นอกจากการตกแต่งที่สวยสะดุดตา เราคงต้องยกให้กับชื่อร้านที่ซ่อนนัยยะความหมายน่ารักๆ เอาไว้ เมื่อคำว่า “Holmes” แท้จริงแล้วมีที่มาจาก “เชอร์ล็อก โฮล์มส์” (Sherlock Holmes) นักสืบคนดังจากปลายปากกาของ เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ (Sir Arthur Conan Doyle) และถ้าสังเกตให้ดีคำๆ นี้ยังพ้องเสียงคำว่า “Home” ที่แปลว่า “บ้าน” อีกด้วย       ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจที่บ้านหลังนี้จะคงคาแรกเตอร์ที่มีความเรียบเท่ห์ตามแบบฉบับยุโรปเอาไว้ให้สมกับเป็นบ้านของนักสืบ ขณะที่ความหมายแฝงก็สะท้อนออกมาผ่านตัวอาหารโฮมเมดสไตล์ Western Fusion ฝีมือ คุณบัว-บุฏกา โรจนัย หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันรายการ Master Chef ซีซั่นแรก ที่เราขอบอกว่าดีงามทั้งหน้าตาและรสชาติ         เริ่มกันด้วยเมนูซิกเนเจอร์อย่าง HOLMES Brekkie ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารมื้อสายของชาวอังกฤษแสนอร่อย ประกอบด้วยไข่ดาวสองฟอง ไส้กรอกอิตาเลี่ยนชิ้นโตเนื้อแน่น เบคอนหั่นชิ้นหนาๆ ถั่วอบ มะเขือเทศ และเห็ดผัด เสิร์ฟในกระทะใบย่อมส่งกลิ่นหอม เรียกว่าแค่จานเดียวก็แอบอิ่มแปล้     แต่ถ้าอยากอิ่มเบาๆ ก็ต้อง Winter Salad สลัดชามโตที่ขนความสดชื่นของผักโขม ก่อนจะเติมรสเปรี้ยวสดชื่นของทับทิมและชิ้นเนื้อส้ม เคี้ยวเพลินด้วยถั่วพีแคนและเบอร์รี่อบแห้งที่เข้าคู่กับน้ำสลัดบัลซามิควีนีแกรต์ได้อย่างลงตัว ร่วมด้วยชีสเฟต้าที่โรยข้างบนเหมือนกับหิมะสมชื่อ     ส่วนของหวานเราขอแนะนำ HOLMES Pain Perdu เฟรนช์โทสต์ชิ้นใหญ่สีเหลืองทองเสิร์ฟพร้อมผลไม้สดอย่างสตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และกีวี่มาเพิ่มรสเปรี้ยวสดชื่น ก่อนจะราดด้วยน้ำผึ้งท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลารสละมุน หรือจะลอง Te Fiti เค้กสีเขียวสดที่ได้แรงบันดาลใจจากตัวละครในแอนิเมชั่นเรื่อง Moana (2016) โดดเด่นด้วยความนุ่มหอมของเค้กพิตาชิโอที่ภายในซ่อนความอร่อยของชั้นครีมและเยลลี่บลูเบอร์รี่เอาไว้       แล้วอย่าลืมสั่งเครื่องดื่มอย่าง Velvet Lychee โซดาสีสวยที่ได้ไซรัปลิ้นจี่โฮมเมดมาเติมสีสันกับน้ำอัญชัญ ส่วนคนรักกาแฟต้องลอง Salted Caramel Latte กาแฟไทยรสเข้มที่เติมความหอมหวานของคาราเมลและกลิ่นวานิลลาที่เรากล้ารับประกันความอร่อยเลยล่ะ    

ตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักตึกคิงพาวเวอร์ มหานคร แลนด์มาร์คสุดหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่ได้ชื่อว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งตอนนี้ได้เปิดตัวห้องอาหารสุดหรูหราทันสมัย ภายใต้ชื่อ “Mahanakhon Bangkok Skybar” เป็นที่เรียบร้อย     “มหานคร แบงค็อก สกายบาร์” ตั้งอยู่บนชั้น 76 และ 77 ได้รับการออกแบบโดยคุณ Tristan Auer แห่ง Wilson Associates โดยหยิบแรงบันดาลใจจากสายน้ำเจ้าพระยา ผสานเรื่องราวแห่งการเดินทาง พร้อมให้ทุกท่านได้หลีกหนีความวุ่นวายของกรุงเทพ     ก้าวแรกจากลิฟต์สู่โค้งประตูไม้บริเวณโถงด้านหน้า เราสัมผัสได้ถึงความหรูหราสง่างามสไตล์ฝรั่งเศสผสมผสานความวิจิตรแบบไทย ภายในรายล้อมไปด้วยโคมไฟและหน้าต่างกระจกบานใหญ่ สูงจากพื้นจรดเพดาน ทำให้เห็นวิวมหานครได้อย่างเต็มตา อีกทั้งเนรมิตพื้นที่เอาท์ดอร์ให้ได้บรรยากาศป่าดงดิบ เปรียบเสมือนนั่งอยู่ในป่าบนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น       นอกจาก “มหานคร แบงค็อก สกายบาร์” จะเป็นร้านอาหารและบาร์ที่สูงที่สุดในประเทศไทยที่โดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมแล้ว เมนูอาหารที่ผสมผสานระหว่างตะวันตกและเอเชียก็โดดเด่นไม่แพ้กัน  โดยได้เชฟ Joshua Cameron เชฟผู้คร่ำหวอดในวงการและเคยสร้างสรรค์เมนูระดับมิชลินสตาร์ในนิวยอร์ค รับหน้าที่เชฟใหญ่ประจำห้องอาหารนี้     เมนูที่เชฟ Joshua Cameron รังสรรค์ให้กลายมาเป็นเมนูเด่นของร้านเริ่มจาก พานาคอตต้าไข่หอยเม่น (Uni Panna Cotta) ที่เกิดจากการผสมผสานกันของวัตถุดิบจากญี่ปุ่น และเทคนิคการทำอาหารของประเทศฝรั่งเศส ทำให้เป็นเมนูซิกเนเจอร์เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี หรือจะเป็น หอยนางรม จากแคว้นนอร์มังดี (Mr.Jean-Paul, Normandy Oysters) ที่มีให้เลือกทั้งแบบเสิร์ฟร้อน และเสิร์ฟเย็น เพิ่มความสดชื่นพร้อมเปิดต่อมรับรสได้อย่างเต็มที่       เชฟไม่รอช้า เสิร์ฟต่อกันที่เมนคอร์สอย่าง เนื้อซี่โครงออสเตรเลียตุ๋น 48 ชั่วโมง เสิร์ฟพร้อม คูสคูส องุ่น และมะเขือม่วง (48-Hours Australian Short Ribs) เนื้อออสเตรเลียแบบมีเดียมแรร์ที่ตุ๋นได้นุ่มละมุนลิ้น ทานคู่กับซอสและเครื่องเคียงภายในจาน รสชาติกลมกล่อม ตามมาด้วย ลาบเป็ด เสิร์ฟพร้อมกะหล่ำปลีดอง และข้าวเกรียบ (Larb Ped – Spicy Grilled Duck Salad) ความพิเศษของจานนี้อยู่ที่การแยกเนื้อเป็ด เครื่องยำรสแซ่บสไตล์ไทย และข้าวเกรียบบางกรอบ เป็นคำๆ แล้วห่อทานคล้ายเมี่ยงคำ อร่อยและสนุกแบบไทยๆ       นอกจากนี้ เชฟยังมีเมนคอร์สทางเลือกใหม่ที่มาในรูปแบบ Charcoal Grilled สูตรเฉพาะของร้าน ที่นำอาหารไปอบ หรือย่างด้วยกลิ่นหอมจากเตาถ่าน ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะของร้านอีกด้วย อาทิเช่น ปลากะพงพร้อมน้ำจิ้มสูตรเข้มข้น (Andaman Sea Bass*) เนื้อปลากะพงสดห่อใบตองกริลล์ด้วยเตาถ่าน เคียงคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสชาติเข้มข้นแต่ไม่จัดจ้านเกินไป เด็กๆ สามารถทานได้ ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูเมนคอร์สสำหรับครอบครัวเลยทีเดียว     ส่งท้ายความอร่อยด้วยเมนูของหวานที่แม้ทางร้านจะมีให้เลือกไม่มาก แต่กลับครบทุกรสชาติ เริ่มกันที่ฝั่งสดชื่นอย่าง ชีสเค้กใบมะกรูด เสาวรส มะม่วง และมังคุด (Kaffir Lime Cheese Cake) ชีสเค้กรสนุ่มหอมกลิ่นใบมะกรูดของไทย ทานคู่กับซอสเสาวรสและซอสมะม่วงเพิ่มความสดชื่น ปิดท้ายคำด้วยมังคุดสดรสชาติหอมหวาน      ในส่วนของฝั่งเข้มข้น ร้านเลือกเสิร์ฟ ช็อคโกแลตทาร์ต คอฟฟี่กานาช และคาปูชิโนเจล (Chocolate Tart) ช็อคโกแลตแท้รสเข้มข้นทานคู่กับคอฟฟี่กานาชและคาปูชิโนเจลหอมกรุ่น ดึงรสชาติกลับด้วยไอศกรีมช็อคโกแลตรสหวานกลมกล่อม  ช็อกโกแลตเลิฟเวอร์และเด็กๆ น่าจะหลงรักจานนี้ได้ไม่ยาก     ปิดท้ายมื้ออร่อยแสนหรูบนห้องอาหารวิวสวยที่สุดในประเทศไทยอย่างสมบูรณ์แบบ

ร้านอาหารจีนน้องใหม่ใจกลางอารีย์ที่นำเอาความอร่อยตำรับจีนกวางตุ้งมาให้ทุกคนได้เข้าถึงกันง่ายยิ่งขึ้น ชูโรงด้วยคอนเซปต์อาหารจีนสไตล์ทาปาสที่จะลดขนาดของอาหารจีนแบบครอบครัวใหญ่ให้เล็กลงมาอีกนิด แต่คงความอิ่มอร่อยไม่แพ้ต้นตำรับ     เช่นเดียวกับชื่อ “ไต่โหล” (Dai Lou) ที่แม้จะมีนิยามความหมายว่า “เจ้าพ่อ” และสะท้อนความเป็นจีนอย่างเต็มพิกัด แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนถูกนำมาตีความใหม่ เริ่มตั้งแต่การใช้โทนสีฟ้าครามอบอุ่นแทนการใช้สีแดงที่เรามักเห็นกันจนชินตา แล้วเติมรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ลงไปแทนอย่างแผงลูกคิดบนกำแพง ป้ายไฟนีออน เรื่อยไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้ จนเรียกได้ว่าฉีกกฏของร้านอาหารจีนที่หลายคนเคยเจอ       นอกจากนี้ ชื่ออาหารแต่ละจานยังมีกิมมิคน่ารักๆ ด้วยการนำเอาชื่อของสถานที่สำคัญๆ มาใส่เพื่อแสดงว่าความอร่อยฉบับฮ่องกงได้บรรจุอยู่ที่นี่อย่างเป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็น หมูกรอบวานไฉ ของอร่อยจากย่านศิลปะที่นำหมูส่วนท้องมาย่างหอมๆ ก่อนจะนำมาอบอีกครั้ง จนได้หนังหมูที่คงความกรุบกรอบยาวนาน ส่วนเนื้อก็ชุ่มฉ่ำแทรกด้วยมันชั้นบางๆ เคี้ยวเพลินไม่เหมือนใคร เสิร์ฟพร้อมมัสตาร์ดรสเผ็ดปลายลิ้นและน้ำจิ้มรสหวานหอมทำจากน้ำผึ้งมาตัดรส     ตามด้วย สลัดเป็ดย่างเซ็นทรัล ที่ตั้งชื่อให้อิงกับย่านเก่าแก่ของฮ่องกง เพื่อแสดงความอร่อยแบบดั้งเดิมของเป็ดย่างหนังกรอบเนื้อนุ่มแสนอร่อย แต่จานนี้จะเสิร์ฟในรูปแบบของสลัดอกเป็ดย่างรมควันที่เข้าคู่กับน้ำสลัดนูเทลล่าผสมไซรัปเมเปิ้ลรสหวานหอม     หรือลอง ปลาเก๋าเช็กแลปก๊อก เนื้อปลาเก๋าส่วนคัดพิเศษนึ่งซีอิ๊วกินคู่เส้นกรอบ มาพร้อมซอสที่มีส่วนผสมของซีอิ๊วและขิงแก่ที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นในทุกๆ คำ แล้วมาต่อด้วย เนื้อผัดเสฉวน เนื้อสันในติดมันชิ้นพอดีคำมาผัดร้อนๆ บนกระทะกับซอสเสฉวนสูตรเด็ด จนได้เนื้อนุ่มๆ ที่ผสมผสานรสชาติความร้อนแรงหอมมันและเข้มข้น ยิ่งเคี้ยวพร้อมกระเทียมทอดด้วยแล้ว ยิ่งได้กลิ่นหอมขึ้นจมูก     ส่วนของหวานก็ห้ามพลาด เผือกหิมะไดนาสตี้ ขนมหวานจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ชูโรงความอร่อยของเผือกเนื้อนุ่มเคลือบด้วยเกล็ดน้ำตาลสีขาวและอัลมอนด์ยิ่งได้ชาดอกไม้มาจิบคู่ด้วยกันแล้ว     รับรองความละมุนจนลืมไม่ลง!  

SāN (ซาน) หรือ สาม ร้านอาหารน้องใหม่นำเสนอเมนูอาหารที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการผสมผสานระหว่างตะวันตกและตะวันออก ซานในภาษาจีนกลางแปลว่า “สาม” สื่อจากการรวมทั้งไทย จีน และอเมริกัน ด้วยการร่วมมือของ 3 เชฟ คือ เชฟนิก-กฤษฏา จินตกานนท์ เจ้าของอดีตร้านดัง Shuffle และ White Shuffle, เชฟแนน-สุภรา จินตกานนท์ และเชฟจาคอบ (Jacob Bowser)       ภายในร้านอาหารกึ่งคาเฟ่นี้ตกแต่งสไตล์โมเดิร์นด้วยโทนสีอบอุ่นอย่างสีขาว เทา เขียวอ่อน ทองและดำ ใช้หินอ่อนจากอิตาลี เหล็กและกระเบื้องดินเผาหยกจากจีน ทำให้ได้กลิ่นไอของสามวัฒนธรรม ข้างในเป็นเคาร์เตอร์บาร์ตัวยาวเผยให้เห็นครัวเปิดโล่ง สามารถนั่งดูเชฟปรุงอาหารได้แบบเพลินๆ     อาหารของที่นี่เน้นข้าวอาหารหลักของคนไทย และเส้นจากวัฒนธรรมจีน กับคอนเซ็ปต์ New Originals ที่หยิบเมนูอาหารเก่ามาปัดฝุ่นใหม่ด้วยวิธีพิเศษแบบฉบับของร้าน เมนูอาหารสไตล์เอเชียถูกตีความและปรุงใหม่โดยเชฟทั้งสาม     เริ่มต้นด้วย Braised Duck Bao with Chinese Celery แป้งเปาทอดกรอบสีน้ำตาลทองไส้เนื้อเป็ดตุ๋นจนนุ่มรสเข้มหวานเค็ม ใส่แตงกวาและขึ้นช่ายเพิ่มสัมผัสกรุบกรอบและรสสดชื่น     Twist Noodle with Uni Cream and River Prawn เส้นเซี้ยงไฮ้ผัดกุ้งใส่พริกสด หอมแดงและผักชีฝรั่ง มีรสเผ็ดนิดๆ หน้าตาคล้ายยำ แต่เมื่อราดซอสโฟมอูนิที่มีกลิ่นหอมของไวน์ขาวแล้วทำให้รสผสมกลมกล่อมเข้ากันมากยิ่งขึ้น     ใครชอบกินเส้นลองสั่ง Duck Dan Dan Noodle เชฟได้แรงบันดาลใจมากจาก Dan Dan Mian ก๋วยเตี๋ยวโบราณเสฉวนที่มาพร้อมซอสรสเผ็ดจากน้ำมันพริกเสฉวน จานนี้เป็นบะหมี่เส้นกลมที่เชฟทำเอง เส้นเหนียวนุ่มหนึบ ผัดกับเนื้อเป็ดสับตุ๋นรสเค็มเผ็ดสไตล์จีน โรยต้นหอมและถั่วลิสง     ใครยังไม่อิ่มให้สั่งข้าว SAN Fried Pork Over rice ข้าวมันหุงกับขิงและกระเทียมเสิร์ฟกับหมูสันคอทอดชิ้นใหญ่กรอบนอกนุ่มใน กินกับผักดอง น้ำซุปใสใส่เก๋ากี้ เต็มอิ่มไปเลยเซตนี้       ความดีงามของที่นี่คือมีมื้อเช้าเสิร์ฟด้วย สามารถสั่งได้ทั้งวันจนถึง 5 โมงเย็น มีให้เลือกทั้งหมด 5 เซ็ต ในแต่ละเซ็ตมีผลไม้สด กราโนล่า แฮชบราวน์ น้ำผลไม้ ชาหรือกาแฟ เสิร์ฟพร้อมกับเมนูอาหารกินง่าย เช่น เซ็ต A ขนมปังปิ้งไข่ดาว เซ็ต B เบคอนแพนเค้ก เซ็ต C เฟรนช์โทส เซ็ต D แซลมอนรมควันกับมัฟฟินซาวโด     ร้านเล็กแต่อาหารอร่อยจนต้องจดไว้ในลิสต์เลย

อยากจะดูกวางไม่ต้องไปสวนสัตว์ให้เหนื่อยแล้วค่ะ เพราะร้านปีหนึ่งมีกวางให้ดู ที่นี่คือ ร้านอาหารและคาเฟ่สบายๆริมทางรถไฟศาลายา ที่ไม่ได้มีดีแค่รสชาติอาหาร แต่วิวยังดีมากอีกด้วย ตัวร้านเป็นเรือนกระจก ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สไตล์มินิมอล ด้านหลังร้านเป็นทางรถไฟ และมีสวนหย่อมเล็กๆ ไว้สำหรับนั่งจิบกาแฟชิลๆ     ขึ้นชื่อว่าเป็นคาเฟ่กวาง ก็ต้องมีกวางให้ดูให้เล่น อย่างน้องปีหนึ่ง กวางประจำร้าน ที่ทางร้านจะพาน้องออกมาเดินเล่นในสวนให้ลูกค้าได้ถ่ายรูปและเล่นกับน้องทุกวัน 11.00น. และ 16.00น.     ไม่ได้มีดีแค่กวางนะจ๊ะ แต่ร้านนี้ยังมีอาหารที่รสชาติอร่อยๆอย่าง พิซซ่าต้มยำกุ้ง พิซซ่าโฮมเมดแป้งบางกรอบ ทาหน้าด้วยซอสพิซซ่ารสชาติเผ็ดหวาน โรยหน้าด้วยชีสยืดๆ กุ้งเนื้อแน่น และเครื่องสมุนไพรไทย ให้ได้รสชาติต้มยำแท้ๆ หรือจะเป็นยำหอยแครง รสชาติจัด เครื่องแน่น หอยสด อร่อยลงตัว เสิร์ฟในกลีบหัวปลี หมูสามชั้นทอดน้ำปลา หนังกรอบ เค็มกำลังดี ถ้าได้ข้าวสวยร้อนๆจะวิเศษสุดๆ           เครื่องดื่มสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากทางร้านคือ ปีหนึ่ง ซิกเนเจอร์ ร้อน เป็นชาเขียวเข้มข้นผสมนม และยังมีแฮงก้า ชาไทยผสมกาแฟอเมริกาโน่ และยังมีเครื่องดื่มสูตรเฉพาะอีกหลากหลายเมนู สายคาเฟ่ต้องห้ามพลาด       การเดินทางก็ไม่ยาก เพราะร้านตั้งอยู่หลังสำเพ็ง ศาลายา ห่างจากมหาวิทยาลัยมหิดลเพียง2ป้ายรถเมล์เท่านั้น เดินทางก็ง่าย ราคาก็เป็นมิตร ต้องไปลองสักครั้งแล้วค่ะ

กาลครั้งหนึ่งยังไม่นานเท่าไหร่ที่เราได้มีโอกาสมานั่งชิลร้านนี้และประทับใจจนต้องไปซ้ำอีกหลายครั้งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน บรรยากาศร้านมาในธีมเทพนิยายใส่ใจการออกแบบทุกซอกมุม ดูจากภายนอกเหมือนร้านจะเล็กแต่เมื่อเดินเข้ามาก็เหมือนโลกด้านในจะกว้างใหญ่เกินจริง เราสามารถนั่งชิลได้ทั้งวันแบบไม่รู้เบื่อเพราะนอกจากบรรยากาศดียังมีเมนูชวนกินรอให้สั่งเยอะมาก         แรกพบก็สะดุดตาจนต้องรีบสั่งมาฟินเป็นชิ้นแรก Dark Beer Cake เค้กช็อกโกแลตเนื้อแน่นสีดำ หอมกลิ่นเบียร์จางๆ ชวนรื่นรมย์ ด้านบนเป็นชั้นครีมชีสโฮมเมดรสเปรี้ยวกำลังดี ช่วยตัดรสหวานของเนื้อเค้กและคาราเมลฉ่ำๆ ได้อย่างลงตัว     ส่วนจานหลักอยากให้ลอง Roti Tomyam แค่ยกมาเสิร์ฟก็เลิฟแล้วเพราะอบอวลด้วยกลิ่นหอมของเครื่องต้มยำ ส่วนแป้งโรตีก็ทั้งนุ่มและกลมกล่อมโปะหน้าด้วยชีสเยิ้มๆ ยังไม่พอเพราะไฮไลท์คือกุ้งตัวใหญ่ที่ใส่มาให้อีกหลายตัว เป็นใครก็ไม่อยากวางช้อน     ส่วนเครื่องดื่มแนะนำ Orange Coffee ที่สุดของความสดชื่นมีชีวิตชีวาจากส่วนผสมของน้ำส้มคั้นสด สลับด้วยชั้นเอสเปรสโซช็อตเข้มข้น     อีกแก้วที่อยากให้ลอง April Fruit Day เมนูสุดฟรุ้งฟริ้งรสหวานเปรี้ยวฉ่ำซ่าจากส้มและผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ดื่มแล้วสดชื๊นสดชื่น สาวๆ ที่รักสุขภาพห้ามพลาด     ปิดท้ายด้วย Lotus Latte กาแฟรสละมุนใช้ดอกบัวของโครงการหลวงเป็นสัญลักษณ์ กลิ่นหอมของดอกไม้เพิ่มความรื่นรมย์ยามจิบกาแฟได้อีกเท่าตัว  

ใครหลงรักผัดกะเพราไข่เป็ดกรอบแสนอร่อยของร้าน Easy Buddy แบบหมดใจ ลองเพิ่มความจริงจังในการกินขึ้นอีกนิด ด้วยการจองคิวไปดินเนอร์มื้อพิเศษแบบ Chef’s Table ของเชฟบัดดี้-ถมธนัตถ์ หทโยดม ในบ้านหลังอบอุ่น ซอยเย็นอากาศ 2 ที่นำความสุขของการกินแบบ ‘เด็กอ้วน’ มาเป็นลูกเล่น (เชฟเล่าให้ฟังว่าเอ็นจอยอีตติ้งจนน้ำหนักขึ้น 8 กิโลฯ) แต่ละคอร์สจึงเกิดขึ้นมาจากความสนุก กินแล้วสำราญใจ บวกกับประสบการณ์ที่ได้รับจากการเดินทางในหลายประเทศ จึงกลายมาเป็นเมนูที่ให้เราอิ่มเอม และหากสังเกตให้ดี แต่ละเมนูจะมีความกรุบกรอบอันเป็นความชอบส่วนตัวซุกซ่อนอยู่         คอร์สเมนูของเชฟบัดดี้มีทั้งหมด 10 คอร์สด้วยกัน (อ่านชื่อเมนูได้จากโปสการ์ดบนโต๊ะที่ออกแบบมาได้เก๋มากๆ ถูกใจก็นำกลับไปเขียนส่งต่อให้เพื่อนได้นะ ) เริ่มจากจานเบาๆ แต่กระตุ้นความหิวได้เป็นอย่างดี อาทิ Tortilla ที่เชฟนึกสนุกเปลี่ยนจากข้าวซูชิแบบญี่ปุ่นมาเป็นแป้งตอติญ่า มาพร้อมโชยุครีม แล้วท็อปด้านบนด้วยบาฟุนอูนิหอมมันจากฮอกไกโด หรือจะเป็น Choux Craquelin ชูซ์หน้ากรอบ ตรงกลางใส่ไส้ไอศกรีมฟัวกราส์หอมๆ มันๆ ส่วนรอบๆ เป็นฟัวกราส์ที่นำไปวิปกับครีม ปิดฝาก่อนแล้วกินทั้งคำ ได้หลายเนื้อสัมผัสในคำเดียว       Truffle-Paloe-Lamb ที่เชฟปิ๊งไอเดียระหว่างนั่งกินข้าวหมูแดง นึกอยากทำอาหารไทยที่นำทรัฟเฟิลมาใช้แล้วไม่เขินอาย ไม่ยัดเยียดเกินไป เกิดเป็นเมนูสุดสนุก ใช้ข้าวเม่าดอยจากเชียงรายเหนียวหนึบ ผัดกับฮิจิกิและทรัฟเฟิล เสิร์ฟกับเนื้อแกะนำไปซูวีก่อนแล้วจี่บนกระทะให้หอม เคียงมาด้วยเซียร์ฟัวกราส์นุ่มละมุน และแอบซ่อนลูกเล่นอย่างเจลพริกน้ำส้มไว้ใต้ใบไม้เล็กๆ บนจาน ราดซอสพะโล้ทรัฟเฟิลรสเข้มข้นก่อนเสิร์ฟ     และอีกคอร์สที่เราประทับใจ Shima Aji Refresher ไอศกรีมยุซุพลัมรสเค็มๆ หวานๆ ด้านล่างมีหอมเจียวและเบคอนกรอบๆ ซ่อนอยู่ เสิร์ฟมากับปลาชิมาจิซาชิมิที่เชฟนำไปหมักก่อน     กินแล้วเรียกความสดชื่นได้สมชื่อเชียวล่ะ

หลายคนคงเคยพบประสบการณ์ร้านคาเฟ่ที่มีดีแต่เครื่องดื่ม ส่วนรสชาติของอาหารไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลย เราจึงอยากชวนคุณมาร้านนี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำอีกครั้ง ไม่เพียงความหลากหลายของอาหารที่สร้างสีสันชวนกินให้กับร้าน พ่อครัวยังมือหนักจัดเต็มปรุงถึงเครื่องถึงรส สั่งจานไหนก็ได้ใจไปเต็มๆ นอกจากพื้นที่ของคาเฟ่ยังมีส่วนของที่พักแนวโฮสเทลเก๋ๆ ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศสักคืนสองคืน ไม่ต้องรอให้ถึงวันหยุดก็แวะมาชิลได้สบายๆ           เปิดตัวด้วยเมนูของคนรักสุขภาพกับ Caesar Salad เสิร์ฟในถ้วยทำจากแป้งพาย ควรทุบให้แตกแล้วคลุกเคล้าเข้ากับผักสลัดเพื่อสัมผัสความกรุบกรอบ ความสดชื่นของผักสดปลอดสาร และครีมสลัดโฮมเมดไปพร้อมกัน     ต่อด้วย Bouillabaisse Soup ซุปที่อุดมไปด้วยความสดชื่นจากท้องทะเล ใส่เครื่องเคราอัดแน่นเต็มหม้อไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หมึก หอยแมลงภู่ ในน้ำซุปหอมๆ ปรุงรสชาติเผ็ดร้อน ยิ่งซดยิ่งคล่องคอ หอมและอร่อยจนหยดสุดท้าย     ส่วนเครื่องดื่มที่อยากให้ลองแนะนำ Piccolo Rose กาแฟใส่ไซรัปกุหลาบนำเข้าจากอังกฤษ หอมละมุนแบบธรรมชาติ     ต่อด้วย Fresh Mint Americano เหมาะสำหรับคนชอบดื่มกาแฟดำแต่ก็แอบเบื่อรสชาติเดิมๆ หรือคนเพิ่งเริ่มดื่มกาแฟก็สามารถดื่มได้แบบง่ายๆ เมนูนี้เน้นความสดชื่นจากมินต์และเลมอนคั้นสด ความเย็นและหอมสดชื่นของมินต์กับความเปรี้ยวสดใสของเลมอน ผสานความเข้มข้นของ Espresso ไม่ว่าอากาศจะร้อนสักแค่ไหนถ้าได้แก้วนี้ก็สดใสได้ทั้งวันแล้ว    

หลังจากครองใจคนรักของหวานในโลกออนไลน์มานาน ตอนนี้ “Bite Me Softly” ได้ขยับขยายความอร่อยแบบออฟไลน์ในรูปแบบคาเฟ่เล็กๆ น่ารักน่านั่งในตรอกไก่แจ้ ด้วยความตั้งใจของคุณเช้า - ต่อจันทน์ แคทริน บุณยสิงห์ เจ้าของร้านที่อยากให้พื้นที่เล็กๆ บริเวณบ้านกลายเป็นสถานที่แบ่งปันเมนูคอมฟอร์ตฟู้ดกลิ่นอายจีนเสฉวนที่ได้แรงบันดาลใจจากจานโปรดของครอบครัว         ไม่ว่าจะเป็นกุ้งแม่น้ำทอดพริกน้ำมันงา กุ้งแม่น้ำตัวโตทอดกับกระเทียมและพริกน้ำมันงา (แนะนำให้โทรสั่งล่วงหน้า) ข้าวสตูว์เนื้อหมาล่า ที่นำหมาล่ามาผสมผสานความอร่อยกับสตูว์เนื้อแบบตะวันตก เสิร์ฟพร้อมไข่ต้มชาซีอิ๊วและกระเทียมโทนดอง รวมทั้งเหลียงเฟิ่น เส้นก๋วยเตี๋ยวทำจากแป้งถั่วเขียวคลุกเคล้าซอสเผ็ดสไตล์เสฉวน เพิ่มความอร่อยด้วยไก่ฉีกและวอลนัต เสิร์ฟแบบเย็นเหมาะกับช่วงอากาศร้อนสุดๆ         ส่วนสายหวานและแฟนประจำของ Bite Me Softly ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะที่นี่พร้อมเสิร์ฟเมนูเด็ดยอดนิยมอย่าง Sour Cherry Pie รสเปรี้ยวของซอสเชอร์รีตัดกับความหวานมันของอัลมอนด์ครีม กินคู่ไอศกรีมวานิลลายิ่งอร่อย Lemon Cheesecake ความอร่อยของครีมชีสแสนละมุนตัดกับรสเปรี้ยวของเลมอน และ Mocha Walnut Cake ที่ดัดแปลงเค้กโอเปราให้หนักแน่นเข้มข้นแบบอเมริกัน ไปจนถึงพาเฟ่ต์ชาเขียวเต้าหู้ เต้าหู้ทำเองเนื้อนุ่มเนียน มาพร้อมไอศกรีมชาเขียวและวิปครีม รวมทั้งเมนูของหวานอื่นๆ ที่จะหมุนเวียนมาให้ชิมกันทุกวัน             นอกจากอาหารและขนม ใครอยากคลายร้อนแบบเบาๆ ที่นี่ยังมีเครื่องดื่มแสนสดชืน อาทิเมนูซิกเนเจอร์อย่างชาล้างปอด ชาร้อนจากจีนที่มีส่วนผสมของสมุนไพรจีนหลากชนิด แต่ไม่ต้องกังวล เพราะดื่มง่ายลื่นคอสุดๆ หรือจะสั่งเก๋ากี้ดำ รสชาติคล้ายเฉาก๊วยมาดับร้อนก็ยิ่งหายร้อนแบบสุดฟิน    

Hipstone Café คาเฟ่ไอเดียแจ่มที่เปลี่ยนบ้านหลังน้อยให้กลายเป็นคาเฟ่ยุคหิน ของตกแต่งด้านในก็ล้วนแล้วแต่คุมธีมให้อยู่ในยุคหินทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่หมอนอิงยังเป็นทรงกระดูก ร่วมด้วยพร็อพเก๋ๆ วางเรียงรายให้สายเซลฟี่เต็มอิ่มกับการถ่ายรูป ส่วนอาหารและเครื่องดื่มเน้นสูตรโฮมเมดที่มาจากความเชื่อที่ว่ารสชาติดีต้องเริ่มจากวัตถุดิบคุณภาพดี เมื่อผสานกับการปรุงอย่างพิถีพิถันจึงเข้าขั้นอาหารชั้นเลิศ!         ไฮไลท์ห้ามพลาด Dinosaur Egg with Fudge Brownie ไข่ไดโนเสาร์ลูกโตที่ต้องทุบให้แตกก่อนกิน ตัวไข่ทำจากไวท์ช็อกโกแลตวางบนคุ้กกี้กรุบกรอบ ล้อมรอบด้วยบราวนี่หั่นเต๋า ส่วนข้างในไข่จะเป็นอะไรให้ไปลุ้นกันเอาเอง     จานหลักรสชาติดียกให้สปาเกตตีขี้เมาหมู เส้นสปาเก็ตตีลวกสุกกำลังดี ผัดค่อนข้างแห้งไร้ความมันส่วนเกิน ปรุงรสจัดจ้านถึงใจด้วยพริกไทยสดและพริกชี้ฟ้าแดง ตกแต่งด้วยใบโหระพา หอมกรุ่นตั้งแต่ยังเสิร์ฟมาไม่ถึงโต๊ะ     หรือจะเป็นพอร์กชอปพริกไทยดำ ก็อิ่มสบายท้องได้ในจานเดียว เนื้อมีความนุ่มนวลเคี้ยวง่าย ราดด้วยซอสพริกไทยดำสูตรของร้าน เสิร์ฟพร้อมเฟรนช์ฟรายและผักสด อร่อยจนไม่อยากวางช้อน  

ถ้ามีการโหวตร้านน่านั่งย่านแบริ่ง The Art of Food คงติดโผทุกลิสต์ เพราะแค่ขับรถผ่านก็ดึงดูดสายตาจนหลายคนเผลอเลี้ยวรถเข้าไปนั่งชิลเสียอย่างนั้น ตัวร้านครีเอทขึ้นจากตู้คอนเทนเนอร์เก่านำมาแปลงโฉมใหม่จนได้ลุคสุดเท่ในโทนสีดำสลับเหลือง ด้านในคึกคักเต็มไปด้วยหนุ่มสาวชาวออฟฟิศที่นิยมชวนแก๊งค์มานั่งแฮงก์เอาท์จิบเครื่องดื่มเย็นๆ และกินอาหารสไตล์ฟิวชั่นที่มีให้เลือกเยอะมาก         เริ่มต้นเปิดรับความสดชื่นกับเครื่องดื่มเย็นชื่นใจไอซ์เปรสโซ ลาเต้ ที่มีส่วนผสมของนมสด เอสเปรสโซช็อต ตามด้วยเอสเปรสโซคิวบ์ที่ยิ่งละลายก็ยิ่งอร่อย จิบช้าๆ พร้อมสูดกลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟพันธุ์ดีติดปลายจมูก ฟินกว่านี้ไม่มีแล้ว       สำหรับจานโปรดของคนรักซูชิ ได้แก่ Volcano Roll ซูชิโรลหน้าปูอัด แตงกวา และอะโวคาโดท็อปด้วยแซลมอนสไลซ์ โรยครันชี่กรุบกรอบหลากรสสัมผัสในคำเดียว       ปิดท้ายด้วยต้มยำกุ้งพิซซา ความอร่อยที่ต้องใช้เวลาในการรอเพราะเน้นอบสดใหม่เมื่อลูกค้าสั่ง ไม่มีทำทิ้งไว้ให้เสียรส พิซซาแป้งบางกรอบกลิ่นหอมอบอวล ท็อปชีสเน้นๆ ให้ดึงยืดยาวสะใจ หยิบใส่ปากเคี้ยวพร้อมกุ้งตัวอวบ อร่อยเต็มปากเต็มคำ!  

หลังจากเปิดสาขาแรกเอาใจชาวภูเก็ตกันไปแล้ว “Fusion One” ร้านอาหารสุดเก๋ก็ได้เวลาขยับขยายมาเปิดร้านที่ 2 ที่สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ให้เหล่านักชิมชาวเหนือได้ลิ้มลองกันบ้าง โดยยังคงคอนเซ็ปต์ Signature Comfort Food นำเสนอเมนูสไตล์ฟิวชันที่ทั้งกินง่ายและดีต่อสุขภาพ       ที่สำคัญทุกเมนูสร้างสรรค์โดย “เชฟเมย์ - พัทธนันท์ ธงทอง” ที่หยิบรสชาติจากท้องถิ่นของไทยมาผสมผสานกับความอร่อยแบบตะวันตกได้อย่างลงตัว     สำหรับเมนูเด่นของสาขานี้มีทั้ง Cream Cheese Semi Dried Tomatoes and Basil Open Sandwich แซนด์วิชหน้ามะเขือเทศอบแห้งและโหระพา เพิ่มความอร่อยด้วยครีมชีสหอมมัน Mushroom Gratin Open Sandwich แซนด์วิชกราแตงหน้าเห็ดหอมชีสมอสซาเรลลา       ใครอยากชิมเมนูเบาๆ เราแนะนำ Chicken Broccoli Cream Soup ซุปบรอคโคลีและเนื้อไก่ที่มีส่วนผสมของคุกกิงครีมคุณภาพดี แต่ถ้าอยากอิ่มแบบเต็มๆ อย่าลืมสั่ง Chicken Spinach Alfredo Pasta พาสต้าที่รวมความอร่อยของอกไก่ซูสวิดนุ่มๆ ผักเบบี้สปิแนชผัด และครีมซอสสูตรพิเศษทำจากคุกกิงครีมผสมชีสพาร์เมซานมาอร่อยอีกสักจาน       สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย  

ร้านอาหารเก่าแก่ที่ยังคงความอร่อยได้อย่างยาวนานในกรุงเทพฯ นั้นมีอยู่หลายร้าน หนึ่งในนั้นคือร้าน Neil’s Tavern ที่ใกล้จะฉลองครบรอบ 50 ปี ร้านรุ่นคุณพ่อนี้เปิดในปี ค.ศ. 1969 ซึ่งเป็นปีที่ นีล อาร์มสตรอง ได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้เหยียบดวงจันทร์     ตัวร้านยังคงดูสวยคลาสสิกเหมือนบ้านคันทรีตะวันตก ใช้ไม้สีเข้มให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบาย มีของตกแต่งวินเทจสวยงามชวนให้นึกย้อนถึงความหลัง สมัยเริ่มแรกร้านนีลส์เสิร์ฟอาหารตะวันตกในรูปแบบอเมริกันสเต็กส์เฮาท์ที่ถือว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ในสังคมไทยเมื่อ 50 ปีที่แล้ว โดยผู้ก่อตั้งเริ่มแรกมีประสบการณ์จากการเป็นเชฟในร้านสเต็กเฮ้าส์ และสานต่อความตั้งใจโดยเปิดร้านเป็นของตนเองในที่สุด ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากนักธุรกิจชั้นนำ และนักการทูตชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทยในช่วงเวลานั้น จนได้ย้ายสถานที่ตั้งร้านมาอยู่บนซอยร่วมฤดีตั้งแต่ปี ค.ศ 1978     ปัจจุบันร้านนีลส์ได้ดำเนินธุรกิจสู่เจเนเรชั่นที่ 3 พร้อมปรับรูปแบบการทำอาหารให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ และมีความเป็นสากลมากขึ้นโดยยังคงเน้นที่วัตถุดิบที่ดีและมีรสชาติที่อร่อย เช่น     Escargot French style with garlic & clove (440 บาท) หอยทากอบปรุงรสสไตล์ฝรั่งเศส หอยอบได้พอดีเนื้อนุ่มไม่เหนียว หอมกลิ่นกระเทียมฟุ้ง เป็นจานคลาสสิคแนะนำที่ควรสั่ง     Pan Scared French Foie Gras (780 บาท) ฟัวกราสเสิร์ฟกับซอสเบอร์รี่และบัลซามิค รสเปรี้ยวอมหวานของซอสเข้ากันได้ดีกับฟัวกราส     Grilled Filet of Snow fish (1,020 บาท) ปลาหิมะชิ้นหนาย่าง เนื้อในฉ่ำ เสิร์ฟกับผักผัดเนยและมันบด       Phuket Lobster Thermidor with bacon & cheese (2,850 บาท) ล็อบสเตอร์ภูเก็ตทำสไตล์คลาสสิคเทอร์มิดอร์ ราดด้วยเห็ดผัดครีมซอส โรยชีสแล้วอบ ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย รสชาติเข้มข้น ถูกใจคนรักอาหารครีมมี่     ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องสเต็ก ใครชอบเนื้อพรีเมี่ยมลองเลือกสั่ง U.S.D.A prime corn-fed rib eye (2,300 บาท) สเต็กส่วนริบอายเกรด U.S.D.A ย่างสุกแบบมีเดียมกำลังดี กลิ่นเนื้อหอม ฉ่ำนุ่ม เคี้ยวอร่อย     สุดท้ายใครมาแล้วไม่สั่งเมนูนี้ถือว่าพลาด Viennese Chocolate Cake (140 บาท) เวียนนีสช็อกโกแลตเค้ก ซิกเนเจอร์ที่คู่กับร้านมาอย่างยาวนาน เค้กช็อกโกแลตเนื้อเนียนนุ่ม ครีมมี่หวานมัน ท๊อปด้วยครีมสดและซอสช็อกโกแลต     ปิดท้ายมื้อได้อย่างสมบูรณ์

ชวนคุณมาเปิดประสบการณ์ Fine Dining แบบใกล้ชิดธรรมชาติกันที่วังหิ่งห้อย ร้านอาหารไทยอินสปายในคอนเซ็ปต์ “ดิน น้ำ ลม ไฟ” เสิร์ฟพร้อมอาหารและเครื่องดื่มที่ผสานสัมผัสทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และตื่นตาตื่นใจไปกับหิ่งห้อยนับร้อยตัวสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ที่หาชมได้ยากยิ่งกลางใจเมืองซึ่งไม่ใช่เพียงภาพในจินตนาการอีกต่อไป         ล่าสุดวังหิ่งห้อยเปิดตัว “ธีมน้ำ” หนึ่งในธาตุที่ครอบคลุมพื้นที่เศษ 3 ส่วน 4 ของโลก โอบอุ้มและหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตให้ดำรงอยู่ได้และเป็นที่มาของแรงบันดาลใจในเมนูชุด “Blue Planet Set” เริ่มที่อาหารเรียกน้ำย่อย ซุป สลัด จานหลัก และของหวานกว่า 10 รายการ โดยเชฟนิค-ณัฏฐพล ภวไพบูลย์, เชฟออฟ-ณัฐวุฒิ ธรรมพันธุ์ และเชฟอ้น-สุวิจักขณ์ แก้วสิริมงคล ร่วมวางคอนเซ็ปต์ถ่ายทอดเรื่องราวของน้ำผ่านอาหารแต่ละจานอย่างละมุนละไมน่าติดตามตั้งแต่จานแรกจนถึงจานสุดท้าย       ตัวอย่างเช่น Stone & Ripple น้ำพริกอ่องรสชาติเผ็ดนำและเปรี้ยวติดปลายลิ้นนิดๆ เสิร์ฟในมันฝรั่งจิ๋วอบ ทอปด้วยเบคอนทอด วางบนจานโดยจินตนาการถึงก้อนหินกระทบผิวน้ำ เกิดระลอกคลื่นขยายเป็นวงกว้างออกไป     Tako Picazzo สุดครีเอทด้วยภาพปลาหมึกกำลังพ่นหมึกอย่างสนุกสนานในท้องทะเล ตัวปลาหมึกเซียร์พอสุกด้านนอก เคี้ยวหนึบหนับกำลังดี ด้านในสอดไส้ด้วยข้าวหมักผสมเกลือและกุ้ง รสชาติเปรี้ยวอมหวาน     Log of Life สื่อภาพขอนไม้ที่ให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ มาวางไข่ เสิร์ฟ 2 ชิ้น ชิ้นแรกคือแกงกะทิสายบัว รสชาติมันนิดเค็มหน่อย ชิ้นที่สองคือแกงส้มไข่ปลา คงความเข้มข้นจี๊ดจ๊าดแบบต้นตำรับ     นำไอเดียจากเมนูข้าวซอยมาตีโจทย์ใหม่ในชื่อ Lanna Lake หรือทะเลสาบแห่งล้านนา สัมผัสกลิ่นหอมของน้ำแกงข้าวซอยที่มาพร้อมกับรสชาติกลมกล่อม นำมากรองจนเนื้อละเอียดนุ่มเนียนลิ้น ราดบนเส้นก๋วยเตี๋ยวนุ่มๆ กับหมูย่างหอมๆ ทอปด้วยปลากะพงขาวทอดกรอบและกระเทียมดองทำเอง กรุบกรอบตัดเลี่ยนได้อย่างลงตัว     ล้ำสุดทั้งรสชาติและการดีไซน์เทใจให้ Lunar River ดุจเงาสะท้อนของดวงจันทร์ลงบนผืนน้ำเป็นประกายระยิบระยับ สัมผัสความสดชื่นของสลัดผลไม้กับครีมซอสเลมอนหวานอมเปรี้ยวสุดครีมมี่ที่ทำเอาใจละลายไปตามๆ กัน     Blue Planet ขนมหวานไส้งาดำราดซอสอัญชัน สื่อภาพความยิ่งใหญ่ของสายน้ำที่เป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ของโลก เมนูนี้ออกแบบมาเพื่อท้าทายนักชิมอย่างเราให้ร่วมเดินทางตามหาความหวานละมุนที่ซุกซ่อนอยู่ด้านใน เพลิดเพลินและคุ้มค่าทีเดียว     นอกจากอาหารที่ครีเอทได้อย่างไร้ที่ติ ด้านค็อกเทลหลากรสชาติยังถือเป็นไฮไลท์ที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะการนำมาจับคู่กับอาหารแต่ละจานช่วยเสริมรสชาติให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยเฉพาะซีรีส์ของค็อกเทลปิง วัง ยม น่าน ที่เราอยากให้คุณลิ้มลองจนครบทุกชนิด         ระหว่างมื้ออาหารสามารถผ่อนคลายอารมณ์ด้วยการชมหิ่งห้อยในห้องที่จัดเตรียมไว้ หรือเติมเต็มความสุนทรีย์กันต่อกับนิทรรศการ “Aqua Elemental Exhibition” ธาตะวารี ตีความเรื่องราวของน้ำผ่านศิลปะภาพถ่าย ศิลปะจัดวาง และสื่อผสมจุลชีววิทยาของดินและน้ำด้วยเทคนิคการนำเสนอที่หลากหลาย         วังหิ่งห้อยจะเปิดทำการเป็นระยะเวลาเพียง 18 เดือน เฉกเช่นวงจรชีวิตของหิ่งห้อยที่จะจบลงภายในเวลา 18 เดือนเช่นกัน อย่าพลาดประสบการณ์ครั้งสำคัญที่จะคงอยู่ในความทรงจำของคุณตลอดไป

ใครมีโอกาสมาเยือน “ไร่องุ่นมอนซูน แวลลีย์ หัวหิน” นอกจากไวน์และองุ่นเลิศรสจะห้ามพลาดชิมแล้ว ที่นี่ยังมีทีเด็ด(ความอร่อย)ให้ลิ้มลองซ่อนอยู่ นั่นคือ “The Sala Wine Bar and Bistro” ร้านอาหารหนึ่งเดียวที่ให้ความรู้สึกเหมือนศาลาไม้หลังใหญ่แสนสบาย ซึ่งพร้อมเสิร์ฟเมนูอร่อยสไตล์ฟิวชันที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ของเชฟกิตติ Head Chef มากประสบการณ์ ความอร่อยของวัตถุดิบระดับคุณภาพ และความต้องการของเหล่านักชิมขาประจำได้อย่างลงตัว         จานเด่นที่เราชอบมากคือ Marinated Chicken Coconut Milk Salad ไก่ทอดสมุนไพรราดซอสเดรสซิงที่ทำจากน้ำกะทิและสมุนไพรให้กลิ่นอายแบบไทยๆ Roasted Red Mullet, King Prawn with Sea Weed Potatoes ปลากะพงแดงฟิลเลต์และกุ้งแม่น้ำทอด มาพร้อมมันบดผสมสาหร่ายวากาเมะสไตล์ญี่ปุ่น ราดลอบสเตอร์ซอสที่ผสมเครื่องต้มยำอย่างข่า ตะไคร้ และใบมะกรูด       ส่วนคอไวน์ต้องลอง Cocoa Lamb Chop ‘Kao Pao’ ขาแกะออสเตรเลียราดซอสกะเพราใส่ผงโกโก้ที่แปลกใหม่แต่ลงตัว เสิร์ฟพร้อมมันซอร์เตและลูกเกดหมักวิเนการ์ ที่เหมาะกินคู่ Monsoon Valley Cuvee de Siam Rouge ไวน์แดงบอดี้แน่น รสฝาดนิดๆ และ Lobster with Frozen Red Curry ลอบสเตอร์ย่างเนย เสิร์ฟพร้อมพริกแกงแดงในรูปแบบไอศกรีมสุดเก๋ เชฟแนะนำให้กินคู่ Monsoon Valley White Shiraz – Rose Wine ไวน์โรเซ่สีชมพูสดใสหอมหวานสดชื่น       อย่าลืมจบมื้อด้วย Cheesecake in Chocolate Cup ความอร่อยลงตัวของซอฟต์ชีสเค้ก ครีมชีส ไอศกรีมและซอสเสาวรสในถ้วยรูปไข่ทำจากช็อกโกแลต ล้อมรอบด้วยซอสสตรอว์เบอร์รี ที่สำคัญเมนูนี้ไม่มีไข่เป็นส่วนผสม     ไม่ว่าจะสายมังสวิรัติหรือสายกลูเต็นฟรีก็อร่อยได้แบบไร้กังวล

ขอยกให้เป็นคาเฟ่น่านั่งขวัญใจนักชิมสำหรับ “Land Dear Café & Bistro” ใจกลางเมืองระยองที่พร้อมให้เราอร่อยกับหลากหลายเมนูเด็ดสไตล์ฟิวชันที่ผสมผสานอาหารไทยและยูโรเปียนได้อย่างลงตัว รวมทั้งของหวานและเครื่องดื่มนานาชนิดในบรรยากาศเก๋ไก๋ แต่อบอุ่นสบายตา ประดับประดาไปด้วยกวางเรนเดียร์สุดน่ารักสัญลักษณ์ของร้าน       ใครอยากอิ่มแบบครบจบในมื้อเดียว เราแนะนำให้เริ่มด้วย Spaghetti Carbonara ทีเด็ดอยู่ที่ซอสครีมทำจากไข่แดงผสมคุกกิงครีมจนเข้มข้นหอมมัน โรยเบคอนกรอบและชีสพาร์เมซาน ต่อด้วย Hokkaido Pancake แพนเค้กเนื้อนุ่มหอมเนยละลายในปาก ราดซอสวานิลลาหอมหวาน มาพร้อมวิปครีมและไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด       แล้วอย่าลืมสั่ง Strawberry Cheesecake สตรอว์เบอร์รีสดปั่นกับนมและวิปครีมคุณภาพดี เพิ่มรสชาติด้วยซอสสตรอว์เบอร์รีเข้มข้น หรือ Nutella Milkshake นูเทลลาปั่นกับนม ไอศกรีมวานิลลา และวิปปิงครีมหอมมัน ท็อปด้วยช็อกโกแลตแท่งและกล้วยหอมมาปิดท้ายเป็นอันสมบูรณ์แบบ       สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย

เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ไปไม่ทันไร สาขาสองในทำเลที่ใกล้เคียงกันอย่างสยามดิสคัฟเวอรี่ก็ตามมาแทบจะทันที แถมยังมาพร้อมพื้นที่ที่กว้างขวางขึ้น น่านั่งขึ้น แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังคงคอนเซปต์ความสดใสด้วยสีชมพูพีชโรสโกลด์ดูวุบแวบไม่ต่างกัน       แม้ที่นี่จะโดดเด่นในเรื่องของการตกแต่งที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในสวนสวยสวนของพระเจ้าสมชื่ออีเด็น แต่ความอร่อยก็ขอบอกว่าไม่เป็นรองเพราะเกิดจากการผสมผสานความอร่อยตำรับตะวันตกมาผสมกับรสชาติที่คนไทยชื่นชอบที่เพียงได้ลองรับรองมีหลงรัก       เริ่มเมนูแรกกันด้วย Caesar & Anchovy Salad (290 บาท) ซีซ่าร์สลัดอัดแน่นไปด้วยผักสดที่เราคุ้นเคยแต่เพิ่มรสชาติเค็มๆ มันๆ ด้วยแอนโชวี่และขนมปังกรูตองกรุบกรอบ และพาร์เมซานชีส ต่อด้วย Scallops Carpaccio (340 บาท) หอยเซลล์สดสไลซ์บางๆ เนื้อนุ่ม ราดด้วยน้ำมันมะกอกแต่งกลิ่นหอมด้วยผักชีลาวและซอสรสเผ็ดปลายลิ้น       ก่อนจะเพิ่มดีกรีรสชาติความจัดจ้านกับ Grilled Kurabuta with Mala Sauce (370 บาท) หมูย่างคุโรบุตะย่างซอสหม่าล่าที่มาทั้งความนุ่มและความหอมในแบบเฉพาะตัว ส่วนคนรักคาโบนาร่าก็น่าจะติดใจ Spaghetti Carbonara Eden Style (270 บาท) ที่เสิร์ฟความนุ่มเหนียวของสปาเก็ตตี้ซอสครีมเห็ดสุดเข้มข้น แต่ทีเด็ดอยู่ที่เบคอนกรอบที่โรยมาชุดใหญ่กรอบเพลินมากๆ       ส่วนของหวานก็ของเทใจให้กับ Chocolate Lava (190 บาท) เค็กช็อกโกแลตลาวาชิ้นเล็ก แต่ความอร่อยไม่เล็กเลย เพราะไส้ลาวาที่ล้นทะลักผสานกับความหนักแน่นของเนื้อเค้กและครีมสดได้อย่างลงตัว ร่วมด้วย Thai Tea Creme Brulee (195 บาท) เครมบูเล่รสชาไทยหอมละมุนหวานน้อย กินคู่กับครัมเบิลกรุบกรอบ       แล้วอย่าลืมปิดท้ายด้วย Cinnamon Lemon Iced Tea (130 บาท) ชามะนาวที่ให้กลิ่นหอมๆ ของชินนามอนกันก่อนกลับกันล่ะ  

“Fusion One” ร้านอาหารสุดเก๋สไตล์ชิโน-โปรตุกีสน้องใหม่ในสนามบินภูเก็ตที่ เชฟเมย์ - พัทธนันท์ ธงทอง สุดยอดเชฟรุ่นใหม่จากรายการ Top Chef Thailand ตั้งใจให้เป็นสถานที่ฝากท้องของเหล่าผู้โดยสารที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพ ด้วยการนำเสนอเมนูกินง่าย แต่มีเอกลักษณ์และผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถันในสไตล์ Signature Comfort Food ที่ผสมผสานรสชาติแบบไทยและตะวันตกได้อย่างลงตัว     เมนูซิกเนเจอร์ที่เชฟบอกว่าห้ามพลาดคือ Phuketian Pulled Pork Brioche Panini with Coleslaw ขนมปังบริยอชหอมเนยกระเทียมสอดไส้หมูฮ้องฉีกฝอย ชีสมอสซาเรลลาผสมชีสเชดดา และผักออร์แกนิกสด เรียกว่าเป็นจานเด่นที่หยิบอาหารท้องถิ่นของภูเก็ตมาสร้างสรรค์ใหม่ได้อย่างลงตัว แต่หากอยากหนักท้องเพิ่มอีกนิด เชฟแนะนำ Chicken Spinach Alfredo Pasta ทีเด็ดอยู่ที่ซอสครีมทำจากคุกกิงครีมและชีสพาร์เมซานหอมมัน กินคู่อกไก่ซูวีดและผักโขมผัด       แล้วอย่าลืมเพิ่มความสดชื่นด้วย Tiramisu Drink ที่ดัดแปลงของหวานอย่างทิรามิสุให้กลายเป็นเครื่องดื่มสุดเก๋ด้วยการนำเอสเปรสโซร้อนๆ ท็อปด้วยวิปปิงครีมผสมชีสมาสคาโปน เสิร์ฟคู่คุกกี้เลดี้ฟิงเกอร์     สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย

“Sleepcat Café” ร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ตกแต่งแบบวินเทจลอฟต์ที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านคันทรีปาร์คแห่งนี้ชวนให้เราอยากหลบหลีกความคึกคักวุ่นวายของชายหาดบางแสนมานั่งชิลในบรรยากาศร่มรื่นแสนสบายที่มีกลิ่นอายของบ้านในแถบยุโรป พร้อมจิบกาแฟและละเลียดความอร่อยของอาหารสไตล์ยูโรเปียนฟิวชันที่เจ้าของร้านปรุงอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน       โดยเฉพาะคนรักชีสเป็นต้องถูกใจ เพราะเมนูเด่นของที่นี่คือ Pizza Lava Cheese พิซซาราดชีสลาวาร้อนๆ ที่ผสมผสานชีสมอสซาเรลลาและเชดดาจนกลมกล่อมหอมมัน เบิร์นไฟให้เกรียมนิดๆ โรยชีสพาร์เมซานเพิ่มความเข้มข้นอีกชั้น ส่วนอีกเมนูขายดีอย่าง Cheese J Pumpkin Baked เนื้อฟักทองนึ่งคลุกเคล้าชีสมอสซาเรลลา วิปปิงครีม และเบคอนหั่นชิ้นเล็ก ใส่ในฟักทองลูกโตแล้วอบจนได้ที่ โรยเบคอนกรอบพร้อมตอกไข่แดงเพิ่มความอร่อยก็พลาดไม่ได้เช่นกัน       หากกลัวหนักท้องเกินไป ลองสั่ง Carb Carbonara Bake เส้นสปาเกตตีคลุกเคล้าไวท์ซอสทำจากวิปครีมคุณภาพดี ใส่เนื้อปูนึ่งที่เบิร์นไฟเล็กน้อยเพิ่มกลิ่นหอม แล้วนำไปอบชีสมอสซาเรลลาหอมมัน หรือ Puff Cheese Seafood Green Curry แผ่นแป้งตอร์ติญาสอดไส้ชีสมอสซาเรลลาผสมวิปปิงครีมและพริกแกงเขียวหวานเข้มข้น อัดแน่นด้วยซีฟู้ดนานาชนิด ทั้งกุ้ง ปลาหมึก หอยเชลล์ ก็ตอบโจทย์เหล่าชีสเลิฟเวอร์ไม่แพ้กัน       สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย

สำหรับใครที่พักอยู่ใจกลางเมืองแล้วเป็นแฟนคลับของ ร้านเลิศทิพย์ วังหิน ( ปูทะเลไข่ดอง ) เชลชวนชิม ซึ่งมีปูทะเลไข่ดองเป็นเมนูพิชิตใจ ขอให้เขยิบเข้ามาใกล้ๆ เพราะตอนนี้ เชฟกิ๊ก กมล ชอบดีงาม ผู้เอาชนะเชฟกระทะเหล็กอาหารจีนในรายการ Iron Chef Thailand และเคยเข้าร่วมแข่งขันรายการ Top Chef Thailand เปิดร้านเลิศทิพย์ สาขา 2 ในซอยทองหล่อนี่เอง แถมพ่วงเมนูสุดพิเศษแตกต่างจากสาขาแรกมาให้เราลิ้มลองอีกด้วย     เชฟกิ๊กตั้งใจให้ร้านนี้ดูพรีเมียมมากขึ้นทั้งบรรยากาศและวัตถุดิบที่เลือกใช้ ซึ่งเน้นเป็นซีฟู้ดตามฤดูกาลนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ปลาและเนื้อวัวขึ้นชื่อจากญี่ปุ่น ปูมันจากฝรั่งเศส หรือหอยแมลงภู่จากฮอนแลนด์ ฯลฯ ซึ่งยังคงรักษาคอนเซ็ปต์และรสชาติอาหารจีนฟิวชัน (ที่เราติดใจ) เอาไว้เหมือนเคย ส่วนราคาบอกได้ว่าเข้าถึงไม่ยากเมื่อเทียบกับโลเคชันตรงนี้     เมนูที่เชฟกิ๊กภูมิใจนำเสนอนอกจากปูทะเลไข่ดองแล้ว เชฟอยากให้ลอง ไข่มุกอันดามัน หอยนางรมเนื้อนุ่ม หวานฉ่ำ ส่งตรงจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี เสิร์ฟในถ้วยกลมจิ๋วพร้อมราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บที่มีส่วนผสมของวาซาบิและน้ำพริกเผา เข้ากันสุดๆ กับไข่ปลาแซลมอน ใบสะระแหน่ และกระเทียมฝาน ต่อด้วย หมูมะนาว คอหมูย่างสไลด์ชิ้นหนาแบบพอเหมาะ มีไขมันแทรกนิดหน่อยให้เคี้ยวนุ่มๆ ราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสจัดจ้าน       ส่วนใครอยากอิ่มท้องขึ้นอีกนิด ลองสั่ง หมูนุ่มผัดน้ำมันงา พร้อมข้าวสวย เชฟกิ๊กนำเนื้อหมูมาหมักกับน้ำมันงาค้างคืนเอาไว้ แล้วผัดกับน้ำสต๊อกและเหล้าจีนให้หอมฉุย เป็นสูตรเด็ดที่หม่อมถนัดศรีเคยชมชอบมาแล้ว     ปิดท้ายด้วยเมนูไฮไลต์ของที่นี่ กระเพราเนื้ออาคิตะ วากิว กระทะร้อน เชฟให้ความรู้ว่า วัวอาคิตะ เลี้ยงในจังหวัดอาคิตะประเทศญี่ปุ่น จำกัดการเลี้ยงแค่ 3,000 ตัวต่อปีเพื่อควบคุมคุณภาพ และเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถันในสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์พร้อมให้กินรำข้าวและน้ำแร่ธรรมชาติที่ไหลผ่านจากจังหวัดนี้เท่านั้น ซึ่งการันตรีความพรีเมียมด้วยรางวัลรองชนะเลิศการประกวดวากิวโอลิมปิกปี 2012 นั่นเอง     เนื้อวัวระดับ A5 ไม่ต้องปรุงมากก็อร่อย เชฟนำไปย่างในกระทะให้ได้ความสุกระดับมีเดียม แรร์ แล้วกินคู่กับข้าวผัดกระเพราะสไตล์จีนที่ผัดด้วยไฟแรงได้กลิ่นหอมไหม้ของกระทะ และใช้ซีอิ๊วจีนกลิ่นหอมนวลแทนน้ำปลา ขาดไม่ได้เลยคือใบกระเพราและไข่ดาว 1 ฟอง รับรองว่าสายเนื้อต้องฟิน!