ฉัน – (CHUNN) ร้านข้าวหน้าเนื้อที่เกิดจากความชื่นชอบในการกินเนื้อของเจ้าของร้าน “คุณโจ๊ก” ตั้งแต่สมัยเรียน จนฝันอยากจะมีร้านข้าวหน้าเนื้อที่กินง่าย ในราคาสบายกระเป๋า เป็นร้านที่ตอบโจทย์คนชอบกินเนื้อคู่กับน้ำจิ้มรสไทยๆ อร่อยไม่พอ ยังได้นั่งเสพบรรยากาศวินเทจจากข้าวของ และรูปภาพงานศิลปะในร้าน เหมาะกับสายอาร์ตมากๆ สุดท้ายความฝันของเขาก็กลายเป็นจริง กลายมาเป็นร้านฉัน (CHUNN) ที่เปิดให้ผู้คนเข้าไปในโลกความฝันของคนชอบกินเนื้อเหมือนกัน ก่อนอื่น เมื่อเดินเข้าไปในร้าน จะเห็นงานศิลปะเรียงรายตลอดทาง เหมือนเข้ามาในหอศิลป์อย่างไรอย่างนั้น เมนูส่วนใหญ่ของร้าน จะเป็นเนื้อที่ถูกสร้างสรรค์ออกมาในแบบต่างๆ เช่น Beef BBQ บาร์บีคิวเนื้อเสียบไม้ กินง่าย ปรับให้เข้ากับคนไทยมากขึ้นโดยเสิร์ฟพร้อมปลาร้าบอง อร่อยนัว ถูกใจสายแซ่บแน่นอน Beef Tartare เมนูที่เหนือความคาดหมายมาก เพราะการนำเนื้อดิบมากินคู่กับผลไม้อย่างแอปเปิลและสาลี่ ฝานเป็นเส้นๆ ดันเกิดเป็นความลงตัวขึ้นมา จากกลิ่นของเนื้อที่ถูกเติมเต็มด้วยรสหวานของผลไม้ CHUNN Steak เนื้อเทนเดอร์ลอยน์ที่ถูกนำมาย่างจนได้กลิ่นหอม สไลด์เป็นชิ้นๆ มาให้เรียบร้อย เนื้อกินได้พอดีคำ เคี้ยวสนุก แต่มาร้านฉันทั้งที จะพลาดเมนูนี้ได้ไง CHUNN Beef Rice Bowl เมนูซิกเนเจอร์ที่ขาดไม่ได้เลยของร้านฉัน เสิร์ฟเนื้อย่างสไลด์โปะบนข้าวและโรยกระเทียมเจียว ตามด้วยไข่แดงของไข่เป็ดปิดท้ายไว้ข้างบนสุด เวลากิน คลุกเคล้าทุกอย่างให้อยู่ในคำเดียวกันจะยิ่งฟินอย่าบอกใคร   ส่วนถ้าใครอยากลองเปลี่ยนจากข้าวหน้าเนื้อย่าง เป็นข้าวหน้าหมูย่างบ้าง ที่นี่ก็มีให้เลือกเหมือนกัน CHUNN Pork Rice Bowl ข้าวหน้าหมูย่าง หมูย่างมาอย่างดี เคี้ยวไปแล้วไม่รู้สึกว่าเหนียวเลย ระหว่างนี้ก็ซดซุปกิมจิเต้าหู้ใส่เนื้อ รสชาติเข้มข้นไปด้วย อร่อยขึ้นไปอีกขั้น! เติมไฟเบอร์ให้ร่างกายด้วย CHUNN Salad สลัดของที่นี่ก็อร่อยสดชื่น และจานใหญ่ใส่ผักมาพูนๆ พร้อมราดน้ำสลัด Balsamic มา รสชาติจี๊ดจ๊าด กินเนื้อไปด้วย กินสลัดไปด้วย อร่อยและได้สารอาหารเต็มๆ แน่นอน การได้กินเนื้อในบรรยากาศร้านที่อบอุ่น และตกแต่งด้วยสไตล์วินเทจ มีงานศิลปะให้ดูเพลินๆ เคล้าคลอกับเสียงเพลง ยิ่งทำให้มื้ออาหารครั้งนี้เต็มไปด้วยความสุข   ร้าน "ฉัน" ใกล้ใคร แนะนำให้ไปที่ร้านนั้น สาขาเอกมัย (สุขุมวิท 61) สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว สาขาเมกาบางนา

สำหรับเรา Artlicious ไม่ได้เป็นเพียงร้านอาหารไฟน์ไดนิงสุดหรู แต่คือประสบการณ์มื้อพิเศษในแบบ Immersive Experience Dining ที่นำเทคโนโลยีแสง สี เสียงสุดล้ำมาเล่าเรื่องราวร้อยเรียงไปพร้อมกับมื้ออาหารตั้งแต่ต้นจนจบทั้ง 8 คอร์ส ชนิดที่เราไม่อาจละสายตาได้แม้เพียงเสี้ยวนาที คอนเซ็ปต์ของร้านคืออาหารไทยโบราณที่ตีโจทย์ใหม่ให้น่าสนใจและทันสมัยยิ่งขึ้น ผสมผสานวัตถุดิบของไทยและต่างประเทศ ร่วมด้วยเทคนิคอันแพรวพราวของเชฟ เสิร์ฟในภาชนะที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ คอร์สแรกเริ่มเปิดต่อมรับรสด้วย 3 นครา เมนูกินเล่น 3 อาณาจักรไทย ได้แก่ สุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วยม้าฮ้อ เมี่ยงบัว และหมูโสร่ง คอร์สถัดมาคือ พรานไพร หรือก้อยเนื้อชาละวัน รสชาติจัดจ้านแบบไทยแท้แต่ใช้วัตถุดิบจากญี่ปุ่น เพิ่มความสดชื่นด้วยว่านหางจรเข้ เสริมด้วยไข่แดงนกกระทาที่ช่วยเพิ่มมิติของรสชาติ ต่อด้วย อุดมธารา หรือต้มโคล้ง ซุปที่เคี่ยวรวมสมุนไพรหลายชนิดรวมกับกังป๋วย พระเอกคือหอยโฮตาเตะเนื้อแน่นหนึบ เชฟเพิ่มกิมมิกสนุกๆ ด้วยน้ำมะนาวในขวดใบจิ๋วให้เหยาะเพิ่มรสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดได้ตามชอบ ต่อด้วย ไกลบ้าน หรือข้าวซอยเป็ดกงฟี ข้าวซอยของไทยจับคู่กับน่องเป็ดกงฟีซึ่งเป็นเทคนิคแบบฝรั่งเศส ร่วมด้วยเส้นโซเมนจากญี่ปุ่น แม้จะรวมวัตถุดิบจากแดนไกล แต่กลมกล่อมแบบไทยไม่ผิดเพี้ยน ชื่นกลิ่น การรวมตัวของส้ม 2 สายพันธุ์ ได้แก่ ซันควิด และยูซุ ที่มีรสหวาน เปรี้ยว และกลิ่นหอมเฉพาะตัว กินแล้วสดชื่น การเดินทางใกล้ถึงบทสรุป เชฟจึงส่งเมนู นักเดินทาง มาให้เราลิ้มรส คอร์สนี้เป็นกุ้งเผาเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม 3 รสชาติ ได้แก่ น้ำจิ้มพริกเกลือ น้ำจิ้มน้ำปลาหวาน และน้ำจิ้มน้ำปลามะกอกป่า เสริมทัพด้วยข้าวหอมมะลิผัดกับกากหมู พริกขี้หนู หอมแดง และใบมะกรูด รสชาติของข้าวผัดนั้นจับใจ อยากให้ทุกคนได้ลิ้มลองจริงๆ จบของคาวแล้ว ล้างปากด้วย คำหวาน ขนมปังเสียบไม้กับสังขยาสายรุ้ง ตกแต่งงดงามราวงานศิลป์ สมดังคำว่า สวยรูป จูบหอม เราขอเพิ่มอีกหน่อยว่า อร่อย อีกด้วย และ ทุ่งอรุณ ของหวานที่มีองค์ประกอบหลากหลาย เริ่มจากข้าวโพดข้าวเหนียวที่เคี้ยวหนึบมากกว่าข้าวโพดชนิดอื่น เครปไส้ข้าวเหนียวและมะพร้าวขูด ไอศกรีมกะทิ และครัมเบิ้ลมะพร้าว   มากกว่ารสชาติที่ซึมซ่านผ่านลิ้น  คือสตอรี่ที่หลอมรวมอรรถรสไว้ครบจบที่ 8 คอร์ส

ก่อนที่จะพาทุกคนมาร่วมดินเนอร์ในครั้งนี้ เราต้องขอร่วมแสดงความยินดีกับเชฟทั้ง 2 ที่พึ่งจะเข้าพีธีวิวาห์เมื่อไม่นานมานี้ หลายคนคงได้ยินชื่อเสียงของร้าน Mia (มีอา) มาไม่มากก็น้อย แต่เมื่อล่าสุดร้านแห่งนี้ได้ดาวมิชลินสตาร์มาไว้ครอบครองเป็นที่เรียบร้อยนำทีมโดยเชฟท็อป-พงศ์ชาญ รัสเซลดีกรีเชฟไทยคนแรกที่ได้มิชลินสตาร์ที่ทำอาหารเวสเทิร์น และแฟนของเชฟท็อปเชฟมิเชล โก เชฟหญิงมาเลเซียผู้รังสรรค์ขนมหวานที่ทำให้หลายคนติดใจในรสชาติกันแบบปากต่อปาก บ้านหลังสีฟ้าหลังใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพตั้งแต่หัวเรือใหญ่อย่างเชฟท็อปและเชฟมิเชล ไปจนถึงทีมงานทีซัพพอร์ตร่วมกัน เชฟท็อปได้เล่าเรื่องราวและความภาคภูมิใจให้เราได้ฟังว่า “เราค่อนข้างเข้มข้นกับการทำงานเป็นอย่างหนัก ผมเป็นคนที่บ้านชอบทำอะไรต้องทำให้มันไปถึงที่สุด เราต้อมงมีคุณภาพพร้อมทั้งรสชาติและการทำงาน เพื่อที่จะรังสรรค์รสชาติอาหารตะวันตกในแบบดั้งเดิมได้อย่างดีเยี่ยม แล้วจึงนำออกมาผสมผสานกับความสร้างสรรค์จนเกิดเป็นอาหารแนวโมเดิร์นยูโรเปียนได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเหตุที่คว้า 1 ดาวมาครอบครองได้ในปีนี้ และเราก็จะพยายามให้มากขึ้นอีกต่อๆ ไป” Mia Restaurant นำเสนอ Taste of Mia” เทสติ้งเมนูแรกหลังจากได้ดาวมา ซึ่งครั้งนี้เราได้ไปลิ้มลองทั้งหมด 8 คอร์ส พร้อมไวน์แพร์ริงโดยเริ่มจากคำแรก Chill Crab เเรงบันดาลใจจากแป้งทอดของสิงคโปร์ซึ่งเป็นที่แรกของเชฟทั้ง 2 ได้เจอกันนำมาดัดแปลงโดยใช้แป้งโมจิทอด สอดไส้ชีสกรูแย ท็อปด้วยสลัดเนื้อปู ต่อด้วย Cocollos Oyster เนื้อหอยนางรมเสิร์ฟแบบเย็นคู่กับกรานิตาเสาวรส และน้ำมันพริก ให้ความครีมมีและสดชื่น เบาๆ ต่อมา Duxelle Tarte ทาร์ตเห็ดเสิร์ฟกับซอสฮอลันเดสที่ทำเป็นโฟมด้านบน ท็อปด้วยทรัฟเฟิลสไลซ์แบบพูนๆ และ Mia Chicken Waldorf Salad สลัดไก่วอลดอร์ฟ และ Taramasalata ทาร์ตถั่วลูกไก่กับปลาเทาร์ตวึ่งซ่อนอยู่ด้านใน ท็อปด้วยเจลลีดาชิและไข่ปลาแซลมอน Sourdough Brioche หรือขนมปังบรียอชไฮบริด ขนมปังที่เกิดขึ้นจากเชฟทั้ง 2 พบกันที่ประเทศสิงคโปร์ ทำให้ขนมปังก้อนนี้เป็นมากว่าขนมปังธรรมดาเพราะเล่าถึงเรื่องราวที่ทำให้ได้พบกัน และเป็นสตาร์ตเตอร์ในการทำให้กับขนมปังก้อนนี้ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ‘’HOW IT STARTED WITH A STARTER’ ขนมปังเสิร์ฟมาพร้อมกับเนยหัวหอมเผา รสเข้มข้น นอกจากจะอร่อยเเล้วยังได้โปสการ์ดรูปคู่ของเชฟทั้ง 2 พร้อมกับเรื่องเล่าที่มาของขนมปังก้อนนี้ไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย สำหรับ Cold Starter เริ่มด้วย Hokkaido Scallop , Blue Fin Tuna , Truffle Ponzu และ Caviar N25 จานนี้บอกเลยว่าตกหลุมรัก เนื้อหอยเชลล์และเนื้อปลาทูน่าในจานเย็น เสิร์ฟในน้ำทรัฟเฟิลพอนซึ ด้านข้างเป็นหัวโคลราบิสไลซ์ดอง (Kohlrabi) ดัดเป็นรูปดอกไม้ ท็อปด้วยคาเวียร์แบบพูนๆ Cured Hamachi ปลาฮามิจิหมักเสิร์ฟกับหัวโคราบิสไลซ์ กินคู่กับวาซาบิซอเบ ให้ความสดชื่น ตกแต่งด้วยผักท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งเชฟเเนะนำให้ค่อยๆ กินกับผักเเต่ละชนิดจะได้รสชาติที่เเตกต่างกัน หลังจากจบ Cold Starter แล้วก็ต่อด้วย Hot Starter กันอย่างต่อเนื่อง Smokef Eel Chawanmushi | Bone Marrow | Ikura ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนผสมกับเนื้อปลาไหลสโมก เสิร์ฟมาในถ้วยเล็กแต่มากด้วยรสและสัมผัส เพราะว่าเชฟใส่ไขกระดูกวัวเพื่อเพิ่มความครีมมีไปอีกขั้น และสตาร์ตเตอร์อีกจาน Aged Stone Bass | Shell Fish | Thai Sweet Basil ปลาบาสเชฟนำไปเอจจิงจนเนื้อแน่ เสิร์ฟคู่กับซอสครีมและสลัดส้มโอ ตัดเลี่ยนด้วยเจลมะนาว จริงๆ แล้วทั้ง 2 จานนี้ก็มีกลิ่นอายของความเป็นไทยซ่อนเอาไว้อยู่ สำหรับจานหลักสามารเลือกได้ทั้งไก่และเนื้อวัว เราเลือกเป็น 48 Hours Braised Beef Short Rib เนื้อชอร์ตริบย่าง เนื้อนุ่ม เสิร์ฟคู่กับมะเขือเเละผักเคลทอด ราดด้วยจูว์รสเข้มข้น หรือสำหรับคนที่กินเนื้อก็เป็น Grain Fed Baby Chicken | Parsnip | Albufera Sauce ไก่ที่ถูกเลี้ยงด้วยัญพืชเนื้อนุ่ม ใต้หนังไก่สอดไส้ด้วยมูสเนื้อเนียน กินคู่กับซอสอัลบูเฟรา รสครีมมี โรยด้วยทรัฟเฟิลแบบจุใจ ปิดท้ายด้วยการเสิร์ฟคองซอมเมให้คลายท้อง พร้อมสำหรับของหวาน เดินทางมาสู่คอร์สสุดท้ายปิดท้ายด้วยขนมหวานจากเชฟมิเชล Shine Muscat Sorbet ซอร์เบองุ่นไซมัสคัตเสิร์ฟพร้อมกับไอศกรีมโยเกิร์ตและทารากอน และซิกเนเจอร์ Mia Cereal Bowl ซีเรียลอาหารเช้ารสชาติที่คุ้นเคยแต่มากด้วยเทคนิก และเสิร์ฟมาในหน้าตาพรีเมียม สำหรับคนที่ชื่นชอบชาเขียนต้องสั่ง! Matcha Ice Cream | Almond | Mascarpone ไอศกรีมชาเขียวรสเข้มข้น แพร์ริงกับเบียร์เมลอน หอมหวาน หน้าตาและรสชาติของอาหารสมกับ 1 ดาวมิชลินสตาร์ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่ดี และเราขอเป็นกำลังใจให้สำหรับดาวดวงต่อไป

ALT Dry Age ร้านอาหารใหม่ล่าสุดของคู่รักมาสเตอร์เชฟ เชฟแก้ว - ปวีณ์นุช ยอดปรีชาวิจิตร และเชฟสัญ - เวชกร เจริญปัญญาวุฒิ ซึ่งชื่นชอบการกินเนื้อเป็นทุนเดิมและอยากมีร้านเนื้ออร่อยๆ เป็นพื้นที่สำหรับแบ่งปันความอร่อยของ "เนื้อดรายเอจ" ให้คนรักเนื้อได้ลิ้มลอง จึงชักชวนเพื่อนฝูงอีก 2 คน คือ คุณปิ๊ง - วรัชญ์ รัตนศิริวิไล และคุณน้ำอบ - ศุทธิดา วงศ์เทียมชัย มาเปิดร้าน ALT Dry Age ในซอยสาทร 12 ร่วมกัน โดยความหมายของชื่อร้านคือเคล็ดลับความอร่อยที่เชฟทั้งสองภูมิใจนำเสนอ เพราะคำว่า “ALT” มาจากภาษาเยอรมัน แปลว่าเก่าแก่ (Old) ส่วน “Dry Age” เป็นวิธีการเก็บรักษาเนื้ออย่างหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ากรรมวิธีเก็บรักษาเนื้ออันเก่าแก่ที่มีมาอย่างยาวนานจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ความอร่อยให้กับมื้ออาหารที่ ALT Dry Age นั่นเอง บรรยากาศภายในร้านให้ความรู้สึกอบอุ่นด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นหลัก วางโชว์ตู้เนื้อดรายเอจไว้ตั้งแต่บริเวณประตูทางเข้า เชฟเล่าว่าหลังจากลงทุนซื้อตู้ Dry Age มา ทุกคนในร้านก็ช่วยกันค้นหาสูตรการ Dry Age พยายามลองผิดลองถูกหลายครั้งว่าควรจะใช้เวลานานเท่าไร จนพบว่า เนื้อที่นุ่มเด้ง รสชาติเข้มข้น และไม่ทิ้งกลิ่นคาว คือเนื้อที่ผ่านกระบวนการดรายเอจมานาน 30 และ 45 วัน ออกมาเป็นเมนูที่เชฟอยากแนะนำให้ลิ้มลองกัน อาทิ 30-Day Dry Aged Striploin สเต๊กเนื้อ Striploin เมนูซิกเนเจอร์ของร้าน ใช้เนื้อไทยวากิวดรายเอจมาแล้ว 30 วัน ทำให้ได้กลิ่นและรสชาติของเนื้อแบบเต็มๆ ยิ่งกินคู่กับซอสยิ่งฉ่ำ ตัดรสด้วยกระเทียมดำรสหวานมันและวาซาบิดองเผ็ดซ่าถึงใจ สำหรับใครที่เพิ่งลองกินเนื้อดรายเอจครั้งแรก เชฟแนะนำให้เริ่มที่เนื้อดราย 30 วันก่อน และหากคุ้นเคยแล้วอยากลิ้มลองเนื้อที่มีกลิ่นรสหนักแน่นยิ่งขึ้นก็ลองสั่งเนื้อดรายเอจ 45 วันได้เลย นอกจากเนื้อ ทางร้านยังมีปลาฮามาจิดรายเอจด้วย กับเมนู Aged Hamachi Ceviche ผสมผสานระหว่างสไตล์ยุโรปและญี่ปุ่น เสิร์ฟพร้อมซอส Dill Oil และครีมสด สีสวยงามน่ากินมากๆ เนื้อปลาที่ดรายเอจแล้วให้สัมผัสเด้งเคี้ยวหนุบชวนฟินยิ่งกว่าเดิม และยังเข้ากับซอสได้ดีมาก Golden Foie Gras Burger เบอร์เกอร์ฟัวกราส์ ที่แพตตี้ทำจากเนื้อดรายเอจเข้มข้นสับแบบยังใีเท็กซ์เจอร์ สลับชั้นกับหัวหอมผัดและซอสมัลเบอร์รี ทอปด้วยฟัวกราส์ชิ้นหนานุ่ม นอกจากจะอร่อยชุ่มฉ่ำแล้ว หน้าตาก็ยังหรูหรา เพราะโรยด้วยแผ่นทองมาบนขนมปังบริยอชนุ่มๆ ด้วย Dry Aged Meatball Pasta สปาเกตตีมีตบอลรสชาติเข้มข้น มีความพิเศษตรงที่ใช้มีตบอลไทยวากิวดรายเอจ ทำให้ได้รสสัมผัสนุ่มๆ แน่นๆ เคี้ยวสนุกเต็มปากเต็มคำ มาถึงเมนูสายสุขภาพกันหน่อยกับ Burrata Salad สลัดชีสบูร์ราตาสดจากอิตาลี กินพร้อมผักสลัด ผลไม้ฉ่ำน้ำอย่างแอปเปิล วอลนัต และน้ำสลัด Balsamic Glaze ให้รสชาติสดชื่น ปิดท้ายด้วยของหวาน Homemade Fudge Brownie บราวนี่เนื้อฟัดจ์ที่ทางร้านตั้งใจใช้ดาร์กช็อกโกแลต 70% รสชาติจึงออกมาเข้มข้น ไม่หวานมาก และได้เนื้อช็อกโกแลตเน้นๆ แน่นๆ ออกขมนิดๆ ตัดกับรสหวานกลมกล่อมของไอศกรีมเฮเซลนัตได้อย่างลงตัว แน่นอนว่าการดรายเอจเนื้อย่อมใช้เวลามากกว่า แต่พอได้เนื้อรสชาติแสนอร่อยออกมาแล้ว ก็ถือเป็นการรอคอยที่คุ้มค่าไม่ใช่น้อยเลยล่ะจะบอกให้

ร้านอาหารเม็กซิกันเปิดใหม่! ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์นักมวยปล้ำชื่อดังจากเวทีมวยระดับโลก El Santo (เอล ซานโต) นักมวยปล้ำผู้ซ่อนตัวภายใต้หน้ากากสีเงินที่ช่วยสร้างคาเรกเตอร์อันดุเดือดและน่าเกรงขามในยามขึ้นชกบนสังเวียนมวย (lucha Libre) จนกลายเป็นที่รู้จักในวงการนักมวยปล้ำและเป็นที่มาของชื่อร้านแห่งนี้ แม้จะตั้งอยู่ในโรงเเรม Novotel Living Bangkok Sukhumvit Legacy แต่บรรยากาศร้านแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเเสงสีและสีสันที่ฉูดฉาด เเสดงถึงความสนุกสนานตลอดเวลา เคล้าคลอไปกับเสียงเครื่องดนตรีบรรเลงที่เร้าใจจนทำให้เเทบอดใจลุกขึ้นเต้นไม่ไหว ภายในร้านโดดเด่นด้วยภาพวาดนักมวยปล้ำและหัวกะโหลก ถือเป็นอีกหนึ่งสเน่ห์ของวัฒนธรรมชาวเม็กซิกันที่เรียกว่า "Dia de Los Muertous" หรือวันเเห่งคนตาย ตัวร้านมีทั้งโซนด้านในเเละด้านนอกให้เลือกนั่งได้ตามสบาย ไม่ว่ามุมไหนๆ ก็ดูสนุกไม่มีเบื่อ นอกจากโซนห้องอาหารแล้ว โซนเอาต์ดอร์ก็ตกแต่งด้วยสีสันจัดจ้านไม่แพ้ด้านใน ทำให้ได้อีกมู้ดสำหรับนั่งเพลินๆ ฟังเสียงดนตรีเม็กซิกันที่บรรเลงจังหวะเเบบไม่มีหยุดหย่อน สำหรับสายดื่มก็ไม่ควรพลาดเช่นกัน เพราะที่โซนเคาเตอร์บาร์ซึ่งตกแต่งอย่างเท่และแฝงความดุดัน เหมาะแก่การสั่งเครื่องดื่มชื่อโหดๆ มาลิ้มลองอย่าง ON THE ROPES ค็อกเทลที่อินฟิวส์พริกสเปน (Ancho Pepper) กับเหล้าเตกิลา มาซคาล (Mezcal) ผสมกับน้ำมะพร้าว ตะไคร้ และน้ำมะนาวได้กลิ่นหอมสดชื่น และ CHEATING DEATH เหล้าเตกิลาอินฟิวส์กับพริกปาซิลลา (Pasilla Chilla) ผสมกับเสาวรส เกรปฟรุต ให้ความสดชื่นได้เป็นอย่างดี เมนูอาหารที่ El Santo นำเสนอสูตรต้นตำรับรสจัดจ้านตามแบบฉบับของคนเม็กซิกัน รังสรรค์โดยเชฟ Daniel Calderón Camacho เชฟชาวเม็กซิกันโดยเเท้ เริ่มด้วย Ceviche Maya เซบิเชปลากระพงราดด้วยซอสบีตรูตผสมกับพริกฮาลาเปโย กินคู่กับ Maya Sauce ซอสท้องถิ่นสีม่วงสวยทำจากหัวบีทรูต รสเปรี้ยวหวานและเผ็ดอ่อนๆ เข้ากันได้ดีกับเนื้อปลาดิบ ต่อด้วย Panuchos De Cochinita Pabil แป้งคอร์นตอร์ติญาทอดกรอบทอปด้วยเนื้อหมูอบนุ่มๆ เสิร์ฟพร้อมกล้วยไข่และซัลซา Tacos De Carnitas แป้งทาโก้เนื้อเป็ดที่่เชฟนำไปกงฟีนานกว่า 4 ชั่วโมงจนเนื้อนุ่มและชุ่มฉ่ำ ราดด้วยซอสอะโวคาโด รสเข้มข้น กินคู่กับเครื่องเคียงต่างๆ และ Chalupitas De suafero คอร์นตอร์ติญาเสิร์ฟพร้อมกับเนื้อวัวตุ๋น เนื้อนุ่มและชุ่มฉ่ำ ท็อปด้วยซัลซา เจอร์กิน หอมแดง และผักชี เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสอะโวคาโด Quesa-Biria แป้งตอติลญาที่อัดเเน่นไปด้วยเนื้อวัวส่วนชอร์ตริบส์ มาพร้อมกับเครื่องเคียงต่างๆ เช่นหอมแดง ผักชี และน้ำซุปวัวรสเข้มข้น เพียงได้ลิ้มรสก็รู้สึกถึงช่วงเวลาที่ใช้เคี่ยวกระดูกเป็นเวลานานเลยทีเดียว ปิดท้ายแบบคูลๆ ด้วยการสั่ง เตกิราช็อต เสิร์ฟบนสังเวียนมวย พร้อมกับกล่าวคำว่า ซาลู้ต!

เชื่อว่าใครหลายคนคงคุ้นเคยกับร้านอาหารเช้าที่เป็นตำนานความอร่อยกว่า 70 ปีอย่าง โกปี๊เฮี้ยะไถ่กี่ ที่ล่าสุดทำการเปิดสาขาใหม่ในบ้านหลังเก่าสุดคลาสสิค ซึ่งมาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ชวนอบอุ่น 'อยากให้ทุกคนมานั่งล้อมวงทานข้าวด้วยกัน' สำหรับจุดเด่นของสาขานี้ยกให้ตัวร้านพื้นที่กว้างขวางที่ออกแบบมาในสไตล์โมเดิร์นเฮอร์ริเทจ โดยเราจะได้ผ่อนคลายไปกับพื้นที่สีเขียวและวิวน้ำตกที่ทางร้านเนรมิตขึ้นมาอย่างสวยงามสมบูรณ์แบบ ซึ่งมีทั้งโซนอินดอร์ห้องแอร์เย็นสบายและโซนเอาท์ดอร์ให้รับลมธรรมชาติ ในส่วนของเมนูอาหารทางร้านยังเน้นเสิร์ฟเป็นเซ็ตอาหารเช้ากินง่าย เพิ่มเติมด้วยหลากหลายเมนูกับข้าวเพื่อตอบโจทย์กลุ่มครอบครัวให้มากขึ้น อาทิ โรตีแกงเขียวหวานไก่ (168.-) แป้งโรตีกรอบฟูทานคู่กับแกงเขียวหวานจากเครื่องแกงสูตรเฉพาะของร้าน ตัดความเข้มข้นด้วย แกงจืดเกี๊ยมบ๊วยหมูสับ (328.-) ซุปรสชาติเปรี้ยวนิดเค็มหน่อย กินกับหมูสับชิ้นโตซดแล้วคล่องคอ ต่อด้วยเซ็ตอาหารเช้า ชุดไข่กระทะครบสูตร (158.-) ประกอบด้วย ไข่ลวก ขนมปัง และเครื่องดื่ม เราเลือกเป็นชาเฟ กาแฟรสเข้มปานกลางที่ผสานมากับชาซีลอนหอมกรุ่นอิ่มอร่อยสบายท้อง ปิดท้ายที่ของหวาน เค้กปลากริมไข่เต่า เค้กชิฟฟอนนุ่มฟูสลับชั้นมากับกะทิและแป้งปลากริม กินด้วยกันในหนึ่งคำ อร่อยละมุนลิ้นสุดๆ

‘อาหารของแม่คือรสชาติที่ลูกๆ ทุกบ้านกระหายอยากจะกิน’ Mother BKK จึงตอบโจทย์ปัญหานี้ด้วยการดึงไอเดีย รสมือแม่ มารังสรรค์ใหม่เป็นอาหารไทยร่วมสมัย ที่หยิบใช้วัตถุดิบคุณภาพจากหลากหลายแหล่งมาก่อร่างสร้างจานอร่อยในสไตล์ Asian twist เสิร์ฟภายใต้บรรยากาศสบายๆ มีความโคซีและเป็นกันเองบนถนนเจริญกรุง สำหรับเมนูอาหารทาง เชฟคุณ-อภิศม์ เจษฎาพร และ เชฟเติ้ล-กรณัฎฐ์ รอบคอบ ตั้งใจนำเสนอเมนูในความทรงจำของแต่ละครอบครัว ด้วยรสชาติที่ทุกคนคิดถึง แต่จะนำเสนอในรูปแบบใหม่โดยใช้เทคนิคทันสมัยเข้ามาช่วยดึงจุดเด่นของเมนูนั้นๆ ออกมาให้เด่นชัดขึ้น เพื่อให้ผู้มาเยือนรู้สึกเข้าถึงง่ายเหมือนได้นั่งรับประทานอาหารฝีมือของคุณแม่ที่บ้านของตัวเอง โดยสามารถเลือกได้ว่าจะกินแบบอะลาคาร์ตหรือเป็นคอร์ส หากพูดถึงดีไซน์ของร้านก็ยังคงคอนเซ็ปต์ตามคำว่า Mother ซึ่งมาจาก Mother Nature หรือผู้ให้กำเนิดเหล่าสรรพสิ่งในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ และไม้ งานอินทีเรียจึงออกแบบให้ล้อไปกับธาตุทั้ง 5 ตั้งแต่ประตูทางเข้า จะเห็นได้ว่าทางร้านใช้สีเอิร์ธโทนมีความโฮมมี ประกอบกับผนังซึ่งมีเท็กซ์เจอร์เหมือนหินและดิน มีเพดานสูงทำให้อากาศปลอดโปร่งแทนธาตุลม ตรงกลางร้านเป็นส่วนของครัวเปิดหรือพื้นที่ที่ใช้ไฟบรรจงปรุงแต่งอาหาร แต่เมื่อเดินผ่านครัวขึ้นไปยังชั้นลอยจะพบกับบาร์เครื่องดื่มซึ่งเป็นตัวแทนของน้ำ ส่วนธาตุไม้ทุกคนจะพบเจอตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์และรากไม้ซึ่งเป็นแชนเดอเลียร์ห้อยโดดเด่นอยู่กลางร้าน สำหรับเมนูอาหารเชฟเติ้ลได้ให้คำนิยามว่า ‘คนกินต้องรู้ว่าร้านเสิร์ฟเมนูอะไร ถ้าหลับตากินแล้วไม่รู้ ลืมตามองก็ต้องรู้ แต่ถ้าภาพไม่ได้ ให้รสชาติเป็นตัวเฉลย ไม่ว่าเมนูไหนก็ต้องมีแก่นสักอย่างให้คนที่กินจับได้ เพราะทางร้านต้องการให้คนกินร่วมสนุกไปกับพวกเขา เริ่มต้นที่เมนูอะลาคาร์ตอย่าง ขนมครกหลนปู เมนูเรียกน้ำย่อยขายดี เป็นแป้งขนมปังบริออชที่เชฟใช้กะทิแทนนม ท็อปด้วยเนื้อปูและมูสหลนปูที่ทำจากปูเค็มผสมกะทิ ตัดรสชาติด้วยหอมแดง ได้กลิ่นหอมของกะทิและคาราเมลเต้าเจี้ยว ช่วยเปิดต่อมรับรสได้ดีมาก ต่อด้วยซิกเนเจอร์ของร้าน ข้าวหน้าปลาแกะ ข้าวหอมมะลิคลุกซีอิ๊วขาว(เหมือนแม่ทำให้กินตอนเด็กๆ) เสิร์ฟคู่ปลากะพงทอด หอมเจียวและยำสลัดผัก 3 อย่างคือ ผักชี ผักชีลาว และโหระพา ได้รสจัดจ้านจากน้ำยำ เหมือนเวลากินข้าวปลาแกะคู่กับพริกน้ำปลารสเด็ด มันกุ้งแม่น้ำย่าง เป็นเมนูในความทรงจำของเชฟเติ้ล เสิร์ฟมาทั้งหัว ด้านในประกอบด้วยซอสมันกุ้งกับเนื้อกุ้งย่าง เพิ่มรสชาติด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บและไข่ปลาแซลมอน แนะนำให้กินคู่ข้าวสวยร้อนๆ รับรองอร่อยเหาะ ตามด้วย เนื้อทอดเต้าเจี้ยว ได้กลิ่นและรสจากซอสน้ำมันพริกที่เคลือบอยู่บนเนื้อทอด กินกับผักกระเฉดผัดซอสเต้าเจี้ยวโฮมเมด เข้ากันได้ดีมาก ถัดมาคือเมนูไฮไลต์ที่เสิร์ฟในคอร์ส ไม่ว่าจะเป็น เย็นตาโฟกุ้ง เป็นกุ้งแม่น้ำย่างเตาถ่าน เสิร์ฟกับผักบุ้งย่าง เผือกทอดที่แทนเกี๊ยวกรอบในเย็นตาโฟ มีเห็ดหูหนูให้เคี้ยวกรึบ วางมาบนซอสเย็นตาโฟสีชมพูที่ทางร้านทำจากเผือกต้ม มีความข้นและหอมมันมาก ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง ขนมเบื้อง ไอศกรีมคาราเมลที่ทำจากน้ำตาลโตนด เคียงมาด้วยร็อกเค้กไส้ขนมเบื้อง ท็อปด้วยครีมเมอแรงก์ และครัมเบิลแป้งกรอบแทนแป้งขนมเบื้อง กินตัดรสกับครัมเบิลไส้เค็มของขนมเบื้อง ได้รสเค็มของเทสกุ้งแห้งตัดกับรสหวานลงตัว และ เยาวราช V.2 ขนมหวานที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเต้าทึง ไอศกรีมนมแอลมอน เสิร์ฟคู่กรานิตาน้ำลำไย คุกกี้งาดำ ลำไยเชื่อม แปะก๊วย แห้ว เจลลี่น้ำจับเลี้ยง และรากบัวทอด สดชื่นมาก (สำหรับขนมหวานทั้ง 2 เมนูนี้สามารถสั่งเป็นอะลาคาร์ตได้) หากไม่รู้ว่าจะสั่งเครื่องดื่มเมนูไหนมาแพงริงคู่กัน เราแนะนำเป็น Aunty ค็อกเทลที่มีเบสหลักเป็นน้ำสมุนไพร ทางร้านใช้น้ำอัญชันผสมวอสก้ากับจิน ให้รสเข้มข้นมาก ส่วนด้านบนเป็นโฟมไข่ขาวช่วยเพิ่มความละมุน และ Little Sis ได้รสและกลิ่นหอมของเสาวรส ได้รสเบาๆ และมีความสดชื่นจากโซดา แม้ว่าหน้าตาจะเปลี่ยนไป แต่รับรองได้ว่ารสชาตินั้นจะเป็นรสที่ทุกคนคุ้นเคยอย่างแน่นอน

ภายในขอบรั้ว ‘บ้านดุสิตธานี’ (Baan Dusit Thani) มีห้องอาหารที่มีชื่อเสียงซ่อนเอาไว้อยู่หลายแห่ง อาทิ ห้องอาหารเบญจรงค์ ดุสิตกรูเมต์ , โนมาดา แบงคอก ( NóMADA Bangkok) และห้องอาหารเธียนดอง (Thien Duong) ห้องอาหารเวียดนามที่รีโนเวตจากห้องเก็บยาอันเก่าแก่กว่า 100 ปี เป็นห้องอาหารเวียดนามสุดอบอุ่น บรรยากาศอันร่มรื่น ปกคลุมไปด้วยร่มไม้ใหญ่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เปรียบดั่งกับความหมายของคำว่า เธียนดอง ซึ่งในภาษาเวียดนามแปลว่า “สรวงสวรรค์” ภายใต้การดีไซน์ด้วยภาพวาดและรูปแบบของโกดังเก็บยาของเครือโอสถสภาเก่าแก่เป็นการผสมผสานของความคลาสสิกและโมเดิร์นเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว สำหรับเมนูอาหารเชฟได้เปลี่ยนทั้งวิธีการเสิร์ฟให้หน้าตาสวยงามและปริมาณที่ให้เพิ่มมากขึ้นอย่างจุใจ คัดสรรและเลือกใช้วัตถุดิบแบบพรีเมียม อีกทั้งยังเลือกใช้วัตถุดิบจากกลุ่มเกษตรกรและแหล่งชุมชนใกล้เคียง เพื่อให้ได้รสาติสดใหม่ อีกทั้งการันตีความอร่อยจากรางวัลมิชลิน Bib Gourmand 3 ปีซ้อน เริ่มด้วยเมนูแรก สลัดเวียดนามหัวปลีไก่และกุ้ง สลัดหัวปลีที่อัดเเน่นไปด้วยผักต่างๆ ถูกในสายเฮลท์ตี้ เช่น ถั่วงอก แครอต หัวปลี นำไปคลุกกับน้ำยำผสมกับงปรุงรสชาติได้อย่างกลมกล่อมผสมงาเเละถั่วลิสง จากนั้นท็อปด้วยกุ้งลวกตัวโต ต่อด้วย กุ้งเเม่น้ำนึ่งกระเทียม จานที่ดูภายนอกอาจจะดูเหมือนว่าธรรมดาเเต่รสชาติจัดจ้าน เพราะว่าเชฟปรุงมาอย่างถึงเครื่อง กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่นึ่งจนเนื้อสุกเด้งกำลังดี ราดมาพร้อมกับน้ำยำรสเปรี้ยวเผ็ดครบเครื่องและ ขนมเบื้องญวน จานนี้มาเเล้วบอกเลยว่าห้ามพลาด เเป้งขนมเบื้องสูตรพิเศษเพราะว่าหนากว่าปกติจากที่เคยกิน ด้านในอัดเเน่นไปด้วยผักและซีฟู้ด กินคู่กับผักดองช่วยตัดรสชาติกันได้ดี และสำหรับใครที่ไปเวียดนามแล้วเคยไปกินพิซซาเวียดนามต้องลอง พิซซาเวียดนามหน้าทะเล แผ่นเเป้งบางกรอบ ท็อปด้วยซีฟู้ดที่เชฟตั้งใจหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จะกัดตรงไหนก็เจอเครื่องท็อปปิ้งเเบบจัดเต็ม เมื่อกินอาหารคาวแล้วก็อย่าลืมปิดท้ายด้วยขนมหวานอย่าง กล้วยหอมทอดเสิร์ฟพร้อมกับไอศกรีมวานิลลา แป้งด้านนอกกรอบและข้างในเนื้อชุ่มฉ่ำ และ รวมมิตรเวียดนาม ก็จบมื้อไปแบบฟินๆ ตัวร้านดีไซน์น่ารักเล่นสีสันดูสนุกสนาน ทำให้เพลินไปกับมื้ออาหารอย่างไม่มีเบื่อ

อารีย์ ซอยที่ไร้ความเงียบเหงา แถมยังคึกคักมากขึ้นด้วยบรรดาร้านอาหารที่ทยอยเปิดใหม่มากมาย ล่าสุด Luigi Bangkok ร้านแคชชวนไดนิง (Casual Dining) ก็เป็นอีกหนึ่งพิกัดที่น่าไปเอนจอยกับมื้ออาหารที่ผสมผสานกันระหว่าง Western และ Japanese ภายใต้บรรยากาศดีๆ ในตึก Vanit Place Aree ศูนย์รวมร้านอาหารแห่งใหม่ของอารีย์ เมื่อขึ้นไปชั้น 2 รับรองว่าต้องสะดุดตากับตัวร้านที่ดีไซน์ด้วยงานไม้เจาะเป็นช่องแสงรูปหกเหลี่ยม ผ่านเข้าประตูไปจะพบกับการตกแต่งที่ทำเอาใจฟูกับสไตล์ที่เรียกว่า Electric Mid-Century European มีความคลาสสิกที่แฝงด้วยความเรียบหรู แต่ยังคงความโคซี่เอาไว้ด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ อีกทั้งรอบๆ ร้านยังประดับประดาด้วยขวดไวน์ชั้นเยี่ยม ซึ่งประกาศเป็นนัยว่าสามารถแพริงควบคู่ไปกับอาหารได้อย่างลงตัว เมนูอาหารก็รังสรรค์ออกมาได้อย่างน่าสนใจในแนว Gastronomic Harmony Dishes หรือการผสมผสานกันระหว่าง ‘Western’ และ ’Japanese’ อย่าพลาด Bite Me อาหารเรียกน้ำย่อย 4 คำ ไม่ว่าจะเป็น Hokkaido Uni, Truffle Bite, 3 Roes และ Tuna Stick แต่ละคำมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ กระตุ้นต่อมอยากอาหารได้เป็นอย่างดี ต่อด้วย Salmon Tartare แซลมอนหั่นเต๋าคลุกเคล้าทาร์ทาร์ซอสสูตรลับ ให้รสเปรี้ยวเค็ม กินกับวาซาบิมัสตาร์ด ครีมอะโวคาโด และคาเวียร์ ช่วยตัดรสชาติ Red En Dive ผักสลัดสดราดน้ำเสาวรส ให้รสเปรี้ยวสดชื่น เพิ่มความหวานหอมและเค็มมันด้วยองุ่นไชน์มัสแคต พิสตาชิโอ และชีส Comté ถัดมาคือ Oceantini เส้นลิงกวินีผัดกับซอสสูตรพิเศษ ได้รสกลมกล่อม ท็อปด้วยฮ็อกไกโดสแกลอปชิ้นโต Sake Dutch Mussels หอยแมลงภู่ฝรั่งเศสเสิร์ฟมาในซุปกลิ่นหอมชวนหิว ด้านข้างมีขนมปังกรอบเคียงมาให้กินคู่กัน อร่อยลงตัว ตามด้วย Gigli Ragu พาสตา Gigli เส้นสด ผัดกับซอสเนื้อรากูรสเข้มข้น เสริมโปรตีนด้วยเนื้อซี่โครงเปื่อยนุ่ม Nippon Tenderloin เนื้อวากิวเทนเดอร์ลอยน์ย่างจนผิวด้านนอกเป็นสีน้ำตาลหอมกลิ่นสโมก แต่เนื้อข้างในยังอมชมพูแถมนุ่มและชุ่มฉ่ำ เคียงมาด้วยหอมเจียว วาซาบิดอง และมันบดเนื้อเนียน กินรวมกันทุกองค์ประกอบอร่อยจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ปิดท้ายด้วย Mille-Feuille แป้งพัฟเพสตรีฟูกรอบ ได้รสหอมหวานจากเนื้อครีมแสนอร่อย ตักเข้าปากพร้อมเบอร์รีสดและซอสบีตรูตฟินไม่น้อย ประทับใจตั้งแต่จานแรกจนจานสุดท้ายเลย

ชวนฟู้ดดี้ไปดินเนอร์ที่ “Tipsy Cow at The Kitchen Table” ร้านอาหารอเมริกันไดเนอร์ของ W Bangkok (BTS ช่องนนทรี) ที่มาในคอนเซ็ปต์ American Cooking Technique เอาใจคนรักสเต็กอย่างเต็มเหนี่ยวด้วยวัตถุดิบชั้นดีจากทั่วทุกมุมโลก ครีเอทโดยเชฟ Steven Kim เชฟใหญ่ประจำโรงแรมฯ แท็กทีมกับเชฟ ธิติกร ชุนอ่อน เชฟผู้ดูและความอร่อยของ The Kitchen Table มาที่ Tipsy Cow at The Kitchen Table แห่งนี้คุณจะได้ลิ้มลองจานเด็ดที่ผ่านเทคนิคการปรุงอาหารแบบ Low - Temp และ Slow – Cook พร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศกว้างๆ แสนหรูหรา ผนังสีเหลืองลายหนังจระเข้สง่างาม ไปด้วยกันได้ดีกับผนังกระจกโฮโลแกรมลายไกรทองแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร โต๊ะสีแดงสดและโซดาหนังหนานุ่ม เฟอร์นิเจอร์คลาสสิกประจำร้านอเมริกันไดเนอร์ จานแรกชิมเป็น Brisket Tacos ทาโก้เนื้อส่วนอกหั่นเต๋ากินง่ายให้สัมผัสแน่นนุ่ม หอมกลิ่นสโมกอ่อนๆ กินกับซัลซ่ามะเขือเทศรสเปรี้ยวสดชื่น หรือซอสกัวคาโมเล่ ที่ได้รสครีมมีของอะโวคาโดเต็มพิกัด ตามด้วยเมนูคลาสสิกอย่าง Caesar ซีซาร์สลัดที่ได้ความกรุบกรอบจากผักสดกินเพลิน อกไก่เนื้อนุ่ม เบคอนทอดกรอบ แองโชวี่รสเค็มได้ที่ คลุกเคล้ากับซอสครีมและโรยด้วยชีสพาเมซาน Meatball Spaghetti สปาเก็ตตีอาเดนเต้เหนียวนุ่ม ผัดพร้อมซอสมะเขือเทศรสเปรี้ยวนิดๆ และมีตบอลโฮมเมดลูกโตๆ พบกับ BBQ Smoked Pork Rib จานซิกเนเจอร์ประจำร้าน ซี่โครงหมูไซส์บิ๊กเบิ้มอาบซอสบาร์บีคิวรสเข้มข้น ย่างบนเถาถ่านหอมฟุ้งชวนลิ้มลอง เสิร์ฟพร้อมซอสมะเขือเทศ สลัดทูน่าควินัว ผักย่างร้อนจี๋ และผักดองโฮมเมด ห้ามพลาด Pulled Pork Pizza พิซซาเตาถ่านในแบบฉบับอิตาเลียน แป้งบางกรอบท็อปด้วยหมูฉีกบาร์บีคิวสไตล์อเมริกันรสเผ็ดร้อน (กำลังดี) ตัดเลี่ยนด้วยผักดองโฮมเมดสีสวย ของหวานเราชี้เป้า Lemon Pie ที่ดึงดูดความสนใจสายหวานด้วยแป้งพัพรูปดอกกุหลาบบางกริบ (คิวท์ๆ) เข้ากันดีกับซอสเลมอนรสเปรี้ยวกลมกล่อม และวิปครีมปุกปุย ต่อด้วย Baked Cheese Cake เนื้อนุ่มเนียนผสานกับรสหอมมันของชีสชั้นดี ยังมีความหอมจากผิวเลมอนและวิปครีมตีสดที่ทำให้สายหวานใจละลาย ปิดท้ายด้วยค็อกเทลดาวเด่นอย่าง Aperol Spritz ที่มีส่วนผสมของสปาร์กลิงไวน์ โซดาซาบซ่าและน้ำส้ม หรือใครไม่ใช่สายดื่มจะสั่ง Spring Breeze ม็อกเทลรสเปรี้ยวสดชื่น ที่ได้จากน้ำมะนาวสด รวมกันกับน้ำผึ้งหวานฉ่ำและชาคาโมมายล์

Lucus Restaurant ร้านใจกลางเมืองพัทยาซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ใหม่ของรีสอร์ต Health Land Resort & Spa ศูนย์รวมความผ่อนคลายที่มีกว่า 10 สาขาทั้งต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ บอกเลยว่าบรรยากาศและร้านสวยมาก คำว่าLucus” ในภาษาละตินแปลว่า “ป่าไม้” หรือ “สวนเล็กๆ” จึงเป็นที่มาของชื่อร้านเพื่อบอกเป็นนัยว่าทุกคนจะได้สัมผัสกับความร่มรื่นอันเขียวชอุ่มที่ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่และโขดหิน เคล้าคลอกับเสียงน้ำตก เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งกรีนโอโซนใจกลางเมืองพัทยาที่คู่ควรแก่การออกมาพักผ่อนเลยก็ว่าได้ ตัวร้านเป็นบ้านหลังสีขาวตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนสีเขียว ตกแต่งสไตล์โคโลเนียลให้ความรู้สึกอบอุ่นและแฝงด้วยความหรูหราทั้งโซนอินดอร์และเอาต์ดอร์ ที่โดดเด่นมาแต่ไกลคือบันไดวนซึ่งจะพาไปพบกับห้องไพรเวตสำหรับเสิร์ฟอาหารสไตล์เชฟส์ เทเบิล และไพรเวตรูมสำหรับใครที่อยากจะมาสังสรรค์กับครอบครัวหรือเพื่อนๆ แถมยังมีบาร์พร้อมเครื่องดื่มสดชื่นๆ ไว้คอยบริการอีกด้วย ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่เน้นเรื่องสุขภาพทั้งด้านร่างกายและอาหารการกินต้องดีและครบครัน ร้านนี้จึงนำเสนออาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน คัดสรรวัตถุดิบแบบคุณภาพ ใส่ใจตั้งแต่เลือกฟาร์มเพาะปลูกต้องเป็นฟาร์มออร์แกนิกและปลอดสาร คงความสดใหม่ ผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถันโดยเชฟฝีมือดี เรียกได้ว่าใส่ใจตั้งแต่ต้นน้ำไปยังปลายน้ำจนเป็นเมนูสุดน่าลิ้มลอง เริ่มที่ไฮไลต์ Caprese with Mango สลัดสไตล์อิตาเลียน ชีสนมควายเนื้อนุ่มเสิร์ฟกับมะเขือเทศเนื้อแน่นหวานฉ่ำ เพิ่มความสดชื่นด้วยเนื้อมะม่วง ต่อด้วย Prawn & Chorizo กุ้งพันด้วยโชริโซย่างให้เนื้อกุ้งสุกกำลังดี ดิปกินคู่กับปาปริกามาโย รสเปรี้ยวและเผ็ดนิดๆ ส่วนจานหลักต้อง Pan-Seared Foie Gras ตับเป็ดย่างเนื้อนุ่มรสครีมมี่ ราดด้วยซอสราสป์เบอร์รีเปรี้ยวหวานกำลังดี กินคู่กับสลัดผักร็อกเก็ต ส่วนคนที่เป็นเนื้อแกะเลิฟเวอร์ต้องสั่ง Rack of Lamb เนื้อแกะที่เลี้ยงในฟาร์มเปิดตามธรรมชาติ นำไปย่างจนเนื้อสุกกำลังดี ยังมีความชุ่มฉ่ำของน้ำไว้อยู่ ราดซอสไวน์แดง รสเปรี้ยวกลมกล่อมกำลังดี เสิร์ฟมาพร้อมกับผักและมันฝรั่งย่าง ร้านสวย อาหารอร่อย เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กถ้าไปพัทยาแล้วต้องไม่พลาด!

 การเดินทางครั้งใหม่ของร้านที่นำเสนออาหารอินเดียทางตอนเหนือแบบไฟน์ไดนิงอย่าง ปัญจาบ กริลล์ (Punjab Grill) ร้านที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยสุขุมวิท 13 ย่านที่เต็มไปด้วยร้านอาหารอินเดียและผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติ ปัญจาบ กริลล์นำเสนอเซ็ตเมนูใหม่ด้วย Tasting Menu จากฝีมือ Chef Bharath S. Bhat ซึ่งคอร์สนี้มีให้เลือกทั้งมังสวิรัติและไม่มังสวิรัติ ในราคาเพียง 1,999 บาท++ต่อคอร์ส ตามไปลิ้มลองได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 บรรยากาศร้านดีไซน์มาพร้อมความหรูหราตื่นตาตื่นใจกับประตูไม้บานใหญ่ซึ่งมีพนักงานในชุดส่าหรีซ่อนอยู่เบื้องหลังคอยยิ้มต้อนรับ ภายในร้านตกแต่งด้วยผ้าลวดลายเอกลักษณ์ของคนอินเดีย พร้อมกลิ่นอายและเสียงเพลงดนตรีสดที่ทำให้เราอินไปกับบรรยากาศได้อย่างน่าประทับใจ ครั้งนี้เราได้ไปลิ้มลองกับเมนูใหม่ที่มีทั้งหมด 6 คอร์ส เริ่มด้วย Burrata Bandal Jam จานเรียกน้ำย่อยอย่างมะเขือย่างกับมะเขือเทศย่างรสเปรี้ยวหวานสดชื่น กินคู่กับชีสบูร์ราตาและเครื่องเทศ ท็อปด้วยแผ่นชีสอบกรอบ ถือเป็นการเปิดมื้อได้อย่างดี Imly Bbq Jheenga จานนี้บอกเลยว่ากินแล้วจะตกหลุมรักเพราะรสชาติคล้ายของไทยเรา กุ้งลายเสือย่างเคลือบซอสมะขามที่ปรุงกับเครื่องเทศ ได้รสชาติเปรี้ยวอมหวานนิดๆ กินคู่กับชัตนีย์สับปะรดได้ความสดชื่นตัดกับรสของเนื้อกุ้งได้อย่างลงตัว เข้าสู่จานหลักที่จัดจานมาอย่างสวยงาม Kesar Malai Murgh เนื้อสะโพกไก่หมักกับเครื่องเทศ แซฟฟรอนและครีมจนเข้าเนื้อแล้วนำมาย่างจนเนื้อนุ่ม ดิปคู่กับซอสแอพริคอทและแซฟฟรอนไอโอรี (Apricot and Aioli Sauce) เบรกความจัดจ้านด้วย Anari Chuski น้ำทับทิมผสมกับเครื่องเทศและเกลือชมพูหิมาลายันคล้ายกรานิตา ให้ความสดชื่นและพร้อมสำหรับจานต่อไป Kashmiri Chaamp Truffle Korma เนื้อซี่โครงแกะจากประเทศนิวซีแลนด์ตุ๋นกับเครื่องเทศ เมล็ดคาร์ดามอม บลูชีส (Blue Cheese Kulchette) และโยเกิร์ตจนเข้าเนื้อ เข้ากับซอสรสชาตินวลๆ หอมกลิ่นเครื่องเทศอ่อนๆ เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวบาสมาติก ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง Aam Kulfi Falooda ไอศกรีมมะม่วงหวานหอมสดชื่น เสิร์ฟมาพร้อมซอสนมกลิ่นหอมรสครีมมี และเส้นหมี่หวาน นอกจากนี้ยังมีเมนูอะลาคาร์ตหลากหลายเมนูให้เลือกสั่งอีกด้วย อย่าลืมสั่ง Chicken Butter สูตรเด็ดของเชฟมาลิ้มลอง บอกเลยว่าอร่อยมาก 

เปิดตัวปังๆ ที่สาทรอย่างสวยงามแล้วก็ตะลุยบุกโลเคชั่นต่างๆ ไม่หยุดหย่อน จนล่าสุด “อันเกิม-อันก๋า” ร้านอาหารเวียดนามเอเชียนซีฟู้ดของคุณปลา -อัจฉรา เจ้าของร้านอาหารเครือ iberry ก็มาบุก Emsphere (BTS พร้อมพงษ์) ห้างฯ ใหม่ย่านพร้อมพงษ์สุดอลังการ ตัวร้านสาขาที่ 4 นี้ยังคงคอนเซปต์การตกแต่งสไตล์เวียดนามเล็กๆ ผสมความเป็นเอเชียน ทั้งสีสันสดใสของเฟอร์นิเจอร์ และงานไม้คลาสสิกเหมือนสาขาใหญ่ที่สาทร   คำว่าอันเกิม-อันก๋า ในภาษาเวียดนามแปลว่า กินข้าว-กินปลา ซึ่งสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของเวียดนาม โดยเฉพาะเรื่องอาหารทะเล เหมือนกับทางร้านที่เสิร์ฟอาหารเวียดนามในหลายๆ ภูมิภาค และนำมาดัดแปลงให้ถูกปากคนไทย รวมไปถึงเมนูซีฟู้ดสดเด้ง ที่รังสรรค์โดย ChefLoi (Trieu Tan Loi) เชฟหนุ่มชาวเวียดนามน้องใหม่ไฟแรง ต้อนรับด้วย ขนมจีนเนื้อย่าง ขนมจีนเหนียวนุ่ม คลุกเคล้าเครื่องเคราต่างๆ อย่าง ผักสด กุ้งแห้ง ถั่วลิสง ขาดไม่ได้คือเนื้อย่างหอมๆ ฉ่ำลิ้น ราดซอสรสเปรี้ยวเข้ากัน ต่อด้วย ขนมถ้วยกรอบกุ้ง ขนมถ้วยเนื้อนิ่มผิวกรอบ หอมกลิ่นขมิ้นอ่อนๆ ท็อปด้วยกุ้งเนื้อหวาน เพิ่มกลิ่นหอมๆ ด้วยกระเทียมเจียว จิ้มซอสรสหวานอมเปรี้ยว ตัดเลี่ยนด้วยผักสดกรุบกรอบ จานหลักเป็น ก๋วยจั๊บญวนหมูรวมมิตร หนึ่งในจานเด็ดของร้าน เส้นก๋วยจั๊บโฮมเมดนุ่มหนึบ เข้ากันดีกับน้ำแกงสูตรลับรสกลมกล่อม หมูยอเนื้อแน่น และกระดูกหมูเนื้อนิ่มแทบละลายในปาก เติมพริกเผาโฮมเมดรสเผ็ดลงไปหน่อย อร่อยอย่าบอกใคร ขนมจีนซุปเนื้อ เมนูน้องใหม่ที่ใครกินต่างก็ติดใจ (โดยเฉพาะคนรักเนื้อ) เส้นขนมจีนสไตล์เวียดนามซู้ดเพลินๆ อยู่ในซุปเนื้อรสเข้มข้นที่ทางร้านเคี่ยวนานกว่า 24 ชั่วโมง   ของหวานเราสั่ง ไอศกรีมผักแพวมะนาว แปลกไม่เหมือนใคร ไอศกรีมมะนาวรสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดผสมผักแพว ผักพื้นบ้านมีชื่อของเมืองไทย กินกับข้าวเกรียบงากรุบกรอบ ในส่วนของเครื่องดื่มต้องนี่  อูเมะโซดา ได้รสหวานอมเปรี้ยวซาบซ่า ถูกใจคนรักบ๊วย และ ชารากบัว ร้อนๆ กลิ่นหอมฟุ้ง ได้รสหวานละมุนอยู่ในลำคอ

เปลี่ยนวันแสนธรรมดาให้พิเศษกว่าที่เคยด้วยคอร์สอาหารสุดพรีเมียมจาก Bodegas  Wine ร้านอาหารสเปนสไตล์ฟิวชันบรรยากาศอบอุ่นย่านนนทบุรี การันตีความอร่อยด้วยมิชลินไกด์ ในเรื่องของรสชาติและวัตถุดิบนำเข้าคุณภาพดี ที่ผ่านการคัดสรรและการปรุงอย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ภายในตกแต่งอย่างอบอุ่นเรียบง่ายสไตล์ Casual Dining แบ่งออกเป็นชั้นหนึ่งที่มีมุมรับประทานอาหารแบบสบายๆ มีจุดเด่นเป็นผนังร้านที่ประดับตกแต่งด้วยขวดไวน์นานาชนิด ซึ่งอยู่ติดกับห้องเก็บไวน์ขนาดใหญ่ที่มีไวน์มากกว่า 400 ขวด สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เราไม่น้อย  สำหรับชั้นสองเป็นโซนทานอาหารแบบกึ่งไพรเวตที่จะได้เพลิดเพลินกับ Live Music ในช่วงเย็นวันศุกร์และวันเสาร์อีกด้วย เราได้ลองเป็นคอร์สอาหารสเปนสไตล์ไฟนไดนิงที่แพริ่งมากับไวน์ออร์แกนิคชั้นดี อาทิ  Warm Carpaccio ปลาสโนว์ฟิชสไลด์เป็นแผ่นบาง ท็อปมาบนเห็ดแคลงภาคใต้ที่นำไปผัดกับเบคอนคาราเมลไลซ์จนหอมกรอบ เสิร์ฟมาในซอสน้ำมันมะกอกกระเทียม เพิ่มความหรูหราด้วยคาเวียร์ด้านบน หลากหลายรสชาติแต่อร่อยลงตัว Iberico Collar สันคอหมูดำไอเบอร์ริโกตุ๋นกับกะทิจนเปื่อยนุ่มราดด้วยซอสหมูไวน์แดง เสิร์ฟพร้อมโพเลนต้าและคอร์นครีมหอมๆ ช่วยชูรสชาติของเนื้อหมูได้เป็นอย่างดี จานโปรดเรายกให้ของหวานอย่าง Mocha and Coconut ม็อคค่าเค้กจากช็อกโกแลตรสเข้ม ตัดรสด้วยความหวานของไอศกรีมกระทิสไตล์ไทยที่ท็อปอยู่บนโกโก้ครัมเบิลกรุบกรอบ เติมเต็มโมเมนต์การแฮงเอาต์ในครั้งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

หลังจากอดใจรอมาพักใหญ่ ในที่สุด Bread Street Kitchen & Bar ร้านอาหารของเชฟกอร์ดอน แรมซีย์ (Gordon Ramsay) เชฟคนดังมาดเท่ก็เผยโฉมที่กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกที่ชั้น G เอ็มสเฟียร์ Bread Street Kitchen & Bar สาขาแรกนั้นเปิดตั้งแต่ปี 2011 บนถนน St Paul’s ใจกลางลอนดอน แล้วกระจายความอร่อยไปแล้ว 12 แห่งทั่วโลกรวมถึงในบ้านเรา สำหรับสาขาแรกในกรุงเทพ มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Modern European Cuisine เสิร์ฟเมนู All Day Dining ให้นั่งเอนจอยได้ตลอดทั้งวัน ตัวร้านออกแบบสไตล์ Industrial Warehouse เหมือนกับร้านที่ลอนดอน ตัดด้วยสีเหลืองวินเทจของโซฟาหนังและพื้นกระเบื้องลายตารางหมากรุก รวมถึงมีโซนบาร์ขนาดย่อมไว้เอาใจสายกินดื่มด้วย แน่นอนว่าที่นี่รวมซิกเนเจอร์เมนูเด่นๆ เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเมนูสร้างชื่ออย่าง Beef Wellington (ที่ทางร้านกระซิบว่าใช้เวลาเตรียมการอยู่เกือบ 3 วัน และใช้เวลาในการคุกกิ้งอีก 45 นาที) เนื้อวากิว A4 ดรายเอจกับเกลือหิมาลายัน ดิจองมัสตาร์ด ห่อด้วยเห็ดแล้วหุ้มด้วยแป้งพัฟแพสทรีที่อบจนฟูกรอบ ส่วนเนื้อเป็นมีเดียมแรร์สีชมพูระเรื่อที่แสนจะJuicy เคียงด้วยมันฝรั่งบด ฮันนี่แครอต และ red wine jus ส่วนจานอื่นๆ ก็ทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็นจาน Starters อย่าง Caesar Salad ที่มีไฮไลต์เป็นแพนเชตต้าและไวท์แองโชวี่ Spicy Tuna Tartare ทูน่าดิบญี่ปุ่นที่มีรสเผ็ดเบาๆ ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร วางบนอะโวคาโดพูเร โรยเกี๊ยวกรอบด้านบน แนะนำให้กินพร้อมกันทั้ง 3 เลเยอร์ จานที่เราชอบมากอย่าง Seared Scallops หอยเชลล์ตัวอวบกริลล์ได้สุกพอดี เสิร์ฟพร้อมแครอตพูเร ได้ความกรอบและรสเค็มเบาๆ จากแพนเชตต้า เพิ่มความสดชื่นด้วยขิงและแอปเปิลเขียวหั่นเป็นเส้นๆ ด้านบน รวมถึงอีกหนึ่งเมนูห้ามพลาดอย่าง Lobster Moilee หางล็อบสเตอร์เนื้อเด้งในซอสกะทิรสชาติเข้มข้น เพิ่มกลิ่นหอมด้วยผักชีลาว ผักชี และใบมินต์  จบด้วยขนมซิกเนเจอร์ Sticky Toffee Pudding ฉ่ำและหวานโปะด้านบนด้วยไอศกรีมนม รวมถึงเครื่องดื่มอย่าง Ramsay Gin & Tonic แก้วนี้รสหวานอ่อนๆ และสดชื่นจากมะม่วงและเสาวรส นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะทางร้านบอกว่าจะทยอยเผยโฉมเมนูใหม่ออกมาให้ยลโฉมกันอีกเรื่อยๆ ใครไปลองแล้วชอบเมนูไหน อย่าลืมเล่าให้เราฟังบ้าง

Oakland Cafe x Restaurant ร้านอาหารและคาเฟ่สไตล์มินิมอลโทนสีขาวไม้แสนอบอุ่นสบายตา มาพร้อมอาหารหลากสัญชาติ เหมาะแก่การไปฝากท้องยามหิวและปล่อยให้ธรรมชาติช่วยฮีลใจ ด้วยตัวร้านที่ตั้งอยู่กลางพื้นที่สีเขียว สามารถพาครอบครัวไปนั่งชิลเอาต์ใต้ร่มไม้ในบรรยากาศของการจำลองสวนป่าแบบทรอปิคัล โดยที่นี่แบ่งสัดส่วนร้านออกเป็น 2 โซน เริ่มจากด้านหน้าเป็นพื้นที่ของคาเฟ่ มีเคาน์เตอร์บาร์ขนาดใหญ่ที่เรียงรายด้วยเบเกอรี่โฮมเมด อีกทั้งยังมีเมนูเครื่องดื่มให้เลือกสรรอีกเพียบ หากเดินลึกเข้าไปในร้านจะพบกับโซนร้านอาหาร มีให้เลือกนั่งได้ทั้งอินดอร์และเอาต์ดอร์ นอกจากนี้ทางร้านได้เซ็ตมุมแคมป์ปิ้งไว้ให้เหล่าคาเฟ่ฮอปเปอร์ได้เก็บภาพสวยๆ คู่กับอาหารจานเด็ด ขอแนะนำเมนูซิกเนเจอร์อย่าง พิซซาโอ๊กแลนด์ แป้งสูตรพิเศษมีสัมผัสนุ่ม ฟู และกรอบ แต่งหน้าด้วยเนื้อหมูไอเบอริโก ได้รสเค็มมันจากมอซซาเรลลาชีสและมาสคาร์โปเนชีส ต่อด้วย ขาหมูเยอรมัน เป็นขาหมูคุโรบุตะเนื้อนุ่มชุ่มลิ้น มีกลิ่นหอมเครื่องเทศอ่อนๆ แต่หนังข้างนอกกรอบสุดๆ กินคู่มันบด ผักดอง ซีอิ๊วหวาน และน้ำจิ้มซีฟู้ด และอย่าพลาด ปลากะพงทอดยำสมุนไพร เนื้อปลาทอดกรอบคลุกเคล้าน้ำยำรสจัดจ้าน มีสมุนไพรหลากชนิดให้เคี้ยว นอกจากจะอิ่มท้องแล้ว การมาที่นี่ยังเหมือนได้ใช้เวลากับธรรมชาติบำบัดแม้จะอยู่ในเมืองก็ตาม

ต้นถนนสาธุประดิษฐ์เป็นที่ตั้งของ BK SALON (บี เค ซาลอน) ร้านใหม่ของ เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร ที่ไม่อยากให้ที่นี่เป็นแค่ร้านอาหารธรรมดา แต่เป็น Community Restaurant และ “ห้องนั่งเล่น” แห่งใหม่ ให้ผู้คนได้มาแบ่งปันบทสนทนา ทั้งเรื่องอาหาร เครื่องดื่ม หรือจะใช้สำหรับจัดเวิร์คชอปต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ก็เป็นเรื่องที่เชฟต้นและทีมอยากให้เกิดขึ้น การดีไซน์ร้านได้ไอเดียจากกระติ๊บข้าวเหนียว ภาชนะที่แม้จะจิ๋วแต่ทรงพลัง นอกจากจะใช้ใส่ข้าวเหนียว ของโปรดของคนทุกชนชั้น ยังทำจากวัสดุจากธรรมชาติล้อไปกับไอเดียเรื่องความยั่งยืนที่เชฟให้ความสำคัญ อาหารของที่ร้านดูแลโดยเชฟเจน เป็นคอมฟอร์ตฟู้ดจากวัตถุดิบที่ดี สร้างสรรค์ และเข้าใจง่าย อิ่มตั้งแต่มื้อเช้าจรดค่ำ Morning Set เซ็ตอาหารเช้าในถาดไม้ มีทั้งครัวซองต์ เบคอน ไข่ อะโวคาโด และน้ำส้มเรียกความสดชื่น Chicken Waffle วัฟเฟิลท็อปไก่ทอดแล้วราดด้วยซอสศรีราชาแบรนด์ดังที่ขายเฉพาะที่ตำบลบางพระ ชลบุรี เราชอบเมนูไทยๆ อย่าง ก้อยมะนาวสไบนาง ทาร์ทาร์เนื้อที่ได้ไอเดียจากก้อยเนื้อรสเด็ด แต่มาในพรีเซนต์เทชั่นแบบไฟน์ไดนิ่ง รวมถึง ยำชะครามคลองโคนกุ้งสด และ ต้มแซ่บมะเฟืองปลาช่อนอย่างเก๋า แต่ที่ได้ใจเราไปเต็มๆ คือเมนูฟู่ฟ่าอลังการอย่าง ข้าวห่อใบบัว เสิร์ฟใหญ่โตไว้แชร์กับแก๊ง ข้าวห่อใบบัวโคตรปู นอกจากเนื้อปูสดหวาน ไข่ปูเลิศ ตัวข้าวอบยังอร่อยมาก หอมและกลมกล่อม แต่พอราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสจี๊ดจ๊าดลงไปจะได้อีกอารมณ์ ส่วน ข้าวห่อใบบัวหอยนางรมไข่ข้น ข้าวรสออกหวานกว่านิดหน่อย หอยนางรมดี และไข่ข้นเท็กซ์เจอร์นุ่มนิ่ม แล้วจบคืนนี้ด้วย มาม่าหม้อไฟ เดือดปุด สำหรับสายดื่ม นอกจากจานคาวแล้วที่นี่ยังมีขนมหวานไว้ล้างปาก อาทิ นุ่มนิ่มมะม่วงโฉมใหม่ พานนาคอตต้ามะม่วงหอมหวาน และ โทสต์ชาโคลเกาลัด ที่กินเพลินดี รวมถึงเมนูกาแฟที่เป็นที่แรกในไทยที่ใช้เมล็ดกาแฟ ARAKU ของอินเดียซึ่งปลูกในป่าดิบชื้นโดยไม่ทำลายดิน

นับเป็นหนึ่งในร้านอร่อยฝั่งธนฯ เลยก็ว่าได้สำหรับ “เล่อขาหมูทรงเครื่อง” ร้านขาหมูรสชาติดีราคาน่ารัก ที่ตั้งอยู่หน้าโรงพยาบาลพญาไท 3 (MRT บางไผ่) เจ้าของคือ เชฟเทียน - เทียนชัย พีรพงศธร เชฟหนุ่มหล่อดีกรีเชฟทีมชาติของเมืองไทย และหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันรายการ TOP CHEF Thailand SEASON 2 ที่สายฟู้ดคุ้นหน้าคุ้นตากันดี   ทีเด็ดของร้านเล่อขาหมูทรงเครื่องเลยคือเป็นขาหมูที่รสเค็มหวานเข้มข้น ไขมันน้อยเพราะเป็นสูตรอร่อยของคุณพ่อ ผสมกับการปรุงอาหารสไตล์ตะวันตกของเชฟเทียน โดยจะใช้ขาหมูส่วนหน้าที่มีมันน้อย เผาไฟอย่างดีและนำไปอบเพื่อไล่น้ำมันออก ก่อนนำไปต้มที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียสกับเครื่องยาจีนหอมๆ กว่า 9 ชนิดจนได้เนื้อที่นุ่มเปื่อย ใครมากินก็เลิฟ   เอาใจเด็กอ้วนก่อนเลยกับ ข้าวขาหมูขากิ เนื้อนุ่มแทบละลายในปาก เพราะผ่านกระบวนการตุ๋นยาจีนนานถึง 12 ชั่วโมง รสหวานอมเค็ม กินคู่พริกน้ำส้มโฮมเมดเข้ากันดี ตามด้วยหนึ่งจานซิกเนเจอร์อย่าง ข้าวแกงกะหรี่หมูกุนเชียง สันคอหมูกินอร่อย อยู่ในน้ำแกงกะหรี่สไตล์จีนรสกลมกล่อม ผสานความหอมของผงขมิ้นอินเดีย เสิร์ฟเคียงกุนเชียงหมูรสหวาน และพริกชี้ฟ้า เราเพิ่มหมูทอดกรอบนอกนุ่มในมากด้วย   ปิดท้ายกับ ก๋วยเตี๋ยวเป็ด เราเลือกเป็นเส้นหมี่เหนียวนุ่ม ไปด้วยกันได้ดีกับน้ำซุปรสเค็มเล็กๆ หอมกลิ่นยาจีน ท็อปด้วยเนื้อเป็ดพะโล้แน่นๆ   ไม่เจอเชฟเทียนแต่เจอป๊ะป๋าก็ยังดี

ชวนไปพักผ่อนเติมความผ่อนคลายสบายใจที่ The Neighborwood ร้านอาหารและคาเฟ่ในโครงการ Sansiri Backyard T77 Community ซึ่งโดดเด่นด้วยร้านโทนสีเขียวสดชื่นเสริมความอบอุ่นด้วยหน้าต่างกระจกบานใหญ่รับกับแสงธรรมชาติ และเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มสร้างความกลมกลืนไปกับสวนสไตล์ยุโรปภายนอกที่จัดขึ้นด้วยความตั้งใจ เพื่อเติมเต็มคอมมูนิตี้แห่งนี้ให้สมบูรณ์แบบ ทางร้านเน้นเสิร์ฟเมนูคอมฟอร์ตฟู้ดทั้งไทยและอิตาเลียน พร้อมกับเบเกอรี่และเครื่องดื่มหลากหลายเมนู ที่สามารถแวะมาเอนจอยกันได้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เริ่มด้วยเมนูเด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดีอย่าง ข้าวซี่โครงอ่อนพะโล้ขลุกขลิก ซี่โครงหมูอบจนเนื้อเปื่อยนุ่ม ฉ่ำด้วยซอสรสเข้มข้นหอมกลิ่นเครื่องพะโล้ กินพร้อมข้าวสวยร้อนๆ เข้ากันดีเป็นที่สุด ต่อกันที่ แกงเหลืองปลากะพง น้ำแกงสุดเข้มข้นจากเครื่องแกงสูตรเฉพาะของร้าน ซึมเข้าเนื้อปลากะพงชิ้นโตและมะละกอ เปรี้ยวเผ็ดหวานครบรส ต่อด้วย ยำวุ้นเส้นโบราณ เผ็ดเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด ทางร้านจัดเต็มด้วยเครื่องแน่นๆ ทั้ง หมูสับ กุ้งแห้ง หอมเจียว และถั่วลิสง Parma Ham Burata Pizza พิซซาแป้งบางขอบกรอบหน้าพาร์มาแฮมและชีสบูร์ราตา ทีเด็ดอยู่ที่มะเขือเทศญี่ปุ่นดองซอสสูตรเฉพาะของร้าน ที่ทำให้เมนูนี้อร่อยลงตัวยิ่งขึ้น พลาดไม่ได้กับ สตูไก่ น้ำซุปรสกลมกล่อมไปได้ดีกับเนื้อไก่ส่วนสะโพกที่ตุ๋นจนเปื่อยนุ่ม เสิร์ฟพร้อมขนมปังโทสต์เนยโฮมเมดรสหวานนิดเค็มหน่อย อร่อยเกินต้าน

บิสโทร เดอ ลา แมร์ (Bistrot de la Mer) ห้องอาหารน้องใหม่บนชั้น 19 ของโรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพ ที่มาพร้อมกลิ่นอายสไตล์ French Mediterranean ในบรรยากาศสบายๆ ผ่อนคลายด้วยผนังสีขาวประดับภาพวาดสวยเก๋ เพิ่มความสดใสให้ห้องอาหารด้วยพื้นกระเบื้องโมเสคสีฟ้าขาว แซมด้วยสีน้ำตาลสลับเทาเพื่อสร้างความกลมกลืนไปกับโต๊ะไม้ พร้อมเก้าอี้หนังสีน้ำตาล และเก้าอี้ผ้าสีเทาคลาสสิก ปล่อยใจให้รื่นรมย์ไปกับวิวสวนสีเขียวผ่านกระจกใสบานใหญ่ ซึ่งเป็นมุมมองสุดสดชื่นของสวนลุมพินี พร้อมลิ้มรสอาหารฝีมือเชฟ Slawomir Kowalik เชฟประจำห้องอาหารที่คร่ำหวอดในแวดวงร้านอาหารจากโรงแรม 5 ดาวในยุโรป และร้านมิชลินสตาร์ 2 ดาวจากสวิตเซอร์แลนด์ เชฟ Slawomir คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดี มานำเสนอเป็นเมนูโปรดที่น่าประทับใจมากมาย อาทิ  Nicoise Salad สลัดนีซัวร์เสิร์ฟกับปลาทูน่าหางเหลือง ที่เชฟจะปรุงให้แขกทุกคนรับประทานกันถึงโต๊ะ Riviera Crab Salad สลัดปูริเวียร่าที่ใช้เนื้อปู Tourteau นำเข้าจากฝรั่งเศส คลุกเคล้าน้ำสลัดสูตรพิเศษ ท็อปด้วยสลัดผลไม้เกรปฟรุตผสมส้มโอ และออนท็อปด้วยผักอองไดรฟ เจลลีแอปเปิล และแอปเปิลเขียวสไลซ์ สร้างความสดชื่นในบรรยากาศริเวียร่า ชายทะเลตอนใต้ของฝรั่งเศส หากชื่นชอบอาหารทะเลสดๆ แนะนำให้สั่ง Fruits de Mer Set Royale ที่ประกอบด้วยล็อบสเตอร์ครึ่งตัว (Half Maine Lobster) หอยนางรมจีราโด (Gillardeau Oysters) ซึ่งเป็นหอยนางรมชื่อดังจากฝรั่งเศส และหอยนางรมทซัสคาญ่า (Tsarskaya Oysters) อย่างละ 3 ตัว  กุ้งลายเสืออีก 4 ตัว (Tiger Prawns) หอยเชลล์เซวิเชเนื้อหวาน (Scallops Ceviche) และหอยไม้ไผ่หมักและปรุงรสได้อร่อยถูกใจ (Marinated Razor Clams) ภายในเซ็ตมีซอสให้ได้เลือกอร่อยทั้ง ซอส Mignonette ซอสค็อกเทล ซอสพริกอาโอลีกระเทียมย่างและเลมอน หรือจะลอง Beef Tartare ที่เสิร์ฟมาในภาชนะพิเศษคล้ายกระดูกวัวกินคู่กับขนมปังซาวโด ตัวบีฟทาร์ทาร์ ปรุงจากเนื้อเทนเดอร์ลอยน์สับ คลุกเคล้ากับซอสสไตล์ฝรั่งเศส ไข่แดงรมควัน เมล็ดมัสตาร์ด และโอลีฟออยคาร์เวียร์ ใครได้ชิมต้องติดใจ อีกเมนูอร่อยไม่ควรพลาด Escargot Provencal หอยทากทะเลอบเนยที่เชฟคัดสรรหอยทากทะเลจากฝรั่งเศสขนาดพอดีคำ อบพร้อมเนยกระเทียมผสมพาสลีย์สูตรเข้มข้นส่งกลิ่นหอมโชยมาก่อน แนะนำว่าพลาดไม่ได้จริงๆ เมนูซุปแนะนำซุปยอดนิยมอย่าง Bouillabaisse ซุปทะเลบูยาเบสที่มีต้นกำเนิดจากเมือง Marseille ที่มีทั้งปลาทะเล หอย กุ้ง และปลาหมึก รสชาติละมุนลิ้น หรือจะลองซุปใส French Onion Soup ซุปหัวหอมสุดคลาสสิก ออนท็อปด้วยชีสแบบเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมขนมปังบาร์แก็ต เป็นอีกหนึ่งเมนูที่จะทำให้คุณนึกถึงประเทศฝรั่งเศส เมนูจานหลักที่เชฟภูมิใจนำเสนอ Baked Turbot on The Bone ปลาเทอร์บอทชิ้นใหญ่ย่างสุกกำลังดีกลิ่นหอมชวนหิว เนื้อปลาหนานุ่มสดหวานกินพร้อมซอสเบอร์เนสและเครื่องเคียงอย่าง Potato Gratin มันฝรั่งอบชีส และ Baby Broccolini บล็อกโคลลินีนำเข้าผัดน้ำมันมะกอก หรือเลือกอิ่มอร่อยกับ Lobster Thermidor ที่นำล็อบสเตอร์ปรุงกับซอสคอนญักผสมผสานจนเป็นเมนูที่ทุกคนชื่นชอบ สเต็กเนื้อวากิว ทั้งแบบริบอายหรือฟิลเล่ย์ และเมนูมังสวิรัติอย่าง สเต็กมะเขือม่วงย่างเสิร์ฟคู่กับซอสเห็ด ปิดท้ายมื้อพิเศษด้วยของหวานสุดคลาสสิกอย่าง Tarte Tatin ทาร์ตแอปเปิลอบร้อนๆ เสิร์ฟกับไอศกรีมวานิลลาและซอสคาราเมล ยังมีมุมไวน์เซล่าที่มีไวน์ชั้นดีจากทั่วทุกมุมโลก และเคาน์เตอร์บาร์ไว้บริการเครื่องดื่มเย็นๆ ให้กับแขกทุกท่านอีกด้วย ห้องอาหารบิสโทร เดอ ลา แมร์ (Bistrot De La Mer) พร้อมบริการมื้อกลางวันตั้งแต่ 12.00-15.00 น. และมื้อค่ำ ตั้งแต่ 17.00-22.00 น. ทุกวัน   รายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่ง โทร. 0-2095-9999 อีเมล์ fb.sindhorn@kempinski.com