ใครที่ชอบพิซซ่าแบบงานคราฟท์ ทำทุกอย่างเองอย่างพิถีพิถันและอัดแน่นด้วยวัตถุดิบชั้นดี ต้องมาที่ Roberta’s ร้านพิซซ่าสุดฮิปชื่อดังจากย่านบรูคลิน นิวยอร์ก ที่ถือกำเนิดจากการรวมตัวของเหล่าเชฟและบาร์เทนเดอร์ มาถึงเมืองไทยให้เราได้ลิ้มลองรสชาติแบบต้นตำรับแล้วที่ ชั้น 3 Flavor Lab สยามดิสคัฟเวอรี่ จากความสำเร็จอย่างมากของร้าน Roberta’s Pizza แห่งแรกที่บรูคลิน สู่ 10 ร้านอาหารในเครือ โดยล่าสุดมีร้านที่ติดอันดับ 100 Best Restaurants in New York 2024 โดย NEW YORK TIMES ถึง 2 ร้าน คือร้าน BLANCA ในอันดับที่ 2 และร้าน Foul Witch ในอันดับที่ 53 สำหรับร้าน Roberta’s ในประเทศไทยนับเป็นสาขาที่ 2 ในเอเชีย ต่อจากสิงคโปร์ซึ่งเปิดในปี 2022 ในการเปิดสาขานี้ เชฟมิชลินสตาร์ เชฟคาร์โล มิราชิ (Carlo Mirarchi) ผู้ร่วมก่อตั้ง บินมาดูแลทุกอย่างเองให้เป๊ะปังตามต้นฉบับ กระทั่ง ‘สตาร์ทเตอร์’ ของแป้งโดว์ยังขนมาเอง จึงมั่นใจได้ว่าอร่อยเหมือนกินที่บรูคลินแน่นอน นอกจากแป้งแล้วทอปปิ้งหลายอย่างที่ร้านยังทำเองแบบโฮมเมด ทั้งชาร์กูเตอรีและโคลด์คัต ผสมผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่นอย่างพืชผักและผลไม้ไทยที่เชฟคัดสรรมา อบด้วย ‘เตาฟืน’ สีแดงซึ่งตั้งโดดเด่นอยู่ด้านในเคาน์เตอร์บาร์ ให้เราเอร็ดอร่อยกับพิซซ่าอบใหม่ท่ามกลางศิลปะสตรีทอาร์ต เหมือนยกบรูคลินมาไว้ที่กรุงเทพฯ เลยทีเดียว เริ่มแรกเราอยากให้ลิ้มลองความอร่อยของตัวแป้งกันก่อนกับ House Bread แป้งพิซซ่าอบจนฟูเป็นโดม จานนี้บอกเลยว่าอย่ามัวแต่ถ่ายรูปเพราะบิกินตอนร้อนๆ คือที่สุด ปาดกับสเตรเซียเทลลาชีส (Stracciatella Cheese) ทำจากมอสซาเรลลาเคิร์ดและครีมสดได้ความหนึบและครีมมี โรยหน้าด้วยน้ำมันมะกอกผสานความเผ็ดร้อนจากน้ำมันพริกเผ็ดซาบซ่าที่ซ่อนไว้ด้านล่าง กินเพลินเชียวแหละ มาต่อกันด้วยพิซซ่าที่เป็นไฮไลต์หลัก หน้าซิกเนเจอร์ที่เราหลงรัก แนะนำ Bee Sting พิซซ่าที่ผสานความอร่อยของรสหอมหวานและเผ็ดไว้อย่างลงตัว โดดเด่นด้วยความหวานละมุนของน้ำผึ้ง แล้วจึงตามมาด้วยความเผ็ดร้อนเหมือนผึ้งต่อยจากซาลามีรสเผ็ด เกล็ดพริก และน้ำมันพริก เป็นรสชาติที่สนุกกินไม่เบื่อเลย อีกพิซซ่าชื่อแปลก King Thao Kong ที่โดดเด่นด้วยผักสมุนไพรหลายชนิดทั้งกุยช่าย ต้นหอม โหระพา พริกแดง และหัวหอมย่าง โดยรวมชวนให้รู้สึกสดชื่นมาก จานนี้เป็นมังสวิรัติด้วยนะ มาต่อกันด้วยเมนูพิเศษของสาขาประเทศไทย ซึ่งเป็นธรรมเนียมของเชฟในการครีเอตเมนูขึ้นจากวัตถุดิบท้องถิ่นในทุกที่ที่ไปเปิดสาขา ได้แก่ Thai Mango and Lardo เชฟเลือกมะม่วงแบบเกือบสุกรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ มาตัดรสกับลาร์โดหรือไขมันหมูเคียวร์ ผสานให้กลมกล่อมด้วยน้ำมันมะกอกสเปน เข้ากันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ Rose Apple & Salted Cream ชมพู่ไทยเนื้อหวานกรอบคลุกเคล้าครีมเค็ม ราดด้วยน้ำมันพริกให้รสเผ็ด มีความคล้ายยำกินแล้วสดชื่นตัดเลี่ยนได้ดีเลย นอกจากนี้ยังมีจานอื่นๆ ที่น่าลิ้มลองอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Rigatoni Carbonara คาร์โบนาราแบบดั้งเดิมใส่เฉพาะไข่แดงและชีสให้รสเข้มข้นและเค็มมันจากเบคอนโฮมเมด Baby Back Ribs ซี่โครงหมูคลุกเคล้าเครื่องเทศย่างทั้งนุ่มทั้งหอม Chicken Tendon and Squid Ink ข้อไก่ทอดราดซอสหมึกดำใส่หอมแดงและผักชี และ Braised Ox Tail หางวัวตุ๋นจนนุ่มดึ๋งในซอสมะเขือเทศรสกลมกล่อม ที่นี่มีมุมบาร์ให้บริการสายดื่มสายดริงก์ด้วย โดยทางร้านคัดสรรเนเชอรัลไวน์คุณภาพมาให้ลิ้มลองกันหลายตัว เชฟรับรองว่าเข้ากันได้ดีกับพิซซ่า หากใครไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็มี น้ำมะนาวคั้นสดโฮมเมด และ ชามะนาว ที่เป็นเครื่องดื่มซิกเนเจอร์เติมความสดชื่นให้กินพิซซ่าได้คล่องคอ อีกดีเทลที่ไม่อยากให้พลาดคือบรรยากาศสุดฮิปของร้านซึ่งโดดเด่นด้วยงานอาร์ตที่เรียกว่า Roberta’s Art Program ไม่ว่าจะเปิดร้านที่ไหนก็ต้องมีงานศิลปะแนวสตรีทจัดแสดงด้วยเสมอ สำหรับสาขาประเทศไทยเป็นผลงานของศิลปินชาวอเมริกัน Jason Woodside และศิลปินชาวสเปน MURFIN จัดแสดง ร่วมกับผลงานวาดมือของศิลปินไทยรุ่นเยาว์ Artty Rock และ Anar ที่ได้รับคัดเลือกมาจัดแสดงที่ร้านก่อนจะนำไปหมุนเวียนจัดแสดงที่สหรัฐอเมริกาต่อไป แวะมาชื่นชมและถ่ายรูปผลงานของพวกเขากันได้เลย   ไม่อยากให้พลาดพิซซ่าอบเตาฟืนและอีกหลากหลายเมนูอร่อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความพิถีพิถันและความครีเอตไม่เหมือนใครของที่นี่จริงๆ

Silverskin Coffee Lab คาเฟ่พรีเมียมเปิดใหม่ดีไซน์สุดเอ็กคลูซีฟ จุดนัดพบของคนรักเค้ก ชา กาแฟ ตั้งอยู่ในโครงการเรนวูด ปาร์ค พื้นที่มากกว่า 2,000 ไร่ ถือเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ใหญ่ที่สุดบนพื้นที่ย่านลำลูกกา ภายในประกอบด้วยบ้านพักอาศัย โรงเรียน โรงพยาบาล คอมมูนิตี้มอลล์ สนามกอลฟ์ สปอตคอมเพล็กซ์ ครบครันสิ่งอำนวยความสะดวกที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการ สำหรับผู้มาเยือนโครงการ รวมถึงลูกค้าทั่วไปที่ต้องการนั่งชิล จิบเครื่องดื่มเพลินๆ แนะนำ Silverskin Coffee Lab คาเฟ่สุดพรีเมียมที่เป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้มอลล์ เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อย บรรยากาศโคซี่เน้นโทนสีอบอุ่น สลับด้วยสีทอง นั่งสบาย สงบ เป็นส่วนตัว โดยมีมุมมหาชนที่คนนิยมไปรวมตัวคือเคาน์เตอร์บาร์ขนาดใหญ่ที่รวมบาร์เครื่องดื่มและเบเกอรี่ไว้ในที่เดียว ในส่วนของชื่อซิลเวอร์สกินมีความหมายถึงเปลือกเมล็ดกาแฟ โดยนำวงจรชีวิตของเมล็ดกาแฟมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ที่เราจะพบได้ตั้งแต่ในโลโก้ของร้าน รวมถึงตัวอักษรสีแดงที่สื่อถึงเบอร์รี่นั่นเอง ใครเป็นคอฟฟี่เลิฟเวอร์ตัวจริงถือว่ามาถูกที่ เพราะที่นี่มีเมล็ดกาแฟให้เลือกหลากหลาย และใช้เครื่องชง Mod Bar ที่สามารถสกัดกาแฟให้มีรสชาติตามคาแรคเตอร์ของเมล็ดกาแฟแต่ละตัวได้ดีที่สุด ส่วนทีเลิฟเวอร์อย่าเพิ่งน้อยใจ แนะนำชาเขียวพรีเมียมรสเข้มที่ชงเสิร์ฟอย่างพิถีพิถัน เราสามารถชมลีลาการชงเครื่องดื่มของทีมบาริสต้าได้อย่างเพลิดเพลิน รวมถึงพูดคุยถึงสตอรี่หรือที่มาของเมล็ดกาแฟแต่ละชนิด ช่วยเพิ่มอรรถรสให้กับการดื่มมากยิ่งขึ้น ติดกันเป็นมุมเบเกอรี่ที่วางอวดโฉมในตู้ ทุกเมนูอบสดใหม่วันต่อวัน กินคนเดียวกลัวอ้วน แนะนำให้สั่งมาแชร์กับเพื่อน เพื่อให้ชิมได้ครบทุกรสชาติ แล้วยังเฉลี่ยความอ้วนให้ทั่วถึงกันอีกด้วย กล่าวเพิ่มเติมถึงโครงการเรนวูด ปาร์ค อีกนิด ช่วงนี้นอกจากจะมีคาเฟ่ไวบ์ดีอย่าง Silverskin ที่เปิดให้บริการแล้ว ยังมี The Championship ร้านอาหารที่เหมาะกับทุกคนในครอบครัว เพราะมีเมนูทั้งสไตล์ตะวันออกและตะวันตกให้เลือกอย่างหลากหลาย ดังนั้นจะมากลุ่มใหญ่หรือมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา สามารถรวมพลมาเอ็นจอยร่วมกันได้ในโต๊ะเดียว อีกหนึ่งไฮไลท์ที่อยากแนะนำคือ บ้านจีน สถาปัตยกรรมจีนที่งดงาม โดยจำลองตำหนัก Renshou Dian (Hall of Benevolence and Longevity) พระราชวังฤดูร้อน ซึ่งเป็นที่ว่าราชการของฮ่องเต้กวางซวีกับพระนางซูสีไทเฮา ทั้งยังเป็นที่ต้อนรับฑูตต่างชาติ เปิดให้เยี่ยมชมเฉพาะโอกาสพิเศษ หากสนใจสามารถติดตามข่าวสารได้ทางเพจเรนวูด ปาร์ค รวมถึงโปรเจคท์อื่นๆ ภายในโครงการที่จะทยอยเปิดตัวในปีหน้า   ยกให้เป็นเดอะมัสต์ย่านลำลูกกา แต่คนย่านอื่นจะแวะมาก็ได้ไม่ติด

Tag:

แฟนๆ ของ คาเฟ่ ชิลลี่ คงคุ้นเคยกับอาหารตำรับอีสานรสชาติจัดจ้านถึงใจที่ปรุงด้วยความชำนาญ (รับประกันความนัว) อีกทั้งยังเลือกใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นอย่างดีโดยเฉพาะน้ำปลาร้า และผักพื้นบ้านตามฤดูกาลที่ให้กลิ่นรสโดดเด่น จัดเสิร์ฟได้อย่างสวยงามเข้ากับสีสันภายในร้าน สำหรับสาขาใหม่ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ไฮไลต์อยู่ที่อาหารจานเด็ด 21 เมนูจาก 20 จังหวัดในภาคอีสาน ไม่ว่าจะเป็น ป่นปลาทู (จังหวัดอุดรธานี) นำเนื้อปลาทูทอดไปโขลกกับเครื่องอย่างพริกย่าง หอมแดง กระเทียม ปรุงรสให้จัดจ้าน แนมด้วยผักสดและไข่ต้ม ลาบเป็ดยโสธร (จังหวัดยโสธร) ความอร่อยอยู่ที่ใช้เนื้อเป็ดไล่ทุ่งที่ชาวบ้านเลี้ยงปล่อย เนื้อแน่น ไขมันน้อย นำมารวนแล้วปรุงให้ถึงรส โรยด้วยหนังเป็ดทอดรอบและกระเทียมเจียวหอมๆ ต่อกันที่ ส้มตำด๊องแด๊ง (จังหวัดเลย) เมนูขวัญใจ เส้นด๊องแด๊งนุ่มหนึบเคี้ยวสนุก ตำกับเครื่องส้มตำให้แซ่บนัว โดรยด้วยเม็ดกระถินและพลาดไม่ได้เลยสำหรับ แหนมย่างใบมะยม (จังหวัดขอนแก่น) แหนมหมักเองด้วยข้าวเหนียวคั่ว ย่างจนหอม รสเปรี้ยวนำตามด้วยรสเค็มนิดๆ เวลากินแล้วได้รสฝาดและมันจากใบมะยมด้วย แนมด้วยพริกและผักสด นอกจากนี้ยังมีเมนูซิกเนเจอร์อย่าง ‘คาเฟ่ ชิลลี่ อีสานแอพ’ ที่นำของกินเล่นอย่างไส้กรอกอีสาน หมูยอ หมูทอด ไก่ทอดชิลลี่ และแหนบเสียบไม้ จัดเสิร์ฟมาอย่างสวยงามอารมณ์เดียวกับไปกินอาฟเตอร์นูนที แกงลาวเห็ดถอบ ที่มีให้กินทั้งปี น้ำแกงหอมใบย่านาง รสชาตินัวลิ้น ตามด้วย ขลุกขลิกซี่โครงอ่อนทอด ชิ้นพอดีคำ ชุบแป้งทอดให้กรอบแล้วเคล้ากับซอสและเครื่องลาบ รวมถึงเมนูลูกครึ่งฝรั่ง-อีสาน แกะนิวซีแลนด์ย่างจิ้มแจ่ว ซี่โครงแกะหมักเครื่องเทศแล้วย่างให้สุกพอดี ด้านในยังชุ่มฉ่ำ จิ้มน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ดเข้ากันดีเชียว อิ่มคาวแล้วล้างปากด้วยของหวาน ไอศกรีมสดม้านิลมังกร ไอศกรีมกะทิหอมมันรายล้อมด้วยเครื่องเคียง 7 แบบทั้งข้าวเหนียวมูน ถั่วลิสง วุ้นมะพร้าว เส้นซาหริ่ม เฉาก๊วย ลูกชิด และลอดช่อง การันตีว่าหายเผ็ดแน่นอน

นาทีนี้ใครจะฮอตเท่า จิ๊นทอดป้าตือ ร้านอาหารเหนือมื้อดึกราคาน่ารักในซอยวิภาวดี 16/33 ของคุณตือ-สมบัษร ถิระสาโรช สุดยอดออร์แกไนเซอร์มือทองที่มีแฟนคลับมารอคิวตั้งแต่ยังไม่เปิดร้าน เมนูของป้าตือเป็นอาหารเหนือที่กินง่ายและอิ่มท้อง เน้นของทอดร้อนๆ ไม่ว่าจะเป็น ไก่ทอด หมูสามชั้นทอด หมูยอทอด ปลาทูทอด แคปหมู รวมถึง ไส้อั่วย่าง และไข่ต้ม (ที่ต้องกินคู่น้ำปลาทิพรสฝาสีชมพู) แต่ที่ยกให้เป็นทีเด็ดคือน้ำพริกหนุ่มและน้ำพริกแดง ที่ตำรสจัดแบบไม่ยั้งมือ มาพร้อมผักต้มและผักกาดดอง กินกับของทอดกรอบๆ เค็มๆ ตอบโจทย์คนหิวยามดึกอย่างที่สุด ใครอยากมาชิมบ้างเราแนะนำให้มาเร็วหน่อย ทางร้านเริ่มแจกบัตรคิวประมาณ 19.00 น. แล้วเริ่มให้สั่งอาหารราวๆ 19.30 - 20.00 น.เป็นต้นไป อร่อยจริงไหมต้องลองมาพิสูจน์

Tag:

จากร้านเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ตรงหัวมุมถนนในซอยสุขุมวิท 31 มานานเกือบ 30 ปี สู่คาเฟ่ที่ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นแม่ยังรุ่นลูก จุดเด่นอยู่ที่เบเกอรี่จากสูตรของคุณแม่เจ้าของร้านที่แต่ก่อนเคยเปิดขายบนชั้น 2 เพื่อรับรองแขกที่เข้ามาเดินดูเฟอร์นิเจอร์จนท้องร้อง ก่อนขยายลงมาเปิดเป็นคาเฟ่ที่ชั้นล่างแทน หลังจากที่ย้ายร้านลงมา Home Work Bangkok จึงกลายเป็นคาเฟ่ที่มาพร้อมบรรยากาศน่านั่ง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง Working Space ใจกลางเมืองที่เพียบพร้อมด้วยเหล่าเบเกอรี่รสละมุน เพราะทางร้านเลือกที่จะทำแป้งเองทั้งหมดด้วยการนำสูตรดั้งเดิมของคุณแม่เจ้าของร้านมารังสรรค์เป็นเมนูพายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ไส้ไก่ครีมเห็ด สตูเนื้อ ผักโขม นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถปรับแต่งไส้กับหน้าพายเองได้ด้วย สำหรับอาหารจะเป็นเมนูโฮมเมดสไตล์เวสเทิร์นคอมฟอร์ตฟู้ดที่เข้าถึงง่าย เหมาะกับการนั่งกินในร้านภายใต้บรรยากาศปลอดโปร่ง โดยภายในร้านเป็นเพดานสูงและกระจกบานใหญ่รอบทิศทาง แถมใช้โทนสีขาวสลับสีไม้ดูสบายตา มีบาร์ขนาดใหญ่ที่เรียงรายด้วยเบเกอรี่และพายมากหน้าหลายตาน่าลิ้มลอง เริ่มต้นที่ Greek Yoghurt Spread Board เมนูพิเศษที่ทำร่วมกับแบรนด์ Pleased Yoghurt Bar สเปรดกรีกโยเกิร์ตโฮมเมดผสมกับทูน่าให้รสเบาๆ แต่สดชื่นมาก กินคู่กับขนมปังกรอบที่แต่งหน้าด้วยอะโวคาโดและสเปรดอกไก่มะเขือเทศเชอร์รี อร่อยลงตัว จับคู่กับ Fruit Punch เครื่องดื่มสูตรพิเศษของร้าน ให้รสเปรี้ยวอมหวานช่วยเปิดต่อมรับรสได้ดี Kale Slaw Salad with Grilled Chicken สลัดผักเคลออแกนิกคลุกเคล้าเดรสซิงสลัด ท็อปด้วยน่องไก่หมักปาปริกาและสมุนไพรย่าง ตัดเลี่ยนด้วยแอปเปิลหั่นเต๋ารสหวานอมเปรี้ยว Beef Dripping Wagyu Fried Rice ข้าวผัดมันเนื้อหอมๆ ท็อปด้วยเนื้อวากิวย่างหอมกลิ่นสโมก เพิ่มความนัวด้วยไข่แดงดิบ Pesto Spinach Fettuccine เส้นเฟตตูชินีผักโขมผัดกับซอสเพสโตรสกลมกล่อม เสิร์ฟคู่แซลมอนย่างจนหนังกรอบแต่เนื้อในสุกกำลังดี ต่อด้วย Roasted Devilled Chicken ไก่อบซอสนรกที่หมักจนเข้าเนื้อ ได้รสเผ็ดจากครีมซอสที่ราดมา มีมันบด กระเทียมย่าง และเบบี้แครอตช่วยเบรกความร้อนแรง อย่าลืมสั่งของหวานเพื่อทำให้มื้อนี้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นด้วยเมนู Open-Faced Caramalised Banana Nutella Pie แป้งพายกรอบเสิร์ฟแบบพิซซา เป็นหน้ากล้วยหอมซอสนูเทลลา กินกับไอศกรีมวานิลลารสหวานละมุน ลองสั่ง Homemade Thai Milk Tea ชาไทยสุดเข้มข้นรสหวานกำลังดีมากินไปพร้อมกันบอกเลยว่าฟิน หากมีโอกาสจะแวะไปฝากท้องอีกครั้ง

ไม่ใช่ความบังเอิญที่ทำให้เราเจอกัน แต่เป็นความตั้งใจอย่างยิ่งยวดที่จะมาสัมผัสกับบรรยากาศของ ร้านที่ถูกกล่าวขานในโลกโซเชียลตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว W’s Britto ตั้งอยู่ชั้นล่างของโรงแรม Cherie แยกสำราญราษฎร์ การตกแต่งล้อไปกับโรงแรมที่ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์โคโรเนียล ที่เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 5-6 และยังเข้ากับบริบทของเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยอาคารอายุกว่า 100 ปี ทั้งประตูโค้ง เสาปูน พื้นปูกระเบื้องลายดำสลับขาว สอดรับกับบันไดเวียนหินอ่อนที่ทอดตัวสู่ชั้นลอยที่วางโซฟาสีน้ำเงินให้นั่งชิลเล่น เมนูอาหารมีทั้งสไตล์ไทยและตะวันตก เพราะอยากให้เป็นจุดนัดพบของคนจากทั่วโลก เริ่มที่ ยำวุ้นเส้นหมูสับโบราณ วุ้นเส้นเหนียวนุ่ม ปรุงรสแบบต้นตำรับ เสริมทัพด้วยหมูสับ เส้นแก้ว กุ้งแห้ง หอมซอย คื่นช่าย และถั่วลิสง สลัดกุ้งย่างกับน้ำสลัดมิกซ์เบอร์รี เมนูอุดมวิตามินเพราะมีทั้งผักสลัด สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ โรยชีสพาเมซาน คลุกเคล้ากับน้ำสลัดมิกซ์เบอร์รี่ สดชื่นทุกคำที่เข้าปาก ผัดไทยกุ้ง เส้นเหนียวนุ่มฉ่ำซอสสูตรลับเฉพาะแล้วท็อปด้วยกุ้งใหญ่ นอกจากอาหารไทยยังเอาใจชาวต่างชาติด้วยนาโชหมู นาโชแผ่นบางกรอบ ท็อปด้วยหมูสับคลุกเคล้ากับมะเขือเทศสับ ชีส และซัลซา รสเปรี้ยวสดชื่น ถ้ายังไหวไปต่อกับครัวซองต์แป้งกรอบนอกฉ่ำใน ประกบไส้แน่นๆ ทั้งไข่คนและเบคอน สั่งมากินเป็นจานหลักก็อิ่มเบาสบายท้อง หรือจะกินรองท้องก่อนมื้อต่อไปก็ได้ สำหรับเครื่องดื่มยกให้ ชาไทยมะตูม หวานฉ่ำเหมาะกับการดื่มล้างปาก หรือ คาราเมลแอปเปิ้ลพาย ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเช่นเดียวกัน อิ่มจุใจแล้วก็ได้เวลาเดินย่อยอาหารเก็บภาพบรรยากาศของย่านเมืองเก่า เริ่มจากเสาชิงช้า ศาลาว่าการกรุงเทพ วัดสุทัศน์ ศาลเจ้าพ่อเสือ หรือเดินมาทางถนนดินสอเลี้ยวเข้าถนนราชดำเนินก็มีร้านอาหารและขนมหวานอร่อยๆ ตลอดเส้นทางให้ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน   จัดเป็นวันเดย์ทริปก็ดีนะ!

Tag:

ยินดีต้อนรับสู่ “Kokugura Ramen” ร้านคราฟท์ราเมน และบาร์สาเก (ในยามเย็น) เปิดใหม่ของเชฟแอ๋-กุลพล สามเสน ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความชอบราเมนเป็นการส่วนตัว บวกกับการตะลุยชิมราเมนที่ดินแดนอาทิตย์อุทัยกว่า 23 ร้านภายใน 7 วัน และความมุ่งมั่นที่เชฟแอ๋เชื่อว่า ‘คนเราไม่มีทางทำอาหารได้อร่อยกว่าสิ่งที่ตัวเองเคยกิน’ ก่อนกลับมาพัฒนาสูตรกว่า 6 เดือน จนได้ราเมนรสเด็ดที่สายฟู้ดสามารถกินได้ไม่มีเบื่อ   คำว่า Kokugura (โคคุกุระ) ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ‘ยุ้งฉาง’ ซึ่งเชื่อมโยงกับร้านอาหารจีนยุ้งฉาง โปรเจกต์แรกของเชฟแอ๋ ที่ตั้งอยู่ในย่านอารีย์เช่นเดียวกับ Kokugura Ramen เพียงกดลิฟต์ไปชั้น 7 ของของตึก White Cloud แห่งซอยอารีย์ 5 (ฝั่งเหนือ) ก็จะเจอกับร้านคราฟท์ราเมนบรรยากาศสแกนดิเนเวียน ที่สร้างความผ่อนคลายให้คุณด้วยโทนสีขาวสบายตา แสงแดดอุ่นๆ สาดส่องเข้ามาผ่านม่านสีขาวทำให้ร้านสว่างน่านั่ง เดินเข้ามาจะพบกับเคาน์เตอร์บาร์ไม้สำหรับคนที่มาซู้ดราเมนคนเดียว ส่วนโต๊ะสำหรับกลุ่มเพื่อนก็มีให้เลือกนั่งเช่นกัน จานแรกเป็น Deep Fried Iwachi with Mentaiko Aioli ปลาฮิวาชิเนื้อสด ห่อโอบะทอดอย่างดีจนเป็นสีเหลืองทอง กินคู่ซอสเอโอลี่เมนไทโกะรสเข้มข้น ตามด้วย Aburi Shime ปลาซาบะดองสาเกอย่างดีจนไร้กลิ่นสาบ ก่อนนำไปเบิร์นไฟให้หอม เสิร์ฟพร้อมไชเท้าดองโฮมเมด พร้อมรสเปรี้ยวเล็กน้อยด้วยเลมอนซีก Gyokai Tonkotsu Ramen เส้นราเมนโฮมเมดที่ทำจากแป้งโฮลวีตให้สัมผัสเหนียวนุ่ม เข้าคู่น้ำซุปใสรสกลมกล่อมที่มีเบสมาจากน้ำซุปหมูและไก่ เพิ่มความหอมด้วยปลาแห้งจากกรุงโตเกียว เพิ่มความฟินด้วยหน่อไม้กรุบกรอบที่ผ่านการหมักและนำไปผัดแบบจีน สันคอหมูซูวีด์เนื้อฉ่ำรมควันฟาง คอหมูย่างตุ๋น และไข่ต้มหมักโชยุ ปิดท้ายด้วยพระเอกของร้าน Ika Sumi Tsukemen เส้นราเมนแบบหนาให้สัมผัสนุ่มแน่น กินอร่อย ท็อปด้วยเครื่องเคราต่างๆ เสิร์ฟคู่น้ำซุปหมึกดำรสเข้มข้น ที่มีส่วนผสมของซุปหมูเคี่ยวอย่างดี และคาราวานซีฟู้ดรสหวานธรรมชาติ   ของหวานที่ร้านมีไอศกรีมนะ

ชาวฝั่งธนฯ คนไหนเป็นแฟนคลับอาหารเหนือต้องปักหมุด Ginger Farm Kitchen Wooden House” ร้านอาหารเหนือออร์แกนิกมิชลิน 5 ปีซ้อน (Bib Gourmand) ที่ครั้งนี้เลือกมาปักหมุดในย่านพุทธมณฑลสาย 1 (เอาใจชาวฝั่งธนฯ โดยเฉพาะ) บ้านสไตล์ล้านนาอายุกว่าร้อยปีที่ล้อมรอบด้วยสวนร่มรื่นและยังเอาใจคนรักสัตว์ด้วยคอนเซ็ปต์ Pet Friendly อีกด้วย บริเวณโดยรอบมีทั้งต้นไม้น้อยใหญ่และพืชผักสวนครัวที่ทางร้านปลูกเอง เมื่อเข้ามาจะพบกับพื้นปูนเปลือยดิบเท่เข้าคู่กับผนังไม้เก่าคลาสสิก ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สั่งทำในสไตล์ Modern Rustic Farm ให้กลิ่นอายของฟาร์มแบบยุโรป   พื้นที่ด้านบนประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์จากร้าน Ginger Farm Kitchen สาขาเชียงใหม่แทบทุกชิ้น ทั้งโต๊ะ-เก้าอี้ไม้ และงานอาร์ตแสนสวยที่แซมอยู่บนผนังไม้สีน้ำตาลแก่ดูแล้วช่างเพลินใจ พร้อมที่จะอิ่มเอมกับจานอร่อยสไตล์ล้านนาที่ทำมาจากวัตถุดิบคุณภาพ อาทิ ผักออร์แกนิกที่ทางร้านปลูกเอง เนื้อหมู Natural Pork ปลอดสารเร่งเนื้อแดง เนื้อไก่และไข่ไก่อารมณ์ดี ใส่ใจและจริงจังตรงตามคอนเซ็ปต์ ‘From Farm to City’   เรียกน้ำย่อยด้วย เมี่ยงคะน้า คะน้าออร์แกนิกกรุบกรอบ ห่อเครื่องเคราต่างๆ อย่าง หอมแดง ขิง กุ้งแห้ง ถั่วลิสง แคบหมูโฮมเมด พริกสดและมะนาว ราดด้วยน้ำซอสสูตรเฉพาะรสหวานกลมกล่อมกำลังดี ตามด้วย ลาบหมูแบบเหนือ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทีเด็ดของร้าน หมูสับคลุกเคล้ากับเครื่องในลวกสุกพอดีไม่มีกลิ่นคาว และพริกลาบรสเผ็ดได้ใจ ต่อด้วยอีกจานที่จี๊ดจ๊าดไม่แพ้กัน ยำแซลมอนสด จานปลา 2 สัญชาติ แซลมอนสดราดด้วยน้ำยำรสเด็ดที่ผสมผสานความนัวของปลาร้าโฮมเมดได้อย่างลงตัว ใครชอบกินเมนูที่หากินได้ยาก ต้องลอง น้ำพริกข่าเห็ด รสเผ็ดร้อนของน้ำพริกไปด้วยกันได้ดีกับเห็ดนึ่งรสหวาน และผักสดเคียง กินกับข้าวสวยร้อนๆ เข้ากันดีเลย หรือจะเป็นจานฟิวชั่นอย่าง สปาเก็ตตีครีมปูอ่องเบคอน เส้นสปาเกตตีอัลเดนเต้ผัดพร้อมซอสครีมที่เพิ่มความหอมมันด้วยปูอ่องตำรับซิกเนเจอร์ของทางร้านเข้าไปด้วย เสริมด้วยรสเค็มละมุนจากเบคอนและความเผ็ดร้อนจากพริกแห้ง ยกนิ้วให้เลย   ต่อด้วยเมนูพิเศษที่เสิร์ฟเฉพาะสาขานี้ กุ้งแม่น้ำคั่วพริกเกลือ ใช้กุ้งแม่น้ำตัวโตเนื้อสดหวาน คั่วจนได้รสเค็มเผ็ดจัดจ้านหอมกลิ่นกระทะเป็นที่สุด ตามด้วย แกงผักหวานปลาสลิด แกงขลุกขลิกแบบภาคเหนือรสกลมกล่อม ใส่ผักหวาน มะเขือเทศ และวุ้นเส้นลงไป หอมปลาสลิดกรอบๆ เค็มๆ  เป็นจานที่กินง่ายกว่าที่คิด แนะนำเลย จากนั้นล้างปากด้วยของหวาน เค้กแครอต เนื้อนุ่มฟูรสหวาน หอมกลิ่นซินนามอนอ่อนๆ ตัดด้วยรสครีมมีของครีมชีส จิบคู่ ชาขิงออร์แกนิก รสนุ่มที่แฝงด้วยความเผ็ดซ่า ชุ่มคอ เติมรสหวานฉ่ำด้วยน้ำผึ้งจากเมืองเชียงใหม่ เสิร์ฟคู่ทองม้วนกรุบกรอบ   ส่งความอร่อยจากเชียงใหม่สู่พุทธมณฑลสาย 1 ให้ลิ้มลองแล้ววันนี้

เพราะเราใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเมือง การจะปลีกตัวไปพักผ่อนตากอากาศนอกเมืองก็ทำได้ไม่บ่อยนัก พอได้พบกับ The Carnival BKK ที่ยกบ้านพักตากอากาศริมทะเลแถบเมดิเตอร์เรเนียนมาไว้ที่บางนา ที่นี่จึงกลายเป็นจุดรวมพลแห่งใหม่ที่อยากแวะมาเมื่อไหร่ก็ทำได้ง่ายๆ ตัวร้านอยู่ด้านหลัง FO SHO BRO คาเฟ่ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน คั่นด้วยสวนสวยก่อนเข้าสู่ประตูที่อยู่ถัดไป เราชอบความตั้งใจของร้านที่อยากอวดโครงสร้างผนังอิฐ แต่ลดทอนความดิบด้วยการฉาบสีขาว เพิ่มกระจกโค้งสูงจรดเพดานเพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และของประดับที่ให้ความรู้สึกแบบรัสติก อาทิ รูปภาพ แจกันดินเผา และโคมไฟ มู้ดแอนด์โทนโดยรวมจึงดูอบอุ่นชวนให้เอนหลังนานๆ สำหรับเมนูของร้านนำเสนอบรันช์ที่สั่งได้ทั้งวัน เมนูแรกอยากให้ลอง Pizza Magarita พิซซ่าต้นตำรับนโปลี เด่นที่แป้งและซอสที่เชฟทำเองทุกขั้นตอน เสิร์ฟร้อนๆ หอมชีส หอมใบโหระพา ต่อด้วย Aglio Olio with Homemade sausage สปาเก็ตตี้ซิกเนเจอร์ที่ชูไส้กรอกสูตรเด็ดเป็นไฮไลท์ รสชาติคล้ายไส้อั่วไทยผสมกับไส้กรอกแบบตะวันตก กลมกล่อม ถึงเครื่องถึงรส จนต้องยกนิ้วให้ Salmon Steak สเต๊กแซลมอน ผิวเกรียมนิดๆ เนื้อนุ่มฉ่ำ วางบนซอสเข้มข้นที่ช่วยดึงรสชาติของแซลมอนให้โดดเด่นยิ่งขึ้น สำหรับเครื่องดื่มถือเป็นเดอะมัสต์มีทั้งคาร์ฟเบียร์ ไวน์ ค็อกเทล และม็อกเทล สั่งมาจับคู่กับอาหารได้อย่างลงตัว มื้อนี้เราลองเครื่องดื่มเบาๆ ที่เข้ากับอากาศยามบ่ายอย่าง Sun Rise ชาที่มีส่วนผสมของซิตรัส ส้มยูซุ เข้มข้น รสหวานอมเปรี้ยว Earl Grey Lemon ชาเอิร์ลเกรย์ผสมเลมอน แก้วนี้รสเบา ไม่เปรี้ยวจี๊ด ไม่หวานจัด จิบได้เพลินๆ และเมนูสุดฮอต Sex on the Beach รวมความสดชื่นของน้ำส้ม สับปะรด และแครนเบอร์รี่ ตกแต่งแก้วในบรรยากาศสบายๆ เหมือนนั่งอยู่ชายหาด แค่ดื่มก็คืนความกระปรี้กระเปร่าเกินร้อย อยู่กรุงเทพฯ แต่เหมือนมาเที่ยวบ้านพักตากอากาศได้ทุกวันที่ The Carnival BKK

Cento ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์โมเดิร์นในบรรยากาศเรียบง่ายแห่งนี้ซ่อนตัวอย่างเงียบสงบภายในซอยศาลาแดง 1/1 ราวกับกำลังรอคอยเพื่อรับรองแขกผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น ตามคอนเซ็ปต์ Hospitality House ภายในร้านตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ผสมผสานด้วยศิลปะจักรสานไทย ให้ความรู้สึกผ่อนคลายเสมือนนั่งสังสรรค์อยู่ในบ้านพักรับรองของเพื่อนฝูง  ความกว้างขวางของร้านช่วยให้จัดแบ่งพื้นที่ได้อย่างเป็นสัดส่วน มีทั้งโซนร้านอาหารและเคาน์เตอร์บาร์ที่ออกแบบสวยงาม ชวนให้นั่งดื่มชิลกันก่อนจะเริ่มมื้ออาหาร พร้อมด้วยไพรเวตรูม และห้องไวน์ที่คัดสรรไวน์ลิสต์มากถึง 100 รายการจากหลากหลายภูมิภาคในอิตาลีให้เพลิดเพลินกันอย่างจุใจ สำหรับรายการความอร่อย Cento เน้นคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพตามฤดูกาล รังสรรค์เป็นจานอร่อย อย่าง ฮามาจิ ครูโด (Hamachi Crudo) ปลาฮามาจิสด เนื้อนุ่มเด้งปรุงรสด้วยมะนาว ส้มยูซุ ถั่วเหลือง และน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ สัมผัสได้ถึงความสดของปลาฮามิจิ กินพร้อมขนมปังโฮมเมดเนื้อนุ่มฟู สูตรเฉพาะของ Cento หรือจะเป็น ทูน่าทาร์ทาร์ (Tuna Tartar) ก็เรียกความสดชื่นได้ดี มีความเปรี้ยวจากเลมอน ความเค็มมันจากเคเปอร์และน้ำมันกมะกอก ตักกินพร้อมขนมปังกรอบที่เสิร์ฟมาด้วยกัน กระตุ้นน้ำย่อยให้ทำงานเต็มที่ เมนูคลาสสิกไม่ควรพลาดอย่าง วิเทลโล ทอนนาโต (Vitello Tonnato) หรือเนื้อลูกวัวสไลซ์บางเคลือบซอสครีมทูน่ามาโย (Tuna Mayo) รสเข้มข้นหอมมันมีความละมุนละไมจากเนื้อลูกวัว  สำหรับคนรักเนื้อแนะนำ คาร์ปาชชิโอ (Carpaccio) เนื้อสันในวัวสไลซ์บางเฉียบ สัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนลิ้นในทุกๆ คำ กินพร้อมเคเปอร์ หอมแดง และชีสปาร์มีจาโน (Parmigiano) เข้ากันเป็นที่สุด พลาดไม่ได้กับเมนูซิกเนเจอร์ของ Cento อย่าง อัญโญลอตตี (Agnolotti) พาสต้าไส้แน่นๆ หอมเนื้อปูเต็มคำ จับคู่มากับกุ้งแม่น้ำตัวโต และหอยกาบสดๆ เพิ่มสีสันและรสชาติด้วยซอสสไตล์อิตาเลียนชูรสชาติแห่งห้องทะเลให้โดดเด่นชวนกิน ยังมีจานมังสวิรัติรสชาติไม่เป็นรองใครอย่าง ปัปปาร์เดลเล (Pappardelle) พาสต้าเส้นแบนในซอสเพสโต เพิ่มความหวานและกลมกล่อมด้วยมะเขือเทศเชอร์รีย่าง ถั่ว และเลมอน หรือจะเป็น บูราต้า (Burrata) ชีสสดก้อนกลมที่มาพร้อมซอสโหระพาอิตาเลียน มะเขือเทศเชียงใหม่ และน้ำมันมะกอกบริสุทธ์ เป็นสองจานแนะนำสำหรับสายสุขภาพที่ไม่นิยมเนื้อสัตว์ ส่วนคนชื่นชอบโปรตีนจากเนื้อสัตว์ต้องลิ้มลอง พอร์กชอปสไตล์มิลาน (Pork Chop Milanese) ที่เนื้อในนุ่มชุ่มฉ่ำ ได้รสเค็มกลมกล่อมของชีสเปโคริโนโรมาโน (Pecorino Romano) ที่เคลือบมาบนชิ้นสเต๊ก เสิร์ฟกับสลัดและบัลซามิก สำหรับมีตเลิฟเวอร์แนะนำ แฟลงก์สเต๊ก (Flank Steak) เนื้อวากิวส่วนท้อง มาร์เบิล 6 ที่สามารถเลือกระดับความสุกได้ตามต้องการ สไลซ์เป็นชิ้นให้กินง่าย ได้ความสุกระดับมีเดียมตามสั่ง ชิ้นเนื้อนุ่มปราศจากเอ็น กินกับหอมแดงและต้นหอมย่าง ได้ความฉ่ำของบีฟจูส์ มีเบบี้แครอตย่างหวานหอมให้กินด้วยกัน    จานซีฟู้ดย่าง แนะนำ ปลาหมึก (Squid) เป็นปลาหมึกทั้งตัวย่างจนหอมควันถ่าน ราดน้ำมะเขือเทศขลุกขลิกเสิร์ฟพร้อมมะเขือเทศ มะกอก พาสลีย์ และพริก หรือจะเป็น หนวดปลาหมึกยักษ์ (Octopus) ย่างสุกได้ความหวานอมเปรี้ยวของมะเขือเทศ ราดซอสสมุนไพร ยิ่งกินยิ่งสดชื่น   ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง มูสช็อกโกแลต (70% Chocolate Mousse) รสชาติเยี่ยม มีความเค็มบางเบา กินพร้อมเจลาโตวานิลลา อร่อยจนคำสุดท้าย จบด้วย มาร์ตินี เอสเปรสโซ (Espresso Martini) อีกสักแก้ว ความลงตัวของเครื่องดื่มแก้วนี้อยู่ที่ส่วนผสมอันโดดเด่นของ ตีโต วอดก้า (Tito’s Vodka) ซึ่งเป็นคราฟต์วอดก้าคุณภาพเยี่ยม ผสมกับเอสโปรสโซ และวานิลลาหอมๆ ร้านอาหารอิตาเลียน Cento พร้อมให้สัมผัสความอร่อยที่แตกต่างแล้ววันนี้ สำรองที่นั่ง โทร. 09-4567-7779 หรือ https://centobangkok.com/reservations/

Tag:

3 Cats Toast Hut บ้านไม้สไตล์โฮมมี่ที่รีโนเวทให้กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนใหม่ มีคาแรคเตอร์แมวสุดหล่อ 3 ตัว ชื่อ บราวนี่ ฮอปเปอร์ และชูการ์ เป็นเซเลบประจำร้าน น้องจะซ่อนตัวอยู่ในมุมต่างๆ ให้เราเผลอยิ้มทุกครั้งที่ได้เห็น แม้เป็นบ้านหลังน้อยแต่มีพื้นที่ให้เลือกนั่งชิลหลายโซน ทั้งในสวนหน้าบ้านและข้างบ้าน แต่ถ้าอากาศกลางวันยังร้อนเกิน แนะนำในบ้านที่ติดแอร์เย็นฉ่ำจะสบายตัวกว่า ตัวบ้านมี 2 ชั้นให้เลือกนั่งเอนหลัง เหยียดแขนขาได้อย่างเต็มที่ ขอแค่อย่าเผลองีบก็แล้วกัน   เมนูแนะนำ มีทั้งอาหารจานเดียวแบบออล์เดย์ โทสต์ และเครื่องดื่ม ให้กินรองท้องหรือจะกินเป็นมื้อหลักก็สั่งได้ อาทิ ข้าวผัดปลาทูคะน้าพริกสด ซิกเนเจอร์การันตีโดยน้องเหมียวทั้ง 3 ว่าอร่อยของแทร่ ปลาทูเนื้อแน่น มันนัว ผัดกับข้าวสวยเข้ากันดี มีรสเผ็ดนิดๆ แต่เด็กกินได้สบายปาก ข้าวผัดอเมริกันสไตล์ฮ่องกงไข่ข้น เมนูสุดฮอตที่กินได้ทุกเจนเนอเรชั่น เครื่องเคราอัดแน่น สั่งจานเดียวก็อิ่มจุกแล้ว มาถึงร้าน 3 เหมียวถ้าไม่สั่งโทสต์เหมือนมาไม่ถึง เราแนะนำ กล้วยหิมะกับซอสเลมอน ขนมปังเนยสดที่ชุ่มเนยสุดๆ ท็อปด้วยกล้วยหอมผ่าซีก ราดคาราเมลเข้มข้นแล้วเบิร์นไฟ กัดแล้วได้เทกเจอร์หลากหลายในคำเดียว เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด อร่อยครบทุกองค์ประกอบจนอยากกลับมากินซ้ำ สำหรับเครื่องดื่ม แนะนำ ช็อกโกแลตเย็น ช็อกโกแลตเกรดพรีเมียมที่มีรสชาติเข้มข้นแบบช็อกโกแลตแท้ หวานกำลังดี ดื่มได้เรื่อยๆ แบบไม่เลี่ยน และเอิร์ลเกรย์เลมอน เหมาะกับคนที่มองหาเครื่องดื่มเบาๆ เราว่าแก้วนี้เหมาะมาก รสเปรี้ยวอมหวาน ดื่มแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เดินออกแดดได้ไม่เพลีย (ยกเว้นแดดเที่ยงนะ ^_^) ใครอยู่ย่านสีลมอยากหามุมสงบ หลบมามุมนี้!

Tag:

เปิดตัวไปเมื่อกลางปีที่แล้วก็กลายเป็นขวัญใจนักชิมไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ Mimosa Mediterranean Restaurant ร้านอาหารเมดิเตอร์เรเนียนบรรยากาศสนุกแห่งย่านสาทรใต้ ที่ครั้งนี้ครีเอท “เมนูบรันช์” (All Day)เอาใจหนุ่ม-สาวชาวออฟฟิตย่านสาทรให้มาลิ้มลองมื้อสายสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ที่เน้นความสดของวัตถุดิบ แถมยังมีพิซซาโฮมเมด ซิกเนเจอร์ของทางร้านพร้อมเสิร์ฟเช่นเคย เปิดด้วย Tuna Crostino แซนด์วิชหน้าเปิดชิ้นโตนี้ประกอบด้วย ขนมปังซาวโดวจ์โฮมเมดปิ้งเกรียมๆ ทูน่าเนื้อสดจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผักร็อคเกต เคเปอร์ ใบเบซิลและซอส Spicy Rojo Aioli รสเผ็ดเล็กๆ ตามด้วย Prawn Cocktail โทสต์เนื้อฉ่ำในหอมกลิ่นเนยละมุน เข้าคู่กับอะโวคาโดบด และซอสค็อกเทลรสกลมกล่อม เพิ่มความกรุบกรอบด้วยผักสลัด และกุ้งเนื้อหวานพระเอกของจาน ไปต่อเรื่อยๆ กับ BLT French Toast ที่เอาใจนักกินด้วยเบคอนรสเค็มได้ที่ เข้าคู่กับไข่คนอิ่มเอม มะเขือเทศและขนมปังโทสต์นุ่มฟู ก่อนเพิ่มความหอมมันด้วยชีสและซอสมัสตาร์ดกระเทียม Mediterranean Mozza แป้งพิซซาโฮมเมดสไตล์อิตาเลียน เสิร์ฟคู่ซอสดิป 4 สไตล์ ได้แก่ รูแม็สกู ซอสมะเขือเทศสไตล์สเปน ทาปานาท ซอสมะกอกดำในแบบฉบับฝรั่งเศสตอนใต้ เพลสโต กลิ่นหอมที่เราคุ้นเคย และสุดท้ายเป็น ซอสมะเขือม่วงกับกรีกโยเกิร์ต สายหวานต้องนี่ Chocolate French Toast โทสต์เนื้อนุ่มฉ่ำใน เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลาทำเองรสหวานมัน ราดซอสช็อกโกแลตรสเข้มฉ่ำๆ ท็อปปิ้งด้วยสตรอว์เบอร์รี และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ Tropical Chia ก็น่าสนใจ พุดดิ้งเมล็ดเจียกินง่าย ที่ได้ความครีมมีของกะทิ และรสเปรี้ยวอมหวานของผลไม้ฤดูร้อนอย่าง สับปะรด เสาวรส และมะม่วงอย่างเต็มเปา ปิดท้ายด้วยน้ำผลไม้คั้นสด Red ที่มีส่วนผสมของบีตรูต สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี แอปเปิ้ล ส้ม เติมรสเผ็ดซ่าด้วยขิง Orange น้ำผลไม้สีส้มที่เป็นการรวมตัวกันของส้ม แครอต สับปะรด และแอปเปิ้ล Green รสเปรี้ยวอมหวานนี้ได้จากแอปเปิ้ล น้ำมะนาว แตงกวา ผักเคลและน้ำผึ้ง

มีร้านใหม่มาเปิดเอาใจนักกินไม่ขาดสายจริงๆ สำหรับห้างใหญ่ใจกลางกรุงฯ เซ็นทรัลเวิลด์ ที่ครั้งนี้มาพร้อมกับ Flavorly” ร้านขนมเทรอเดลนิค (Trdelnik) สูตรต้นตำรับจากกรุงปราก ให้สายหวานชิมขนมท้องถิ่นจากประเทศเช็ก แป้งสูตรลับฉบับของทางร้าน พันรอบๆ ไม้ก่อนนำไปย่างให้สุก และโรยด้วยผงต่างๆ เช่น ซินนามอน โอริโอ พิตตาชิโอ มัตฉะ หรืออัลมอนด์ กินกับซอร์ฟเสิร์ฟชื่นใจสูตรไขมันต่ำ ที่มีให้คุณเลือก 3 รสชาติ ได้แก่ รสนมฮอกไกโด รสดาร์กช็อกโกแลต และทูโทน (2 รสชาติในหนึ่งเดียว) ยังมีซอสและท็อปปิ้งต่างๆ เช่น ผลไม้สด มาชเมลโล บราวนี่  ให้เลือกแอดออนตามใจชอบ ใครอยากลิ้มลองก็ตรงดิ่งมาที่เซ็นทรัลเวิลด์ บริเวณชั้น 7 โซน Atrium ได้เลย เมนูแรกขอลองเป็น Cinnamon รสต้นตำรับของประเทศเช็ก แป้งสูตรเด็ดกรอบนอกนุ่มใน คลุกเคล้าผงซินนามอนหอมฟุ้ง ไปด้วยกันได้ดีกับรสเข้มของนูเทลลา และความครีมมีของซอร์เสิร์ฟรสนมฮอกไกโด ก่อนโรยหน้าด้วยสตรอว์เบอร์รีสดรสเปรี้ยวอมหวานอีกที ตามด้วย Oreo ตัวโคนเทรอเดลนิคคลุกเคล้ากับผงโอริโอ ก่อนทาด้วยซอสช็อกโกแลตที่เรารัก และเติมความสดชื่นด้วซอร์ฟเสิร์ฟทูโทน (รสนมฮอกไกโด และรสดาร์กช็อกโกแลต) ท็อปด้วยโอริโอ เปิดประสบการณ์สายหวานได้ดีทีเดียว

Tag:

มาน โฮ บิสโทร ห้องอาหารจีนน้องใหม่ที่ต่อยอดความอร่อยจากห้องอาหารจีนมาน โฮ โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ ปักหมุดให้ลิ้มรสอาหารจีนสไตล์โมเดิร์นกันที่ศูนย์การค้าเอราวัณ แบงค็อก พื้นที่ทำเลทองย่านราชประสงค์ใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยดีไซน์และการตกแต่งในบรรยากาศร่วมสมัย มานโฮ บิสโทร จึงเต็มเปี่ยมด้วยคาแร็กเตอร์อันน่าหลงใหล พร้อมต้อนรับด้วยเคาน์เตอร์บาร์ที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สำหรับรับรองผู้ที่มานั่งดื่มระหว่างรอมื้ออาหาร พื้นที่ภายในกว้างขวาง มาพร้อมครัวเปิดที่โชว์การปรุงอาหารของเชฟ เพิ่มความใกล้ชิดและเป็นกันเองยิ่งขึ้น ยังมีห้องรับรองสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสังสรรค์แบบเป็นส่วนตัวอีกด้วย เรื่องความอร่อยเชฟเลสลี่ ดูว์ หัวหน้าเชฟ ห้องอาหารจีน มาน โฮ โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ ได้ร่วมกับ เชฟเซีย เย่ว ซาน ผู้ช่วยเชฟอาวุโส และเชฟจาง เว่ย ตง ผู้ช่วยเชฟ ร่วมกันรังสรรค์อาหารจีนสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ด ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจความอร่อยมาจากอาหารประจำมณฑลเสฉวนและซานตง ที่เชฟเคยลิ้มลองเมื่อครั้งเดินทางไปท่องเที่ยว นำมาสู่เมนูอาหารจีนที่ชูการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและจัดเสิร์ฟแบบจานต่อจาน เพื่อแบ่งปันบนโต๊ะอาหารร่วมกัน นอกจากเมนูอะลาคาร์ตและติ่มซำแล้ว ยังมีเซ็ต Private Dining Menu สำหรับ 10 ท่านในราคา 18,800 ให้เลือกสั่งได้ โดยเซ็ตเมนู A มีเมนูเรียกน้ำย่อย ได้แก่ ไก่เหวินฉางซอสขิง ซึ่งเป็นไก่สายพันธุ์พื้นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย เนื้อแน่นนุ่ม ไข่เยี่ยวม้าและมะเขือยาวซอสพริกเสฉวน เนื้อมะเขือยาวปรุงรสวางมาบนชิ้นไข่เยี่ยวม้าเสริมรสชาติกันได้ดี สลัดแตงกวาญี่ปุ่นและหอยปีกนกซอสกระเทียม จานนี้ได้ทั้งความกลมกล่อมของหอยปีกนกและรสสดชื่นของแตงกวาญี่ปุ่น ขาหมูตุ๋นซีอิ๊วซอสกระเทียม เสิร์ฟมาเป็นโรลคำเล็กๆ โรยหน้าด้วยซอสกระเทียม เมนูซุป เป็นข้าวทอดกรอบซุปกุ้งและหอยสังข์ ที่เสิร์ฟชามข้าวพองพร้อมเนื้อหอยสังข์ทะเล แล้วค่อยๆ รินซุปข้นกุ้งลงไป แนะนำให้กินทันทีจะได้สัมผัสของความกรุบผสมกับรสหวานหอมของซุปกุ้งที่ซึมซับเข้าไปในข้าวพอง ตักกินพร้อมเนื้อหอยสังข์นุ่มๆ เป็ดปักกิ่ง ที่สไลซ์หนังติดเนื้อตามสไตล์ปักกิ่งขนานแท้ พร้อมเครื่องเคียงอย่างแตงกวาและต้นหอม ที่สำคัญต้องมีน้ำตาลและกระเทียมบดเพิ่มด้วย ห่อด้วยแป้งนุ่มๆ ราดซอสรสเค็มหวาน อร่อยติดใจ ปลาหิมะนึ่งซอสซีอิ๊วเต้าซี่และไชเท้าดอง เนื้อปลาหิมะละมุนละไม สด หวาน รสชาติกลมกล่อม กินกับไชเท้าดอง เข้ากัน บะหมี่มันเทศผัดปูไข่ เส้นบะหมี่ทำจากมันเทศผัดกับปูไข่สีสวยชวนกิน รสชาติดีน่าลิ้มลอง กุ้งกังเปาแมคคาเดเมียผัดสไตล์เสฉวน กุ้งชุบแป้งทอดผัดพร้อมแมคคาเดเมียจนซอสเคลือบทุกอณูกุ้ง เต้าหู้โฮมเมดผัดมะเขือยาวซอสพริก เมนูมังสวิรัติที่หอมอร่อยถูกใจคนรักเต้าหู้ ผัดหมี่พิเศษมาน โฮ บิสโทร เส้นบะหมี่ไข่ผัดพร้อมกุ้ง ไข่ เห็ดหอม พริกหวานและหอมใหญ่ ได้กลิ่นหอมกระทะในแบบฉบับจีน ไอศกรีมอะโวคาโด เป็นอาติซานไอศกรีมที่ผสมผสานอัลมอนด์บดและเมล็ดฟักทองบด ห้องอาหารจีนมาน โฮ บิสโทร พร้อมให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.30 – 22.00 น. ณ ศูนย์การค้าเอราวัณ แบงค็อก สำรองที่นั่ง โทร.0-2079-1189

ชวนไปกินอาหารจีนกลิ่นอายฝรั่งเศสที่ MaisonRouge (เมซงรูจ) ร้านอาหารจีนเปิดใหม่ในเครือเมซง เบลอ ของคุณมู่-จักรทอง ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์  'La Chinoiserie Gourmande' หยิบเอาความคลั่งไคล้ในวัฒนธรรมและศิลปะจีนช่วงยุคศตวรรษที่18 ของชาวฝรั่งเศสมาตีความเป็นจานอาหารที่ผสานรสชาติตะวันออกและจีนไว้ด้วยกันอย่างลงตัวไม่เหมือนใคร ทางร้านเลือกใช้วัตถุดิบพรีเมียมที่สอดแทรกความเป็นฝรั่งเศสเข้ามาให้ได้กลิ่นอายเบาๆ ทั้งเมนูคาวและหวาน มาแล้วไม่ควรพลาด Lopster Bisque Xiaolongbao เสี่ยวหลงเปาแป้งหนานุ่มกำลังดีสอดไส้ซุปครีมข้นกุ้งและเอ็กซ์โอซอสกลิ่นหอมรสชาติกลมกล่อม ต่อด้วยไก่แช่เหล้าหน้าตาโมเดิร์นอย่าง “Drunken Chicken” Roulade เนื้อไก่สัมผัสนุ่มที่นำไปม้วนจนสวยงามแช่ด้วยเหล้ากุหลาบและเหล้าจีน พลาดไม่ได้กับ Ispahan Sweet & Sour Pork หมูผัดเปรี้ยวหวานที่ดัดแปลงมาจากอีสปาออง โดยนำความเปรี้ยวหวานหอมของกุหลาบ ลิ้นจี่ และราสป์เบอร์รีมาผสานกับหมูทอดและหอมหัวใหญ่จนได้รสชาติอันน่าหลงใหล และ Barbecue Kurobuta Pork หมูแดงชิ้นพอดีคำ เนื้อฉ่ำวาวรสชาติเข้มข้นกลมกล่อม ที่เพิ่มความหรูหราด้วยแผ่นทองคำ สำหรับของหวานแนะนำ ไอศกรีมช็อกโกแลตนมทอด หอมอบอวบด้วยกลิ่นของชินนามอน เสิร์ฟพร้อมลูกแพร์ตุ๋นเครื่องเทศ 5 ชนิด หวานมันชื่นใจ

อีกหนึ่งหมุดหมายของคนรักเนื้อ Yakiniku Great Bangkok ร้านยากินิกุโอมาเสะเนื้อชื่อดังจากญี่ปุ่น ที่หลังจากประสบความสำเร็จในฮ่องกงและมาเลเซีย ก็ถึงคราวมากระตุ้นต่อมความอร่อยของชาวกรุงเทพย่านสุขุมวิท ด้วยเนื้อพรีเมียมมาร์เบิลสกอร์ระดับ 10-11-12 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดผ่านการประมูลจากประเทศญี่ปุ่น ภายในร้านสีดำสุดโมเดิร์นได้ความไพรเวตอย่างแท้จริง ภายในคอร์สจะมีการไล่ระดับรสชาติเนื้อไปตามสเต็ป สลับด้วยเมนูอื่นๆ ที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน สำหรับคอร์สใหญ่ Great Omakase แบ่งเป็น 16 คอร์ส ที่เสิร์ฟเนื้อด้วยกัน 8 ส่วน ผสานกับอาหารทะเลสดใหม่ และผักหลากชนิดตามฤดูกาล อาทิ Wakyu Tartare Truffle สตาร์ตเตอร์ชวนว้าว ที่นำเนื้อสับมาจับคู่กับบาร์แกต ชีสและน้ำมันทรัฟเฟิล หอมละมุนเริ่มต้นมื้อได้ดีสุดๆ Yaki Sashi with Bubble Soy Sauce เนื้อใบพายส่วนบนสไลด์เป็นแผ่นบางย่าง 7 วิเพียงด้านเดียว เสิร์ฟคู่วาซาบิสด และบับเบิ้ลซอยซอสที่ทำจากไข่ขาวกับโชยุ Chateaubriand and Uni with Rice เนื้อชาโตบริยองด์ย่างแบบมีเดียมแรร์ที่ผ่านการแร็ป 5 นาทีเพื่อเก็บความชุ่มฉ่ำ วางบนข้าวญี่ปุ่นท็อปด้วยบาฟุนอูนิราดซอสเนยกระเทียม Tsukune Hamburg เนื้อวากิวส่วนขาหน้าที่เสิรฟ์มาในรูปแบบแฮมเบิร์กย่างให้สุกระดับมีเดียมแรร์กินพร้อมสวีทซอยซอส และไข่แดง นอกจากนี้ยังมี โซเมนเย็น เสิร์ฟคู่กับน้ำซุปปลาย่าง และของหวานสำหรับล้างปากอย่าง Monaka ที่จะได้สัมผัสกรุบกรอบจากแป้งซากุระวาฟเฟิลด้านนอก ภายในหนึบหนับด้วยแป้งโมจิ ไอศกรีมนมฮอกไกโด และถั่วแดง อิ่มอร่อยทั้งคาวหวานชวนประทับใจ

โยกย้ายโลเคชั่นทั้งที  ‘ มิกกี้ส์ไดเนอร์ ’ ก็ไม่ทำให้เหล่าแฟนๆ ผิดหวัง ปรับโฉมร้านให้เท่สะดุดตา จนแทบจำร้านเดิมไม่ได้ จุดเด่นคือดีไซน์ของผนังและเคานเตอร์บาร์สแตนเลสที่ทำให้ร้านดูหรูหราและคูลไปพร้อมกัน โดยไม่ได้ทิ้งความเป็นอเมริกันด้วยการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของยุค 60's สวยเก๋ลงตัวแบบไม่ขัดตา ในส่วนของเมนูยังคงจัดเต็มด้วย American Comfort Food และ All Day Breakfast ที่ลงลึกและคัดสรรแต่วัตถุดิบคุณภาพดีมาเสิร์ฟเป็นเมนูจานใหญ่ท็อปปิ้งแน่นเช่นเดิม ซึ่งสามารถแวะมากินดื่มเอ็นจอยได้ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ เมนูแรก Cobb Salad (320.-) สลัดประจำบ้านของชาวอเมริกันประกอบด้วยไข่ อะโวคาโด มะเขือเทศ บลูชีสและเบคอน เสิร์ฟคู่น้ำสลัดครีมอร่อยได้สุขภาพ ต่อด้วย Clam Chowder Soup (350.-) ซุปครีมหอยสไตล์นิวอิงแลนด์ หอมมันนัวครีมจับคู่มากับบาแกตต์ กินพร้อมกันอร่อยลงตัว เมนูไฮไลต์ยกให้ Chicken & Waffle (480.-) จากวัฟเฟิลกรอบกรอบฟู ท็อปด้วยไก่ทอดที่นำไปแช่บัตเตอร์มิลก์พร้อมชุบแป้งทอดอีก 2 รอบ กินพร้อมเนย และเมเปิลไซรัป และ American Fried Chicken Combo (340.-) ข้าวผัดอเมริกันจานยักษ์ ท็อปปิ้งแน่นทั้ง ไก่ทอด แฮม เบคอน และไข่ออนเซน รสชาติกลมกล่อมสมคำร่ำลือ หรือจะเลือกเป็นเมนูพิเศษที่เสิร์ฟแบบจำกัดจานต่อวัน Blooming Onion (220.-) หอมหัวใหญ่แช่บัตเตอร์มิลก์ชุบแป้งทอด ที่ผ่านการคัดไซส์มาอย่างดี เสิร์ฟพร้อมซอสครีมรสเปรี้ยวนิดๆ

อบอุ่นน่าประทับใจไปอีกขั้นสำหรับ OOO BKK คาเฟ่ฮอตฮิตย่านทาวน์อินทาว์นที่ล่าสุดเปลี่ยนโลเคชั่นย้ายเข้าสู่บ้านหลังใหม่ภายในซอยพระรามเก้า 29 มาพร้อมบรรยากาศสุดคลาสสิกสไตล์ Mid-Century Modern เน้นดีไซน์ที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของความวินเทจ นอกจากการปรับเปลี่ยนโลเคชั่นแล้ว ทางร้านยังเติมสีสันใหม่ๆ ในตัวเมนูด้วยการอัพเดตเมนูบรันช์ให้หลากหลายมากขึ้น รวมถึงเปลี่ยนมู้ดเป็นไวน์บาร์ในยามค่ำคืนเพื่อเสิร์ฟเนเชอรัลไวน์คู่กับอาหารรสเลิศ ตอบโจทย์ทุกความต้องการ เริ่มด้วยบรันช์อย่าง Gochujang prawn toast (390.-) ขนมปังซาวโดวจ์ท็อปด้วยกุ้งย่างคลุกซอสโกชูจังและอะโวคาโดบด ตัดเลี่ยนด้วยหอมแดงดองและสาหร่ายทอดกรอบ ถัดไปเป็น Scallop Seaweed Pasta (690.-) พาสต้าที่ผัดกับน้ำสตอคหอยปรุงรสจนกลมกล่อมท็อปมาด้วยอิกุระ สาหร่ายทะเล และโฮตาเตะเนื้อเด้งหนึบ เครื่องดื่มแนะนำ Chamomile Bergamot & Citrus Foam (160.-) เครื่องดื่มรีเฟรชชิ่งจากชาคาโมมายผสานรสเปรี้ยวหวานของใบมะกรูดและน้ำผึ้ง เสริมความนุ่มนวลด้วยซีตรัสโฟมน้ำผึ้งด้านบน ในส่วนของดินเนอร์ต้องลอง Pork Chop Mustard Sauce (420.-) พอร์คชอปไซส์ใหญ่ย่างมาความสุกกำลังดีเนื้อนุ่มเด้งสู้ฟัน เสริมรสเปรี้ยวเค็มเบาๆ จากมัสตาร์ดซอส เสิร์ฟคู่กับมันมันฝรั่งย่าง แพร์ริ่งกับไวน์อร่อยลงตัว

รับไม้ต่อจาก Philippe Restaurant ร้านอาหารฝรั่งเศสไฟน์ไดน์นิ่งรุ่นเก๋าได้อย่างสวยงามจริงๆ สำหรับ “Maison Philippe” ตำนานบทใหม่ของพ่อครัวรุ่นใหญ่อย่าง Philippe Peretti เชฟชาวฝรั่งเศสที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์การทำอาหารยาวนานกว่า 20 ปี ทั้งจากสถาบันการทำอาหารชั้นนำจากประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษ ก่อนตระเวรเดินทางไปหาความรู้เรื่องอาหารจากทั่วทุก ทั้งเมืองนิยอร์ก เกาะฮาวาย อิสราเอล จีน ดินแดนอาทิตย์อุทัย ก่อนจะตัดสินใจมาลงหลักปักฐานที่ประเทศไทยในที่สุด ในส่วนของ Maison Philippe ที่ตั้งอยู่ในโครงการ Living At Citi Resort (สุขุมวิท 39) เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสรสดั้งเดิมที่มีทั้ง All Day Breakfast จานอร่อยอาละคาร์ต และเซ็ตเมนู เสิร์ฟมาในบรรยากาศสบายๆ สไตล์บิสโทรเข้าถึงง่าย พื้นปูนเปลือบดิบเท่เข้าคู่ผนังสีเทาที่ถูกแซมด้วยภาพเพนท์หลากสีสันของศิลปินไทย มีผนังกระจกใสกว้างที่เห็นครัวเปิดมองดูเชฟทำงานเพลินๆ ตา แถมยังมีโซน Grocery ของอร่อยสูตรเด็ดของเชฟอย่าง เบเกอร์รีอบสดใหม่ ซอสพาสตา ซุป สตู ให้ซื้อฝากคนที่บ้านได้อีกด้วย เริ่มต้นชิมที่เมนูตัวดังอย่าง Onion Soup in Puff ซุปหัวหอมสไตล์ฝรั่งเศส ที่เปี่ยมด้วยรสชาติกลมกล่อมของหัวหอมคาราเมล เห็ดชิโรลล์และไก่รมควันเนื้อแน่น เพิ่มรสหอมมันด้วยชีสกงเต้รสถั่วชั้นดี กินคู่แป้งพัฟฟ์โฮมเมดเนื้อนุ่มฟู หอมกลิ่นเนย ต่อด้วยจานอร่อยที่ได้ใจสายเนื้อ Beef Steak with French Fries and Green Salad เสต็กเนื้อมีเดียมแรร์ชุ่มฉ่ำ ราดซอสกระเทียมพริกไทยรสเข้มข้นลงไปสักหน่อย เสิร์ฟเคียงหัวหอมคาราเมล มันฝรั่งทอดร้อนจี๋ และสลัดผักสดชื่น Tomato with Pork Stuffing and Pesto เนื้อหมูนุ่มฉ่ำใน ไปด้วยกันได้กับรสซุปมะเขือเทศรสเปรี้ยวละมุน และซอสเพสโต้โฮมเมดหอมๆ เสริมความอิ่มเอมด้วยข้าวผัดหอมกลิ่นกระทะ Chicken & Mushroom Vol au Vent แป้งพัฟฟ์เนื้อฟูสไตล์ฝรั่งเศส ราดด้วยซอสครีมรสหอมมัน ที่ทำจากไก่เนื้อนุ่มและเห็ด ตามมาติดๆ กับ Seafood Gratin กราแต็งร้อนๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรสหวานปนหอมมันของชีสยืดเยิ้มและซีฟู้ดเนื้อสดเด้งอย่าง ล็อบสเตอร์ ปลาหมึก กุ้งและหอยเชลล์ ในส่วนของขนมต้องนี่เลย Apple Tart แอปเปิ้ลทาร์ตหอมกรุ่น รสเปรี้ยวอมหวาน เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลาโฮมเมดสุดฟินและครัมเบิ้ลกรุบกรอบ ขาดไม่ได้กับ Creme Brulee ที่หอมกลิ่นน้ำตาลเบิร์นไฟมาแต่ไกล ตักกินพร้อมตัวเนื้อนิ่มเด้งยิ่งได้ใจสายหวาน

Cafe Vondervic ไลฟ์สไตล์คาเฟ่เปิดใหม่ไม่ไกลจาก BTS อารีย์ของ คุณจิน ธรรมโชติ เจ้าของร้านสูท Jin Vondervic ที่อยู่ข้างๆ กัน ตัวคาเฟ่รีโนเวตจากบ้านเก่า 4 ชั้น ออกแบบให้ทุกพื้นที่ได้เล่นกับแสงแดดธรรมชาติที่จะค่อยๆ เปลี่ยนตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงเย็น “พอเราเปิดคาเฟ่ก็อยากลดทอนความจริงจังลง แล้วเพิ่มความสว่าง ความเบาเข้ามาด้วยครับ” คุณจินเล่า เพราะร้านสูทที่ทำอยู่มีคาแรกเตอร์ของร้านแบบยุโรป คาเฟ่จึงเชื่อมโยงกันด้วย แต่ผสมกลิ่นอายของความเป็นสแกนดิเนเวียนผ่านการออกแบบ ส่วนเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นคุณจินเป็นคนเลือกเองทั้งหมด เราจึงได้เห็นทั้งเครื่องหนัง โลหะ ไม้ และหากสังเกตให้ดีในคาเฟ่จะไม่มีสีเขียวของต้นไม้ แต่จะใช้สีน้ำตาลของกิ่งก้านมาทดแทน กาแฟของที่ร้านเป็นเมนูแบบ Back to basic ไม่หวือหวาอู้ฟู่จนเข้าไม่ถึง อาทิ แฟลตไวท์ คาปูชิโน ลองแบล็ค ลาเต้ แต่ก็มีเมนูอย่าง Vanilla Latte หรือ Caramel Latte เป็นสีสัน ส่วนเบเกอรี่มีมากถึง 15-20 เมนูต่อวัน วางเรียงโชว์โฉมในตู้กระจกบนชั้น 2 ซึ่งคุณจินได้แรงบันดาลใจจากคาเฟ่ของเกาหลีที่ให้เลือกคีบเมนูที่อยากกินด้วยตัวเอง เป็นอีกหนึ่งความสนุกในการมาที่นี่ ขนมที่เป็นภาพจำคือ Cruffin ด้วยรูปทรงแนวตั้ง ผิวกรอบตามแบบฉบับของแป้งครัวซองต์ เลือกได้ทั้ง Cruffin Pastry Cream และ Cruffin Chocolate Hazelnut กินคู่กับกาแฟได้ทั้งร้อนและเย็น Chocolate Muffin ไส้แน่นนุ่ม รสเข้มข้น และมีความหนึบเล็กๆ และที่อยากให้ลองคือ Matcha Canale ชิ้นเล็กซุกซ่อนกลิ่นรสของมัทฉะเอาไว้ แถมยังหวานน้อย กินเพลิน นอกจากนี้ยังมี Danish ที่เลือกได้ทั้งบลูเบอร์รี่และสตรอว์เบอร์รี่ Red Velvet White Choc Cookie และเมนูอื่นๆ ที่รอให้ชาวคาเฟ่ฮอปเปอร์ได้มาเลือกด้วยตัวเอง ใครแวะมาช่วงเย็นๆ อย่าลืมขึ้นไปนั่งเล่นรับลมบนดาดฟ้า

Tag: