เพียงเห็นคำว่า “Drunch”  ก็ชวนให้ชายจุกสงสัยว่าอะไรคือดรั้นช์ พอได้ถาม ชฟพอล สมาร์ท เชฟใหญ่ของโรงแรม So Sofitel Bangkok เชฟก็พรั่งพรูถึงไอเดียของห้องอาหาร Red Oven ที่มีมากกว่ามื้ออาหารหนึ่งมื้อ     เชฟพอลเล่นกับคำว่า “Drunk” + “Brunch” กลายเป็น “Drunch” เออแบบนี้ก็ได้สินะ แต่ชายก็ว่ามันเก๋ดี แถมยังฉีกแนวจากชาวบ้านชาวช่องที่มีเฉพาะซันเดย์บรันช์ พอมีแซทเทอร์เดย์ดรันช์ก็เลยเป็นตัวเลือกที่เพิ่มขึ้นมาให้ชายในวันเสาร์ ไม่ใช่แค่กินแต่มีค็อกเทลให้ดื่มด้วย ดี๊ดีสำหรับบ่ายวันเสาร์ วันอาทิตย์จะได้นอนอยู่บ้านสบายๆ       เรดโอเว่นยังคงใช้เตาสีแดงแรงฤทธิ์ของ Molteni เป็นหัวใจของความอร่อยในคอนเซ็ปต์ของ World Food Market ที่เล่นกับคำว่า “SO” ให้เข้าใจง่าย SOrganic, SOliquid, SOcheese, SOdeli, SOcean, SOmmelier และ SOsweet แต่เพิ่มมุมพิเศษที่มีเฉพาะดรันช์อย่าง บูธดีเจที่จะมาเปิดแผ่นตลอดงาน ค็อกเทลพิเศษที่ผสมใหม่ทุกแก้วให้ดื่มแบบไม่อั้นตลอดมื้ออาหาร อาทิ Lychee Rose, The New Look และ Brith & Early และซิกเนเจอร์ดิชจากห้องอาหาร Park Society นี่คือความดีงามที่จะได้ชิมอาหารเมนูเดียวกับมื้อค่ำของเชฟโจส บิจสเตอร์ น่าเสียดายที่มีเพียงวันละหนึ่งเมนู ถ้ามี 2-3 เมนูน่าจะดีงามกว่านี้         เสร็จจากมุมไฮไลต์ชายไปติดใจกับขนมปังพริกเผาที่มีให้ทุกโต๊ะ มุมอาหารญี่ปุ่นก็ดีใหญ่โตเว่อร์วัง ซูชิ เทปันยากิ เทมปุระ มีให้กินไม่อั้น มุมฮอตดิชจากเตาแดงก็ต้องฟัวกราส์และเนื้ออบ อาหารทะเลก็ดีสดอร่อย          ปิดท้ายเลิฟๆ กับ SOsweet ของหวานสารพัด ที่เด่นก็ต้องช็อกโกแลตจาก Chocolab ซึ่งเน้นเรื่องรสชาติแบบเอเชียน ไอศกรีมผัดก็ดีงาม        

อยู่เบื้องหลังร้านดังมานาน ถึงเวลาแล้วที่ Synova ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องดื่มและเบเกอรี่จะเปิดตัวคาเฟ่ของตัวเองสักที ในชื่อ Syn Lab กับคอนเซ็ปต์เท่ๆ จำลองให้ตัวร้านเป็นเหมือนห้องแล็บขนาดย่อมสำหรับทดลองเมนูสุดอร่อย     ทันทีที่เปิดประตูบานใหญ่เข้าไป สิ่งแรกที่ได้เจอคือเคาน์เตอร์บาร์เรียบเท่ ตกแต่งให้ตื่นเต้นด้วยบีกเกอร์และหลอดทดลองที่ซ่อนตัวอยู่ตามมุมต่างๆ ให้อารมณ์เหมือนได้เข้าห้องแล็บจริง (เหมาะสำหรับการถ่ายรูปเช็คอินที่สุด) ที่เก๋กว่านั้นคือที่นี่เป็น Sales Gallery ในตัว ชิมเมนูไหนแล้วเกิดติดอกติดใจก็ซื้อกลับไปที่บ้านได้ (ชาพีชสดชื่นมาก แอบบอกไว้ตรงนี้) แถมมีไพรเวทรูมสำหรับจัดเวิร์คช็อปและ Co-working space อีกด้วย       เมนูของทางร้านครีเอตจากวัตถุดิบของแบรนด์ Synova ทั้งตัวกาแฟ ชา ขนม ไอศกรีม ฯลฯ แต่นำมาประยุกต์เป็นเมนูใหม่ได้น่าสนใจ เริ่มด้วยกาแฟ Syn Lab Blend เฮ้าส์เบลนด์ของทางร้าน เบลนด์จากเมล็ดกาแฟกัวเตมาลากับกาแฟจากแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ รสเข้มชัด ได้กลิ่นออกเบอร์รี่ แนะนำเป็น Espresso on the rock เอสเพรซโซ่ช็อตเสิร์ฟในแก้วเอียง ที่ร้านใช้น้ำแข็งก้อนใหญ่ละลายช้า ให้ดื่มด่ำรสเข้มได้จนหยุดสุดท้าย       ส่วนคนรักชาห้ามพลาด  Matcha Green Tea Frappe ชามัทฉะปั่น พิเศษตรงที่บีบครีมงาดำลงไปด้านบนแล้ววางด้วยไอศกรีมมัทฉะอีกทีเอาใจคนรักมัทฉะแบบเต็มที่  หรือจะลอง Iced Ceylon Milk Tea with Espresso Panna Cotta ชาซีลอนหอมๆ ที่เพิ่มเนื้อสัมผัสด้วยเอสเพรสโซ่พานนาคอตต้าเข้ากัน       จานหลักของ Syn Lab ต้องเมนูนี้ Coffee Rubbed Burger with Homemade Sauce ชาโคลบันแทรกด้วยเนื้อไทยเฟรนช์หมักซอสบาร์บีคิวโฮมเมด แอบเก๋ตรงที่ใส่เอสเพรสโซ่ช็อตลงไปในซอสด้วย ให้พอได้กลิ่นกาแฟนิดๆ เสิร์ฟคู่ซีตรัสลัดและเพรสเซลชิปอบกรอบ ต่อด้วยเมนูไฮไลต์ Three-Cheese Croissant Toast 3 ชีสในจานเดียว พรีเมียมบัตเตอร์ซองต์โทสต์ ได้รสหอมๆ เค็มๆ ไอศกรีมรสชีสเค้กเข้มข้น และนิวยอร์คชีสเค้กที่ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แทรกอยู่ด้วย ราดซอสเบอร์รี่ตัดเลี่ยน เสิร์ฟพร้อมกราโนล่ากรุบกรอบไว้กินคู่กัน    

ใครเป็นแฟนอาหารเมดิเตอร์เรเนียนและโมร็อกโกของ Crêpes & Co. ชายจุกบอกเลยว่าห้ามพลาดกับสาขาใหม่ที่ 9:53 Community Mall ซอยทองหล่อ 9 ครั้งนี้เปิดคู่กับร้านอาหารในเครือเดียวกันอย่าง Le Boeuf ที่เด่นเรื่อง Steak & Fries Bistro สเต๊กเนื้อนุ่มๆ กับซอสคาเฟ่เดอปารีสที่ฉ่ำหอมด้วยเนย และอุ่นร้อนตลอดการกิน โอ๊ย! คิดถึงสเต๊กเนื้อก็อยากกินแล้ว แต่วันนี้ชายมากินอาหารเมดิเตอร์เรเนียนและโมร็อกโกต่างหากล่ะ (555 น้ำตาไหล)     ชายว่าระยะเวลาการเปิดของแบรนด์นี้ก็การันตีอะไรหลายอย่างได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 ยาวนานมาก นอกจากเครปแล้วยังนำเสนออาหารหลายอย่างที่มีความเป็นเมดิเตอร์เรเนียนสูงทั้งอาหารสเปน กรีก โมร็อกโก และฝรั่งเศส   มาที่นี่ชายว่าเครปคือจุดเด่น แต่เจ้าของร้านก็พยายามนำเอาอาหารโมร็อกโกเข้ามาเสริม แถมภาชนะต่างๆ อย่างทาจีน จานกระเบื้อง หรือภาชนะทองเหลือง เจ้าของร้านก็ไปตระเวนซื้อหามาจากที่โน่นเลยล่ะ สาขานี้มีความเป็นคาเฟ่ค่อนข้างสูงทั้งบรรยากาศขาวใสแบบพิมพ์นิยมและภาพประดับผนังที่ดูเป็นงานป๊อปอาร์ต        ส่วนเมนูอาหารน่ะเหรอ ใหม่เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะเมนูเครป Grilled Australian ฺBeef Crêpe แป้งบักวีตไส้เห็ดและผักโขมผัด กินกับเนื้อวัว และบลูชีสซอส     ส่วนใครชอบอาหารโมร็อกโกห้ามพลาด Moroccan Crêpe เครปแป้งบักวีตผสมยี่หร่ากับไส้กรอกเนื้อวัว คูสคูส และมะเขือ เติมรสเผ็ดด้วยพริกฮาริสสา เสิร์ฟมาในจานลายสวยงาม     และอีกจาน 5 Spices Slow Cooked Pork Ribs เสิร์ฟมาในทาจีน ซี่โครงหมูอบกับผงไฟว์สไปซ์ คูสคูส และพริกฮาริสสา เนื้อซี่โครงล่อนและหอมสมุนไพร จานนี้ดีเลยแหละไม่ฉุนเครื่องเทศไป   

สายๆ วันอาทิตย์อย่างนี้คุณทำอะไร? บ้างก็คงเพิ่งตื่นนอน หรือเป็นช่วงเวลาที่กำลังหาเมนูอร่อยใส่ท้องกัน ส่วนใครที่ยังคิดไม่ออกว่าอาทิตย์นี้จะกินอะไรที่ไหน เรามีบุฟเฟ่ต์มื้อสายวันอาทิตย์หรือซันเดย์บรันช์มาฝาก     เรียกได้ว่าเป็นตำนานเลยทีเดียวกับมื้อสายวันอาทิตย์ของโรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพ ที่จัดบุฟเฟต์แบบอลังการให้เลือกกินไม่อั้นโดยรวมอาหารเด่นจากทุกห้องอาหารของโรงแรม SPICE (ห้องอาหารไทย), Madison (Steak House) ,SHINTARO (ห้องอาหารญี่ปุ่น)และ Biscotti (ห้องอาหารอิตาเลียน) มาเสิร์ฟพร้อมกันที่บริเวณ ปาริชาติ คอร์ท ที่มีบรรยากาศสวนร่มรื่น     เราจัดอันดับเมนูเด่นๆ ที่ห้ามพลาดมาแล้ว อันดับแรกที่ต้องไปเตาอบ “Rotisserie” เตาอบขนาดใหญ่สีแดงสวย จากประเทศฝรั่งเศสที่มีเพียงเครื่องเดียวในประเทศไทย มูลค่ากว่า 1.2 ล้านบาท เมื่ออบด้วยเครื่องนี้แล้วจะทำให้เนื้ออบหรือไก่อบมีสีสันสวยงามน่ากินและคงความนุ่มชุ่มฉ่ำข้างใน     ส่วนเมนูยอดนิยมที่นี่ก็มีครบ ทั้งฟัวกราส์ชิ้นหนาที่ทอดใหม่ๆ ตามสั่ง ผิวกรอบนอกเนื้อในฉ่ำนุ่ม ส่วนมุมอบและย่างก็มีเนื้ออบและหมูอบที่มีหนังกรอบเป็นไฮไลท์ ซีฟู้ดออนไอซ์คุณภาพดีสมราคา ซูชิและซาชิมิจากห้องอาหารญี่ปุ่นชินทาโร่ ชีสและโคลคัทก็มีให้เลือกหลายชนิด               นอกจากเมนูยอดนิยมแล้วที่นี่ยังมีอาหารตะวันออกกลาง อาหารจีน อาหารไทย อาหารอินเดียและไข่ปลา (Fish Roe) หลายแบบให้เลือกชิมอีกด้วยนะ           แน่นอนว่ามา แชมเปญซันเดย์บรันช์ แชมเปญที่เสิร์ฟต้องไม่ธรรมดาเพราะที่นี่ใช้ Taittinger Champagne แชมเปญระดับพรีเมียมเลยทีเดียว จิบแล้วสดชื่นตื่นเต็มตา   ทุกท้ายแล้วอย่าลืมชิมขนมให้ครบเลยนะ โดยเฉพาะเครปซูเซตต์ และช็อกโกแลตลาวา   ข้อมูล วินเทจแชมเปญแพ็กเกจ ราคา  9,500 บาท++ รวม Taittinger Rose and Vintage Brut Champagne ไวน์แดง ไวน์ขาว เบียร์ น้ำผลไม้ และซอฟต์ดริงค์ แชมเปญแพ็กเกจ ราคา 4,100 บาท++ รวม Taittinger N/V Brut Reserve ไวน์แดง ไวน์ขาว เบียร์ น้ำผลไม้ และซอฟต์ดริงค์ สปาร์คกลิ้งไวน์แพ็กเกจ ราคา 3,250 บาท++ รวม Prosecco ไวน์แดง ไวน์ขาว เบียร์ น้ำผลไม้ และซอฟต์ดริงค์ ซันเดย์บรันช์แพ็กเกจ ราคา 2,999 บาท++ รวมน้ำผลไม้ และซอฟต์ดริงค์และเด็กอายุระหว่าง 6 - 12 ปี ราคา 1,500 บาท++

กว่าห้องอาหารและบาร์ของโรงแรม พาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ ลงตัวก็เล่นเอาลุ้นอยู่นาน แต่พอเปิดตัวปุ๊บก็เล่นแรงปั๊บก็เล่นเปิดตัว Penthouse Bar & Grill กินพื้นที่ชั้นบนสุดของโรงแรมถึง 3 ชั้น กับ 6 โซนที่ต้องบอกว่าไปครั้งเดียวไม่จบแน่นอน     ชายจุกว่า เพนท์เฮ้าส์ บาร์ แอนด์ กริลล์ ดีไซน์คล้ายห้องพักหรูบนเพนท์เฮ้าส์ของมหานครนิวยอร์ก ที่ดูเหมือนเรียบไม่หวือหวา แต่หรูหราด้วยรายละเอียด รวมถึงของตกแต่งที่คล้ายจะบอกว่าเจ้าของห้องพักนี้เป็นนักสะสมที่คลั่งไคล้มอเตอร์ไซด์เอามากๆ ทำไมถึงเป็นแบบนั้นต้องไปดูด้วยตาตัวเอง     6 โซน มีโซนหลักคือ The Grill และ The Cocktail Bar ส่วนโซนอื่นๆ ก็ซ่อนตัวและโชว์ตัวอยู่ในมุมของตัวเอง Chef's Table ซ่อนตัวอยู่ภายในครัวของเดอะกริลล์ Whisky Room บาร์วิสกี้ และ The Mezzanine บาร์ส่วนตัวบนชั้นลอยของเดอะค็อกเทลบาร์ ส่วน Rooftop Terrace ต้องรออีกเดี๋ยวนึงถึงเปิดตัว       ก่อนไปกินอาหาร ชายเริ่มที่เดอะค็อกเทลบาร์ ชั้น 35 อุ่นท้องเบาๆ ด้วยค็อกเทลแต่ก็ดูเหมือนว่าจะตัดสินใจไม่ถูก ซิกเนเจอร์ค็อกเทลยังมีไม่มาก เลยค่อยๆ ลองสั่งมาจิบ The Reverent (360บาท) ค็อกเทลสายสปิริตฟอร์เวิร์ด วิสกี้ 2 ชนิด ลิเคียวร์อัลมอนด์ ลิเคียวร์สมุนไพร เมเปิ้ลไซรัป หวานนิดนึงแต่หนักหน่วง     New Cuban (360 บาท) เหล้ารัมผสมสาเกอินฟิวสตอรว์เบอร์รี น้ำมะนาว ชรัปป์รูบาร์บ ตามด้วยสปาร์กกิ้งไวน์ รสออกเปรี้ยวแต่ไม่หนัก     Memento (360 บาท) ไวท์รัม ลิเคียวร์ดอกไม้ น้ำมะนาว ไซรัปเนยถั่ว กล้วย และบิตเตอร์ มาทั้งกลิ่นกล้วยและเนยถั่ว ที่ไม่แสดงออกมาในสีของค็อกเทล     และคลาสลิกค็อกเทล Last World (420 บาท) จิน ลิเคียวร์ดอกไม้ ลิเคียวร์เชอร์รี่ และน้ำมะนาว     ดื่มมากไปเริ่มร้อนท้อง ชายลงไปต่อที่ชั้น 34 ที่เดอะกริลล์ รวมเอาอาหารย่างจากเตากลางร้าน โดยเฉพาะเนื้อวัวที่มีให้เลือกหลากหลายจากทั้งอิตาลี อเมริกา ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และอาร์เจนติน่า รวมถึงซีฟู้ดคุณภาพดี   เริ่มที่ Onion Soup (250 บาท) ซุปหัวหอมสุดคลาสลิก รสกำลังดีเค็มปนหวาน ยืดด้วยชีสให้ได้เคี้ยวกับหัวหอม กินกับโฮมเมดซาวร์โดว์และเนยรมควัน     มาที่ Surf & Turf (1,950 บาท) เนื้อสันในมาคู่กับแคนาเดียนล็อบสเตอร์ที่ย่างมาแบบพอดีไม่แห้ง เลือกจิ้มกับซอส เบอร์เนส เรดไวน์ พริกไทยดำ เห็ด ชิมิชูรี แจ่ว และซีฟู้ด     อีกจานที่คนชอบเนื้อวัวห้ามพลาด Ribeye (1,350 บาท) จากออสเตรเลีย เนื้อนุ่มๆที่มีไขมันแทรกมากหน่อยทำให้นุ่มละมุนลิ้น กินกับไซด์ดิสอย่างแมคชีสและหน่อไม้ฝรั่งย่าง     แน่นอนคนไม่กินเนื้อวัว ชายก็มี Patagonia Toothfish (1,350 บาท) ปลาค้อดดำจากออสเตรเลีย จานนี้ก็มีเนื้อฉ่ำๆ หอมกลิ่นควันไฟ บีบเลมอนเพิ่มรส     ปิดท้ายที่ของหวาน Irish Coffee (370 บาท) วานิลลาซอฟต์เสิร์ฟกับเอสเพรสโซ่ช็อตและลิเคียวร์ครีม Crèème Caramel (290 บาท) มาพร้อมวานิลลาซอฟต์เสิร์ฟและซอสช็อกโกแลต Caramelized Lemon Tart (310 บาท) เลมอนทาร์ตเปรี้ยวๆที่เผาหน้าด้วยน้ำตาล กินกับบลูเบอร์รี่  

ชายจุกไม่ค่อยชอบหนังเรื่องแฮงค์โอเวอร์ที่ทำให้โรงแรมแห่งนี้และกรุงเทพฯ ดังเป็นพลุแตกในหมู่ชาวต่างชาติสักเท่าไหร่ แต่ช่างมันเถอะเพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้   สารภาพว่าชายเป็นคนไม่ชอบวิสกี้เลยแหละ แต่พอได้ยินว่ามีวิสกี้ชนิดพิเศษที่มีให้ดื่มเฉพาะที่ Alfresco 64 – A Chivas Bar ทำให้ชายต้องฝืนกฎประจำตัวเองเพื่อชิมให้ได้รู้อีกครั้งว่าวิสกี้ที่ว่าดีเป็นยังไง     ที่นี่เป็นบาร์วิสกี้ที่ทางโรงแรมเลอบัวฯ จับมือกับเพอร์นอต ริคาร์ด ผลิตชีวาสพิเศษที่มีเฉพาะที่นี่เท่านั้น ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเพอร์นอตฯ ที่ผลิตวิสกี้พิเศษขึ้นให้กับแบรนด์อื่น นั่นคือ Chivas Exclusive lebua Blend หนึ่งถังโอ๊คผลิตวิสกี้ได้ 96 ขวด บ่มนาน 30 ปี รอบแรกผลิตมาเพียง 24 ขวด และปัจจุบันเหลือเพียง 6 ขวด ส่วนเรื่องราคาน่ะเหรอ หึหึหึ 240,000 ต่อขวด หรือ 9,100 บาทต่อแก้ว แค่ฟังก็รู้สึกว่ารสดีแล้ว เสิร์ฟในแก้วพิเศษของเปอโยต์ รูปทรงแก้วคล้ายตะเกียงเพื่อบังคับกลิ่นรสให้ออกมาดีที่สุด เช่นเดียวกับ Chivas Ultis เบลนด์จากมอลต์ 5 โรงกลั่นมารวมกัน รวมถึง Chivas Mizunara ที่บ่มในถังโอ๊คญี่ปุ่นและมีชายเฉพาะในญี่ปุ่นก็มีขายเฉพาะที่นี่เท่านั้น     ใครอยากลงลึกเรื่องวิสกี้แนะนำที่ Heritage Room ที่รวมชีวาสทุกเล้นจ์ Extra, 18 Years Gold Signature, 25 Years, The Icon (วิสกี้จากโรงกลั่นที่ปิดไปแล้ว) และ Royal Salute ที่ใช้ฉลองให้กับควีนส์อลิซาเบธ แต่ถ้าใครไม่ถนัดวิสกี้เหมือนชาย แนะนำค็อกเทลที่ใช้วิสกี้เป็นเบสน่าจะดื่มง่ายกว่า Ultimate Ultis วิสกี้ชีวาส อัลติส จินเจอร์ไวน์ ครีมเดอแคสซิส และน้ำสับปะรด เสิร์ฟมาแบบควันลอยๆ ในแก้วสีทองอลังการ     Cloud on 64 วิสกี้ชีวาส 18 ปี ลิเคียวร์เชอร์รี่ ทับทิมสดบด หวานเปรี้ยวทับทิมแต่มีกลิ่นรสของวิสกี้จางๆ และ Alfrescorini เนโกรนีเวอร์ชั่นเปลี่ยนจากจินเป็นวิสกี้ กับคัมปารี และสวีทเวอร์มุท     ส่วนอาหารเป็นบาร์สแน็คที่รสชาติดีงามไม่เสียชื่อโรงแรม House Smoked Balik Salmon แซลมอนรมควันกับซาวด์ครีมและคาเวียร์     Rock Shrimp Popcorn กุ้งทอดกับซัฟฟรอนไอโอลี่     Wagyu Beef Slider มินิเบอร์เกอร์เนื้อวากิวกับเป็ดรมควัน เชดด้าชีส และหอมทอดอินเดียที่เรียกว่า Bhaji     และ Avocado Tostada อะโวคาโด้กรอบกับผักซอเรล     ชายว่าดีงามทั้งบรรยากาศวิสกี้ ค็อกเทล และอาหาร ไปทีเดียวครบจบทั้งอาหารเครื่องดื่ม

แม้จะเปิดตัวมานานหลายปี แต่ Riva Floating Café คาเฟ่ลอยน้ำภายในปานเทวี ริเวอร์ไซด์รีสอร์ทแอนด์สปา จังหวัดนครปฐม ยังคงเป็น Secret Place ในหัวใจของใครหลายคน ด้วยวิวสวยสงบริมแม่น้ำท่าจีน บวกกับโซนด้านนอกที่ให้ได้จุ่มขาลงไปในน้ำได้สบายใจ     กลับมาครั้งนี้ ที่นี่เพิ่งเปิดตัวเรือนลอยน้ำหลังใหม่ ดีไซน์คล้ายหลังเดิมแต่ดูโฮมมี่กว่า ตัวร้านยังเป็นกระจกใสล้อมรอบ พร้อมที่นั่งด้านนอกเหมือนเคย ส่วนหลังเก่ากำลังรีโนเวททำเป็นห้องสัมมนาลอยน้ำซึ่งกำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้       แน่นอนว่าไฮไลต์ของร้านนี้ยังคงเป็นเมนูกาแฟ กาแฟเฮ้าส์เบลนด์มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวมาก เพราะเบลนด์จากเมล็ดกาแฟทางเหนืออย่าง ดอยอมก๋อย ดอยช้าง และเมล็ดจากต่างประเทศอย่างเอธิโอเปีย บราซิล รวมถึงอินโดนีเซีย แต่เราอยากให้ลองเมนูเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ทางร้านทำออกมาได้เก๋ไม่แพ้กัน อาทิ Emerald Summer Tea ชาผลไม้สีสวยไร้คาเฟอีน รสออกเบอร์รี่ จิบแล้วสดชื่นคลายร้อน Coco Blue Frappe น้ำมะพร้าวอัญชันปั่น ตกแต่งด้านบนด้วยสายไหม หรือจะลอง Raspberry Rosé ราปส์เบอรรี่โซดาซาบซ่า หอมกลิ่นกุหลาบ แถมมีเนื้อราสป์เบอรรี่ให้ได้เคี้ยว       ขยับมาที่ของคาวกันบ้าง เริ่มด้วยเมนูกินเล่นอย่างหมูทอดเสิร์ฟกับน้ำจิ้มแจ่ว สันคอหมูนุ่มๆ หมักจนเข้าเนื้อ มีมันติดนิดๆ เรียกน้ำย่อยได้ดีเชียว ต่อด้วย Salami Pizza พิซซ่าแป้งบางกรอบ หน้าซาลามี่อย่างดีนำเข้าจากอิตาลี หอมเค็มกำลังดี ซอสพิซซ่าทำเองรสดีเชียว Smoked Salmon Rocket Salad สลัดแซลมอนรมควันและผักร็อกเก็ต ราดด้วยน้ำยำรสแซบจัดจ้าน กินได้เพลินๆ ไม่เลี่ยน         ปิดท้ายด้วยขนมหวานเมนูใหม่ (ต้อนรับเรือนลอยน้ำใหม่) Pomelo Sorbet Ice cream served with Glutinous Rice Roasted in Bamboo Joints นำของขึ้นชื่อของ นครปฐมมาเสิร์ฟพร้อมกัน คือข้าวหลามมะพร้าวอ่อนกับไอศกรีมส้มโอโฮมเมด ท็อปด้วยเปลือกส้มโออบแห้ง อร่อยชื่นใจมาก หรือจะลอง Passion fruit Tart ทาร์ตเสาวรสที่ทางร้านผสมเนื้อเสาวรสลงไปในแป้งทาร์ตด้วย รสเปรี้ยวๆ หวานๆ  ท็อปด้วยเบอร์รี่และสตรอว์เบอร์รี่     

โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เคยสร้างปรากฏการณ์จองคิวยาวนาน 2-3 เดือน สมัยเปิดตัวแชมเปญบรั้นช์เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าชายจุกจำไม่ผิดน่าจะเป็นแชมเปญบรั้นช์เจ้าแรกของเมืองไทย (ถ้าจำไม่ผิดนาจา อย่าด่าชายเลยขอร้อง 555)     ครั้งนี้โอนถ่ายมาที่ห้องอาหารสแปนิช Uno Mas ที่ดึงจุดเด่นของอาหารสเปน พร้อมเปลี่ยนแชมเปญใหม่ ซึ่งมีให้ดื่มเฉพาะโรงแรมฯนี้ มาให้จิบตลอดมื้อสายวันอาทิตย์             ชายก็ไม่รู้ว่าอะไรคือธรรมเนียมของมื้อสายวันอาทิตย์ที่ต้องมีซีฟู๊ดออนไอซ์มาด้วยทุกโรงแรม แต่ก็นั่นแหละมันเข้ากับแชมเปญจริงๆ อาทิ หอยนางรมหลายสายพันธุ์ ล็อบสเตอร์ทีมีให้เลือกทั้งเมนล็อบสเตอร์ และภูเก็ตล็อบสเตอร์ คาเวียร์ ก้ามปูอะลาสกา แลงกูสทีน แต่ที่เป็นจุดเด่นก็คือทาปาสและโคลด์คัตที่เด่นด้วยไอเท็มจากสเปน   สำหรับตัวชายเองข้ามส่วนนี้ไปเกือบหมดเพราะชายอยากชิมอาหารสเปนและอาหารเมดิเตอร์เรเนียนแบบอะลาคาร์ตที่ปรุงใหม่ทุกจานจากเชฟจวน ทานา ดอท เชฟใหญ่ชาวสเปน ชายเริ่มที่ขาแฮมสเปนกับขนมปัง และแชมเปญสีชมพูของ G.H.Mumm N.1 Pink Edition ที่มีขายเฉพาะโรงแรมฯ นี้ แต่ถ้าใครอยากดื่มอย่างอื่นก็มีตัวเลือกอย่าง Dry Sherry และ Sweet Sherry ไวน์ขาว ไวน์แดงจากริโอฮ่า และเบียร์ Estrella Galicia Especial แต่ถ้าให้ชายบอกวันนี้ควรแชมเปญล้วนๆ คุ้มราคาแน่นอน 555     อะลาคาร์ตแบ่งเป็น From The Sea และ From The Butcher แน่นอนว่าชายสั่งครบทุกอย่าง ก็ชายข้ามบรรดาซีฟู้ดมา ทำไมจะกินไม่หมดล่ะ ที่สำคัญแต่ละจานพอร์ชั่นก็กำลังดี   From The Sea อาทิ ปลาหิมะย่างกับผักโขมผัดสไตล์คาตาลันกับไพน์นัตและลูกเกดราดด้วยพอร์คจูและฟักทองบด จานนี้ขนาดกำลังดีอร่อยใช้ได้ แต่จานต่อมาถามว่าชายกินหมดไหม ต้องบอกว่าไม่ มาทั้งกระทะขนาดนี้ ข้าวปาเอลญาหมึกดำหน้าหนวดปลาหมึกยักษ์กับไอโอรี่มายองเนสมะนาว นอกจากหนวดปลาหมึกด้านบนแล้วในข้าวก็ยังมีหนวดผสมอยู่ให้เนื้อสัมผัสที่ดีอร่อย กุ้งแดงและแก้มปลาค้อดอบพริกและกระเทียม จานนี้หลายคนคงคุ้นเคย เพราะมีในร้านอาหารสเปนเกือบทุกร้าน และหอยเชลล์ฮอกไกโดกับกะหล่ำบด คาเวียร์ และไอเบริโก้แฮม       From The Butcher อาทิ จานเด่นที่ชายสั่งเบิ้ลเป็นเนื้อหมูไอบีเรียนย่างเสิร์ฟกับข้าวผัดกับชีสและเห็ดป่า ว่าไปแล้วก็คล้ายริซอตโต้ แต่ชีสไม่เยอะแบบนั้น ส่วนเนื้อหมูคือนุ่มหอมมาก เนื้อวัววากิวริบอายอบในเตาโจสเปอร์กินกับซอสพริกปิกิโล่ หอมผัดไวน์แดง และมันฝรั่งทอด ไม่ใช่ว่าเนื้อไม่อร่อย แต่ใจชายโดยเนื้อหมูจานก่อนกระชากไปแล้ว ส่วนตับห่านย่างเสิร์ฟพร้อมเยรูซาเลมอาร์ติโชกบดและซอสไวน์หวาน ชายขอข้ามไปเพราะเริ่มเอียนกับฟัวการ์ จานสุดท้ายซี่โครงแกะจากเทือกเขาพีเรนิสย่างเตาถ่านราดซอสไวน์แดง กินกับผักย่าง จานนี้ก็ไม่แย่แต่แพ้เนื้อหมูกระชากใจไปเช่นกัน เกือบลืมให้พยายามเรียกเชฟให้มาเสิร์ฟหมูหันที่เข็นมาด้วยเพราะเป็นซิกเนเจอร์ ก่อนกินของหวานเผื่อท้องสำหรับชีสจากสเปนด้วย เพราะมีไม่กี่ร้านหรอกที่นำเอาชีสสเปนมาเสิร์ฟเยอะแบบนี้            ปิดท้ายด้วยของหวานแบบอะลาคาร์ต อูโนมาสช็อกโกแลตชีสเค้ก คาตาลันแครมบรูเลกับไอศกรีมคาราเมล และพินาโคลาดาแบบดีคอนสตรัคชั่นใหม่        แต่ถ้าใครยังไม่อิ่มยังมีของหวานบนไลน์บุฟเฟ่ต์ อาทิ ชูโรส ไอศกรีมโฮมเมด และมาการองเป็นตัวเลือก

แม้ว่าจั่วหัวจะดูอลังการไปหน่อยแต่ขอบอกว่ามื้อนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เพราะเราจะชวนคุณไปชิมบุฟเฟต์มื้อเย็นกันที่ห้องอาหาร “วูว์”     ห้องอาหารวูว์ อยู่ที่ชั้น 12 โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ นั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานีราชดำริแล้วเดินทางเชื่อมเข้าสู่โรงแรมได้เลย เราแนะนำให้ไปถึงช่วงห้องอาหารเปิดเวลา 18.00 น.จะได้ที่นั่งดีๆ ดูวิวสวยยามเย็นเห็นความเขียวขจีของสนามกอล์ฟราชกรีฑาสโมสร     หากเป็นวันจันทร์ ถึง วันพุธจะเป็นโปรโมชั่น The St. Regis Classic มีเมนูพิเศษจากบุฟเฟต์สเตชั่น และเมนูตามสั่งที่เชฟทำร้อนๆ จากเตา คุมทีมโดยเชฟริชาร์ด ซอว์เยอร์ ที่มาเสิร์ฟถึงโต๊ะแบบจานต่อจาน     อยากจะเดินไปเลือกตักเองก็ได้ มีเมนู เช่น หอยนางรมฟินเดอแคลร์ ซีฟู้ดออนไอซ์ที่เป็นขวัญใจมหาชน มีมุมอาหารกริลล์ ชีสและโคลด์คัทหลากหลาย อาหารตะวันตก อาหารเอเชียต่างๆ พาสต้าปรุงสดใหม่สั่งได้ พิซซ่าอบร้อนจากเตา ฯลฯ และยังมีเมนูขนมหวานทั้งข้าวเหนียวมะม่วง เค้ก และไอศกรีม         ส่วนวันพฤหัสบดี ถึง วันเสาร์ จะเป็นบุฟเฟต์ที่มีให้เลือกมากขึ้นอีกกับโปรโมชั่นที่ชื่อว่า The St. Regis Epic ที่นอกเหนือจากเมนูตามที่เราบอกมาแล้วยังมีเมนูพรีเมียมทั้ง บอสตันล็อบเตอร์ย่างหรืออบเนย เป็ดกงฟี ซีฟู้ด ฟัวกราส์ ปูผัดพริกสไตล์สิงค์โปร์ ไก่อบ ซี่โครงแกะย่าง และเนื้อวัวแองกัส ทุกเมนูสั่งได้ที่พนักงานโดยไม่จำกัดจำนวน จากนั้นเชฟจะปรุงให้เราใหม่ๆ ร้อนๆ มาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะนั่งกินสบายไปเลย             แค่เมนูเลือกสั่งก็อู้ฟู่เต็มที่จนแทบไม่ต้องเดินไปตักที่ไลน์บุฟเฟต์เลย ส่วนใครที่ชอบเมนูสุขภาพอย่างเนื้อปลา ที่นี่ก็ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเพราะใช้เนื้อปลาจากวิธีการทำประมงแบบยั่งยืน (Sustainable Seafood) อีกด้วย     สุดท้ายอย่าลืมเผื่อท้องไว้ชิมขนมหวานอีกมากมายหลายรายการกันด้วยนะ

ธีมคอนเซ็ปต์ของ Pooltime Café ดีไซน์ออกมาตามชื่อร้าน เพียงแต่ว่าไม่มีสระว่ายน้ำอยู่จริง เฉพาะป้ายชื่อร้านก็เด่นด้วยบันไดขึ้นจากสระน้ำ ส่วนเก้าอี้และโต๊ะก็ดีไซน์เหมือนเก้าอี้ริมสระน้ำ ผนังเป็นกระเบื้องสีขาวรอบตัว ดูยังไงก็สระว่ายน้ำ ส่วนธีมรองเป็นคาเฟ่แรคคูนที่มีห้องสำหรับเล่นกับแรคคูนที่ชั้น 2 เสียค่าเข้า 150 บาท (100 บาทใช้เป็นส่วนลดค่าอาหาร) เพื่อเล่นกับแรคคูนทั้ง 3 ตัว คนละ 15 นาที เฉพาะเวลา 13.00-15.00 น. และ 16.30-18.30 น. สำหรับอาหารคงเอาอาหารง่ายๆ สไตล์คาเฟ่ที่เป็นสูตรของคุณแม่ของเจ้าของร้าน       เมนูแนะนำ Pooltime Blue Burger แป้งบันสีฟ้าให้ร้านขนมปังอบใหม่ตามสูตรของร้านทุกวัน มีจำกัดเพียงวันละ 20 ชิ้น     Spaghetti Carbonara สปาเก็ตตี้สูตรซอสครีมฉ่ำๆ แถมไข่แดงอีกฟอง ใครชอบซอสริชๆ ต้องจานนี้แหละ   Pancake Strawberry Fresh Cream แพนเค้กครีมสด ราดเมเปิลไซรัปและสตรอว์เบอร์รี   Tea มีให้เลือกทั้งมัตฉะลาเต้ และโฮจิฉะลาเต้ มาแนวชาญี่ปุ่น   Coffee ใช้เมล็ดกาแฟจากแม่สรวยที่เบลนด์จากเมล็ดกาแฟคั่วเข้มและคั่วกลาง ให้รสชาติกาแฟดำดีมาก ส่วนกาแฟนมอาจจะต้องปรับเบลนด์หน่อย

ชายจุกเคยมาที่นี่ตั้งแต่สมัยเริ่มเปิด Sambal (โอ้โหนานเชียว) ห้องอาหารและบาร์ริมน้ำที่เด่นเรื่องอาหารเอเชี่ยน ของโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ก่อนเปลี่ยนคอนเซปต์มาเรื่อยๆ จนมาลงตัวที่คอนเซปต์ล่าสุด Riverside Grill ซึ่งชายเห็นว่าน่าจะโอเคที่สุดแล้วแหละนะ     ก่อนหน้านี้เพียงเฉพาะวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยาของที่นี่ก็กินขาดแล้ว เพียงแต่กำลังหาสไตล์อาหารที่ใช่ จนมาลงตัวที่สุดกับอาหารแนวปิ้งย่างกึ่งสเต็กเฮ้าส์ โดยนำเข้าเนื้อวัวและวัตถุดิบคุณภาพดีจากทั่วทุกมุมโลกมาย่างด้วยหินภูเขาไฟ ชายบอกเลยว่ามาถูกทางแล้วเรื่องอาหาร ส่วนเครื่องดื่มอย่างวิสกี้เราเชื่อว่าก็มีมาตรฐานของตัวเอง ยกเว้นค็อกเทลเราแนะนำว่าให้ข้ามไปเลยไม่พูดถึงดีกว่า สั่งไวน์หรือวิสกี้ก็ฟินแล้ว     ชายว่าที่อร่อยและดีเลย Beef tartar “A la Menilmontant” เนื้อวัวแบล็คแองกัสหั่นมือกับเครื่องต่างๆที่คลุกเคล้าสดๆที่โต๊ะ อร่อยดี     อันนี้แปลกแต่ก็น่าชิม Half dozen Oyster’s Kilpatrick หอยนางรมสดๆ ที่ใส่ทาบาสโก้ วอร์สเตอร์ไชร์ซอส มะนาว และเบคอน มีรสชาติมาในคำเดียว     ส่วนเมนูย่างที่เป็นไฮไลท์ มีเนื้อวัวให้เลือกหลากหลาย Tenderloin Darling Down Wagyu, Rib Eye Pristine Ranch Wagyu, Striploin 1824 Farm, Tenderloin Oakland Farm, T-bone steak US Mainland และ Tomahawk Cape Byron Angus เนื้อวัวแต่ละส่วนจากแต่ละฟาร์มก็ให้กลิ่นรสแตกต่างกันไป แต่โดยรวมคือดี จะสั่งหรือไม่สั่งซอสหรือไซส์ดิสก็ได้ มันดีอยู่แล้ว       Boston Lobster ชายเคยเฉยชากับล็อบสเตอร์มาก แต่จานนี้เนื้อดีแน่นเด้ง บีบมะนาวนิดนึงก็โอเคแล้ว     ปิดท้ายด้วยของหวานจากช็อกโกแลต หรือถ้าอยากปาร์ตี้แนะนำ “Riverlution” ทุกวันศุกร์และเสาร์ เวลา 21.00-24.00 น.  

ช่างหยิบจับคำมาตั้งชื่อร้านได้สะดุดใจ สำหรับเดย์ดรีม บีลีฟเวอร์ (Daydream Believer) คาเฟ่แห่งใหม่ในซอยพหลโยธิน 12 ของกลุ่มเพื่อนรักต่างอาชีพที่เปิดร้านขึ้นมาเพื่อเป็นพื้นที่รวมความฝันของทุกคนไว้ด้วยกัน     นอกจากเป็นคาเฟ่ในสวนอังกฤษ ยังออกแบบให้เป็น Creative Space สำหรับให้คนรักงานอาร์ตมาใช้เป็นที่นั่งทำงาน เปิดคลาสเวิร์คชอป จัดอีเวนต์ ฯลฯ ตัวร้านรีโนเวตจากบ้านเก่ายุค 70 ซึ่งมีโครงสร้างสวยคลาสสิกอยู่เป็นทุนเดิม (ขอใช้คำว่าเป็น "บ้านในฝัน" น่าจะอธิบายได้ชัดที่สุด) แล้วสร้างเรือนกระจกเพิ่มอีก 2 หลัง ด้านในมีต้นไม้ต้นเล็กๆ แขวนไว้ให้พักสายตา ความน่ารักคือรายละเอียดยิบย่อยที่ซ่อนไว้ตามมุมร้าน ทั้งของสะสมโบราณ จาน ชาม ช้อน ส้อม เรียกว่ามองไปทางไหนก็เพลิดเพลินไปหมด           เมนูของที่นี่ครบครันทั้งอาหาร เบเกอรี่โฮมเมด และเครื่องดื่ม เชฟจัดอาหารออกมาทั้งไทยและฝรั่ง จานแรกข้าวคลุกน้ำพริกปลาทู-ไข่พะโล้ เมนูประจำบ้านที่ส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอมาแต่ไกล น้ำพริกรสจัดใช้ได้ เข้ากับเนื้อปลาทูอย่างดี มีไข่และหมูพะโล้ชามเล็กเสิร์ฟคู่มาตัดรสกัน     ต่อด้วยจานฝรั่ง Angel Hair Pesto Avocado เส้นแองเจิลแฮร์ผัดกุ้งซอสเพสโตอะโวคาโด ซอสเพสโตรสเข้มข้นไปได้ดีกับเส้นพาสต้ากรุบๆ และความหอมมันของเนื้ออะโวคาโด     และอีก 1 จานเด่น Grilled Chicken with Garlic Sauce น่องไก่ย่างซอสกระเทียมเสิร์ฟพร้อมมันบด น่องไก่ย่างมาดีมาก หนังกรอบ เนื้อด้านในชุ่มฉ่ำ ไม่แห้ง รสชาติดีกินกับมันบดนุ่มๆ แล้วชอบมาก     อิ่มคาวแล้วตบท้ายด้วยของหวาน Brownoffee ลูกผสมระหว่างบราวน์นี่และบานอฟฟี่ เสิร์ฟมาในแก้วใส ด้านล่างเป็นชิ้นบราวน์นี่โฮมเมดเนื้อแน่นๆ ราดด้วยซอสคาราเมลทำเอง ท็อปด้านบนด้วยผลกล้วยและวิปครีม  

ใครเคยติดใจแพนเค้กหนานุ่มสูตรเด็ดของ "IHOP" หรือ International House of Pancakes ร้านอาหารยอดนิยมสำหรับครอบครัวจากแคลิฟอร์เนียที่มีสาขามากมายทั่วโลกไม่ต้องบินไปกินไกลถึงต่างประเทศอีกต่อไป เพราะตอนนี้ IHOP สาขาแรกในเมืองไทยมาเปิดให้ชิมแบบสบายๆ ที่ชั้น G ศูนย์การค้าสยาม พารากอนกันแล้ว     แม้จะเป็นร้านแบบโอเพ่นที่มีที่นั่งไม่มากนักและอาจต้องรอคิวกันสักหน่อย (โดยเฉพาะช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์) แต่ขอบอกว่าความอร่อยคุ้มค่าแก่การรอคอยแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเมนูสุดฮิตอย่างแพนเค้ก วัฟเฟิล เครป เฟรนช์โทสต์ แซนด์วิช ไปจนถึงออมเล็ต สลัด และเครื่องดื่มแสนสดชื่น อาทิ ชา กาแฟ และอิตาเลียนโซดา ซึ่งทุกเมนูใช้วัตถุดิบและส่วนผสมเหมือนกับสาขาออริจินอลทั้งหมด เรียกว่าแฟนคลับ IHOP ฟินกันได้เต็มที่เลยทีเดียว     ถ้าถามว่าเมนูเด่นหลากหลายละลานตาขนาดนี้จะเลือกกินอะไรก่อนดี เราแนะนำซิกเนอเจอร์อย่าง Original Buttermilk แพนเค้กแป้งหนานุ่มชุ่มเนยเป็นเอกลักษณ์ ท็อปด้วยเนยก้อนโตที่ละลายเยิ้มน่ากิน ถ้าแพนเค้กสองชั้นยังไม่สะใจก็สามารถสั่งเพิ่มเป็นทาวเวอร์ได้ตามใจ (เพิ่มชั้นละ 50 บาท) และที่เราชอบมากคือ ซอสราดแพนเค้กที่จัดไว้ประจำโต๊ะให้เลือกรสชาติได้ถึง 4 แบบ ทั้ง Old Fashioned (เมเปิลไซรัป), Blueberry, Strawberry และ Butter Pecan หอมมัน     อีกหนึ่งเมนูเด็ดที่มีเฉพาะสาขาไทยแห่งเดียวในโลกอย่าง Chunky Chocolate แพนเค้กช็อกโกแลตสอดไส้ผงช็อกโกแลตชังค์เข้มข้น ท็อปด้วยไอศกรีมช็อกโกแลตอีกชั้นก็อร่อยไม่แพ้กัน บอกได้คำเดียวว่าสาวกช็อกโกแลต...ฟิน!     ส่วนเมนูอื่นๆ ก็ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น Banana Strawberry Nutella Waffle เบลเยียมวัฟเฟิลหนานุ่ม(มาก)เพิ่มความอร่อยด้วยกล้วยหอม สตรอว์เบอร์รี ราดนูเทลลาหอมหวาน Berries Crumbles Cream Cheese Crepes เครปแป้งนุ่มบางราดครีมชีสและซอสบลูเบอร์รี โรยครัมเบิลกรุบกรอบ และ Berry Berry Brioche French Toast ขนมปังบริยอชกรอบนอกนุ่มในสไลด์เป็นแผ่นกลม หน้าสตรอว์เบอร์รีสด ราดซอสบลูเบอร์รี ซอสสตรอว์เบอร์รี และวิปครีม         ส่วนใครอยากเริ่มมื้อเช้าด้วยเมนูอาหารคาว ต้องลอง Spinach & Mushroom Omelette ออมเลตผักโขม เห็ดหอม และชีส ราดซอสฮอลันเดซและมะเขือเทศ หรือ Egg Cheese Ham Stack แซนด์วิชไส้แฮมและชีส หน้าไข่ดาวสุกกำลังดี เวลาตัดแล้วไข่แดงไหลเยิ้มลงมาอร่อยสุดๆ อีกหนึ่งเมนูที่มีแค่สาขานี้เท่านั้น ส่วนสายผักต้องลอง Caesar Salad ทีเด็ดอยู่ที่เดรสซิ่งสลัดสุดเข้มข้นไม่เหมือนใคร         แล้วอย่าลืมสั่ง IHOP Splashers อิตาเลียนโซดาซ่าสดชื่นมากินคู่กันตัดความหวาน มีให้เลือกทั้งรสบลูเบอร์รี ราสพ์เบอร์รี แอปเปิลเขียว พิงค์เกรฟฟรุต และทับทิม    

ได้ยินแว่วๆ ว่า 94°Coffee กำลังปรับโฉมใหม่ จากร้านกาแฟธรรมดาให้กลายเป็นคาเฟ่สุดอบอุ่นที่เสิร์ฟทั้งเครื่องดื่ม ขนม และอาหารคาวแบบ Breakfast All Day แถมได้เชฟตูน - ธัชพล ชุมดวง เซเลบริตี้เชฟคนดังมาออกแบบเมนูใหม่ให้อีกด้วย หญิงใหญ่ (ที่กำลังหิวโหย) จึงรับหน้าที่พาไปชิมกันให้ครบทั้ง 5 เมนูที่สาขา Golden Place เลียบทางด่วนรามอินทรา   เริ่มด้วยจานแรก Egg Benedict 94°Coffee อิงลิชมัฟฟินอบใหม่ เลือกได้ระหว่างแซลมอนรมควันหรือพาร์มาแฮม ท็อปด้านบนด้วยโพชเอ้กแล้วราดด้วยซอสฮอลลันเดซสูตรเฉพาะของเชฟตูน ใช้มีดสะกิดเบาๆ ให้ไข่แดงไหลเยิ้ม หญิงใหญ่ชอบแซลมอนรมควันมากกว่านิดหน่อย ส่วนสลัดร็อคเก็ตที่เสิร์ฟมาคู่กันอร่อยมาก ตัดเลี่ยนได้ดี     ต่อด้วยจานที่ 2 Pulled Pork Waffle จานนี้แปลกดี พูลพอร์คหรือสะโพกหมูอบคลุกเคล้ากับซอสบาร์บีคิวให้มีรสเข้มข้น เผ็ด เค็ม หวาน กินคู่กับวัฟเฟิลนุ่มๆ แล้วรสกำลังพอเหมาะ เคียงด้วยโคลสลอว์และโปเตโต้ชิป     จานถัดมาเป็นจานโปรดของหญิงใหญ่ Spicy Salted Egg Carbonara ที่ส่งกลิ่นหอมยวนใจมาตั้งแต่ยังไม่ทันเสิร์ฟถึงโต๊ะ เส้นเฟตตูชินี่ผัดคลุกเคล้ากับซอสไข่เค็ม ได้ทั้งความมัน ความหอมที่ทิ้งอวลอยู่ในปาก ที่สำคัญคือไม่เลี่ยนเพราะแอบมีรสเผ็ดนิดๆ อยู่ด้วย     จบของคาวขอชิมของหวาน Strawberry Croissant Pudding with Madagascar Vanilla Ice Cream สาวๆ น่าจะปลื้มสตรอว์เบอร์รี่แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ครัวซองต์พุดดิ้งผสมซอสสตรอเบอร์รี่อบร้อนๆ ราดซอสสตรอเบอร์รี่ โปะด้านบนด้วยไอศกรีมวานิลลา       และเมนูสุดท้าย Flourless Chocolate Cake with Madagascar Vanilla Ice Cream เค้กช็อกโกแลตแบบไร้แป้ง โปะไอศกรีมวานิลลาแล้วราดด้วยซอสช็อกโกแลตปิดท้าย  ขอชมว่าทำได้เข้มข้นเหลือเกิน ทั้งขมและหวานในคำเดียว  (นี่เค้กหรือความรัก)     หลังจากชิมจนอิ่มแปล้ สรุปว่าเมนูใหมจากเชฟตูนสร้างความหวือหวาให้ 94°Coffee ได้ดีทีเดียว ใครอ่านแล้วท้องร้องก็แวะไปชิมได้เลยตั้งแต่วันนี้ที่สาขาใกล้บ้านค่ะ  

เหยเอาจิงดิ “บาร์เทนเดอร์หญิงล้วน” บาร์แบบนี้มีอยู่จริงที่ Highball Bangkok ชายจุกขอบอกเลยว่าไม่ใช่บาร์แบบที่คุณคิดอย่างแน่นอน ด้วยความตั้งใจของแบรนด์ Highball Singapore ซึ่งเป็นต้นแบบของที่นี่     “โลกของบาร์มีแต่ผู้ชาย นึกถึงบาร์ก็มีแต่ผู้ช่ายเด่น เราต้องการพื้นที่ให้ผู้หญิงในอุตสาหกรรมบาร์ ได้มีเวทีของตัวเอง ซึ่งเป็นการสร้าง Female Empowerment ขึ้นมาให้วงการบาร์ เราอยากปั้นน้องๆ ให้ทำได้ทุกอย่างในบาร์ เมื่อมีคนอยากได้ตัวไปร่วมงานเราถือว่าประสบความสำเร็จ อยากให้ที่นี่เป็นอะคาเดมี่ ที่นี่ยังสะดวกสำหรับสาวที่ชอบดื่มคนเดียว มาที่นี่ก็เหมือนมาเจอเพื่อนสาว” คุณมด-มินทร์สรา ภูมิจิตร หนึ่งในหุ้นส่วนบอกถึงคอนเซปต์ของไฮญบอล       และก็ดูเหมือนไฮญบอลเริ่มต้นได้ดีด้วยการส่งบาร์เทนเดอร์ 3 จาก 6 คน ของร้านผ่านเข้ารอบการแข่งขันทำค็อกเทลของเปริเอ้ พูดถึงบาร์เทนเดอร์หญิงล้วนแล้วก็คงต้องพูดถึงบาร์เทนเดอร์หลัก 2 คน สายไหม นันทรัตน์ และจิ๊บ-ธนัญญา เสมอมา รุ่นพี่ในวงการบาร์ที่จะคอยดูแลน้องๆ หน้าใหม่ที่เริ่มต้นทำบาร์มาได้ไม่นาน     นอกจากจุดเด่นเรื่องบาร์เทนเดอร์หญิงล้วนแล้ว อีกจุดเด่นคือเครื่องดื่มประเภท Highball เครื่องดื่มยอดนิยมของคนญี่ปุ่นที่นำเอาสปิริตอะไรก็ได้มาผสมกับคาร์บอเนต อาทิ วิสกี้กับโซดา เหล้ารัมกับโค้ก จินกับโทนิค ไม่เพียงจุดเด่นเรื่องนี้ ที่นี่ยังมีเครื่อง Jim Beam Machine เครื่องแรกและเครื่องเดียวในกรุงเทพฯ คล้ายเบียร์แทปแต่เป็นเบอร์เบิ้นและคาร์บอเนตที่ผลิตจากน้ำกรอง (ซึ่งพรายฟองนุ่มละมุนกว่าโซดาทั่วไป) เป็นเครื่องที่ออกแบบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่คำนวณส่วนผสมที่ลงตัวของเบอร์เบิ้นและคาร์บอเนต     ไฮญบอลแนะนำเป็น Yuzu Highball (220 บาท) เบอร์เบิ้นผสมคาร์บอเนตจากแทป และน้ำส้มยูสุกับยูสุพิวเร รสเปรี้ยวหอมของยูสุ ซ่อนด้วยรสของเบอร์เบิ้นและพรายฟองนุ่มๆ     แต่มาที่นี่ก็ต้องลอง #Highballgirls Collection จากบาร์เทนเดอร์สาวตัวหลักอย่าง สายไหม จิ๊บ และคิโน (Kino) หุ้นส่วนชาวสิงคโปร์ของร้านนี้ เธอยังเป็นบาร์เมเนเจอร์ของไฮญบอล สิงคโปร์ ด้วย โดยเธอได้คิด Asoke Highball (250 บาท) ซิกเนเจอร์ของเธอขึ้นมา วอดก้าผสมน้ำบ๊วย น้ำลิ้นจี่ เลมอน ใบมะกรูด และคาร์บอเนต เราแนะนำแก้วนี้ดีงามมาก และอีกแก้ว สายไหมบอกว่าทางร้านคิดขึ้นมาเพื่อลูกค้าประจำสาวคนหนึ่งที่มีคาแรกเตอร์ของตัวเองที่ชัเจน เธอชื่อ Yolanda (250 บาท) ไฮญบอลสีส้มจากเตกีล่าผสมแอปเพอราทีฟ น้ำยูสุ และคาร์บอเนต ชายว่ารสชาติซับซ้อน     อีกข้อแตกต่างของไฮญบอลยังอยู่ที่มีอาหารกินเล่นและกินจริงเรียงรายมาแบบอร่อยไม่แพ้เครื่องดื่ม อาทิ ไฮญบอลเกิร์ลสลัด ไก่ตะไคร้พันเบคอน ชีสสติ๊ก และหอยแมงภู่อบชีส           รีบไปกันนะ ชายบอกได้คำเดียวว่าคิ้วท์มาก

เย็นอากาศ ย่านฮิปล่าสุดที่ชายจุกว่ามันมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ก่อนหน้านี้มีร้าน Suhring ที่เพิ่งได้ร้านอาหารอันดับที่ 13  ของ Asia's 50 Best Restaurants 2017 เปิดมาได้ปีกว่า ตามด้วย Akart Bistro & Bar ในพื้นที่เดียวกัน แต่ชายชอบที่นี่มากกว่าอากาศบิสโทรตรงที่ยังคงโครงสร้างของบ้านไม้เก่าอายุเกือบ 90 ปี เอาไว้  แม้แต่สีดั้งเดิมอย่างสีเขียวตองอ่อนก็ไม่ได้ทาทับให้ใหม่ขึ้นจากเดิมเลย แถมชายยังได้ยินมาว่าบ้านหลังนี้เจ้าของคนแรกเป็นหลานของรัชกาลที่ 4 โอ้โหมีตำนาน ชายทราบข่าวจากพี่ที่ Graph Café เชียงใหม่ ที่ส่งข่าวมาเป็นระยะว่ามาช่วยเป็นที่ปรึกษาให้ แถมที่นี่ยังไม่ใช่ร้านกาแฟหน้าใหม่ ทำให้เป็นร้านกาแฟที่ชายอยากไปเยือนมากที่สุดร้านหนึ่ง คอฟฟี่คราฟท์แมน เป็นสาขาใหม่และคอนเซปต์ใหม่ที่ขยายจากบาร์กาแฟเล็กๆ บนถนนพระราม 6 ซอย 23  ที่นี่ยังคงจุดเด่นเรื่องกาแฟมีเมล็ดกาแฟมากถึง 3 เบลนด์ ซึ่งเหมาะสำหรับชงกาแฟแต่ละแบบ กาแฟร้อน กาแฟนม กาแฟเย็น และดริป ชายได้ลองจิบ Caffe Latte รสนมนวลๆ ตัดกับรสขมของกาแฟ อาหารมีจุดเด่นที่พาสต้าเส้นสดอย่างเส้นเฟตตูชินี่ฟักทองและเส้นเฟตตูชินี่มะละกอ จานเด่นเป็น Fettuccine Pesto “Karna” ใช้เส้นเฟตตูชินี่ฟักทองผัดกับเพสโต้ซอสที่ทำจากผักคะน้า รสชาติจึงนุ่มนวลกว่าโหระพา ที่นี่ยังมีพิซซ่าแป้งโฮมเมดและอาหารสูตรพิเศษอย่าง Hakka Pork Stew with Rice ข้าวหมูอบสูตรอาม่า ตำรับจีนแคะ และ Pork Burger เบอร์เกอร์หมูที่มาพร้อมชีสและผักดอง 

ในวันหยุดสบายๆ ใครกำลังมองหาสถานที่ชิลเอาต์ดีๆ ไม่ต้องฝ่าการจราจรที่แสนติดขัดเพื่อไปถึงใจกลางเมืองอย่างสุขุมวิท ทองหล่อ หรือเอกมัยอีกต่อไป เพราะเรากำลังจะแนะนำคาเฟ่น่านั่งของ 3 เพื่อนสนิทที่นำประสบการณ์และความถนัดคนละสไตล์ทั้งด้านธุรกิจ อาหาร และเครื่องดื่ม มาผสมผสานกับความตั้งใจที่อยากให้คาเฟ่สุดเก๋ได้ขยับขยายออกมาอยู่นอกเมืองกันบ้าง โดยเฉพาะในย่านลาดพร้าวที่มีชาวชุมชนมากมาย จนกลายเป็น Cold Spring Cafe ที่กำลังมาแรงในโลกออนไลน์ขณะนี้ ที่นี่มาพร้อมคอนเซ็ปต์น่ารักที่เราชอบมาก คือการนำดอกไม้สดและต้นไม้มาตกแต่งแทบทุกมุมในร้านดูสวยงามและอบอุ่น อาทิ กุหลาบ เดซี่ และคาร์เนชั่น ให้บรรยากาศแบบกลาสเฮาส์นิดๆ ด้วยการใช้กระจกเป็นกำแพงรอบร้าน และมีโซนเอาต์ดอร์ด้านหลังที่วางโต๊ะและเก้าอี้ชิงช้าให้เราได้นั่งรับลมและใกล้ชิดกับต้นลิปสติกที่ปลูกรายล้อมอยู่มากยิ่งขึ้น เรียกว่าไม่ว่าจะมาเยือนร้านนี้ในช่วงไหนก็จะได้สัมผัสกับ "ฤดูใบไม้ผลิที่แสนเย็นสบาย" สมกับชื่อร้านนั่นเอง ส่วนอาหารของ Cold Spring Cafe เน้นเมนูโฮมเมดกินง่ายสไตล์ฟิวชั่น ฝีมือเชฟหนึ่งในเจ้าร้านที่พกพาความเชี่ยวชาญด้านอาหารจากการทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและครัวของเลอ กอร์ดอง เบลอ มาคิดค้นดัดแปลงให้ทุกเมนูออกมาไม่เหมือนใคร เราขอเริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกับ Mixed Fries มันฝรั่งทอดกรอบนอกนุ่มในหลากรูปทรง มาพร้อมดิปปิงซอส 3 สไตล์ ทั้งเพสโตมายองเนส ต้มยำมายองเนส และฮันนี่มัสตาร์ด ก่อนจะตามด้วย Four Chesse Carbonara สปาเกตตีคาโบนาราที่เพิ่มความหอมมันเข้มข้นด้วยการเพิ่มชีส 4 ชนิด ทั้งมอสซาเรลลา เชดด้า พาร์เมซาน และโปรโวโลนด้านบน แล้วเบิร์นให้เกรียมนิดๆ  อิ่มของคาวแล้วมีหรือเราจะยอมพลาดของหวานยอดนิยมอย่าง Cold Spring Jelly เจลลีใสเนื้อเด้งดึ๋งสอดแทรกด้วยผลไม้สด อาทิ สตอว์เบอร์รี องุ่น และส้ม พร้อมตกแต่งจานด้วยสตรอว์เบอร์รีและกลีบกุหลาบสีสวยดูสดชื่นและน่ากิน รวมทั้ง Rose Panna Cotta พานาคอตต้าเนื้อเนียนนุ่มที่ผสมกลิ่นกุหลาบหอมอ่อนๆ พร้อมโรยกุหลาบแห้ง ราดซอสราสพ์เบอร์รี วางลิ้นจี่และสตรอว์เบอร์รีสดให้กินคู่กัน  แล้วอย่าลืมสั่ง Smoothie 2 ways สมูทตี้สีสันสวยงาม ด้านล่างเป็นมะม่วงสดปั่น ก่อนเทสตรอว์เบอร์รีปั่นตามลงไปด้านบน จะกินทีละชั้นหรือคนผสมกันก็อร่อยลงตัว และ Rose Panna Cotta โซดาซิกเนเจอร์ที่มีกิมมิกอยู่ที่การนำแตงโม แคนตาลูป และเมลอนแช่เย็นจัดมาใช้แทนน้ำแข็ง แนะนำให้ค่อยๆ ตักกิน เพราะยิ่งแช่นานจะยิ่งดูดซึมความซ่าของโซดา เวลาเคี้ยวแล้วจะได้ความหวานของผลไม้ผสานความซาบซ่านิดๆ ที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้มื้อนี้ฟินสุดๆ