เข้าสู่ช่วงท้ายฤดูกาลของ มะยงชิด เราขอเสิร์ฟเมนูจากมะยงชิดที่มาแรงที่สุดในปีนี้ ชีสพายมะยะชิด รสเปรี้ยวอมหวานตัดด้วยความขมเบาๆ จากครัมเบิ้ลช็อกโกแลต อร่อยทำง่ายแถมไม่ต้องใช้เตาอบ   ส่วนผสม คุกกี้ช็อกโกแลตแซนด์วิชบดละเอียด 3 ถ้วย เนยสดเค็มละลาย 1/2 ถ้วย ครีมชีสสเปรด 200 กรัม วิปปิงครีม 3/4 ถ้วย น้ำตาลไอซิง 6 ช้อนโต๊ะ มะยงชิดปอกเปลือกคว้านเมล็ด 12 ผล ผงเจลาติน 1 1/2 ช้อนชา น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ผสมคุกกี้บดกับเนยละลายคลุกให้เข้ากัน กรุลงพิมพ์พายขนาด 7 นิ้ว แช่ผงเจลาตินในน้ำเปล่า คนให้เข้ากัน พักไว้ 5 นาที นำไปเข้าไมโครเวฟ 30-40 วินาทีให้ละลาย ตีครีมชีสสเปรด วิปปิงครีม และน้ำตาลไอซิงให้เข้ากัน ใส่เจลาตินละลาย คนให้เข้ากัน เทวิปครีมใส่ฐานพาย เกลี่ยให้ทั่ว เรียงมะยงชิดให้รอบ ตรงกลางใส่คุกกี้บด แช่เย็นก่อนตัดเป็นชิ้นจัดใส่จานเสิร์ฟ

โอกิโนวามีชื่อเสียงเรื่องมันม่วงหวาน (Purple Sweet Potato) ผลิตภัณฑ์จากมันม่วงเป็นโอทอป ประจำเมือง นักท่องเที่ยวทั้งญี่ปุ่นและต่างชาติมาที่นี่ต้องอุดหนุนสินค้านานาชนิดที่ทำจากมันม่วง    สินค้ายอดนิยมอันดับหนึ่งคือ Beni-imo ทาร์ตมันม่วงใช้พิมพ์รูปเรือยาวประมาณ 3 นิ้ว ป้าเจี๊ยบเป็นคนไม่ชอบกินทาร์ตสักเท่าไหร่ แต่น้องที่พาไปร้านดังของโอกินาวาบอกว่าอร่อย เป็นทาร์ตมันม่วงไส้ชีส ป้าเจี๊ยบจึงซื้อมาชิม   กัดเข้าไปหนึ่งคำ ลิ้นจำแนกรสเสร็จแล้วบอกตัวเองทันทีว่า ไม่มีส่วนผสมของชีสแน่นอน เพื่อความแน่ใจว่าต่อมรับรสถูกต้อง ป้าเจี๊ยบหยิบบรรจุภัณฑ์มาดู เปิดเครื่องแปลภาษาอ่านส่วนผสม ได้คำตอบว่าไม่มีชีส!   ป้าเจี๊ยบอดไม่ได้ต้องบอกน้องไปว่าทาร์ตมันม่วงที่แนะนำมานั้นไม่ใส่ชีสนะคะ น้องรีบขอโทษ  บอกว่าเข้าใจผิดมาตลอด พาใครมาที่ร้านก็บอกว่าเป็นทาร์ตมันม่วงไส้ชีส สรุปคือทาร์ตมันม่วงโอกินาวาเป็นไส้คัสตาร์ดธรรมดา สำหรับป้าเจี๊ยบแล้วรสชาติยังไม่โดนใจให้อยากกินอีก หุหุ   กลับจากโอกินาวาป้าเจี๊ยบลงมือทำทาร์ตมันม่วงแบบไส้ชีสที่ตัวเองอยากจะกินให้มันแล้วใจไปเล้ยยย!   มันม่วงไทยกิโลละหลักสิบ แต่มันม่วงญี่ปุ่นกิโลละหลักร้อย ป้าเจี๊ยบชอบทั้งนั้น มันม่วงโอกินาวาเนื้อสีม่วงแต่เปลือกสีน้ำตาลอ่อนนะคะ มันเปลือกสีม่วงเนื้อสีเหลืองเป็นคนละพันธุ์กัน   ป้าเจี๊ยบนำมันม่วงโอกินาวาสด 2 หัวมาทำความสะอาดแล้วหั่นเป็นท่อนๆ นำไปนึ่งประมาณ 15 นาที จากนั้นลอกเปลือกออกแล้วบดขยี้ผ่านกระชอน ได้เนื้อมันม่วงเนียนละเอียดประมาณ 200 กรัม  ใส่เนยสดรสเค็ม (อุณหภูมิห้อง) 15 กรัมลงไปคนให้เข้ากันแล้วตักใส่ถุงบีบเตรียมไว้ ป้าเจี๊ยบไม่ได้ใส่น้ำตาลเพราะชิมแล้วมีรสหวานตามธรรมชาติพอเหมาะพอดี และคิดว่าต่อไปถ้าต้องใช้มันม่วงหรือมันเทศไทย อาจต้องใส่น้ำตาลหรือสารเพิ่มความหวาน   แป้งทาร์ตสำหรับมันม่วงของป้าเจี๊ยบเป็นแบบเนื้อค่อนข้างกรอบร่วนนะคะ เพราะอยากได้เนื้อสัมผัสที่ตัดกับความเนียนนุ่มของมันม่วง เริ่มทำด้วยการเตรียมชามเปียกก่อน มีไข่แดง (ไข่ไก่เบอร์ 2) 1 ฟอง และเนยสดรสเค็ม (อุณหภูมิห้อง) 65 กรัม คนให้เข้ากันด้วยส้อมแล้ววางพักไว้    ต่อด้วยทำชามแห้งมีแป้งสาลีอเนกประสงค์ 85 กรัม แป้งข้าวโพด 20 กรัม นมผง 10 กรัม น้ำตาลไอซิง 20 กรัม ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมกลมกลืนกันแล้วทำเป็นบ่อตรงกลาง เทชามเปียกลงไป ใช้ส้อมผสมของเปียกกับของแห้งให้เข้ากัน ใช้มือนวดแป้งโดนิดหน่อยแค่พอเข้ากัน ห่อด้วยแผ่นฟิล์มถนอมอาหาร นำไปพักไว้ในตู้เย็นประมาณ 15 นาที   จากนั้นนำแป้งโดออกมาคลึงเป็นแผ่นหนาประมาณ 1/8 นิ้ว ตัดเป็นวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 นิ้ว กรุลงในพิมพ์ทรงกลมขนาด 2 นิ้ว ได้ 10 ถ้วย วางถ้วยในถาดอบ ยกเข้าเตาอบซึ่งตั้งปุ่มความร้อนไว้ที่อุณหภูมิ 190 องศาเซลเซียส หรือ 375 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง และปุ่มเวลา 7 นาที เมื่อได้ยินเสียงติ๊ง ยกถาดออกมาวางพักไว้   ต่อไปทำไส้โดยการใช้ตะกร้อมือตีครีมชีส 65 กรัม กับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 15 กรัมจนเนียน จากนั้นใส่ไข่ไก่เบอร์สอง 1 ฟอง ไข่ขาว 1 ฟอง (ที่เหลือจากทำแป้งทาร์ต) น้ำตาลทราย 20 กรัม และเนยสดรสเค็มละลาย 15 กรัมลงไป ตีต่อไปจนส่วนผสมเข้ากันดี แล้วกรองผ่านกระชอน     แคะแป้งทาร์ตออกจากพิมพ์วางเรียงไว้ในถาด ตักส่วนผสมของครีมชีสใส่ถ้วยแป้งทาร์ตปริมาณเท่าๆ กัน ยกถาดเข้าเตาอบซึ่งตั้งปุ่มความร้อนไว้ที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส หรือ 325 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง และปุ่มเวลา 15 นาที เมื่อได้ยินเสียงติ๊ง ยกถาดออกมาวางพักไว้ พอเย็นสนิทดีแล้วนำมันม่วงบดที่ใส่ไว้ในถุงบีบมาบีบลงบนหน้าทาร์ต   ป้าเจี๊ยบชิมตอนทำเสร็จใหม่ๆ ไป 1 ชิ้น รสชาติถูกปากตามต้องการ เปรียบเทียบกับอีกชิ้นที่ใส่กล่องบ่มไว้ในตู้เย็นไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง พบว่า...ชิ้นหลังอร่อยเพิ่มขึ้นอีก อิอิ

ใครเบื่อคุกกี้แบบเดิมๆ มาลองทำ คุกกี้ดินสอสีกัน! คุกกี้เนยหอมๆ กรอบกำลังดี รูปทรงเรียวยาวแบบแท่งดินสอสี น่ารักจนแทบอยากหยิบไปวาดภาพเลย!   ส่วนผสม เนยสดเค็มอุณหภูมิห้อง 250 กรัม น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 130 กรัม เกลือป่น 1/8 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 1 ฟอง แป้งสาลีอเนกประสงค์ 350 กรัม ผงวานิลลา 1 ช้อนชา สีผสมอาหาร เขียว แดง เหลือง น้ำเงิน วิธีทำ  คนเนยสดกับน้ำตาลทรายและเกลือเข้าด้วยกัน ใส่ไข่แดง คนให้เข้ากัน  ใส่แป้งสาลีและผงวานิลลา คนให้เข้ากัน แบ่งแป้งโด 1/2 ส่วน แล้วแบ่งเป็น 4 ส่วน ผสมสีแต่ละส่วน พักไว้  นำแป้งโดแต่ละสีมาแบ่งเป็นก้อนเล็ก คลึงเป็นแท่ง เรียงใส่ถาด แช่เย็นไว้  แบ่งแป้งโดมารีดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมหนา 4 มิลลิเมตร วางแป้งสีเป็นไส้ดินสอสี ม้วนพอให้ชายแป้งชนกัน บีบชายแป้งให้เรียบร้อย เรียงใส่ถาดอบ  นำไปเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เวลา 10-12 นาที พักไว้ให้เย็น  นำคุกกี้มาขูดปลายให้เห็นสีแป้งที่อยู่ด้านใน เรียงใส่จานเสิร์ฟ 

G&C มีของหวานอร่อยและทำตามได้ง่ายๆ โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ถั่วและธัญพืชจากไร่ทิพย์ เมล็ดสวย สะอาดและมีคุณภาพ นำมาทำเมนู ทาร์ตเปียกลูกเดือยมะพร้าวอ่อน ลูกเดือยนำไปต้มกับกะทิและครีมจนเนื้อนุ่มหนึบ หอมกลิ่นมะพร้าวอ่อน    ส่วนผสม  ลูกเดือย ตราไร่ทิพย์ 1 ถ้วย  กะทิสด 2 ถ้วย  น้ำมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย วิปปิงครีม 1/2 ถ้วย  เนื้อมะพร้าวอ่อน 1/2 ถ้วย  แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย  เกลือทะเล 1/2 ช้อนชา  ใบเตย 2 ใบ  แป้งทาร์ตอบขนาดตามชอบ  เนื้อมะพร้าวอ่อนสำหรับตกแต่งเล็กน้อย วิธีทำ  ล้างลูกเดือยให้สะอาด แช่ในน้ำเปล่าไว้ข้ามคืน นำไปต้มนาน 20-30 นาทีให้พอสุก กรองน้ำออก เตรียมไว้ ใส่กะทิ น้ำมะพร้าวอ่อน ใบเตย เนื้อมะพร้าวอ่อน แป้งข้าวโพด และวิปปิงครีม คนให้เข้ากันแล้วต้มให้เดือด ใส่ลูกเดือยต้ม น้ำตาลทราย และเกลือทะเล ชิมรสตามชอบ พักไว้ให้พออุ่น ตักใส่แป้งทาร์ต ตกแต่งด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อนให้สวยงาม

ฉบับนี้ G&C มีของหวานอร่อยและทำตามได้ง่ายๆ โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ถั่วและธัญพืชจากไร่ทิพย์ เมล็ดสวย สะอาดและมีคุณภาพ นำมาทำเมนูเค้กกล้วยตากเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เค้กเนื้อหนึบหอมกลิ่นน้ำตาลมะพร้าวคาราเมลกับกล้วยตาก โรยหน้าด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์แบบจุใจ   ส่วนผสม   แป้งเค้ก 120 กรัม  ผงฟู 1/2 ช้อนชา  เนื้อกล้วยตากหั่นเต๋า 1 ถ้วย  บราวน์บัตเตอร์ 1 ถ้วย  กะทิ 1/3 ถ้วย  น้ำตาลมะพร้าวคาราเมล 1/2 ถ้วย  น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วย        เกลือทะเล 1/4 ช้อนชา  ไข่ไก่ 3 ฟอง  เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบสับ ตราไร่ทิพย์                                                     เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ตราไร่ทิพย์ สำหรับโรยหน้า  วิธีทำ  ในชามผสมตีไข่ไก่ บราวน์บัตเตอร์ น้ำตาลมะพร้าว และน้ำตาลทรายแดงให้เข้ากันจนเนื้อเนียน ใส่กะทิ คนส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้ง ร่อนแป้ง ผงฟู และเกลือลงในส่วนผสม คนให้พอเข้ากัน   ใส่เนื้อกล้วยตากและเม็ดมะม่วงหิมพานต์สับ ตะล่อมให้เข้ากัน ตักส่วนผสมใส่พิมพ์ปริมาณตามชอบ โรยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 165 องศาเซลเซียส นาน 20-25 นาทีจนเค้กสุก 

ขนมหัวเราะ หรือที่บางคนเรียกกันว่า “คุกกี้หัวเราะ” เป็นขนมไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมจีน ซึ่งมีชื่อเรียกในภาษาจีนแปลเป็นไทยว่า “ขนมทอดงาปากอ้า” สะท้อนถึงลักษณะเฉพาะของขนมที่มีรอยแยกหรือปากอ้าเมื่อทอดเสร็จ และด้วยลักษณะนี้เองที่ทำให้ขนมดูเหมือนรอยยิ้ม จึงได้รับการตั้งชื่อว่า “ขนมหัวเราะ” ขนมหัวเราะนิยมรับประทานคู่กับชา กาแฟ ในสูตรดั้งเดิมเพิ่มความหอมและเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยการใช้น้ำมันหมู ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ได้รับอิทธิพลจากขนมของจีนในยุคก่อน ปัจจุบันขนมหัวเราะได้รับความนิยมในภาคใต้ สามารถพบได้ในร้านน้ำชา เสน่ห์ของขนมนี้ไม่เพียงอยู่ที่ความหอม และเนื้อสัมผัสกรอบร่วนอร่อย แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมระหว่างไทยและจีนอย่างลึกซึ้งอีกด้วย ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 285 กรัม แป้งข้าวโพด 15 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา เกลือ 1 ช้อนชา ไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำตาลไอซิง 105 กรัม น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด 2 ช้อนโต๊ะ งาขาวดิบ 4 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืช สำหรับทอด วิธีทำ ร่อนแป้งสาลี แป้งข้าวโพด ผงฟู และเกลือเข้าด้วยกัน พักไว้ ตีไข่ไก่ น้ำมันมะพร้าว น้ำสะอาด และน้ำตาลไอซิงให้เข้ากันจนส่วนผสมเนียน ใส่ส่วนผสมแป้งลงไปทีละครึ่ง แล้วนวดให้เข้ากันดีจนเนื้อเนียน แบ่งส่วนผสมเป็นชิ้นขนาด 15 หรือ 20 กรัมตามขนาดที่ต้องการ เตรียมถาดที่รองด้วยผ้าสะอาดชุบน้ำหมาดๆ นำขนมแต่ละชิ้นลงไปกลิ้งให้ผิวเปียกหมาดๆ คลุกขนมกับงาขาวให้ทั่ว แล้วนำมาคลึงกดให้งาติดเนื้อขนมดี ทำซ้ำจนหมด ตั้งน้ำมันสำหรับทอดที่อุณหภูมิ 140-150 องศาเซลเซียส นำขนมลงทอด ผิวของขนมจะค่อยๆ แตกออก แล้วลอยขึ้นบนผิวน้ำมัน ทอดจนสีสวย ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน พักบนตะแกรงให้เย็นลงก่อนรับประทาน

Pithiviers (ปีตีเวี่ย) ขนมคลาสสิกของฝรั่งเศสมีรูปร่างกลมคล้ายกับดวงอาทิตย์ ซึ่งหมายถึงความยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น และเป็นการเริ่มต้นของการทำขนมที่เป็นลายหยัก โดยตกแต่งหน้าเป็นเส้นเกลียว ด้านข้างทำเป็นลายหยักสวยงาม   ขนมนี้รูปร่างแบบเดียวกับ Galette des Rois ไส้ของ Pithiviers มีทั้งหวานและเค็ม ไส้หวานจะเป็น Crème d'Amande ซึ่งทำจากผงอัลมอนด์ ส่วนไส้เค็มมีหลากหลาย เช่น แฮม ชีส เห็ด   ขนมของฝรั่งเศสที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 17 ในช่วงนั้น Feuillet เชฟขนมของ Prince de Condé คิดทำแป้งหลายชั้นขึ้น ทำให้ขนมที่หนักมีความเบาขึ้นมาก แป้งพัฟในภาษาฝรั่งเศสจึงเรียกว่า Pâte Feuilletée (ซึ่งแปลว่าแป้งที่เป็นชั้นๆ ในภาษาอังกฤษคือ Puff Pastry) ส่วน Pithiviers ก็เกิดขึ้นในสมัยนั้น และได้ชื่อมาจากเมือง Pithiviers ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส   ขนมนี้ไม่ได้มีขายทั่วไป แต่ทำกันในงานเลี้ยงหรือมีคนสั่ง เพราะต้องกินกันหลายคน ถ้าทำเองก็ไม่ยาก ฉบับนี้เราจะทำทั้งไส้หวานและเค็ม แป้งพัฟจะซื้อสำเร็จรูปก็ได้ แต่ทำเองแบบง่ายๆ ก็ใช้เวลาไม่มาก   Pithivier ส่วนผสม Feuilletée Rapide เนย 200 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 210 กรัม น้ำเย็นจัด 100 กรัม เกลือ 5 กรัม วิธีทำ หั่นเนยเป็นก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ 1 เซนติเมตร แช่แข็งอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ใส่เนย แป้งสาลี เกลือ และน้ำในอ่างผสม ใช้มือขยำจนแป้งไม่เหลือติดอ่าง เทลงบนโต๊ะแล้วตะล่อมให้เป็นก้อน คลึงออกเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนา 4 มิลลิเมตร ม้วนให้แน่นเป็นแท่ง ม้วนให้เป็นก้นหอย แช่เย็น 30 นาที แบ่งเป็น 2 ส่วน คลึงทั้งสองส่วนออกเป็นวงกลมหนา 3 มิลลิเมตร วางแป้งแผ่นหนึ่งลงบนกระดาษไข ขีดเป็นวงกลม 20 เซนติเมตร ตักครีม Crème d'Amande (หรือไส้เค็ม) ใส่ลงตรงกลาง ทาไข่ส่วนที่ขีดไว้ให้ทั่ว วางแป้งอีกแผ่นทับ ใช้นิ้วกดรอบวงเบาๆ ทำลายโค้งตามชอบ ขีดเส้นให้สวย ทาไข่ให้ทั่ว พัก 15 นาที ทาไข่ซ้ำอีกรอบ นำเข้าตู้เย็น 12 ชั่วโมง นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส 10 นาที ลดไฟลงเหลืออุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส อบต่ออีก 25-30 นาที หรือจนหน้าเหลืองสวย ส่วนผสม Crème d'Amande เนยนุ่ม 100 กรัม น้ำตาลทราย 100 กรัม ผงอัลมอนด์ 100 กรัม ไข่ 1 ฟอง ไข่แดง 1 ฟอง กลิ่นรัม 1/4 ช้อนชา แป้งสาลีอเนกประสงค์ 10 กรัม วิธีทำ Crème d'Amande ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในอ่างผสมและตีให้เข้ากัน ใส่ตู้เย็นไว้ระหว่างคลึงแป้ง   ส่วนผสมไส้เค็ม แฮม | เนยแข็งตามชอบ เช่น เชดดาร์ พาร์เมซานขูด | เห็ดแชมปิญองหั่นบางคั่วน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ + เนย 1 ช้อนโต๊ะ ปรุงรส   ส่วนผสม Béchamel Sauce นม 125 กรัม วิปปิงครีม 125 กรัม เนย 25 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ พริกไทย นัตเมก วิธีทำ Béchamel Sauce ละลายเนยด้วยไฟอ่อนๆ ใส่แป้งสาลี คนให้เข้ากัน ใส่นม และวิปปิงครีม คนต่อไปจนข้น ใส่เกลือ พริกไทย และนัตเมก ชิมรสตามชอบ ทาซอสเบชาเมลบนแผ่นแป้ง วางเห็ด แฮม ชีส ประกบแป้งอีกแผ่น ทำลวดลายให้สวยงาม

โอกินาวา…ตามมาหลังกลับจากอินเดียครบหนึ่งเดือนพอดี ป้าเจี๊ยบมีแรงไปต่อ...อิอิ   เกาะใต้สุดของญี่ปุ่นแห่งนี้ป้าเจี๊ยบอยากไปมานานแล้วค่ะ แต่หาเครื่องบินที่บินตรงไม่ได้สักที เห็นชั่วโมงบินแล้วท้อ จนสมัยนี้ใช้เวลาบินแค่ 4 ชั่วโมงก็ไปเดินเล่นที่นาฮะ เมืองหลวงของเกาะแบบสบายๆ เดินทางคนเดียวค่ะ เที่ยวเนิบๆ สมวัย ตามสถานที่ยอดนิยมทั้งหลาย อาทิ ปราสาทชูริ ศาลเจ้านามิโนอูเอกุ หมู่บ้านอเมริกันมิฮามะ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุระอุมิ ถ้ำเกียวคุเซนโดะ ฯลฯ    ขณะอยู่ที่ชุระอุมิ ป้าเจี๊ยบเห็นป้ายเขียนว่า “โอกินาวาโดนัท” เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งหน้าร้านมีคิวยาวเหยียด พอไปที่อื่นๆ ก็พบขนมแป้งทอด ลูกกลมๆ หน้าแตกแบบเดียวกันวางขายทั่วไป ขนมนี้ชื่อว่าซาตาอันดากี เป็นภาษาถิ่นของโอกินาวา ซาตาคือน้ำตาล อันดากีคือทอดน้ำมัน ชิมแล้วชอบค่ะ กรอบนอก นุ่มใน เคี้ยวเพลินดี ป้าเจี๊ยบเห็นแป้งสำเร็จรูปสำหรับทำขนมนี้ขายในแหล่งท่องเที่ยวและซูเปอร์มาร์เก็ตด้วย ไม่ได้ซื้อกลับบ้านเหมือนตอนซื้อแป้งไมด้ามาจากอินเดีย   เมื่อกลับมาแล้ว รายการกินกันวันเสาร์ของครอบครัวย่อมต้องเป็นอาหารโอกินาวา และของหวานก็ต้องซาตาอันดากี...โดนัทโอกินาวาค่ะ ก่อนทำเลี้ยงครอบครัวป้าเจี๊ยบลงมือทำกินเองก่อนเพื่อพิสูจน์คำแนะนำของคนที่นั่นว่า ให้กินโดนัทนี้ตอนที่ทิ้งไว้จนเย็นสนิท หรือเก็บไว้ 1 วันก่อนกินจะกรอบนอกนุ่มในกว่า และรสชาติดีกว่ากินตอนทอดออกมาร้อนๆ    ทำง่ายมากค่ะ เริ่มจากเตรียมชามแห้ง มีแป้งเค้ก 110 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ใส่ตะแกรงร่อนแล้ววางพักไว้ ทำชามเปียกโดยใช้ตะกร้อมือตีไข่ไก่เบอร์สอง 1 ฟอง (50 กรัม) กับผงน้ำตาลดำโคคุโตะ 60 กรัม และน้ำมันงาญี่ปุ่น 1 ช้อนชาจนกระทั่งน้ำตาลละลาย ส่วนผสมเป็นครีม        เทชามแห้งลงในชามเปียกแล้วใช้พายซิลิโคนตะล่อมอย่างเบามือจนส่วนผสมไม่เห็นเป็นแป้งขาวก็หยุดทันที หยิบผ้ามาคลุมชาม พักแป้งโดไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นแบ่งเป็นก้อนๆ น้ำหนักประมาณก้อนละ 20 กรัม นำก้อนแป้งมากลิ้งบนฝ่ามือที่แตะน้ำมันคาโนล่านิดหน่อยเพื่อกันแป้งติดมือจนเป็นลูกกลมๆ วางเรียงไว้ในถาด ป้าเจี๊ยบทำได้ 14 ลูก   ลูกกลมๆ พร้อมนำไปทอดในน้ำมันพืชแล้วค่ะ ใช้หม้อทอดใบเล็กจะได้ไม่เปลืองน้ำมัน ใส่น้ำมันสูงระดับท่วมลูกกลม แบ่งทอด 2 ครั้งจะได้ไม่แน่นหม้อเวลาที่แป้งพองตัวขึ้น เมื่อน้ำมันอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ป้าเจี๊ยบหยิบลูกกลมลงทอด บางลูกต้องปั้นบนมืออีกนิดหน่อยเพราะแป้งโดค่อนข้างนิ่ม เวลาหยิบขึ้นมากลายเป็นลูกเบี้ยวซะนี่   ใช้เวลาทอดประมาณ 5-6 นาที ลูกกลมก็จะแตกออกมาเหมือนดอกไม้บาน พอสุกทั่วทั้งลูกก็คีบขึ้นมาพักไว้บนกระดาษซับน้ำมันหนาๆ ป้าเจี๊ยบกินทดสอบทั้ง 3 แบบแล้ว พบว่ากินตอนเสร็จใหม่ๆ อร่อยน้อยที่สุด จริงตามที่เจ้าถิ่นบอกมา ป้าเจี๊ยบเลยทำโดนัทโอกินาวาใส่กล่องปิดสนิทไว้ล่วงหน้า 1 วัน   เมื่อได้เวลาเสิร์ฟของหวาน ป้าเจี๊ยบแถมซอสช็อกโกแลตไว้ให้จิ้ม โดยใส่ช็อกโกแลตกึ่งหวาน 50 กรัม วิปครีม 50 กรัมในถ้วยแก้ว นำเข้าไมโครเวฟสลับกับการคนให้เข้ากัน 2-3 ครั้งๆ ละ 30 วินาทีก็เรียบร้อย พร้อมกับเตรียมน้ำร้อนสำหรับชงน้ำขิงและชามัตฉะ ซึ่งเจ้าถิ่นแนะนำว่าเข้ากันกับซาตาอันดากีมากกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่น จัดไปตามนั้นสิคะ   ถูกปากถูกใจกันถ้วนหน้าไปเลย...เย้!

ผู้เขียนได้ทำขนมมาหลากหลายมาก ผู้อ่านบางคนอยากให้ทำขนมปังบ้าง ขนมปังง่ายๆ ก็ทำมาแล้ว ฉบับนี้จะทำ Kaiser Rolls ขนมปังก้อนกลมที่กรอบนอกนุ่มใน แพร่หลายมากในประเทศออสเตรียจนเรียกได้ว่าเป็นอาหารประจำชาติก็ว่าได้   Kaiser Rolls ทำขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เพื่อเป็นเกียรติแด่จักรพรรดิ Franz Joseph 1 Kaiser จักรพรรดิแห่งออสเตรีย (ไคเซอร์ ในภาษาเยอรมันแปลว่า จักรพรรดิ) ขนมปังนี้มีหลายรูปแบบ แต่ที่ทำกันทั่วไปเป็นก้อนกลมที่มี 5 ขีด ดั้งเดิมปั้นด้วยมือ แต่ปัจจุบันใช้พิมพ์   ในประเทศออสเตรีย Kaiser Rolls แพร่หลายมาก มีขายในร้านขนมปังทุกร้าน ร้านสะดวกซื้อทั่วไป แม้ร้านรถเข็นขายไส้กรอกก็จะมีขนมปังนี้ด้วย ทาเนยเป็นอาหารเช้า ใส่ไส้ต่างๆ ทำเป็นแซนด์วิช ประเทศเยอรมนีและประเทศอื่นๆ ในแถบนั้นก็ทานขนมปังนี้ แต่เรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น Emperor Roll Weiner, Kaisersemmel Hand Roll ฯลฯ   ขนมปังนี้ทำง่ายและใช้เวลาไม่นาน เมื่ออบใหม่ๆ แล้วทานทันทีจะอร่อยที่สุด   Kaiser Rolls ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 360 กรัม ผงยีสต์ 10 กรัม น้ำตาลทราย 8 กรัม (ใส่น้ำผึ้งแทนได้) เกลือ 5 กรัม ไข่ 1 ฟอง น้ำอุ่น 165 กรัม เนยนุ่ม 30 กรัม นมสำหรับทา วิธีทำ ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น ใช้หัวตีรูปขอตี 4-5 นาที หรือนวดด้วยมือ 10 นาที เทแป้งโดใส่อ่างอีกใบ ปิดผ้า พักให้ขึ้นเท่าตัว แบ่งแป้งออกเป็น  6 ส่วน ปั้นเป็นก้อนกลม วางบนกระดาษไข คลุมด้วยผ้าและพักให้ขึ้น 2 เท่า ใช้เครื่องสำหรับทำลายขนมกดแป้งลงจนเกือบถึงพื้น ทานมบนหน้าขนมปัง นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 220 องศาเซลเซียส ประมาณ 12-14 นาที หรือจนเนื้อเบาและผิวเป็นสีทอง นำออกจากเตาอบ วางบนตะแกรงให้หายร้อน          

ขนมไทย ในรูปแบบเค้ก จะหอมหวานดีงามขนาดไหน แนะนำให้จดสูตรแล้วทำเมนู เค้กข้าวโพดสาคูมะพร้าวอ่อน กันดู หน้าตาสวยรสชาตินุ่มนวลลิ้นไม่ผิดหวังเลย   ส่วนผสมเค้ก ไข่แดงเบอร์หนึ่ง 4 ฟอง น้ำมันพืช 1/4 ถ้วย นมสดจืด 1/2 ถ้วย แป้งเค้ก 1 1/4 ถ้วย ผงวานิลลา 1/2 ช้อนชา ผงฟู 1 ช้อนชา ไข่ขาวเบอร์หนึ่ง 4 ฟอง ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย ส่วนผสมไส้สาคูมะพร้าวข้าวโพด สาคูต้มสุก 3/4 ถ้วย นมสดจืด 3/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย น้ำมะพร้าว 1/2 ถ้วย แป้งข้าวโพด 2 1/2 ถ้วย ข้าวโพดต้มฝาน 3/4 ถ้วย เนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นเส้น 1 ถ้วย ส่วนผสมครีมแต่งหน้า นมสด 1 ถ้วย ผงคัสตาร์ด 3 ช้อนโต๊ะ วิปปิงครีม 1 ถ้วย น้ำตาลไอซิง 3 ช้อนโต๊ะ ข้าวโพดย่างเนยฝาน วิธีทำ ทำเค้กเตรียมไว้โดยผสมไข่แดง น้ำมัน และนมสด คนให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้ก ผงวานิลลา และผงฟู คนให้เข้ากัน ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาร์ทาร์ให้เข้ากัน ค่อยๆ ใส่น้ำตาลทราย ตีให้เข้ากันจนขึ้นฟูเป็นโฟม นำไปผสมกับส่วนผสมไข่แดง ตะล่อมให้เข้ากัน เทใส่ถาด นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส เวลา 20-25 นาทีจนสุก พักให้เย็น ตัดตามขวางเป็น 2 ชิ้น ทำไส้ครีมสาคูโดยผสมนมสด น้ำตาลทราย น้ำมะพร้าว และแป้งข้าวโพด คนให้เข้ากัน ตั้งไฟให้สุกข้น ใส่สาคูต้มสุก เมล็ดข้าวโพดต้ม และเนื้อมะพร้าวอ่อน คนให้เข้ากัน พักไว้ ทำครีมแต่งหน้าโดยผสมผงคัสตาร์ดกับนมสดครึ่งหนึ่ง คนให้เข้ากัน ใส่นมสดที่เหลือ ตั้งไฟคนให้ข้น พักไว้ให้เย็น ตีวิปปิงครีมกับน้ำตาลไอซิงให้ขึ้นฟูอยู่ตัว ใส่คัสตาร์ด ตีให้เข้ากัน  วิธีประกอบเค้ก วางเค้กชิ้นที่ 1 ลงในพิมพ์ ใส่ไส้สาคูเกลี่ยให้ทั่ว วางเค้กชิ้นที่ 2 ใส่ครีมปาดให้เรียบ ตัดเป็นชิ้น แต่งด้วยข้าวโพดย่างเนย   

มูสเค้กชิ้นใหญ่สีขาวสวย เนื้อในเป็นมูสมะม่วงผสมกับเนื้อส้มได้รสเปรี้ยวหวานสดชื่น หอมกลิ่นวานิลลาจากดอยอาข่า สอดไส้แยมมะม่วงน้ำดอกไม้ กินคู่กับซอสส้มวานิลลาเข้ากันได้อย่างลงตัว   ส่วนผสม ไข่แดง 4 ฟอง | น้ำตาลทราย 180 กรัม | ไวต์ช็อกโกแลต 80 กรัม | วิปครีม 250 กรัม | น้ำมะม่วง 120 กรัม | น้ำส้ม 50 กรัม | ฝักวานิลลาจากดอยอาข่า 1 ฝัก (ขูดเฉพาะเนื้อ) | เจลาตินละลาย 2 ช้อนโต๊ะ | แยมมะม่วง 250 กรัม | เค้กชิฟฟอน (ตัดเป็นแผ่นบางทรงกลม) 1 ชิ้น   วิธีทำ ตีไข่แดงกับน้ำตาลทรายบนหม้อน้ำร้อน (Double Boiling) จนละลายเข้ากันดีและขึ้นฟูเล็กน้อย ใส่ไวต์ช็อกโกแลต คนให้ละลาย ยกออกจากหม้อน้ำร้อน ใส่วิปครีม น้ำมะม่วง น้ำส้ม เนื้อฝักวานิลลา และเจลาติน ตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน เทใส่พิมพ์ซิลิโคนครึ่งพิมพ์ ใส่แยมมะม่วง ใส่ครีม 3/4 ของพิมพ์ ปิดด้วยเนื้อเค้กชิฟฟอน นำไปแช่ในช่องแช่แข็งข้ามคืน ส่วนผสมและวิธีทำซอสส้มวานิลลา น้ำส้ม 1 ถ้วย | ไข่แดง 3 ฟอง | น้ำตาลทราย 80 กรัม | วิปปิงครีม 50 กรัม | เนื้อวานิลลา 1/2 ฝัก | เหล้าส้ม 1/2 ช้อนโต๊ะ ผสมส่วนผสมทั้งหมดบนหม้อน้ำร้อนจนส่วนผสมข้นขึ้น ปิดด้วยพลาสติกแรปให้แนบหน้า พักไว้ให้หายร้อน ส่วนผสมเกลซ ไวต์ช็อกโกแลต 180 กรัม | คอร์นไซรัป 150 กรัม | น้ำตาลทราย 80 กรัม | น้ำเปล่า 150 กรัม | เจลาตินละลาย 20 กรัม   วิธีทำ ต้มคอร์นไซรัป น้ำตาลทราย และน้ำเปล่าให้พอเดือด เทใส่ไวต์ช็อกโกแลตแล้วคนให้เข้ากัน ปั่นด้วยเครื่องปั่นมือถือจนเนื้อเนียน คลุมด้วยพลาสติกแรปให้แนบหน้า พักไว้ให้หายร้อน (อุณหภูมิ 26 องศาเซลเซียส) แกะมูสเค้กออกจากพิมพ์ วางบนตะแกรง ค่อยๆ ราดเกลซให้ทั่วชิ้น พักไว้ให้เซ็ตตัว ตกแต่งด้วยซอสส้มวานิลลา วิปครีม เนื้อส้มสดและดอกไม้กินได้ให้สวยงาม

บัตเตอร์เค้กเนื้อแน่นกลิ่นหอมและชุ่มฉ่ำเนย ผสมน้ำเลมอน ผิวเลมอน และเมล็ดงาขี้ม้อนจังหวัดเชียงราย ได้ทั้งกลิ่นหอมสดชื่นและกลิ่นงาคั่ว ท็อปด้วยครีมชีสเนื้อนุ่มฟู   ส่วนผสม (สำหรับ 3-4 ที่) แป้งสาลีอเนกประสงค์ 350 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา เบกกิงโซดา 1/2 ช้อนชา บราวน์บัตเตอร์ (Brown Butter) 250 กรัม น้ำตาลทราย 380 กรัม ไข่ไก่ 4 ฟอง เกลือ 1/4 ช้อนชา ฝักวานิลลา 1 ฝัก (ขูดเฉพาะเนื้อ) เมล็ดงาขี้ม้อนจังหวัดเชียงราย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำเลมอน 2 ช้อนโต๊ะ ผิวเลมอน 1 ผล ส่วนผสมและวิธีทำเลมอนครีมชีส น้ำเลมอน 1 ช้อนโต๊ะ | โยเกิร์ต 3/4 ถ้วย | ครีมชีส 3/4 ถ้วย | น้ำตาลไอซิง 1/4 ถ้วย ใส่ส่วนผสมทั้งหมดคนให้เข้ากันจนเนื้อเนียน วิธีทำ ตีไข่ไก่กับน้ำตาลทรายจนเนื้อขึ้นฟู ค่อยๆ ใส่บราวน์บัตเตอร์แล้วตีต่อจนเนื้อเนียน ค่อยๆ ร่อนแป้ง ผงฟู เบกกิงโซดา และเกลือ ตีผสมจนเข้ากันดี ใส่เมล็ดงาขี้ม้อน น้ำเลมอน เนื้อวานิลลา และผิวเลมอน คนให้เข้ากัน เทใส่พิมพ์เค้กสี่เหลี่ยมประมาณ 3/4 ของพิมพ์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 150-160 องศาเซลเซียส นาน 30-45 นาทีหรือจนเค้กสุก พักไว้ให้เย็น เคาะออกจากพิมพ์ ปาดเลมอนครีมชีสบนหน้าเค้ก แล้วตกแต่งให้สวยงามตามชอบ

มีผู้อ่านหลายคนสอบถามมาว่าใช้พิมพ์อะไรทำขนมจึงออกมาได้สวยกว่าที่เห็นทั่วไป ตามจริงแล้วพิมพ์ขนมมีมากมาย แต่ที่ผู้เขียนใช้มานานมักจะเป็นพิมพ์ที่ทำด้วยอะลูมิเนียมหล่อ และผู้ที่ผลิตมากคือ Nordic Ware   บริษัทนี้ก่อตั้งมา 75 ปีแล้วโดยสามีภรรยาคู่หนึ่งที่อยากมีธุรกิจของตนเอง จึงเริ่มผลิตที่ใต้ถุนบ้านก่อนจนปัจจุบันมีพนักงานหลายร้อยคน พิมพ์ Bundt ไม่ใช่พิมพ์แรกที่เขาทำ ในปี ค.ศ. 1950 มีแม่บ้านเชื้อสายยิวขอให้เขาทำพิมพ์ที่มีรูปร่างคล้ายพิมพ์ Kugelhopf ที่เป็นเซรามิกของเยอรมัน พิมพ์ที่เขาทำขึ้นใช้ชื่อว่า “Bundt”   หลายปีแรกพิมพ์นี้ขายได้ไม่กี่ชิ้น จนวันหนึ่งมีคนเอาไปทำเค้กประกวดและชนะในรายการ The Pillsbury Bake-Off หลังจากนั้นพิมพ์ก็เริ่มขายดี พิมพ์บันต์แรกที่เขาทำเป็นรูปกุหลาบมีปล่องตรงกลางเพื่อให้อบเค้กได้ขึ้นเสมอกัน รอบๆ มีกลีบเท่ากันเพื่อให้ตัดง่าย   ปัจจุบัน Nordic Ware ผลิตพิมพ์ทรงกุหลาบนี้มาแล้วมากกว่า 75 ล้านชิ้น เมื่อบริษัทเติบโตขึ้นก็ผลิตพิมพ์บันต์ออกมามากกว่า 30 รูปแบบและหลากหลายลวดลาย รวมทั้งยังมีพิมพ์ที่ทำด้วยซิลิโคน และมีถาด หม้อ กระทะ และเครื่องครัวอื่นๆ อีกมากมาย Nordic Ware ผลิตเครื่องครัวส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและเข้มงวดกับสิ่งแวดล้อม โรงงานของเขาใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อลดคาร์บอนฟุตพรินต์ พิมพ์ขนมส่วนใหญ่ก็ยังทำด้วยอะลูมิเนียมหล่อ   พิมพ์บันต์ใช้อบเค้กได้แทบทุกชนิด แต่เค้กที่มีเนื้อหนักเวลาออกจากพิมพ์จะเห็นลวดลายชัดสวยกว่าทั่วไป ถ้าเป็นเค้กเนื้อเบาเลือกพิมพ์ที่มีลวดลายไม่มากนัก จึงต้องทดลองดูกับเนื้อเค้กที่ต้องการ ฉบับนี้ให้สูตรไว้ 3 สูตร บางสูตรใช้พิมพ์ใหญ่บางสูตรใช้กับโลฟ   ข้อควรระวังของการใช้พิมพ์นี้คือห้ามล้างด้วยน้ำยาล้างจานเพราะจะทำให้เค้กติดพิมพ์  เก็บในถุงผ้าลินินเพื่อให้พิมพ์ไม่มีรอยขูดขีด Lemon Bundt Cake ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 120 กรัม แป้งเค้ก 70 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา เกลือ 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทรายละเอียด 175 กรัม ผิวเลมอน 2 ผล เนยพักให้นุ่ม 113 กรัม น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ ไข่ เบอร์ 0 2 ฟอง น้ำเลมอน 2 ช้อนโต๊ะ อุปกรณ์ พิมพ์ Bundt ทรงโลฟ (Loaf) ทาเนยโรยแป้งเตรียมไว้   วิธีทำ ร่อนแป้ง ผงฟู และเกลือ พักไว้ ในอ่างผสมใส่น้ำตาลทรายและผิวเลมอน ผสมจนหอม ใส่เนยและน้ำตาลตีจนฟูเบา ใส่ไข่ทีละฟอง ตามด้วยน้ำมันพืชและน้ำเลมอน ใส่นม ตีพอเข้ากัน ใส่แป้งผสมให้เข้ากัน ใช้ตะกร้อมือคนพอทุกอย่างเข้ากัน เทลงพิมพ์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 48-50 นาที นำออกจากเตาอบ พักไว้ 10 นาที คว่ำออกจากพิมพ์วางบนตะแกรง Kentucky Butter Cake ส่วนผสม น้ำตาลทรายละเอียด 500 กรัม เนยพักให้นุ่ม 285 กรัม ไข่ เบอร์ 0 5 ฟอง วานิลลาและเหล้ารัม อย่างละ 1 ช้อนชา แป้งเค้ก 290 กรัม เกลือ 6 กรัม ซาวร์ครีม 230 กรัม อุปกรณ์ พิมพ์ Bundt ขนาด 10 นิ้ว ทาเนยโรยแป้งเตรียมไว้   วิธีทำ ตีเนยกับน้ำตาลทรายจนฟูขาว เติมไข่ทีละฟอง ให้ตีเข้ากันก่อนจึงใส่ฟองต่อไป ใส่วานิลลาเกลือ และรัม ใส่แป้ง 1/3 ส่วน ตามด้วยซาวร์ครีม 1/3 ส่วน สลับกันไปอีก 2 ครั้ง ตะล่อมเบาๆ จนทุกอย่างเข้ากันดี ตักใส่พิมพ์เคาะเบาๆ 2-3 ครั้งเพื่อไล่อากาศฟองใหญ่ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 65-70 นาที ใช้ไม้จิ้มให้เป็นรูทั่วชิ้นเค้ก ราดคาราเมลลงครึ่งหนึ่ง พักเค้กให้อยู่ในพิมพ์ 1 ชั่วโมง ก่อนคว่ำออกจากพิมพ์ ราดคาราเมลที่เหลือลงบนเค้ก ส่วนผสมและวิธีทำคาราเมล น้ำตาลทรายละเอียด  200 กรัม | น้ำ 125 กรัม | เนย 113 กรัม | เกลือ 6 กรัม | นมข้นจืด 60 กรัม | วานิลลา | เหล้ารัม ใส่น้ำตาลและน้ำ 60 กรัมในหม้อก้นหนา ต้มไฟปานกลางจนเป็นสีน้ำตาล ใส่เนย วานิลลาและเหล้ารัม คนจนเข้ากัน ใส่น้ำที่เหลือ นมข้นจืด และเกลือ ต้มจนข้น พักให้คลายร้อนก่อนราดบนเค้กที่เย็นแล้ว Note เค้กนี้เป็นเค้กคลาสสิกชนิดหนึ่งในอเมริกา มักจะไม่ทานโดยไม่มีซอส จะราดด้วยซอสเนยผสมรัม หรือซอสอื่นตามชอบ Chocolate Bundt Cake ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 240 กรัม ผงโกโก้ 60 กรัม ผงกาแฟ 3 กรัม ผงฟู 4 กรัม เบกกิงโซดา 2 กรัม เนยพักให้นุ่ม 227 กรัม น้ำตาลทรายละเอียด 350 กรัม ไข่ เบอร์ 0 4 ฟอง วานิลลา ซาวร์ครีม 227 กรัม น้ำเดือด 175 กรัม อุปกรณ์ พิมพ์ Bundt ขนาด 10 นิ้ว ทาเนยโรยแป้งเตรียมไว้   วิธีทำ ร่อนแป้ง ผงโกโก้ ผงกาแฟ ผงฟู และเบกกิงโซดารวมกัน พักไว้ ตีเนยกับน้ำตาลจนฟูเบา เติมไข่ทีละฟอง ใส่วานิลลา เติมซาวร์ครีม คนพอเข้ากัน ตะล่อมส่วนผสมแป้งลงในส่วนผสมเนย ใส่น้ำเดือด คนพอเข้ากัน ตักใส่พิมพ์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 65-70 นาที นำออกจากเตาอบ พักไว้ 10 นาที ก่อนเคาะออกจากพิมพ์ ถ้าใช้พิมพ์เล็กจิ๋วใช้เวลาอบ 28-30 นาที

L’Annécien (อาเนเซียง) ขนมนี้ได้ชื่อมาจากเมือง Annecy ทางตะวันออกของประเทศฝรั่งเศสใกล้กับสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยมาก มีสายน้ำไหลผ่านเมืองลงทะเลสาบใหญ่ อาเนเซียงเป็นขนมประเภทสปันจ์เค้ก ทำด้วยไข่ขาว กรอบนอกนุ่มใน ผิวนอกจะมีสีน้ำตาลเข้มนิดๆ เพราะต้องโรยน้ำตาลในพิมพ์ก่อนอบ นิยมทานในช่วงเวลาน้ำชา ทานโดยไม่ทาอะไรหรือกับแยมก็ได้   เชฟ Maxime Frédéric เป็นผู้คิดทำขนมนี้ขึ้นขณะที่เขาทำงานอยู่ที่ George V โรงแรมหรูในปารีส ผู้คนนิยมไปดื่มน้ำชาซึ่งต้องมีอาเนเซียงนี้ด้วย หลังจากนั้นอาเนเซียงจึงเป็นที่รู้จัก เชฟ Maxime Frédéric ไปอยู่ที่ไหนก็ตามตัวเขาไปด้วย   เค้กนี้ใช้ไข่ขาวล้วนๆ จึงต้องอบในพิมพ์ Bundt หรือพิมพ์ชนิดอื่นที่มีรูตรงกลาง   L’Annécien ส่วนผสม เนย 290 กรัม วานิลลา 1 ฝัก ไข่ขาว 290 กรัม (ไข่เบอร์ 0 จำนวน 7 ฟอง) น้ำตาลทราย 160 กรัม (ใช้น้ำตาลทรายแดงล้วนก็ได้จะได้เค้กสีน้ำตาลอ่อน) แป้งเค้ก 100 กรัม แป้งข้าวโพด 100 กรัม น้ำตาลทรายแดง 80 กรัม อุปกรณ์ พิมพ์ Bundt ขนาด 9 นิ้ว ทาเนย 15 กรัม โรยน้ำตาลทราย 25 กรัม น้ำตาลทรายแดง 25 กรัม ผสมกัน   วิธีทำ ใส่เนยในหม้อก้นหนา ตั้งไฟจนเนยเดือดสักพัก ใส่ฝักวานิลลา ปิดไฟ พักให้คลายร้อน ร่อนแป้งทั้ง 2 ชนิดกับน้ำตาลทรายแดง พักไว้ ใส่ไข่ขาวในโถผสม ตีจนขึ้นฟอง ใส่น้ำตาลทราย 1/3 ส่วน ตีต่อไป พอฟองเล็กลงใส่น้ำตาลทรายอีก 1/3 ส่วน ตีต่อไปอีกสักพัก ใส่น้ำตาลทรายที่เหลือ และตีจนยอดแข็ง กรองเนยเอาฝักวานิลลาออก ใส่ไข่ขาวส่วนหนึ่งลงไป คนจนข้น เทส่วนผสมเนยข้นลงในไข่ขาว และตะล่อมให้เข้ากันดี ร่อนส่วนผสมแป้งลงในเนย ตะล่อมให้เข้ากัน เทส่วนผสมใส่พิมพ์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส นาน 45-50 นาที ใช้ไม้จิ้มดูตรงกลางถ้าไม่มีเนื้อเค้กติดแสดงว่าสุกแล้ว เอาออกจากเตาอบคว่ำบนตะแกรงทันที อาเนเซียงทานทันทีหรือภายในวันที่ทำจะอร่อยที่สุด วิธีเสิร์ฟ ตัดใส่จาน ตักไอศกรีมวางข้าง ราดด้วยช็อกโกแลตฟัดจ์

เพิ่มเติมลูกเล่นให้กับแพนเค้กแบบเดิมที่เราคุ้นเคย ด้วยการปรับลดขนาดให้เป็นซิลเวอร์ดอลลาร์แพนเค้กขนาดชิ้นเล็กพอดีคำสองคำ จัดเสิร์ฟซ้อนๆ กันมาหรือจัดวางในรูปแบบ Finger Food แบ่งปันกันได้หลายคน เคียงมากับผลไม้สด ซอสช็อกโกแลต ซอสคาราเมล น้ำผึ้ง เมเปิลไซรัป ผลไม้แห้ง ผลไม้สด ถั่ว หรือธัญพืชต่างๆ อร่อยได้ทุกรูปแบบ ส่วนผสมแพนเค้ก นมสด 185 กรัม น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ แป้งสาลีอเนกประสงค์ 150 กรัม เบกกิงโซดา 1/2 ช้อนชา ผงฟู 1 ช้อนชา เกลือ 1/2 ช้อนชา เนย (ละลาย) 30 กรัม วิธีทำ เตรียมแป้งแพนเค้ก โดยผสมนมสดกับน้ำส้มสายชู พักไว้ ตีไข่ไก่กับน้ำตาลทรายให้เข้ากัน ใส่ส่วนผสมนมตามลงไป ผสมให้เข้ากันดี ร่อนแป้ง เบกกิงโซดา ผงฟู และเกลือตามลงไป ตีให้เข้ากัน ใส่เนยละลายแล้วผสมต่อให้เข้ากันดี พักส่วนผสม 10 นาที แล้วนำใส่ขวดบีบ หรือถุงบีบ ตั้งกระทะให้ร้อนแล้วลดไฟ บีบแพนเค้กเป็นชิ้นขนาด 5 เซนติเมตรให้เต็มกระทะ พอผิวด้านบนเริ่มเป็นฟอง พลิกกลับด้านแพนเค้กทั้งหมด เขย่ากระทะเบาๆ เมื่อแพนเค้กสุกจะลื่นไม่ติดผิวกระทะ ทำซ้ำจนหมด จัดเสิร์ฟซิลเวอร์ดอลลาร์แพนเค้กและเครื่องเคียงต่างๆ ได้ตามต้องการ

Chef Billy Bautista ผู้มาพร้อมกับรอยยิ้มและลีลาในการทำอาหารเม็กซิกันอย่างมีสีสัน เชฟจากซานฟรานซิสโกและเป็นผู้นำเทรนด์อาหารเม็กซิกันเข้ามาในเมืองไทยนานกว่า 15 ปี ทำอาหารผ่านการตีความของเมนูเม็กซิกันในแบบ “Mission Style” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเม็กซิโก เท็กซัส และแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นการปรุงโดยใช้ฟืน ไฟ และควัน ผสมผสานกับรสชาติและสีสันในแบบของเชฟบิลลี่ สามารถไปลิ้มลองได้ที่ร้าน La Monita, ร้าน Billy's Smokehouse และร้าน Santiaga ขนมหวานชูร์โรส์สไตล์เชฟบิลลี่ แป้งชูร์โรส์ที่เปลี่ยนจากทอดเป็นอบในเตาสำหรับทำวัฟเฟิล เพิ่มความกรอบและหอมอีกแบบ เสิร์ฟพร้อมซอสคาราเมลเข้มข้น กินคู่กับช็อกโกแลตร้อนๆ ยิ่งเข้ากัน   ส่วนผสมแป้งวัฟเฟิล แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ถ้วย ผงฟู 1/2 ช้อนชา เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย ไข่ไก่ 1 ฟอง นมสด 1 ถ้วย กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา ซอสต่างๆ เช่น คาราเมล หรือช็อกโกแลตตามชอบ วิธีทำ ร่อนแป้ง ผงฟู และเกลือเข้าด้วยกัน ใส่ลงในชามผสม ใส่ส่วนผสมที่เหลือลงไป คนให้เข้ากันจนเนื้อเนียน อุ่นเครื่องทำวัฟเฟิลให้พอร้อน ตักแป้งลงบนแผ่นทำวัฟเฟิล ปิดฝาแล้วรอจนสุก หลังจากนั้นนำไปทอดให้สีเหลืองทอง โรยด้วยน้ำตาลป่นและอบเชย เสิร์ฟพร้อมกับซอสต่างๆ เช่น คาราเมล หรือช็อกโกแลตได้ตามต้องการ

ลองเปลี่ยนจากเค้กนุ่มนิ่ม มาเป็นสัมผัสกรุบกรอบที่สลับชั้นกับครีมสดมีช็อกโกแลตชิปให้เคี้ยวด้วย   ส่วนผสม เนยสดเค็ม 200 กรัม น้ำตาลทรายขาว 100 กรัม น้ำตาลทรายแดง 70 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 1 ฟอง แป้งสาลีอเนกประสงค์ 200 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ 100 กรัม ช็อกโกแลตชิป 100 กรัม วิธีทำ ทำคุกกี้โดยผสมเนยสดกับน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายแดง ใส่เกลือป่น คนให้เข้ากันจนเป็นครีม ใส่ไข่แล้วคนต่อให้เข้ากันจนเป็นครีม ใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ คนให้เข้ากัน ใส่แป้งสาลีและผงฟู ผสมให้เข้ากัน ใส่ช็อกโกแลตชิป ผสมต่อให้เข้ากัน แบ่งคุกกี้เป็น 3 ส่วน ใส่ลงในพิมพ์ขนาด 6 นิ้ว กดแป้งคุกกี้ให้เสมอพิมพ์ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 20-25 นาทีหรือจนสุก พักไว้ให้เย็น ตีวิปปิงครีมกับน้ำตาลไอซิงให้ขึ้นฟูอยู่ตัว ประกบเค้กโดยวางคุกกี้ชิ้นแรกบนจาน ใส่วิปครีม วางคุกกี้ชิ้นที่ 2 ทำสลับกันจนครบ 3 ชิ้น บีบวิปครีมบนหน้า แต่งด้วยลูกปัดน้ำตาลสีทอง จัดเสิร์ฟ

ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) แป้งขนมปัง 250 กรัม เนยจืด 60 กรัม ผงยีสต์ 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 60 กรัม นมผง 2 ช้อนโต๊ะ นมรสจืด 80 กรัม น้ำเปล่า 50 กรัม ส่วนผสมไส้ น้ำสลัด | แฮม | ปูอัด | ไส้กรอก | ชีสเชดดาร์ | ชีสมอซซาเรลลา | พาร์สลีย์สับ   วิธีทำ ใส่ส่วนผสมแป้งทั้งหมดในโถตี ตีด้วยหัวตะขอใช้ความเร็วต่ำ นวดจนเนื้อเนียนประมาณ 10-15 นาที พักแป้งไว้ประมาณ 15 นาที แบ่งแป้งให้ได้ก้อนละ 150 กรัม คลึงให้เป็นวงรีแล้วใช้นิ้วกดที่ขอบแป้งเบาๆ จากนั้นปั้นก้อนกลมเล็กประมาณ 20 กรัม ให้ได้ 4 ก้อน แล้วนำมาวางเรียงที่ขอบแป้ง ตกแต่งให้เป็นหน้าหมี ใส่ส่วนผสมไส้ตามชอบ พักไว้ประมาณ 30-45 นาทีจนขึ้นฟู นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 12-15 นาทีจนสุกสีเหลือง โรยพาร์สลีย์ กดแฮมและชีสแผ่นเป็นรูปดอกไม้ ตกแต่งให้สวยงาม

เพราะเราใช้แครกเกอร์แทนแป้งเค้ก สลับชั้นกับซอสราสป์เบอร์รีรสเปรี้ยวหวาน ครีมสด และไวต์ช็อกโกแลต เป็นเค้กที่อร่อยแถมทำง่ายที่สุดแล้ว   ส่วนผสมซอสราสป์เบอร์รี ราสป์เบอร์รีแช่แข็ง 1 ถ้วย น้ำตาลไอซิง 1/4 ถ้วย แป้งข้าวโพดละลายน้ำ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสม แครกเกอร์แผ่น 16 แผ่น ครีมชีส 170 กรัม น้ำตาลไอซิง  3/4 ถ้วย วิปปิงครีมสำหรับตีวิปชีส 3/4 ถ้วย ไวต์ช็อกโกแลต 120 กรัม วิปปิงครีม 3 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ทำซอสราสป์เบอร์รีโดยต้มราสป์เบอร์รีแช่แข็งให้ละลาย ใส่น้ำตาลไอซิงและแป้งข้าวโพด คนให้เข้ากันจนข้น ยกลง พักไว้ ตีครีมชีสให้พอขึ้นฟู ใส่น้ำตาลไอซิง ตีต่อให้เข้ากัน เติมวิปปิงครีมสำหรับตีวิปชีส ตีให้เข้ากันจนเป็นครีม ละลายไวต์ช็อกโกแลตกับวิปปิงครีม พักไว้ เรียงแผ่นแครกเกอร์ใส่พิมพ์ ใส่วิปชีสแล้วปาดให้เรียบ ใส่ซอสราสป์เบอร์รี เกลี่ยให้ทั่ว จากนั้นเรียงแผ่นแครกเกอร์อีกชั้น ใส่วิปชีสแล้วปาดให้เรียบ    ราดไวต์ช็อกโกแลต ซอสราสป์เบอร์รี เกลี่ยให้สวยงาม นำไปแช่เย็นก่อนเสิร์ฟ

แรงบันดาลใจจากแซนด์วิชคุกกี้รสช็อกโกแลตสอดไส้ครีม นำมาดัดแปลงให้อยู่ในรูปแบบของคัปเค้กหมวกสูง ส่วนผสมคัปเค้ก แป้งเค้ก 85 กรัม ผงโกโก้สีเข้ม 30 กรัม ผงฟู 1/2 ช้อนชา เบกกิงโซดา 1/4 ช้อนชา เกลือ 1/2 ช้อนชา คุกกี้ช็อกโกแลต (บด) 50 กรัม น้ำตาลทราย 150 กรัม ซาวร์ครีม 115 กรัม น้ำมันรำข้าว 55 กรัม ไข่ไก่ 1 ฟอง กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา ผงกาแฟ 2 ช้อนชา น้ำร้อน 115 มิลลิลิตร คุกกี้ช็อกโกแลต (บด) สำหรับเสิร์ฟ คุกกี้แอนด์ครีมบัตเตอร์ครีม เนยจืด 170 กรัม น้ำตาลไอซิง 120 กรัม กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา คุกกี้ช็อกโกแลต (บด) 40 กรัม ดาร์กช็อกโกแลตเกลซ ดาร์กช็อกโกแลต 100 กรัม น้ำมันรำข้าว 1 ช้อนชา ไวต์ช็อกโกแลตเกลซ    ไวต์ช็อกโกแลต 30 กรัม น้ำมันรำข้าว 1/4 ช้อนชา วิธีทำ ตั้งเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส โปรแกรมไฟล่างไฟบน เตรียมถาดอบคัปเค้ก รองด้วยกระทงกระดาษ ละลายผงกาแฟกับน้ำร้อนและกลิ่นวานิลลา พักไว้ ร่อนแป้งเค้ก ผงโกโก้ ผงฟู เบกกิงโซดา และเกลือลงในชามผสม ใส่น้ำตาลทรายและคุกกี้บดตามลงไป ใช้ตะกร้อมือคนให้กระจายทั่วดี ผสมซาวร์ครีม น้ำมันรำข้าว และไข่ไก่ให้เข้ากัน ใส่ลงในส่วนผสมของแห้ง ตามด้วยส่วนผสมกาแฟ คนให้เข้ากัน ตักส่วนผสมลงในถ้วยคัปเค้กที่เตรียมไว้ 50 กรัมต่อชิ้น นำเข้าเตาอบ 18 นาทีหรือจนสุกดี พักให้เย็นลง เตรียมบัตเตอร์ครีมโดยตีเนยให้นุ่มดี ใส่น้ำตาลไอซิงและวานิลลา ตีจนส่วนผสมมีลักษณะฟูเบา ใส่คุกกี้บด คนให้กระจายทั่วดี ใส่ถุงบีบ บีบบัตเตอร์ครีมลงบนหน้าคัปเค้ก แล้วนำไปพักในตู้เย็น 15 นาที นำดาร์กช็อกโกแลตใส่ชามผสม นำเข้าไปละลายในไมโครเวฟ ใส่น้ำมันรำข้าว คนให้เข้ากัน ใส่ถุงบีบ บีบดาร์กช็อกโกแลตลงบนบัตเตอร์ครีมที่เย็นดี นำไวต์ช็อกโกแลตใส่ชามผสม นำเข้าไปละลายในไมโครเวฟ ใส่น้ำมันรำข้าว คนให้เข้ากัน ใส่ถุงบีบ บีบทับลงบนดาร์กช็อกโกแลต โรยด้วยคุกกี้บดเล็กน้อย พักให้เซ็ตตัวดี พร้อมรับประทาน