มะเขือม่วงกรอบซอสมะขามสูตรนี้ดัดแปลงมาจากสูตร Crispy Chinese Eggplant จากหนังสือ RecipeTin Eats Dinner ของ Nagi Maehashi นักสร้างสรรค์สูตรอาหารเจ้าของบล็อกอาหาร RecipeTinEats ซึ่งเธอก็ดัดแปลงมาจากเมนู Crispy Eggplant with Fish Fragrant Sauce ของร้านอาหารจีนร่วมสมัยในซิดนีย์ที่มีชื่อว่า Mr. Wong ซึ่งเป็นเมนูที่เธอสั่งทุกครั้งที่ไปร้านนี้   มะเขือม่วงทอดซอสมะขามสูตรที่นำมาฝากนี้จึงเป็นเหมือนการส่งต่อสูตรที่มีรสชาติอร่อยและเรื่องราวที่น่าสนใจผ่านหลายมือจนมาถึงครัวของเรา ความพิเศษของเมนูนี้อยู่ที่มะเขือม่วงซึ่งกรอบนอกนุ่มใน เคลือบด้วยซอสหวานเปรี้ยวจากมะขามที่เข้ากันอย่างลงตัว แม้จะใช้เวลาและความพยายามเล็กน้อย แต่รับรองว่าผลลัพธ์จะคุ้มค่าและกลายเป็นจานโปรดได้แน่นอนครับ ส่วนผสมมะเขือม่วงกรอบ มะเขือม่วง 400-500 กรัม เกลือ 1 ช้อนชา น้ำมันพืช สำหรับทอด ส่วนผสมแป้งชุบทอด แป้งสาลีอเนกประสงค์ 50 กรัม แป้งข้าวโพด 80 กรัม ผงฟู 1/2 ช้อนชา เกลือ 1/2 ช้อนชา น้ำโซดา (เย็นจัด) 165 มิลลิลิตร ส่วนผสมซอสมะขาม น้ำตาลทราย 90 กรัม น้ำตาลมะพร้าว 50 กรัม มะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ เหล้าจีน 2 ช้อนโต๊ะ ผงพะโล้ 1/4 ช้อนชา กระเทียมบด 1 กลีบ สำหรับเสิร์ฟ งาขาวคั่ว พริกชี้ฟ้าซอย หอมเจียว ต้นหอมซอย วิธีทำ ล้างมะเขือม่วงให้สะอาด หั่นเป็นแท่งยาวประมาณ 8 เซนติเมตร หรือขนาดตามชอบ โรยเกลือ คลุกเคล้าให้ทั่ว พักไว้ประมาณ 10 นาที จากนั้นซับน้ำออก พักไว้ เตรียมส่วนผสมแป้งโดยผสมแป้งสาลี แป้งข้าวโพด ผงฟู และเกลือเข้าด้วยกัน ค่อยๆ เติมน้ำโซดา คนแค่พอเข้ากัน ตั้งน้ำมันในกระทะให้ร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 180 องศาเซลเซียส นำมะเขือม่วงลงชุบแป้งทีละชิ้นให้ทั่ว แล้วนำลงทอดในน้ำมันจนสีเหลืองกรอบ ประมาณ 3 นาที พักบนตะแกรง ทำซ้ำจนหมด เร่งอุณหภูมิน้ำมันขึ้นที่ 200 องศาเซลเซียส นำมะเขือม่วงลงทอดซ้ำรอบที่สองเพื่อให้กรอบมากขึ้น ตักออกมาพักไว้ ใส่ส่วนผสมซอสมะขามทั้งหมดในหม้อใบเล็ก ตั้งไฟปานกลาง คนจนส่วนผสมเดือดข้นและเหนียว ยกออกจากเตา นำมะเขือม่วงทอดกรอบเคล้าลงในซอส จัดเรียงใส่จาน ราดซอสมะขามให้ทั่ว โรยงาขาวคั่ว พริกชี้ฟ้าซอย หอมเจียว และต้นหอม

หมี่กรอบที่หลายคนชื่นชอบ เชฟเอตั้งใจเสิร์ฟเป็นคำให้กินสะดวก เส้นหมี่ทอดกรอบ หอมกลิ่นน้ำมะขามเปียกและน้ำส้มซ่า ผสมกับธัญพืชต่างๆ ช่วยเพิ่มสัมผัสกรุบกรอบ   ส่วนผสม เต้าเจี้ยว 10 กรัม | น้ำตาลปี๊บ 70 กรัม | น้ำมะขามเปียก 20 กรัม | น้ำกระเทียมดอง 15 กรัม | น้ำส้มซ่า 30 กรัม | พริกป่นละเอียดเล็กน้อย | เกลือเล็กน้อย | น้ำมันพืช 10 กรัม | เส้นหมี่แห้ง 100 กรัม | อัลมอนด์หั่นแท่งอบ 30 กรัม | ข้าวเม่าคั่ว 40 กรัม | เมล็ดทานตะวันอบ 30 กรัม | กระเทียมสับ 5 กรัม | หอมแดงสับ 10 กรัม | กระเทียมดองสับ 5 กรัม | ผิวส้มซ่าขูด 2 กรัม | น้ำมันสำหรับทอด 1 ลิตร   วิธีทำ นำเส้นหมี่ผ่านน้ำ กระจายให้เส้นไม่ติดกัน พักให้แห้งและชื้นเล็กน้อย ตั้งกระทะใส่น้ำมันสำหรับทอดรอจนร้อนจัด ใส่เส้นหมี่ลงทอดให้ฟูกรอบเป็นสีเหลืองอ่อนๆ ตักขึ้น พักให้เย็น ผัดกระเทียมสับ หอมแดงสับ และกระเทียมดองสับกับน้ำมันพืชจนสุกนิ่มและหอม ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก เต้าเจี้ยว น้ำกระเทียมดอง พริกป่น และเกลือเล็กน้อย เคี่ยวให้น้ำตาลละลาย เติมน้ำส้มซ่า เคี่ยวให้ข้นเหนียว (หยดซอสลงในถ้วยน้ำสะอาดเพื่อเช็กความข้นหนืด ซอสจะจับตัวเป็นก้อนนิ่มในน้ำสะอาด) ปิดไฟ นำเส้นหมี่ลงคลุกในซอส ค่อยๆ แบ่งใส่เป็น 3 ส่วน โรยข้าวเม่า อัลมอนด์และเมล็ดทานตะวันสลับกับเส้นหมี่ทอดให้ทั่ว โรยผิวส้มซ่าขูด เคล้าให้เข้ากัน ใส่ในพิมพ์ไว้ อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส นำหมี่กรอบเข้าเตาอบประมาณ 20 นาทีเพื่อให้อยู่ทรงและกรอบ พักให้เย็น จัดเสิร์ฟหรือจัดเก็บใส่กล่องที่ปิดฝาสนิท วางในอุณหภูมิห้อง สามารถจัดเก็บได้ 2 สัปดาห์

ใครอยากได้เมนูสแน็กทำง่ายเคี้ยวเพลินๆ ต้องลอง สาหร่ายงาคั่วอบกรอบ ของกินเล่นสไตล์ญี่ปุ่น ที่ทำครั้งเดียวแต่เก็บไว้ความอร่อยไว้ได้นาน   ส่วนผสม สาหร่ายห่อข้าว 8 แผ่น งาขาวคั่ว 1/4 ถ้วย โชยุ 1/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย เกลือป่น 1/2 ช้อนชา น้ำเชื่อมข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ มิริน 3 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ต้มซอสโดยใส่โชยุ น้ำตาลทราย เกลือ น้ำเชื่อมข้าวโพด และมิรินลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือด เคี่ยวจนข้น ยกลง พักไว้ให้เย็น วางแผ่นสาหร่าย ทาซอสให้ทั่ว โรยงาคั่วให้ทั่ว เตรียมไว้ ทาซอสบนสาหร่ายอีกแผ่นแล้วประกบกับแผ่นสาหร่ายโรยงา ใช้ไม้คลึงแป้งคลึงทับให้ติดกัน เรียงบนตะแกรง นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เวลา 30 นาที จนสาหร่ายแห้งกรอบ นำสาหร่ายออกจากเตาอบ พักไว้ 5 นาที ตัดเป็นชิ้น ใส่กล่องปิดฝา

จะเป็นยังไงถ้าปาท่องโก๋มาอยู่ในแบบครัวซองต์? นำไปจับคู่กับน้ำเต้าหู้หรือดิปกินกับนมข้นหวานก็เข้ากัน   ส่วนผสม แป้งขนมปัง 300 กรัม น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1/4 ช้อนชา ยีสต์ผง 1 1/2 ช้อนชา นมผง 30 กรัม นมสดอุ่น 1/2 ถ้วย เนยสดเค็ม 30 กรัม ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 1 ฟอง น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ผสมแป้งขนมปัง น้ำตาลทราย เกลือ ยีสต์ผง และนมผงเข้าด้วยกัน ใส่นมสดอุ่น ไข่ไก่ น้ำเปล่า นวดพอเข้ากัน ใส่เนยสด นวดต่อให้เข้ากันจนแป้งเนียน พักแป้งไว้จนขึ้นฟูเป็น 2 เท่า ตัดเป็นก้อนเล็กๆ ประมาณ 25 กรัม คลึงให้กลมวางเรียงเป็นแถวไว้ นำแป้งแต่ละก้อนมารีดเป็นแผ่นสามเหลี่ยม ม้วนแล้วพักแป้งไว้ให้ขึ้นฟู ตั้งหม้อน้ำมันให้ร้อน ใส่โก๋ซองต์ลงทอดให้สุกเหลือง ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จาน โรยไอซิง  

จับเอาของโปรด 2 เมนูมามิกซ์กันซะเลย แปลงโฉมกุยช่ายแบบเดิมๆ ให้กินสนุกหอมมันจากมันฝรั่งแบบเต็มคำ ดิปกับน้ำจิ้มรสเด็ดรับรองว่าฟิน!   ส่วนผสม ใบกุยช่ายซอย 3 ถ้วย มันฝรั่งหั่นเต๋า 4 ถ้วย แป้งข้าวโพด 1 1/2 ถ้วย เกลือป่น 1 ช้อนชา น้ำมันสำหรับทอด ส่วนผสมน้ำจิ้ม ซีอิ๊วขาว 1/2 ถ้วย ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย พริกแดงโขลกกับกระเทียม 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ต้มมันฝรั่งให้สุกนุ่มแล้วบดให้ละเอียด ใส่แป้งข้าวโพดและเกลือป่น ผสมให้เข้ากัน ใส่ใบกุยช่ายซอย ผสมให้เข้ากัน พักไว้ ทำน้ำจิ้มโดยใส่ส่วนผสมทั้งหมด ต้มให้เดือด ชิมรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ด และหวานตามชอบ เตรียมไว้ รีดมันฝรั่งกุยช่ายเป็นแผ่นหนา 1 เซนติเมตร ตัดเป็นแท่งยาว 3 นิ้ว กว้าง 1 เซนติเมตร ตั้งกระทะน้ำมันให้ร้อน ใส่มันฝรั่งกุยช่ายลงทอดให้เหลืองกรอบ ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จานเสิร์ฟกับน้ำจิ้ม

อินเดียครั้งที่ 4 คราวนี้ป้าเจี๊ยบตั้งใจไปสักการะ 4 สังเวชนียสถานค่ะ   ญาติมิตรไปกันหมดแล้ว เหลือแต่ป้าเจี๊ยบ เพราะได้ยินแต่เรื่องความยากลำบากในการเดินทางและที่พัก จนกาลเวลาผ่านไปนับสิบๆ ปี   ปีนี้ยังมีชีวิตรอดอยู่จนถึงรอบที่ 6 สมควรจัดการพาตัวเองไปก่อนที่จะหมดแรง ฮา!   ป้าเจี๊ยบดีใจที่รอมาถึงตอนนี้ เพราะอากาศดี ที่พักดี อาหารอร่อย กินได้ นอนหลับ รถบัสทันสมัย เส้นทางสะดวก ห้องน้ำดี ไม่ต้อง ป.ต.ท. (ไปตามทุ่ง) เหมือนสมัยก่อน อิอิ   ป้าเจี๊ยบรู้สึกปีติสุขตลอดการเดินทาง นอกจากทำบุญแล้วยังได้ทบทวนความรู้เกี่ยวกับพุทธประวัติที่เคยเรียนและอ่านมาตั้งแต่เด็กๆ นำมาเชื่อมโยงกับของจริงที่ปรากฏต่อสายตา และได้เพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ อีกมากมาย   ริมถนนบนเส้นทางใกล้ชายแดนอินเดียก่อนข้ามไปเนปาลเพื่อสักการะสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า มีศูนย์ดูแลผู้แสวงบุญพุทธภูมิ 960 ที่วัดไทยนวราชรัตนาราม ให้บริการห้องสุขาระดับห้าดาว เครื่องดื่มร้อนเย็นและโรตีอรีดอย ค่าบริการแบบหยอดตู้ตามศรัทธา     ป้าเจี๊ยบเห็นสามเณรอินเดียร่างใหญ่คลึงแป้งโรตีเตรียมทอดเลี้ยงคณะที่เพิ่งมาถึง จึงเดินเข้าไปเสนอตัวช่วยทันที ท่านดูป้าเจี๊ยบทำแล้วพูดว่า “โยมทำอาหารเป็นแน่ๆ เพราะกว่าอาตมาจะคลึงแป้งได้แบบโยมต้องหัดตั้งนาน”...อิอิ   กินโรตีอรีดอยแล้วป้าเจี๊ยบอุดหนุนแป้งไมด้า (Maida) ที่ใช้ทำโรตีอรีดอย ซึ่งเป็นแป้งสาลีอเนกประสงค์ของอินเดีย 1 ถุง ถุงละ 60 รูปี ข้างถุงมีกระดาษบอกวิธีทำไว้ให้ ขากลับจากเนปาลแวะที่นี่อีกครั้ง ซื้อเพิ่มอีก 2 ถุง จะทำเลี้ยงญาติมิตร เพราะอ่านวิธีทำแล้วไม่พบว่ามีส่วนผสมที่ต้องใส่ผงฟู โซดาไบคาร์บอเนต หรือสารเสริมใดๆ รวมถึงเนยและน้ำมัน ยกเว้นทอดด้วยน้ำมัน...ฮา!   กลับถึงบ้านป้าเจี๊ยบเทแป้ง 1 ถุงลงชาม ใส่ส่วนผสมตามข้อความในกระดาษ คือ “น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1/2 ช้อนชา น้ำเปล่า 2 แก้ว” ปรากฏว่าแป้งแฉะจนนวดไม่ได้ ต้องเพิ่มแป้งอีกถุงทีละนิดไปเรื่อยๆ จนพอนวดได้ ดีนะที่ซื้อมา 3 ถุง!    ป้าเจี๊ยบได้แป้งโดก้อนใหญ่จนต้องห่อแป้งด้วยแผ่นฟิล์มพลาสติกเก็บเข้าตู้เย็นไว้ และแบ่งออกมาทอดเลี้ยงสมาชิกครอบครัวในรายการกินกันวันเสาร์ และเลี้ยงเพื่อนวัฒนาวิทยาลัยอีกสองวันถัดมาในรายการฮาเฮที่เชซ์โรส จึงหมดแป้งรุ่นแรก   รุ่นต่อไปทำกิน 2-3 คน มีการปรับแผนค่ะ ป้าเจี๊ยบตวงแป้งไมด้า 120 กรัมใส่ชาม เติมน้ำตาลทรายละเอียด 5 กรัม และเกลือป่น 1/8 ช้อนชา ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมเข้ากัน    จากนั้นทำบ่อตรงกลาง ใส่น้ำเปล่า 65 กรัมลงไป ใช้พายคนให้แป้งกับน้ำเข้ากัน แล้วใช้มือนวดจนเนียน ไม่ติดมือ แบ่งแป้งเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน ปั้นเป็นก้อนกลมๆ เอาผ้าคลุม พักไว้อย่างน้อย 15 นาที   เมื่อพร้อมกินป้าเจี๊ยบนำก้อนแป้งมาคลึงเป็นแผ่นกลมๆ บางๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว ใช้มีดตัดกากบาทแบ่งเป็น 4 ส่วน ทอดในน้ำมันที่ร้อนประมาณ 160 องศาเซลเซียส จนเป็นสีเหลืองทอง แล้วตักมาวางบนกระดาษซับน้ำมัน   โรตีอรีดอย...กรอบนอก นุ่มใน สดใหม่จากเตา จิ้มนมข้นนิดหน่อย อร่อยง่ายจริงๆ

ครีเอตข้าวเหนียวปิ้งให้มีสีสันขึ้นอีกนิด ด้วยการผสมน้ำอัญชันเข้ากับเนื้อข้าวเหนียวจนได้สีฟ้าสวย วางสลับกับข้าวเหนียวขาวและสีม่วงของไส้เผือก เท่านี้ขนมไทยของเราก็ดูน่ารักขึ้นเป็นกอง   ส่วนผสม ข้าวเหนียว 2 ถ้วย กะทิ 2 1/2 ถ้วย น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำอัญชันแช่ข้าวเหนียว ส่วนผสมไส้เผือก เผือกนึ่งสุก 1 1/4 ถ้วย กะทิ 3/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ผงมันม่วง 2 ช้อนชา วิธีทำ บดเผือกนึ่งสุกกับน้ำตาลทรายและเกลือ ใส่กะทิและผงมันม่วง ปั่นให้ละเอียด เทใส่กระทะ ตั้งไฟปานกลางกวนให้เข้ากันจนแห้ง พักไว้ แบ่งข้าวเหนียวเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 แช่น้ำเปล่า ส่วนที่ 2 แช่น้ำอัญชัน แช่ไว้ 2-3 ชั่วโมง นำไปนึ่งให้สุก ขณะที่นึ่งข้าวเหนียว ผสมกะทิกับน้ำตาลทรายและเกลือเข้าด้วยกัน ตั้งไฟให้เดือด พอข้าวเหนียวสุก ใส่ชามผสม ใส่กะทิที่ต้มไว้ คลุกให้ทั่ว พักไว้ 10 นาทีให้ข้าวเหนียวดูดน้ำกะทิ พักไว้ให้เย็น นำใบตองมาทำกรวย ใส่ข้าวเหนียวสีขาว ใส่เผือกกวน ใส่ข้าวเหนียวสีฟ้า แล้วพับปิดปากกรวย กลัดด้วยไม้ นำไปย่างในกระทะด้วยไฟอ่อนๆ จนหอม   

ทำ ‘ข้าวหลาม’ กินเองได้แบบไม่ต้องเผา แค่มีถ้วยคัปเค้ก ที่ผสมวัตถุดิบแล้วนำเข้าเตาอบ ก็ได้ข้าวหลามหอมฟุ้งเนื้อนุ่มกินเล่นได้กันแล้ว   ส่วนผสม ข้าวเหนียวขาวแช่น้ำ 1 ถ้วย ข้าวเหนียวดำแช่น้ำ 1/4 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย กะทิ 1 1/4 ถ้วย ถั่วดำต้มสุก 1/2 ถ้วย เนื้อมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย วิธีทำ ผสมข้าวเหนียวขาวและข้าวเหนียวดำในชามผสม ใส่กะทิ เกลือป่น และน้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน ใส่ถั่วดำต้มสุกและเนื้อมะพร้าวอ่อน คนให้เข้ากัน ตักส่วนผสมข้าวใส่พิมพ์คัปเค้ก นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส เวลา 45-50 นาทีจนข้าวสุก ก่อนเสิร์ฟ หยอดซอสกะทิเล็กน้อย

ใครที่คุ้นเคยกับเมนูมะม่วงกวน ลองเปิดใจแล้วเปลี่ยนมาลองทำ สตรอว์เบอร์รีกวนกัน สัมผัสนุ่มหนึบรสชาติเปรี้ยวหวาน หอมอบอวลไปทั่วครัวเลย   ส่วนผสม สตรอว์เบอร์รีแช่แข็ง 500 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย วิธีทำ ต้มสตรอว์เบอร์รีแช่แข็งให้นุ่ม เคี่ยวจนสตรอว์เบอร์รีเป็นเนื้อเดียวกัน ใส่น้ำตาลทรายและเกลือ กวนจนแห้ง ตักหยอดลงในถาด นำไปตากแดดจนแห้งสนิท หรือนำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เวลา 2-3 ชั่วโมง หรือจนแห้ง หรือทำสตรอว์เบอร์รีม้วน เมื่อกวนสตรอว์เบอร์รีได้ที่แล้วเทใส่ถาดปาดให้บาง นำไปตากแดดหรือนำเข้าเตาอบด้วยวิธีเดียวกัน

คุกกี้สำหรับคนรักชาเขียวที่แท้จริง! เพิ่มความอร่อยด้วยไส้ไวต์ช็อกรสชาเขียวและความกรุบกรอบจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์   ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 180 กรัม เนยสดเค็ม 120 กรัม น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 100 กรัม นมผง 30 กรัม ผงชาเขียว 15 กรัม ไข่แดง 1 ฟอง เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบสับชิ้นเล็กๆ 1 ถ้วย ส่วนผสมไส้ช็อกชาเขียว ไวต์ช็อกโกแลตชิป 150 กรัม ผงชาเขียว 2 ช้อนชา วิปปิงครีม 1/4 ถ้วย วิธีทำ ผสมแป้งสาลี ผงชาเขียว และนมผง คนให้เข้ากัน พักไว้ ตีเนยสดกับน้ำตาลทรายเข้าด้วยกันจนขึ้นฟู ใส่ไข่แดง คนให้เข้ากัน ใส่ส่วนผสมแป้ง ผสมให้เข้ากัน ปั้นเป็นก้อน นำไปคลุกกับเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้ทั่ว ใส่คุกกี้ลงในพิมพ์ กดให้แน่น จากนั้นกดตรงกลางให้เป็นหลุม เรียงใส่ถาด นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 15-20 นาทีจนสุก พักไว้ ใส่ไวต์ช็อกโกแลตชิปกับผงชาเขียวในชามผสมที่ตั้งบนหม้อน้ำร้อน คนให้พอเข้ากัน ใส่วิปปิงครีม คนให้ส่วนผสมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน ตักหยอดใส่ตรงกลางคุกกี้ พักไว้ให้อยู่ตัว

ส่วนผสม (สำหรับ 4 เส้น) เนื้อหมูสับ 1 1/2 ถ้วย มันหมูแข็ง (ปั่นพอหยาบ) 1/3 ถ้วย เนื้อกุ้งโอคัก 12 ตัว เนื้อปู 1 ถ้วย เนื้อปูก้อนจัมโบ้ 1/2 ถ้วย ไข่ขาว 1 ฟอง ต้นหอมซอย 2-3 ช้อนโต๊ะ ก้านผักชีซอย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ แผ่นฟองเต้าหู้ 1 แผ่น (ใหญ่) วิธีทำ ใช้ด้านหลังมีดสับเนื้อกุ้งให้พอแหลกใส่ลงในชามผสม ผสมเนื้อหมูสับและมันหมูให้เข้ากัน ใส่ส่วนผสมทั้งหมด (ยกเว้นเนื้อปูก้อนจัมโบ้และแผ่นฟองเต้าหู้) นวดและฟาดส่วนผสมจนเนื้อเนียน คลุมด้วยพลาสติกแรปพักไว้ในตู้เย็นนาน 30 นาที ตัดแผ่นฟองเต้าหู้เป็นสี่เหลี่ยมขนาด 20×20 เซนติเมตร วางส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงตรงกลาง ใส่เนื้อปูก้อนจัมโบ้ตรงกลาง ม้วนฟองเต้าหู้ให้แน่น มัดด้วยเชือกให้เป็นลูกขนาดตามต้องการ นำไปนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 5-8 นาที หรือจนเซ็ตตัว พักไว้ให้หายร้อน หั่นให้เป็นชิ้นตามเชือกที่ผูกไว้ทอดในน้ำมันร้อนท่วมด้วยไฟปานกลางค่อนข้างอ่อนจนเป็นสีเหลืองสวยงาม เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มบ๊วย

ครีเอตขนมไทยให้น่ารักขึ้นอีกเป็นกอง ด้วยทองม้วนหลากสีหวานๆ  แถมทำง่ายกว่าที่คิด   ส่วนผสม แป้งมันสำปะหลัง 200 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 80 กรัม น้ำตาลทราย 130 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์ 1 ตีให้เข้ากัน 1/2 ฟอง หัวกะทิ 1 ถ้วย งาดำ 1 1/2 ช้อนชา สีผสมอาหารสีชมพู สีเขียวแอปเปิล สีฟ้า พิมพ์วงกลมสำหรับกดทองม้วน วิธีทำ ผสมแป้งมัน แป้งสาลี น้ำตาลทราย และเกลือ คนให้เข้ากัน ใส่กะทิและไข่ไก่ คนให้เข้ากัน แบ่งเป็น 3 ส่วน ใส่สีผสมอาหาร สีชมพู เขียวแอปเปิล และสีฟ้า สีละ 2 หยด คนให้เข้ากัน ใส่งาดำลงในส่วนผสมแป้งสีละ 1/2 ช้อนชา  ตั้งกระทะไฟอ่อน ตักแป้งหยอดลงกระทะ 1 ช้อนชา ใช้พิมพ์กดให้แบน รอ 1 นาที แล้วกลับอีกด้าน กดแป้งบนกระทะให้สุกอีก 1 นาที นำมาม้วนแล้วพักไว้ ทำจนแป้งหมด

“เจี๊ยบทำเค้กวันเกิดให้เจี๊ยบด้วยนะคะ”   แป๋ว-วันทนี เพื่อนครุศาสตร์จุฬาฯ เจ้าแม่อีเวนต์จัดงานให้เพื่อนๆ ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องโทรมาบอกป้าเจี๊ยบซึ่งชักจะเริ่มเป็นที่หมายปองของเพื่อนๆ ในเรื่องอาหารคาวหวานขึ้นเรื่อยๆ อิอิ   เจี๊ยบอีกคนเป็นเพื่อนวิศวะซึ่งขอให้แป๋วเป็นแม่งานจัดเลี้ยงขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จุฬาฯ ที่ร่วมกันจัดงานแสดงความยินดีให้เธอเมื่อตอนได้รับรางวัลพ่อดีเด่นแห่งชาติ พอแป๋วเห็นว่าวันจัดงาน Thank You Party ตรงกับเดือนเกิดของเจี๊ยบ แป๋วจึงถือโอกาสฉลองวันเกิดให้ด้วยซะเลย   เค้กที่ทำให้ตามคำขอคือเค้กกล้วยหอมช็อกโกแลตหน้าอัลมอนด์ทอฟฟี่ ก่อนลงมือทำก็เปิดดูรายชื่อแขกรับเชิญซะก่อนเพื่อรู้จำนวนคน จะได้กะขนาดเค้กให้พอดี   อ่านแล้วเห็นชื่อเอมอร สัตถาวงษ์ เพื่อนบัญชี FC พีแคน หลานชายอารมณ์ดีของยายเจี๊ยบ และเธอเป็นแฟนคลับขนมทุกชนิดของป้าเจี๊ยบ  นานๆ ทีจะได้เจอกันเพราะเธอไม่ค่อยว่าง เป็นจิตอาสาช่วยทำบัญชีให้วัดต่างๆ พอทำเค้กเสร็จมีอัลมอนด์เหลือ ป้าเจี๊ยบจึงคิดทำขนมกรุบๆ กรอบๆ หวานๆ เค็มๆ มันๆ ไปฝาก   เอมอรชอบเค้กคาราเมลเค็มของป้าเจี๊ยบอย่างมากกกก...งั้นทำอัลมอนด์บริตเทิลคาราเมลเค็มสิคะ เป็นถั่วตัดแบบฝรั่ง เรียกแบบไทยๆ ประมาณว่าอัลมอนด์ตัด หรืออัลมอนด์กระจก ฮา!   ป้าเจี๊ยบจัดการเทอัลมอนด์ดิบชนิดหั่นเป็นแท่ง 3 ถ้วยตวง ลงในถาดอบขนาด 12 × 8 นิ้วที่ปูกระดาษไขไว้แล้ว ใช้มือเกลี่ยให้กระจายสม่ำเสมอกัน นำถาดเข้าเตาอบที่ปุ่มความร้อนอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส หรือ 300 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง ปุ่มเวลา 10 นาที พอได้ยินเสียงติ๊ง นำถาดออกมาวางพักไว้ ปรับปุ่มความร้อนไปที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส หรือ 325 องศาฟาเรนไฮต์ รอไว้   ลงมือทำคาราเมลเค็มโดยใส่น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ เนยสด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลโตนด 1/2 ถ้วยตวง น้ำเชื่อมมะพร้าว 3/4 ถ้วยตวง ดอกเกลือป่น 1/2 ช้อนชาในกระทะทองเหลือง ยกขึ้นตั้งไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ใช้พายซิลิโคนคนอย่างต่อเนื่องให้ส่วนผสมทั้งหมดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน พอส่วนผสมเริ่มเดือดปุดๆ ก็ปิดไฟทันที เทอัลมอนด์ในถาดที่พักไว้ลงไปคลุกเคล้าให้ทั่วแล้วเทกลับคืนลงถาด ใช้พายเกลี่ยให้เรียบเสมอกัน นำเข้าเตาอบที่เปิดไฟทิ้งไว้ ปรับปุ่มเวลาเป็น 30 นาที   ป้าเจี๊ยบต้องคอยจับตามองเตาอบบ่อยๆ เพราะเคยทำคาราเมลสีเข้มจนขมเกินไป พอครบ 15 นาที ยกถาดออกมาหมุนแล้วใส่กลับเข้าไปอบต่ออีก คอยดูสีคาราเมลบริเวณขอบถาด ถ้าสีน้ำตาลเข้มพอแล้วรีบยกออกมาทันที วางถาดพักไว้จนเย็นสนิทก่อนใช้มือบิเป็นชิ้นๆ ใส่กล่องปิดฝาสนิท   เมื่อไปถึงร้านที่จัดงาน ป้าเจี๊ยบแบ่งอัลมอนด์คาราเมลเค็มใส่จานวางให้ทุกโต๊ะ ร่วมกับของกินเรียกน้ำย่อยอื่นๆ ส่วนที่เหลือในกล่องอีกครึ่ง ส่งให้เอมอรซึ่งเก็บใส่ถุงผ้าของตัวเองทันที แล้วหยิบกินจากในจาน หุหุ   เบรกแตกจริงๆ เพราะระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ถั่วตัดฝรั่งที่วางไว้หมดเกลี้ยง! ได้ยินเสียงถามว่ามีอีกมั้ย? เอมอรเงียบ... ป้าเจี๊ยบเลยต้องเงียบตาม ฮา! 

“งาขี้ม้อน!”   ป้าเจี๊ยบซื้อมา 2 ถุงค่ะ พอดีไปเที่ยวบ้านเหลืองเมืองพะเยาของป้าอี๊ดในช่วงเวลางาขี้ม้อนใหม่ๆ ออกมาวางขายในตลาด เห็นแล้วอดไม่ได้ เพราะมื้อเช้าทุกวันที่อยู่พะเยา ครูป้อม-สุกัญญา ณ ลำปาง หลานเจ้าบ้านจัดข้าวเหนียวคลุกงาขี้ม้อนให้กินกับอาหารพื้นเมืองนานาชนิดจนป้าเจี๊ยบแน่ใจว่าตัวเองไม่ขาดโอเมกา-3 และ 6 แคลเซียม วิตามินอี ฯลฯ อย่างแน่นอน อิอิ   กลับมากรุงเทพฯ งาขี้ม้อนยังอยู่ในถุงเพราะไม่ได้กินข้าวเหนียวอีกแล้ว ลืมไปจนกระทั่งป้าเจี๊ยบมีกิจกรรมร้องเพลงกับเพื่อนๆ ชาวจุฬาฯ ซึ่งงานนี้มีขนมกลีบลำดวนใส่งาขี้ม้อนแจกคนละกล่อง ป้าเจี๊ยบชิมแล้วไม่ติดใจจึงถือกลับไปฝากป้าอี๊ด ผ่านไป 2 วัน ป้าอี๊ดกินขนมหมดกล่อง!   ป้าเจี๊ยบว่าขนมกลีบลำดวนมีความคล้ายกับชอร์ตเบรดมาก ถ้าใส่งาขี้ม้อนเข้าไปน่าจะอร่อยกว่า ป้าเจี๊ยบไม่คิดมาก ลงมือทำทันที   เริ่มด้วยคั่วงาขี้ม้อน 20 กรัมด้วยไฟอ่อนๆ โดยใช้เทคนิคผสมงาขาวลงไป 4-5 เมล็ด ถ้างาขาวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เมื่อไหร่ก็ตักงาขี้ม้อนออกมาวางพักไว้ หุหุ   ป้าเจี๊ยบตวงเนยแท้รสจืด (อุณหภูมิห้อง) 70 กรัมใส่ในชามผสม ใช้ตะกร้อมือตีจนเนียน แล้วร่อนน้ำตาลไอซิง 50 กรัมผ่านกระชอนลงไป ตีให้ส่วนผสมเข้ากัน เนื้อเบาฟู   จากนั้นร่อนแป้งสาลีอเนกประสงค์ 90 กรัมผ่านกระชอนตามลงไป ใส่เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำกุหลาบ 1/4 ช้อนชา และงาขี้ม้อนคั่ว ใช้พายซิลิโคนคนอย่างเบามือให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นโดชอร์ตเบรด   ป้าเจี๊ยบตักโดมาห่อด้วยแผ่นฟิล์มถนอมอาหารโดยปั้นแน่นๆ ให้เป็นรูปทรงกระบอกเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 1/2 นิ้ว แล้วนำไปแช่ตู้เย็นไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงเพื่อให้โดทรงตัวอยู่เวลาตัดเป็นชิ้นๆ   เมื่อได้เวลาป้าเจี๊ยบนำโดออกมาตัดด้วยมีดเป็นชิ้นๆ ความหนาประมาณ 1/4 นิ้ว วางเรียงในถาดอบ แล้วนำเข้าเตาอบที่ตั้งปุ่มความร้อนไว้ที่อุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียส หรือ 350 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง ปุ่มเวลา 15 นาที   ติ๊ง! ป้าเจี๊ยบนำชอร์ตเบรดออกจากถาดมาวางผึ่งบนตะแกรง ขอชิมตอนร้อนๆ ก่อนสักชิ้น รสชาติถูกปากกว่ากลีบลำดวนเยอะเล้ยยย พอเย็นสนิท ชิมอีกชิ้น อีกชิ้น และอีกชิ้นก่อนใส่กล่องปิดฝาสนิทวางไว้บนโต๊ะ   เอิ่ม...สองป้าจัดการชอร์ตเบรดงาขี้ม้อนหมดภายในวันเดียว ฮา!

“ร้อนๆ อย่างนี้ กินแตงโมกันนะ”   ป้าอี๊ด-พวงพยอม ณ ลำปาง สหายร่วมบ้าน อุ้มแตงโมมาให้หนึ่งลูก ผ่านไป 2 วัน แตงโมยังวางอยู่ที่เดิม เพราะหลานยาย เด็กชายพีแคนซึ่งชอบกินแตงโมมากๆ ไปอยู่กับอาม่าอากงที่สุรินทร์ซะแล้ว ป้าอี๊ดเห็นเข้าก็เตือนว่ากินซะทีสิ นานไปไส้จะล้ม!   กินจ้ากิน...ป้าเจี๊ยบจัดการผ่าแตงโมออกเป็น 2 ซีก ซีกหนึ่งหั่นเป็นชิ้นๆ ขนาดพอคำ กินกันคนละสองสามชิ้นก่อนใส่กล่องส่งเข้าตู้เย็น หวานชื่นใจค่ะ    แตงโมอีกซีกป้าเจี๊ยบหั่นใส่เครื่องปั่นแล้วกรองทิ้งกาก เอาแต่น้ำแตงโมใส่ขวด เก็บในตู้เย็นเช่นกัน คิดว่าจะเอาไว้ทำเครื่องดื่มแบบผสมกับน้ำผลไม้อย่างอื่น     แต่พอนั่งพักดูทีวี เปิดเจอสารคดีเกี่ยวซิกับเกาะซิซิลีของอิตาลี นึกถึง Gelo di Melone ขนมประจำเมือง Palermo ขึ้นมาเลย อะฮ้า! เอาน้ำแตงโมมาทำพุดดิงซิซิลีดีกว่า   ทันทีค่ะ...จัดการหยิบถ้วยแก้วขนาดบรรจุ 100 มิลลิลิตรมาวางเตรียมไว้ 2 ใบ สำหรับตัวเองและเจ้าของแตงโม...ฮา!   ตรงเข้าครัวตวงแป้งข้าวโพด 5 กรัม ใส่ลงในถ้วยน้ำแตงโม 40 กรัม ใช้ช้อนคนๆ ให้เข้ากัน แล้วเทผ่านกระชอนลงไปในหม้อเคลือบที่มีน้ำแตงโม 200 กรัม ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง ใช้ตะกร้อมือคนไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเดือดปุดๆ และข้นขึ้น   ป้าเจี๊ยบยกหม้อออกจากเตา ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ เหล้ารัม 1 ช้อนโต๊ะ เกลือหยิบมือ คนให้เข้ากันดี นำกลับไปตั้งไฟอีกครั้ง คนอย่างต่อเนื่องจนเดือดประมาณ 2-3 นาที  ยกลงมาตักใส่ถ้วยที่เตรียมไว้ วางพักให้คลายร้อน ใช้ฟิล์มถนอมอาหารปิดปากถ้วย นำไปแช่เย็นอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนเสิร์ฟ     น้ำแตงโมยังเหลืออีก ทำขนมง่ายๆ ที่ใช้ส่วนผสมใกล้เคียงกันเพิ่มอีกสักอย่าง ภาพขนม Turkish Delight ของหวานประจำชาติตุรกี (ทูร์เคีย) ชิ้นสี่เหลี่ยมสีแดงๆ แวบขึ้นมาทันที เอาน้ำแตงโมมาทำเจลลีคล้ายเตอร์กิชดีไลต์ แต่ไม่หวานมากอย่างต้นตำรับ ไว้กินกับน้ำชาสักหน่อยเป็นดีงาม   จัดแจงหยิบกล่องพลาสติกสี่เหลี่ยมขนาด 5×5 นิ้วออกมา ใช้แปรงทาด้านในด้วยน้ำมันมะพร้าวบางๆ วางเตรียมไว้   หม้อแรกทำน้ำเชื่อมโดยใส่น้ำแตงโม 60 กรัม กับน้ำตาลทราย 80 กรัม ใช้ตะกร้อมือคนให้น้ำตาลละลาย ยกขึ้นตั้งบนเตาที่เปิดไฟปานกลาง พอเดือดก็เคี่ยวต่อประมาณ 5 นาทีให้ข้น แล้วยกออกมาพักไว้   จากนั้นผสมแป้งข้าวโพด 30 กรัม กับน้ำแตงโม 250 กรัม คนให้เข้ากัน เทผ่านกระชอนลงในหม้อใบที่สอง  ตามด้วยหัวน้ำกุหลาบ 1/2 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ยกขึ้นตั้งบนเตาที่เปิดไฟปานกลาง ใช้ตะกร้อมือคนอย่างต่อเนื่อง พอส่วนผสมข้นเทน้ำเชื่อมในหม้อแรกลงไป คนต่อไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 นาทีจนส่วนผสมข้นและใส ยกมาเทลงในกล่องที่เตรียมไว้ทันที กระแทกกล่องกับเคาน์เตอร์จนส่วนผสมเรียบเสมอกัน พักให้คลายร้อน แล้วนำไปแช่ตู้เย็นอย่างน้อย 2 ชั่วโมง     เมื่อพร้อมกินป้าเจี๊ยบจัดเครื่องแต่งหน้าให้แตงโมดีไลต์ทั้ง 2 ด้วยค่ะ   แตงโมดีไลต์สไตล์อิตาเลียน แต่งด้วยถั่วพิสตาชิโอสับหยาบๆ และดาร์กช็อกโกแลต 70% ขูดเป็นเกล็ดเล็กๆ ส่วนแตงโมดีไลต์สไตล์เตอร์กิช นำออกมาตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาด 1 นิ้วแล้วคลุกกับถั่วพิสตาชิโอสับค่อนข้างป่นผสมเกลือหิมาลัย   คิวซีป้าอี๊ดชอบทั้งสองดีไลต์ค่ะ แต่เอียงไปทางอิตาเลียนมากกว่า เอิ่ม...เป็นเพราะเหล้ารัมรึเปล่านะ อิอิ

ชวนเข้าครัวรังสรรค์เมนูน่ารักไว้กินช่วงสุดสัปดาห์ ขนมปังห่อไส้กรอกรูปปลาหมึกทำง่าย กินได้ทุกเพศทุกวัย   ส่วนผสม แป้งขนมปัง 250 กรัม ผงยีสต์ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/4 ช้อนชา นมสด 3/4 ถ้วย เนยสดชนิดเค็ม 50 กรัม ไส้กรอกชิ้นยาว 3 นิ้ว 15 ชิ้น วิธีทำ ผสมแป้งขนมปัง ยีสต์ น้ำตาลทราย และเกลือเข้าด้วยกัน ใส่นมสด นวดพอเข้ากัน ใส่เนยสด นวดให้เข้ากันจนแป้งเนียนนุ่ม พักแป้งไว้ 1 ชั่วโมงให้ขึ้นเป็น 2 เท่า ตัดแป้งเป็นก้อนกลม ก้อนละ 30 กรัม พักไว้ 30 นาที นำแต่ละก้อนมารีดให้เป็นแผ่น วางไส้กรอกให้อยู่บนแผ่นแป้งประมาณครึ่งชิ้นแล้วม้วน หั่นไส้กรอกส่วนนอกแป้งให้เป็นเส้น เรียงใส่ถาด พักแป้งไว้อีก 15 นาที ให้ขึ้น ทาแป้งขนมปังด้วยนมสดให้ทั่ว โรยเกล็ดขนมปังป่น นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 15-20 นาทีจนสุกเหลือง ตกแต่งด้วยน้ำตาลลูกตา

ทำแบบง่ายๆ เสร็จภายใน 8-9 นาที ใช้กระทะผัดทอดธรรมดาแต่ควรจะหนาหน่อยค่ะ ไม่ต้องใช้เตาอบ   ส่วนผสม คอร์นเฟล็กส์ 100 กรัม น้ำตาลทราย 50 กรัม ดอกเกลือ 1/4 ช้อนชา เนยจืด 1 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ใส่ทุกอย่างลงในกระทะยกเว้นคอร์นเฟล็กส์ เคี่ยวไฟกลางๆ จนน้ำตาลละลายหมด เปลี่ยนเป็นไฟอ่อนสุด หยุดคนและปล่อยให้เดือด แต่หมุนกระทะบ้าง รอจนฟองมีขนาดเท่ากัน (ประมาณ 1 นาทีกว่าๆ ถึง 2 นาที) ใส่คอร์นเฟล็กส์ลงไปคลุก ไฟอ่อนสุด ใช้ตะหลิว 2 อันคลุกเบาๆ ให้น้ำตาลเคลือบอย่างทั่วถึง คลุกคอร์นเฟล็กส์ฉาบตลอดเวลา กลับมากลับไปด้วยไฟอ่อนสุดจนเริ่มมีควันและน้ำตาลเริ่มเปลี่ยนสี (ประมาณ 6-7 นาที) นำมาเทใส่ถาด แยกคอร์นเฟล็กส์อย่าให้เกาะติดกัน ต้องรีบทำขณะที่ร้อนก่อนที่น้ำตาลจะเย็นตัว ตอนที่คอร์นเฟล็กส์อุ่นนิดๆ สามารถเก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท รับรองว่ากินหมดก่อนหนืด

ซาลาเปาสีสวยแป้งนุ่มนิ่ม สอดไส้มันม่วงหอมหวานมาแบบจัดเต็ม อิ่มอร่อยลูกเดียวไม่พอ   ส่วนผสมแป้งเชื้อ แป้งเค้ก 100 กรัม ยีสต์ 1 1/2 ช้อนชา น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย ส่วนผสมแป้งโด แป้งเค้ก 150 กรัม มันม่วงนึ่งสุก 150 กรัม      ผงฟู 1 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ เนยขาว 50 กรัม แป้งเชื้อที่ผสมไว้ ไส้มันม่วงกวน วิธีทำ ทำแป้งเชื้อโดยผสมน้ำเปล่ากับยีสต์ คนให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้ก ผสมให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้กจากส่วนผสมแป้งโดลงในแป้งเชื้อ ใส่น้ำตาลทราย เกลือ ผงฟู และน้ำเปล่า ผสมให้พอเข้ากัน ใส่มันม่วง ผสมต่อพอเข้ากัน เติมเนยขาว นวดให้เข้ากัน พักแป้งไว้ 1 ชั่วโมง นำแป้งมาตัดแบ่งเป็นก้อนละ 30 กรัม คลึงแป้งเป็นก้อนกลม พักไว้ นำแป้งแต่ละก้อนมาแผ่ออก ใส่ไส้มันม่วง รวบแป้งให้สวยงาม วางบนกระดาษ พักแป้งไว้ 15 นาที นำไปนึ่งในน้ำเดือด เวลา 15 นาทีให้สุก

เมนูสตรีทฟู้ดขึ้นชื่อของอินเดีย เพิ่มเนื้อสัมผัสให้สนุกยิ่งขึ้นโดยใส่มันฝรั่งบดผสมเครื่องเทศ กินคู่กับน้ำมะขามและน้ำผักชีเย็นๆ อร่อยเข้ากัน   ส่วนผสมและวิธีทำน้ำผักชี ผักชี 1 ถ้วย | ใบสะระแหน่ 1/4 ถ้วย | พริกชี้ฟ้าเขียวหั่น 1 เม็ด | ขิงสับ 1 ช้อนโต๊ะ | น้ำเย็นจัด 250 มิลลิลิตร | ผงยี่หร่า 1 ช้อนชา | เกลือ 1 ช้อนชา | ผงการัมมาซาลา 1 ช้อนชา | น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ | น้ำแข็ง 1/4 ถ้วย ปั่นส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ชิมรส คลุมด้วยแร็ป นำไปแช่ในตู้เย็น ส่วนผสมและวิธีทำน้ำมะขาม เนื้อมะขาม 1/2 ถ้วย | น้ำอุ่น 1 ถ้วย | น้ำเย็นจัด 250 มิลลิลิตร | เกลือ 1 ช้อนชา | ผงการัมมาซาลา 1 ช้อนชา คั้นเนื้อมะขามกับน้ำอุ่น กรองเอาเอาแต่น้ำแล้วผสมกับน้ำเย็นจัด ใส่เกลือ และผงการัมมาซาลา คลุมด้วยแร็ป นำไปแช่ในตู้เย็น Note : ใช้น้ำแข็งปั่นกับผักชีจะทำให้ซอสมีสีเขียวสวย ส่วนผสมไส้ (สำหรับ 2-4 ที่) มันฝรั่งปอกเปลือกหั่นชิ้นใหญ่ 2 หัว | ครีม 3/4 ถ้วย | เกลือ 1 ช้อนชา | ผงยี่หร่า 2 ช้อนชา | ผงการัมมาซาลา 2 ช้อนชา | ผงพริกปาปริกา 1/2 ช้อนชา | ผักชีซอย 1 ช้อนโต๊ะ | หอมแขกหั่นเต๋า 3/4 ถ้วย | เนื้อมะเขือเทศ (ไม่เอาเมล็ด) 3/4 ถ้วย | ฟักทองต้มสุกหั่นเต๋า 3/4 ถ้วย | มันฝรั่งทอดกรอบอินเดีย (Indian Spicy Potato Noodle) ตามชอบ | ปานีปูรีสำเร็จรูป | น้ำมันสำหรับทอด | ผงพริกปาปริกาสำหรับตกแต่งเล็กน้อย   วิธีทำ ต้มมันฝรั่งจนสุก บดให้เนื้อเนียนละเอียด ใส่ครีม ปรุงรสด้วยเกลือ ผงยี่หร่า ผงการัมมาซาลา และผงพริกปาปริกา คลุกส่วนผสมให้พอเข้ากัน ชิมรส ตักใส่ถุงบีบ เตรียมไว้ ตั้งหม้อใบเล็กใส่น้ำมันใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน เมื่อน้ำมันร้อนได้ที่ใส่ปานีปูรีลงทอด ค่อยๆ ใช้กระชอนกลิ้งให้สุกเหลืองทั่ว ตักขึ้นพักไว้ให้เย็น ค่อยๆ ตัดส่วนบนออกประมาณ 1/3 ของลูก บีบมันฝรั่งใส่ปานีปูรี วางหอมแขก เนื้อมะเขือเทศ ฟักทอง และผงพริกปาปริกา ตกแต่งด้วยมันฝรั่งทอดกรอบอินเดีย และผักชีเล็กน้อย เสิร์ฟพร้อมกับน้ำผักชีและน้ำมะขาม

ขนมปังกรอบ หอมฟุ้งด้วยกลิ่นเนยและกระเทียมจับคู่กับชาหรือกาแฟเข้ากันดีเป็นที่สุด   ส่วนผสม กระเทียมสับละเอียด 1/4 ถ้วย เนยสดเค็ม 150 กรัม น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 75 กรัม พาร์สลีย์สับละเอียด 2 ช้อนชา เกลือป่นเล็กน้อย ขนมปังกะโหลกจิ๋ว วิธีทำ เรียงขนมปังกะโหลกจิ๋วบนตะแกรง นำไปตากให้แห้ง ผสมเนยสด กระเทียม น้ำตาลและเกลือ คนให้เข้ากัน ใส่พาร์สลีย์สับ ผสมให้เข้ากัน ทาส่วนผสมเนยกระเทียมบนขนมปัง เรียงใส่ถาด นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 155 องศาเซลเซียส เวลา 12-15 นาที ใหห้เหลืองกรอบ พักไว้ให้เย็น จัดใส่ขวดโหลหรือภาชนะที่มีฝาปิด