คนเฟี้ยวๆ เขาไปกินร้านนี้ ' Feaw Bkk ' ร้านน้องใหม่จากคุณต๊อด - ปิติ ภิรมย์ภักดี ที่จับมือกับเชฟอาร์ต ภาคภูมิ (เจ้าของร้านเจริญพุงโภชนา) ร่วมกันรังสรรค์เมนูที่ทุกคนต่างคุ้นเคยมาในรูปแบบที่เฟี้ยวกว่าเดิม ความเฟี้ยวของร้านเริ่มตั้งแต่โทนสีสดๆ ของเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่สะดุดตามาแต่ไกลภายในห้องกระจกใสที่ตั้งอยู่ในโครงการ RQ bite 49 ย่านสุขุมวิท รวมถึงภาชนะจานชามสังกะสีเคลือบที่เลือกมาใช้เสิร์ฟอาหารก็ชวนให้นึกถึงรสชาติและบรรยากาศแบบยุคเก่า ซึ่งเชฟอาร์ตตั้งใจถ่ายทอดสตอรี่การเดินทางระหว่างตามหาวัตถุดิบ และความอร่อยแบบฉบับของตัวเองลงไปในทุกจานที่นำเสนอ เมนูแนะนำ อาบน้ำเนื้อ เนื้อน่องกรอบ ส่วนที่ยกให้เป็นแรร์ไอเทมของวัว นำมาเสิร์ฟคู่กับซุปสูตรพิเศษที่เคี่ยวมาอย่างพิถีพิถัน พร้อมกับน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ด อีกตัวคือ เกาเหลาเนื้อเฟี้ยว รสชาติกลมกล่อมน้ำซุปหอมหวานที่มาพร้อมลูกชิ้นเนื้อเด้ง เนื้อตุ๋นและเนื้อน่องกรอบ ซดแล้วคล่องคอ เมนูข้าวต้องลอง ข้าวผัดรถไฟ ข้าวผัดรถไฟสูตรดั้งเดิมสีชมพูสวยหอมเต้าหู้ยี่ รสกลมกล่อมนัวๆ เสิร์ฟพร้อมกุ้งตัวโต กินอร่อยทุกวัน และ กะเพราเนื้อสับ จากเนื้อออสเตรเลียสับละเอียด ผัดกับใบกะเพราป่าจนหอมติดจมูก กินพร้อมไข่ดาวกรอบนอกฉ่ำใน เข้มข้นถึงใจ ของทอดที่เราชอบ เกี๊ยวอวบเฟี้ยวฟ้าว เแป้งเกี๊ยวทอดได้เหลืองกรอบน่าทาน สอดไส้หมูและกุ้งมาแบบเต็มคำให้ฟีลเมือนกินติ่มซำที่นำไปทอด กินเพลินสุดๆ ทางร้านยังมีเมนูกินเล่น ของคาว ขนมหวาน ก๋วยเตี๊ยวรสแซ่บ ที่มีไฮไลต์เป็นเส้นบะหมี่สไตล์ฮ่องกงเหนียวนุ่มไม่เหมือนใครให้เลือกสั่งมาชิมอีกหลายเมนู ใครมองหาร้านอร่อยนั่งสบายราคาดีปักหมุดเฟี้ยวเลย

ไม่น่าเชื่อว่าจากการทดลองเล่นๆ ภายในครัวของตัวเองจะเป็นการเปิดประตูไปสู่การสร้างคุณค่าให้ปลาเศรษฐกิจของไทยอย่างปลาดุกได้ เพราะเมื่อนำมาปรุงดีๆ แล้วปลาดุกกลับให้รสชาติและรสสัมผัสคล้ายปลาไหลญี่ปุ่นเลย DUKE DON ร้านอาหารที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มเพื่อนที่ต้องการชูโรงให้วัตถุดิบของไทยอย่างปลาดุกได้ตีตลาดออกไปสู่สายตาชาวโลก ซึ่งเกิดจากการคิดค้นและหาวิธีขจัดกลิ่นโคลนและเสิร์ฟแบบไร้ก้าง แม้ว่ารูปลักษณ์จะออกมาในสไตล์ญี่ปุ่น แต่ด้วยรสชาติที่นำเสนอออกมานั้นกลับกลายเป็นลายเซ็นของตัวเองได้อย่างน่าประทับใจ ส่วนมากทางร้านจะใช้ปลาดุกบิ๊กอุย นำไป Dry-Aged 5 วัน ก่อนนำมาย่างจนหนังกรอบ และมีเนื้อที่เฟิร์ม ฉ่ำ ไม่แห้งมาก ผนวกกับซอสที่เชฟรังสรรค์มาจับคู่กับเนื้อปลา จากที่กินจนหนำใจเราว่าด้วยรสชาติแบบนี้อร่อยไม่แพ้ปลาไหลญี่ปุ่นเลย   สำหรับตัวปลาย่างจะขายเป็นเซ็ตกับอะลาคาร์ต มีขนาดให้เลือกตั้งแต่ M, L, XL จนถึง 2XL ในชุดจะประกอบด้วยปลาดุกย่าง เครื่องเคียง ข้าว และซุป แนะนำ Zaapyaki Set เมนูแซ่บสไตล์ไทย เป็นปลาดุกย่างจนหนังกรอบเสิร์ฟคู่น้ำยำรสจัดจ้าน มีผักแนมมาข้างๆ ไม่ว่าจะเป็น ต้นหอม ผักชีใบเลื่อย หอมเจียว กระเทียมเจียว และใบมะกูด ให้ฟีลคล้ายกินลาบปลาดุก ยิ่งซดซุปต้มโคล้งเข้ากันทีเดียว Kabayaki Set เมนูซิกเนเจอร์ที่เสิร์ฟปลาดุกย่างชิ้นใหญ่ราดซอสคาบายากิรสเค็มหวาน เชฟบอกว่าวิธีการทำเหมือนของปลาไหลสไตล์ญี่ปุ่นเลยโดยเชฟใช้ก้างของปลาดุกมาเคี่ยวกับซอสด้วย มีหัวไชเท้าดองให้กินตัดเลี่ยนและซุปมิโซะร้อนๆ คล่องคอมาก ของกินเล่นก็มีทั้ง Duke Karaage ได้ไอเดียมาจากไก่คาราอาเกะแต่เปลี่ยนจากเนื้อไก่เป็นปลาดุก แป้งมีความกรอบแต่เนื้อในยังฉ่ำ จิ้มกับซอสมะเขือเทศและมายองเนสเข้ากันได้ดีทีเดียว ต่อด้วย Duke Had-Yai ปลาดุกทอดหาดใหญ่ หอมกลิ่นเครื่องเทศตามแบบฉบับไก่ทอดหาดใหญ่ชัดเจน จับคู่กับน้ำจิ้มไก่โฮมเมดรสเปรี้ยวหวานลงตัว Duke Fish & Chip เชฟใช้ปลาดุกมาชุบเกล็ดขนมปังแล้วทอดจนเหลืองกรอบ เคียงมาด้วยเฟรนช์ฟรายส์ เสริมรสด้วยซอสทาร์ทาร์โฮมเมดรสละมุน ใครชอบกินผักต้องลอง Pakkood Salad ยำผักกูดใส่หอมแดง หอมเจียว และผักกูดลวก ให้รสชาติคล้ายยำหอยนางรมด้วยซอสพริกเผา แต่ตัวยำไม่มีความเผ็ดเลยเพราะเชฟต้องการให้เป็นเมนูเรียกน้ำย่อย แนะนำให้จองก่อน เพราะปลาต้องใช้เวลาย่างประมาณ 40 นาที เพื่ออรรถรสในการกิน

Take Eat Easy ร้านอาหารสุดชิลแห่งใหม่ในย่านเย็นอากาศ ที่มาพร้อมบรรยากาศผ่อนคลาย ราวกับเป็นโอเอซิสหลังบ้านแสนสบาย ให้ฝากท้องได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำด้วยเมนูที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ ซึ่งรังสรรค์โดยเชฟชื่อดัง ทิม บัตเลอร์ (Tim Butler) และผู้จัดการทั่วไป โจฮาน เพอ ไซมอน เดวิดสัน (Johan Per Simon Davidsson) เสริมด้วยเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดยฝืมือ เบนนี่ โซรัม (Bennie Sorum) และ แดนนี่ โซรัม (Dannie Sorum) นิก้า สคริปนิก (Nika Skripnik) และอังเดร อับรามอฟ (Andrei Abramov) ผู้ร่วมก่อตั้ง Take Eat Easy ใช้ประสบการณ์กว่า 12 ปีในวงการอาหารและเครื่องดื่ม วางแนวคิดในการสร้างสรรค์เมนูต่างๆ โดยตั้งใจให้ร้าน Take Eat Easy เป็นพื้นที่แสนสบายของชุมชนเล็กๆ ที่คอยต้อนรับผู้มีความคิดสร้างสรรค์ในแนวเดียวกัน บุคลากรมืออาชีพ และนักเดินทางที่ชื่นชอบอาหารเรียบง่ายแต่เลิศรส ปรุงจากวัตถุดิบสดใหม่ในท้องถิ่น โดยใช้พื้้นที่แห่งนี้เชื่อมโยงผู้คนผ่านกิจกรรม ตั้งแต่การดื่มด่ำกับการแสดงดนตรีสด เปิดเพลงจากดีเจ นิทรรศการศิลปะ ไปจนถึงการฉายภาพยนตร์ ภายในร้านอาหารและบาร์ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่อายุ 200 ปีที่แผ่ร่มเงาอยู่กลางสวน พร้อมให้จิบชา กาแฟ พร้อมอาหารเช้าและกลางวัน หรือจะดื่มด่ำกับค็อกเทล และไวน์ลิตส์หลากหลายพร้อมอาหารมื้อเย็นอย่างเป็นกันเองกับเพื่อนฝูงและครอบครัวก็เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้ตรงใจ เมนูอาหารในระหว่างวันของ Take Eat Easy จะเน้นเสิร์ฟความอร่อยในแบบกินง่าย สบายๆ อาทิ Ribs & Eggs, Reuben Waffles, Kimchi and Tofu Bowls และ N’Duja & Chorizo Pasta เป็นต้น สำหรับมื้อเย็นตั้งแต่ 17.00 น. ทางร้านจะเสิร์ฟดินเนอร์เมนูที่สามารถเพลิดเพลินกันตลอดค่ำคืน อาทิ Smoked Beef Jerky อาหารกินเล่นกรุบกรอบ หอมมัน กินเพลินๆ หรือจะสั่ง Steamed Artichoke "Castro" ขนมปังหน้าอาร์ติโชกรสครีมมี่ กลมกล่อม โรยพริกปาปริก้าป่น รับรองว่าถูกใจคนรักอาร์ติโชกแน่นอน North Point Ranch Beef Tartare ทาร์ทาร์เนื้อรสเลิศคลุกเคล้ากับไข่นกกระทา กินพร้อมขนมปังย่างท็อปด้วยอาร์ติโชกรสครีมมี่โรยพริกป่นเพิ่มรสชาติ อร่อยติดใจ Seared Hen of The Woods Mushroom เห็ดไมตาเกะย่างเสิร์ฟพร้อมผักสลัดหลากชนิด เนื้อเห็ดนุ่มหนึบย่างจนหอม คลุกเคล้ากับชีสทาเลจจิโอ (Teleggio) กระเทียม โรยด้วยสโมกปาปริก้าเล็กน้อย ใครชื่นชอบเห็ดขอแนะนำให้ลิ้มลอง ต่อกันด้วย Cold Smoked Duck Salad เนื้อเป็ดรมควันชิ้นหนา เสิร์ฟมาในสลัดผักโรเมนและแรดิช โรยด้วยแพนเชตตาทอดกรอบ และแผ่นชีสพาเมซานกรอบเค็มๆ มันๆ   ยังมี Smoked Burrata & Heirloom Tomato ชีสบูร์ราต้ารมควันเนื้อในฉ่ำนุ่ม เสิร์ฟมาในมะเขือเทศหลากสีสายพันธุ์แอร์ลูม รสชาติหวานอมเปรี้ยวเหมาะอย่างยิ่งที่จะกินกับชีสบูร์ราต้า Slow Smoked Pork Ribs ซี่โครงหมูย่างรมควันเสิร์ฟกับโคสลอว์ชิโปเล่ ซี่โครงหมูนุ่มล่อน ซอสฉ่ำเข้าเนื้อ กินง่ายและอร่อย สามารถเลือกขนาดได้ตามต้องการทั้ง Half Rack และขนาดใหญ่ หรือจะลองเป็น Wood–fired Chicken ไก่ย่างชิ้นโตที่ย่างได้หนังตึงสวย เนื้อในยังนุ่ม เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วและซอสบาร์บีคิว เลือกสั่งได้ทั้งแบบครึ่งตัวและเต็มตัว ขนมหวานแนะนำให้ลอง Pan Con Chocolate ช็อกโกแลตกานาช ราดน้ำมันมะกอก โรยด้วยเกลือทะเล เสิร์ฟให้กินกับขนมปังฟอกาเซียกรอบ เป็นความลงตัวที่อร่อยเกินคาด แล้วต่อด้วย Mango & Coconut อีกสักจาน วาฟเฟิลเนื้อนุ่มหอมท็อปด้วยวิปครีมเนื้อเบาละมุน มะม่วงเนื้อเนียนสุกกำลังดี ตกแต่งด้วยมะพร้าวสไลซ์อบกรอบเพิ่มความอร่อย ติดใจจนต้องขอเบิ้ล อิ่มเอมกับอาหารค่ำแล้วสามารถชิลต่อกับเครื่องดื่มคูลๆ มากมายที่เคาน์เตอร์บาร์หรือโซนเอาต์ดอร์กันยาวๆ ถึงเที่ยงคืน Take Eat Easy เปิดทุกวันตั้งแต่ 8.00 น. ถึงเที่ยงคืน และ BBQ & Bubbles Brunch จะจัดขึ้นทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป

ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบเช่นนี้ การได้กลับมากินอาหารโฮมคุกที่เสิร์ฟมาในบรรยากาศโฮมมี่นี่ถือว่าเป็นสวรรค์จริงๆ เพราะงั้น "Baan Langsuan" ร้านอาหารไทยโฮมคุกสูตรคุณยายแห่งนี้จึงเป็นโลเคชั่นที่โปรดของนักชิมหลายคน บ้านเก่าสีขาวอายุกว่าร้อยปี ที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางตึกสูงใหญ่ย่านหลังสวน (หาดูได้ไม่ง่ายเลย) เจ้าของคือ เบียร์-รัฐปรัชญ์ ธนสินศิริภัทร์ และ ก๊อปปี้-นิธิวัชร์ เพิ่มศิริทวีโชค 2 พาร์ทเนอร์นักกินตัวยง ที่อยากย้อนความทรงจำในวันวานด้วยการเสิร์ฟอาหารโฮมคุกสูตรของคุณยายของทั้งสองมาแบ่งปันให้ฟู้ดดี้อบอุ่นหัวใจ เอ็นจอยกับจานอร่อยคอมฟอร์ดฟู้ดกินง่ายอย่าง ไข่กระทะ อาหารเช้าสไตล์อังกฤษ ข้าวต้ม (ตลอดวัน) ร่วมกับบรรยากาศเรียบง่ายแสนสบายที่ได้จากเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่าแก่ ของสะสมเครื่องลายคราม และที่ขาดไม่ได้คือสวนสวยร่มรื่นล้อมรอบบ้านที่เห็นแล้วเพลินใจยิ่งนัก เมนูแรกขอเริ่มต้นด้วย พวงชาโบราณ ที่เห็นแล้วทำให้เราย้อนนึกถึงวันวานในร้านกาแฟสมัยก่อน อร่อยกับไข่ลวก ขนมปังปิ้งสังขยาใบเตยรสหวานพอเหมาะ ชาไทยรสหอมมัน และชาจีนอุ่นๆ ซดคล่องท้อง ตามด้วย อาหารเช้าไข่ข้น ชามใหญ่ๆ ที่ให้คุณอิ่มเอมกับไข่ข้นครีมมี แฮม เบคอน ไส่กรอกไก่ ถั่วขาวในซอสมะเขือเทศ ขนมปังปิ้งเกรียมๆ และมะเขือเทศย่าง ข้าวต้มกุ้ง ก็น่าสนใจ เนื้อข้าวไม่แข็งและไม่เละจนเกินไป เคล้ากุ้งตัวโตเนื้อหวาน เสิร์ฟมาพร้อมชามเบญจรงค์ลวดลายสวยงาม ขาดไม่ได้กับ ไข่กระทะ หนึ่งในอาหารเช้าสุดป็อปของสายฟู้ด ไข่ดาวสองลูก เสิร์ฟเคียงกุนเชียง หมูยอและหมูสับแบบล้นๆ เครื่องดื่มเราแนะนำ ลอดช่องอัญชัน ลอดช่องเนื้อนิ่ม ซดพร้อมน้ำกะทิรสหวานพอเหมาะ หอมกลิ่นอบควันเทียนเบาๆ หรือใครชอบรสเปรี้ยวสดชื่นต้องนี่เลย ชามะนาว ดับร้อนได้อย่างดี ไว้วันหลังจะมากินอีก

อากาศแบบนี้ต้องต้มเลือดหมูร้อนๆ สักชาม อ้าเลือดหมู ร้านดังย่านรัตนาธิเบศร์ นนทบุรี ที่ขายต้มเลือดหมูมานานเกือบ 30 ปีตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ปัจจุบันดูแลโดยคุณตือ ทายาทรุ่น 2 และยังเสิร์ฟต้มเลือดหมูในหม้อดินน้ำซุปร้อนจี๋ ที่สำคัญสั่งปุ๊บต้องได้ปั๊บ ชนะใจคนหิวไปเต็มๆ จุดเด่นของอ้าเลือดหมูคือเลือดหมูนุ่มๆ กับเครื่องในชิ้นใหญ่และไม่มีกลิ่นคาว คุณตือบอกเราว่าต้องอาศัยความชำนาญในการล้างซึ่งคุณพ่อสอนว่า “อย่ากลัวเปลืองน้ำ” และนำมาขยำกับเกลือด้วย ทางร้านจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมแล้วเริ่มขายตั้งแต่ตีห้า นอกจากเลือดหมูที่เป็นพระเอก ยังมีลิ้นหมูที่หากินจากร้านอื่นยากหน่อยและเซี้ยงจี๊หั่นชิ้นใหญ่ถูกใจนัก ส่วนเครื่องเคราอื่นๆ ก็มีทั้งกระเพาะ หัวใจ ม้าม ไส้ หมูชิ้น หมูสับ หมูกรอบ ราดด้วยน้ำซุปรสชาติกลมกล่อมพอดี ซดได้หมดชามแบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม ใครชอบสาวเส้นลองเปลี่ยนจากต้มเลือดหมูธรรมดาแล้วสั่งเส้นเล็ก บะหมี่ หรือก๋วยจั๊บใส่ต้มเลือดหมูได้ ยังไม่หมดแค่นั้น ที่ร้านมีเมนูเด็ดอย่างข้าวแกงกะหรี่หมูสไตล์จีน เคียงด้วยกุนเชียงทอดก็ขายดีไม่แพ้กัน

ฤดูกาลผันเปลี่ยนไปตามเวลา คาเวียร์ที่ “Caviar Cafe by Nai Lert” ก็เช่นกัน ครั้งนี้คาเฟ่คาเวียร์แห่งแรกของเมืองไทยขอเชิญคุณไปพบกับเมนูใหม่ที่รังสรรค์จาก ‘Kaviari Kristal Caviar’ คาเวียร์แสนเลอค่าจากกรุงปารีสที่ร้านมิชลินทั่วโลกต่างให้การยอมรับ ด้วยเม็ดกลมสวยสีอำพันเข้ม ประกายทองเล็กๆ ให้รสชาติเข้มข้น หอมมัน ผสมกับกลิ่นอัลมอนด์อ่อนๆ จะครีเอทกับเมนูหรือกินเพียวๆ ก็ฟินได้ไม่ต่างกัน ครั้งนี้ Caviar Cafe by Nai Lert ยังได้เชฟดาด้า เชฟใหม่แกะกล่องมากความสามารถ ที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์การทำงานจากร้านมิชลินต่างประเทศมาประจำที่ร้าน โดยเธอมักใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลคุณภาพทั่วไทย อย่าง ซีฟู้ดจากภาคใต้ ผัก-ผลไม้จากเมืองเชียงใหม่ เข้าคู่กับคาเวียร์ที่ร้านยิ่งเพิ่มรสชาติให้ลงตัวมากขึ้น จานแรกคือ Kaviari Kristal / Cream Fraiche / Shine Muscat Grape / Mango เรียกน้ำย่อยด้วยทาร์ตผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวที่ได้จากองุ่นไซมัสคัส ผสานมะม่วงสุกรสหวานฉ่ำ ตัดด้วยครีมชีสชั้นดี และรสเค็มกลมกล่อมของ Kaviari (คาเวียรี่) ตามด้วย Hokkaido King Scallop Ceviche / Samut Songkhram Pomelo / Passion Fruit Gel ยำในแบบฉบับของเปรูที่เชฟดาด้าเลือกใช้หอยเชลล์ฮอกไกโดเนื้อหวาน คลุกเคล้าส้มโอรสเปรี้ยวพอเหมาะจากจังหวัดสมุทรสงครามก่อนโรยด้วยเจลเสาวรสและคาเวียร์จากกรุงปารีส คนรักอาหารอิตาเลียนต้องสั่ง Burrata / Cherry Tomato / Balsamic Vinegar เนยแข็งสไตล์อิตาเลียนนุ่มเด้ง เข้าคู่มะเขือเทศเชอร์รี่จากเชียงใหม่ ที่ทั้งหวานและกรอบ ท็อปด้วยคาเวียรี่ชั้นดีเช่นเคย Seared Hokkaido King Scallops / Roasted Butternut Squash Purée / Roasted Macadamia ได้ความสดใหม่ของหอยเชลล์ฮอกไกโดตัวใหญ่ๆ ที่เชฟเซียมาอย่างดีเต็มพิกัด เนื้อสดหวานเข้ากันกับรสเค็มพอดีของคาเวียจากประเทศฝรั่งเศส ซุปข้นฟักทองบัตเตอร์นัต (ฟินมาก) และสัมผัสเคี้ยวสนุกของถั่วแมกคาเดเมีย ยังไม่อิ่มสั่ง Tsar – cut Japanese Hamachi / Yuzu Cream ปลาฮามาจิเนื้อสดที่เราคุ้นเคย เสิร์ฟมาในรูปทรงดอกกุหลาบแสนงดงาม ตกแต่งด้วยคาเวียรี่ขวัญใจสายฟู้ด ก่อนเพิ่มรสเปรี้ยวและกลิ่นหอมๆ ด้วยครีมยุซุ ปิดท้ายด้วยเมนูดาวเด่นแบบไม่ต้องพึ่งคาเวียรี่กันบ้างกับ Chanthaburi Soft Shell Crab / Crab Bisque ปูนิ่มกินง่ายที่ส่งตรงทางจังหวัดจันทบุรี ทอดกรอบร้อนจี๋ไม่อมน้ำมัน เสิร์ฟพร้อมซุปมันปูรสครีมมีเข้มข้น ทำเอาสายฟู้ดใจละลาย

Tina’s ร้านอาหารไฟน์ไดนิงสไตล์นิวออร์ลีนส์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจจากอาหารท้องถิ่นของรัฐลุยเซียนาทางตอนใต้ ผสมผสานรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของฝรั่งเศส สเปน แอฟริกัน อเมริกันพื้นเมือง อิตาลี และแคริบเบียนเข้าไว้ด้วยกัน สร้างความแปลกใหม่และชวนลิ้มลองได้น่าประทับใจยิ่ง เพราะนิวออร์ลีนส์เป็นเมืองที่ได้รับอิทธิพลทางด้านอาหารจากหลายประเทศข้างต้น ทำให้วัฒนธรรมการกินถูกผสมผสานเข้าไปในครัวท้องถิ่น อาหารทุกจานเต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความอุดมสมบูรณ์ของเมือง อันเป็นที่มาในการรังสรรค์เมนูของ Tina’s เชฟเดวิด คลีแลนด์ เชฟผู้เป็นเจ้าของร้านตั้งใจเนรมิต Tina’s ขึ้นอย่างหรูหราภายในซอยสวนพลู โดยมีแรงบันดาลใจจากคุณแม่ (Tina) ผู้เป็นชาวนิวออร์ลีนส์โดยกำเนิด ภายในร้านตกแต่งอย่างงดงามสไตล์นิวออร์ลีนส์ดั้งเดิมประดับด้วยภาพวาดสวยงาม ชั้นล่างมีบาร์เครื่องดื่มขนาดใหญ่รอต้อนรับแขกที่มาเยือน บันไดวนกลางร้านนำสู่ชั้นลอยที่เพิ่มความเป็นไพรเวตโซนมากขึ้น เชฟเดวิดพร้อมต้อนรับด้วยเมนูอาหารนิวออร์ลีนส์แบบต้นตำรับ ที่ผสมผสานเทคนิกและรสชาติอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของอเมริกาตอนใต้เข้าไว้ด้วยกัน อาทิ Shrimp and Grits กุ้งผัดซอสสไตล์ลุยเซียนา จับคู่มากับเบคอนและพาร์เมซานกริตเค้กกรุบกรอบ Jambalaya ข้าวผัดสไตล์ลุยเซียนาที่ผสมผสานทั้งข้าวเมล็ดสั้น กุ้ง ไก่ ไส้กรอกอันดูอิล สมุนไพร มะเขือเทศ และเครื่องเทศต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว Beef Tartare ที่เลือกใช้เนื้อสันในชั้นดี เสิร์ฟกับซอสเรมูลาดสไตล์หลุยเซียน่าสีส้มสวยและขนมปังฝรั่งเศสย่างถ่านกรอบและหอม กินพร้อมกันได้ความอร่อยครบรส Grouper Pontchartrain ปลาเก๋าจาก Pontchartrain ซึ่งเป็นทะเลสาบยอดนิยมของชาวออร์ลีนส์ นำมาปรุงแบบคลาสสิก เนื้อปลาฟิลเลต์แผ่นใหญ่วางซ้อนด้วยเนื้อแน่นๆ ของปูและเห็ด เสิร์ฟกับข้าวสมุนไพร Roast Baby Chicken เชฟใช้ไก่ฝรั่งเศสหมักเครื่องเทศและย่างในกระทะเหล็กหล่อเสิร์ฟพร้อมบิสกิตไส้กรอกอันดูอิล ราดด้วยซอสเคจัน ต้องไม่ลืมสั่ง Side Dish มากินเคียงด้วย แนะนำ Summer Squash Succotash สควอชผัดกับหอมแดงและเนยหอมๆ มีสมุนไพรและมะเขือเทศเชอรี่ย่าง หรือจะลองเป็น Macaroni & Cheese ที่ราดด้วยซอสโฮมเมดร้อนๆ ของทีน่าแล้วโรยเกล็ดขนมปัง นำไปอบจนกรอบและเป็นสีเหลืองทอง หอมกลิ่นชีสโชยเตะจมูก จบมื้อแห่งความสุขให้ฟินยิ่งขึ้นด้วย Pecan Pie สุดอร่อย เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลา เชิญร่วมสัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารชั้นเลิศสไตล์นิวออร์ลีนส์ใจกลางกรุงเทพมหานครได้แล้ววันนี้ ที่ร้าน Tina’s เปิดให้บริการทุกวันอังคารถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 17.30 - 23.30 น. สามารถจอดรถได้ที่โรงแรมซัมเมอร์เซ็ท ปาร์ค สวนพลู

Teppan France Kanda เสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสและญี่ปุ่นผสมผสานในรูปแบบของเทปันยากิ โดยเชฟโทชิอะกิ โอกามา (Toshiaki Ohkama) ผู้คร่ำหวอดในวงการการทำอาหารและการโรงแรมนานถึง 40 ปี จุดเด่นของร้านคือการดัดแปลงอาหารฝรั่งเศสซึ่งอาจจะรสชาติไม่ถูกปากชาวเอเชียมาปรุงด้วยวิธีการของตะวันออกโดยเฉพาะญี่ปุ่นอย่างการทำอาหารบนกระทะแบนร้อน หรือการทำซอส ก่อนนำมาเสิร์ฟเป็นแบบโอมากาเสะเพื่อสร้างสีสันใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนใคร เปิดฉากด้วยหมึกโฮตารุ บนซอสมะเขือเทศ ส่วนด้านบนคือเคเปอร์และโอลีฟออย กินกับแอสพารากัสและถั่วโซระมาเมะ Chicken Terrine ห่อปาเต้หมูกับไก่ ด้านในคือไส้ลูกพรุน จัดมาพร้อมมัสตาร์ดให้กินคู่กัน จานต่อมา เป็นคาร์ปัชชิโอปลาชิมะอาจิบนมะเขือม่วงย่าง ท็อปด้วยไข่คาเวียร์ เลม่อน ราดซอสพาร์สลีย์และซิตัสเจลลี่ มาถึงทีเด็ดเลยคือ ผัดกะหล่ำปลีกับฟัวกราส์ ซึ่งเป็นเมนูเทปันยากิที่ทำให้เชฟโทชิอะกิชนะการแข่งขันรายการ Iron Chef บนฟัวกราราดซอสลูกพรุนไวน์แดงและบัลซามิก ท็อปด้วยปลาข้าวสารกับวอลนัต ทำให้ได้ความกรอบของผักกับปลาและความฉ่ำซอสไปพร้อมๆ กัน ตัดรสเบาๆ ด้วย Marseille ซุปซีฟู้ดสไตล์ฝรั่งเศส ใส่ทั้งปลาอิซากิ หอยโฮตาเตะ และกุ้งคุรุมะ ส่วนซุปเย็นก็มีเป็นซุปหอมใหญ่เสิร์ฟในถ้วยช็อต ตัวละครหลักอีกตัวต้อง Sirloin steak โดยร้านเลือกใช้เนื้อ A5 Saga sirloin จัดมาคู่ซอสกาลิค แต่ถ้าใครไม่กินเนื้อ ทางร้านจะเสิร์ฟ Abalone steak พร้อมซอสบลูลูนิยองให้แทน นอกจากนี้ยังมีของหวานฝีมือเชฟโทชิอะกิให้เลือกลิ้มลองมากมาย อาทิ พายลูกแพร์ พุดดิงคาราเมล Compote ลูกพรุนใส่ไวน์แดง การ์โตว์โอเปร่า เค้กช็อคโกแลต ชีสเค้ก และทีรามิสุ หรือถ้าอยากกินไอศกรีมเย็นๆ ก็เลือกได้ตามใจ อาทิ รสชาเอิร์ลเกรย์ ราสเบอร์รี่ คาราเมล มะม่วง และวนิลา (ชาร้อน กาแฟร้อน และคุกกี้ก็มีนะ) เกือบลืมบอกว่าข้อดีของร้านนี้คือ เราสามารถแจ้งว่าอยากให้เสิร์ฟอาหารในงบประมาณเท่าไรได้ด้วยนะ ทางร้านก็จะเตรียมให้ตรงกับความต้องการของเรา รับรองว่าอิ่มอร่อย คุ้มค่า คุ้มราคาแน่นอน

ใครที่กำลังหาสถานที่พบปะเพื่อนฝูงหรือไว้ผ่อนคลายหลังเลิกงาน BESIDES UMI @Velaa ตอบโจทย์ทุกข้อ เพราะที่นี่คือร้านกินดื่มสไตล์ญี่ปุ่นในเครือ Umi แบรนด์โอมากาเสะพรีเมียมที่เปิดมานานกว่า 10 ปี ซึ่งร้านลูกแห่งนี้เกิดจากการระดมความคิดของหุ้นส่วนทุกคนที่ต้องการเปิดร้านอะไรก็ได้ที่เปิดกว้างเรื่องเมนู รสชาติ วัตถุดิบ เครื่องปรุง รวมถึงชนิดของอาหารที่เสิร์ฟที่ทางทีมอยากจะทำแต่ไม่สามารถขายในฝั่งของ Umi ได้ ดังนั้นจึงเกิดเป็น 'BESIDES Umi' หรือที่แปลว่า 'นอกเหนือจาก Umi' แล้ว ยังมีอาหารรสชาติใหม่ๆ ที่รอให้เข้าไปค้นหาด้วยตัวเอง ภายใตคอนเซ็ปต์ Easy Going Food Bar เน้นเสิร์ฟอาหารแนวอิซากายะที่คัดสรรวัตถุดิบพรีเมียมมาเสิร์ฟแต่ยังคงความเข้าถึงง่ายด้วยบรรยากาศเป็นกันเองระหว่างเชฟ พนักงาน และผู้มาเยือน ตัวร้านอยู่ติดกับ Umi Velaa ร้านโอมากาเสะพรีเมียมที่เพิ่งเปิดเมื่อปลายปีที่แล้วเช่นกัน แต่ประตูทางเข้าแบ่งเขตกันชัดเจนด้วยโทนสีดำและไม้ เมื่อเปิดประตูบานสีดำเข้าไปจะพบกับบาร์ขนาดใหญ่ที่สามารถนั่งดูเชฟรังสรรค์มื้อพิเศษได้อย่างใกล้ชิด ด้านบนตกแต่งด้วยขวดเครื่องดื่มชั้นเลิศที่สามารถจิ้มมาดื่มคู่กับอาหารได้ ภายในร้านดูปลอดโปร่งด้วยกระจกใสบานใหญ่ ด้านข้างเป็นกระจกเงาเพื่อให้ห้องดูกว้างขึ้น มีโต๊ะที่สามารถจับกลุ่มนั่งคุยกันได้ระหว่างรับประทานอาหาร หากสังเกตดีๆ ทุกครั้งที่เปลี่ยนฤดูกาล ลายหน้าร้านก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย เป็นการเก็บรายละเอียดเล็กๆ ที่บ่งบอกถึงความใส่ใจ แม้กระทั่งแผ่นเมนูที่เปลี่ยนลายไปตามสีประจำวัน (เราไปวันพุธได้สีเขียว) เป็นกิมมิกน่ารักๆ ที่ร้านตั้งใจใส่เข้าไป เริ่มกันที่ Jasmine Wagyu Sirloin Yukke เชฟนำเนื้อเซอร์ลอยน์ไปอบให้ผิวนอกสุกเล็กน้อยแต่เนื้อในยังดิบอยู่ก่อนนำไปคลุกเคล้าซอสรสเข้มข้น ก่อนกินให้เจาะไข่แดงด้านบนแล้วคลุกให้ทั่ว ได้รสเค็มนำหวานปลายลิ้น มีความนัวของไข่แดง และหอมกลิ่นน้ำมันงา ต่อด้วย Ebi Miso Sauté River Prawn เนื้อกุ้งแม่น้ำอบแล้วผัดกับมิโซะตัดเลี่ยนด้วยพริกญี่ปุ่น ได้รสเค็มๆ มันๆ หอมกลิ่นมันกุ้ง ตัดรสชาติด้วยยามะโกโบดองที่ให้รสเปรี้ยวเล็กน้อย มีสัมผัสกรุบกรอบเคี้ยวสนุก ถัดมาเป็น Omakase Sushi Nigiri (5 Pieces) ซูชิ 5 คำ ประกอบด้วย มาได ชิมะอาจิ อาโอริอิกะ อากามิ และชูโทโร่ เนื้อสดและหวานมาก แต่รสชาติของโชยุจะมีความเข้มข้นกว่าฝั่งของ Umi เพื่อให้เข้ากันได้ดีกับการกินดื่ม Umi Vongole Pasta สปาเกตตีเส้นสุกกำลังดีมีกลิ่นหอมของหอยลายจากน้ำสตอกที่เชฟนำมาต้มจนเส้นดูดน้ำเข้าไป กินกับหอยลายตัวโต ให้รสกลมกล่อม อร่อยทีเดียว ตามด้วย Organic Ground Beef Japanese Curry Rice ข้าวแกงกะหรี่เนื้อน่องลายออร์แกนิกบด เสิร์ฟสไตล์ญี่ปุ่น ให้รสเข้มข้น มีความหอมของเครื่องเทศ และอย่าพลาด Jasmine Wagyu Boneless Short Rib เนื้อส่วน Short Rib สไลซ์พอดีคำ นำไปย่างจนผิวนอกกรอบหอมกลิ่นสโมก แต่เนื้อในยังอมชมพู ได้รสหวานๆ เค็มๆ จากซอสสูตรเฉพาะที่ราดมา เคียงคู่มากับเห็ดย่างและหอมหัวใหญ่ผัดกับกระเทียมซอสโชยุ อร่อยจนอยากสั่งเพิ่มอีกจาน ต้องหาเวลาไปกินอีกให้ได้!

จากความโดดเด่นของร้านที่ใช้เตาถ่านปรุงอาหาร กลายเป็นที่มาของชื่อร้าน Charbon (ชาร์บง ภาษาฝรั่งเศสแปลว่า ถ่าน) ซึ่งแต่ละจานมีกลิ่นหอมเฉพาะที่ได้จากถ่านบินโจตันของญี่ปุ่น ถ่านที่มีข้อดีคือการดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ ไม่ทำให้เกิดควัน และให้ความร้อนก็คงที่อีกด้วย เมนูที่ส่งตรงจากเตา ออกโตพุสออสเตรเลียนฟรีแมนเทิลย่างถ่านราดซอสโรเมสโก ท็อปด้วยยี่หร่าฝรั่ง หนวดหมึกยักษ์นำมาซูวีดแล้วย่างบนเตาถ่านเพื่อให้เนื้อมีกลิ่นหอม ผัดหอยลาย ราดน้ำสต๊อกดาชิยอดนิยมของญี่ปุ่น และน้ำมันล็อบสเตอร์หอมมัน เสิร์ฟมาเต็มถ้วยใบใหญ่ ส่วนเมนูที่ดูเหมือนจะธรรมดาอย่าง Fish & Chips แต่ชาร์บงก็ทำให้ตื่นตาตื่นใจได้ด้วยการเสิร์ฟเนื้อปลาเฮกชิ้นโตชุบด้วยแป้งชาร์โคลเพิ่มสีสันให้เมนูนี้ได้อย่างดีเยี่ยม แป้งทอดจนกรอบได้สัมผัสกรุบกรอบที่ผิวนอกแต่เนื้อใน กินกับ Triple Fries และ Bell Pepper Ketchup เข้ากันที่สุด นอกจากปลาเฮกแล้วยังมีออทัมแมกเคอเรลย่างเตาถ่าน ซึ่งผ่านการดรายเอจมาแล้ว 2 วัน หนังกรอบ หอมกลิ่นย่าง ราดด้วยซอสมัสตาร์ดรสปรี้ยวเล็กน้อย กินคู่กันแล้วช่วยชูรสชาติของปลาแมกเคอเรลได้อย่างอร่อย ขาดไม่ได้เลยก็คือ “เนื้อ” ขอแนะนำ Hanger Steak ราดซอส Beef Fat Chimichurri ทั้งหอมและนุ่มละมุนลิ้น เพราะใช้เนื้อออสเตรเลียวากิวเฉพาะส่วน Hanger Steak ซึ่งจะได้เพียง 1 ชิ้น จากวัวแต่ละตัวเท่านั้น นำไปดรายเอจทำให้ได้เนื้อนุ่ม เคี้ยวง่ายแทบละลายในปาก   ของหวานก็พลาดไม่ได้เลยกับ Chocolate Lava Cake ราด Smoked Caramel โรยโกโก้นิบส์ จัดตกแต่งมาอย่างสวยงาม เนื้อเค้กเนียนสวย ไส้ลาวาช็อกโกแลตรสเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลาเย็นสดชื่นตัดกัน อร่อยหมดคำ หรือจะลองแครมบรูเลหวานหอมสักถ้วยดี?                               ขณะกินก็นั่งมองเชฟย่างเนื้อให้ดูตรงหน้า ได้ทั้งกลิ่นหอม และมั่นใจว่าวัตถุดิบสดใหม่จริงๆ

ไม่ใช่ความบังเอิญที่ทำให้เราเจอกัน แต่เป็นความตั้งใจอย่างยิ่งยวดที่จะมาสัมผัสกับบรรยากาศของ ร้านที่ถูกกล่าวขานในโลกโซเชียลตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว W’s Britto ตั้งอยู่ชั้นล่างของโรงแรม Cherie แยกสำราญราษฎร์ การตกแต่งล้อไปกับโรงแรมที่ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์โคโรเนียล ที่เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 5-6 และยังเข้ากับบริบทของเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยอาคารอายุกว่า 100 ปี ทั้งประตูโค้ง เสาปูน พื้นปูกระเบื้องลายดำสลับขาว สอดรับกับบันไดเวียนหินอ่อนที่ทอดตัวสู่ชั้นลอยที่วางโซฟาสีน้ำเงินให้นั่งชิลเล่น เมนูอาหารมีทั้งสไตล์ไทยและตะวันตก เพราะอยากให้เป็นจุดนัดพบของคนจากทั่วโลก เริ่มที่ ยำวุ้นเส้นหมูสับโบราณ วุ้นเส้นเหนียวนุ่ม ปรุงรสแบบต้นตำรับ เสริมทัพด้วยหมูสับ เส้นแก้ว กุ้งแห้ง หอมซอย คื่นช่าย และถั่วลิสง สลัดกุ้งย่างกับน้ำสลัดมิกซ์เบอร์รี เมนูอุดมวิตามินเพราะมีทั้งผักสลัด สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ โรยชีสพาเมซาน คลุกเคล้ากับน้ำสลัดมิกซ์เบอร์รี่ สดชื่นทุกคำที่เข้าปาก ผัดไทยกุ้ง เส้นเหนียวนุ่มฉ่ำซอสสูตรลับเฉพาะแล้วท็อปด้วยกุ้งใหญ่ นอกจากอาหารไทยยังเอาใจชาวต่างชาติด้วยนาโชหมู นาโชแผ่นบางกรอบ ท็อปด้วยหมูสับคลุกเคล้ากับมะเขือเทศสับ ชีส และซัลซา รสเปรี้ยวสดชื่น ถ้ายังไหวไปต่อกับครัวซองต์แป้งกรอบนอกฉ่ำใน ประกบไส้แน่นๆ ทั้งไข่คนและเบคอน สั่งมากินเป็นจานหลักก็อิ่มเบาสบายท้อง หรือจะกินรองท้องก่อนมื้อต่อไปก็ได้ สำหรับเครื่องดื่มยกให้ ชาไทยมะตูม หวานฉ่ำเหมาะกับการดื่มล้างปาก หรือ คาราเมลแอปเปิ้ลพาย ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเช่นเดียวกัน อิ่มจุใจแล้วก็ได้เวลาเดินย่อยอาหารเก็บภาพบรรยากาศของย่านเมืองเก่า เริ่มจากเสาชิงช้า ศาลาว่าการกรุงเทพ วัดสุทัศน์ ศาลเจ้าพ่อเสือ หรือเดินมาทางถนนดินสอเลี้ยวเข้าถนนราชดำเนินก็มีร้านอาหารและขนมหวานอร่อยๆ ตลอดเส้นทางให้ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน   จัดเป็นวันเดย์ทริปก็ดีนะ!

เพราะเราใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเมือง การจะปลีกตัวไปพักผ่อนตากอากาศนอกเมืองก็ทำได้ไม่บ่อยนัก พอได้พบกับ The Carnival BKK ที่ยกบ้านพักตากอากาศริมทะเลแถบเมดิเตอร์เรเนียนมาไว้ที่บางนา ที่นี่จึงกลายเป็นจุดรวมพลแห่งใหม่ที่อยากแวะมาเมื่อไหร่ก็ทำได้ง่ายๆ ตัวร้านอยู่ด้านหลัง FO SHO BRO คาเฟ่ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน คั่นด้วยสวนสวยก่อนเข้าสู่ประตูที่อยู่ถัดไป เราชอบความตั้งใจของร้านที่อยากอวดโครงสร้างผนังอิฐ แต่ลดทอนความดิบด้วยการฉาบสีขาว เพิ่มกระจกโค้งสูงจรดเพดานเพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และของประดับที่ให้ความรู้สึกแบบรัสติก อาทิ รูปภาพ แจกันดินเผา และโคมไฟ มู้ดแอนด์โทนโดยรวมจึงดูอบอุ่นชวนให้เอนหลังนานๆ สำหรับเมนูของร้านนำเสนอบรันช์ที่สั่งได้ทั้งวัน เมนูแรกอยากให้ลอง Pizza Magarita พิซซ่าต้นตำรับนโปลี เด่นที่แป้งและซอสที่เชฟทำเองทุกขั้นตอน เสิร์ฟร้อนๆ หอมชีส หอมใบโหระพา ต่อด้วย Aglio Olio with Homemade sausage สปาเก็ตตี้ซิกเนเจอร์ที่ชูไส้กรอกสูตรเด็ดเป็นไฮไลท์ รสชาติคล้ายไส้อั่วไทยผสมกับไส้กรอกแบบตะวันตก กลมกล่อม ถึงเครื่องถึงรส จนต้องยกนิ้วให้ Salmon Steak สเต๊กแซลมอน ผิวเกรียมนิดๆ เนื้อนุ่มฉ่ำ วางบนซอสเข้มข้นที่ช่วยดึงรสชาติของแซลมอนให้โดดเด่นยิ่งขึ้น สำหรับเครื่องดื่มถือเป็นเดอะมัสต์มีทั้งคาร์ฟเบียร์ ไวน์ ค็อกเทล และม็อกเทล สั่งมาจับคู่กับอาหารได้อย่างลงตัว มื้อนี้เราลองเครื่องดื่มเบาๆ ที่เข้ากับอากาศยามบ่ายอย่าง Sun Rise ชาที่มีส่วนผสมของซิตรัส ส้มยูซุ เข้มข้น รสหวานอมเปรี้ยว Earl Grey Lemon ชาเอิร์ลเกรย์ผสมเลมอน แก้วนี้รสเบา ไม่เปรี้ยวจี๊ด ไม่หวานจัด จิบได้เพลินๆ และเมนูสุดฮอต Sex on the Beach รวมความสดชื่นของน้ำส้ม สับปะรด และแครนเบอร์รี่ ตกแต่งแก้วในบรรยากาศสบายๆ เหมือนนั่งอยู่ชายหาด แค่ดื่มก็คืนความกระปรี้กระเปร่าเกินร้อย อยู่กรุงเทพฯ แต่เหมือนมาเที่ยวบ้านพักตากอากาศได้ทุกวันที่ The Carnival BKK

3 Cats Toast Hut บ้านไม้สไตล์โฮมมี่ที่รีโนเวทให้กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนใหม่ มีคาแรคเตอร์แมวสุดหล่อ 3 ตัว ชื่อ บราวนี่ ฮอปเปอร์ และชูการ์ เป็นเซเลบประจำร้าน น้องจะซ่อนตัวอยู่ในมุมต่างๆ ให้เราเผลอยิ้มทุกครั้งที่ได้เห็น แม้เป็นบ้านหลังน้อยแต่มีพื้นที่ให้เลือกนั่งชิลหลายโซน ทั้งในสวนหน้าบ้านและข้างบ้าน แต่ถ้าอากาศกลางวันยังร้อนเกิน แนะนำในบ้านที่ติดแอร์เย็นฉ่ำจะสบายตัวกว่า ตัวบ้านมี 2 ชั้นให้เลือกนั่งเอนหลัง เหยียดแขนขาได้อย่างเต็มที่ ขอแค่อย่าเผลองีบก็แล้วกัน   เมนูแนะนำ มีทั้งอาหารจานเดียวแบบออล์เดย์ โทสต์ และเครื่องดื่ม ให้กินรองท้องหรือจะกินเป็นมื้อหลักก็สั่งได้ อาทิ ข้าวผัดปลาทูคะน้าพริกสด ซิกเนเจอร์การันตีโดยน้องเหมียวทั้ง 3 ว่าอร่อยของแทร่ ปลาทูเนื้อแน่น มันนัว ผัดกับข้าวสวยเข้ากันดี มีรสเผ็ดนิดๆ แต่เด็กกินได้สบายปาก ข้าวผัดอเมริกันสไตล์ฮ่องกงไข่ข้น เมนูสุดฮอตที่กินได้ทุกเจนเนอเรชั่น เครื่องเคราอัดแน่น สั่งจานเดียวก็อิ่มจุกแล้ว มาถึงร้าน 3 เหมียวถ้าไม่สั่งโทสต์เหมือนมาไม่ถึง เราแนะนำ กล้วยหิมะกับซอสเลมอน ขนมปังเนยสดที่ชุ่มเนยสุดๆ ท็อปด้วยกล้วยหอมผ่าซีก ราดคาราเมลเข้มข้นแล้วเบิร์นไฟ กัดแล้วได้เทกเจอร์หลากหลายในคำเดียว เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด อร่อยครบทุกองค์ประกอบจนอยากกลับมากินซ้ำ สำหรับเครื่องดื่ม แนะนำ ช็อกโกแลตเย็น ช็อกโกแลตเกรดพรีเมียมที่มีรสชาติเข้มข้นแบบช็อกโกแลตแท้ หวานกำลังดี ดื่มได้เรื่อยๆ แบบไม่เลี่ยน และเอิร์ลเกรย์เลมอน เหมาะกับคนที่มองหาเครื่องดื่มเบาๆ เราว่าแก้วนี้เหมาะมาก รสเปรี้ยวอมหวาน ดื่มแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เดินออกแดดได้ไม่เพลีย (ยกเว้นแดดเที่ยงนะ ^_^) ใครอยู่ย่านสีลมอยากหามุมสงบ หลบมามุมนี้!

เปิดตัวไปเมื่อกลางปีที่แล้วก็กลายเป็นขวัญใจนักชิมไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ Mimosa Mediterranean Restaurant ร้านอาหารเมดิเตอร์เรเนียนบรรยากาศสนุกแห่งย่านสาทรใต้ ที่ครั้งนี้ครีเอท “เมนูบรันช์” (All Day)เอาใจหนุ่ม-สาวชาวออฟฟิตย่านสาทรให้มาลิ้มลองมื้อสายสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ที่เน้นความสดของวัตถุดิบ แถมยังมีพิซซาโฮมเมด ซิกเนเจอร์ของทางร้านพร้อมเสิร์ฟเช่นเคย เปิดด้วย Tuna Crostino แซนด์วิชหน้าเปิดชิ้นโตนี้ประกอบด้วย ขนมปังซาวโดวจ์โฮมเมดปิ้งเกรียมๆ ทูน่าเนื้อสดจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผักร็อคเกต เคเปอร์ ใบเบซิลและซอส Spicy Rojo Aioli รสเผ็ดเล็กๆ ตามด้วย Prawn Cocktail โทสต์เนื้อฉ่ำในหอมกลิ่นเนยละมุน เข้าคู่กับอะโวคาโดบด และซอสค็อกเทลรสกลมกล่อม เพิ่มความกรุบกรอบด้วยผักสลัด และกุ้งเนื้อหวานพระเอกของจาน ไปต่อเรื่อยๆ กับ BLT French Toast ที่เอาใจนักกินด้วยเบคอนรสเค็มได้ที่ เข้าคู่กับไข่คนอิ่มเอม มะเขือเทศและขนมปังโทสต์นุ่มฟู ก่อนเพิ่มความหอมมันด้วยชีสและซอสมัสตาร์ดกระเทียม Mediterranean Mozza แป้งพิซซาโฮมเมดสไตล์อิตาเลียน เสิร์ฟคู่ซอสดิป 4 สไตล์ ได้แก่ รูแม็สกู ซอสมะเขือเทศสไตล์สเปน ทาปานาท ซอสมะกอกดำในแบบฉบับฝรั่งเศสตอนใต้ เพลสโต กลิ่นหอมที่เราคุ้นเคย และสุดท้ายเป็น ซอสมะเขือม่วงกับกรีกโยเกิร์ต สายหวานต้องนี่ Chocolate French Toast โทสต์เนื้อนุ่มฉ่ำใน เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลาทำเองรสหวานมัน ราดซอสช็อกโกแลตรสเข้มฉ่ำๆ ท็อปปิ้งด้วยสตรอว์เบอร์รี และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ Tropical Chia ก็น่าสนใจ พุดดิ้งเมล็ดเจียกินง่าย ที่ได้ความครีมมีของกะทิ และรสเปรี้ยวอมหวานของผลไม้ฤดูร้อนอย่าง สับปะรด เสาวรส และมะม่วงอย่างเต็มเปา ปิดท้ายด้วยน้ำผลไม้คั้นสด Red ที่มีส่วนผสมของบีตรูต สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี แอปเปิ้ล ส้ม เติมรสเผ็ดซ่าด้วยขิง Orange น้ำผลไม้สีส้มที่เป็นการรวมตัวกันของส้ม แครอต สับปะรด และแอปเปิ้ล Green รสเปรี้ยวอมหวานนี้ได้จากแอปเปิ้ล น้ำมะนาว แตงกวา ผักเคลและน้ำผึ้ง

โยกย้ายโลเคชั่นทั้งที  ‘ มิกกี้ส์ไดเนอร์ ’ ก็ไม่ทำให้เหล่าแฟนๆ ผิดหวัง ปรับโฉมร้านให้เท่สะดุดตา จนแทบจำร้านเดิมไม่ได้ จุดเด่นคือดีไซน์ของผนังและเคานเตอร์บาร์สแตนเลสที่ทำให้ร้านดูหรูหราและคูลไปพร้อมกัน โดยไม่ได้ทิ้งความเป็นอเมริกันด้วยการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของยุค 60's สวยเก๋ลงตัวแบบไม่ขัดตา ในส่วนของเมนูยังคงจัดเต็มด้วย American Comfort Food และ All Day Breakfast ที่ลงลึกและคัดสรรแต่วัตถุดิบคุณภาพดีมาเสิร์ฟเป็นเมนูจานใหญ่ท็อปปิ้งแน่นเช่นเดิม ซึ่งสามารถแวะมากินดื่มเอ็นจอยได้ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ เมนูแรก Cobb Salad (320.-) สลัดประจำบ้านของชาวอเมริกันประกอบด้วยไข่ อะโวคาโด มะเขือเทศ บลูชีสและเบคอน เสิร์ฟคู่น้ำสลัดครีมอร่อยได้สุขภาพ ต่อด้วย Clam Chowder Soup (350.-) ซุปครีมหอยสไตล์นิวอิงแลนด์ หอมมันนัวครีมจับคู่มากับบาแกตต์ กินพร้อมกันอร่อยลงตัว เมนูไฮไลต์ยกให้ Chicken & Waffle (480.-) จากวัฟเฟิลกรอบกรอบฟู ท็อปด้วยไก่ทอดที่นำไปแช่บัตเตอร์มิลก์พร้อมชุบแป้งทอดอีก 2 รอบ กินพร้อมเนย และเมเปิลไซรัป และ American Fried Chicken Combo (340.-) ข้าวผัดอเมริกันจานยักษ์ ท็อปปิ้งแน่นทั้ง ไก่ทอด แฮม เบคอน และไข่ออนเซน รสชาติกลมกล่อมสมคำร่ำลือ หรือจะเลือกเป็นเมนูพิเศษที่เสิร์ฟแบบจำกัดจานต่อวัน Blooming Onion (220.-) หอมหัวใหญ่แช่บัตเตอร์มิลก์ชุบแป้งทอด ที่ผ่านการคัดไซส์มาอย่างดี เสิร์ฟพร้อมซอสครีมรสเปรี้ยวนิดๆ

อบอุ่นน่าประทับใจไปอีกขั้นสำหรับ OOO BKK คาเฟ่ฮอตฮิตย่านทาวน์อินทาว์นที่ล่าสุดเปลี่ยนโลเคชั่นย้ายเข้าสู่บ้านหลังใหม่ภายในซอยพระรามเก้า 29 มาพร้อมบรรยากาศสุดคลาสสิกสไตล์ Mid-Century Modern เน้นดีไซน์ที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของความวินเทจ นอกจากการปรับเปลี่ยนโลเคชั่นแล้ว ทางร้านยังเติมสีสันใหม่ๆ ในตัวเมนูด้วยการอัพเดตเมนูบรันช์ให้หลากหลายมากขึ้น รวมถึงเปลี่ยนมู้ดเป็นไวน์บาร์ในยามค่ำคืนเพื่อเสิร์ฟเนเชอรัลไวน์คู่กับอาหารรสเลิศ ตอบโจทย์ทุกความต้องการ เริ่มด้วยบรันช์อย่าง Gochujang prawn toast (390.-) ขนมปังซาวโดวจ์ท็อปด้วยกุ้งย่างคลุกซอสโกชูจังและอะโวคาโดบด ตัดเลี่ยนด้วยหอมแดงดองและสาหร่ายทอดกรอบ ถัดไปเป็น Scallop Seaweed Pasta (690.-) พาสต้าที่ผัดกับน้ำสตอคหอยปรุงรสจนกลมกล่อมท็อปมาด้วยอิกุระ สาหร่ายทะเล และโฮตาเตะเนื้อเด้งหนึบ เครื่องดื่มแนะนำ Chamomile Bergamot & Citrus Foam (160.-) เครื่องดื่มรีเฟรชชิ่งจากชาคาโมมายผสานรสเปรี้ยวหวานของใบมะกรูดและน้ำผึ้ง เสริมความนุ่มนวลด้วยซีตรัสโฟมน้ำผึ้งด้านบน ในส่วนของดินเนอร์ต้องลอง Pork Chop Mustard Sauce (420.-) พอร์คชอปไซส์ใหญ่ย่างมาความสุกกำลังดีเนื้อนุ่มเด้งสู้ฟัน เสริมรสเปรี้ยวเค็มเบาๆ จากมัสตาร์ดซอส เสิร์ฟคู่กับมันมันฝรั่งย่าง แพร์ริ่งกับไวน์อร่อยลงตัว

บนชั้น 2 ของ BK SALON สาธุประดิษฐ์เป็นที่ตั้งของ Ōre เชฟส์เทเบิลกับเคาน์เตอร์บาร์ยาว 8 ที่นั่งล้อมรอบครัวเปิดให้เราเห็นเชฟ Dimitrios Moudios และทีมง่วนอยู่กับเทสติงเมนูกว่า 20 เมนูที่เชฟบอกว่าไม่จำกัดสัญชาติ เหมือนโชว์สุดเจ๋งที่มีกลิ่นควันไฟหอมๆ ลอยประกอบ เชฟ Dimitrios เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากร้านดังมาแล้วหลายประเทศ Ōre จึงเป็นห้องทดลองครั้งใหม่ เชฟหยิบวัตถุดิบท้องถิ่นมานำเสนอผ่านการหมัก การย่าง พรีเซนต์หน้าตาอาหารแปลกตา (มองเผินๆ เหมือนมาร้านโอมากาเสะ แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว) แพริ่งกับชาที่เข้ากันอย่างราบรื่นตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้าย เพราะที่นี่ใช้น้ำแร่ธรรมชาติ Sai Yok Springs ในการทำอาหาร ค่ำนี้จึงเริ่มด้วยน้ำแร่ต้มที่เพิ่มกลิ่นหอมด้วยผิวมะกรูด ตามด้วยเทสติงเมนูที่ไล่รสชาติไปเรื่อยๆ กว่า 20 เมนู ให้สนุกกับรสเปรี้ยว รสหวาน ความกรอบ ความนุ่มที่ได้จากเนื้อ ปลา ผลไม้ และสารพันผัก อาทิ สตรอว์เบอร์รีมาพร้อมลาร์โด (Lardo) หมักด้วยมะแขว่น ข้าวโพดอ่อนย่างทาด้วยซอยซอส (Soy Sauce) รสเค็มนิดๆ และแยมมัลเบอร์รีเสิร์ฟในฝักข้าวโพดอีกที มันหวานต้มในน้ำแร่นุ่มหวาน สโมกแล้วเสิร์ฟร้อมเต้าหู้หมัก ปลากะพงแดงซาชิมิ ด้านในมีเม็ดมะละกอ จิ้มกับโชยุทำเองรสกลมกล่อม อีกเมนูที่เราชอบเนื้อสัมผัสคือถั่วหวานย่าง ใส่เนื้อปลาหมึกชิ้นเล็กๆ คาเวียร์ และมีฟิงเกอร์ไลม์ให้บีบชูรส ได้ทั้งความมันและกรุบกรอบในหนึ่งคำ ปูนิ่มเทมปุระห่อใบชิโซะเมนูนี้พรีเซนเทชันอู่ฟู่ เสิร์ฟพร้อมมะม่วงเบาให้บีบแทนเลมอน ลูกฟิกส์ย่างฉ่ำๆ กินกับซอสพริกแกงแดง บนหน้าเป็นดอกกุหลาบย่าง เนื้อเสือร้องไห้รมควัน เม็ดเล็กๆ บนหน้าคือน้ำพริกเผาเพิ่มรสเข้มข้น อีกจานที่ตื่นเต้นทั้งโต๊ะคือเนื้อทาร์ทาร์คลุมด้วยดอกแนสเตอร์เตียมแสนสวยให้กินได้ทั้งคำ ของหวานมีทั้งซอร์เบต์กีวีรสเปรี้ยวสดชื่นกับซอสที่ทำจากใบชะมวง ผักชีลาว และพาร์สลีย์ รวมถึงไอศกรีมมะพร้าว ราดด้วยชาเข้มๆ แบบอัฟโฟกาโต  เข้ากันดีเชียว

ใครกำลังมองหามุมฮีลใจในวันว้าวุ่นที่ทั้งเงียบสงบและผ่อนคลาย แนะนำ “เวฬาภิรมย์” ห้องอาหารในโรงแรมวิลล่าเทวา รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล กรุงเทพ ตกแต่งสไตล์ไทยโมเดิร์นล้อไปกับคอนเซ็ปต์ของโรงแรมคือ “สัมผัสแห่งไทย” ด้วยดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เสมือนภาพฉายในอดีตของสาทรที่หลายคนยังคงคิดถึง เวฬาภิรมย์เน้นปรุงอาหารไทยต้นตำรับในแบบฉบับไฟน์ไดนิง จากวัตถุดิบในท้องถิ่นที่เชฟเดินทางไปเสาะแสวงหาด้วยตัวเอง เพื่อให้ได้รสชาติเข้มข้นแบบต้นตำรับ อาทิ ยำส้มโอกุ้งสด เชฟเลือกใช้ส้มโอพันธุ์ทองดีจากนครปฐมที่มีรสหวานฉ่ำแซมเปรี้ยวนิดๆ ราดน้ำยำที่มีส่วนผสมของกะปิคั่วและน้ำมะขาม เสริมทัพด้วยกุ้งลวกและเครื่องสมุนไพร คลุกเคล้าจนเข้ากัน รสชาติจัดจ้านถึงใจ ไม่ว่าจะกินมื้อไหนก็ได้ความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ต่อด้วย แกงปูใบชะพลู เครื่องแกงโขลกใหม่ๆ ใส่ปลาเนื้ออ่อนตากแห้งที่ผ่านการย่างหอมๆ เพิ่มดีกรีความเข้มข้นให้น้ำแกงไปอีกขั้น ส่วนไฮไลท์เราขอเทใจให้เนื้อปูสดๆ จากเรือประมงเล็กของชาวบ้านซึ่งเชฟใจดีใส่ให้เต็มที่ไม่มีอั้น ถัดมาคือ ต้มข่าหอยเชลล์ญี่ปุ่นย่าง เมนูคู่ครัวไทยที่เซอร์ไพรส์สายกินด้วยหอยเชลล์ญี่ปุ่นตัวใหญ่ เนื้อแน่นเคี้ยวหนึบและซึมซับน้ำแกงที่หอมกรุ่นด้วยกลิ่นข่าและเครื่องสมุนไพร สายเนื้อต้องลอง สเต็กเนื้อวากิว เนื้อนุ่มฉ่ำที่เราสามารถเลือกระดับความสุกได้ตามชอบ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วรสแซ่บ ช่วยชูรสให้ว้าวขึ้นอีกเท่าตัว ปิดท้ายด้วยของหวาน กล้วยไข่เชื่อมทรงเครื่อง หากยังไม่รีบไปไหนอยากให้ลองชุดน้ำชายามบ่าย แล้วย้ายออกมานั่งรับลมริมสระว่ายน้ำจะเพลิดเพลินดีต่อใจยิ่งนัก หรือยังไม่มีโปรแกรมไปไหนจะสั่งชุดน้ำชายามบ่ายมานั่งละเลียดริมสระ  เก็บเป็นโมเมนต์สุดประทับใจก็ได้อีกเช่นเดียวกัน “เวฬาภิรมย์” มุมรื่นรมย์ที่ใครก็เข้าถึงได้จริงๆ

ไม่ต้องเท้าความหลังเพราะห้องอาหารกรีนเฮ้าส์ โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ เป็นที่รู้จักกันดีของสายกินมานานกว่า 30 ปี จากฝีไม้ลายมือของเชฟมัก คิน ไฟ เชฟชาวฮ่องกงผู้อยู่เบื้องหลังเมนูเด็ดกว่าร้อยรายการ ช่วงนี้ห้องอาหารปิดรีโนเวทแต่ถ้าคิดถึงรสมือเชฟ แนะนำที่ The Greenhouse Congee & Noodles by The Landmark Bangkok พื้นที่ความอร่อยแห่งใหม่เอาใจชาวทองหล่อ ยกขบวนเมนูเด็ดมาแบบจัดเต็ม ฮอตตลอดกาลยกให้ โจ๊กลูกชิ้นหมูไข่เยี่ยวม้า เชฟใช้ปลายข้าวหอมมะลิ (ข้าวหัก) และข้าวเก่าผสมข้าวใหม่ เคี่ยวกับน้ำสต๊อกปลาแซลมอนนานกว่า 2-3 ชั่วโมง จนได้โจ๊กเนื้อเนียนข้น เหนียว นุ่ม ฟู ดับคาวด้วยขิงแก่ เคล็ดลับคือใส่น้ำเต้าหู้ไปด้วยช่วยเพิ่มกลิ่นหอมละมุนและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เสริมทัพด้วยลูกชิ้นหมูที่ทำจากเนื้อหมู 70% มันหมู 30% ใส่น้ำมันงาและแป้งมัน ทำให้เนื้อนุ่ม เด้ง กินกับไข่เยี่ยวม้า รสชาติมันๆ นัวๆ เข้ากันมาก เมนูคู่โต๊ะคือ เฉโป (หมูกรอบ, หมูแดง, เป็ดย่าง) หมูแดง สันคอหมูหมักด้วยเครื่องปรุงสูตรพิเศษนาน 4-5 ชั่วโมง จากนั้นนำมาย่าง 45 นาที เนื้อแน่นหนึบรสออกหวานนิดๆ หมูกรอบ นำหมูส่วนท้องมาต้มแล้วล้างด้วยเกลือ อบอีก 1 ชั่วโมง จึงนำมาตากแห้งก่อนย่างด้วยไฟอ่อนจนเนื้อนุ่ม หนังตึงกรอบ ก็พร้อมเสิร์ฟ และ เป็ด ที่มีกรรมวิธีการทำหลายขั้นตอน ทั้งลวกและขึ้นสีด้วยแบะแซ อบด้วยไฟอ่อนๆ 40 นาที ต่อด้วยตากและเป่าลม 2 ชั่วโมง ย่างอีก 2 ชั่วโมง ซึ่งเคล็ดลับขั้นตอนนี้จะเริ่มที่ไฟแรง 250 องศา แล้วค่อยๆ ลดไฟ ทำให้เนื้อนุ่ม หนังกรอบ อย่าลืมเพิ่มรสด้วยน้ำราดชุ่มๆ ก่อนส่งเข้าปาก อร่อยจนอยากสั่งเพิ่ม    บะหมี่เกี๊ยวกุ้งทรงเครื่อง เริ่มจากบะหมี่ไข่โฮมเมดที่เชฟใส่ใจทุกขั้นตอน ทั้งนวดและคลึงแป้งด้วยไม้ไผ่ นำมาลวกให้สุกพอดีๆ คลุกเคล้ากับซอสสูตรลับ สมทบด้วยเกี๊ยวไส้แน่นที่มีส่วนผสมของหน่อไม้ เห็ดหอม หมู กุ้ง และกุ้ยช่ายขาว ปรุงรสนิดหน่อยก็อร่อยจนลืมไม่ลง อีกเมนูห้ามพลาดคือ ข้าวอบทะเลหม้อดิน ข้าวผัดกับไข่หอมๆ ใส่ในหม้อดินที่วอร์มจนร้อน ท็อปด้วยเครื่องเคราซีฟู้ดกลิ่นหอมฟุ้ง ประกอบด้วยกุ้ง ปลากะพง เนื้อปู ปลาหมึก และหอยเชลล์ ปิดท้ายด้วย ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊วหมู หอมเส้นหอมหมูหมักที่ผัดด้วยกระทะเหล็ก ทีเด็ดคือซอสฮ่องกงรสชาติกลมกล่อม ถูกปากโดนใจแบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม กรีนเฮาส์ 30 ปี การันตีรสชาติจากรุ่นสู่รุ่น!

จากความหลงใหลในเมนูกุ้งอบวุ้นเส้นและข้าวไข่ข้นกุ้งผัดพริกขี้หนู สู่เส้นทางสายอาชีพในนามร้าน สืบกุ้งอบ ร้านสตรีทฟู้ดที่ยกทะเลมาเสิร์ฟกลางเมืองกรุง รับประกันเรื่องความสดใหม่ ส่วนรสชาติก็ไม่ต้องสืบ เพราะอร่อยคุ้มค่าแคลแน่นอน! ถนนพระอาทิตย์ อีกหนึ่งเส้นทางของนักชิมตัวยง โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวในเมืองกรุง เป็นต้องมาลิ้มลองรสมือของร้านสืบกุ้งอบ ที่มียอดรีวิวความอร่อยเต็มสิบเผยแพร่ในโลกโซเชียล ทำเอานักกินอย่างเราต้องตามไปลองสักครั้ง ภายในร้านอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ต้องการมาฝากท้องกับอาหารสตรีทฟู้ดรสเด็ด และด้วยความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค ทางร้านสืบกุ้งอบจึงให้ความสำคัญกับวัตถุดิบทุกชนิดที่นำมาปรุงอาหาร แถมยังใส่ใจเรื่องรสชาติ พร้อมทั้งพัฒนาสูตรอาหารไทยให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มรสความเป็นไทยผ่านจานอาหารของเขา เริ่มต้นที่ ต้มยำกุ้งน้ำข้น เมนูขายดีมีทุกโต๊ะ ได้รสเข้มข้นของน้ำแกง หอมกลิ่นสมุนไพร แต่ที่พิเศษสุดๆ คือยอดมะพร้าวอ่อนที่ช่วยเพิ่มความลงตัวให้หม้อนี้ได้ดีทีเดียว ต่อด้วย หอยแครงลวก เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรเด็ดและน้ำจิ้มหวานถั่วตัด กินผสมกันอร่อยครบรส ส่วนหอยก็ให้ตัวใหญ่ เนื้อแน่น มีความสดและสะอาด บ่งบอกถึงความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบได้เป็นอย่างดี (สามารถเลือกระดับความสุกของหอยได้) เพิ่มความอิ่มท้องด้วย ยกทะเลอบวุ้นเส้น เสิร์ฟหม้อใหญ่ ภายในอัดแน่นด้วยกุ้งตัวโต หมึกกระดอง และกรรเชียงปู ที่ทางร้านแกะเปลือกให้เรียบร้อยพร้อมทาน เนื้อหวานเด้ง กินคู่กับวุ้นเส้นเหนียวนุ่มที่ทำจากถั่วเขียว 100% เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นของเมนูนี้เลย แต่ที่ห้ามพลาดคือ ข้าวไข่ข้นกุ้งพริกขี้หนู เท็กซ์เจอร์ไข่ข้นที่เนียนนุ่ม เข้ากันได้ดีกับความจัดจ้านของกุ้งผัดพริกขี้หนู ยิ่งกินกับข้าวสวยร้อนๆ พูดได้เต็มปากว่าอร่อยมาก เบรกความแซ่บด้วยน้ำผลไม้ปั่นอย่าง น้ำแตงโม และ มะม่วงน้ำดอกไม้ปั่น เป็นเมนูสมูตตี้ที่ไม่ผสมไซรัป เพื่อให้ทุกคนได้ดื่มด่ำกับรสชาติของผลไม้แท้ๆ เป็นอีกหนึ่งร้านที่เหล่าฟู้ดดี้ห้ามพลาด