เป็นเวลายาวนานกว่า 63 ปีแล้ว ที่ร้านอาหารฝรั่งเศสเลอ นอร์มังดีอยู่คู่กับโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ร้านไฟน์ไดนิ่งแห่งนี้ได้รับรางวัล 2 ดาวจากมิชลินสตาร์ตั้งแต่ปีแรกที่มีการประกาศรางวัลมิชลินสตาร์ในประเทศไทย     เลอ นอร์มังดีได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่ออลัง รูซ์ (Alain Roux) เชฟชื่อดังระดับโลก จากห้องอาหารเดอะ วอร์เตอร์ไซด์ อินน์ มาเป็นหัวหน้าเชฟใหญ่นำทีมสร้างสรรค์เมนูจากสูตรของตระกูลรูซ์โดยใช้ชื่อว่า เลอ นอร์มังดี บาย อลัง รูซ์     ชื่อของมิเชล รูซ์ และอลัง รูซ์ สองเชฟพ่อลูกชาวฝรั่งเศสแห่งร้านดอะ วอร์เตอร์ไซด์ อินน์ คงคุ้นหูดีสำหรับนักชิมชาวไทย เป็นร้านชื่อดังที่ได้รับมิชลินสตาร์ 3 ดาวมายาวนานถึง 38 ปี ตระกูลรูซ์มาเป็นเชฟรับเชิญที่ห้องอาหารเลอ นอร์มังดี เกือบ 10 ครั้ง ดังนั้นสองร้านนี้จึงมีความผูกพันธ์กันมาอย่างยาวนาน     เดอะ วอร์เตอร์ไซด์ อินน์ (The Waterside Inn) เป็นห้องอาหารและยังเป็นโรงแรมขนาดเล็กกะทัดรัด ตั้งอยู่ริมแม่นำ้เทมส์ สหราชอาณาจักร เป็นอีกหนึ่งร้านในตำนานแห่งวงการอาหารฝรั่งเศสในเวทีระดับโลก เป็นห้องอาหารฝรั่งเศสที่อยู่นอกประเทศฝรั่งเศสที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 3 ดาว เป็นเวลานานต่อเนื่องยาวนานถึง 38 ปี     เชฟอลัง รูซ์ได้ส่งมือขวาอย่างเชฟฟิล ฮิคแมน มาเป็นหัวหน้าพ่อครัวประจำห้องอาหารเลอ นอร์มังดี บาย อลัง รูซ์ ควบคุมดูแลการจัดการในครัวประจำวัน โดยมีเชฟอลังเป็นผู้ควบคุมแนะนำ เชฟฟิลมีประสบการณ์ในครัวมามากกว่า 20 ปี และได้รับการฝึกอบรมจากทั้งเชฟมิเชล และจากเชฟอลังเป็นเวลากว่า 10 ปี จึงมั่นใจได้ว่าคุณภาพจะเหมือนกับร้านต้นตำรับ     เมื่อเชฟอลังมารับช่วงต่อจึงปรับเมนูใหม่ทั้งหมด แนะนำเป็น Testing Menu ที่เชฟอลังได้เลือกสรรเมนูที่เหมาะสมมาไว้ในคอร์สเดียวกัน โดยเป็นเมนูที่มาจากร้าน เดอะ วอร์เตอร์ไซด์ อินน์ทั้งหมด อาหารของเชฟอลังจะไม่หวือหวา แต่จะโชว์รสชาติของวัตถุดิบให้อร่อยลึกล้ำด้วยเทคนิคฝรั่งเศส   เริ่มต้นจากคานาเป้คำเล็ก Dill Scone ไส้แอปเปิลกรอบๆ และเกี๊ยวที่ทำจาแป้งพาสตาสอดไส้มาสคาร์โปนกรอบเค็มๆ Ostra regal oyster หอยนางรมจาก saint malot รสหวานของเนื้อหอย และเค็มจากน้ำทะเล กับแตงกวาและไลม์คูลี่ ให้รสสดชื่น       Ceviche Seabass and Octopus อาหารเรียกน้ำย่อยเป็นเซบิเชปลากะพงสดเนื้อหวาน และหนวดปลาหมึกยักษ์ที่ตุ๋นจนนุ่มในน้ำซอสเสาวรส และน้ำมันผักชีสีเขียวสวย     ขนมปังที่เสิร์ฟในมื้อก็ไม่ธรรมดา มีทั้ง ซาวร์โด สูตรของเชฟอลัง มาพร้อมเนยจืด และเกลือจากจังหวัดน่าน และ บริออช ผิวกรอบหอมฉ่ำเนย       Pan-fried Foie gras ฟัวกราสย่างเสิร์ฟพร้อมดอกกะหล่ำย่าง เมล็ดสนและเมล็ดสนบด เคเปอร์ทอด และเคเปอร์มูส ลูกเกดซันทาน่ารสหวาน และ Gewurztraminer ซอสไวน์จากแคว้นอัสซาสรสหวาน     Poached Halibut ปลาฮาลิบัทโพชนุ่มๆ เสิร์ฟกับผักกาดขาวลวก ซอสไลม์วอดก้า และใช้ส้มโอของไทยแทนเกรฟฟรุ๊ต จานนี้ได้รสละมุนเบานุ่มลิ้น     จานยอดนิยมตลอดกาลของวอร์เตอร์ไซด์ อินน์ คือ Challandais Duck เป็ดชาลลองส์ที่บ่มไว้ 10 วันเพื่อไล่ไขมัน อบทั้งตัว และนำมาสไลด์ที่โต๊ะ เสิร์ฟพร้อมซอสลูกพลัม เนื้อเป็ดนุ่มหอม เป็นจานอร่อยที่ห้ามพลาด     ก่อนถึงของหวานจะมีลิ้นจี่ซอเบย์รสเปรี้ยวอมหวาน ล้างปากเรียกความสดชื่น จะสั่งชีสจากฝรั่งเศสมารับประทานเพิ่มเติมก็ได้ โดยจะมาเป็นรถเข็นให้เลือกที่โต๊ะ       ปิดท้ายด้วยของหวานตำรับฝรั่งเศส Warm Golden Plum Soufflé ซูเฟล่ที่จะเปลี่ยนผลไม้ไปตามฤดูกาล ช่วงฤดูหนาวนี้จึงเป็นซูเฟล่ลูกพลัม อบร้อนๆ เนื้อซูเฟล่นุ่มฟูเบา หอมหวานรสพลัม อย่าลืมเผื่อท้องสำหรับ Petit four ที่อร่อยทุกคำ       เป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของห้องอาหารระดับตำนานที่นักกินทั้งหลายห้ามพลาด   ราคา : tasting lunch menu วันอังคาร -วันศุกร์ 3 คอร์ส ราคา 2,500++ บาท 4 คอร์ส ราคา 3,400++ บาท รวมชีส วันเสาร์ -วันอาทิตย์ 8 คอร์ส ราคา 7,500++ บาท 9 คอร์ส ราคา 8,400++ บาท รวมชีส tasting dinner menu วันอังคาร -วันพฤหัสบดี 6 คอร์ส ราคา 6,400++ บาท 7 คอร์ส ราคา 7,300++ บาท รวมชีส วันศุกร์ –วันอาทิตย์ 8 คอร์ส ราคา 7,500++ บาท 9 คอร์ส ราคา 8,400++ บาท รวมชีส

ใครคิดถึงเฟรนช์โทสต์ของคุณมู่-จักรทอง อุบลสูตรวานิช แห่ง Let Them Eat Cake ครั้งนี้เธอกลับมาแล้วกับ Maison Bleue ไลฟ์สไตล์คาเฟ่ในซอยเมธีนิเวศน์ (BTS พร้อมพงษ์) ที่ให้อารมณ์เหมือนได้นั่งอยู่ตามชานเมืองของฝรั่งเศสที่เต็มไปด้วยดอกลาเวนเดอร์           ใช่ว่าที่นี่จะมีแต่ขนมเท่านั้น คุณมู่ยังเซอร์ไพรส์เราด้วยเมนูคาวที่ตีความจากขนมหวานจานสวย รวมถึงยังมีกาแฟเบลนด์พิเศษจากโรงคั่ว XOXO อย่าง Monsieur และ Mademoiselle ที่มีให้ชิมเฉพาะที่นี่       เริ่มจานแรก Mademoiselle’s Pomelo Tart ทาร์ตส้มโอที่ได้ไอเดียจากเมนูแสนอร่อยประจำบ้านอย่างยำส้มโอฝีมือคุณแม่ ปรับสูตรให้กลายมาเป็นเมนูลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส แต่งหน้าด้วยคางกุ้งชุบแป้งทอด ได้ทั้งเนื้อสัมผัสกรุบกรอบและรสชาติเข้มข้นสดชื่น       Duck Breast “Ispahan” เมนูคาวที่คุณมู่ตีความจากขนมอีสปาอ็อง อกเป็ดซอสราสป์เบอร์รี เสิร์ฟกับราสป์เบอร์รีสด ผลลิ้นจี่นาบกระทะกับน้ำกุหลาบหอมๆ และมันฝรั่ง กลายเป็นจานคาวที่มีทั้งความเค็ม เปรี้ยว หวานลงตัว       Seared Foie Gras “Cérémonie” จานนี้สีสวย ฟัวกราส์นาบกระทะกินกับซอสสตรอว์เบอร์รี่ป่ารสเปรี้ยวสดชื่นวางบนขนมปังบริออชนาบกระทะ เคียงด้วยสตรอว์เบอร์รี่สดและเจลลีชามะลิ เลือกอิ่มได้ทั้งแบบ 1 ชิ้นและ 2 ชิ้น       และพลาดไม่ได้กับ Chocolate-Hazelnut Bostock  ช็อกโกแลต-เฮเซลนัตบอสสต็อก บริออชรสช็อกโกแลตทิ้งให้เก่าหนึ่งคืน ชุบน้ำเชื่อมโกโก้ ทาอัลมอนด์ครีมผสมพราลีเน่และ Mixed Berries Clafoutis คลาฟูตีเบอร์รี่รวมที่อร่อยไม่แพ้กัน รวมถึงเมนูอื่นที่รออยู่อีกเพียบ       ส่วนใครอยากสวมบทเชฟดูบ้าง ลองสั่งเมนูเดลิเวอรี่ DIY Brioche French Toast ที่คุณมู่เตรียมให้ขนมปังกับเนยสูตรพิเศษไว้ให้แล้ว การันตีว่าทำอย่างไรก็อร่อย

อยากทำแต่ไม่อยากกิน” เชฟเทเบิ้ลชื่อกวนๆ ที่ลูกค้าพากันแนะนำแบบปากต่อปากถึงความอร่อยสไตล์คลาสสิคและความสนุกสนานเป็นกันเองของเชฟ     บนชั้น 2 ของโรงพิมพ์กิจการของครอบครัว “เชฟบิ๊ก” เปิดเป็นเชฟเทเบิ้ลเล็กๆ ที่มีครัว และโต๊ะอาหารเพียงแค่โต๊ะเดียว เชฟบิ๊กจบปริญญาโทด้านอาหารจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แต่ไม่อยากทำงานที่บ้าน จึงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตามร้านอาหารดังๆ มาแล้วมากมาย   เชฟเทเบิ้ลนี้เหมือนมากินข้าวที่บ้านเชฟ บรรยากาศอบอุ่นรับลูกค้าได้สูงสุดรอบละ 9 คน แต่ถ้ามา 6 คนขึ้นไป เชฟปิดรอบให้เป็นมื้อแบบส่วนตัวเลย อาหารของเชฟเข้าใจง่ายเป็นอาหารฝรั่งเศสสไตล์คลาสสิค เชฟเป็นคนไปตลาดเองดังนั้นไม่กินอะไรหรืออยากกินอะไรก็บอกเชฟก่อนได้     หลังจากนั่งดูเชฟเตรียมอาหารใกล้ชิดถึงขอบเตา เราก็ได้ชิมคอร์สแรก Abalone Escargot เชฟเสิร์ฟหอยเป๋าฮื้ออบเนยกระเทียมสไตล์เอสคาร์โกที่ดั้งเดิมจะใช้หอยทากฝรั่งเศส แต่โดยมากจะเป็นเนื้อหอยกระป๋องเชฟจึงใช้หอยเป๋าฮื้อแทน เนื้อหอยอบมานุ่มไม่เหนียว หอมกลิ่นของเนยกระเทียมและสมุนไพร     คอร์สต่อมาคือ Crab Spring Roll แป้งเปาะเปี๊ยะม้วนเป็นโรลกรอบ ไส้เป็นทาร์ทาร์เนื้อกรรเชียงปูก้อนใหญ่เบิ้ม รสหวาน หอมกลิ่นผิวมะนาว เจลมะม่วงและแอปเปิ้ลรสเปรี้ยวหวานหอมสดชื่น ใส่ไข่แซลมอนเพิ่มเนื้อสัมผัสและความแวววาวสวยงาม     มาถึงจานที่เชฟภูมิใจนำเสนอเป็นเมนูคลาสสิคที่ได้แรงบันดาลใจจากยอดเชฟ Paul Bocuse จึงเป็นเมนู Tiger Prawn Bisque ซุปบิสรสเข้มข้นทำจากกุ้งลายเสือ คลุมถ้วยด้วยแป้งพายชั้นอบจนฟูกรอบส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้อง เสิร์ฟมาพร้อมกุ้งลายเสือตัวโต     Barley Risotto ข้าวบาร์เลย์ผัดกับสต็อคเข้มข้นที่ทำจากเห็ด คล้ายริซอตโตแต่ได้สัมผัสที่นุ่มเหนียวเคี้ยวมันกว่า เสิร์ฟพร้อมหอยเชลล์ฮอกไกโดย่าง ฟัวกราสย่างชิ้นใหญ่หนานุ่ม โรยด้วยเห็ดทรัฟเฟิลสไลด์     มาถึงจานไฮไลต์อย่าง Beef Wellington ที่เชฟทำออกมาได้สมบูรณ์แบบ เนื้อสันในย่างห่อด้วยเห็ดและผักโขมผัด แล้วหุ้มด้วยแป้งพายชั้นที่ทำลวดลายไว้อย่างสวยงาม อบจนแป้งชั้นนอกสุกเหลืองกรอบ เนื้อสุกแบบปานกลางสีชมพูสวยงาม เสิร์ฟพร้อมซอสเนื้อแบล็คทรัฟเฟิลที่เคี่ยวจากกระดูกวัวกว่า 10 กก. จนได้ซอสรสเข้มข้น กลมกล่อมเข้ากัน     สุดท้ายคือ Chocolate Crème Brûlée ช็อกโกแลตแครมบรูเลที่ใช้เวอโรน่าช็อกโกแลตเข้มข้นโรยน้ำตาลและพ่นไฟจนหน้ากรอบ ราดซอสวนิลา   จบมื้อได้อร่อยและสนุกเหมือนได้มากินข้าวที่บ้านเพื่อน  

เมื่อพูดถึงร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งที่เป็นที่รักของนักท่องเที่ยวมากที่สุดชื่อของ David’s Kitchen คงต้องติดอยู่ในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะร้านนี้เคยติด Top 10 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลกจาก Trip Advisor เว็บท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกประจำปี 2018 มาแล้ว ซึ่งปัจจัยความสำเร็จก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากความอร่อยของอาหารฝรั่งเศสที่เข้าคู่กับการบริการอันดีเยี่ยมของ คุณเดวิด ฟิลิปป์ กอร์ดอน (David Philip Gordon) เจ้าของร้าน         อาหารแต่ละจานที่เสิร์ฟเป็นฝีมือของเชฟโอ - อาทิตย์ ดิษฐสุนนท์ เชฟคนไทยที่ได้นำความรู้ที่ได้เรียนรู้จากการทำงานมาตลอดชีวิตสร้างสรรค์ความอร่อย อีกทั้งยังมีการสร้างสมดุลของรสชาติในแต่ละจานจนออกมาเป็นอาหารฝรั่งเศสที่กินง่ายทั้งหน้าตาและรสชาติ ประเดิมด้วย Fettucine with Truffle Cream, Lobster Claw and Sliced Summer Black Truffle เฟตตูชินี่เส้นเหนียวนุ่มผัดกับครีมทรัฟเฟิลที่ทำจากเนยฝรั่งเศสและน้ำมันกุ้งจนได้ความหอมละมุน เสิร์ฟพร้อมกับเนื้อล็อบสเตอร์ส่วนก้ามชิ้นโตเนื้อแน่นเต็มคำ     แล้วมาเปิดปุ่มรับรสกันต่อด้วย Spicy Pomelo with Fried Red Snapper Fish ยำส้มโอสายน้ำผึ้งรสจี๊ดจ๊าดจากรสชาติถึงเครื่องจากการเข้าคู่กันของมะนาว น้ำปลา และถั่วลิสง กินคู่กับปลากะพงแดงจากภูเก็ตแล่บางๆ ก่อนจะห่อด้วยแตงกวาญี่ปุ่นและแครอทเพิ่มความกรอบหวาน     หรือจะลอง Slow Baked Fillet of Tasmanian Salmon with White Wine Sauce แซลมอนชิ้นหนามาม้วนแล้วย่างให้มีความกึ่งดิบนิดๆ เพื่อความนุ่มที่พ่วงมากับรสชาติหวานๆ เสิร์ฟพร้อมซอสไวน์ขาวรสเปรี้ยวนิดๆ แต่ทว่าเข้มข้นด้วยครีมและเนย     ขณะที่จานหลักก็มีซิกเนเจอร์อย่าง Braised Beef Cheek Slow Cooked in Red Wine with Paris Mash เนื้อวากิวออสเตรเลียส่วนแก้มวัวที่มีทั้งความนุ่มและหอมมันมาหมักกับไวน์แดงไว้ข้ามคืนก่อนจะนำไปตุ๋นจนนุ่ม เสิร์ฟพร้อมมันบดสูตรเด็ดที่หวานละมุนและนุ่มนวล หรือจะเปลี่ยนจากเนื้อมาเป็น Braised Lamb Shank Slow Cooked in Red Wine with Paris Mash ขาแกะชิ้นโตตุ๋นในน้ำเกรวี่นานถึง 2 – 3 วัน จนได้ความนุ่มหอมละลายในปากก็ดีไม่แพ้กัน       แล้วอย่าลืมปิดท้ายด้วย Tiramisu ที่ครีมมาสคาโปนทั้งฉ่ำและนุ่มจนเราต้องเทใจให้จริงๆ  

“มานั่งกินข้าวบ้านเพื่อน” คือคอนเซ็ปต์ที่เชฟอ้น ปฐพี แห่งร้านเลเลฟอง (L'éléphant) ร้านอาหารฝรั่งเศสระดับท็อปลิสต์ของเชียงใหม่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงอาหารฝรั่งเศสได้โดยไม่รู้สึกอึดอัดใจ     ชื่อร้าน “เลเลฟอง” เป็นภาษาฝรั่งเศสหมายถึงช้าง ซึ่งเราจะเห็นได้จากรูปทรงอาคารด้านนอกที่เป็นรูปช้างตัวใหญ่ (การเดินเข้ามาด้านในจึงเหมือนการเดินลอดใต้ท้องช้างไปในตัว) เดิมทีพื้นที่ของร้านเคยเป็นอาร์ตแกลอรีมาก่อน ทุกพื้นที่ด้านในจึงมีกลิ่นอายของงานศิลปะซึ่งช่วยเพิ่มความสุนทรีย์ในมื้ออาหารได้ดีเยี่ยม       เชฟอ้นบอกกับเราว่าโชคดีที่อยู่เชียงใหม่ นอกจากวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศแล้ว เชฟยังเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นที่มีความสดใหม่ อาทิ ผักตามฤดูกาลจากโครงการหลวง มาปรุงแบบสดใหม่ทุกจาน     เริ่มด้วยจานเรียกน้ำย่อย L'éléphant Salmon Gravlax ปลาแซลมอนหมักกับเกลือ น้ำตาล ไวน์ขาว และผักชีลาว จัดวางให้เหมือนดอกกุหลาบดอกโต กินกับซอสฮอร์สราดิช กินแล้วกระตุ้นต่อมอยากอาหารได้ดีเยี่ยม ตามด้วย Seasonal Fish ปลาตามฤดูกาล ครั้งนี้เราได้ชิมปลากะพงขาวจากภาคใต้เนื้อนุ่มเบา เชฟย่างแล้วเพิ่มกลิ่นหอมด้วยทาร์รากอน กินกับซอสที่ทำจากไวน์ขาว เนย และเลมอน       ตามด้วย Truffle Cream Soup in Puff Pastry ซุปแบล็กทรัฟเฟิลในพัฟอบกรอบ (เชฟใช้ทรัฟเฟิลตามฤดูกาล) เราชอบที่ซุปมีความครีมมี่และกลิ่นหอมจรุงใจกินกับพัฟกรอบๆ แล้วดีงาม ขาดไม่ได้สำหรับ Ox Tongue Stew สตูลิ้นวัวสายพันธุ์ชาร์โรเลส์ตุ๋นในไวน์แดงนาน 6-8 ชั่วโมงที่ทั้งนุ่มหอม กินง่าย และสัมผัสได้ถึงซอสไวน์แดงที่แทรกอยู่ในลิ้นวัวทุกคำ       ปิดท้ายด้วยของหวาน Mango & Butterfly Pea Panna Cotta สีสวยจากมะม่วงตามฤดูกาล ดอกอัญชัน และท็อปด้วยซอสลาเวนเดอร์มิกซ์เบอร์รี่ให้อารมณ์ฝรั่งเศสเบาๆ      

ตั้งแต่เมืองไทยประกาศแจกดาวมิชลิน ร้านอาหารชื่อดังและเชฟฝีมือดีจากทั่วโลกต่างทยอยเข้ามาเปิดร้านในบ้านเรา รวมทั้ง Chef’s Table Bangkok ร้านอาหารฝรั่งเศสไฟน์ไดนิ่งนำทีมโดยเชฟมิชลินสตาร์ Vincent Thierry ที่เปิดร้านยังไม่ครบปีแต่ก็คว้าดาว 1 ดวงมาครอบครองได้เรียบร้อยแล้ว       เชฟเทเบิ้ลแบงคอก ร้านใหม่บนชั้น 61 ของโรงแรมเลอบัว แอท สเตท ทาวเวอร์ สีลม จะทำให้คุณใจเต้นตั้งแต่ก้าวแรก เพราะทั้งวิวสวยๆ ของกรุงเทพ และการได้ประจันหน้ากับครัวเปิดที่มีเตาบนเคาท์เตอร์หินอ่อนขนาดใหญ่อยู่กลางร้านดูหรูหรา ให้คุณได้เห็นทีมเชฟปรุงอาหารกันสดๆ ตรงหน้า       หัวหน้าเชฟของร้านนี้คือเชฟวินเซนต์ชาวฝรั่งเศสถือเป็นเชฟมีฝีมือในวงการเพราะเขาเคยทำงานในร้านอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินทั้งที่ปารีสและฮ่องกงมาแล้ว จึงเชื่อมือได้ว่าอาหารสไตล์คลาสสิคฝรั่งเศสของเขาจะกระตุ้นต่อมรับรสของคุณได้แน่ ตอนนี้เขาเสิร์ฟเชฟเทสติ้งเมนู 7 คอร์ส แต่ละคอร์สมีตัวเลือก 2 อย่าง ที่เราได้ลองคือ King Crab Tiramisu เนื้อปูคิงแครปรสหวานเนื้อแน่นเสิร์ฟกับผลไม้อย่างมะม่วง มะละกอ ซอสพริกหวานสีส้ม Piquillos จากประเทศสเปน สลับกับสีขาวจากครีมทีรามิสุ เชฟตกแต่งจานมาสวยงามอย่างมีศิลปะ เป็นจานเรียกน้ำย่อยที่สดชื่นเริ่มต้นมื้อได้ดี     John Dory, Caviar Impérial de Sologne ปลาจอนดอรี่โพชเนื้อนุ่มรสเค็มอ่อนๆ กับหอยหลอดและคาร์เวียร์ เสิร์ฟพร้อมวอเตอร์เครสซอสสีเขียวเข้มรสมัน ตัดรสเปรี้ยวด้วยมะนาวหั่นชิ้นเล็ก     Duo of Challans Duck จานนี้เสิร์ฟเป็ดชาลลองจากฝรั่งเศสใน 2 สไตล์คือ เนื้ออกเป็ดเซียร์และอบ เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟกับซอสที่เคี่ยวจากกระดูกเป็ดรสเข้มข้นหวานอมเปรี้ยว คู่มากับอาร์ติโชคบดและย่าง ซอสและโฟมทำจากเสจให้กลิ่นหอม อีกแบบคือขาเป็ดกงฟี เนื้อนุ่ม รสเค็ม มีกลิ่นหอมชวนกิน     สุดท้าย Black Beer Biscuit and Chocolate Ganache ความอร่อยที่ผสานกันของซอฟท์ช็อกโกแลตบิสกิต ช็อกโกแลตกานาช คาราเมลซอสที่อินฟิวส์ด้วยชาไทย และไอศกรีมช็อกโกแลตซอเบท์ ได้รสทั้งหวานเค็มผสมกัน มีรสของชาไทยที่ให้ทั้งกลิ่นหอมและตัดเลี่ยนได้ดี     สรุปได้ว่าทุกจานอร่อยสมรางวัล

เมื่อนึกถึงขนมปังสูตรต้นตำรับฝรั่งเศสแล้วล่ะก็ หลายคนคงนึกถึงร้านเด่นร้านดังในกรุงเทพฯ แต่ความจริงแล้วเชียงใหม่ก็เป็นที่ตั้งของร้านขนมปังสไตล์ฝรั่งเศสอย่าง Chez Nous ที่ชาวเชียงใหม่รักกันสุดหัวใจ     “เชนู” (Chez Nous) มาจากภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า “บ้านเรา” ซึ่งเกิดจากความตั้งใจของ คุณไหม - ปิยะกมล วาณิชย์มงคล ที่ต้องการให้ที่นี่เป็นเสมือนบ้านสไตล์คันทรี่ในชนบทของประเทศฝรั่งเศสที่แวดล้อมไปด้วยบรรยากาศอันแสนอบอุ่นและเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอบอวลของขนมปังอบสดใหม่สูตรต้นตำรับ จากวิธีการทำที่พิถีพิถัน ร่วมด้วยวัตถุดิบที่อิมพอร์ตมาจากฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็น แป้ง เนย อัลมอนด์ ไปจนถึงช็อกโกแลต       เริ่มกันด้วย Thousand Layers Croissant ครัวซองต์พันชั้นสูตรซิกเนเจอร์ที่โดดเด่นด้วยความกรอบนอกนุ่มในสอดแทรกรสชาติหอมหวานมันและละมุนในทุกๆ คำ จากชั้นแป้งบางๆ ที่เรียงซ้อนเป็นชั้นสวย ต่อด้วย Almond Croissant ครัวซองต์อัลมอนด์ที่ต้องรีบจับจองกันตั้งแต่ตอนเช้าๆ เพราะหมดกันตั้งแต่หัววัน ซึ่งความอร่อยคงต้องยกให้กับไส้ครีมอัลมอนด์เนื้อนุ่มที่ผสานกับความกรุบกรอบของอัลมอนด์สไลซ์ได้อย่างลงตัว       ถ้าใครอยากลองขนมหายากก็ต้องลอง Kouignamann หรือ ควิน-ยา-มาน ขนมฝรั่งเศสโบราณจากแคว้นบริตตานีย์ที่พกพาจุดเด่นความเข้มข้นหวานมันของแป้งพัฟกรอบนอกนุ่มในที่ซุกซ่อนความชุ่มฉ่ำของเนยและคาราเมลอย่างเต็มพิกัด     แต่ถ้ายังไม่จุใจก็ยังมีเมนูบรันช์ง่ายๆ ให้เลือกชิมอย่าง Wholewheat Breadbowl ที่ทำเก๋ด้วยการนำขนมปังโฮลวีทโฮมเมดทรงหัวกะโหลกมาคว้านไส้ออกทำเป็นชาม ก่อนจะเติมความอร่อยของปลาแซลมอนรมควันคลุกเคล้าด้วยซอสทาร์ทาร์รสอมเปรี้ยว โรยหน้าอีกนิดด้วยชีสและไข่แดงแล้วนำไปอบ เสิร์ฟร้อนๆ พร้อมสลัดผักเพิ่มความสดชื่น     แล้วปิดท้ายกับ Chef Dark Chocolate 64 %  เครื่องดื่มสุดเข้มข้นโดดเด่นด้วยความอร่อยของช็อกโกแลตนำเข้าจากฝรั่งเศสที่มีให้เลือกทั้งแบบร้อนและแบบเย็น แน่นอนว่านอกจากความเข้มข้นยังพกพารสชาติหอมมันหวานน้อย ช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ต้องถูกใจอย่างแน่นอน     บอกเลยว่าไม่ลองไม่ได้  

 “ไอวี่ 47” ร้านอาหารและบาร์ร่วมสมัยเสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสเจือกลิ่นอายเอเชียเล็กๆ ในบรรยากาศของบ้านสองชั้นทันสมัย อบอุ่น แฝงด้วยความเรียบหรู ตกแต่งภายในเน้นความชิคเท่สีดำและน้ำตาล มีครัวเปิดกลมกลืนไปกับสวนสวยและต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวชอุ่ม เจ้าของร้านคือสองนักฟุตบอลมืออาชีพชื่อดังขวัญใจชาวไทยที่รักในอาหารอย่างแซม นอร์ดีน (Sam Nordine) และทริสตอง โด (Tristan Do) ลูกครึ่งไทยฝรั่งเศสตำแหน่งกองหลังฝั่งขวาให้กับสโมสรฟุตบอลทีมทรู แบงค็อก ยูไนเต็ดและยังเป็นผู้เล่นทีมชาติไทยอีกด้วย         เริ่มต้นมื้อด้วยเมนูยอดนิยมของร้านอย่าง Salmon Tartar ที่ใช้สก็อตติชแซลมอนสดเนื้อสีแดงส้มหั่นชิ้นเล็ก เคล้ากับเดรสซิ่งที่ทำจากพอนสึยูสุและทรัฟเฟิล รสเปรี้ยวเค็มและมีกลิ่นหอม เพิ่มลูกเล่นด้วยเจลลี่พอนสึยูสุรสเค็มเปรี้ยว และเจลลี่แอปเปิ้ลรสหวานสดชื่น กินกับกัวกาโมเล่รสมัน ท๊อปด้วยไข่ปลาแซมอลและโทบิโกะดูแวววาวสวยงาม     จานต่อมาคือ Scallops หอยเชลล์ฮอกไกโดตัวใหญ่ย่างกระทะ เสิร์ฟกับแก่นตะวันสโลว์คุกกับโชริโซ่ไส้กรอกรสเผ็ดจากสเปน ท๊อปด้วยโฟมโชริโซ่กลิ่นหอมสโมค จานนี้ได้รสหวานเค็มเผ็ดลงตัว ต่อด้วยจานปลาคือ Lemon Sole ปลาตาเดียวอบด้วยไฟอ่อนทำให้ได้เนื้อนุ่มรสหวาน หอมกลิ่นเนย เสิร์ฟกับดอกกะหล่ำริซอตโตใส่ไวน์ขาว ท๊อปด้วยโฟมมิโสะวาซาบิไวน์ขาวที่มีกลิ่นหอมและรสเค็มนิดๆ       มาถึงจานหลักเราลองชิม Beef Rib Eye เนื้อแองกัสออสเตรเลีย 270 วัน นำมาบ่มไว้ 30 วัน เพื่อดึงรสชาติของเนื้อให้เข้มข้นขึ้น ย่างสุกปานกลางเนื้อนุ่มฉ่ำ เสิร์ฟกับกระเทียมกงฟีในน้ำมันเนื้อนุ่มๆ มันฝรั่งบดทรัฟเฟิลกลิ่นหอม และซอสพริกไทยที่ถูกปากคนไทย     มาถึงของหวานที่ห้ามพลาดเลยคือ Brunt Cheesecake ชีสเค้กอบจนหน้าไหม้เป็นสีน้ำตาลเข้มแต่กลับทำให้มีกลิ่นหอมมากขึ้นและมีรสขมนิดๆ ช่วยตัดเลี่ยนของชีสเค้กได้ดี เสิร์ฟพร้อมซอสเบอร์รีและวิปครีม อีกจานคือ Melon Bergamot เมลอนหั่นเต๋าแช่ในน้ำดอกเอลเดอร์กลิ่นหอมหวาน เมอร์แรงค์สีเขียวอ่อนแผ่นบางกรอบรสเปรี้ยวทำจากมะนาวและผิวเลมอน กับไอศกรีมกรีกโยเกิร์ตน้ำผึ้งป่ารสเปรี้ยวหวานหอมสดชื่น       เริ่มต้นและจบมื้อได้ดีจริงๆ  

หากใครมองหาร้านคาเฟ่บรรยากาศเรียบหรู พร้อมชาดีๆ และอาหารอร่อยสักที่ เราขอแนะนำ “Maison d’olivia”  ร้านอาหารบรรยากาศสุดหวาน อบอวลไปด้วยกลิ่นอายสไตล์ฝรั่งเศส พร้อมด้วยหมู่มวลดอกไม้โทนชมพูที่จะมาเพิ่มดีกรีความน่ารักให้สาวกคาเฟ่ได้ประทับใจ พร้อมปักหมุดเป็นแหล่งแฮงเอาต์ใหม่ได้ไม่ยาก       เมื่อเข้ามาในร้าน เราจะพบกับผนัง  โซฟา และเก้าอี้โทนชมพูขาว พร้อมด้วยโต๊ะไม้หินอ่อน สร้างความหวานตั้งแต่แรกเห็น อีกทั้งดอกไม้หลากสีปักสลับกันตามแนวผนังให้ร้านมีความสดชื่นมากยิ่งขึ้น ในส่วนของเคาน์เตอร์บาร์ ร้านเลือกนำแก้วและกาน้ำชาลายดอกกุหลาบวางเรียงสวยสะดุดตา คุมโทนคาเฟ่สไตล์ฝรั่งเศสแบบหวานๆ ได้เป็นอย่างดี         เมื่อเมนูซิกเนเจอร์ของร้านคือชา  ร้านจึงต้อนรับเราด้วยชุดน้ำชา “Olivia Tea Set” เราเลือก Rose Tea และเค้ก Red Velvet Cream Cheese Cake ชากุหลาบหอมๆ ทานคู่กับชีสเค้กเรดเวลเวตเนื้อนุ่มหวานกำลังดี  เป็นเมนูจิบน้ำชายามบ่ายที่สาวๆ ทั้งหลายไม่ควรพลาด         ต่อด้วยเมนูซุปขายดีที่สาวกทรัฟเฟิลไม่ควรพลาด “Mushroom Truffle Cream” ซุปเห็ดทรัฟเฟิลชั้นดี ที่นำเอาน้ำมันทรัฟเฟิลผสมผสานกับเนื้อเห็ดทรัฟเฟิลบด กลายเป็นซุปครีมข้นๆ ที่หอมกรุ่นทรัลเฟิลทุกคำ       ในส่วนของอาหารจานหลักเป็น “Wagyu Steak” สเต็กวากิวเนื้อนุ่มแบบมีเดียมแรร์ เสิร์ฟเคียงข้างสปาเก็ตตี้ผัดพริกแห้งรสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทย       ปิดท้ายด้วยเมนูสุดเก๋ของร้านอย่าง “Signature Mocktail” ม็อคเทลสูตรพิเศษที่มีกลิ่นหอมของลิ้นจี่ กุหลาบ และเชอร์รีบลอสซั่ม เติมความสดชื่นปิดท้ายมื้ออาหารด้วยความประทับใจ  

Brioche from heaven บ้านอิฐสีแดงข้างบันไดรถไฟฟ้าช่องนนทรีประตูทางออกหมายเลข 4 นี้เองที่ทำให้ย่านสาทรดูจะคึกคักเป็นพิเศษ ร้านขนมปังออริจินัลจากแคว้นนอร์มังดีแห่งนี้เกิดจากความตั้งใจของ เชฟไก่ ธนัญญา ไข่แก้ว เชฟกระทะเหล็กอาหารหวาน ที่อยากให้ลูกค้ามีความสุขจากสิ่งที่เสิร์ฟ โดยเลือกใช้แต่วัตถุดิบชั้นเยี่ยม อาทิ แป้ง กาแฟ นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส เนยผลิตจากแคว้นนอร์มังดี ที่ใช้เสิร์ฟในราชสำนัก เพื่อเก็บรสชาติขนมต้นตำรับไว้ไม่ให้เลือนหาย         ภายในร้านตกแต่งด้วยก้อนอิฐสีแดง และท่อนไม้ฟืน ให้กลิ่นอายราวกับคาเฟ่สมัยก่อนในฝรั่งเศสอย่างไรอย่างนั้น  มีขนมปังอบสดจากเตาเรียงรายไว้เป็นระเบียบ เพียงก้าวแรกที่เข้ามาจะได้กลิ่นขนมปังอบสดใหม่ หอมกรุ่นชวนให้ท้องร้อง ชวนอยากลิ้มลองสักคำ           เริ่มต้นที่ซิกเนเจอร์ Brioche from heaven เมนูดาวเด่น บริยอชเนื้อนุ่มชุ่มเนย เพิ่มรสชาติหอมหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำตาลทรายแดง และซินนามอน บวกกับความกรุบกรอบของพีแคน และความหวานจากคาราเมล เป็นรสชาติที่ฟินไม่รู้ลืม         ไอศกรีมเลิฟเวอร์ต้องลอง Affogato from heaven เมนูฮอตฮิตซิกเนเจอร์อีกหนึ่งเมนู ไอศกรีมแมคคาเดเมีย ท็อปด้วยแมคคาเดเมียเคลือบคาราเมล ยิ่งเคี้ยวยิ่งเพลิน กินคู่กับขนมปังเลดี้ฟิงเกอร์ให้ความกรุบกรอบ และกาแฟเอสเพรสโซร้อน เวลากินให้ราดกาแฟลงบนไอศกรีม รสเข้มตัดหวาน หอมกรุ่นละมุนอยู่ในปาก ลงตัวทุกสัมผัส     Strawberry milkshake สตรอว์เบอร์รีสด ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี นมสด และน้ำเชื่อมเล็กน้อย ปั่นรวมกันจนเป็นเนื้อนวลเนียน ท็อปด้วยวิปครีมนุ่มละมุนลิ้น ได้มิลค์เชครสเปรี้ยวหวาน เข้มข้น สดชื่นถูกใจสายหวาน บอกเลยแก้วนี้อร่อยหมดจนหยดสุดท้าย    

“เดอะ บราซเซอรี” ห้องอาหารหลักประจำโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok ตั้งอยู่บนถนนราชดำริ เสิร์ฟอาหารสไตล์ฝรั่งเศสต้นตำรับ เน้นการใช้วัตถุดิบคุณภาพดีเยี่ยมของท้องถิ่นมาผสมผสานกับเทคนิคการปรุงอาหารแบบดั้งเดิม กลายเป็นรสชาติอาหารสุดอร่อยที่ใครได้มากินแล้วประทับใจไปตามๆ กัน     ถึงแม้จะเป็นห้องอาหารภายในโรงแรม แต่การตกแต่งสวยงามก็ไม่แพ้ใคร ซึ่งที่นี้ได้รับการออกแบบโดยมัณฑนากรชื่อดังชาวฮ่องกง คุณอังเดร ฟู ด้วยการออกแบบให้ห้องอาหารมีทางเข้าสองด้านมาบรรจบกันเป็นวงกลม ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบผ่านผนังกระจก ทางเข้าด้านขวามีอุโมงค์สูงกว่า 4 เมตรประดับด้วยหินอ่อนเชื่อมทั้งสองด้านเข้าหากัน ซึ่งอุโมงค์หินอ่อนนี้มีความคล้ายกับพื้นที่บางส่วนของโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย นิวยอร์ก สาขาแรกแรกในโลกที่เป็นต้นแบบของแบรนด์อีกด้วย       บริเวณด้านหน้าเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่นหรูหราสไตล์ฝรั่งเศส ตกแต่งด้วยกระจก หินอ่อน โดดเด่นด้วยเคาน์เตอร์บาร์สีควันบุหรี่ตัดขอบทองเหลือง ส่วนภายในห้องอาหารถูกตกแต่งด้วยหินอ่อนเช่นกัน ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบายตา โต๊ะอาหารไม้สีเข้มเข้ากันได้ดีกับเก้าอี้ และโซฟาหนัง พร้อมครัวเคาน์เตอร์บาร์แบบเปิด ให้เราได้เห็นเชฟรังสรรค์อาหารในมุมต่างๆ อีกด้วย         ห้องอาหาร “เดอะ บราซเซอรี” อยู่ภายใต้การดูแลของ เชฟ ชลิต กอบัวแก้ว หรือเชฟท๊อดดี้ เชฟมากประสบการณ์ผู้เคยมีโอกาสร่วมงานกับเชฟชื่อดังจากทั่วโลกมาแล้วมากมาย เราเริ่มต้นมื้อนี้ด้วยเมนูเรียกน้ำย่อย Baked Camembert ขนมปังกริลล์จนกรอบกำลังดี กินคู่กับชีส ตัดรสชาติด้วยแยมและน้ำผึ้งหอมๆ     ต่อกันด้วยเมนูไซส์ใหญ่ที่สามารถกินได้ทั้งครอบครัวอย่าง Seafood Plateau อาหารทะเลสดๆ เสิร์ฟแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น หอยเชลล์ฮอกไกโด, หอยนางรม, กุ้งแม่น้ำ,  เนื้อปูอลาสก้า, ล้อบสเตอร์, ปลาหมึกยักษ์ และแซลมอน ทาร์ทาร์ เคียงคู่มากับน้ำจิ้ม 3 แบบ อาหารทะเลสด รสหวาน ทานแล้วสดชื่น       เข้าสู่เมนคอร์สสไตล์ฝรั่งเศสจานแรกด้วย Seared Foie Gras ฟัวกราส์ย่างมานุ่มกำลังดี เสิร์ฟพร้อมแอปเปิ้ลบด และซอสบัลซามิคหอมกลิ่นองุ่น ตามมาด้วย Pan-seared Halibut Provençale ปลาฮาลิบัตรเนื้อเนียน นำไปเซียจนได้ที่ เคียงคู่มากับกราแตงมันฝรั่งอบด้วยชีสเนื้อเนียน กินกับซอสสูตรพิเศษของทางร้าน        ปิดท้ายของคาวด้วย Grilled Australian Rack of Lamb แกะเนื้อนุ่มชิ้นใหญ่ เสิร์ฟมาบนกะหล่ำปลีแดง ทานคู่กับแบล็คการ์ลิคและซอสบัลซามิค ชูรสชาติเนื้อแกะให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น     นอกจากจะโดดเด่นเรื่องอาหารแล้ว ที่นี่ยังมีบาร์เล็กๆ ไว้สำหรับสั่งดริงค์มาดื่มแบบเก๋ๆ เริ่มจาก Homemade Lemonade น้ำมะนาวรสชาติเข้มข้น คั้นแบบสดๆ ทานแล้วสดชื่น และ Pickwick club น้ำเสาวรสรสชาติจี๊ดจ๊าด หอมกลิ่นสมุนไพร ปิดท้ายมื้ออร่อยสุดประทับใจได้อย่างลงตัว        

หากกำลังมองหามุมพักผ่อนที่ตอบโจทย์ทั้งบรรยากาศและขนมอร่อย แนะนำ The Tea House กลาสเฮาส์ขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และของสะสมเก่าหายากสไตล์วินเทจ ประดับโคมไฟเหล็กดัดห้อยระย้ารูปทรงแปลกตาและสัตว์สตัฟฟ์น้อยใหญ่ เหมาะกับการแวะมานั่งชิลถ่ายรูปเก๋ๆ ภายในร้านยังหอมอบอวลไปด้วยเบเกอรี่อบใหม่สไตล์ฝรั่งเศสและชาแบรนด์ดังอย่าง Mariage Freres           แนะนำ The High Tea Set ชุดน้ำชาที่มาพร้อมขนมชวนกินหลากชนิด อาทิ เค้ก มาการอง พาย มินิพาร์มิเย่ ครัวซองต์ ชุดนี้ชวนเพื่อนมานั่งชิล 3-4 คนกำลังดี             หากร่างกายต้องการของคาวที่ไม่หนักท้องจนเกินไปแนะนำ Serrano Ham Salad with Balsamic Sauce ผักสลัดสีเขียวตัดกับมะเขือเทศแดงเหลืองคลุกเคล้ากับแฮมรสชาติเค็มมัน ราดด้วยน้ำสลัดบัลซามิกรสเปรี้ยวอมหวานนิดๆ  อิ่มเบาๆ สบายท้อง       นอกจากนี้ทางร้านยังมีเมนูบรันช์แนวอิตาเลียนให้เลือกอีกมากมาย เรียกว่าคาวหวานครบจบในที่เดียว  

ช่วงนี้สวีตเลิฟเวอร์คงได้คึกคักกันเป็นพิเศษ เพราะมีขนมหวานหลายร้านที่พาเหรดกันมาให้เลือกชิม เช่นเดียวกับ Chez Shibata 365 สาขาล่าสุดของร้านดัง Chez Shibata จากเมืองทาจิมะที่ขยายสาขาความอร่อยทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง จนมาถึงบ้านเราก็ที่ประจำการเป็นโรงแรมน้องใหม่อย่าง Hotel Nikko Bangkok     สำหรับสาขาแรกที่กรุงเทพฯ แน่นอนว่ายังคงความอร่อยตามต้นตำรับ เชฟทาเคชิ ชิบาตะ ที่ต้องการนำเสนอขนมหวานซึ่งสวยงามตามตำรับฝรั่งเศส แต่ได้เพิ่มความประณีตและเสน่ห์ของรสชาติตามแบบฉบับญี่ปุ่นลงไป และถ้าสังเกตให้ดีสาขานี้เราจะเจอกับเลข 365 เพื่อเป็นการสื่อว่าทุกคนจะได้สัมผัสกับความอร่อยในทุกๆ วัน อันเกิดจากการพัฒนาสูตรให้ถูกปากคนไทย ร่วมด้วยบรรยากาศที่ทำให้เราตกหลุมรัก       เริ่มด้วย Chocolate Signature (265 บาท) เค้กช็อกโกแลตสูตรซิกเนเจอร์เนื้อแวววับที่แฝงนุ่มหนึบหอมหวานแถมยังซ่อนเปรี้ยวจากการซุกซ่อนรายละเอียดส่วนผสมไว้ข้างในกว่า 10 อย่าง อาทิ ช็อกโกแลตมูส เค้กวานิลลา พิสตาชิโอครีม แยมราสป์เบอร์รี พราลีนเฮเซลนัต และครัมเบิลกรุบกรอบ     ต่อด้วย Caramel High (135 บาท) เอแคลร์คาราเมลสูตรเด็ดซึ่งเหมือนที่ญี่ปุ่นเป๊ะๆ ชูโรงด้วยความอร่อยของแป้งบางๆ สอดไส้คาราเมลคัสตาร์ดครีมนุ่มๆ บนหน้ามีเนยฝรั่งเศสที่เติมรสชาติความหอมมัน ก่อนตัดรสด้วยเกลือหิมาลายัน     สำหรับคนรักชาเขียวก็ต้อง Matcha Opera (245 บาท) ซึ่งดัดแปลงโอเปราเค้กที่คุ้นเคยกันให้เต็มปากเต็มคำด้วยรสชาติของมัตฉะ โดยมีเจลลีส้มและดาร์กช็อกโกแลตกานาจมาตัดรส หรือจะลอง Mont Blanc (240 บาท) เค้กภูเขาเกาลัดสุดโด่งดังที่หวานละมุนด้วยครีมเกาลัดเนื้อเนียนผสมกับวิปครีมช็อกโกแลตขาวที่อยู่ข้างใน ส่วนฐานด้านล่างยังมีมูสและเค้กช็อกโกแลตร่วมด้วยอัลมอนด์ครีมมาเติมความหอมอีกด้วย       แต่ถ้าชอบรสชาติสดชื่นต้องห้ามพลาด Yuzu Tart (190 บาท) เมนูใหม่ขวัญใจคนไทยที่จัดเต็มความเปรี้ยวหอมของส้มยูซุเน้นๆ ทั้งในรูปแบบเจลลี ครีม และเนื้อส้มที่เข้าคู่กับเปลือกทาร์ตกรอบๆ ได้ลงตัวอย่างที่สุด  

ถ้าถามว่าในช่วงครึ่งปีแรกร้านขนมร้านไหนที่มาแรงที่สุด คงต้องยกตำแหน่งให้กับ ICI (อ่านว่า อิซิ) อย่างไม่มีข้อแม้ เพราะถึงตอนนี้เราก็ยังขอแนะนำว่าให้ยกหูหรือส่งข้อความมาจองล่วงหน้ากันก่อน     ยิ่งพอได้รู้ว่า เชฟเปเปอร์ อริสรา จงพาณิช เชฟขนมหวานคนเก่งแห่ง Issaya Siamese Club คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความอร่อยเราก็หายสงสัย แต่ที่น่าประทับใจยิ่งกว่าก็คือ อีกด้านหนึ่งของเชฟคนเก่งยังเป็นศิลปินที่ชื่นชอบความน่ารักของสีสันและลวดลาย ซึ่งสิ่งเหล่านั้นได้สะท้อนผ่านลายกราฟฟิครอบๆ ร้าน และหน้าตาขนมที่ชวนให้หยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพประทับใจ       เริ่มกันด้วย Monsieur Religieux ขนมตัวเอกที่แม้แต่โมนาลิซ่าประจำร้านยังต้องถือไว้ในมือ ซึ่งความน่ารักเกิดจากการนำชูว์ครีม 2 ชิ้น 2 ขนาดเรียงต่อกัน ก่อนจะสวมด้วยหมวกช็อกโกแลตปีกกว้างจนเหมือนซินญอร์ที่ภายในมีความอร่อยของครีมคาราเมลมาสคาโปน วานิลลา และซอสบัตเตอร์สกอตช์     ตามด้วย Blue Berry Balloon ชีสเค้กเนื้อนุ่มที่ถูกปรุงแต่งให้เหมือนลูกโป่งสีม่วงแวบวับที่ซุกซ่อนครีมเลมอนเนื้อเนียนและบลูเบอร์รี่ปั่นละเอียดรสหวานอมเปรี้ยวไว้ภายใน แถมข้างใต้ยังมีบิสกิตกรุบกรอบให้เคี้ยวเพลินๆ อีกด้วย     ส่วนจานเด็ดยกขอยกให้ Star Fish โดดเด่นด้วยมูสมาสคาโปนรสวานิลลาและกาแฟทำเป็นรูปดาวที่สอดแทรกความหวานอมเปรี้ยวของสับปะรดภูเก็ตกวนมาตัดรส ตกแต่งด้วยมะม่วงหิมพานต์บดละเอียดอีกนิด โฟมขิงพ่วงด้วยเจลลี่มะพร้าวอีกหน่อย พอกินรวมกันจะได้รสสัมผัสใหม่ที่เข้ากันและอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ     สำหรับคนรักมาการองก็ห้ามพลาดเลย เพราะที่นี่มีมาการรองหลากสีและรสชาติให้เลือกชิม รสที่เรารักขอยกให้กับ Salted Egg รสครีมไข่เค็มที่แฝงความเข้มข้นของไข่แดงได้อย่างเหมาะเจาะ เช่นเดียวกับหน้าตาที่เหมือนกับไข่เค็มผ่าครึ่งซีก หรือจะเป็น Raspberry Cheesecake มาการองแป้งบางกรอบนุ่มที่โดดเด่นด้วยครีมชีสรสนวลๆ และเปรี้ยวด้วยแยมราสป์เบอร์รี่ และ Peanut Butter มาการองรสเนยถั่วที่แอบน่ารักด้วยเพรซเซลรสเค็มชิ้นเล็กๆ มาให้ตัดรส     แล้วอย่าลืมปิดท้ายด้วย Butterscotch Milk นมบัตเตอร์สกอตช์รสละมุนที่ได้ไอศกรีมข้าวโพดที่หน้าตาและรสชาติเหมือนข้าวโพดอย่างกับจับวาง ห้ามพลาดเชียวล่ะ!  

ใครชอบกินเนื้อไม่ว่าร้านเนื้อเด็ดๆ จะอยู่ที่ไหนจะต้องตามไปเช็คอินแน่นอน หากพูดถึงร้านสเต็กเฮ้าส์ในโรงแรม แน่นอนว่าต้องมีชื่อ “New york Steakhouse” ของโรงแรมเจดับบลิวแมริออท กรุงเทพ รวมอยู่ด้วย     กว่า 16 ปีที่เปิดให้บริการ ร้านนี้ยังคงครองใจคนที่ชื่นชอบสเต็กอยู่เสมอ เพราะที่นี่ขึ้นชื่อการเสิร์ฟเมนูสไตล์คลาสสิค เนื้อสเต็กชิ้นใหญ่ๆ ซอสรสชาติที่คุ้นลิ้น และการบริการที่ไม่เป็นรองใคร ทำให้มีลูกค้าทั้งครอบครัว กลุ่มเพื่อนและนักธุรกิจเป็นลูกค้าขาประจำ     ภายในร้านบรรยากาศสุดคลาสสิค ผ้าปูโต๊ะสีขาวสะอาด เก้าอี้หนังตัวใหญ่นั่งสบาย พร้อมการตกแต่งภาพของเมืองนิวยอร์คแขวนอยู่เต็มไปหมด G&C ไปเยือนที่นี่เมื่อนานมาแล้วยังคงจดจำเนื้อสเต็กชิ้นหนาที่ย่างมาสุกแบบกำลังดีได้แบบติดลิ้น ครั้งนี้เราของลองชิมเมนูไฮไลท์ที่เรียกยอดไลค์ของที่นี่ คือ Spice Rubbed Wagyu Tomahawk ออสเตรเลียวากิวโทมาฮอว์คเนื้อติดซี่โครงชิ้นโตหนักกว่า 1.5 กิโลกรัม ย่างสุกแบบปานกลางและมาหั่นเสิร์ฟที่โต๊ะ เนื้อมีกลิ่นหอม นุ่ม เคี้ยวเพลิน เหมาะสำหรับคนที่ชอบเนื้อย่างหอมๆ เต็มปากเต็มคำ แชร์กันหลายคนได้อร่อย       ใครชอบสเต็กจากอเมริกาอย่าง U.S. Prime Beef ที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ก็มีให้เลือกสั่งหรือจะลองเมนูคลาสสิคอื่นๆ อย่าง Escargots อบเนยกระเทียม Snow Fish Black Pepper Crusted ปลาหิมะอบเนื้อนุ่มหวาน French Onion Soup ซุปหอมหัวใหญ่         และสุดท้ายก่อนกลับบ้านต้องสั่ง The Chocolate Dream เค้กช็อคโกแลตลาวาอุ่นๆ นุ่มๆ กับเบอร์รีคอมโพตไวน์แดงรสเปรี้ยวหวาน ท๊อปด้วยไอศกรีมวนิลาเย็นๆ แสนจะเข้ากัน     จบมื้อแล้วเก็บไปฝันหวานต่อได้

หรูหราอีกระดับกับคาเฟ่บรรยากาศสวนสวยสไตล์อังกฤษที่หลายคนที่นิยมมานั่งพักผ่อน เพราะร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยบวกกับเมนูขนมสไตล์ฝรั่งเศสและเครื่องดื่มรสชาติดีที่ทางร้านครีเอทมาเป็นพิเศษก็ยิ่งดึงดูดสายหวานให้โคจรมาพบกันอย่างคึกคัก แม้ขนมจะเน้นสไตล์ฝรั่งเศสแต่ปรับสูตรให้เข้ากับลิ้นของคนไทย รสชาติไม่หวานมากและทำสดใหม่ทุกวัน         ฮอตสุดยกให้ Signature Chocolate Drink ช็อกโกแลตเข้มข้นผสานนมสดแท้ เติมไซรัปเล็กน้อยรสชาติไม่หวานมากดื่มแล้วสดชื่นเหมาะกับฤดูร้อนทีเดียว         อีกเมนูมาแรงของร้าน Matcha Bomb ดื่มด่ำกับครีมชาเขียวเข้มข้นลูกโตที่ละลายในนมสดอย่างช้าๆ เปลี่ยนความขมติดปลายลิ้นสู่ความหวานฉ่ำและหอมมัน ดื่มละมุนลิ้นจนหยดสุดท้าย       สำหรับเมนูของหวานห้ามพลาด Maracuja เค้กรูปโดมสีเหลืองสดใสได้รสเปรี้ยวอมหวานจากเสาวรสและมูสมะม่วง สัมผัสเนื้อนุ่มละมุนจาก Financier และความหวานกรุบกรอบจากแครกเกอร์อัลมอนด์ แนะนำให้กัดพร้อมกันเพื่อสัมผัสรสชาติที่หลากหลายในคำเดียว  

หลังจากสร้างความอร่อยฉบับแรกที่ร้าน 4 Garcons ไปแล้ว ถึงเวลาที่เชฟแวน อายุษกร จะพาเราไปตีความเรื่องราวแห่งรสชาติในฉบับที่ 2 กับ Second Edition ร้านอาหารแห่งใหม่ในซอยสุขุมวิท 31 ที่เชฟแวนบอกกับเราให้เห็นภาพในทันทีว่าเป็น “โฟกาซงส์ที่ลดอายุลง” และมีบรรยากาศที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ด้วยการดึงสเน่ห์ของยุค Mid-Century ทั้งสีสัน รูปทรงเลขาคณิต ลายเส้น มาใช้เป็นกิมมิกในร้าน รวมถึงวอลเปเปอร์ที่บอกเล่าถึงแฟชั่นในสมัยนั้น       ส่วนเมนูอาหาร ยังเป็นแนวโฮมคุ้กกิ้ง กินง่าย  ซึ่งล้วนได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปในที่ต่างๆ ของเชฟแวน โดยเฉพาะเมนูย่างที่ทำออกมาได้น่าประทับใจ ใช้เตาถ่านให้มีกลิ่นหอม ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลและผักออร์แกนิก เสิร์ฟจานใหญ่เพื่อให้แชร์กันได้       มาถึงแล้วต้องลองให้ได้ Grilled Flat Bread with Tomato,Parma ham,feta cheese and eggs ทีมองเผินๆ หน้าตาเหมือนพิซซ่าถาดโต แต่ที่จริงแล้วคือแป้งขนมปัง รีดให้แบน แล้วนำไปย่าง ท็อปด้วยมะเขือเทศ พาร์มาแฮม เฟตาชีส และไข่เยิ้มๆ แป้งบางกรอบกว่าพิซซ่า กินเพลินๆ ได้หลายชิ้นเลยทีเดียว Grilled Figs in Bacon with Mascapone ลูกฟิกจากราชบุรีห่อด้วยเบคอนย่างจนหอม ด้านล่างเป็นมาสคาโปนครีมชีสราดด้วยซอสเอจบัลซามิกเข้มข้น กินแล้วได้ความหวานอมเปรี้ยวที่เวียนอยู่ในปาก คั่นด้วยด้วย Fennel Salad with Lemon Vinaigrette สลัดผักเฟนเนลกับเลมอนวินิเกรตต์ที่กินแล้วสดชื่นดี       ต่อด้วย Bacon Wrapped Grilled Squid ปลาหมึกกล้วยตัวใหญ่ห่อด้วยเบคอนแล้วนำมาย่าง น้ำมันจากเบคอนจะทำให้ปลาหมึกไม่แห้ง และนุ่ม และมีกลิ่นหอมเพิ่มขึ้น จากนั้นเอาไปผัดกับซอสเบคอนและเวลเปปเปอร์ และอีกเมนูไฮไลต์ Grilled Whole Seabass in Fig Leaves with Chimichurry sauce ส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล จานนี้เชฟทำออกมาดีมาก เนื้อปลาหวาน เบา สุกกำลังดี มีกลิ่นหอมที่ได้จากใบฟิก ส่วนคนรักเนื้ออย่าพลาด Striploin Steak เสต็กเนื้อวากิวไทยดรายเอจ 60 วัน นุ่มชุ่มฉ่ำ และได้รสชาติของเนื้อเต็มคำ         ปิดท้ายมื้อด้วยของหวาน Grilled Pineapple with Vanilla and Caramel Sauce สับปะรดย่างราดซอสคาราเมล เสิร์ฟคู่ไอศกรีมวานิลลา โรยอัลมอนด์บด สับปะรดย่างหวานอมเปรี้ยว เนื้อฉ่ำ อร่อยมาก และ Grilled Peaches with Fresh Raspberry Sauce ลูกพีชย่างซอสราสป์เบอร์รี่ที่ขโมยใจเราไปเต็มๆ  

ใครเป็นแฟนตัวยงของ “Gontran Cherrier” (กงทรอง เชอคีเยร์) ร้านเบเกอรีเลื่องชื่อจากฝรั่งเศสไม่ต้องบินข้ามประเทศกันอีกต่อไป เพราะสาขาแรกในเมืองไทยมาเปิดให้ชิมกันแล้วที่ ชั้น G Singha Complex ในสไตล์ร้านเบเกอรีกึ่งคาเฟ่บรรยากาศสบายน่านั่ง ที่พร้อมเสิร์ฟเมนูเด่น ทั้งอาหารออลเดย์บรันช์ เบเกอรีสไตล์ฝรั่งเศส และเครื่องดื่มนานาชนิด         นอกจากเมนูสุดฮิตอย่าง “ครัวซองต์” โฮมเมดกรอบนอกนุ่มในสูตรเด็ดของเชฟกงทรอง เชอคีเยร์ ที่ใช้เนยสดแท้จากฝรั่งเศส อบสดใหม่ทุกวันและมีให้เลือกชิมหลากรสชาติ อาทิ เพลน, ช็อกโกแลต, ชา, เมเปิลไซรัป, มัตฉะถั่วแดง และอัลมอนด์ช็อกโกแลต จะห้ามพลาดเป็นอันขาดแล้ว       เราแนะนำให้ลองเมนูคอมฟอร์ตฟู้ด ทั้ง Smoked Duck Breast Salad สลัดอกเป็ดรมควันเนื้อนุ่มราดสตรอว์เบอร์รีวินิแกรต มาพร้อมสตรอว์เบอร์รีสด Spaghetti SAI-OUA รสเผ็ดจัดจ้าน กินแกล้มกับแคปหมูกรอบๆ เข้ากันสุดๆ และ Wagyu Beef Burger Black Bun เบอร์เกอร์เนื้อที่มีทีเด็ดอยู่ที่ครีมชีสพาร์เมซานเยิ้มๆ ที่เข้ากับเนื้อวากิวย่างได้อย่างลงตัว         หากยังพอเหลือพิ้นที่ในกระเพาะ อย่าลืมลองสั่งของหวานอย่าง Fresh Lime Cheesecake มูสชีสเข้มข้น ตัดรสชาติด้วยผิวมะนาวสด หรือ Strawberry Cheesecake ที่มาพร้อมสตรอว์เบอร์รีสดลูกโต แล้วปิดท้ายด้วย Strawberry Frappe รสเปรี้ยวหวานเย็นชื่นใจสักแก้วเป็นอันอิ่มพอดีๆ    

ไม่เพียงแค่ความอร่อยของเมนูอาหารนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นไทย จีน ยูโรเปียน และซีฟู้ดที่มีให้เลือกชิมกันละลานตาทั้งแบบบุฟเฟต์และอาลาคาร์ต แต่โซนของหวานและเบเกอรีของห้องอาหาร “Elements” และ “Deli Coffee Shop” โรงแรมพูลแมน ภูเก็ต อาร์คาเดีย หาดในทอน ที่ดูแลโดย “เชฟกิตติศักดิ์” Pastry Chef มากฝีมือยังโดนใจเหล่าเบเกอรีเลิฟเวอร์อีกด้วย       เมนูซิกเนเจอร์ยอดนิยมที่มาแล้วต้องชิมคือ Croissants สไตล์ฝรั่งเศส เนื้อเบาฟู กรอบนอกนุ่มใน ที่ใช้เนยคุณภาพดีให้ความหอมมันกลมกล่อม         หากใครชอบของหวานแบบ Plated Desserts เราแนะนำ Chocolate Mousse เข้มข้น ไม่หวานมาก Panna Cotta เนื้อเนียนละมุนลิ้น และ Crème Brulee หวานมันกำลังดี ที่ทุกเมนูมีส่วนผสมของวิปปิงครีมหอมมันที่ทำเอาเรากินเพลินจนหมดแบบไม่รู้ตัว       สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย

ขอแอบเทใจให้ The Bar Upstairs ไวน์บาร์น้องใหม่ที่อิงแอบอยู่บนชั้น 3 และ 4 (ต้องปีนบันไดขึ้นไป)ของร้านอาหารฝรั่งเศสสุดฮิต Brasserie Cordonnier ในซอยสุขุมวิท 11 กลายเป็นสถานที่นั่งชิลยามเย็นที่น่านั่งที่สุดในเวลานี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหาร บรรยากาศ ไปจนถึงเครื่องดื่มก็ถูกใจเราไปเสียหมด         เชฟเคลมองต์ เฮอร์นานเดซ (Clement Hernandez) เชฟใหญ่ผู้ประจำการความอร่อยของทั้งชั้นบนและล่างเล่าให้เราฟังว่า เมื่อนึกถึงอาหารฝรั่งเศสหลายคนคงนึกถึงความเป็นทางการ อาหารที่มีปริมาณน้อยๆ เรื่อยไปจนถึงขั้นตอนที่ยุ่งยากวุ่นวาย แต่สำหรับที่นี่อาหารฝรั่งเศสจะถูกนำเสนอออกมาให้เข้าใจง่ายขึ้น กินง่ายขึ้น เฉกเช่นกับบรรยากาศที่จำลองความสวยงามของบ้านร้างในโพร์วองซ์ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสที่เต็มไปด้วยพรรณไม้น้อยใหญ่ขึ้นเรียงราย (ขนาดห้องน้ำยังมีเสียงจิ้งหรีดคลอเบาๆเลย) ที่มาพร้อมไวน์จากทั่วทุกมุมโลกให้เลือกลองจิบกันอย่างไม่รู้เบื่อ       เริ่มเมนูแรกกันด้วย Burgundy Snail (290 บาท) หรือที่เรามักเรียกกันว่า Escargot เมนูตำรับแคว้นเบอร์กันดีที่นำหอยทากมาอบในอุณหภูมิต่ำเป็นเวลา 1 คืนเพื่อให้ได้ความนุ่มและหนึบ แถมยังหอมละมุนไปด้วยส่วนผสมของเนยกระเทียมและพาสลีย์สับ     ก่อนจะเติมความสดชื่นด้วย Beef Tartare (230 บาท) บีฟทาร์ทาร์ที่นำเอาความอร่อยของเนื้อวากิวจากออสเตรเลียมาปรุงรสชาติด้วยเครื่องเทศนานาชนิด เสิร์ฟพร้อมกับขนมปังกรุบกรอบให้มากินคู่กัน     ต่อด้วยเมนูชื่อเรียกยาก Croque Minsieur (290 บาท) แต่ความจริงแล้วนี่คือกริลล์แซนวิชแฮมชีสแสนอร่อยชิ้นโตเต็มปากเต็มคำฉ่ำชีสและเข้มข้นเปรี้ยวอมหวานด้วยซอสมอร์เนย์     แต่ถ้ายังไม่จุใจเราก็ขอท้าให้ลอง The Chef’s Picnic (1,700 บาท) ชุดเซ็ตปิกนิกที่ให้คุณได้เลือกของลงตะกร้าตามความพอใจ โดยเริ่มตั้งแต่ โคล์ดคัต ขนมปัง สลัด ผักดอง ชีส เทอร์รีน และของหวาน ซึ่งของเราได้เลือกลอง Dry Sausage ที่ให้รสเค็มๆ มันๆ ตามด้วยขนมปังบาแกตต์ที่มาพร้อมเนยสดสุดอร่อยและแยมส้มผสมแอปเปิลเขียว ส่วนเทอร์รีนประจำวันก็เป็นเทอร์รีนเนื้อเป็ดบดปรุงรสที่ทำให้เราหลงรักจนหมดใจ     แล้วอย่าลืมจิบ Floral Sour (240 บาท) ค็อกเทลที่ได้รสเข้มของเหล้าเบอร์เบินก่อนจะเติมแต่งด้วยความหวานหอมไซรัปคาโมมายด์และรสเปรี้ยวๆ จากส้ม กันด้วยล่ะ