ใครชอบร้านที่มีมู้ดแอนด์โทนเหลืองๆ นวลๆ ฝากร้านนี้ไว้ในอ้อมใจ Laun บ้านหลังใหม่ของ บ้านนวล ร้านดังที่หลายคนจองคิวนานข้ามปีก็ยังไม่ได้กิน ภายในตกแต่งสไตล์คลาสสิก กลมกลืนเข้ากับตึกเก่า และแอเรียโดยรอบ ด้านอาหารยังคงรักษาเอกลักษณ์ของรสชาติอาหารไทยสไตล์โฮมคุก ที่เจ้าของร้านพิถีพิถันคัดสรรวัตถุดิบและลงมือปรุงเองจานต่อจาน  ส่วนใหญ่เน้นกินง่ายประเภทอาหารจานเดียว แต่เสิร์ฟจานใหญ่ให้อิ่มจุใจ หรือจะสั่งมาแชร์กับเพื่อนก็ได้เอ็นจอยกับรสชาติที่หลากหลายไปพร้อมกัน   แนะนำ ข้าวไก่อบ เมนูสไตล์กุ๊กช็อป รสชาติจากวันวานที่หลายคนคิดถึง เจ้าของร้านตระเวนกินเพื่อตามหาสูตรที่ถูกปาก นำมาทดลองทำจนได้จานเด็ดประจำร้าน เริ่มจากเอาสะโพกไก่ไปทอดแล้วตุ๋นในน้ำซุปข้ามคืนจนเปื่อย เติมแครอทและมันฝรั่งที่ต่างก็ตุ๋นนาน จนนุ่มละลายในปากไปพร้อมกัน ข้าวหมูก้อนไข่ดาว เมนูข้าวแฮมเบิร์กสไตล์ญี่ปุ่น นำสูตรหมูก้อนมาจากร้านบ้านนวลที่หลายคนติดใจ เพิ่มเวอร์ชั่นให้แตกต่างยิ่งขึ้นด้วยซอสสูตรพิเศษ กินหมูก้อนร้านนี้แล้วไม่อยากไปกินหมูก้อนร้านอื่นอีกเลย สปาเก็ตตีซอสมันกุ้ง เส้นลวกได้เหนียวนุ่มกำลังดี นำมาคลุกเคล้ากับซอสมันกุ้งที่หอมมันครีมมี่ ท็อปด้วยไข่กุ้งพูนๆ อร่อยจนต้องซื้อกลับไปกินต่อที่บ้าน   ทั้งอาหารและบรรยากาศให้ 10 ผ่าน ทุกอย่างดีมากอยากให้มาเช็คอิน!

เลขที่ 37 ถนนเฟื่องนคร เป็นที่ตั้งบ้านหลังใหม่ของ ร้านบ้านนวล ร้านอาหารไทยพื้นบ้านเล็กๆ ที่ชื่อเสียงไม่เล็ก เปิดให้จองเมื่อไหร่ก็คิวยาวข้าม (หลาย) เดือน แต่เดิมร้านบ้านนวลตั้งอยู่ชั้นใต้ถุนของบ้านไทยโบราณที่รองรับได้เพียง 1-2 โต๊ะ แต่ก็มิได้เป็นอุปสรรคแก่ผู้ที่อยากลิ้มรสความอร่อยของร้านแห่งนี้จนทำให้ชื่อเสียงเลื่องลือ วันนี้บ้านนวลเดินทางมาถึงปีที่ 7 แล้ว สองพี่น้องเจ้าของร้าน คุณยุและคุณทอมมี จึงรีเฟรชทุกอย่างให้สวยงามสมความตั้งใจของทั้งคู่ยิ่งขึ้น แต่แน่นอนว่าต้องคงเอกลักษณ์ความเป็นบ้านนวลไว้ โดยแขกที่มาเยือนจะได้พบกับ 2 หัวใจหลักของร้านคือ คุณยุผู้พี่ คอยรับผิดชอบอาหารและงานในครัว และคุณทอมมี ผู้ดูแลการตกแต่งร้านและต้อนรับแขกอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง ที่ตั้งใหม่ของร้าน คุณยุเผยว่าเลือกจากโลเกชั่นที่ติดตลาดเป็นสำคัญเพราะเธอจ่ายตลาดเองทุกวัน โชคดีว่าวันหนึ่งพบห้องที่ติดป้ายให้เช่านี้พอดี ด้านดีไซน์ร้านได้คุณทอมมีที่เชี่ยวชาญด้านสไตลิ่งเป็นคนออกแบบ บรรยากาศโดยรวมในโทนน้ำเงินเรียบหรูดูสนุกสนานขึ้นด้วยลายเพนต์ผนัง โคมไฟ และของประดับต่างๆ ซึ่งคุณทอมมีเลือกสรรมา เฟอร์นิเจอร์ไม้ให้ความอบอุ่นเหมือนบ้าน ติดแอร์เย็นฉ่ำนั่งสบาย ตัวเอกคือครัวหลังใหญ่กลางร้านซึ่งเปิดให้เราได้เห็นคุณยุลงมือทำอาหารแต่ละจาน พลางพูดคุยซักถามเพิ่มอรรถรสในมื้ออาหารได้ยิ่งกว่าเดิม เมนูในร้านยังยกขบวนจานเด็ดที่กินกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ อาทิ ข้าวผัดกากหมู ก้านคะน้าผัดปลาเค็ม ลาบทอด ซึ่ง G&C เคยรีวิวไว้แล้วที่ [ https://www.gourmetandcuisine.com/going_out_eating/detail/864 ] และครั้งนี้เราก็ยังมีเมนูเด็ดฝีมือคุณยุที่ไม่ควรพลาดมาแนะนำเพิ่มเติม ได้แก่ กุ้งแม่น้ำทอดเกลือ จานซิกเนเจอร์ที่เราอยากให้ทุกโต๊ะสั่ง คุณยุเลือกใช้กุ้งแม่น้ำจากร้านประจำที่ตลาดสามย่าน คัดน้ำหนัก 4 ตัวโล หรือ 5 ตัวโลเท่านั้น (ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือ) นำมาทอดโดยไม่แกะเปลือกเพื่อที่เนื้อจะได้ไม่กระด้าง ทอดให้มันกุ้งออกมาในน้ำมันและราดด้วยกระเทียมสูตรพิเศษแบบล้นๆ ทั้งน้ำมันและกระเทียมนำมาราดข้าวกินกับเนื้อกุ้งสดใหม่ที่ทอดได้นุ่มเด้งราดมันกุ้งเยิ้มๆ ตามด้วยน้ำยำ ชวนฟินในทุกคำ ข้าวขยำปู อีกหนึ่งเมนูข้าวของทางร้านที่เด็ดมาก ใช้ปูคัดไซส์ใหญ่พิเศษสดจากตลาด หลักสำคัญคือน้ำจิ้มซีฟู้ดต้องตำด้วยมือเท่านั้น และไม่ใช่แค่คลุกแต่ต้องขยำจนเข้ากันโดยมีหอมแดงไทยเป็นตัวตัดรส นี่แหละเคล็ดลับความอร่อย หมูทอดลูกผักชี จานนี้นับเป็นเมนูหายากเพราะร้านอาหารส่วนมากมักหวงลูกผักชี แต่ทางคุณยุใส่เต็มที่เพื่อจัดเต็มทั้งกลิ่นหอมและรสชาติความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ บอกเลยว่าต่างจากหมูกระเทียมทั่วไปชนิดคนละเรื่อง ต้มจืดไชโป๊วหวาน จานนี้ใครได้ซดเป็นต้องฟินกับความกลมกล่อมหวานละมุนของน้ำซุป มีที่มาจากเมนูที่บ้านคุณปู่ซึ่งเป็นรสชาติที่อยู่ในความทรงจำของคุณทอมมี่ ต่างจากต้มจืดทั่วไปที่ใช้หัวไชเท้า สูตรนี้ใช้ไชโป๊วหวานเป็นหลักจึงให้รสหวานเป็นธรรมชาติ คุณยุเสริมว่าเมื่อก่อนที่บ้านจะมีกากหมูติดบ้านตลอดจึงโรยลงไปเพิ่มสัมผัสกรุบกรอบ อร่อยไปอีกขั้น คอหมูทอดน้ำปลา ปรับสูตรมาจากสามชั้นทอดน้ำปลาเพื่อให้ต่างจากร้านอื่นๆ แต่เมนูนี้มีความยากคือเวลาทอดไฟต้องอ่อนมากๆ จึงใช้เวลาทอดนาน และต้องชุบแป้งให้บางที่สุดเพื่อสัมผัสกรอบชวนกิน ปิดท้ายด้วยเมนูที่มีความฟิวชั่นอย่าง สปาเกตตี้ผัดซอสมันกุ้ง เป็นเมนูที่ต่อยอดมาจากจานเด็ดอีกจาน กุ้งผัดมันกุ้ง ที่ตัวซอสมีความครีมมีกลมกล่อมจนต้องตักราดข้าว จานนี้เลยนำซอสที่ว่ามาคลุกเคล้ากับเส้นสปาเกตตี้แบบอัลดันเตซึ่งให้ความอร่อยเพลินไปอีกแบบที่ไม่แพ้กันเลย แถมยังแกะเปลือกกุ้งเพื่อให้กินง่ายขึ้นอีกด้วย อีกหนึ่งข้อดีจากการย้ายร้านมาที่ใหม่ก็คือ บนถนนเฟื่องนครเริ่มมีคอมมูนิตีของคนชอบอาหารการกิน มีร้านอาหารและร้านกาแฟร่วมสมัยเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงมากมาย แม้ทางร้านจะไม่มีเมนูของหวานบริการ นักกินก็สามารถฮอปปิ้งไปกินของหวานขึ้นชื่อที่แพร่งภูธร หรือไปกินของอร่อยที่ย่านประตูผีได้ การเดินทางมาร้านบ้านนวล จอดรถได้ที่ J Park (มีค่าจอดรายชั่วโมง) ทางร้านไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์แต่หากแขกจะนำมาเองก็ไม่มีค่าเปิดขวดแต่อย่างใด ที่สำคัญคุณยุฝากบอกว่าตอนนี้จองโต๊ะร้านบ้านนวลได้ช่องทางเดียวเท่านั้นคือ Instagram : @baannual37 โดยจะประกาศให้จองโต๊ะล่วงหน้าผ่านฟีดอินสตาแกรม ถ้าไม่อยากพลาดก็กดติดตามกันไว้ให้ดี

เสียงคลื่นน้ำซัดกระทบก้อนหินดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงบ Stonecreek เป็นร้านอาหารเปิดใหม่ของเขาใหญ่ บนถนนมิตรภาพ ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ร่มรื่นสบายตาไปหมดด้วยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ พร้อมด้วยระเบียงริมลำธาร ยื่นออกไปเพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดยิ่งกว่าเดิม นอกจากจะมากับบรรยากาศอันน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว ที่นี่ยังจับเอาเมนูย่างแบบฉบับของสเต๊กเฮาส์มาคู่กับเมนูอาหารไทยท้องถิ่นโฉมใหม่ ผ่านมุมมองของ 2 เชฟดีกรีมิชลิน คือ แอนดรูว์ มาร์ติน (Andrew Martin) จาก 80/20 และทิม บัตเลอร์ (Tim Butler) จากร้าน Eat Me เริ่มต้นด้วยเมนูกินเล่นสูตรลับสูตรเด็ดของร้าน เห็ดทอดแซ่บ เป็นเห็ดทอดที่ให้เนื้อสัมผัสกรอบยาวนานด้วยวิธีการปรุงลับสุดยอด คลุกเคล้ากับเครื่องลาบได้รสชาติเปรี้ยว เค็ม เผ็ด แซ่บสมชื่อ แบบไม่ต้องจิ้มซอสเลยก็ยังได้ ถัดมานั้นเป็นเมนู ยำข้าวโพด เรียกความสดชื่นจากหลากหลายผลไม้ที่ผสมผสานมาอย่างลงตัวสุด ๆ ทั้งส้มโอ มะม่วง เนื้อมะพร้าวอ่อน และมะพร้าวคั่ว พร้อมด้วยสมุนไพรอีกนานาชนิด จัดเต็มครบเครื่องยำ มัสมั่นเนื้อและหางวัว เนื้อเปื่อยยุ่ย ในน้ำแกงเข้มข้นกลมกล่อม เหมาะกับการกินคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ แถมยังมาพร้อมกับอาจาดสีชมพู ซึ่งได้ทั้งรสชาติและสีสันมาจากฝรั่งสีชมพู ขนุน และองุ่นของเขาใหญ่ ข้าวผัดมั่วซั่ว เป็นข้าวผัดเครื่องเทศที่ได้กลิ่นอายของอาหารเหนืออยู่ในหลาย ๆ องค์ประกอบ ทั้งน้ำพริกหนุ่ม ไส้อั่ว และแคปหมู พร้อมกันนั้นยังมีกุ้งตัวโตมาเสริมทัพ คู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดแตงกวาสุดจี๊ดจ๊าด นับเป็นอีกจานที่มีความแปลกใหม่ไม่เหมือนใครจริง ๆ ขึ้นชื่อว่าเป็นสเต๊กเฮาส์ ที่นี่จึงมีตัวเลือกของเมนูย่างถ่านอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นซี่โครงหมูรมควัน วากิวสตริปลอยน์ หรือแฮงเกอร์สเต๊ก ปิดท้ายด้วยของหวาน พายสับปะรดไอศกรีมนม มาในรูปแบบของแป้งพายสามเหลี่ยมสอดไส้สับปะรด โรยไอซิงใบเตย จับคู่กับไอศกรีมนมรสหวานละมุน ตัดกันได้ดีกับความหวานอมเปรี้ยวของสับปะรด นอกจากโซนของร้านอาหารแล้ว ที่นี่ยังมีส่วนของคาเฟ่ให้บริการเครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่นด้วย มาพร้อมกับเมนูแนะนำอย่าง Purple Stone ม็อกเทลสีม่วงซึ่งเป็นส่วนผสมของอัญชันมะนาวโซดา และ Red Passion น้ำสตรอว์เบอร์รี่และเสาวรส

Twist Bistro ร้านอาหารยุโรปฟิวชัน ของ เชฟเทียน-เทียนชัย พีรพงศธร ที่เน้นเสิร์ฟเมนูอร่อยแบบ All Day Dining แนวผสมผสานหลายเชื้อชาติมาทวิสต์ให้ถูกปากคนไทย ภายในร้านนั่งสบายๆ ภายใต้บรรยากาศแสนสงบ มีกระจกบานใหญ่และต้นไม้ล้อมรอบทำให้ดูโปร่งโล่ง สบายตา อีกทั้งยังตกแต่งอย่างทันสมัยด้วยวัสดุโมเดิร์นตัดกับงานไม้สุดคลาสสิก เปิดต่อมรับรสด้วยจานซิกเนเจอร์อย่าง Ceasar Salad ผักคอสราดน้ำสลัดซีซาร์สูตรโฮมเมด ให้รสเค็มมัน เพิ่มเท็กซ์เจอร์ด้วยเบคอนกรุบกรอบ ต่อด้วย Pappardelle Truffle ปัปปาร์เดลเลเส้นสดคลุกเคล้าซอสครีมทรัฟเฟิล ได้รสนุ่มนวล หอมกลิ่นทรัฟเฟิลอบอวลในปาก แถมยังมีความครีมมี่เล็กน้อย กินคู่เห็ดนานาชนิดและเบคอนทอดกรอบ Cream Pesto เส้นเพนเน่ผัดกับซอสเพสโตรสกลมกล่อม เสิร์ฟคู่แซลมอนย่างจนหนังกรอบ แต่เนื้อข้างในยังฉ่ำ และ Pork Chop พอร์กชอปที่หมักจนเข้าเนื้อย่างจนสุก ก่อนเสิร์ฟพร้อมซอสสูตรพิเศษ ให้รสเข้มข้น ตัดด้วยความมันนัวจากมันบด อร่อยทีเดียว

Birdies Bangkok ร้านแคชชวลไฟน์ไดนิงน้องใหม่ย่านสุขุมวิท ที่พร้อมมอบบรรยากาศของการกินดื่มแบบฟีลกู๊ด ให้ทุกคนที่เข้ามานั้นกลับบ้านไปพร้อมกับรอยยิ้มแบบเต็มอก ด้วยคอนเซ็ปต์ 'ความสนุกสนาน' ที่ทางคุณราตีสและคุณเจน (สองสามีภรรยาเจ้าของร้าน) อยากจะเน้นและต้องการให้แขกคนสำคัญรู้สึกถึงความครื้นเครง ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านงานดีไซน์ ปูเป็นเส้นทางให้เราสัมผัสได้ตั้งแต่ขั้นบันไดไปจนถึงโต๊ะอาหาร สำหรับเมนูในค่ำคืนนี้นำเสนออาหารจานเด็ดที่คิดค้นและรังสรรค์โดยเชฟ Jennifer Evans หรือคุณเจนเจ้าของร้าน เน้นไปทางอาหารแนวคอมฟอร์ตฟู้ดที่สามารถกินเพลินๆ ได้ตลอดคืน เปิดต่อมรับรสด้วยค็อกเทล Dopamine ให้รสนุ่มนวล หอมกลิ่นจินและสมุนไพร เรียกน้ำย่อยกันต่อกับ Parker House ขนมปังซาวร์โด กรอบนอกนุ่มใน กินคู่กับเนยรสหอมมัน ต่อด้วย Cabbage ผักกะหล่ำกรอบๆ ราดซอสทาฮีนี ได้รสเค็มมันอร่อยทีเดียว Burrata บูร์ราตาชีส เสิร์ฟคู่ขนมปังสอดไส้ต้นหอม แนะนำให้กินควบคู่กันไปพร้อมน้ำราดรสเผ็ดนิดๆ อร่อยลงตัว ถัดมาคือ Chicken Wings ปีกไก่ที่เชฟเอากระดูกออก พร้อมยัดไส้มูสกุ้งเข้าไป กินเพลินๆ ได้จนหมดจาน ตามด้วย Morels เป็นเห็ดที่ยัดไส้ไก่ ให้รสเค็มๆ มันๆ กินคู่กับไข่แดงที่เชฟนำไปสโมกมาก่อนเสิร์ฟ ไฮไลต์ห้ามพลาดได้แก่ Fried Chicken ไก่ทอดจานยักษ์ ทอดจนกรอบก่อนเคลือบด้วยน้ำผึ้ง เสิร์ฟคู่ซอสสูตรพิเศษ 4 รสชาติ สามารถไซด์ดิสได้ตามใจชอบ กินควบคู่ไปกับ Spring Sazerac ค็อกเทลที่ให้รสแบบหนักแน่น กินสลับกับไก่ทอดได้อย่างเพลิดเพลิน เป็นอีกหนึ่งมื้อที่เปรมปรีดิ์มาก

Løyrom ร้านแคชชวลไฟน์ไดนิงที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสกับรสชาติแห่ง New Nordic Philosophy ที่ขับกล่อมรสชาติอย่างสร้างสรรค์ด้วยศาสตร์และศิลป์ ประกอบกับกรรมวิธีสมัยใหม่ พรีเซ็นต์รสชาติแห่งการเดินทางด้วยความเรียบง่าย เรียงร้อยออกมาอย่างพิถีพิถันและสดใหม่ เพื่อคงความบริสุทธิ์ของรสชาติจากธรรมชาติเอาไว้ให้มากที่สุด โดยคำว่า Loyrom (ลอย-รอม) หมายถึง ‘ไข่ปลาเทราต์ป่า’ ในภาษาสวีเดน มีลักษณะเป็นเม็ดกลมเล็ก คล้ายคาเวียร์ ด้วยคุณลักษณะนี้จึงได้รับการยกย่องให้เป็น "ไข่ปลาคาเวียร์แห่งยุโรปเหนือ" ซึ่งวันนี้นำเสนอ 8 คอร์สเมนูใหม่ล่าสุดอย่าง "The Southrn Rain" เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมผจญภัยไปกับรสชาติของ "ฝนใต้" รังสรรค์จากวัตถุดิบหายากตามฤดูกาลแบบเฉพาะถิ่น เสาะแสวงหาจากแหล่งที่ดีที่สุดตามชุมชนทั้งในประเทศไทยและต่างแดน ระหว่างการรับประทานจะได้ฟังเรื่องราวความรู้ทางประวัติศาสตร์จากแหล่งกำเนิดของวัตถุดิบนั้นๆ ภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงบแสนไพรเวต เริ่มต้นที่สแน็ค 3 คำ ได้แก่ ขนมปังกรอบเห็ดเผาะ แป้งด้านนอกสีดำมีส่วนผสมของหมึกดำ ด้านในสอดไส้เห็ดเผาะ โรยด้วยผงชะคราม ได้รสนัวๆ มีความครีมมี และสัมผัสได้ถึงเท็กซ์เจอร์ความเผาะในปาก ต่อด้วย กุ้งหัวมันใบชิโสะ กุ้งวางบนใบชิโสะเทมปุระที่ราดด้วยวาซาบิมาโย มีความหอมมันเล็กน้อยจากมันหัวกุ้งตัดกับรสวาซาบิ และแคมเบอร์รีเจล คำสุดท้ายคือ แพนเค้กสลัดปู ออนท็อปด้วยไข่ปลาลอยรอมคาเวียร์ ฟิงเกอร์ราม และคิวคัมเบอร์เจล ให้รสเปรี้ยวสดชื่น เรียกน้ำย่อยได้ดี ตามด้วยเซ็ต Bread & Condiments ชิ้นแรกคือ Sourdough Brioche แนะนำให้กินคู่กับเนยกระเทียม และแตงกวาดอง ถัดมาคือ Black Sticky Rice Sourdough ขนมปังข้าวเหนียวดำจากเชียงราย กินกับเคียวร์ปลาซาร์ดีน (Seasonal Cured Fish) ข้างล่างเป็นพริกจินดาเขียว ราดด้วย Orange Dressing Vaneka และสุดท้าย Norwegian Waffle แป้งวัฟเฟิลรูปหัวใจ มีความบางและกรอบ กินคู่กับไข่ปลารอยลอมที่ท็อปมาบนเนยเนื้อเนียน คอร์สสุดประทับใจยกให้ ปลาเต๋าเต้ย วัตถุดิบจากภาคใต้บ้านเรา เชฟนำไปกริลจนหนังกรอบ ก่อนนำมานาบด้วยชาร์โคล กินกับน้ำซุปรสกลมกล่อม คล่องคอทีเดียว กุ้งก้ามกราม เสิร์ฟพร้อมโฟมมันกุ้งและข้าวบาร์เลย์ผสมแครนเบอร์รี เพิ่มรสชาติด้วยซอสมาโย เจลมะนาว และน้ำมันพริก ต่อด้วยจานหลักอย่าง เป็ดย่าง ที่ดรายเอจ 5 วัน ย่างจนหนังกรอบแต่เนื้อยังนุ่มและชุ่มฉ่ำ ด้านบนโรยงาขี้ม่อน ราดซอสไวน์แดง ให้รสเผ็ดเล็กน้อยจากพริกลาบ และเคียงด้วยบีตรูตรมควัน ก่อนจบมื้อนี้ทางร้านพรีเซ็นต์ Pre-Dessert อย่าง Calamansi Ice มีส่วนผสมของส้มจี๊ดหรือมะปิ๊ดของภาคใต้ ให้รสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด แนะนำให้กินควบคู่ไปกับ Orange Blossom Panna Cotta ที่มาช่วยเบรกความเปรี้ยวของส้มจี๊ดลง ส่วน Main Dessert เป็น Mangosteen Sherbet กินคู่ Lemon Verbena Panna Cotta ได้รสเปรี้ยวเล็กน้อยและเย็นชื่นใจ ปิดท้ายด้วย Fika ที่เชฟออกแบบมาเป็นขนม 3 สไตล์ คำแรกคือ Khanom La หรือเวเฟอร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากขนมลา ต่อด้วย Phuket Cjocolate Bonbon ช็อกโกแลตจากภูเก็ตสอดไส้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ คำสุดท้ายคือ Torch Ginger de Fruit เมื่อกินแล้วจะได้กลิ่นหอมของดอกดาหลาชัดเจน กินคู่ชาร้อนๆ ปิดท้ายมื้อนี้ได้อย่างสมบูรณ์ โดยคอร์สนี้ทุกท่านสามารถร่วมลิ้มรสได้ตั้งแต่วันนี้ - เดือนพฤศจิกายนเท่านั้น

จากข่าวคราวของการเปิดตัวร้านอาหารแห่งใหม่ใน ซ.หลังสวน เมื่อกลางปี 2566 ที่ผ่านมา Inddee ก็นับเป็นร้านที่น่าจับตามองไม่น้อย ตั้งแต่คอนเซปต์ของอาหารที่การออกแบบร้านที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะกับซุ้มประตูโค้งที่ต้อนรับอย่างตระการตาตั้งแต่หน้าร้าน Inddee นำเสนอเมนูอาหารอินเดียในรูปแบบไฟน์ไดนิ่ง ซึ่งทุกการรังสรรค์ในแต่ละเมนูในพื้นที่ครัวเปิดทั้ง 2 จุด เป็นคล้ายดั่งโชว์ให้ผู้มาเยือนได้นั่งชมการปรุงอาหารและประดับประดาแต่ละจานอย่างละเมียดละไมในทุกขั้นตอน ภายใต้การนำทีมของเชฟ Sachin Poojary ผู้มีประสบการณ์การทำอาหารญี่ปุ่นมาก่อน จึงไม่แปลกที่เขาจะหยิบจับแนวคิดการปรุงอาหารแบบญี่ปุ่นเข้ามาผสมผสานในเมนูคอร์สเหล่านี้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ จานก็ยังคงอัดแน่นไปด้วยเอกลักษณ์ตามแบบฉบับอาหารอินเดีย เริ่มต้นด้วย Supplement Courses ที่อยู่นอกเหนือจากคอร์สเมนูหลัก ซึ่งได้แก่ Oyster หอยนางรมสดราดด้วยซอสสีชมพูที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Sol Kadhi เครื่องดื่มจากฝั่งตะวันตกของอินเดียที่มีส่วนผสมมาจากผลโคคัม (Kokum) ที่ได้ชื่อว่าเป็นซูเปอร์ฟรุ๊ตในแถบเอเชีย ท็อปด้วยโคคัมคาร์เวียร์ ผงกะหรี่ ผักดอง และดอกผักชี สร้างความสดชื่นเพื่อเริ่มต้นมื้ออาหารได้ดีทีเดียว สำหรับคอร์สเมนูนั้นเริ่มต้นด้วย Bites Into Inddee จำนวน 4 คำ ประกอบไปด้วย Xec Xec เครื่องเทศดั้งเดิมจากรัฐกัว ที่นอกจากจะใส่ทั้งยี่หร่า พริกไทย เมล็ดผักชี กานพลู ขิง และพริกแล้ว ยังมีมะพร้าวและมะขามผสมอยู่จึงเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ไม่น้อย จับคู่มากับครีมเฟรชในทาร์ตบัควีท โดยผงเครื่องเทศที่ประดับจานมาข้าง ๆ กันนั้นสามารถใช้นิ้วแตะ ๆ กินได้ด้วย รับรองว่าจานจะได้สัมผัสกับรสชาติของเครื่องเทศอย่างเต็มที่แน่นอน คำต่อมาคือ Khari Chai ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการกินชาของคนอินเดียในมุมไบ Khari นั้นเป็นพัฟฟ์เพสตรี ที่มักมาในทรงสีเหลี่ยมผืนผ้า แต่ว่าที่นี่นำมาปรับเป็นพัฟฟ์ทรงกรวย สอดไส้เนื้อแพะสับ ข้าง ๆ กันนั้นเป็นซุปเนื้อแกะให้ซด ประหนึ่งว่ากินพัฟฟ์กับชาเลยทีเดียว คำที่ 3 ชื่อว่า Mirch Salan ที่นำอาหารท้องถิ่นจากนครไฮเดอราบาดทางตอนใต้ของอินเดียมาประยุกต์ ซึ่งดั้งเดิมนั้นเป็นน้ำเกรวี่ที่ใส่พริกหวานสเปนและถั่ว มีรสชาติเผ็ดร้อน นิยมกินกับข้าวหมกบริยานี แต่ที่นี่นำมาแปลงโฉมใหม่จนกลายเป็นพริกสีเขียว สอดไส้ด้วยส่วนผสมของเกรวี่แบบดั้งเดิมแต่กัดกินได้ในคำเดียว ส่วนคำสุดท้ายในส่วนของกินเล่นนั้นคือ Chaat อาหารที่ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศอินเดีย มีส่วนผสมของรสเปรี้ยว หวาน เค็ม และเผ็ด คล้ายกับการกินยำ Chaat ในเวอร์ชั่นของ Inddee นั้นประกอบไปด้วย ส้มโอ มะเขือเทศจากเชียงใหม่ มะม่วง ขนุน และมะระทอดกรอบ ได้สัมผัสที่หลากหลายในคำเดียว สำหรับคอร์สแรก Morel เชฟพาเดินทางไปยังดินแดนเหนือสุดของอินเดีย ฤดูใบไม้ผลิในแคชเมียร์ หิมะค่อย ๆ ละลาย ในเวลานั้นเองนับเป็นช่วงที่เหมาะที่สุดสำหรับการออกตามหา ‘เห็ดมอเรล’ หนึ่งในสายพันธุ์เห็ดที่ดีที่สุดในโลก นับว่าเอาใจคนชอบกินเห็ดไม่น้อย เพราะตรงฐานนั้นเชฟก็แทนข้าวพิลาฟด้วยเห็ดเข็มทองปรุงกับหญ้าฝรั่นสีเหลืองอร่าม ส่วนด้านบนนั้นเป็นเห็ดมอเรลยัดไส้ด้วยวัตถุดิบท้องถิ่นของแคชเมียร์หลาย ๆ อย่าง เช่น Khoya หรือไขมันนม แอปริคอท พิสตาชิโอ ท็อปด้วยโฟมอัลมอนด์ คอร์สต่อมา Scallop เป็นการนำวัฒนธรรมการเฉลิมฉลองเทศกาลโอนัมในช่วงปลายฤดูมรสุมของผู้คนในรัฐเกรละทางภาคใต้มาประยุกต์ใช้ ที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือ การรองอาหารหลาย ๆ อย่างไว้ด้วยใบตอง และที่ขาดไม่ได้คือชัทนีย์หรือแยมที่ทำจากมะขามและขิง รู้จักกันในชื่อว่า Inji Pulli ซึ่งเป็นตัวเอกหลักของจานนี้ที่เชฟเลือกจับคู่มากับหอยเชลล์จากฮอกไกโดหมักสาหร่ายทะเล พร้อมด้วยองค์ประกอบอื่น ๆ ได้แก่ เกลือมะพร้าว ข้าวพอง ใบกะหรี่เคลือบน้ำตาลโตนด และมัสตาร์ด จานต่อมา Cod มุ่งหน้าสู่ฝั่งตะวันออกในโกลกาตา รัฐเบงกอล กับการหยิบวัตถุดิบที่มีชื่อเสียงที่สุดของแถบนี้ ได้แก่ Gondhoraj Lemon มะนาวที่มีกลิ่นหอมมากจนได้รับการยกย่องให้เป็น King of Aromas มาจับคู่กับ Queen of Pickles อย่าง Kasundi มัสตาร์ดที่มากด้วยกฎเกณฑ์และความพิถีพิถันในการผลิต นำมาหมักปลาค็อดดำจากอลาสกาแล้วย่างเตาถ่าน ได้เนื้อปลาฉ่ำนุ่มพร้อมด้วยกลิ่นเครื่องเทศอย่างชัดเจน ข้าง ๆ กันนั้นมีขิงดองแบบญี่ปุ่นมาช่วยตัดเลี่ยนด้วย แทรกระหว่างคอร์สหลักด้วย Chicken จากเมนู Supplement Courses ไก่ย่างถ่านที่เชฟนำเมนู Malai Chicken Tikka และ Kali Mirch Chicken Tikka หรือไก่ย่างพริกไทยดำมารวมกัน ออกมาเป็นไก่ที่มีเนื้อนุ่มมาก แต่หนังกรอบ ราดด้วยซอสทับทิมและบาร์เบอร์รี่อิหร่าน กลับเข้ามาในคอร์สหลักของร้านอีกครั้งกับ Quail นกกระทาฝรั่งเศสย่างเตาถ่าน เคลือบด้วยเครื่องเทศ Saoji Masala แบบดั้งเดิมของเมืองนาคปุระหรือนักปูร์ ที่ว่ากันว่ามีความเผ็ดร้อนที่สุดในอินเดีย นอกจากนั้นนาคปุระยังมีชื่อเสียงในนามของเมืองแห่งส้ม จานนี้เลยเป็นการรวมของดีเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวทั้งเครื่องเทศและซอสส้ม จานคาวสุดท้าย Chicken จะเป็นการเดินทางสู่พระราชวังอินเดียโบราณ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเมนูคูร์ชาน (Khurchan) ในภาษาฮินดีนั้นหมายถึงการขูด เพราะประวัติศาสตร์ของอาหารจานนี้ มาจากคนครัวในพระราชวัง ที่มักจะขูดอาหารจากก้นหม้อมาปรุงต่อ และเพื่อสร้างความสมดุลให้กับรสชาติสุดเข้มข้นนี้ เชฟได้จับเอาคูร์ชานไก่มาผสมผสานกับสาลี่และครีมฟีนูกรีกหรือลูกชัดซึ่งปาดมาข้าง ๆ ภาชนะ คล้ายกับการขูดก้นหม้อ กินคู่กับแป้งนานอุ่น ๆ จากเตาทันดูร์ สำหรับของหวานจานแรก มานำเสนอมาอย่างอลังการทั้งภาพและกลิ่นหอมดอกกุหลาบตลบอบอวล ซึ่งเชฟได้นำเมนูหวานเย็นสีชมพูชื่อว่า Falooda สตรีทฟู้ดที่ได้อิทธิพลโดยตรงมาจากเปอร์เซีย ซึ่งมีวัตถุดิบหลัก ๆ คือ น้ำเชื่อมดอกกุหลาบ วุ้นเส้น และนม มาพลิกแพลงเป็นโยเกิร์ตอบ เม็ดแมงลัก และโรยด้วยกลีบกุหลาบบิชอปออร์แกนิกจากเชียงใหม่ ของหวานจานสุดท้าย Chocolate เป็นการนำของดีจากอินเดียมารวมไว้ในหนึ่งเดียว ด้านล่างสุดเป็นกาแฟจากจิกมากาลูร์ (Chikkamagalur) ท็อปด้วยช็อกโกแลต 65% จากปุฑุเจรี (Pondicherry) และกินคู่กับไอศกรีมวานิลลาจากอิดุกกิ (Idukki) ซึ่งตั้งอยู่ในเส้นศูนย์สูตรเดียวกับมาร์ดากัสการ์ จึงสามารถผลิตวานิลลามาตรฐานเดียวกันได้ ได้ความหวานละมุนกลมกล่อมสอดแทรกความขมเล็กน้อยอย่างลงตัว ปิดท้ายมื้ออาหารด้วย Petit Fours ของหวานขนาดกระทัดรัด ที่เริ่มต้นการเดินทางจากรัฐกัวด้วย Goan Perad ผิวฝรั่งสีชมพูกับมาร์ชเมลโลว์เนยกี ห่อด้วยเจลฝรั่งกับเกรปฟรุต ท็อปด้วยเม็ดพริกไทยดำ อีกคำคือ Mukhwas ซึ่งหมายถึง ที่ล้างปาก โดยแบบฉบับของ Inddee นี้จะเป็น Mukhwas ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Gianduiotto ช็อกโกแลตถั่วสไตล์อิตาเลียน เลือกใช้เม็ดมะม่วงหิมพานต์แทนฮาเซลนัท ผสมไปกับยี่หร่า กุหลาบ หมาก และเปปเปอร์มินต์ เป็นการล้างปากจริง ๆ สมชื่อ

มาเยือน ‘หนานโถว’ ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไต้หวันทั้งทีอย่าลืมแวะไปชิม “Jindou Restaurant” ร้านอาหารไต้หวันเก่าแก่ที่เสิร์ฟความอร่อยมานานกว่า 25 ปี หนึ่งในร้านขวัญใจนักท่องเที่ยว เพราะลำเลียงวัตถุดิบสดใหม่จากเมืองผูหลี่ ทั้งน้ำตาลอ้อย เสาวรส และไวน์เส้าซิง ผสานฝีมือพ่อครัวมากประสบการณ์ปรุงเป็นจานเด็ดน่าประทับใจ   เรียกน้ำย่อยด้วย ออเดิร์ฟ กันก่อน มีทั้งเห็ดผัดรสเค็มกลมกล่อม เต้าหู้เย็นนุ่มนิ่ม เคล้าสมุนไพรหอมๆ หน่อไม้น้ำลวกกรุบๆ กินกับมายองเนสครีมมี และผลไม้ฤดูกาลอย่าง เสาวรสรสเปรี้ยวอมหวาน สดๆ จากสวน ตามด้วย ผัดวุ้นเส้น เมนูนี้คนไทยคุ้นเคยดี วุ้นเส้นเหนียวนุ่ม ผัดพร้อมผักต่างๆ เห็ดผัดหม่าล่า ตัวเห็ดมีรสหวาน เข้ากันดีกับผงหม่าล่ารสเผ็ดร้อนเข้มข้น ซดน้ำซุปร้อนๆ ให้คล่องคอกับ หม้อไฟ ชามโต ที่ประกอบด้วยลูกชิ้นหมูโฮมเมดเนื้อหนึบ ผักนานาชนิดและเต้าหู ขาหมู ก็เป็นเมนูขายดี ทางร้านตุ๋นจนเปื่อยเนื้อแทบละลายในปาก เสิร์ฟเคียงหน่อไม้น้ำ ผักประจำฤดูกาลของจังหวัด ปิดท้ายด้วย เป็ดตุ๋น เป็ดตัวอ้วนๆ ตุ๋นในน้ำมันกระเทียมและซอสสูตรลับรสเค็มพอดี จนได้เนื้อสัมผัสที่นุ่มอร่อย ชิมกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ

ใครมีโอกาสแวะเวียนไป ‘เมืองไถจง’ แห่งประเทศไต้หวันเราแนะนำให้ไปเช็คอิน “Guguxiang Weng Gang Chicken” ร้านอาหารไต้หวันชื่อดังประจำเมืองที่มีจานเด็ดเป็น ‘ไก่อบโอ่งสไตล์ไต้หวัน’ ทางร้านยังคงใช้กรรมวิธีทำแบบดั้งเดิม โดยเขาจะอบไก่ตัวอ้วนๆ ที่อาบน้ำซอสสูตรลับในโอ่งหินโบราณ ด้วยไฟจากเตาถ่านร้อนแรงแรง ทำให้ไก่ส่งกลิ่นหอมน่าลิ้มลองมากมาย    จานแรกเราลองเป็น เป็ดกรอบผักกาดหอม เนื้อเป็ดชุบแป้งทอดนุ่มๆ ห่อด้วยผักกาดหอมสด ราดน้ำจิ้มสูตรเฉพาะที่ให้รสออกหวาน ปลาหมึกนึ่งกระเทียม ปลาหมึกเนื้อหนึบหนับ อบพร้อมต้นกระเทียมกลิ่นหอม และผักต่างๆ อย่าง เห็ดหูหนู และพริกหวานสามสี ตามด้วย หมี่คลุกน้ำมันไก่ จานเด็ดของมื้อนี้โดยแท้ ตัวเส้นหมี่ทำจากเผือกเนื้อแน่น ให้ความเหนียวนุ่มซู้ดอร่อย เคล้าน้ำมันไก่หอมๆ และต้นหอมซอย ต่อด้วยเมนูซิกเนเจอร์อย่าง ไก่อบโอ่งสไตล์ไต้หวัน ไก่เลี้ยงธรรมชาติตัวอวบอ้วน หมักซอสสูตรลับรสออกเค็ม อบในโอ่งหินโบราณจนได้กลิ่นสโมก ตัวหนังกรอบแต่เนื้อภายในยังชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟคู่พริกไทยดำ และน้ำมันไก่   กุ้งอบพริกไทยดำ ก็ทีเด็ด กุ้งเนื้อหวาน อบในซอสพริกไทยดำรสเข้มข้น กินกับข้าวสวยร้อนๆ เข้ากัน   ล้างปากด้วยผลไม้ตามฤดูกาลแล้วเตรียมไปตะลุยกันต่อ

De Moon Bangkok หรือที่รู้จักกันในชื่อเก่าอย่าง “ร้านคุณทองบายนาคร” ของคุณเปิ้ล-นาคร ที่มีเวลาว่างเมื่อไร เป็นต้องแวะมาต้อนรับลูกค้าด้วยตัวเอง แม้จะเปลี่ยนชื่อร้านแต่รสชาติอาหาร ยังอร่อยเหมือนเดิม โดยเพิ่มเติมเมนูใหม่ให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น จะมากลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ก็เลือกเมนูที่ใช่ได้ในสไตล์ของตัวเอง เมนูของที่นี่จะเน้นแนวปิ้งย่างและกระทะร้อนเป็นหลัก ทีเด็ดคือเนื้อโคขุน ไทยเฟรนช์ จากฟาร์มของตัวเองที่สกลนคร โดยมีเนื้อให้เลือกถึง 12 ส่วน ด้วยระดับความนุ่มแตกต่างกัน เริ่มจากนุ่มแทบละลาย ในปาก เรื่อยไปจนถึงนุ่มแบบให้ออกแรงเคี้ยวนิดๆ รสชาติเนื้อชัดเจน ย่างแล้วหอมชวนนํ้าลายสอ เน้นปรุงรสชาติสไตล์ไทย จับคู่กับนํ้าจิ้มสูตรเด็ด ที่ช่วยชูรสชาติของเนื้อให้โดดเด่นอีกเท่าตัว ไม่เพียงเป็น Must Eat ของสายเนื้อ ตอนนี้ยังครองใจ สายแซ่บด้วยเมนูไทย-อีสานจัดจ้านถึงใจ เช่นเดียวกับ สายซีฟู้ดที่พร้อมกดเลิฟให้ อีกทั้งยังยืนหนึ่งเรื่องกุ้งแม่นํ้า มันกุ้งข้นๆ เยิ้มๆ เหยาะนํ้าจิ้มซีฟู้ดรสเผ็ดจัดจ้านสักนิดถือเป็นคู่ซี้ที่ควรสั่งมาประจำโต๊ะ ด้านของทอดก็ไม่น้อยหน้า โดยเฉพาะ กุ้งปาร์ตี้ กุ้งแม่นํ้าทอดตัวใหญ่ๆ เสิร์ฟมาในกระทะร้อนให้ล้อมวง แบ่งกัน จะมื้อไหนก็ไม่ธรรมดาถ้ามาที่ De Moon Bangkok

กระแสการกินอาหารจากพืช หรือ Plant-based กำลังอยุ่ในกระแสความนิยมจากทั่วทุกมุมโลก เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร ที่เราได้เห็นร้านอาหารและคาเฟ่ที่นำเสนออาหารจากพืชหน้าใหม่เกินขึ้นมาเรื่อย ๆ ซึ่ง Kynd Kulture คาเฟ่ภายในคอมมูนิตี้ EKM6 ภายในซอยเอกมัย 6 ก็เป็นหนึ่งในคาเฟ่เปิดใหม่ที่หันมาจริงจังกับการกินอาหารจากพืชและการกินเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะ Kynd Kulture ต้อนรับด้วยบรรยากาศอบอุ่น สบาย ๆ ด้วยการหยิบสีเอิร์ธโทนเข้ามาเป็นองค์ประกอบหลักภายในร้าน และเมื่อทอดสายตาทะลุบานกระจกใสออกไปก็จะเห็นสนามหญ้าสีเขียวสบายตา และที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือการประดับประดาฝาผนังด้านหนึ่งของร้านด้วยกระเบื้องหลากสี เรียงสลับซับซ้อนกันเหมือนเป็นงานศิลปะขนาดยักษ์ชิ้นหนึ่ง ชื่อร้าน Kynd Kulture เป็นการพลิกแพลงและผสมผสานระหว่างคำว่า Kindness และ Culture เข้าด้วยกัน นำเสนอเมนูอาหารและเครื่องดื่มผ่านคำว่า Kynd ซึ่งจะเป็นรูปแบบของอาหารจากพืชที่กินง่าย รสชาติดี และอัดแน่นไปด้วยประโยชน์ต่อสุขภาพ ส่วนอาหารในส่วนของ Kulture นั้น เป็นการนำเสนอประสบการณ์ใหม่ในจานอาหารด้วยวัตถุดิบหมักดอง แหล่งรวมโพรไบโอติกส์ (Probiotics) และพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) ที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร Krazy Spicy Caviar คือหนึ่งในตัวอย่างของเมนูแนว Kynd มาในแบบฉบับของพาสตาที่ให้รสชาติเผ็ดร้อนจากน้ำมันพริก กินแล้วคล้าย ๆ กับพริกเผาบ้านเรา สอดแทรกด้วยกลิ่นของของใบโหระพา และยังได้ความหวานสดชื่นของมะเขือเทศ ด้านบนท็อปด้วยชีสเม็ดมะม่วงหิมพานต์และคาร์เวียร์วีแกน ส่วนเมนูแนว Kulture นั้นมีทั้ง Youngblood toast อะโวคาโดโทสต์ที่เสริมวัตถุดิบเพิ่มโพรไบโอติกส์อย่างกิมจิเข้าไปได้อย่างกลมกลืน Kulture Bowl ก็เป็นอีกเมนูที่นำเสนอออกมาได้อย่างน่าสนใจ จากการผสมผสานอันหลากหลายในชามเดียว ทั้งเทมเป (ถั่วเหลืองหมักของอินโดนีเซีย) ฮุมมุส กิมจิ ฟักทอง ควินัว เห็ด และแตงกวา ซึ่งทางร้านได้นิยามเมนูนี้ไว้ว่า “Sexy และมีสารอาหารครบถ้วน” อีกเมนูที่น่าสนใจไม่แพ้กัน แถมยังเป็นเมนูใหม่ล่าสุดของร้านก็คือ Taco ที่ปรับนิดเปลี่ยนหน่อยจนได้ทาโก้ที่สายสุขภาพจะต้องประทับใจ ด้วยแผ่นแป้งทาโก้ปราศจากกลูเตน มาพร้อมกับ 3 รสชาติคือ เต้าหู้โกชูจัง ขนุนบูลโกกิ และกิมจิเห็ดเข็มทองน้ำมันพริก ที่ให้รสชาติครบเครื่องจนลืมไปเลยว่ามีแต่ผัก เมนูขนมหวานของร้านก็จัดเต็มมาในจานใหญ่ไม่แพ้ของคาว เรียกได้ว่าอิ่มท้องพอ ๆ กัน ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ Bircher Pancake แพนเค้กทำจากข้าวโอ๊ต จับคู่มากับไอศกรีมคาเคาซอร์เบต์ ซึ่งเหมาะมากที่จะตัดรสชาติด้วยผลไม้รสเปรี้ยวอย่างสตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ ส้ม กี่วี และแอปเปิ้ล ที่จัดเต็มมารอบจาน เมนูเครื่องดื่มของ Kynd Kulture ก็คงคอนเซปต์ที่ดีต่อสุขภาพและเป็นเครื่องดื่ม Plant-based เช่นกัน ต้องบอลเลยว่าบางเมนูก็แปลกใหม่ไม่เหมือนใครสุด ๆ อย่างเช่น Melemele ซึ่งมีส่วนประกอบของผลไม้เมืองร้อน และเทมเป้ (ถั่วเหลืองหมักของอินโดนีเซีย) อยู่ในนั้นด้วย จึงออกมาเป็นเครื่องดื่มที่มีทั้งความมันกลมกล่อม ผสมผสานไปกับความเปรี้ยวสดชื่นจากผลไม้ หรือถ้ามองหาเครื่องดื่มที่เติมเต็มความสดชื่นได้เต็มพิกัด Jalapeño Fizzy นับเป็นแก้วที่น่าสนใจเพราะนอกจากจะมีความซาบซ่าในตัวแล้ว เมื่อจิบเข้าไปก็จะสัมผัสได้ถึงความเผ็ดร้อนเล็กน้อยจากพริกฆาลาเปญโญดองแถมมาด้วย สำหรับเมนูคาเฟอีนเติมพลังงาน ที่นี่ก็มี Cocopresso Black หรือกาแฟอเมริกาโนผสมน้ำมะพร้าวเผาและน้ำช่อดอกมะพร้าว ทำให้มีความหอมหวาน ดื่มง่าย เข้ากับเมล็ดกาแฟเบลนด์ที่ให้เทสต์โน๊ตแนวช็อกโกแลต ถั่ว และคาราเมล ส่วนอีกแก้วคือ Midori Chan : Dirty Matcha มัทฉะเดอร์ตี้ที่จับคู่กับนมจากพืชสุดเข้มข้นสูตรลับเฉพาะของร้าน ซึ่งพิเศษกว่านมทั่วไปด้วยกลิ่นหอมวานิลลาจากฝักวานิลลาแท้ นอกจากคาเฟ่ Kynd Kulture แล้ว ภายในโครงการ EKM6 ยังมีส่วนของร้านชำชื่อว่า Plenti ที่รวบรวมสินค้า Plant-based หลากหลายชนิดมาให้เลือกซื้อด้วย เรียกได้ว่าเป็นคอมมูนิตี้สำหรับคนกินพืชอย่างแท้จริง!

หลังจากประสบความสำเร็จที่ทรงวาด ถึงเวลาที่ ‘อี-กา’ จะพาทุกคนโบยบินต่อมาที่บ้านหลังที่ 2 ในซอยสาทร 12 โดยยังคงบอกเล่าเรื่องราวอาหารผ่านการเดินทางของ คุณแจะ ศิริวรรณ และรสชาติที่ลึกล้ำจากวัตถุดิบท้องถิ่นทั่วประเทศได้อย่างน่าประทับใจ ความพิเศษของอี-กา สาทร 12 คือที่นี่มี “อี_กา กินเช้า” อาหารเช้าที่ทั้งอร่อยและสนุกซึ่งคุณแจะเปรียบไว้ว่า ‘เหมือนเรามีเสื้ออยู่ 1 ตัวแล้วปักเลื่อมวิบวับ’ คุณพ่อและคุณแม่ของคุณแจะอยู่ที่อุดรธานีซึ่งมีเมนูเช้าแบบอุดร-เวียดนามอย่าง ไข่กระทะ ข้าวเกรียบปากหม้อ แต่ตัวเธอเติบโตที่ลำปลายมาศที่มีเมนูดังเป็น ผัดหมี่ลำปลายมาศ และ ขนมจีนแกงไก่ใส่เลือด มื้อเช้าของอี-กาจึงมาจากความทรงจำและการเดินทาง เราไม่อยากให้พลาด ข้าวผัดอเมริกัน จี_ไอ blues ข้าวผัดอเมริกันจากวัยเยาว์ที่คุณพ่อคุณแม่ทำงานกับทหาร G.I. รสชาติหวานเค็มกลมกล่อม แถมยังให้ลูกเกดจุใจแบบไม่หวง เคียงด้วยน่องไก่ทอด ไส้กรอกทอด และไข่ดาว หรือจะลอง Breakfast ทหารจี_ไอ ไข่ดาว 2 ฟองเยิ้มๆ จุ๊ด้วยแม็กกี้ กินกับไส้กรอกทอด และขนมปัง ต่อด้วย ข้าวเกรียบปากหม้อญวณ แป้งนุ่มหนึบไส้แน่นตามแบบฉบับอุดรธานี กินกับน้ำจิ้มรสหวานนิดๆ ก็ถูกใจ พลาดไม่ได้กับ สตูว์ไก่ สไตล์กุ๊กช็อป น่องไก่ชิ้นใหญ่เพิ่มรสชาติด้วยซอสไก่งวง แนะนำให้สั่งกินคู่กับ ข้าวหมูยอทอด ช่างเป็นมื้อเช้าที่รื่นรมย์ ส่วนเมนูอื่นของอี-กาก็ยังมีตัวตนชัดเจน คุณแจะเล่าว่ามีหลายเมนูที่ได้รับการถ่ายทอดสูตรจากต้นตำรับซึ่งทางร้านจะคงสัดส่วนและวัตถุดิบเอาไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นน้ำวูดู พริกแกง กะปิ (ที่มี 7-8 ยี่ห้อแล้วแต่เมนูที่ทำ) อย่าพลาด ข้าวยำปักษ์ใต้ จากตำบลเจ๊ะเห ตากใบ นราธิวาส ข้าวหุงด้วยใบยอและใบย่านาง เคียงด้วยเครื่องเคราอย่างดอกดาหลา ส้มโอ แตงกวา ถั่ว ใบมะกรูด ตะไคร้ ใบแพว ผักชี ปลาทูคั่วจนแห้ง มะพร้าวคั่ว และน้ำวูดู นอกจากนี้ยังมี ไก่คั่วตะไคร้ขมิ้น ยำปลาฉิ้งฉ้าง ที่ได้สูตรเด็ดจากคุณปู อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ รวมถึง หมี่กรอบ ต้มส้มปลากระบอก สะตอผัดกุ้ง จากร้านกิมเล้ง สี่แยกคอกวัว   ก็ล้วนน่าลองเป็นอย่างยิ่ง

ท่ามกลางความคึกครื้นในยามราตรีบนถนนเยาวราช อาคารพาณิชย์ขนาด 5 ชั้นสูงตระหง่าน ณ หัวมุมที่ตัดระหว่างถนนเยาวราชและถนนมังกร ได้เปลี่ยนจากร้านขายทองเดิมเป็นอาคารโฉมใหม่พร้อมชื่อและป้ายเก๋ ๆ ว่า ‘โกลด์สมิท’ เมื่อเลื่อนสายตาลงมาจากป้ายโกลด์สมิทเพียงนิดเดียวก็จะเห็นป้ายไฟเขียนว่า Chop Chop Cook Shop เป็นตัวอักษรสีแดงเปล่งประกายแข่งกับแสงไฟทุกดวงบนนถนนเยาวราช ที่นี่คือร้านอาหารแห่งใหม่คอนเซปต์จัดจ้านภายใต้การสร้างสรรค์ของเชฟเดวิด ทอมป์สัน ชวนย้อนเวลาหาอดีตกับร้านอาหารสไตล์กุ๊กช็อป เสิร์ฟอาหารทุกสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นตะวันตก จีน หรือไทย ยุคทองของร้านกุ๊กช็อปนั้นเคยมีอยู่จริงในหน้าประวัติศาสตร์ช่วงปี ค.ศ. 1930 – 1970 ของกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะตามย่านชุมชนจีนเช่นเยาวราช คนทำอาหารมักจะเป็นคนจีนไหหลำ เอกลักษณ์ของกุ๊กช็อปเลยออกมาเป็นอาหารตะวันตกสไตล์จีนปนไทยตามใจคนกิน และจะเสิร์ฟเป็นคอร์สแบบตะวันตก แยกจานใครจานมัน ไม่ได้แชร์กันอย่างอาหารไทย กุ๊กช็อปในสไตล์ของ Chop Chop Cook Shop ถอดเอากลิ่นอายจีนของเยาวราชมาใส่ไว้ในร้านอย่างเต็มพิกัด ทั้งหลอดไฟนีออนตัวอักษรภาษาจีน รูปวาดมังกรบนบานกระจก ผนังที่เต็มไปด้วยสร้อยคอทองคำ แม้แต่พนักงานในร้านก็ยังใส่เครื่องประดับทองคำไปทั้งตัว แต่ในขณะเดียวกันบรรยากาศรอบ ๆ ก็ยังแฝงไปด้วยภาพของร้านไดเนอร์แบบอเมริกันและสีสันแบบป๊อบอาร์ตที่ลงตัวอย่างน่าทึ่ง ในเมื่อเชฟเดวิด ทอมป์สันเอาคอนเซปต์ของกุ๊กช็อปมาเล่นอย่างจริงจัง เมนูในร้านจึงให้กลิ่นอายของตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็สอดแทรกส่วนผสมและวัตถุดิบบางอย่างที่กินแล้วถูกปากคนเอเชียแบบเรา ๆ สำหรับ Starters นั้นให้รสชาติออกไปทางตะวันตกเสียส่วนใหญ่ เริ่มต้นด้วยเมนูที่ใช้ซอสแมรี่โรสสไตล์อังกฤษแท้ ๆ แบบดั้งเดิมเลยคือ Crab Marie Rose ซึ่งเป็นซอสที่มักจะเสิร์ฟกับกุ้ง แต่ที่ Chop Chop Cook Shop ปรับใหม่เป็นเนื้อปูม้า มาพร้อมกับจานเคียงเป็นขนมปังนมญี่ปุ่น เนื้อเหนียวนุ่มพร้อมกับเนย ต่อมาเป็นการจับคู่ระหว่าง Devil on Horseback และ Angel on Horseback ซึ่งเป็นจานรวมเมนูเก่าแก่ระกับร้อยปีจากอังกฤษเช่นกัน เมนูได้ชื่อว่า Devil นั้นมาในรูปลักษณ์ที่ดำทะมึนสมชื่อนั้นทำจากลูกพรุนพันเบค่อน ส่วนด้านในสอดไส้ด้วยตับไก่และอัลมอนด์ ส่วน Angel นั้นเป็นหอยนางรมพันโพรชุตโต้ย่างเนยสมุนไพร ฝั่งอาหารจานหลักนั้นค่อนข้างสร้างความแตกต่างไปจากจานเรียกน้ำย่อยไม่น้อย ด้วยส่วนผสมสไตล์เอเชียนหลาย ๆ อย่างที่ใส่มาในจานอย่างโดดเด่น เช่น Butter Prawn กุ้งแม่น้ำสดใหม่ราดซอสเนย เครื่องเทศ และพริกเสฉวน Debal Curried Sausage เป็นจานที่รวมทั้งอาหารอังกฤษดั้งเดิม อาหารโปรตุกีส และอาหารมาเลเซียเข้าไว้ด้วยกัน ออกมาเป็นไส้กรอกในซอสเกรวี่หัวหอมที่และเครื่องเทศ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแกงกะหรี่แบบมะละกา ประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ยังจับคู่มากับ Side Dish อย่าง Chop Chop Mash มั่นฝรั่งบดสไตล์จีน ใส่หอมแดง หัวไชเท้า รวมทั้งเครื่องพะโล้ บดในครกจนเนื้อเหนียวก่อนจะนำไปผัดในกระทะอีกทีเพื่อให้กลิ่นหอม และอีกจานคือ Sugar Snap Pea Salad สลัดถั่วลันเตาหวาน คลุกเคล้ามาในน้ำสลัดบัตเตอร์มิลก์ เพิ่มความเผ็ดร้อนแบบไทยเข้าไปนิดหน่อยด้วยพริกหนุ่มย่าง ขนมหวานปิดท้ายมื้ออาหารนั้นน่าสนใจไม่แพ้ของคาว ไม่ว่าจะเป็น Beehive Sponge with Banana Custard สปอนจ์เค้กคาราเมลและกล้วยเนื้อหนึบ ราดซอสคัสตาร์ดรัมเรซิน หรือ Ginger Milk Curd with Macadamia Tuile ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกินเต้าฮวยน้ำขิง แต่ตัวคัสตาร์ดนั้นทำมาจากนมแพะสดและใส่น้ำขิง ท็อปบนแก้วด้วยตุอีล หรือขนมเบื้องแมคคาเดเมียบางกรอบ ส่วนเครื่องดื่ม Chop Chop Spiced Coffee & Tea ปิ๊งไอเดียมาจากเครื่องดื่มตามคาเฟ่ในฮ่องกง เป็นชาผสมกับกาแฟสดใส่นมในแบบฉบับหวานน้อย โดยใช้ชาและกาแฟที่คัดสรรส่งตรงมาจาก จ.เชียงใหม่ ส่วนชั้นที่ 2 ของอาคารโกลด์สมิทนั้นเป็นที่ตั้งของบาร์ชื่อเดียวกัน ประดับประดาสไตล์จีนเข้ากับย่านเยาวราช แต่ที่พิเศษสุด ๆ คือการจับมือกับแบรนด์ผ้าไหมไทย จิม ทอมป์สัน ในการออกแบบลวดลายเบาะเก้าอี้ โซฟา ไปจนถึงลวดลายบนฝาผนัง ไปด้วยกันได้ดีกับโคมไฟสไตล์จีน สร้างบรรยากาศชวนเคลิบเคลิ้มไปกับเครื่องดื่มอย่างไม่รู้เบื่อ เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของโกลด์สมิทบาร์นั้นมีให้เลือกจากเมนูหลายหน้าเลยทีเดียว แต่ที่แนะนำว่าต้องลองก็คือแก้วที่ชื่อว่า Goldsmith ตามชื่อของอาคารและบาร์แห่งนี้  ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างวอดก้าญี่ปุ่น เหล้าแบล็กเบอร์รี่ และเหล้าสมุนไพร ไซรัปปีโนต์ นัวร์-ชิตาเกะ บลูเบอร์รี่  และเลมอน ให้รสชาติของผลไม้และสมุนไพรชัดเจน แถมยังมีอูมามิด้วย High Tea In The High Tower เป็นแก้วที่มีปริมาณแอลกอฮอล์แบบเบา ๆ จากส่วนผสมของสาเก เหล้าบ๊วย ชาอู่หลง โรสแมรี ที่ให้รสชาติดื่มง่าย หอมกลิ่นดอกไม้ และให้ความสดชื่นได้ดีทีเดียว Kirb Stomp ม็อกเทลรสชาติเปรี้ยวอมหวานแบบผลไม้ทรอปิคัล จากมะม่วง ชบา เกรนาดีน โทนิค และน้ำเกลือ เป็นมุมใหม่ที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศสนุกสนานและคึกครื้นของเยาวราช และในขณะเดียวกันก็เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้วยเมนูอาหารสไตล์กุ๊กช็อปที่เราอาจจะหลงลืมไปแล้ว

หลังจากที่ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม (The Emporium) ปรับโฉมใหม่อย่างไฉไล พร้อมเป็นเดสติเนชั่นชั้นนำด้านไลฟ์สไตล์ระดับโลก นอกจากช็อปสินค้าแบรนด์เนมสุดหรูที่กำลังทยอยเปิดตัวกันอย่างต่อเนื่องแล้ว หากช้อปปิ้งมาเหนื่อยๆ ที่นี่ก็มี Sava Modern THAI Flavour (ซาว่า โมเดิร์น ไทย เฟลเวอร์) ร้านอาหารไทยโมเดิร์นของแฟชั่นดีไซเนอร์แถวหน้าของเมืองไทย คุณหมู - พลพัฒน์ อัศวะประภา แห่ง ASAVA Group และหุ้นส่วน ซึ่งเป็นดั่งส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสายฟูดดี้และสายแฟชั่น ให้เหล่านักช้อปวางใจแวะมาฝากท้องได้ทุกเมื่อ และเพื่อให้ตอบรับนักช้อปได้ทุกเวลาตั้งแต่ห้างเปิดจนห้างปิด ทางร้านจึงเปิดตัว Supreme Dinner Menu รวมเมนูสุดอลังการในคอนเซ็ปต์ “Surf & Turf” ที่ชูความสดใหม่ของวัตถุดิบสุดพรีเมียมทั้งซีฟู้ดและเนื้อสัตว์แบบเน้นๆ มาในพอร์ชั่นใหญ่ที่เหมาะสำหรับให้แชร์กันได้อย่างเพลิดเพลิน คุณดวง - นีรนาท เผ่าสวัสดิ์ หนึ่งใน 4 หุ้นส่วนของร้าน Sava เล่าให้เราฟังถึงที่มาของเมนูดินเนอร์ชุดใหม่นี้ว่าเป็นการคิดออกแบบเมนูใหม่ขึ้นทั้งหมด เนื่องจากทางร้านเริ่มมีฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะที่เป็นชาวต่างชาติก็เติบโตขึ้นมาก จึงคิดทำดินเนอร์เมนูซึ่งตอบโจทย์เทรนด์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่นิยมกินอาหารที่มีสัดส่วนของโปรตีนที่มากขึ้นและลดคาร์บให้น้อยลง ด้านวัตถุดิบสำหรับดินเนอร์เมนูก็จะมีความพรีเมียมมากขึ้น ให้เหมาะกับช่วงเวลาเย็นที่ลูกค้าไม่ต้องเร่งรีบและสามารถผ่อนคลายอารมณ์ไปกับมื้ออาหารดีๆ ในรสชาติความเป็นไทยดั้งเดิมที่อร่อยถูกปากได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ลืมที่จะยกระดับในการนำเสนอให้ละเมียดละไมยิ่งขึ้นในแบบของ Sava Supreme Dinner Menu ได้รับการตอบรับอย่างดีตั้งแต่เปิดตัวมา ด้วยรสชาติที่ถึงเครื่องแบบอาหารไทยต้นตำรับ ผนวกกับภาพลักษณ์ที่ดูทันสมัยและน่ากิน อาทิ สเต็กเนื้อริบอายซอสพะแนง หรือ ซี่โครงแกะซอสพะแนง ไม่ว่าจะสั่งเนื้อหรือแกะก็จะได้เนื้อชิ้นใหญ่ เราแนะนำให้เลือกสั่งแบบแรร์ เมื่อเสิร์ฟมาบนจานร้อนที่จุดไฟเพื่อรักษาอุณหภูมิของอาหารแล้วจะสุกขึ้นมาอีกนิดหน่อย จานนี้เป็นเมนูยอดนิยมทั้งกับลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ ตอบรับกระแสของ “พะแนง” ที่กำลังมาแรงเพราะเพิ่งได้รับการจัดอันดับเป็นสตูที่ดีที่สุดในโลกโดยเว็บไซต์อาหาร TasteAtlas ในปี 2566 นี้ อีกหนึ่งจานยอดนิยมสำหรับคนที่ไม่กินเนื้อแดงต้อง แซลมอนครีมซอสกระเทียม ซึ่งเสิร์ฟมาบนจานอุ่นร้อนเช่นกัน แซลมอนชิ้นหนาสวย ด้านนอกสุกกรอบกำลังดีส่วนด้านในห่อหุ้มเนื้อที่นุ่มชุ่มฉ่ำเอาไว้ เข้ากันกับครีมซอสเค็มๆ มันๆ เป็นจานที่ถูกปากทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยทีเดียว ตามด้วยอีกจานไฮไลต์ที่แค่เห็นไซส์ก็อลังการแล้ว ปาเอญ่ากุ้งแม่น้ำ เสิร์ฟมาบนถาดขนาดใหญ่ (เมนูนี้มีขนาดให้เลือก 2 ไซส์) เป็นจานที่มีแรงบันดาลใจมากจากเมนูขึ้นชื่อของสเปนแต่นำมาสอดแทรกรสชาติแบบไทยลงไป ตัวข้าวอบผสมผสานเนื้อกุ้งและหมึกชิ้นโต เพิ่มรสชาติด้วยมันกุ้งนำลงไปผัดเคลือบข้าวจนมันอร่อยในทุกคำ และพริกเพิ่มความเผ็ดร้อน ทอปด้วยกุ้งแม่น้ำอบตัวโตที่ไม่ได้ผ่านการแช่แข็ง มันกุ้งจึงฉ่ำเยิ้มชวนกิน ก่อนกินให้ตักมันกุ้งมาคลุกเคล้ากับข้าวอีกครั้ง ตามด้วยบีบน้ำเลมอนดึงรสสดชื่น ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ด เป็นจานที่อร่อยชวนฟินมาก หากยังไม่อิ่ม ต้องตบท้ายด้วยเมนูที่เรียกว่าเป็นจานอร่อยสามัญประจำทุกโต๊ะ ไข่เจียวปู ฟูๆ หนาๆ ทอปด้วยกรรเชียงปูเน้นๆ กินกับซอสพริก หรือ กุ้งแม่น้ำทอดเกลือ ที่ใช้กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่สดใหม่เนื้อแน่น เสิร์ฟแบบเน้นทั้งปริมาณและคุณภาพเลยทีเดียว Supreme Dinner menu พร้อมให้บริการทุกวัน ในวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 17:00น. เป็นต้นไป และวันเสาร์-อาทิตย์ ตลอดทั้งวัน นอกจากเมนูมื้อเย็นที่จัดมาอย่างเต็มอิ่มแล้ว ในช่วงบ่ายทางร้านยังให้บริการชุดน้ำชายามบ่ายสุดพิเศษ SAVA Afternoon Tea with Noritake ที่ร่วมกับแบรนด์เครื่องพอร์ซเลนชั้นนำจากญี่ปุ่น เสิร์ฟอาหารว่างคาวและของหวานรสชาติไทยในชุดภาชนะคอลเล็คชั่นใหม่ “Carnivale” ที่สวยสดใสในโทนสีพาสเทลอีกด้วย ขอกระซิบว่าของหวานจานปิดท้ายชุดน้ำชาอย่าง โทสต์บริยอชราดซอสชาไทย และ มะพร้าวสาคูเมลอนพาร์เฟต์ เป็นทีเด็ดที่ไม่ควรพลาด (ราคา 1,250++ สำหรับ 2 ท่าน) ชุดน้ำชายามบ่ายให้บริการตั้งแต่เวลา 14:00-17:00น. อิ่มอร่อยเอาใจสายฟู้ดแล้ว ต้องพูดถึงดีไซน์ร้านที่น่าจะถูกใจสายแฟชั่นกันบ้าง กับการตกแต่งร้านในโทนสีขาวและน้ำเงินดึงดูดสายตา ผสานกับลวดลาย Chinoiserie (ชินัวเซอรี) ออกแบบโดยอิลลัสเตรเตอร์ชื่อดัง คุณโอ-ธีรวัฒน์ เฑียรฆประสิทธิ์ ที่ซ่อนกิมมิกเป็นเหล่าสัตว์ในปีนักษัตรของหุ้นส่วนทั้ง 4 เอาไว้ ภายในร้านยังแบ่งพื้นที่เป็นโซนที่นั่งด้านในที่ให้ความสงบเป็นส่วนตัว กับโซนด้านนอกที่ให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาในแบบคาเฟ่ ตอบโจทย์ความเป็น all-day dining ให้ลูกค้าแวะเวียนมาได้ตลอดทั้งวัน

ท่ามกลางทำเลดีๆ ที่พ่วงมาด้วยความมีชีวิตชีวาในย่านศาลาแดง Bitterman Restaurant ร้านอาหารสไตล์แคชชวลไดนิงสุดชิคที่แฝงไปด้วยความอบอุ่น เป็นจุดพักพิงกายและอิ่มท้องได้ในเวลาเดียวกันของชาวศาลาแดงซอย 1 มาเป็นเวลากว่า 10 ปี พร้อมนำเสนอเมนูโฮมเมดเลิศรสที่รังสรรค์อย่างพิถีพิถันเหมือนทำให้คนในครอบครัวกิน ร้านสวยแห่งนี้มาในคอนเซ็ปต์ Social Dining ที่อยากให้ทุกคนมาสัมผัสบรรยากาศของบ้านเพื่อน ต้อนรับด้วยความเป็นกันเองและเข้าถึงง่าย แต่ยังคงความเป็น Professional เสิร์ฟอาหารหลากสัญชาติ แต่ใช้เทคนิคสมัยใหม่ นำเสนอออกมาในรูปแบบโมเดิร์นเวสเทิร์นคอมฟอร์ตฟู้ด จับคู่กับเครื่องดื่มแก้วโปรดก็ฟินไม่น้อย และเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 10 ปี ทางร้านได้รีโนเวตภายในใหม่ตกแต่งสไตล์ Industrial loft เน้นโชว์โครงสร้างสถาปัตยกรรมเดิม เพิ่มลูกเล่นด้วยสีสันจากงานอาร์ตและเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวให้ดูทันสมัยและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น เสริมความสดชื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ปกคลุมชายคาบ้านหลังนี้ไว้ได้อย่างร่มรื่น ทุกเมนูเน้นใช้วัตถุดิบคุณภาพที่คัดสรรมาจากแหล่งที่ดีที่สุดตามท้องถิ่นในแถบเอเชีย เสิร์ฟพอชชันใหญ่สามารถแชริงกันได้ เริ่มต้นมื้อนี้ด้วย Seasonal Burrata ชีสบูร์ราตาสดราดซอสเพสโตอัลมอนด์ ได้ความครีมมี่ตัดกับรสหวานขององุ่นไชน์มัสแคตย่างและลูกฟิกดอง กินกับขนมปัง อร่อยทีเดียว ต่อด้วย Spanish Clams & Chorizo หอยมะนิลาและหอยแมลงภู่ดัชต์นึ่ง คลุกเคล้าซอสโชริโซในไวน์ขาว ได้รสเค็มและเปรี้ยวเล็กน้อยจากเลมอน ช่วยเปิดต่อมรับรสได้ดี เมนูเส้นห้ามพลาดคือ Seared Tuna Tataki ทูน่าย่างคัตสึโอะมิริน หอมกลิ่นสโมก กินคู่ถั่วแระญี่ปุ่น แรดิช และหัวหอม เสริมรสด้วยซอสพอนสึรสเปรี้ยว ปิดท้ายด้วย Cinnamon Toast ขนมปังบริออชที่ร้านทำเอง เนื้อกรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นเนย ตัดรสชาติด้วยเบอร์รีสดกับไอศกรีมวานิลลา หวานกำลังพอดี และ Heart of Glass เบสเป็นจิน ได้กลิ่นของขิงและใบโหระพา มีรสหวานของน้ำผึ้งตัดกับความเปรี้ยวของน้ำมะนาวสด อร่อยลงตัว พร้อมเพิ่มเติมความสนุกด้วยดนตรีสดทุกวันพฤหัสบดี – เสาร์ เวลา 19.00 – 22.00 น. และวันอาทิตย์ เวลา 12.00 – 15.00 น. สามารถติดตามวงดนตรีและข่าวสารอื่นๆ ได้ทางเพจ Facebook : Bitterman Restaurant

ร้านใดเล่าจะเท่า โจ๊กจักรพรรดิ ร้านโจ๊กสไตล์ฮ่องกงของ ภรรยาลุงอ้วน กินกะเที่ยว นักชิมวัยเก๋า ที่ยกระดับการกินโจ๊กให้พิเศษกว่าที่เคย ด้วยท็อปปิงระดับพรีเมียม เสิร์ฟไม่ยั้งทั้งเป๋าฮื้อ ปลากะพง ปลาเก๋า เนื้อหมู เนื้อไก่ และเห็ดหอม วัตถุดิบคุณภาพที่คัดสรรเป็นพิเศษเพื่อให้ลูกค้าได้อิ่มอร่อยในราคาที่จับต้องได้ ส่วนจุดเด่นที่ทำให้หลายคนติดใจก็คือข้าวเนื้อเนียนละเอียด จากการเคี่ยวอย่างพิถีพิถัน ให้สัมผัสเบา และนุ่มละมุน โดยทางร้านใช้ข้าวหอมเกรดส่งออกผนวกกับน้ำซุปรสกลมกล่อม มีความหวานหอมจากแฮมยูนนานฮ่องกง ที่นำมาต้มจนละลายในน้ำซุปก่อนนำไปผสมกับข้าว ไม่เพียงแต่รสสัมผัสที่ดีเท่านั้น เพราะบรรยากาศของร้านก็ให้อารมณ์เหมือนเราได้บินไปกินถึงฮ่องกง หากใครชอบถ่ายรูป บริเวณร้านมีมุมให้เลือกแชะภาพชิคๆ ได้ไม่ซ้ำ ทั้งในห้องแอร์และที่นั่งรับลมธรรมชาติ ไฮไลต์ห้ามพลาดเป็น โจ๊กเป๋าฮื้อ เสิร์ฟถ้วยใหญ่มาพร้อมเครื่องแน่นๆ อย่าง เป๋าฮื้อฮ่องกง เห็ดหอม หมูก้อนโต และไข่เยี่ยวม้า ตักหนึ่งคำพร้อมข้าวเนื้อเนียน ได้ความหอมของน้ำซุปที่แทรกอยู่ในโจ๊ก ช่วยชูรสให้บรรดาเครื่องเครากลมกล่อมมากยิ่งขึ้น ถัดมาคือ โจ๊กหมู-ไก่ ข้าวเนื้อละเอียดสีขาวสวย ท็อปด้วยไข่ลวก ขิง และต้นหอมซอย ด้านในมีเนื้อหมู เนื้อไก่ที่ทางร้านให้มาแบบไม่หวง ต่อด้วย โจ๊กปลาเก๋า ทีเด็ดของถ้วยนี้อยู่ที่ข้าวรสเข้มข้น มีกลิ่นหอมของพริกไทยและไข่เยี่ยวม้าที่ผสมอยู่ในข้าว เสริมรสให้เนื้อปลาได้ดี อย่าลืมสั่ง ปาท่องโก๋ แป้งกรอบนอกนุ่มใน มากินคู่โจ๊ก อร่อยลงตัว ช่วงสายทางร้านมีเมนูเพิ่มเติมอย่าง กระเพาะปลากิมเล้ง เสิร์ฟในน้ำสต๊อกสุดเข้มข้นไม่คืนตัว ให้รสกลมกล่อม มาร้อนๆ ตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้าย และ ราดหน้าหมู จานใหญ่ยักษ์ รับประกันความอิ่มท้องด้วยเส้นใหญ่ผัดหอมกลิ่นกระทะ หมูหมักชิ้นเบิ้ม และคะน้าฮ่องกง เข้ากันดีกับน้ำราดรสเค็มๆ มันๆ ชวนกินจนหมดจาน ร้านอยู่แค่เมืองทองธานีนี่เอง อย่าลืมแวะไปชิมกันนะ

จะมีสักกี่ร้านที่สามารถเป็นกระบอกเสียงให้ปลาทะเลไทยได้เท่ากับ Fishmonger The House of Fish & Chips คิวยาวที่เปิดให้จองคิววันต่อวันเท่านั้น! โดยทางร้านได้หยิบยกวัตถุดิบท้องถิ่นของไทยอย่าง "ปลาประมงพื้นบ้าน" ที่จับได้ภายในประเทศมารังสรรค์เป็นอาหารจานเด็ด เพียงเพราะต้องการบอกเล่าความอร่อยของปลาไทยผ่านเมนูอาหารสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ดให้ชาวไทยได้ลิ้มรส ซึ่งทุกจานมีดีกรีอยู่ที่วิธีการปรุงเนื้อปลาอย่างเบามือ เพื่อโชว์รสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ให้ชัดเจนมากที่สุด เสิร์ฟในบรรยากาศการจำลองร้านอาหารริมสะพานปลาของเมืองนอก ที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของบ้านชาวประมงไทย เพื่อให้ทุกคนที่มาเยือนรู้สึกถึงความอบอุ่นและเข้าถึงง่าย ความอร่อยของปลาไทยได้บอกต่อผ่านเมนูแนะนำ อย่าง Fish & Chips เมนูชูโรงของร้าน เชฟใช้ปลาน้ำดอกไม้มาเสิร์ฟในรูปแบบของฟิช แอนด์ ชิปส์ เนื้อปลาชิ้นใหญ่ชุบแป้งทอดจนเป็นสีเหลืองทอง เมื่อหั่นรู้สึกได้ถึงความกรอบ แต่เนื้อปลายังฉ่ำในและไม่อมน้ำมัน คนชอบกินผักต้องสั่ง Grilled Fish Salad With Italian Dressing สลัดปลาอังเกยย่าง ราดซอสอิตาเลียนรสเปรี้ยว หอมกลิ่นเลมอน ต่อด้วย Spicy Pomodoro Fish ปลาเสือซ่อนเล็บเนื้อแน่นผัดกับซอสแดง ได้กลิ่นและรสจากมะเขือเทศ ให้รสเปรี้ยวเผ็ด อร่อยลงตัว นอกจากปลาไทยที่เป็นวัตถุดิบหลักแล้ว ยังเสริมทัพด้วยโปรตีนจากอาหารทะเลอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Pesto Prawn ทาปาสซอสเพสโต ร้านให้กุ้งโอคักไซส์เบิ้มคลุกซอสโหระพา รสเค็มเล็กน้อย กินคู่ขนมปังกรอบ เข้ากันได้ดี ตามด้วย Louisiana Squid หมึกหอมย่างสมุนไพรในสไตล์ลุยเซียนา ปรุงรสอย่างเบามือด้วย เกลือ พริกไทย ก่อนกินให้บีบเลมอนเพิ่มความสดชื่น อร่อยได้โดยไม่พึ่งน้ำจิ้มซีฟู้ด รีบหาวันว่าง แล้วเริ่มจองคิวได้ตั้งแต่เวลา 11.00 น. (ณ วันที่ไป) ผ่านทาง LINE OA : @fishmonger เท่านั้น

มุมหนึ่งในบริเวณอาคารมหาทุนพลาซ่าคือที่ตั้งของ Hybrid Restaurant and Wine Bar ร้านอาหารไทยในสไตล์ผสมผสานที่สะดุดตาด้วยประตูไม้กรุกระจกบานใหญ่และผนังอิฐมอญสีส้ม อีกด้านหนึ่งของร้านเป็นครัวเปิดให้มองเห็นทีมเชฟตระเตรียมจานอาหารกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่พื้นที่ชั้น 2 ของร้านก็เตรียมพร้อมสำหรับการเป็นไวน์บาร์ขนาดย่อม เชฟซาช่า - ยอดหญิง ภูมิเจริญ ซึ่งเป็นทั้งเจ้าของร้านและเชฟประจำร้านตั้งใจคัดสรรเมนูอร่อยในความทรงจำ ทั้งที่เป็นเมนูประทับใจในวัยเด็กและเมนูที่เคยปรุงให้เพื่อนๆ รับประทานกันเมื่อครั้งทำงานอยู่อิตาลี โดยรังสรรค์ขึ้นใหม่ซึ่งแน่นอนว่าต้องพลิกแพลงให้เป็นสไตล์ Hybrid และเป็นเมนูลายเซ็นต์ที่อยากทุกคนได้ลิ้มลอง ในคอนเซ็ปต์ Modern Interpretation of Thai Cuisine with a Twist ทางร้านจะเสิร์ฟอาหารเป็นเซ็ตคอร์สซึ่งมีให้เลือก 3 เซ็ต เป็นเซ็ตเล็ก กลาง และใหญ่ ทุกเซ็ตสามารถเลือกเสิร์ฟพร้อมไวน์แพริ่งได้ อาทิ เซ็ตกลาง Day Dreaming ที่ประกอบด้วย Amuse-Bouche เรียกน้ำย่อยกันด้วยข้าวเกรียบมันฝรั่งที่มาพร้อมครีมซอสมันฝรั่งข้าวโพดหวานตกแต่งด้วยดอกไม้จิ๋วสีสวย อีกชิ้นเป็นปลาหมึกนึ่งมะนาวที่ทำมาในรูปเจลลี่ให้รสชาติจี๊ดจ๊าดกำลังดี และชิ้นที่ 3 เป็นทาร์ตน้ำพริกกะปิที่เพิ่มโยเกิร์ตเข้าไป ภายในตัวทาร์ตมีไข่เจียวและใบชะคราม ท็อปด้วยไข่เค็มชิ้นเล็กๆ และตูเล่อบกรอบๆ อร่อยลงตัวทุกคำ จากนั้นเสิร์ฟจานแรกเป็น Garden of Flavour ซึ่งเชฟซาช่าเผยว่าคือต้มข่าปูที่ปรับรสชาติใหม่ หน้าตาสวยงามชวนกิน เชฟใช้ดอกซูกินียัดไส้เนื้อปูผสมพริกเจลาเปโน่ ผิวมะกรูด ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยขาวนิดหน่อย ตกแต่งด้วยผักเกล็ดหิมะ วางมาบนน้ำซอสรสชาติชวนให้น่าค้นหาไม่เบา จานนี้เชฟเน้นให้อร่อยด้วยความสดของวัตถุดิบที่ไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งรสชาติมากนัก และมีความเป็นอิตาเลียนในสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนผสมผสานอยู่ จานถัดมา Bloody Buff หรือบีฟทาร์ทาร์ ซึ่งก็จะเป็นลาบก้อยของบ้านเรานั่นเอง เชฟเลือกใช้เนื้อเทนเดอร์ลอยน์อาร์เจนติเนียนซึ่งมีความนุ่ม และไม่คาว ปรุงให้เหมือนลาบก้อยสไตล์อีสาน ตัวซอสเป็นมะขามผสมวิสกี้และข้าวคั่ว เพิ่มความหอมด้วยแบล็กมินต์ ปิดหน้าด้วยบีตรูตเจลสีแดงสดเพิ่มความรู้สึก Bloody เต็มพิกัด ต่อด้วย Sunrise in Chiang Mai ซึ่งก็คือข้าวซอยไก่ แต่ความพิเศษของจานนี้อยู่ที่ตัวเส้นซึ่งทำจากมันฝรั่ง ทั้งเส้นนิ่มและเส้นกรอบ น้ำแกงข้าวซอยรสชาติกลมกล่อม มีไก่หมักสมุนไพรซึ่งนำไปซูวีดกับแรดิชดอง ตักกินพร้อมกันในหนึ่งคำ อร่อยไม่เป็นรองจานไหนๆ มาถึง Palate Cleanser เมนูล้างปากที่เชฟเล่าขำๆ ว่าลูกค้ามักจะขอเพิ่ม เป็นซอร์เบต์ฝรั่งสีชมพู เสิร์ฟกับแผ่นคาราเมลน้ำปลาหวาน โรยผงบ๊วย แต่งด้วยช่อโหระพาอิตาเลียนสีม่วง ได้ความรู้สึกถึงการกินฝรั่งจิ้มน้ำปลาหวานที่หอมคาราเมล จานนี้เชฟได้แรงบันดาลใจจากความชอบกินฝรั่งแช่บ๊วยในวัยเด็ก ชามถัดไป Thailand to Japan เป็นแกงส้มไทยสไตล์ญี่ปุ่น ปรุงจากปลาหิมะ อาร์ติโชก ใบชะคราม ท็อปด้วยไข่ปลาเทราต์ น้ำซุปเป็นแกงส้มผสมกับผงดาชิและยูซุ ได้รสชาติของแกงส้มแต่มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นผสมผสานอยู่ซึ่งเชฟซาช่าสามารถบาลานซ์รสชาติของเครื่องแกงส้มกับผงดาชิได้กลมกล่อมมาก ของหวาน My Favorite Colors เป็นเมนูข้าวเหนียวมะม่วงที่ทำออกมาในสไตล์ Hybrid คำแรกเป็นมูสกะทิ มูสมะม่วง และมูสเสาวรส ท็อปมาบนข้าวเหนียว โรยพิสตาชิโอครัมเบิ้ลรอบๆ มีเจลลี่เสาวรสและมะม่วงสุกวางเคียงข้างกันมา แนะนำให้กินไล่เรียงรสชาติไปตามลำดับสร้างความประทับใจได้ดีเยี่ยม ปิดท้ายด้วย Petits Fours ซึ่งเป็นช็อกโกแลตซีเล็กชั่น  รูปทรงปิรามิดสามเหลี่ยมเป็นมูสช็อกโกแลตน้ำผึ้งดอกลำไยกับอัลมอนด์ รูปครึ่งวงกลมสีเขียวเป็นเลมอนผสมเสจ ภายในเป็นไวต์ช็อกโกแลต และชิ้นสี่เหลี่ยมเป็นดาร์กช็อกโกแลตและเฮเซลนัต ใครเป็นแฟนคลับช็อกโกแลตต้องไม่พลาดทั้ง 3 รสชาติ จบมื้อให้ฟินด้วยชาเบลนด์สูตรพิเศษของทางร้านที่มีส่วนผสมของสับปะรดแห้ง ผิวส้ม ผิวเลมอน เก็กฮวย ไทม์ แซฟฟรอน และลาเวนเดอร์ อีกสักแก้ว Déjà vu Set Menu 1990 บาท Wine Pairing 1590 บาท Day Dreaming Set Menu 2990 บาท Wine Pairing 1790 บาท Travel Diaries Degustation Menu 4120 บาท Wine Pairing 2190 บาท

อัญชัน เทอเรส ร้านอาหารไทยสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ด ในย่านพุทธมณฑล สาย 2 ที่เกิดขึ้นจากความรักในอาหารไทยของ คุณกิ๊ฟ –วัชราภรณ์ ลิมป์วชิรคม ผู้เป็นเจ้าของร้าน ซึ่งคลุกคลีกับการทำร้านอาหารไทยอีสานชื่อดังอย่าง “แสนแซบ” มานานนับ 10 ปี และต้องการขยายความอร่อยสู่ร้านอาหารไทยในรูปแบบที่เป็นความชื่นชอบส่วนตัว โดยตั้งต้นจากตำรับอาหารที่คุณแม่ทำให้ทุกคนในบ้านรับประทานกัน ตกผลึกคอนเซ็ปต์ความเป็นโฮมเมดสไตล์ไทยๆ ด้วยชื่อ “อัญชัน” ซึ่งเป็นดอกไม้ริมรั้วเติบโตง่ายที่สื่อถึงความเรียบง่ายและยังเป็นดอกไม้กินได้ด้วย เมนูในร้านอัญชันจึงเป็นรสชาติอาหารฝีมือคุณแม่คู่กับอาหารที่ทำจากดอกอัญชัน และเพิ่มเติมเมนูอาหารที่หากินได้ยากหรือหากินที่อื่นไม่ได้เพื่อสร้างเอกลักษณ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น อาทิ หมูกรอบคั่วน้ำปลา ที่รับประกันความกรอบฟู ราดน้ำซอสเค็มหวานสูตรเฉพาะของร้านซึ่งมีวิธีผัดคั่วในแบบที่คุณแม่กำกับไว้ เป็นเมนูยอดนิยมที่ใครๆ ก็ต้องสั่ง ผัดสามเหม็น จานขายดีที่รวมเอาสะตอ ชะอม กระเทียมโทน ผัดใส่วุ้นเส้นและไข่ไก่ ผัดเกรียมๆ รสชาติเข้มข้น ได้ความมันของสะตอข้าวอ่อนๆ หอมกลิ่นกระทะ อร่อยครบเครื่อง ไข่ตุ๋นหน้ากระเทียมฉ่า เมนูคอมฟอร์ตฟู้ดที่ทุกคนในบ้านชื่นชอบ ไข่ตุ๋นนุ่มๆ เนื้อเนียน โรยหน้าด้วยกระเทียมฉ่ากับน้ำปลากลิ่นหอมเป็นที่สุด ไข่พะโล้แก้มหมู สูตรน้ำพะโล้ตำรับคุณแม่ ซึ่งคุณกิ๊บเปลี่ยนจากหมูสามชั้นที่มันเยอะเป็นแก้มหมูที่ให้รสสัมผัสของเนื้อและมีมันแทรกน้อยๆ ต้มข้ามวันจนน้ำพะโล้รัดตัวไข่ และแก้มหมูนิ่มนุ่มกินอร่อย แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย เป็นสูตรเครื่องแกงที่คุณแม่ตำเอง ซึ่งสีจะไม่เขียวเหมือนแกงเขียวหวานทั่วไป แต่รสชาติถึงเครื่อง กินพร้อมเนื้อปลากรายเด้งๆ รับรองติดใจ เมนูเครื่องดื่มแนะนำ อัญชันกาแลกซี ชาไทยอัญชัน อัญชันลาเต้ มะพร้าวอัญชัน อัญชันลิ้นจี่ ที่ใช้ดอกอัญชันปลูกเอง ยังมีของหวานอย่าง บัวลอย 7 สี และ สาคูเปียกลำไย ให้ปิดมื้ออาหารอย่างอิ่มเอม อิ่มแล้วอย่าเพิ่งรีบร้อนไปไหน ภายในบริเวณร้านยังมีพื้นที่สนามให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่น มีแปลงผักให้เดินชม รวมถึงพื้นที่เลี้ยงไก่ไข่ และนกสวยงาม เป็นต้น และภายในพื้นที่เดียวกันนี้ ยังมี ร้านกินผักกัน และ Charcoal Steak & Home Made Pizza ทางเลือกสำหรับผู้ชื่นชอบเมนูสลัด สเต๊กและพิซซ่าอีกด้วย นอกจากนี้ยังเพิ่มเติมกิจกรรมในวันเสาร์-อาทิตย์  อาทิ จัดเป็นตลาดนัดเล็กๆ มีกิจกรรมปั้นดิน ถักกระเป๋า ร้านเซรามิก ร้านต้นไม้ ที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละเดือน และหากท่านใดสนใจร่วมเป็นหนึ่งในร้านค้าก็สามารถติดต่อมาที่ร้านอัญชันเทอเรสได้เช่นกัน อีกหนึ่งไฮไลต์ที่มีเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ คือ การเปิดสวนผีเสื้อให้เข้าชมและเพลิดเพลินความงามของผีเสื้อตัวน้อยที่ออกโบยบินรับแสงแดด และสามารถสั่งชุดเมนูน้ำชายามบ่ายมานั่งจิบภายในสวนผีเสื้อได้ ตั้งแต่ 09.00-17.00 น. ขณะเดียวกัน บนชั้น 2 ของร้านยังเปิดเป็นโรงเรียน Montessori ซึ่งเป็นการเรียนการสอนจากฝั่งสแกนดิเนเวียที่สอนให้เด็กเลือกที่จะคิดจะทำด้วยตัวเอง โดยเปิดรับเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป เรียกว่าเป็นพื้นที่ที่ครบครัน รองรับคนทุกเจนในครอบครัวจริงๆ

Craftport ร้านอาหารและบาร์แห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาของ โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ โดดเด่นด้วยวิวสวยของสะพานพระราม 8 และสะพานซังฮี้ยามพระอาทิตย์ตก ให้เราดื่มด่ำกับมื้อค่ำได้อย่างเพลินหัวใจ อย่างที่รู้กันว่าโรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ มีชื่อเสียงในเรื่องเรือสำราญ อาหารและเครื่องดื่มที่ Craftport จึงไว้ใจได้ ทางร้านนำเสนอเมนูนานาชาติที่มีทั้งอาหารไทย อาหารจีน และอาหารยุโรป อีกทั้งมี Selection ของเครื่องดื่มค่อนข้างหลากหลาย ทั้งในบ้านเราและนำเข้าจากต่างประเทศ เขมรตีลาว ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารกัมพูชาและลาว เสิร์ฟในรูปแบบของเมี่ยงคำแต่ห่อด้วยใบคะน้าแทนใบชะพลู ในจานแบ่งเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งลาวเด่นที่หน่อไม้ทอดและไก่สับ ส่วนฝั่งกัมพูชาเป็นกุ้งแห้ง ปลากรอบ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ แนะนำให้กินพร้อมกันใน 1 คำจะได้ทั้งรสเค็ม เปรี้ยว หวาน เผ็ด แบบไม่ต้องราดน้ำจิ้ม กุ้งมรกต เมนูย้อนวัย กุ้งตัวโตชุบแป้งทอดกรอบเคล้าด้วยมายองเนส เสิร์ฟในกระทงเผือกทอดที่ทำใหม่ทุกออเดอร์ ห่อหมกทะเลมะพร้าวอ่อน ห่อหมกทะเลในลูกมะพร้าวอ่อน รสชาติเข้มข้นและหอมมัน อย่าลืมขูดเนื้อมะพร้าวกินพร้อมห่อหมกด้วย นอกจากนี้ยังมี ปลาหมึกไข่นึ่งพริกมะนาว ที่เราขอยกนิ้วให้ในความจี๊ดจ๊าดจัดจ้าน รวมถึง สเต๊กเนื้อริบอาย เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วก็เข้ากันดี อิ่มแล้วนั่งฟังเพลงต่อได้อีกยาวๆ