดเด่นทั้งด้านรสชาติ เนื้อสัมผัส และหน้าตา ทำด้วยความพิถีพิถันแบบอาร์ติซานให้เราได้ลิ้มลอง เมนูไฮไลต์ ได้แก่ ขนมอบขึ้นชื่อของฝรั่งเศส “Madeleine” (มาเดอแลง) ที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงและทางร้านจะอบแบบ “á la minute” หรืออบใหม่เมื่อได้รับออเดอร์เท่านั้น โดยรอเพียง 8 นาทีก็จะได้ลิ้มรสมาเดอแลงสดใหม่จากเตา เป็นประสบการณ์ความอร่อยสุดพรีเมียม มีหลากลายรสชาติทั้งซิกเนเจอร์และคลาสสิก อาทิ มาเดอแลงพิสตาชิโอ มาเดอแลงบลูเบอร์รี มาเดอแลงช็อกโกแลต มาเดอแลงวานิลลา มาเดอแลงเลมอน เนื้อนุ่มฟูหอมมาก ตามด้วยครัวซองต์รสชาติต่างๆ ที่อบอย่างพิถีพิถัน อาทิ Classic Croissant ครัวซองต์ผิวนอกกรอบบางเนื้อเบาฟู Pain Chocolat ครัวซองต์สอดไส้ช็อกโกแลตเข้มข้น Bow Tie Croissant ครัวซองต์รูปโบว์เมนูแนวใหม่สอดไส้ช็อกโกแลตและพราลีเน่ นอกจากนี้ยังมีขนมอบหน้าต่างๆ ที่ใช้วัตถุดิบชั้นดีจากทั่วโลก อาทิ Strawberry Danish ใช้สตรอว์เบอร์รีสดหวานจากยามะดะฟาร์มที่ประเทศญี่ปุ่น Phuket Pineapple Danish ใช้สับปะรดภูเก็ตของไทย Flan Vanilla ทาร์ตไข่สไตล์ฝรั่งเศสที่หรูหรา กรอบนอกเนื้อในละมุนหอมวานิลลา จับคู่กับเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลตทั้งแบบร้อนและเย็น ใช้โกโก้จาก Le Chocolat Alain Ducasse รสเข้มข้นกลมกล่อม ทอปด้วยครีมเนื้อเนียนสไตล์ฝรั่งเศส ชาร้อนและเย็นหลากรสชาติ รวมทั้งชาเบลนด์พิเศษตำรับของร้าน Blue by Alain Ducasse และกาแฟคัดพิเศษจากโรงงานของอลังดูคาส ในช่วงเปิดตัวนี้ ทางร้านชวนร่วมสนุกกับแคมเปญ Blue Café’s Dipping Culture” กินขนมอบแบบคนฝรั่งเศสด้วยการจุ่มลงในช็อกโกแลตหรือกาแฟ พร้อมติดแฮชแท็ก #DipwithBlue #Bluecafebangkok #bluecafebyalainducasse หรือทำ Google Review รับฟรีมาเดอลีน 1 ชิ้นต่อโพสต์ต่อท่าน ตั้งแต่ 11 กุมภาพันธ์ถึง 31 มีนาคมนี้ Blue Café by Alain Ducasse เปิดให้บริการทุกวันที่สยามพารากอน ชั้น G ฝั่งนอร์ธ สั่งซื้อสินค้าหรือสอบถามเพิ่มเติมโทร 06-1267-2775 หรือไลน์ ID @blue.cafe

ตะลุยเปิดสาขาให้สายฟู้ดใจเต้นระรัวไม่หยุดในที่สุด Eat Am Are ร้านสเต็กขวัญใจนักกินจากรุ่นสู่รุ่น ก็ขยายความอร่อยมาสู่ใจกลางกรุงฯ ณ Central World (ชั้น 7 โซน Living House) จนได้ ความพิเศษของโลเคชั่นนี้คือเป็น Eat Am Are สาขาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย พร้อมเอาใจนักกินทั่วทุกสารทิศด้วยพื้นที่กว้างๆ กับมู้ดแห่งความอบอุ่นจากเฟอร์นิเจอร์ไม้ เสิร์ฟพร้อมสเต็กโฮมคุกร้อนๆ จานใหญ่อิ่มเอมรสชาติดี และจ่ายในราคาที่น่ารัก เรียกน้ำย่อยด้วย ซีซ่าร์สลัด ชามโตๆ ที่ประกอบด้วยผักสดกรุบกรอบ ราดด้วยน้ำสลัดครีมหอมมัน ตัดด้วยรสเค็มละมุนของเบคอนทอด และชีสพาร์เมซานชั้นดี ต่อด้วย ซุปครีมเห็ด เห็ดแชมปิญองกินง่าย อยู่ในซุปครีมเนื้อเนียนรสหอมมัน เติมรสเค็มและความเผ็ดร้อนอีกนิดด้วยเกลือและพริกไทย คนรักเส้นต้องสั่ง สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล เส้นสปาเก็ตตี้เหนียวนุ่ม เคล้าเครื่องเคราสมุนไพร และซีฟู้ดสดเด้งอย่าง กุ้งตัวอวบ และปลาหมึกเนื้อหนึบ มาถึงคิวสเต็กสักที จานแรกต้องนี่เลย สเต็กไก่ย่างสไปซี่ และสเต็กปลาทอด จัดเต็มทั้งสเต็กไก่ชิ้นใหญ่เนื้อฉ่ำใน ได้รสเผ็ดพอเหมาะของซอสสไปซี่ ยังมีรสเต็กปลาทอดสีเหลืองทองน่าอร่อย ก่อนกินบีบมะนาวซีกเล็กน้อย เครื่องเคียงเราเลือกเป็น ขนมปังชีส กรอบนอกนุ่มใน และหอมทอด กินเพลิน ตามด้วย สเต็กหมูพอร์คชอป หมูส่วนเนื้อสันนอกติดกระดูกย่างร้อนฉ่า เข้ากันดีกับซอสกระเทียมพริกไทยรสเข้มข้น เสิร์ฟเคียงข้าวผัดหอมกลิ่นกระทะ คนรักเบอร์เกอร์ต้องลอง ดับเบิ้ลเบคอนชีสเบอร์เกอร์ ขนมปังบันโฮมเมดนุ่มฟู ประกบเนื้อวากิวชุ่มฉ่ำ  เบคอนที่หลายคนชอบ และเพิ่มความครีมมีด้วยชีส เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอดเนื้อแน่น อย่าเพิ่งรีบอิ่มเพราะยังมี ซี่โครงหมูบาร์บีคิวและไส้กรอกหมูรมควัน ซี่โครงหมูชิ้นใหญ่ อาบน้ำบาร์บีคิวรสหวานปนเผ็ดโดนใจ เค้าคู่ไส้กรอกหมูรมควันเนื้อแน่นๆ หอมๆ มันบดเนื้อเนียนและขนมปังชีส เป็นอีกหนึ่งเมนูฮิตเหมือนกันสำหรับ สเต็กปลากะพง ปลากระพงเนื้อสด ย่างบนเตาถ่านจนส่งกลิ่นหอม กินพร้อมซอสครีม และมะนาวซีก เพิ่มพลังงานให้ร่างกายด้วยมันอบราดซีส คนรักอาหารไทยต้องเลิฟ ขาหมูเยอรมัน ทอดร้อนจี๋ น่าอร่อยเป็นที่สุด เข้าคู่น้ำจิ้มซีฟู้ดรสเผ็ดเปรี้ยว ผักดอง และเฟรนช์ฟรายส์ ถูกใจเด็กอ้วน ก่อนปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง เค้กช็อกโกแลต ขนมหวานเมนูแรกของ Eat Am Are เค้กเนื้อฟองน้ำรสช็อกโกแลตนุ่มฟู สลับชั้นกับมูสช็อกโกแลตรสเข้มข้น ท็อปด้วยดาร์กช็อกโกแลตอีกที อร่อยแบบนี้ไม่ให้เป็นขวัญใจนักชิมได้อย่างไร

Tag:

ชาวบางนาที่กำลังมองหาร้านนั่งกินดื่มแบบเทสดี ขอให้จดลิสต์ A Whale Restaurant ไว้เลย ร้านอาหารที่เลือกแต่วัตถุดิบคุณภาพดีทั้งจากแหล่งโลคอล และต่างประเทศมาครีเอตเป็นเมนูสุดพิเศษสไตล์ยูโรเปียนผสมผสานนอร์ดิก โดยเน้นชูรสธรรมชาติของวัตถุดิบผ่านเทคนิคการปรุงและถนอมอาหารอย่างสร้างสรรค์ ด้วยฝีมือของเชฟ Nikolaj Lenz เชฟชาวเดนมาร์กและเชฟ Mel Rujimora ที่ต่างก็คร่ำหวอดในวงการอาหารมานานกว่า 10 ปี ทางร้านมาในคอนเซ็ปต์ Affordable luxury เน้นเรื่องบรรยากาศสบายๆ ที่ยังคงเข้าถึงง่ายเป็นกันเอง แบ่งเป็นโซนรับประทานอาหารที่ตกแต่งแบบเรียบง่ายโปร่งโล่งไม่อึดอัด ประดับด้วยแสงไฟสีส้มชวนอบอุ่น และโซนบาร์ที่อยู่ติดกับครัวเปิด ให้ได้เอนจอยกับเครื่องดื่มพร้อมวิวการรังสรรค์อาหารของเหล่าเชฟและผู้ช่วยแบบเพลินๆ เริ่มด้วย House Baked Breads ขนมปังสูตรโคเปนฮาเกนอบมาในแม่พิมพ์ไม้จนขึ้นฟูเนื้อเหนียวนุ่ม เสิร์ฟพร้อมโอลีฟออย น้ำส้มสายชูหมักกระเทียมดำและเนย ต่อที่ Chiang Mai Tomato Salad สลัดมะเขือเทศไร้เปลือกฉ่ำมาด้วยน้ำสลัดที่ทำจากน้ำมันมะกอกและน้ำมะเขือเทศหมัก กินพร้อมเพสโตสูตรพิเศษและชีสนมควาย ด้านบนเป็นชิปแผ่นยักษ์กรุบกรอบจากข้าวโอ๊ตและพาร์เมซานชีล กินแล้วสดชื่นมาก จานต่อมาเป็น Beef Tatar ทางร้านเลือกใช้เนื้อโลคอลมาคลุกเคล้ามากับซอสเอ็กซ์โอและมายองเนส ท้อปด้วยไข่แดงออร์แกนิก เสิร์ฟพร้อมขนมปังโทสต์เข้ากันสุดๆ และจานเด็ดยกให้ Dry Aged Duck Breast อกเป็ดจากฟาร์มไทยท้องถิ่นที่ผ่านการดรายเอจ 5-7 วันก่อนจะนำไปกริลล์ให้หนังกรอบและมีสีสวยประมาณมีเดียมแรร์ เสิรฟ์คู่ซอสมัลเบอร์รี และผักดอง ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง MAG-NUM Icecream ด้านในเป็นไอศกรีมวานิลลาเคลือบด้วยช็อกโกแลตเข้มข้นและถั่วกรุบกรอบ อิ่มครบจบทั้งคาวหวานเลย

สายฟู้ดคนไหนแวะมา One Bangkok แล้วเกิดท้องร้องจ๊อกๆ เราแนะนำให้ไปเช็คอิน “The House Brasserie” ร้านอาหารฝรั่งเศสฟิวชั่นเปิดใหม่เครือ GINGER FARM kitchen ที่ครั้งนี้กลับมาเอาใจนักชิมด้วยจานอร่อยสไตล์ฝรั่งเศสฟิวชั่น ที่รังสรรค์จากทีมเชฟคนไทยมากประสบการณ์ แน่นอนว่าอาหารยังคงคอนเซ็ปต์ Farm to Table วัตถุดิบส่วนใหญ่ลำเลียงมาจากฟาร์มออร์แกนิกแห่งเชียงใหม่ส่งตรงสู่เมืองกรุงฯ พร้อมเสิร์ฟให้คุณลิ้มลองถึงที่ นอกจากด้านอาหารที่น่าสนใจแล้ว The House Brasserie ยังมีบรรยากาศคึกคักชวนให้หลงใหลด้วยการโทนสีสันคัลเลอร์ฟูลอย่าง น้ำเงิน สีเหลืองและสีเขียว เสริมความเก๋ไก๋ด้วยเฟอร์นิเจอร์ทั้งเก๋าอี้ไม้ไผ่ โคมไฟหวาย งานฝีมือของชาวเหนือที่สวยงามและน่ายกย่อง นอกจากนี้ยังมีจานชามจากเมืองเชียงใหม่ที่สื่อถึงความเป็น GINGER FARM kitchen ได้อย่างดีเยี่ยม จานแรกเป็น Scallop Ceviche หอยเชลล์ฮอกไกโดเนื้อสดหวาน คลุกเคล้าน้ำยำสไตล์สเปนที่ได้รสเปรี้ยวสดชื่นจากส้ม เลมอน เพิ่มกลิ่นหอมๆ ด้วยสนุนไพรนานาพันธุ์ ตามด้วย Salmon Tartare ทาร์ทาร์รสกลมกล่อมที่ประกอบด้วยแซลมอนหั่นเต๋า อะโดคาโด มะม่วงสุก เคเปอร์ โรยด้วยมันฝรั่งทอดและไข่ปลาแซมอน Mushroom Tartine แซนด์วิชหน้าเปิด ทางร้านใช้ขนมปังซาวร์โดว์โฮมเมดเนื้อเนียวนุ่ม กินพร้อมเห็ดผัดเบคอนสไตล์อิตาเลียน เพิ่มความอิ่มเอมด้วยโพ้ชเอ้กอีกที ขาดไม่ได้กับ French Onion Soup Pain Perdu ซุปหัวหอมสไตล์ฝรั่งเศสที่ได้รสหวานนุ่มนวลจากหัวหอมผัดคาราเมล เติมความครีมมีด้วยชีสกรูแยร์ และกลิ่นหอมฟุ้งจากใบไธม์ คนรักพาสต้าต้องสั่ง Parisian Gnocchi ญ็อกกี้ โฮมเมด เกี๊ยวสไตล์อิตาเลียนชิ้นจิ๋วที่ทำจากมันฝรั่งเนื้อนุ่ม ผัดพร้อมซอสครีมเห็ดผสมพริกหยวกอบ กินอร่อยไม่แพ้ใคร จานหลักเป็น Chicken Mushroom อกไก่ซูวีเนื้อฉ่ำใน ไปด้วยกันได้กับกับซอสครีมเห็ดรสเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมมันบดเนื้อเนียน และสลัดผักกรุบกรอบ เอาใจมีตเลิฟเวอร์ด้วย Steak Frites เสต็กเนื้อวากิวออสเตรเลีย (ส่วนสันนอก) ต่างเตาถ่านหอมๆ จนได้สัมผัสชุ่มฉ่ำ ราดด้วยซอสไวน์แดงรสเข้มข้น กินคู่มันฝรั่งทอด และผักสลัด มาถึงคิวของหวานกันบ้าง Suzette Chiffon นี่น่าสนใจ เค้ฟชิฟฟอนเนื้อฟูๆ หอมกลิ่นวานิลลา เพิ่มความกรุบกรอบด้วยครัมเบิ้ลเคี้ยวเพลิน ท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลาหอมมันชื่นใจ ตัดรสด้วยซอสส้มรสเปรี้ยวอมหวาน Chocolate Mousse ก็ฟินไม่แพ้กัน มูสช็อกโกแลตเนื้อแน่นเนียน กินกับคาเคานิบส์กรุบๆ วิปครีมปุกปุย และส้มซ่า Yuzu Sorbet ยุซุซอร์เบทรสเปรี้ยวชื่นใจ เติมรสหวานธรรมชาติด้วยองุ่นไซมัสคัสลูกโตๆ และองุ่นแดงฉ่ำๆ กินพร้อมเลมอนเคิร์ดรสนุ่มนวล เครื่องดื่มเราขี้เป้า Signature Hot Chocolate ช็อกโกแลตร้อนขวัญใจสายหวาน ที่ทำมาจากช็อกโกแลตชั้นดีจากเมืองเชียงใหม่ ผสมผิวส้มสดชื่นหอมฟุ้ง กินกับวิปครีมตีสดถูกใจเด็กอ้วน ใครชอบจิบสมูตตี้ หรือค็อกเทลที่ร้านก็มีเสิร์ฟนะ

พาตัวเองไปเปิดประสบการณ์ไฟน์ไดนิ่งสุดเอ็กคลูซีฟไม่เหมือนใครบน Okura Cruise เรือไคเซกิ เทปันยากิ ลำแรกของไทย ที่จะยกเมนูพรีเมียมสไตล์ญี่ปุ่นมาให้ทุกคนได้ลิ้มลอง ท่ามกลางวิวคุ้งน้ำเจ้าพระยา ลำเรือโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจจาก โอริกามิ ศิลปะการพับกระดาษของญี่ปุ่น ภายในถูกเนรมิตให้เป็นห้องกระจกใส สามารถชมทิวทัศน์อันสวยงามได้ตลอดสองฝั่งริมแม่น้ำ โดยมีไฮไลต์เป็นบาร์เสื่อทาทามิบนดาดฟ้าเรือ สำหรับสายชิลที่อยากจิบครื่องดื่มรับลมแม่น้ำยามค่ำคืน เรือลำนี้มาพร้อมเส้นทางชมความสวยงามของแลนด์มาร์กสำคัญในกรุงเทพฯ ไล่เรียงตั้งแต่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ไอคอนสยาม วัดอรุณราชวราราม และสะพานพระราม 8 ซึ่งระหว่างล่องเรือกลับจะได้ชมการแสดงพลุสุดอลังการ ทำให้การเดินทางน่าประทับใจขึ้นทวีคูณ คอร์สดินเนอร์แบ่งเป็น Seasonal Kaiseki ซึ่งปรุงจากวัตถุดิบชั้นเลิศตามฤดูกาล และ Teppanyaki ที่ทีมเชฟผู้เชี่ยวชาญจะมารังสรรค์เมนูพิเศษตรงหน้าในห้องไพรเวต เราได้ลอง Zensai เซ็ตเรียกน้ำย่อยที่ประกอบด้วย เต้าหู้งาดำกับซอสดาชิ ตับปลาอังกิโมะมาพร้อมเนื้อกุ้งและมิโสะมะม่วง ตามด้วยสาหร่ายทะเลหมักซอสถั่วเหลือง Otsukuri เซ็ตซาชิมิที่จัดเต็มด้วย ชูโทโร่ อากามิ ฮามาจิ ปลามิคังได เนื้อสดหวานฉ่ำลิ้น ไม่รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลย จานที่ประทับใจยกให้ Yakimono เนื้อวากิว A4 ย่างระดับมีเดียมแรร์สัมผัสฉ่ำละลายในปาก เสิร์ฟพร้อมเทริยากิบัลซามิกซอส และวาซาบิดอง ตบท้ายด้วย Osuimono ซุปปูซูไวกานิดรสกลมกล่อม และของหวานล้างปาก ผลไม้แช่เย็นกินคู่เจลลีน้ำผึ้ง ปิดท้ายได้อย่างเพอร์เฟกต์  สำรองที่นั่งสอบถามข้อมูลได้ที่ okuracruise@okurabangkok.com

ใครเป็นคาเฟ่ฮอปเปอร์ที่ชื่นชอบการจิบกาแฟควบคู่ไปกับการเสพงานศิลป์ ต้องชอบ Eddie Cafe BKK คาเฟ่สุดอาร์ตที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมซอยปรีดี 31 เพราะด้วยไวบ์ดีๆ ของดีไซน์ร้านที่ตกแต่งจากของสะสมจนกลายเป็น Art Gallery เลยก็ว่าได้ ตัวร้านมีทั้งหมด 3 ชั้น รายล้อมไปด้วยผลงานศิลปะที่มีคุณค่าทางจิตใจของเจ้าของร้าน อีกทั้งยังมอบความสดชื่นให้กับผู้ชมอย่างเราได้อีกด้วย ส่วนบรรยากาศภายในร้านก็เงียบสงบ มีหลากหลายมุมให้เลือกนั่งเคล้าเสียงดนตรีเบาๆ ตลอดวัน หรือใครอยากจะเล่นบอร์ดเกมทางร้านมีบริการฟรีด้วยนะ แต่อย่าเสียงดังจนเกินไปล่ะ! ไฮไลต์ของร้านอยู่ที่ไอศกรีมโฮมเมดรสละมุน มีหลากรสชาติให้เลือก เราสั่งเป็น Himalayan Salted Caramel อร่อยมาก! ได้รสเค็มเล็กน้อยผนวกกับความหอมของคาราเมล กินเพลินๆ จนหมดถ้วย สำหรับขนมและเครื่องดื่มก็มีพร้อม ไม่ว่าจะเป็น Garlic Bun ขนมปังกระเทียมอบมาร้อนๆ กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วร้าน Chocolate Lava รสเข้มข้น ทางร้านทำไม่หวานมากอยู่แล้ว แนะนำให้สั่งแบบปกติก่อนสั่งว่าหวานน้อย หรือจะเพิ่มความสดชื่นรับวันกันด้วย Rose Lomonade น้ำเลมอนหอมกลิ่นกุหลาบจางๆ สดชื่นด้วยโซดา

ขอต้อนรับแบรนด์ชาชื่อดังจากดูไบ ‘ PIMS ’ สู่สาขาแรกในไทย ณ One Bangkok โดยจะมาเสิร์ฟเครื่องดื่มสุดสดชื่นกว่า 20 รสชาติจากใบชาคุณภาพดี ที่ผ่านการคิดค้นทดลองสูตรมากว่า 2 ปี โดยมีให้เลือกตั้งแต่ชาคลาสสิกไปจนถึงชาผลไม้ที่ออนท็อปด้วยครีมซิกเนเจอร์ของร้าน ตัวร้านมากับคอนเซ็ปต์ PIMS More Than Tea ที่พร้อมนำเสนอรสชาติและสีสันใหม่ๆ ของเครื่องดื่ม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและให้พลังงานที่ดีกับทุกวันของชีวิต แนะนำ TEA & CREAM อย่าง GABA CREAM ชากาบาหรือชาหมักกลิ่นหอมไม่ติดขม ท็อปมาด้วยครีมเนื้อเนียนนวล กินด้วยกันแล้วละมุนละไมกลมกล่อม และ MANGOOW แก้วที่มีส่วนผสมของชามะลิ ครีมและมะม่วง หอมนวลละมุนลิ้น ใครเลิฟมะม่วงต้องเมนูนี้ หมวด TEA & FRUITS ต้องลอง ALL IN ชามะลิที่ผสานกลิ่นมะนาว โดยจุดเด่นคือเนื้อผลไม้สดที่ทางร้านอัดแน่นมาอยู่ในแก้วเดียวไม่ว่าจะเป็น ส้ม เกรปฟรุต เสาวรส สตรอว์เบอร์รี ลิ้นจี่ และสับปะรด เสิร์ฟพร้อมชามะลิขวดแบบรีฟีล แก้วสุดท้าย DA HONG PAO TAIPIOCA ชานมไข่มุกที่ใช้เป็นชาอู่หลงผสมมากับนม และช็อกโกแลต หอมนัวหวานละมุนละไม กินกับไข่มุกหนึบหนับเข้ากันสุดๆ ใครอยากเติมพลังความสดชื่นก็แวะไปได้เลย

เป็นปีที่ดีสำหรับฟู้ดดี้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะแม้เพิ่งย่างเข้าเดือนแรก เราก็ได้ลิ้มรสอาหารระดับเชฟมิชลินสตาร์กันอีกแล้ว ยิ่งใครที่ชื่นชอบอาหารฝรั่งเศส ต้องบอกว่าครั้งนี้จะได้สัมผัสกับอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยชั้นเลิศที่จะมอบมื้ออาหารอันน่าจดจำอย่างแน่นอน ที่ Duet by David Toutain (ดูเอ็ท บาย เดวิด ทูแทง) โดยสองเชฟชาวฝรั่งเศส เชฟเดวิด ทูแทง (David Toutain) และเชฟวาลองแต็ง ฟูอาซ (Valentine Fuache) ในบรรยากาศกลาสเฮาส์ที่ทั้งหรูหราและร่มรื่นด้วยสวนสวย ในโลเกชันสุดพิเศษที่เทอร์เรสชั้น 7 โรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ โอบรับวิวอันแสนงดงามเหนือสวนลุมพินีแบบพาโนรามา เชฟเดวิด ทูแทง เชฟและเจ้าของร้านอาหาร David Toutain แห่งกรุงปารีส เจ้าของสองดาวมิชลินสตาร์ ร่วมด้วยดาวสีเขียว Michelin Green Star ซึ่งมอบแก่ร้านอาหารที่ยึดหลักเพื่อความยั่งยืน (Sustainability) ทั้งด้านการคัดสรรวัตถุดิบและการดำเนินงาน เชฟทูแทงจะนำเอาปรัชญาและแนวทางในการทำอาหารของเขามาสู่ร้าน Duet by David Toutain ที่กรุงเทพฯ แห่งนี้ด้วย เชฟทูแทงเติบโตมาในแคว้นนอร์มังดีของฝรั่งเศส ที่ซึ่งเขามักไปเยี่ยมฟาร์มของคุณปู่คุณย่าจนเกิดความหลงใหลในความอร่อยของวัตถุดิบที่สดใหม่ ที่ Duet by David Toutain เราจะได้เห็นเทคนิคการทำอาหารชั้นยอดควบคู่กับมุมมองด้านศิลปะ และการเชิดชูวัตถุดิบอย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะยังหนุ่มแต่เชฟทูแทงก็ผ่านการร่วมงานกับเชฟชั้นนำและเชฟระดับตำนานของฝรั่งเศสมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเชฟ Alain Passard เชฟ Pierre Gagnaire เชฟ Bernard Pacaud และเชฟ Marc Veyrat ร่วมกับประสบการณ์ที่ได้จากการเดินทางรอบโลก เชฟจะนำสิ่งที่เก็บเกี่ยวมารังสรรค์จานพิเศษที่น่าตื่นตาให้นักกินชาวไทยได้ลิ้มลอง Duet หมายถึงการร้องประสานเสียง ฉะนั้นเชฟทูแทงจึงไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมเชฟวาลองแต็ง ฟูอาซ ผู้เปี่ยมด้วยเทคนิคและประสบการณ์เช่นกัน เชฟฟูอาซเคยร่วมงานกับร้านอาหารมิชลินสตาร์ทั้งในฝรั่งเศสและประเทศไทย และครั้งนี้เขาจะมาร่วมสอดผสานแนวคิดและพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์อาหารในตำแหน่ง Chef de Cuisine แก่ห้องอาหารแห่งนี้ ภายในเรือนกระจกที่ออกแบบอย่างงดงามคือห้องอาหาร 32 ที่นั่ง ซึ่งจัดเสปซอย่างพิถีพิถันมอบความเป็นส่วนตัวให้แก่แขกทุกโต๊ะ ภายในให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในสวนพฤกษศาสตร์อันงดงาม ดีไซน์หมดจดตั้งแต่พื้นจรดเพดานสูงล้อมรอบด้วยสวนสวยเขียวขจี ใครมองหาห้องอาหารที่มอบบรรยากาศโรแมนติก หรือฟังก์ชั่นที่เป็นส่วนตัว ที่นี่ตอบโจทย์อย่างมาก แต่ที่เป็นไฮไลต์ของห้องอาหารแห่งนี้คงไม่พ้นจานอาหารที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เพียงแค่อะมูสบุชถูกยกมาก็เห็นได้ถึงความเป็นศิลปะสุดพิถีพิถันตั้งแต่จานแรก อาหารทั้ง 8 คอร์สจะเสิร์ฟมาพร้อมการ์ดแนะนำวัตถุดิบ บอกเล่าเรื่องราวของเหล่า “Herbs” หรือเครื่องเทศและสมุนไพรจากทั่วโลก ซึ่งจะมีบทบาทอันน่าสนใจและการจับคู่ที่ชวนตื่นตาในแต่ละจาน ค่อยๆ ไต่ระดับไปทีละคอร์สราวกับท่วงทำนองที่น่าอภิรมย์ อาทิจานแรก Tarragon, Ostra Regal Oyster, Kiwi จับคู่หอยนางรมสดกับซอสครีมสมุนไพรและทาร์รากอนออยล์ เติมรสเปรี้ยวสดชื่นด้วยกีวีหลากหลายเท็กซ์เจอร์และความกรุบกรอบจากกรูตอง เรียกความอยากอาหาร ตามด้วย Shiro Kyoto Miso, Tuna, Eggplant ทูน่าเคียวร์ปรุงรสแบบทาทาร์ ทอปด้วยมะเขือคาเวียร์และมะเขือชิปส์ แต่งกลิ่นอายญี่ปุ่นด้วยซอสมิโสะขาวจากเกียวโตอูมามิกลมกล่อม จานต่อมา XO Sauce, Brittany Scallop, Cauliflower เชฟเลือกใช้หอยเชลล์จากบริตตานีจับคู่กับซอสเอ็กซ์โอที่เชฟทำขึ้นเอง เคียงด้วยดอกกะหล่ำทั้งแบบพูเร่และทอดเทมปุระ ต่อด้วยจานที่มีตัวเอกเป็นเครื่องเทศของไทยอย่าง Panang, Foie Gras, Passion Fruit ฟัวกราส์นาบกระทะมีความครีมมีเข้ากับซอสพะแนงที่ร้อนแรงอย่างลงตัวและหอมมาก ตัดด้วยความเปรี้ยวของเสาวรสทำให้ยิ่งกินเพลิน ตามด้วยจานที่น่าพิศวง Dill, Artichoke Barigoule, Black Sesame มีแรงบันดาลใจจากเมนูอาร์ติโชคตำรับคลาสสิกของแคว้นโพรวองซ์ จับคู่กับกลิ่นหอมที่มีความซับซ้อนของผักชีลาว ชวนหลงไหลด้วยสีดำขลับของงาดำ   เริ่มเข้าสู้จานหลักด้วยซีฟู้ด Épicéa, Brittany Blue Lobster, Broccolini บริตตานีล็อบสเตอร์ย่างถ่านบินโจตันเนื้อหวาน เสิร์ฟกับผักต่างๆ ได้แก่ บร็อคโคลินี บ๊อกฉ่อย และผักเคล ราดล็อบสเตอร์ซอส ทอปด้วยซอสซาบายอนซอสใส่เอพิเซียให้กลิ่นแบบเลมอนและความเย็นจากเอพิเซียที่เป็นพืชตระกูลสน เคียงมาด้วยอีกจานคือเนื้อล็อบสเตอร์ห่อกะหล่ำปลีเกลซด้วยเอพิเซีย เป็นจานที่เราชอบมากๆ ตามด้วย Tamarind, Brittany Pégeon, Turnip นกพิราบจากฝรั่งเศสย่างทั้งตัวด้วยถ่ายบินโจตันจนหอม เสิร์ฟกับหัวผักกาดหลายเท็กซ์เจอร์ ราดจุสเข้มข้นใส่มะขามและมัลเบอร์รีให้สีแดงสวย และไส้กรอกย่างซอสมะขามเป็นของทานเล่นที่มีแรงบันดาลใจมากจากไส้อั่วของไทย ตามลำดับการกินแบบฝรั่งเศสต้องคั่นด้วยจานชีส แต่เป็นชีสแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน Fig Leaves, Red Port Stilton ชีสสติลตันที่ขึ้นชื่อด้านกลิ่นและรสที่เข้มข้น เสิร์ฟกับซาวร์โดฟรุตเบรดอบกรอบ อุเมะชูเอ็กซ์แทรกชั่น และเจลลีใบมะเดื่อเพิ่มความหอมหวาน ทอปด้วยใบมะเดื่อที่ทางร้านดองเองเพิ่มความอมเปรี้ยวตัดกับความเข้มข้นของชีสได้อย่างกลมกล่อม จานคั่นก่อนของหวาน Trou Normand มีที่มาจากวัฒนธรรมการดื่มคาลวาโดส (Calvados เหล้าแอปเปิล) ของบ้านเกิดของเชฟที่แคว้นนอร์มังดีเพื่อช่วยย่อยและคลีนรสชาติในปาก แต่จานนี้ไม่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ มีเพียงเฟรชครีมจากนอร์มังดี แอปเปิลซอร์เบต์ และแอปเปิลรีดักชั่น ร่วมกับเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ที่หวานหอมเข้ากันได้ดีกับรสเปรี้ยวของแอปเปิล สดชื่นมาก ปิดท้ายด้วยจานของหวานที่ทั้งสวยงามและอร่อย Coriander, Pineapple จับคู่กลิ่นเฉพาะตัวของผักชีในรูปแบบซอร์เบต์ เข้ากับรสหวานหอมของสับปะรดหลากหลายเท็กซ์เจอร์ ทั้งสับปะรดเชื่อม สับปะรดอบกรอบ ครีมสับปะรด ชวนสดชื่นอย่างที่สุด ตามด้วย Petit Fours ที่มาแบบชิ้นใหญ่ วาฟเฟิลกรอบเสิร์ฟกับซอสคาราเมลและครีม อาหารของเชฟทูแทงขึ้นชื่อด้านการใช้เทคนิคการทำอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยชั้นสูง นำเสนอรสสัมผัสที่หลากหลายของวัตถุดิบชนิดเดียวกันได้อย่างสร้างสรรค์ ร่วมกับการจับคู่รสชาติของวัตถุดิบต่างๆ ได้อย่างโดดเด่น ออกมาเป็นรสชาติที่ทั้งอร่อยและมีเอกลักษณ์ ทั้งยังมีศิลปะในการจัดจานที่สวยงามละเมียดละไม โดยไม่ทิ้งความเรียบง่ายที่เข้าถึงได้ในความเป็น Farm-to-Table เรียกว่าเห็นความตั้งใจของเชฟที่สื่อสารอยู่ในทุกรายละเอียดของอาหารแต่ละจานอย่างน่าประทับใจ Duet by David Toutain เปิดให้สำรองที่นั่งแล้วที่ www.ritzcarlton.com/en/hotels/bkkrb-the-ritz-carlton-bangkok/dining/ และสำหรับใครที่มาดินเนอร์ เราอยากให้เผื่อเวลาสักนิดเพื่อจะได้ดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินพร้อมแชมเปญฉ่ำๆ สักแก้ว โรแมนติกสุดๆ ไปเลย

ไม่ได้แวะเวียนมา The Office Thonglor นานพอควร คราวนี้ทางโครงการฯ เขามีร้านชาบูและสุกี้ยากี้สไตล์ญี่ปุ่นหม้อเดี่ยวมาเปิดใหม่น่าเช็คอิน ชื่อ “Shabubu Thonglor” ที่รสชาติเข้มข้นสไตล์คนไทย อร่อยไม่เป็นสองรองใคร โดดเด่นด้วยด้วยวัตถุดิบชั้นเยี่ยมนำเข้าจากญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น เนื้อโคชิมา ที่มีมันแทรกทั่วชิ้น ให้รสกลมกล่อมติดใจ เนื้อวากิว A5 คัดพิเศษ เนื้อ A4 นุ่มฉ่ำกินเพลิน และเนื้อ A3 ที่ถึงจะมีมันแทรกเล็กน้อยแต่ก็คงความนุ่ม และรสชาติชัดเจน ส่วนใครไม่ใช่สายเนื้อทางร้านก็มีหมูดำคุโรบุตะ เนื้อฉ่ำอย่าบอกใคร และปลาฮามาจิดรายเอจรสเข้มข้น ซิกเนเจอร์ของทางร้าน ผสานกับบรรยากาศเรียบง่ายและอบอุ่น ที่ตกแต่งด้วงเฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลไปด้วยกันได้ดีกับผนังไม้โทนสีสว่าง ตรงกลางเป็นครัวเปิดที่ให้คุณสามารถมองดูทีมเชฟจัดเตรียมวัตถุดิบและแร่เนื้อได้อย่างถนัดตา แถมข้างๆ ยังมีบาร์น้ำและบาริสต้าคนเก่งคอยชงเครื่องดื่มชื่นใจอีกด้วย มาเริ่มชิมกันเลยดีกว่าเมนูแรกเราสั่งเป็น เซ็ตสุกี้ยากี้ ที่ครั้งนี้เราเลือก Bubu Wagyu A5 หนึ่งในเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้าน เนื้อวากิวคัดพิเศษที่ส่งตรงมาจากดินแดนอาทิตย์อุทัย ให้สัมผัสฉ่ำในถูกใจคนรักเนื้อ กินกับน้ำซุปสุกี้ยากี้สูตรเฉพาะรสหวานละมุน (ไม่เลี่ยนแต่อย่างใด) ชุดผักสด ข้าวสวยพูนๆ จิ้มกับไข่ไก่ออร์แกนิกครีมมีฟินๆ ห้ามพลาด Dry – Aged Hamachi ปลาฮามาจิหรือปลาหางเหลืองเนื้อสดที่ทางร้านนำไปดรายเดจเพิ่มรสชาติของปลาให้เข้มข้น บวกกับสัมผัสที่สดเด้งมากขึ้น สาวกชาบูต้องนี่เลย เซ็ตชาบู ที่ประกอบด้วยน้ำซุปสาหร่ายคอมบุรสนุ่มนวล ชุดผักสด ส่วนเนื้อสัตว์ครั้งนี้ขอลองเป็น Premium Kagoshima Kurobuta หมูดำคุโรบุตะเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ รสหวานจากจังหวัดคาโกชิมะ เข้าคู่กับน้ำจิ้มงา หอมหวาน หรือ น้ำจิ้มพอนสึ รสเปรี้ยวกลมกล่อมที่เรารัก ก่อนเอาใจคนรักซีฟู้ดด้วย White Shrimp กุ้งตัวใหญ่เนื้อสด ที่กินกับสุกี้ก็อร่อย หรือจะเป็นชาบูก็ดีงาม ของหวานต้องนี่เลย Yuzu Slushy น้ำส้มยูซุปั่นเกล็ดหิมะเนื้อเนียนนุ่ม รสเปรี้ยวละมุนชื่นใจเป็นที่สุด ต่อด้วย Sweet Potato Kakigori น้ำแข็งไสสไตล์ญี่ปุ่นที่ได้รสหวานหอมจากน้ำตาลทรายแดงเคี่ยว เพิ่มความฟินด้วยผงถั่วคินาโกะ และโมจิมันหวานสไตล์โฮมเมดเบิร์นไฟ ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มซาบซ่า Peppermint Lemonade อิตาเลียนโซดาที่เป็นการรวมตัวกันของน้ำเลมอน และไซรัปมิ้นต์ และ Honey Yuzu รสหวานอมเปรี้ยวนี้ได้มาจากน้ำผึ้งหวานฉ่ำ น้ำส้มยูซุ และน้ำโซดา คนรักชาบูและสุกี้ยากี้จดลิสต์ร้านนี้เอาไว้เลย

สายบรันช์ห้ามพลาดร้านโฮมเมดบรันช์ยุโรปที่ผสมกลิ่นอายแบบเอเชีย-ญี่ปุ่น คัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ นำเสนอแบบ All Day Brunch ในย่านทองหล่อ ให้อิ่มอร่อยได้ตลอดวัน ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบและการปรุงรสอย่างตั้งใจ เพื่อให้ทุกคนได้เริ่มต้นวันกับมื้ออาหารที่ดี ตัวร้านโดดเด่นด้วยการออกแบบห้องแบบกระจกใส ช่วยสร้างบรรยากาศให้โปร่งโล่งสบาย ภายในร้านให้กลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น ผสานกับความเรียบและอบอุ่นเช่นเดียวกับคอนเซ็ปต์ร้าน NICO NICO หรือ にこにこ ที่แปลว่า “รอยยิ้ม” เพราะเชื่อว่าการที่เราได้กินของอร่อย  เป็นการสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับทุกคนได้ เกิดเป็นสโลแกน Meals That Make You Smile :) มื้อสายแบบนี้บรรยากาศกำลังดีเริ่มด้วย NICO NICO Breakfast มื้อเช้าที่เสิร์ฟมาครบ 5 หมู่ ที่ทางร้านเสิร์ฟCurry Scrambled Eggs ไข่คนผสมกับผงกะหรี่ พร้อมกับเบคอนตุ๋นเคลือบซอสชาชูจนเนื้อฉ่ำวาว กินคู่กับเห็ดผัดสาเก และขนมปังซิกเนเจอร์ (Yudane Toast) เนื้อสัมผัสนุ่มและหนึบ ตักกิยคู่กับไข่คนเข้ากันอย่างลงตัว Salmon Ochazuke เมนูยอดนิยมของคนญี่ปุ่น เป็นข้าวญี่ปุ่นปรุงรสด้วยซีอิ๊วและปลาโอป่น กินกับแซลมอนย่างและผัก Mizuna เสิร์ฟมาพร้อมกับซุปชาข้าวคั่วผสมซุปปลาแห้งญี่ปุ่น ที่ทางร้านเลือกใช้ข้าวเหนียวไทยมาคั่วและต้มเป็นชาสูตรพิเศษของทางร้าน มื้อสาย Scallop & Daikon Miso Salad สลัดผักสดเสิร์ฟกับเนื้อหอยเชลล์ย่างเกรดซาซิมิที่ย่างจนสุกกำลังดี เนื้อนุ่มหนึบรสหวาน วางสลับชั้นมากับ Daikon หรือหัวไชเท้าต้มซีอิ๊วย่างเนื้อชุ่มฉ่ำ สุกกำลังดี ราดด้วยน้ำสลัดงาขาวมิโซะรสครีมมี่ เพิ่มความกรุบกรอบด้วยเมล็ดฟักทอง หรือใครที่อยากได้มื้อสายแบบเบาๆ แต่ต้องการเพิ่มความแซ่บต้องลอง Spicy Tuna ขนมปังซิกเนเจอร์ของทางร้าน นำไปอบให้กรอบนอกนุ่มใน ท็อปด้วยสลัดทูน่าหั่นเต๋าคลุกกับสไปซี่มาโย หอมซอสพริกศรีราชา โคชูจังและพริกป่นญี่ปุ่น กินอิ่มแล้วช่วยให้มีรอยยิ้มตลอดวัน

Purple Laurel ร้านอาหารจีนผสมผสานสไตล์กวางตุ้งและเจียงหนาน โดยเชฟอิ๋วปิน เชฟจีนฝีมือเยี่ยม ผู้มีประสบการณ์ในร้านอาหารมิชลินชื่อดังที่ประเทศจีนมาหลายปี ปัจจุบันมาเปิดร้านอาหารแห่งแรกในประเทศไทยที่ตึก Gaysorn Amarin ชั้น 4 ภายในร้านดีไซน์เหมือนคฤหาสน์จีนแบบผสมผสาน ที่ถูกเนรมิตและประดับด้วยภาพวาดสวยงาม แสดงถึงความอ่อนช้อยได้อย่างลึกซึ้ง จากฝีมือศิลปินจีนที่บินมาวาดโดยเฉพาะ รวมไปถึงเก้าอี้ไม้แกะสลัก ระแนงกั้น และจานชามที่เพนต์ลายได้อย่างสวยงาม ชื่อร้าน Purple Laurel ได้แรงบันดาลใจมาจากบ้านเกิดของเชฟที่หางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน  “Laurel” เป็นดอกไม้ประจำเมือง ส่วน “Purple” หรือสีม่วง อ้างอิงถึงโรงแรมหรู Seven Villas Hangzhou ที่เคยทำงานเป็นเชฟใหญ่ นำมาเล่าเรื่องผ่านอาหารแบบสมัยใหม่ของอาหารเจียงหนานและอาหารกวางตุ้งไว้ได้อย่างลงตัว สำหรับเมนูไฮไลต์ที่เราเริ่มด้วย เป็ดปักกิ่ง เป็ดหนังฟูกรอบแยกชั้นเนื้อกับหนังกำลังดี เสิร์ฟมา 3 แบบ คำแรกเสิร์ฟบนหมั่นโถวท็อปด้วยคาเวียร์ คำต่อมาหนังเป็ดติดเนื้อบางๆ เสิร์ฟพร้อมแผ่นแป้ง ซอส และผัก และคำสุดท้ายนำเนื้อเป็ดไปคั่วพริกเกลือช่วยตัดเลี่ยนได้อย่างดี ซุปปลากับถั่วลันเตาสไตล์หางโจว บอกเลยว่าแม้หน้าตาจะดูธรรมดาแต่รสชาติล้ำลึกมาก เชฟขูดเนื้อปลาจนฟูแล้วปั้นคล้ายกับลูกชิ้นเนื้อเนียน เสิร์ฟพร้อมน้ำสต๊อกถั่วลันเตาที่เคี่ยวมาจากถั่วหลายกิโลกรัม มีถั่วลันเตากรอบๆ ให้เคี้ยวเพลิน เมนูต่อมา สำหรับเมนูแชร์ริงที่มาแล้วต้องสั่ง ปูม้านึ่ง ปูม้าตัวโตนึ่งพร้อมกับหมูสับปรุงรสผสมแห้วและไวน์จีน เนื้อปูหวานฉ่ำเข้ากันกับเนื้อหมูสับปรุงรส ปิดท้ายด้วยขนมหวาน พุดดิงปลาคาร์ป พุดดิงเนื้อเนียนหอมกลิ่นเสาวรสเปรี้ยวหวานกำลังดี ตกแต่งด้วยรูปปลาคาร์ปแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ของประเทศจีนได้อย่างสวยงาม ทั้งบรรยากาศที่หรูหราและรสชาติอาหารแบบจีนสมัยใหม่ที่ควรไปลิ้มลอง

คู่รักที่อยากเติมความหวานให้กันในวันพิเศษ ห้ามพลาดจุดเช็คอินดินเนอร์ ณ บริเวณ เดอะพีค Sky Beach Bangkok บนชั้น 78 ของ The Standard, Bangkok Mahanakhon องศาที่คุณจะกระซิบคำหวานได้โรแมนติกที่สุด เพราะเป็นรูฟท็อปบาร์ที่อยู่เหนือสุดของกรุงเทพฯ เริ่มการเดินทางด้วยลิฟท์โดยสารความเร็วสูงที่มาพร้อมจออินเตอร์แอ็กทีฟขนาดใหญ่พาขึ้นไปยังจุดชมวิวชั้น 74 ภายในระยะเวลาเพียง 50 วินาที ประเดิมด้วยการเดินชมวิวโดยรอบ ก่อนขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 78 สุดยอดไฮไลท์ที่รออยู่ กล่าวได้ว่าความประทับใจใดๆ ที่เคยมีมาจะถูกแทนที่ด้วยโมเมนต์นี้ กับช่วงเวลาที่เฝ้ารอดวงตะวันค่อยๆ ลับขอบฟ้าเหนือลำน้ำเจ้าพระยาที่จะตราตรึงจนอยากหยุดเวลาไว้ หรือจะเดินเล่นถ่ายรูปก็มีมุมสวยๆ ให้เก็บภาพความประทับใจได้ไม่ซ้ำ ห้ามพลาดไฮไลท์กับการวัดใจครั้งสำคัญบนพื้นกระจกลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความที่เป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ ที่นี่จึงมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเยอะมาก หากอยากได้รูปสวยแบบไม่ติดใคร แนะนำให้มาเร็วหน่อยจะดีกว่า ระหว่างนี้สามารถสั่งของว่างและเครื่องดื่มได้ที่บาร์ แล้วเลือกมุมนั่งชิลได้ตามอัธยาศัย แต่ถ้าอยากได้วิวสวยสับแบบไม่ต้องแบ่งใคร เพียงใช้จ่ายอย่างต่ำ 2,000บาท จะได้โต๊ะริมกระจกสุดเอ็กคลูซีฟ จำกัดจำนวนสูงสุด 3 ท่าน/โต๊ะ โซนนี้จองล่วงหน้าไม่ได้เพราะเป็นแบบ First Come First Serve ส่วนเครื่องดื่มและของว่างแนะนำ  All Day Frosé ค็อกเทลสีสดใส รสหวานต้นขมปลาย หอมกลิ่นพีชและเลมอน Chili Mango Mojito ค็อกเทลจากเหล้าไทยและผลไม้ฤดูร้อน ซาบซ่า จี๊ดจ๊าด Roasted Potato Wedges มันฝรั่งทอดหอมกลิ่นเครื่องเทศดิปกับซาว์ครีมและซอสพริกสไตล์ไทย และ Popcorn Chicken ไก่ป็อปกรอบนอกฉ่ำใน จิ้มซอสเผ็ดร้อนสไตล์อเมริกัน ดีกรีความหวานเกินร้อยแน่นอน

ใครที่ผ่านไปมาแถวถนนเพลินจิตไม่มีทางจะมองผ่านอาคารสีทองอร่ามโดดเด่นของ Dior Gold House หมุดหมายแห่งใหม่ของสายแฟชั่นไปได้ ที่นี่นอกจากจะเป็นคอนเซ็ปต์สโตร์ที่จัดแสดงคอลเลกชันและและจำหน่ายสินค้าของแบรนด์ดิออร์แล้ว ยังเป็นที่ตั้งของ Café DIOR by Mauro Colagreco คาเฟ่ดิออร์แห่งแรกของประเทศไทยอีกด้วย เมื่อ Café DIOR เปิดที่ไหน ก็ต้องร่วมมือกับเชฟชั้นนำในการรังสรรค์อาหารและขนมหวานที่จะให้บริการในสาขานั้นขึ้นมาด้วย สำหรับที่กรุงเทพฯ ก็ได้ร่วมกับเชฟเมาโร โคลาเกรคโค (Mauro Colagreco) เชฟชื่อดังผู้ก่อตั้งร้าน Mirazur ร้านอาหารมิชลินสตาร์ 3 ดาวในฝรั่งเศส และร้านอาหารอีกหลายแห่งทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือที่ประเทศไทย ร้าน Côte ร้านอาหารมิชลินสตาร์ 2 ดาว ตั้งอยู่ที่โรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ ในช่วง Soft Opening ทางร้านให้บริการขนมหวานและขนมอบแสนอร่อย อาทิ La Rose เค้กรูปกุหลาบแสนสวยที่ให้รสชาติหอมหวานของมูสมะพร้าว ราสป์เบอร์รี และลิ้นจี่ เพิ่มเท็กซ์เจอร์กรุบกรอบด้วยมะพร้าวกรอบ และดักกัวซ์อัลมอนด์ และ L’Abeille เค้กมูสน้ำผึ้งและมะลิสีขาวละมุน ประดับด้วยตูอีลฉลุลายและผึ้งทำจากไวท์ช็อกโกแลต เสิร์ฟบนภาชนะแบรนด์ดิออร์ ด้านขนมอบก็ไม่ธรรมดา ล้วนมีรูปทรงและสีสันที่โดดเด่น อาทิ La Lune ครัวซองต์ฝรั่งเศสแบบคลาสสิกวงโค้งดุจพระจันทร์ ด้านนอกกรอบด้านในสอดไส้ด้วยครีมพิสตาชิโอหวานมัน นอกจากนี้ยังมีไอศกรีมบูเก้กลิ่นดอกไม้ที่ทั้งสวยและเย็นชื่นใจ ให้เลือกสั่งมาลิ้มลองอีกด้วย ให้บริการคู่ไปกับเครื่องดื่มหลากหลาย รวมถึงม็อกเทลและค็อกเทลแก้วสวยที่มีแรงบันดาลใจมาจากดอกไม้นานาพรรณ อาทิ Lavande ค็อกเทลเบสจินและไวน์ Chablis ที่ดึงเอาความโดดเด่นของกลิ่นลาเวนเดอร์ออกมาได้อย่างดี หรือ Jasmin ค็อกเทลสีขาวบริสุทธิ์ที่ผสมผสานเตกิลาเข้ากับความหอมหวานของกลิ่นมะลิลงตัว และ Rose ค็อกเทลสีชมพูหวานหอมกลิ่นกุหลาบในเก้วก้านยาวดูแกลมไม่เบา นอกจากด้านอาหารแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คาเฟ่แห่งนี้โดดเด่นอย่างมากคงไม่พ้นการตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหน เริ่มตั้งแต่หน้าร้านที่ตรึงสายตาด้วยคอลเลกชันกระเป๋าถือ “Lady Dior” จากงานจักสานตอกไม้ไผ่ โดยศิลปินวาสนาและสาวินแห่งแบรนด์ Vassana ที่ต้องการสื่อถึงการเชื่อมโยงระหว่างสองวัฒนธรรมอย่างงดงาม เมื่อทอดสายตาไปด้านในก็ต้องตื่นตากับงานจักสานตอกไม้ไผ่สามมิติสุดวิจิตรครอบคลุมผนังทั้งร้าน รังสรรค์โดยศิลปินไทย “กรกต อารมย์ดี” ประดับด้วยงานจักสานรูปนกจากฝีมือศิลปินท้องถิ่นไทยเช่นกัน นกทุกชนิดล้วนเป็นนกพันธุ์ไทย มีพันธุ์อะไรบ้างลองดูนะ นอกจากนี้ เก้าอี้ Medallion Chair ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของดิออร์ยังถูกออกแบบขึ้นสำหรับสาขานี้อย่างสวยงาม ภายในร้านแบ่งที่นั่งเป็นโซนต่างๆ ได้แก่ Indoor, Outdoor และ Glass House โดยในโซนกลาสเฮาส์จะมีเพดานสูงและช่องแสงเปิดรับแสงธรรมชาติจากภายนอก แว่วว่าเร็วๆ นี้จะมีบริการอาหารคาวให้ลิ้มลองกันด้วย สำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่ทางเว็บไซต์ของดิออร์