เป็นหนึ่งในร้านอาหารไทยรสเลิศที่มองข้ามไม่ได้จริงๆ สำหรับ “Mariga Bangkok” ร้านอาหารไทย 4 ภาคที่ตั้งอยู่ใน Samala Hotel Bangkok สุขุมวิท 15 คำว่า Mariga (มาริกา) นั้นหมายถึง ‘ดอกดาวเรือง’ ดอกไม้มงคลคู่บ้านคู่เมืองของคนไทย ถูกเลือกนำมาเป็นชื่อร้านเพื่อสื่อถึงเมนูที่ปรุงด้วยใจตามตำรับโบราณไทย ซึ่งเป็นผลงานของทีมเชฟรุ่นใหม่ที่นำโดยเชฟขิง – อลงกต Executive Chef ที่รักการทำอาหารมาตั้งแต่เยาว์วัย มาเช็คอินที่มาริกาคุณจะได้ชิมอาหารไทยโฮมคุกหน้าตาดี ที่ปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่นของดีของไทยตามฤดูกาล ในบรรยากาศหรูหราที่แฝงไปด้วยความสบาย ตัวร้านตกแต่งสไตล์โมเดิร์นด้วยหินอ่อนสีดำขลับ เหมาะเจาะกับผนังไม้กับเฟอร์นิเจอร์หวาย ยังมีโต๊ะหินอ่อนสีขาวที่ตัดด้วยสีน้ำเงินเข้มน้ำทะเลของโซฟาหนานุ่ม ด้านหน้าเป็นโซนเทอร์เรสเหมาะไว้นั่งชิลจิบค็อกเทลกรุบกริบ มองดูผู้คนที่เดินขวักไขว่เพลินๆ ตา เรียกน้ำย่อยด้วย แสร้งว่ากุ้ง เมนูทรงโปรดของรัชกาลที่ 5 ฐานล่างเป็นกลีบบัวสีชมพูแสนสวย ท็อปเครื่องเคราต่างๆ อย่าง กุ้งเนื้อเด้ง หอมแดง ขิงอ่อน ใบมะกรูดที่คลุกเคล้ากับน้ำยำรสเปรี้ยวเผ็ดจี๊ดจ๊าด ต่อด้วย ลาบคั่วหมู ได้รสนัวของเลือดหมูผสมกับมะแขว่น สมุนไพรหอมฟุ้งประจำภาคเหนือ เสริมรสเผ็ดร้อนแรงด้วยพริกทอด กินกับข้าวเกรียบโฮมเมดกรุบกรอบ น่ากินสุดๆ กับ ต้มยำกุ้ง กุ้งแม่น้ำตัวโตจากจังหวัดสมุทรสงคราม ย่างเตาถ่านจนหอม เนื้อนุ่มฉ่ำใน เข้ากันดีกับน้ำซุปต้มยำรสเปรี้ยวเผ็ด จานหลักต้องนี่เลย แกงคั่วปูนิ่มและข้าวผัดมันปู ข้าวผัดมันปูรสครีมมีกินเพลิน เสิร์ฟเคียงปูนิ่มตัวอวบไม่อมน้ำมัน ตัดเลี่ยนด้วยแกงคัวปูรสจัดจ้านพอเหมาะ ที่อัดแน่นไปด้วยปูเนื้อหวานจากภาคใต้ หลายคนชอบ ผัดไทยกุ้งแม่น้ำ เส้นจันท์เหนียวนุ่ม หอมกลิ่นกระทะละมุน ได้รสเปรี้ยวนุ่มนวลของน้ำมะขามเปียก เสิร์ฟพร้อมกุ้งแม่น้ำตัวโตย่างร้อนๆ และน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด ล้างปากด้วยของหวานชื่นใจ มะม่วงฉุน เปลี่ยนจากส้มมาเป็นมะม่วงก็เข้าท่าดีเหมือนกัน มะม่วงน้ำดอกไม้รสหวานฉ่ำ มิ๊กซ์กับองุ่นไซมัสคัสลูกโต ลิ้นจี่ และขิง ก่อนกินเติมน้ำเชื่อมผสมส้มซ่า และน้ำแข็งลงไป ยังมี สละลอยแก้ว สละลูกอวบๆ รสหวานอมเปรี้ยว กินกับน้ำเชื่อมใส่น้ำแข็งคลายร้อย ขนมหวานตัวสุดท้ายเป็น กรานิต้าแตงโมปลาแห้ง ไอศกรีมสไตล์อิตาเลียนรสแตงโมหวาน โรยหน้าด้วยปลาแห้งสิงห์บุรีหอมกรุ่น จิบคู่ Mariga Virgin ม็อกเทลซิกเนเจอร์ประจำร้านที่ประกอบด้วยลิ้นจี่ เสาวรส น้ำมะนาวและใบมินต์หรือจะเป็นค็อกเทลสีสวย Purple Haze ที่ได้รสร้อนแรงจากเหล้าจินและเตกีล่า มิ๊กซ์กับลิ่นจี่ มะนาวและน้ำอัญชัน เป็นอีกหนึ่งร้านอร่อยที่ต้องจดลิสต์ไว้เลย

บ้านนอกเข้ากรุง ร้านอาหารไทยในเครือนาราดีกรีมิชลินไกด์ที่ได้พาร์ตเนอร์มืออาชีพอย่าง คุณจอม - ภูมิพันธ์ เอี่ยมปรเมศวร์ อดีตเฮดบัตเลอร์โรงแรมห้าดาวในนิวยอร์กเป็นผู้ดูแลและถ่ายทอดเรื่องราวความอร่อย โดยนำสูตรอาหารโบราณตำรับบ้านสีจาน ซึ่งถ่ายทอดจากคุณยายสู่คุณแม่ กระทั่งถึงคุณจอม ปรุงออกมาเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของบ้านนอกเข้ากรุง ที่ใครได้ชิมต่างพากันติดใจ คุณจอมเล่าว่าได้เรียนรู้รสชาติความอร่อยฝีมือคุณแม่มาตั้งแต่เด็ก เพราะแม่จะห่อข้าวให้ไปกินที่โรงเรียน ซึ่งปรากฎว่าเพื่อนๆ มารุมกินจนแม่ต้องห่อไปฝากเพื่อนด้วย เมื่อโตขึ้นไปทำงานที่นิวยอร์กก็นำรสชาติอาหารฝีมือแม่ติดตัวไป มีโอกาสปรุงให้เพื่อนต่างชาติกิน บวกกับการที่ตนเองได้กินอาหารที่ดีที่สุดจากทั่วโลกทำให้รู้ว่าความอร่อยของแต่ละชาติเป็นอย่างไร ซึ่งรสชาติความอร่อยของแม่ก็เป็นสากลด้วย บ้านนอกเข้ากรุง มีที่มาจากเรื่องราวของครอบครัวเอี่ยมปรเมศวร์ ซึ่งคุณแม่เป็นสาวโคราชมาเรียนการบ้านการเรือนในเมืองหลวง ก็นำสูตรอาหารทั้งหมดแล้วมาเรียนความเป็นกุลสตรี โดยอาศัยอยู่กับคุณลุงซึ่งเป็นคหบดีค้าข้าวกึ่งนักการเมือง พบรักกับคุณพ่อที่เป็นครอบครัวทหาร เมื่อเข้ามาอยู่ในบ้านพักทหารอากาศที่มีครอบครัวบ้านนอก 140 ครอบครัว แต่ละครอบครัวต่างถือชะลอมขึ้นรถไฟนำของดีของอร่อยที่สุดมาฝากคนที่รัก คุณแม่จึงมีแหล่งวัตถุดิบอร่อยจากทั่วทุกภูมิภาค อาทิ ปลาช่อนบ้านน้าอำนวยจากสระบุรี กะปิจากคุณสำเริง ระนอง ฯลฯ บวกกับคุณแม่มีพรสวรรค์ในการรับรสที่ดี รสชาติอาหารจึงกลมกล่อม ขณะที่คุณพ่อมักจะมีเพื่อนต่างชาติมาทานข้าวที่บ้าน และสังสรรค์กันทุกเย็น บ้านคุณจอมจึงกลายเป็นคอมมูนิตี้ย่อมๆ ที่รวมตัวกันของคุณผู้ชายแต่ละบ้าน จนคุณแม่บ้านหลายคนต้องมาขอเรียนเคล็ดลับจากคุณแม่เพื่อปรุงอาหารให้คุณสามีรับประทาน จุดนี้เองที่ทำให้อาหารรสชาติโคราชได้จับคู่กับวัตถุดิบอร่อยทั่วภูมิภาคจาก “บ้านนอก” คุณจอมได้หลอมรวมความสุขจากอาหารของคุณแม่เข้ากับความเป็นสากลที่เคยไปสัมผัสเมื่อครั้งเป็นบัตเลอร์ในนิวยอร์กมาใส่ไว้ในร้านบ้านนอกเข้ากรุงแห่งนี้ “ด้วยการนำเสนอของดีที่สุดมาให้กับคนที่รักซึ่งก็คือลูกค้า จอมตั้งใจทำร้านให้เป็นเหมือนบ้าน เป็นการจำลองบรรยากาศความสุขทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบ้าน และนำวิชาการโรงแรมทั้งหมดที่เคยดูแลคนระดับโลกมาใส่ไว้ที่นี่ พร้อมกับจะได้รับประทานอาหารซึ่งเป็นรสชาติของคุณแม่ด้วย ซึ่งทั้งหมดคือการเฉลิมฉลองความสุขในชีวิตของเรา” คุณจอมเล่าด้วยสีหน้าเปี่ยมรอยยิ้มแห่งความสุข “อาหารในร้านก็เป็นเมนูที่กินกันจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นอาหารโคราช อย่างเมนูหมี่โคราชที่มีขายกันทุกภูมิภาค แต่ไม่มีใครรู้รสชาติที่แท้จริง ซึ่งของจริงต้องมีพริกแกงที่ใช้พริกแห้งโขลกกับหอม กระเทียม เริ่มจากผัดหมูสามชั้นกับน้ำมัน ใส่พริกแกง น้ำตาลปี๊บ เต้าเจี้ยว ผัดจนเป็นสีเหลืองทอง แล้วจึงใส่เส้นหมี่แห้งๆ ลงไปในน้ำซอสจนเส้นดูดน้ำซอสแบบฉ่ำๆ ซึ่งที่นี่จะมีหมี่โคราชกุ้งแม่น้ำ และหมี่โคราชหมูกรอบ” ได้ลิ้มลองหมี่โคราชสูตรต้นตำรับขนานแท้แล้วบอกเลยว่าอร่อยถูกใจ    หากอยากชิมหลายอย่างในหนึ่งจานต้องลอง ออร์เดิร์ฟบ้านนอก ในเซ็ตมีทั้งไส้กรอก ปอเปี๊ยะโคราชซึ่งใช้น้ำซอสของหมี่โคราชมาผัดไส้ และปีกไก่ทอดเสิร์ฟกับกะปิจิ้มและปลาร้าบองที่ใช้ปลาร้าสับปรุงรสซึ่งสูตรของแต่ละบ้านก็ให้รสชาติที่แตกต่างกัน หรือจะลิ้มรสเมนูซดน้ำอย่าง แกงเลียงขามทะเลสอ ก็ให้รสนัวกลมกล่อม พลาดไม่ได้สำหรับสายส้มตำ แนะนำตำหลวงพระบางสูตรแอร์โฮสเตส ซึ่งเป็นสูตรเด็ดของพี่สาวคุณจอม เส้นแบนกรอบที่เป็นเอกลักษณ์ปรุงรสได้แซบนัวเข้มข้นถูกใจ และเป็นอีกจานที่ทุกโต๊ะต้องสั่ง ใครเคยชื่นชอบรสชาติของตำโคราช แนะนำว่าต้องลองสูตรของบ้านนอกเข้ากรุง ปรุงได้จัดจ้านไม่ผิดหวัง ชวนชิมเมนูหน้าตาบ้านๆ แต่รสชาติไม่ธรรมดาอย่าง ผัดฟักทองทรงเครื่อง กลิ่นหอมยวนใจได้รสหวานธรรมชาติของฟักทองผสานเข้ากับน้ำซอสที่มีเครื่องเคราอย่างกุ้งแห้งโขลกกับกระเทียมพริกไทย น้ำตาลปี๊บ ไข่ไก่ ท็อปด้วยกรรเชียงปูก้อนโต ได้กลิ่นหอมของใบโหระพาโชยเตะจมูก พะโล้ยายสำเรียง ก็เป็นอีกจานที่ไม่ควรพลาด ทั้งหมูสามชั้นที่ตุ๋นจนนุ่มเข้าเนื้อและไข่พะโล้สีเข้มน่ากิน  ยังมีเมนูหากินยากอย่าง ต้มสายบัวปลาทูนึ่ง สายบัวนุ่มชุ่มน้ำกะทิเข้าเนื้อ ปลาทูเนื้อแน่นนุ่มอร่อย เมนูผัดแนะนำ ผัดวุ้นเส้นแหนมกระเทียมดองใส่ไข่ จานนี้ติดใจกระเทียมดองคุณภาพดี รสชาติกลมกล่อมกรอบอร่อย เมนูน้ำพริก แนะนำน้ำพริกขี้กาที่ตำเนื้อปลาทูผสม กินพร้อมผักลวกหลากชนิดและไข่ต้มยางมะตูมช่วยลดความเผ็ด ยังมีขนมจีนน้ำพริกบ้านระงม และขนมจีนบ้านสีจาน เป็น 2 เมนูหากินยากที่อยากให้ลิ้มลอง รวมทั้งข้าวแช่นอกฤดู ที่เสิร์ฟเป็นสำรับสวยงามชวนกิน น้ำปรุงข้าวแช่กลิ่นหอมเย็นสดชื่น ข้าวสวยหุงได้เม็ด กินพร้อมเครื่องเคียงครบครัน อาทิ ลูกกะปิ หอมยัดไส้ทอด พริกหยวกร่างแห หมูฝอย และพิเศษด้วยทอดมันเนื้อแน่นสูตรของร้านและแตงโมปลาแห้งเนื้อฉ่ำหวานกรอบ ปิดมื้อด้วยของหวานรสอร่อยทุกรายการ อาทิ มะม่วงน้ำปลาหวานบ้านสีจานกับกรานิต้ามะม่วง รสสดชื่นของกรานิต้ามะม่วงผสานน้ำปลาหวานรสเข้มข้น ได้ความแปลกใหม่ที่อร่อยลงตัว ไอศกรีมทำสด รสเกลือคาราเมล หรือ ไอศกรีมทำสด รสกล้วยบวชชี ก็รสชาติดีไม่น้อยหน้ากัน ได้รสกลมกล่อมติดใจทั้งสองเมนู บวชถั่วดำกับหวานเย็นมะพร้าว ถั่วดำน้ำกะทิรสหวานน้อยตักกินพร้อมไอศกรีมมะพร้าวเพิ่มความฟินไปอีกแบบ กล้วยน้ำว้าเชื่อมน้ำตาลคาราเมล เนื้อกล้วยเชื่อมจนเข้าเนื้อได้ความหนึบและหอมน้ำตาลคาราเมล มีครีมกะทิสดเคียงมาให้กินพร้อมกัน อย่าลืมสั่งวุ้นกาแฟโบราณแสนอร่อยมาจบมื้อสวยให้ฟินและอิ่มแปร้ คิดถึงความอร่อยตำรับโคราชต้องแวะมาที่บ้านนอกเข้ากรุง ชั้น 2 อาคาร Vivre

ฟู้ดดี้คนไหนกำลังรอ “เมนูใหม่” จาก Ma Maison ร้านอาหารไทยโฮมคุกตำรับคุณหญิงสิน เศรษฐบุตร ภรรยาสุดที่รักของนายเลิศ คงได้สมหวังแล้วคราวนี้ เพราะเขาเพิ่งเปิดตัวจานอร่อยใหม่ๆ มาเอาใจคนรักอาหารไทยและซีฟู้ดโดยเฉพาะ พร้อมเสิร์ฟแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ลิ้มลองแล้วยังได้รื่นรมย์กับสวนสวยรื่นรื่นของบ้านปาร์คนายเลิศอีกด้วย เมนูแรกคือ จุ๋ยก้วย แป้งข้างจ้าวรูปถ้วยเนื้อนุ่มเด้ง กินกับไชโป๊ผัดรสเค็มปนหวาน ราดด้วยน้ำจิ้มสูตรลับรสเผ็ดเล็กน้อย ต่อด้วย ยำยอดมะระหวานกุ้งสด ยอดมะระกรุบกรอบ คลุกเคล้ากับกุ้งเนื้อเด้งและน้ำยำรสเปรี้ยวเผ้ดจี๊ดจ๊าด หลนเนื้อปูก้อน ก็น่าสนใจ หลนรสหวานนุ่มนวล เสริมความอร่อยด้วยเนื้อปูก้อนโตๆ และไข่ปูครีมมี กินกับผักสดนานาพันธุ์ แกงเทโพปลาสละแดดเดียว เปลี่ยนจากเนื้อหมูนุ่มนิ่ม มาเป็นปลาสละแดดเดียวรสเค็มกลมกล่อมก็เข้าม่าไม่แพ้กัน ตามด้วย กุ้งแม่น้ำทอดเกลือ กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่น่าอร่อย สีเหลืองทองเนื้อฉ่ำใน ได้รสเค็มเล็กๆ ของเกลือป่น เติมความเผ็ดร้อนด้วยพริกไทย ยังอยู่กันที่เมนูซีฟู้ดอย่าง ปลาหมึกผัดกะปิกระเทียมโทน ปลาหมึกเนื้อหนึบชิ้นใหญ่ๆ มิ๊กซ์กับกะปิรสนัวจากคลองโคน เสริมรสหวานละมุนด้วยกระเทียมโทน   ปิดท้ายด้วย ส้มฉุน  ของหวานคลายร้อนสไตล์ไทยๆ ที่กินได้ทุกฤดูกาล รสหวานของน้ำเชื่อมส้มซ่า เข้ากันได้ดีกับผลไม้ต่างๆ อย่าง ส้ม ลิ้นจี่ สละ และทับทิม   เป็นอีกหนึ่งร้านที่มาแล้วไม่เคยผิดหวัง

หลังจากส่ง Baan Dalaa by Angkana มาเป็นขวัญใจสายฟู้ดเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้เชฟแอนนี่ - อังคณา​ ก็สานต่อความอร่อยบทใหม่ที่เอาใจคนรักอาหารใต้เช่นเคย เพิ่มเติมคือรสเผ็ดจัดจ้านสมคำล่ำลือว่านี่คืออาหารใต้ตำรับเกาะพะงันแท้ๆ กับ ครัวลูกสาวใต้ บายอังคณา ร้านอาหารใต้ป้ายแดงใหม่เอี่ยมของเชฟแอนนี่ ที่เสิร์ฟอาหารคอมฟอร์ดฟู้ดสไตล์ดินแดนใต้ กินง่ายๆ ในแบบฉบับแกงราดข้าว แน่นอนว่าวัตถุดิบส่วนใหญ่ยังคงลำเลียงมาจากเกาะพะงัน เน้นรสชาติร้อนแรงตามแบบฉบับลูกสาวชาวใต้ พร้อมให้คุณลิ้มลองแล้วได้ที่ เซ็นทรัล ศาลายา (บริเวณชั้น 1) จานแรกเป็น หมูคลุกโคลน เมนูกินง่ายๆ ที่ใครชิมต่างก็ชอบ หมูสามชั้นโดนใจเด็กอ้วน คลุกเคล้ากับกะปิรสเค็มนัวจากตำบล คลองโคน ตามด้วย สะตอผัดกุ้งและหมู สะตอแสนอร่อยที่คนรักอาหารไทยเลิฟ มิ๊กซ์กับกุ้งเนื้อเด้งจากแดนใต้ หมูสับ เพิ่มรสเค็มและเผ็ดได้ที่ด้วยกะปิอย่างดี และพริกแกงตำเอง ติดใจจริงๆ กับ แกงไก่กล้วยดิบ ที่เชฟแอนเลือกใช้เป็นกล้วยน้ำว้าเนื้อแน่น เข้ากันดีกับไก่เนื้อนุ่มและน้ำซุปรสครีมมี มีความหวานปลายลิ้นเล็กๆ คั่วกลิ้ง หนึ่งในเมนูขายดีตลอดการ หมูสับเนื้อแน่นนุ่ม มิ๊กซ์กับพริกแกงใต้สูตรเด็ดของเชฟแอน อร่อยจัดจ้าน แกงส้มปลาทูสดมะละกอ แกงส้มใต้รสจัดจ้าน ที่เติมความอร่อยด้วยมะละกอ และปลาทูสดตัวใหญ่บิ๊กเบิ้ม แก้เผ็ดด้วย ไข่พะโล้ จานอร่อยคอมฟอร์ดฟู้ดของสายฟู้ดหลายคน เพราะรสหวานละมุน บวกกับเนื้อหมูที่ตุ๋นจนเนื้อเปื่อยนุ่ม ยังไม่อิ่มสั่ง ปลาทูทอด ที่ทางร้านใช้เป็นปลาทูสดเนื้อเด้งจากเกาะพะงัน ทาด้วยขมิ้นเพื่อดับกลิ่นคาวและเสริมความหอม ปิดท้ายด้วย ไก่ก้อนทอด ไก่ก้อนลูกกำลังกินเนื้อฉ่ำใน รสเค็มเล็กๆ กินกี่ชิ้นก็เพลิน รสชาติดีติดไปหมดทุกอย่าง

ภายในโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท มีห้องอาหารเลิศรสหลายสัญชาติ ซึ่ง Jaras ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งมีคุณจรัสพิมพ์ ลิปตพัลลภ ผู้เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งชื่อห้องอาหารแห่งนี้ ปัจจุบันอาหารส่วนใหญ่ที่เสิร์ฟผ่านกระบวนการคิดของเชฟอิฐ เชฟผู้ผ่านเส้นทางอาชีพนี้ในร้านอาหารดังๆ มาแล้วหลายแห่ง เขาเลือกนำเสนออาหารไทยชาววังในรูปแบบไฟไดน์นิงเพราะช่วงนี้ถือเป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่ ต้องใช้ความสร้างสรรค์เพิ่มให้ทุกคนที่มาจดจำได้ เชฟและทีมงานใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ก็สามารถสร้างสรรค์เมนูที่นำเสนออย่างมีเอกลักษณ์ ส่วนใหญ่เลือกใช้วัตถุดิบที่เลี้ยงและปลูกในไทย อาทิ กุ้งจากหัวหิน ปูจากเขาตะเกียบ น้ำตาลโตนดของประจวบฯ ปูจากเขาตะเกียบ ฯลฯ เริ่มเสิร์ฟด้วย Amuse Bouche รวม 4 ความอร่อยทั้งเมี่ยงคำน้ำตาลโตนด ล่าเตียงปูห่อไข่รูปตาข่าย ไข่ปลาคาเวียร์ซึ่งความพิเศษคือมาจากปลาที่เลี้ยงในหัวหิน (ซึ่งในไทยมีที่เดียวเท่านั้นที่เลี้ยงได้) และทอดมันกุ้งนำเสนอรูปทรงรังนกสวยงาม เมนูต่อมาสะเต๊ะปลาเก๋าหัวหิน คัดสรรปลาเก๋าหนัก 5 กก. เพราะเนื้อแน่นกำลังอร่อย อาจาดใส่สับปะรดประจวบฯ รสหวาน ต้มโคล้งปลาเก๋า นำมารมควันได้กลิ่นหอม รสเปรี้ยวจากน้ำมะขาม ทีเด็ดยกให้ซุปรังนกเนื้อปู กงซอเมเปลือกกั้ง หน้าตาคล้ายกระเพาะปลาแต่ไม่ข้นเท่า พอให้ซดคล่องคอ ต้องบอกว่าบรรยากาศของห้องอาหารจรัสที่ล้อมด้วยกระจกสองมุมทำให้เห็นท้องฟ้าและวิวทะเลหัวหินสุดลูกหูลูกตา ไปในวันฟ้าเปิดยิ่งสวย ประทับใจมาก ถ้ามากินมื้อเย็นก็คงได้เห็นวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยไปอีกแบบ 

เมื่อนึกถึงอาหารง่ายๆ ที่เป็นเมนูประจำวันสามารถทำกินอยู่บ้านพร้อมนั่งจิบแก้วโปรดได้อย่างฟินๆ น่าจะเป็นเรื่องที่ดูอบอุ่นใจไม่น้อย แล้วถ้าเกิดอยากเปลี่ยนบรรยากาศกลายเป็นมีคนทำให้กิน รสชาติและหน้าตาอาหารต่างไปจากเดิม แต่ยังคงรู้สึกโฮมมี นั่งยาวๆ พร้อมเม้าท์มอยจิบน้ำเก๊กฮวย ไวน์ หรือเครื่องดื่มมีฟองอื่นๆ ที่เลือกมาให้เข้ากับอาหาร SoupSip เป็นอีกหนึ่งร้านที่เพิ่งเปิดได้ไม่นานแต่ก็ครบจบทุกฟังก์ชันที่กล่าวมา SoupSip (ซุปซิป) ร้านอาหารไทย-เอเชียนฟิวชันที่ต้องการเสิร์ฟเมนูประจำวันให้เข้าถึงง่ายแต่ใส่ความไม่ธรรมดาเข้าไปโดยใช้เทคนิคการปรุงสมัยใหม่ นำเสนอในสไตล์ไทยประยุกต์เสิร์ฟบนรูฟท็อปบรรยากาศดีของ Kitsch Hotel ไฮไลต์ของร้านจะเป็นอาหารไทยโมเดิร์นที่ยกระดับข้าวต้มกุ๊ยและเมนูกับข้าวยามค่ำคืนให้มีมิติของรสชาติและหน้าตาอาหารต่างไปจากเดิม จากเมนูธรรมดาๆ ให้กลายเป็นจานใหม่ที่น่าลิ้มลอง รังสรรค์โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นที่ตั้งใจแสวงหาและยึดคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญก่อนนำมาสร้างมูลค่าพร้อมถ่ายทอดรสชาติผ่านจานนั้นๆ หากพูดถึงด้านการตกแต่งทางร้านก็ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะสไตล์ Kitsch ที่หยอกล้อไปกับโรงแรม ดีไซน์ให้ดูสวย ทันสมัย และเข้าถึงง่าย ใส่ความสบายเข้าไปให้ดูน่ามาพักผ่อนหย่อนใจไปกับเสียงเพลง ชมวิวกลางเมือง และลิ้มรสชาติของอาหาร สามารถมาแฮงเอาต์กับเพื่อนและจอยกับครอบครัวได้ในทุกวัน เมนูเด็ดห้ามพลาดเป็น ข้าวต้มเรือโป๊ะ ข้าวต้มแห้งที่สามารถกินได้ทั้งแห้งและน้ำ ให้เครื่องแน่น เสิร์ฟกับน้ำซุปรสกลมกล่อม เสริมรสเครื่องทะเลที่นำไปผัดกับพริกเหลืองและสามเกลอให้หอม ต่อด้วย กุ้งแช่วาซาบิ รสแซ่บถึงใจ ถัดมาคือ ยำปลาหวาน ใช้ปลาข้างหลืองทอดราดน้ำยำรสจัดจ้าน มีเนื้อส้มให้เคี้ยวเพลิน ตามด้วย เป็ดพะโล้ เชฟนำเป็ดไปกงฟีในน้ำมันให้หนังกรอบแต่เนื้อในยังฉ่ำ ราดด้วยซอสพะโล้เข้มข้น ต่อด้วย ต้มจืดผักกาดดองหอยนางรม ได้รสกลมกล่อม หอมกลิ่นผักกาดดอง ซดร้อนๆ คล่องคอดีเชียว ครีบปลากระเบนย่างซอสน้ำพริกเผา ซอสให้รสคล้ายต้มยำน้ำข้นแต่เสิร์ฟแบบแห้ง กินกับครีบปลากระเบนชิ้นใหญ่จากจังหวัดระนอง ต่อด้วย หมูบะเต็ง หมูทอดจนกรอบ โรยด้วยหัวไชเท้าและเปลือกเลมอนขูด ถัดมาคือ หอยตลับผัดพริกเผาเหล่ากันมา ให้รสเผ็ดร้อนยิ่งกินกับข้าวต้มยิ่งฟิน และ ผักบุ้งฝอยผัดกะปิ ได้รสเข้มข้นจัดจ้าน หอมกลิ่นกะปิ จะกินกับข้าวสวยหรือข้าวต้มก็อร่อยไม่แพ้กัน เป็นอีกแลนด์มาร์คที่น่ามาสังสรรค์ยามค่ำคืน

The Local ร้านอาหารไทยในบ้านเก่าบรรยากาศคลาสสิกสไตล์โคโลเนียลซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยความอบอุ่นและการต้อนรับอย่างเอาใส่ใจ ภายในร้านตกแต่งสวยงามประดับด้วยเครื่องใช้ภายในบ้านซึ่งเป็นของสะสมเก่าแก่ที่เป็นอาหารตาและต้องใจนักสะสมของโบราณ ส่วนรสชาติความอร่อยนั้นการันตีด้วยรางวัลมิชลินสตาร์บิบกรูมองต์ต่อเนื่องยาวนานถึง 7 ปีซ้อน คุณแคน เจ้าของร้านเล่าถึงเมนูอาหารว่าเป็นการต่อยอดเมนูดั้งเดิมที่มีอยู่ให้มีลูกเล่นมากขึ้น สร้างสรรค์แบบไม่คิดซับซ้อน เน้นความอร่อยเป็นสิ่งสำคัญ อย่างเมนู แกงเขียวหวานแก้มวัว ที่คุณแคนมองว่าแกงเขียวหวานเป็นหนึ่งในเมนูพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ชื่นชอบ เมื่อใส่แก้มวัวที่ได้จากการเคี่ยวจนนุ่มมากพอ ก็จะเป็นความอร่อยที่ลงตัว เป็นต้น ลาบก้อยปลากระทงทอง ใช้เนื้อปลาช่อนทะเลดรายเอจประมาณ 3-5 วัน เสิร์ฟพร้อมเครื่องยำ อาทิ พริกป่น กระเทียมเจียว เม็ดกระถิน ข้าวคั่ว ฯลฯ ก่อนกินคลุกเคล้าทุกอย่างรวมกันและตักใส่กระทงทอง หรือห่อใบชะพลูที่เตรียมให้ ได้รสชาติเปรี้ยวแซ่บไม่ธรรมดา ยำเนื้อมะเขือย่างสามสี เปลี่ยนจากยำมะเขือทั่วไปที่ได้สีเขียวจากมะเขือเปราะเพียงอย่างเดียว เพิ่มสีเหลืองด้วยมะเขือเหลือง และสีแดงจากมะเขือเทศ รวมทั้งมะอึก ปรุงรสน้ำยำราดบนเนื้อย่างสไลซ์ จัดเรียงอย่างสวยงาม แค่เห็นก็น้ำลายสอ แกงรัญจวน แกงโบราณหากินยากที่คุณแคนเล่าว่าเมื่อราวๆ 15 ปีก่อน ได้อ่านตำราอาหารเล่มหนึ่ง เขียนถึงเมนูชื่อไพเราะจานนี้ ในนั้นเปรียบเปรยว่า “เร็วๆ สำลัก ร้อนๆ เห็นดาว” ทำให้รู้สึกสนใจอยากลองทำ และโชคดีที่มีโอกาสเรียนกับอาจารย์ศรีสมร คงพันธุ์ ซึ่งถือเป็นบรมครูด้านอาหารไทยที่โรงเรียนการเรือนก่อนท่านจะเสียชีวิต ทำให้เข้าใจว่าแกงชนิดนี้ต้องให้รสจัดจ้านจนอาจสำลักได้ตามคำโบราณ โดยแกงรัญจวนของ The Local จะมีความพิเศษคือใส่ตะไคร้เพิ่มด้วย เพราะคุณแคนมั่นใจว่ารสชาติเข้ากันได้ดีนั่นเอง (ซึ่งตามต้นตำรับจะไม่มีส่วนผสมของตะไคร้) ทุกวันนี้ The Local  ยังคงรับรองลูกค้าทั้งต่างชาติและชาวไทยอย่างต่อเนื่องมากถึงหลักร้อยในแต่ละวัน ได้ฟังแล้วก็ชื่นใจที่อาหารไทยยังคงเป็นมีมนต์เสน่ห์ยอดนิยมตลอดมา

ยอมรับว่าเดายากว่าจานตรงหน้าคือ ‘พล่าหอยนางรม’ นี่คือความสนุกของ SOMA (โสมะ) ร้านอาหารไทยสไตล์โมเดิร์นจากสุดยอดเชฟอย่าง เชฟชาลี กาเดอร์ แห่ง Wana Yook และ เชฟหนุ่ม วีรวัฒน์ จากซาหมวยแอนด์ซันส์ พร้อมด้วยเชฟภาคย์ ยะมู head chef กับคอนเซ็ปต์ Thai Social Kitchen เชื่อมโยงอาหารกับผู้คนโดยไม่มีกรอบและไม่มีลำดับการกินมาทำให้อึดอัด ภายในร้านมีครัวเปิดให้เราได้เห็นทีมเชฟโชว์ฝีมือกันอย่างเต็มที่ ซึ่งแต่ละจานมาพร้อมรสชาติเข้มข้นและเนื้อสัมผัสสนุกๆ ซึ่งล้วนมาวัตถุดิบที่คัดลือกอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลจากชาวประมงท้องถิ่น ผักพื้นบ้าน รวมถึงวัตถุดิบนำเข้าอย่างเนื้อวัวแองกัสออสเตรเลีย และปลาจากตลาดปลาของญี่ปุ่น เริ่มต้นด้วยเมนูกระตุ้นต่อมรับรสอย่าง พล่าหอยนางรม เสิร์ฟมาอย่างเก๋ไก๋ให้กินหมดใน 1 คำ นอกจากเครื่องยำรสชาติจัดจ้านตาสว่าง ยังเพิ่มเนื้อสัมผัสด้วยการซ่อนแคปหมูกรอบๆ ด้านล่างอีกด้วย ถัดมาเป็น สาคูไส้หมู ที่เชฟนำเม็ดสาคูไปดีไฮเดรตก่อนแล้วนำมาทอดกรอบ วางไส้หมูและกุ้ง แล้วปิดด้านบนด้วยแป้งหนึบหนับ หรือจะลอง เมี่ยงคำหมี่กรอบ นำหมี่กรอบชาววังและเมี่ยงคำมารวมกัน เพิ่มความสนุกปลาข้าวสาร แต่งหน้าด้วยกลีบบัวหลวง จานที่เราชอบมากคือ ข้าวผัด XO ปู ซอส XO ทำเองกินแล้วไม่มันเลี่ยน เบสเป็นน้ำพริกเผาแล้เติมหอยเชลล์แห้ง ปลาหมึกแห้ง และกุ้งแห้งลงไปเพื่อให้ได้รสกลมกล่อม ผัดกับข้าวจนหอมฟุ้ง ใส่กรรเชียงปูแบบจัดเต็มเสิร์ฟคู่น้ำขิ้มซีฟู้ดรสเด็ด นอกจากนี้ยังมี ยำเนื้อรีเจนซี่  หมึกหอมย่าง ต้มโคล้งปลาย่าง รวมถึงแกงคั่วสับปะรดหอยแมลงภู่ ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารในความทรงจำของเชฟชาลี จบมื้อด้วย โมจิลําไยและไอศครีมกะทิ โรยข้าวเม่าทอด ตักให้ครบในหนึ่งคำแล้วจะรู้ว่า นี่แหละข้าวเหนียวเปียกน้ำลำไยที่เราคุ้นเคย!

ชวนแฟนคลับหมูกระทะมาเช็คอิน “Thai Moo Kata Premium Thai BBQ” ร้านหมูกระทะพรีเมียมเปิดใหม่ย่านทองหล่อของเชฟชุมพล แจ้งไพร เชฟอาหารไทยฝีมือขั้นเทพดีกรีมิชลิน 2 ดาว ที่ครั้งนี้ชวนสายฟู้ดมารื่นรมย์กับหมูกระทะพรีเมี่ยม ที่อัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบคับแก้วอย่าง หมูวากิวจากจังหวัดโคราช หมูอารมณ์ดี ซีฟู้ดสดเด้งจากทะเลไทย ผักออร์แกนิก เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มโฮมเมดสูตรเฉพาะรสจัดจ้านแซ่บเวอร์ นอกจากนี้ยังให้คุณอร่อยกับอาหารไทยจานอะลาคาร์ต ที่มีความพิเศษอยู่ตรงทุกจานเป็นสูตรลับประจำครอบครัวของเชฟที่เมืองโคราช รับรองว่ารสชาติเข้มข้นถึงใจคนรักอาหารไทย บวกกับบรรยากาศทันสมัยที่แฝงไปด้วยความหรูหรา ทั้งห้องแอร์เย็นฉ่ำ เฟอร์นิเจอร์สีเขียวน้ำทะเลสบายตา โต๊ะหินอ่อนสีดำขลับที่ตรงกลางมีเตาย่างและเครื่องดูดควันอย่างดี แถมยังมีงานศิลป์จากศิลปินไทยให้สายอาร์ตดื่มด่ำด้านหลังอีกด้วย เรียกน้ำย่อยกันก่อนกับคาราวานจานอะลาคาร์ต ก้อยเนื้อดิบ เนื้อวากิวจากโคราชหั่นเต๋าฉ่ำๆ คุลกเคล้ากับเครื่องเครารวมแล้วเป็นรสชาติที่จัดจ้าน เสริมความครีมมีด้วยไข่แดงสด และกลิ่นหอมจากข้าวคั่ว ต่อด้วย ตำลาวปลาร้าหอมบ้านดอน โดนเด่นด้วยรสเค็มนัวของปลาร้าสูตรครอบครัวเชฟชุมพล กินเพลินอย่าบอกใคร เช่นเดียวกับ ผัดหมี่โคราช เส้นหมี่โคราชเหนียวนุ่ม คลุกเคล้ากับซอสสูตรเด็ดประจำบ้านเชฟชุมพล ที่มีรสเค็มปนหวานปลายลิ้น กลมกล่อมกินอร่อย ทีเด็ดประจำร้านขอยกให้  ไข่ดอง เชฟใช้ไข่ออร์แกนิกจากฟาร์มชั้นนำของเมืองไทย ดองอย่างดีในน้ำซอสสูตรเฉพาะเข้าคู่ น้ำมันกากหมู หอมกรุ่น และ ข้าวผัดมันเนื้อ รสละมุนโดนใจ สายแซ่บเลิฟ ยำมาม่าหน้าโรงเรียน เมนูอร่อยที่ทำให้หวนคิดถึงวัยมัธยม เส้นมาม่านุ่มหนึบกำลังดี มิ๊กกับน้ำยำรสเด็ด ที่ทั้งเปรี้ยวและเผ็ดร้อนแรง ตามด้วย ข้าวผัดปลาส้ม ข้าวหอมมะลิคลุกเคล้ากับปลาส้มที่ทำจากปลากะพง เนื้อแน่น เพิ่มพริกสดและมะนาวซีกรสเปรี้ยวอีกแรง ในที่สุดก็มาถึงคิวหมูกระทะของเราสักที ครั้งนี้เราสั่ง ชุดรวมหมูและเนื้อ ที่ประกอบด้วย หมูอารมณ์ดี เนื้อวากิวจากจังหวัดโคราช หนังหมูซูวีอาบซอสบาบีคิวรสเผ็ดปนหวาน และชุดผักสดชุดใหญ่ ที่มีทั้งผักสด เส้นอุด้ง วุ้นเส้น และไข่ไก่ ส่วนน้ำซุปที่ร้านจะใช้ น้ำซุปไก่ รสหวานธรรมชาติ ที่ได้จากการเคี่ยวส่วนต่างๆ ของไก่มาเป็นเวลานาน เสริมความอร่อยด้วยน้ำจิ้มหลากสไตล์ ได้แก่ น้ำจิ้มสุกี้ รสกลมกล่อม หอมกลิ่นงา แจ่วปลาร้า ที่ทำจากปลาร้าสูตรครอบครัวของเชฟชุมพล ให้รสเค็มนัว เผ็ดพอเหมาะ น้ำจิ้มซีฟู้ด รสเปรี้ยวเผ็ดจี๊ดจาด นอกจากนี้ยังมี น้ำจิ้มพอนสึ สไตล์โฮมเมดที่ทำจากผลไม้ต่างๆ อาทิ กล้วย แอปเปิ้ล สับปะรด รวมแล้วเป็นรสหวานอมเปรี้ยวเล็กๆ อร่อยมากมาย ยังไม่อิ่มสั่ง สามชั้นก้อน มาเพิ่ม สามชั้นจากหมูอารมณ์ดี เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ กินกับน้ำจิ้มอะไรก็ติดใจ คนรักซีฟู้ดห้ามพลาด กุ้งแม่น้ำ เนื้อเด้งหวาน เพิ่มเติมด้วยมันกุ้งเยิ้มๆ ยังมี หอยเชลล์ฮอกไกโด ตัวอวบขาว เนื้อหวานแน่น เข้ากันดีกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด ส่วนของหวานจะเป็น ข้าวเหนียวมะม่วง มะม่วงสุกน้ำดอกไม้รสหวาน มีความเปรี้ยวแซมเล็กๆ เสิร์ฟเคียงข้าวเหนียวมูนโฮมเมดราดกะทิเค็มมัน และ ขนมนายปัง ฮันนี่โทสต์กรอบนอกนุ่มใน รสหวานฉ่ำ ท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลาหวานมัน และวิปครีม เครื่องดื่มเราแนะนำ น้ำแตงโม สีแดงรสใส รสหวานชื่นใจ อร่อยจริงจังนักกินกดเลิฟ

ข้าวสารเสก คือร้านอาหารไทยชื่อสะดุดหูในตึกเก่าย่านทรงวาดของเชฟแพม-พิชญา สุนทรญาณกิจ เชฟบอกกับเราว่าแม้คาแรกเตอร์ของร้านนี้จะสนุก เข้าถึงง่าย สบาย และไม่เกร็ง แต่เรื่องอาหารนั้นจริงจัง ทั้งรสชาติที่ไม่ออมมือและวัตถุดิบอันเป็นหัวใจหลัก เสิร์ฟทั้งอะลาคาร์ตและ House Menu หรือที่เรียกว่า ‘วงข้าว’ ซึ่งช่วงแรกทดลองรับจองวันละ 20 ที่ก่อนและตอนนี้คิวจองยาวไป 2 เดือนแล้ว “อยากให้เป็นร้านอาหารที่คนไม่เล่นมือถือ อยากให้คุยกันมากกว่าเพราะอาหารเราเป็นแบบแชร์ริ่ง”   ตัวอาคารมีเสน่ห์แบบอาคารเก่าเคล้าด้วยความขลัง ส่วนอาหารมีกิมมิกเป็น 5 วัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ น้ำปลา ข้าว น้ำตาลโตนด พริก มะพร้าว ซึ่งเชฟนิยามว่าเป็นวัตถุดิบที่ทำให้อาหารไทยเป็นอาหารไทย และกลายมาเป็นชื่อเมนูทั้ง 5 หมวดคือ หอม กรุ่น ละมุน ร้อน และนัว มีทั้งเมนูหากินยากและเมนูไทยทวิสต์นำทีมโดยเชฟเกรซ แถมยังมีข้าวประจำวันที่เสิร์ฟฟรีไม่อั้น ระหว่างรออย่าลืมสังเกตลายบนจานและมองหาวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ซ่อนอยู่ตามมุมร้าน อาทิ ผนังที่ตกแต่งด้วยกะลามะพร้าว หรือไหเก็บน้ำปลา 100 ปีที่ได้จากโรงน้ำปลาเทพมงคล (ตั้งกิมฮวด) ครั้งนี้เราได้ลอง เนื้อริบกระดูกหมักกะทิ แกงเขียวไข่ครอบ เสิร์ฟจานใหญ่สำหรับแชร์ริ่ง กลิ่นหอมยั่วน้ำลายมาแต่ไกล เนื้อวากิวมาหมักกะทิและพริกแกงก่อนแล้วสโลว์คุ้กในเตาอบจนนุ่ม นำน้ำที่ได้มาทำแกงเขียวหวานแบบน้ำข้นขลุกขลิก รสจัดจ้านจากพริกแกงโขลกเองที่ซึมเข้าไปในเนื้อ กินคู่กับไข่ครอบมันๆ และข้าวเล็บนก ซุปมะเขือ บ้านเชฟแพม ซุปมะเขือที่คุณแม่เชฟทำทำให้กินตั้งแต่เด็กๆ ก็มาโชว์โฉมในร้านด้วย  วัตถุดิบหลักคือมะเขือเปาะ กระเทียม น้ำปลาร้า เกลือนิดหน่อย และพริก รสเผ็ดเบาๆ กลมกล่อม เสิร์ฟเป็นคำเล็กๆ ด้านล่างซ่อนข้าวเหนียวเอาไว้ และอีกเมนูที่รับจองแค่ 6 ออร์เดอร์ต่อวันคือ หมูหัน ข้าวสารเสก ซึ่งทำออกมารสชาติดีมาก หนังกรอบ และได้เนื้อไม่แห้งและไม่หนาเกินไป กินกับซอสรสหวานๆ เค็มๆ ที่สำคัญอย่าลืมจับคู่อาหารกับสาโทของทางร้านที่มีทั้งข้าวเหนียวแดงและข้าวเหนียวขาว เป็นการเพิ่มอรรถรสในวงข้าวที่ข้าวสารเสก

ช่วง festive อย่างนี้อะไรจะดีไปกว่าการได้กินอาหารอร่อยๆ พร้อมเพลิดเพลินไปกับเทศกาลงานรื่นเริง ที่ Vikarn Bangkok ก็เป็นอีกหนึ่งร้านที่เครมตัวเองว่าเป็น FUN Dining มาในธีม Bangkok Nightlife เน้นเสิร์ฟบรรยากาศชีวิตคนกลางคืนให้เหมือนได้ไปเที่ยว Night Club พร้อมทั้งยังได้กินคอร์สเมนูสุดประทับใจในรูปแบบ Fine Dining อีกด้วย วิกาล นำทีมโดยเชฟมอส-ศุภกิจ บุญม่วง Head Chef ที่ร้อยเรียงแต่ละเมนูออกมาได้อย่างน่าสนใจด้วยวัตถุดิบพรีเมียมที่นำมาปรุงอย่างสร้างสรรค์ แถมยังมีเซอร์ไพรส์ซ่อนอยู่ในทุกคำที่กิน ผนวกกับพรีเซนเทชันที่นำทัพโดยคุณมะปราง-ปรางค์บุญ แสงอำพันธ์ เจ้าของร้านอารมณ์ดีที่คอยเอนเตอร์เทนเหล่าฟู้ดดี้ด้วยวิธีการเสิร์ฟอาหารแบบร้อง เล่น เต้น เมาท์ ช่วยสร้างความบันเทิงจนเราเข้าใจแล้วว่าทำไมวิกาลถึงเรียกตัวเองว่า FUN Dining บรรยากาศภายในร้านก็สามารถเลือกได้ 2 โซน เมื่อเดินเข้าประตูมาจะเจอกับครัวเปิดที่มีบาร์ไว้รองรับนักกินที่อยากใกล้ชิดกับเชฟ ซึ่งทางเชฟจะเป็นคนเสิร์ฟและอธิบายรายละเอียดของแต่ละจานด้วยตัวเอง ในขณะที่ชั้นสองจัดโต๊ะไว้แบบไพรเวตในพื้นที่ที่กว้างพอสมควรในการเอนเตอร์เทนผู้มาเยือนด้วยท่วงท่าและท่วงทำนอง สำหรับมื้อนี้จะมาในธีม Thai Festivals โดยทางร้านจะพาทุกคนไปเที่ยวตามเทศกาลต่างๆ ของไทยผ่านจานอาหารที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเนื้อเพลงอย่างจานนี้ ฉันจะพาเธอลอย ล่องไปในอวกาศที่มีแต่เธอ เมนูที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเทศกาลลอยกระทง เป็นคานาเป้ปลาทูน่า เชฟรังสรรค์คานาเป้ออกมาให้เป็นกระทง ข้างในมีทูน่าหั่นเต๋าคลุกเคล้าสมุนไพรกับผงหม่าล่า ท็อปด้วยมายองเนส ใบมะกูด ยูซุเจล ผักเคลย่าง และคาเวียร์ ได้รสเค็ม หวาน และหอมเลม่อน ต่อด้วย ก็หมวยนี่คะ (ไม่ได้ตั้งใจ) ก็หมวยนี่คะ (ไม่ได้ตั้งใจ) เป็นบ๊ะจ่างหมูแดงที่ได้ไอเดียจากเทศกาลตรุษจีน เชฟเปลี่ยนข้าวเหนียวเป็นขนมปังบริออชฉ่ำเนย เสริมความเค็มมันด้วยเนยและเมอแรงก์ มีหมูแดงรมหวันชิ้นพอดีคำ กินรวมกันทุกองค์ประกอบอร่อยมาก และอย่าลืมปิดท้ายด้วยแรดิชล้างปาก ถัดมาคือ เทียนมีหมี่ มีเทียนแต่ธูปไม่มี จากเทศกาลแห่เทียนพรรษาของภาคอีสาน ซึ่งมีหนึ่งเมนูขึ้นชื่อนั่นก็คือก๋วยจั๊บญวน เส้นลวกสุกกำลังดีท็อปด้วยปลาสีกุนที่นำไปดรายเอจกับสาหร่ายคอมบุแล้วนำมาย่างจนหนังกรอบหอมกลิ่นสโมก เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคราและน้ำซุปก้างปลา สามารถเพิ่มความแซ่บได้ด้วยน้ำมันพริกที่ให้มา มาถึงจานหลัก บุญบั้งไฟเดือนหก กลับบ้านเฮามาเอาบุญเดือนหก เลือกเสิร์ฟเป็นเมนูสุดคลาสสิกสไตล์อีสานอย่างเนื้อย่างน้ำจิ้มแจ่วปลาร้า เสิร์ฟเป็นรีซอตโตรสละมุนคู่กับเนื้อออสเตรเลียนวากิว A4 รมควันไม้ลำไย เพิ่มรสชาติด้วยน้ำจิ้มแจ่วแอนโชวีแทนปลาร้า กินคู่กันอร่อยทีเดียว จบมื้อนี้ด้วย สวัสดี สวัสดีปีใหม่ ใครรักใครให้ได้แต่งงานกัน เมื่อนึกถึงเทศกาลปีใหม่จะมีคุกกี้เป็นของขวัญแทนใจ เชฟจึงนำไอศกรีมนมข้าวโพดราดคาราเมลมาจับคู่กับป๊อปคอร์นและครัมเบิลบัตเตอร์คุกกี้ออนท็อปด้วยไหมข้าวโพดกรอบๆ กินรวมกันทุกองค์ประกอบอร่อยมาก สำหรับ Thai Festivals เสิร์ฟถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2568 โดยสามารถเลือกได้ทั้งหมด 4 คอร์ส ราคา 1,490++ บาท, 7 คอร์ส ราคา 2,490++ บาท และ 10 คอร์ส ราคา 3,490++ บาท

เข้าสู่ปี 2025 เทรนด์ร้านอาหารโฮมคุกยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับร้าน ฟุ้ง ร้านอาหารหน้าใหม่ย่านทองหล่อ ที่เสิร์ฟสำรับไทยประจำบ้านโดย คุณทราย-ณัฐกมล วงษ์สด นักชิมตัวแม่ผู้มุ่งมุ่นอยากนำเสนออาหารไทยรสเข้มข้นในแบบที่ตนเองชื่นชอบให้ทุกคนได้ลิ้มลอง แม้จะเปิดร้านได้ไม่ถึงปี แต่มีคนต่อคิวยาวข้าม (หลาย) เดือนเพื่อจะได้มาลิ้มรสความอร่อยดูสักครั้ง ตัวร้านรีโนเวทมาจากตึกเก่า 3 ชั้น ที่โดดเด่นด้วยป้ายชื่อร้านขนาดใหญ่ชวนสะดุดตา เมื่อเดินเข้าไปภายในจะพบกับบรรยากาศอบอุ่นจากผนังโทนสีครีม เฟอร์นิเจอร์ไม้และโคมไฟสีเหลืองนวลละมุน ซึ่งแต่ละชั้นมีโต๊ะรับประทานอาหารประมาณ 1-2 โต๊ะ ที่จัดวางไว้อย่างเป็นสัดส่วน ให้นั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกันแบบสบายๆ ไม่อึดอัด สำหรับทุกเมนู คุณทราย เล่าให้ฟังว่า ตนเองจะค้นคว้า หาแหล่งวัตถุดิบที่ดีที่สุดทั่วประเทศเพื่อนำมาผสมผสานกับวิธีการทำสไตล์ของที่บ้าน โดยสามารถเลือกได้ตั้งแต่สำรับเล็กจำนวน 4 ท่าน จนถึงสำรับใหญ่ สำหรับ 10 ท่าน ครบด้วยเมนูต้ม ผัด แกง ทอด และยำหรือตำ อย่าง หมูกะปิคาราเมล จุดเด่นคือเนื้อหมูแล่บางชิ้นพอดีคำที่ทอดให้หอมกรอบไม่อมน้ำมัน ผัดคลุกเคล้ามากับซอสกะปิใต้ 2 สูตร ได้รสหวานและเค็มในคำเดียว แกงคั่วปูหน่อไม้ดอง น้ำของแกงรสเข้มข้นหอมกลิ่นเครื่องแกงตำเอง ซึมเข้าเนื้อปูชิ้นโต และเนื้อหน่อไม้อ่อนดองเกลือโลคอล ที่มีวิธีดองเฉพาะทำให้มีสัมผัสกรอบฟู กินพร้อมข้าวสวยไม่ผิดหวัง ปลาเกล็ดฟู เมนูไฮไลต์ที่ทางร้านใช้เทคนิคเฉพาะตัวในการทำให้เกล็ดปลากรอบขึ้นฟูสวยงาม โดยที่เนื้อปลายังคงมีสีเหลืองทอง ราดด้วยน้ำปลาอย่างดี พร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด ฟินทุกคำ และ ตำกะปิผลไม้ จานนี้นำความหวานกรอบของผลไม้ตามฤดูกาลมาตัดกับน้ำยำกะปิรสกลมกล่อมได้อย่างลงตัว ประทับใจคุ้มค่ากับการรอคิว

ความทรงจำวัยเด็กของใครหลายๆ คนมักผูกติดกับอาหาร อาจด้วยรสชาติ หรือกลิ่นที่สร้างความคุ้นชินให้กับเรา เชฟเต้ย - คุณวัชรพงศ์ เจริญวิมลรักษ์ และเชฟเกด - คุณวิสาขา ระวิจันทร์เองก็เช่นกัน แต่ละจานในวันนี้พร้อมจะบอกเล่าเรื่องราววัยเยาว์ของทั้งคู่ในรูปแบบ Progressive Thai Cuisine สร้างสรรค์ และสร้างความตื่นตาตื่นใจได้ไม่น้อย เดินเข้ามาจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเพราะการตกแต่งด้วยไม้เป็นใหญ่ โดยคุณพ่อของเชฟเต้ยเคยเป็นช่างไม้มาก่อนจึงมีอุปกรณ์ช่างมากมายให้ได้เห็น ก่อนอื่นเชฟเกดจะเสิร์ฟ Welcome Drink บริเวณบาร์ เป็นการผสมผสานระหว่างสับปะรด พริกไทยสีชมพู มีความเปรี้ยวและซ่าเล็กๆ หลังจากนั้นออกเดินทางตามรอยความทรงจำวัยเด็กของเชฟ เริ่มต้นด้วยตู้กับข้าว ซึ่งขนตู้มาเสิร์ฟตามชื่อจริงๆ ด้านในมีคะน้าปลาเค็ม ใช้แป้งกะหรี่ปั๊บทำฐานรอง สอดไส้คะน้าที่คลุกกับเจลคะน้า สัมผัสครีมมี่ของปลาอินทรีย์เค็ม บนสุดคือเคลอบกรอบ และหยดเจลจากผักกาดหิ่น แกงคั่วปู 5 เลเยอร์เหมือนชั้นเค้ก สลับกันระหว่างเนื้อปูม้าของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และใบชะพลูอบแห้ง ด้านบนมียอดมะพร้าวดอง และซอสแกงคั่วอยู่ด้วย หมูสะเต๊ะย่างเสียบไม้เหมือนโลลิป็อบ เคลือบเจลลีน้ำซุปกระดูกหมูชาชูผสมสมองหมู ความพิเศษอีกอย่างคือนี่ไม่ใช่เนื้อหมูทั่วไปแต่เป็นเนื้อหมูไบโอไดนามิกจากจังหวัดขอนแก่น เสิร์ฟกับซอสพีนัตบัตเตอร์พร้อมบรรดาเครื่องเทศของหมูสะเต๊ะ และอาจาด ตู้กับข้าวมาแล้ว ปิ่นโตก็มาด้วย โดยชั้นบนเป็นเนยกระเทียม ชั้นล่างคือเนยรสฟักทองเนื้อมันๆ กินกับขนมปังจากข้าวก่ำดอยของภาคเหนือ กลิ่นหอมละมุน ข้างๆที่เห็นเป็นรูปดอกไม้คือแป้งกระทงทองไส้ฟักทองผัดไข่ นอกจากนี้อคอร์สนี้ยังมีผักดองให้ตัดรสจากอาหารฝรั่ง ความเป็นไทยที่เห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่งคืออั่งโล่ ซึ่งเชฟใช้เสิร์ฟต้มยำกุ้ง! โดยวางกุ้งแม่น้ำอยุธยาย่างสมุนไพร (ซึ่งคือบ้านเกิดของเชฟเกดเอง) บนตะแกรง ถ่านที่อยู่ในเตาสามารถกินได้เพราะทำจากแป้งชูโรสผสมกาบมะพร้าวเผา ส่วนขี้เถ้าจำลองทำจากเห็ดอบแห้ง เมื่อเปิดเตาสีดำตรงหน้าจะเจอซอสต้มยำกุ้ง มาจากการเคี่ยวส่วนผสมอย่างหัวกุ้งและมันกุ้ง เวลากินใช้ก้านตะไคร้คนซอสก่อนแล้วจิ้มแป้งชูโรสกับกุ้งลงไป ได้รสชาติเหมือนต้มยำกุ้งแต่เนื้อข้นกว่า Grandma Recipe เห็นหนังสือเล่มหนาขนาดนี้ ด้านในไม่ธรรมดา มากับก๋วยเตี๋ยวเรือน้ำตกสูตรคุณยาย ที่แค่เปิดก็ตื่นเต้นแล้วเพราะเขาจะจุดไฟเผาหน้ากระดาษให้หายไปในพริบตา! ก่อนจะเจอถ้วยก๋วยเตี๋ยวเรือแก้มวัวตุ๋นน้ำสต็อก ใส่เส้นเกี้ยมอี๋ผสมเต้าหู้ยี้ ใส่ซอสสูตรพิเศษของร้านซึ่งทำจากพริกเขียวดอง อร่อย หนึบหนับ เสิร์ฟกับแคบหมู เครื่องปรุงต่างๆ Way Back Home ปกติเราอาจจะคุ้นเคยกับเมนูหอยทอดร้อนๆ แต่ที่ร้านดัดแปลงเป็นเสิร์ฟแบบเย็น มีทั้งหอยผินงาม หอยหลอด ข้าวเกรียบทำจากหอยแมลงภู่ ใส่ผักดองด้วย ทีเด็ดอีกอย่างคือซอสพริก มีส่วนผสมของพริกชี้ฟ้าเหลือง พริกชี้ฟ้าแดง เคี่ยวกับน้ำสต็อกหอยนางรม ซุปต้มโคล้งที่เคี่ยวจากปลาเนื้ออ่อนย่าง ใส่ใบมะขามอ่อนและสมุนไพรย่างเพื่อไม่ให้ทิ้งเอกลักษณ์ของซุปชนิดนี้ เสิร์ฟมากับก้างปลาทอดกรอบ กินจิ้มกับเจลใบย่านางผสมหน่อไม้ และมีเห็ดย่าง ไข่มดแดงมาเสริมทัพคอร์สนี้ Local Wisdom คั่นอาหารคาวด้วย Garden Memories รวมเหล่าผลไม้จากสวน กรานิตาใบชะมวงผสมฝรั่งวางบนครีมชีส ได้กลิ่นหอมๆ จากการแช่ดอกมะลิและเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ ในจานยังมีตะลิงปิง มะดัน มะกอก และมะม่วงเบา ราดซอสน้ำผึ้งบ๊วย รสเปรี้ยวๆ หวานๆ ต่อมา เชฟนำเสนอกับข้าวหลายๆ อย่างเหมือนโต๊ะอาหารที่บ้าน ให้เข้ากับชื่อ Family Meals ประกอบด้วย ลาบเป็ดคั่ว ใส่มะแขว่น แกงเคยลิ้นเป็ดตุ๋นที่อยู่บนไข่ตุ๋นอีกที จานใหญ่คืออกเป็ดดรายเอจย่าง ปิดด้วยหนังเป็ดกรอบๆ เสิร์ฟพร้อมผักดอง กินกับข้าวใบเนียมหอม เดินทางมาถึงส่วนของหวานกันแล้ว The Banana Forest ไอศกรีมหัวปลีผสมกล้วยดิบ มีกลิ่นรัม ราดเจลกล้วยตากอบน้ำผึ้ง ท็อปดอกกล้วยอบกรอบ วางข้างเค้กต้นอ่อนข้าวสาลีและข้าวเม่าสด ราดครีมน้ำนมข้าวก้อง ซ่อนด้วยคุ้กกี้แผ่นรูปใบกล้วยจากใบตองผสมใบเตย หยดด้วยเจลน้ำตาลสด After School ยกถนนหลังเลิกเรียนมาวางตรงหน้า แต่ละจุดได้แรงบันดาลใจจากขนมสมัยเด็กของเชฟ เริ่มจากคุ้กกี้สับปะรดทรงสามเหลี่ยม ฐานคือแป้งทาร์ตนมสดไส้สับปะรดกวนรองตัวเจลลีสับปะรดหอมสุวรรณ ถัดมาคือทับทิมกรอบพ่นช็อกโกแลตกรอบ ฐานคือเมอแรงค์มะพร้าวทำออกมาเป็นรูปกรวยจราจรเข้ากับบรรยากาศริมถนน สุดท้ายคือการดัดแปลงจากขนมใส่ไส้ ใช้แป้งขนมเบื้องประกบไส้ของขนม เครื่องดื่มทางร้านแนะนำน้ำผลไม้ผสมพริกเกลือ น้ำส้มยูซุ น้ำส้มรวมส้มมะปี๊ด ส้มเขียวหวาน และส้มแมนดาริน พิเศษสำหรับลูกค้า KTC รับสิทธิพิเศษ ส่วนลด 50% สำหรับเมนู Signature Cocktail (ปกติราคา 480 - 520 บาท) จำกัดจำนวน 2 ที่ / Sale Slip ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธ.ค. 67 ไม่น่าเชื่อว่าอาหารที่เรากินบ่อยๆ มาตั้งแต่เด็กจะเลเวลอัปได้ถึงขนาดนี้ ต้องชื่นชมความเก่งกาจของเชฟทั้ง 2 คนจริงๆ 

หลังจากเสิร์ฟความอร่อยย่านสามเสนมานานกว่า 30 ปีจนกลายเป็นร้านในตำนานขึ้นหิ้ง “Soei” ร้านอาหารไทยรสดั้งเดิมก็ขอขยายโลเคชั่นมาอยู่ที่ ‘โครงการเอเชียทีค’ ให้คุณดื่มด่ำกับวิวแม่น้ำเจ้าพระยากันบ้าง โดยสาขานี้คุณเส่ย - ณพงศ์ เกิดเจริญ (เจ้าของร้าน) อยากเน้นเสิร์ฟซีฟู้ดเด้งจากอำเภอแม่กลอง ผนวกกับบรรยากาศร้านที่จำลองเป็นเรือลำใหญ่ ภายในตกแต่งด้วยเฟอนิเจอร์ไม้สลับสีฟ้าคราม ซึ่งเป็นสีของน้ำทะเล เสมือนคุณนั่งกินซีฟู้ดเนื้อแน่นสดๆ บนเรือสำราญอย่างไรอย่างนั้น ต้อนรับด้วยซิกเนเจอร์อย่าง แก้มปลาทูทอดกระเทียม เมนูพิเศษที่ต้องโทรมาจองก่อนเท่านั้น (เสิร์ฟวันละ 10 จานต่อวัน) เพราะทางร้านใช้แก้มปลาทูสดๆ จากอำเภอแม่กลอง นำทอดกระเทียมจนเหลืองกรอบน่าอร่อย เสิร์ฟคู่ซอสพริกรสเปรี้ยว ต่อด้วย ปลากะพงราดพริกสามรส ปลากะพงตัวใหญ่เนื้อสดหวาน ที่ทางส่งตรงมาจากอำเภอแม่กลองเช่นกัน ทอดร้อนจี๋ไม่อมน้ำมัน ราดด้วยพริกสามรสที่โดดเด่นด้วยรสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด และความเผ็ดร้อนของพริกสด คนรักเนื้อห้ามพลาด หม้อไฟเนื้อตุ๋น เนื้อสามชั้นฉ่ำลิ้น และน่องลายติดเอ็นร้อยหวายเคี้ยวเพลิน อยู่ในน้ำแกงตุ๋นยาจีนรสเค็มกลมกล่อม หอมกลิ่นเครื่องยาจีนอ่อนๆ มากันที่ ยำไข่ดาว หนึ่งในเมนูขายดี (มาก) อีกจาน ไข่เป็ดดาวกรอบนอกนุ่มใน เข้ากันดีกับน้ำยำครบรส หลายคนชอบ กุ้งแม่น้ำเผาไซส์จัมโบ้ กุ้งแม่น้ำตัวบิ๊กเบิ้มเนื้อสดแน่นจากแม่กลอง ย่างบนเตาถ่านร้อนๆ จนส่งกลิ่นหอม เสิร์ฟเคียงน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดแซ่บ ยังมี ข้าวผัดกากหมู ข้าวมันกากหมูหอมกลิ่นกระทะกินเพลิน ทางร้านใส่ใบโหระพาเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมเย้ายวนอีกแรง ของหวานเราชี้เป้า โอทึ้ง ซอสน้ำทรายแดงรสหวานละมุน ไปด้วยกันได้ดีกับนมสดและเครื่องเคราต่างๆ (สายหวานฟินมาก) จิบคู่ น้ำมะพร้าว สดๆ จากสวนอัมหวานรสหวานฉ่ำ หรือจะม็อกเทล Oriental Berry Tonic รสเปรี้ยวอมหวานของน้ำสตรอว์เบอร์รี ผสมกับความโซซ่าของโซดา ใครสายดื่มควรสั่ง Tropical Lager Punch ที่มีส่วนผสมของเบียร์ลาเกอร์เย็นๆ น้ำเสาวรส และน้ำมะนาว ครบจบทุกอย่างในร้านเดียว

Le Du Kaan (ฤดูกาล) ร้านอาหารไทยบนรูฟท็อปแห่งแรกในกรุงเทพฯ ที่เป็นหมุดหมายใหม่สำหรับฉลองมื้อพิเศษในบรรยากาศสบายๆ บนชั้น 56 ของ เอญ่า รูฟท็อป แอท ดิ เอ็มไพร์ (EA Rooftop at The Empire) ซึ่งนอกจากโซนที่นั่งภายในร้านอันงดงาม ยังมีพื้นที่เอาต์ดอร์ในนั่งดื่มด่ำไปกับวิวเส้นขอบฟ้าใจกลางกรุงเทพฯ สุดตระการตา Le Du Kaan เป็นร้านอาหารน้องใหม่ล่าสุดของเชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เชฟมิชลินสตาร์ชื่อดัง ผู้ยกระดับอาหารไทยด้วยการนำวัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาล ผสมผสานเข้ากับการนำเสนอเรื่องราวอย่างมีเอกลักษณ์ โดย Le Du Kaan จะเสิร์ฟอาหารไทยในสไตล์แชริ่งและเพิ่มความแคชชวลมากขึ้น เพื่อให้แขกทุกคนแวะเวียนมาได้บ่อยเท่าที่ต้องการ โดยเฉพาะในส่วนของรูฟท็อปบาร์ที่รังสรรค์ค็อกเทลสุดพิเศษจากสุราท้องถิ่นคุณภาพดี ขณะที่ตัวร้านยังคงคอนเซ็ปต์การใช้วัตถุดิบท้องถิ่น 100% จากทั่วภูมิภาคของไทย สร้างสรรค์เป็นอาหารจานอร่อยที่เหนือความคาดหมายทั้งหน้าตาและรสชาติที่ชวนประทับใจ แนะนำอาหารเรียกน้ำย่อยอย่าง ข้าวโพดย่าง ข้าวโพดอ่อนย่างทาเคลือบด้วยน้ำพริกกะปิโรยครัสต์สมุนไพรกรุบกรอบรสเผ็ดร้อน สามารถกินได้ทั้งเปลือกสีเขียวของข้าวโพดอ่อน ส้มตำปูนิ่ม ปูนิ่มชุบแป้งกรอบคลุกเคล้าน้ำยำส้มตำ เสิร์ฟกับมะละกอดองฝานเป็นเส้นแบนรสชาติเข้าเนื้อ ได้ความสดชื่นของมะเขือเทศจากเชียงใหม่ ผสมความนัวของกุ้งแห้งปั่นและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ รวมทั้งความเผ็ดกำลังดีจากพริกจินดาดอง ยำหัวปลีรสจัดจ้าน เสิร์ฟเคียงมากับซาชิมิเนื้อปลาชิ้นหนาบนซอสแกงแดงรสกลมกล่อม ดรอปน้ำมันผักชีเพิ่มสีสันและความหอม จานนี้ทางร้านจะใช้ปลาประจำวันจากประมงพื้นบ้านเพื่อความสดอร่อยของเนื้อปลา แกงส้มชะอมกุ้ง กุ้งแชบ๊วยขนาดกำลังกิน เสิร์ฟพร้อมยอดมะพร้าวและชะอมทอดกรอบ น้ำแกงส้มรสชาติจัดจ้านเผ็ดร้อน อาหารจานหลักแนะนำ อ่อมไก่ เป็นราวิโอลีไก่ในน้ำปลาร้ากลิ่นหอม รสละมุน หอมกลิ่นสดชื่นของผักชีลาวและใบแมงลัก ลิ้นย่าง นุ่มอร่อย ทางร้านใช้ลิ้นวัวทาจิมะวากิวจากสกลนครย่างสุกกำลังดี ตกแต่งด้วยพริก ผักดอง และสมุนไพร เป็นลิ้นย่างที่ให้รสชาติดีมากๆ ตามด้วย มัสมั่นแพะ ที่ใช้แพะออร์แกนิกจากเขาใหญ่ ตุ๋นจนเนื้อนุ่มร่อนรสชาติกลมกล่อม โรยหน้าด้วยหอมเจียว มีผักดอง ดอกกะหล่ำ เม็ดมะม่วงหิมพานต์เคียงมาในจาน ผัดหมี่น้ำยาปู ก็เป็นอีกจานที่ไม่ควรพลาด เส้นบะหมี่เคลือบซอสแกงปูไว้ทุกอณู ได้ความสดหวานของเนื้อปูในทุกคำ กุ้งแม่น้ำย่าง เสิร์ฟกับข้าวผัดกะปิ มันกุ้ง หมูหวาน และเครื่องเคียง ได้ฟิลกินข้าวคลุกกะปิกับกุ้งแม่น้ำย่าง ซึ่งทางร้านคัดกุ้งไซส์ใหญ่ย่างได้สุกกำลังดี มีมันกุ้งเยิ้มๆ ชวนน้ำลายสอ หรือจะสั่งเป็นกะเพราเนื้อ ที่มาพร้อมข้าวผัดกะเพรารสเผ็ดร้อนด้วยเครื่องสมุนไพรที่คลุกเคล้าผสมผสานในข้าวผัด ท็อปด้วยเนื้อไทยวากิวตุ๋น เสิร์ฟพร้อมซุปเนื้อร้อนๆ และเนื้อสไลซ์บางเฉียบที่แค่จุ่มลงในซุปก็สุกหวานอร่อย ช่วยคลายรสเผ็ดร้อนของข้าวผัดได้ดีเยี่ยม ต่อด้วยขนมหวาน อย่าง กล้วยบวชชี ซึ่งเป็นไอศกรีมกล้วย ตักกินในหนึ่งคำในครบทุกเลเยอร์ที่มีทั้งเค้กกล้วย มะพร้าวกรอบ และซอสกะทิเค็ม หรือ ยำปลาเค็ม เป็นไอศกรีมซอร์เบตน้ำยำ ปลาเค็ม เค้กผักชี มูสผักชี ทิวหอมแดง กินกับแผ่นข้าวเกรียบ ได้รสชาติเปรี้ยวๆ เค็มๆ อร่อยลงตัว ส่วนเมี่ยงคำ เป็นไอศกรีมใบชะพลู มูสมะพร้าว ถั่วกรอบแก้ว ขิงแคนดี้ เจลมะนาว เจลพริก ซอสเมี่ยงคำ บิสกิตกุ้ง หอมแดง หรือจะลอง มะพร้าว จานนี้เป็นไอศรีมมะพร้าวคั่ว สังขยาข้าวโพด มันม่วง บัวลอย กะทิเค็ม งา สับปะรดเจล ทุกจานล้วนจัดเสิร์ฟในหน้าตาสมัยใหม่ที่อยากให้ได้ลิ้มลอง ไม่ว่าคุณจะมองหาสถานที่สำหรับรับประทานอาหารกลางวันอย่างมีสไตล์กับครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือจะเป็นมื้อค่ำสุดพิเศษกับคนรัก การฉลองในโอกาสพิเศษ หรือค่ำคืนแห่งการดื่มค็อกเทลชมพระอาทิตย์ตก Le Du Kaan คือคำตอบที่ตรงโจทย์ที่สุด ณ เวลานี้

อย่าคิดว่าร้านอาหารอีสานติดแอร์จะไม่แซ่บ! เพราะ Phed Phed จะมาเปลี่ยนความคิดคุณ Phed Phed (เผ็ดเผ็ด) ร้านอาหารที่มีหลายคอนเซปต์ โดยคุณต้อม และคุณโอม สองหนุ่มอดีตนักศึกษาวิศวะและสถาปัตย์ฯ ผู้เป็นเจ้าของร้านอยากลองอะไรหลายๆ อย่างตามสไตล์คนรุ่นใหม่ นั่นทำให้เราเห็นชื่อ Phed Phed นำหน้าแล้วต่อด้วยคำอื่นๆ อย่างเช่น Phed Phed Café เน้นขายเมนูอาหารอีสานที่คนรู้จัก Ped Ped Bistro ใส่เมนูที่คุณต้อมชอบเป็นการส่วนตัว อย่างตำหลวงพระบางลงไปด้วย หรือจะเป็น Ped Ped Ground ทำเมนูแปลกๆ มาขาย เช่น สมองหมู แกงขี้เหล็กใส่หนังควาย หรือเมนูใส่ปลาร้าโหน่ง และยังมีอีกหลายที่รวม 8 สาขาให้ไปลอง ซึ่งทุกเมนูคุณต้อมเป็นคนคิดสูตรขึ้น ส่วนเรื่องการจัดการอื่นๆ เป็นหน้าที่คุณโอมไป   สำหรับ Phed Phed Lhay ส่วนใหญ่เป็นเมนูที่เห็นตามร้านอาหารไทยตามสั่งซะส่วนใหญ่ เพราะคำว่าหลาย ในชื่อ เผ็ดเผ็ด หลาย มาจาก ‘หลากหลาย’ นั่นเอง   ตำสามนัวร์ตัวเด็ดตัวดัง ดัดแปลงมาจากตำหลวงพระบาง เพราะทางร้านรู้ว่าบางคนจะไม่ชอบกินตำเส้นแบนๆ เลยเปลี่ยนเป็นเส้นสับ และเปลี่ยนน้ำส้มตำจากปลาร้าเฉยๆ เป็นกะปิ ปลาร้า น้ำปู๋ทำเอง (เครื่องปรุงทางภาคเหนือทำจากปูนา) เลยเรียกว่าสามนัว กุ้งแม่น้ำทอดเกลือ สำหรับเราถือว่ากุ้งตัวใหญ่เลยทีเดียว แถมสดมากเนื้อเด้งสุดๆ และเป็นสูตรที่ร้านทดลองปรุงจนได้รสชาตินี้ออกมา เป็นเมนูยอดฮิตด้วยเหมือนกัน หมูสะเต๊ะ กินกับอาจาด เหตุที่เกิดเมนูนี้ขึ้นมาเพราะทางร้านอยากให้เมนูหลากหลายขึ้น เอาลูกหลานมากินได้ ไม่ได้จำกัดแค่ส้มตำ ยำต่างๆ แกงอ่อม ด้วยความที่ที่นี่ไม่ได้มีผักอีสาน เลยเอาผักจำพวกอยู่ในร้านตามสั่งมาใช้ เช่น ถั่วลันเตา ดอกกะหล่ำ ยำหอยแครง ใช้หอยสดใหม่ไปยำรสเปรี้ยวเค็ม เป็นอีกเมนูที่อร่อยจนคนสั่งเยอะ ข้าวคั่วกะทิ ดัดแปลงมาจากข้าวคลุกกะปิ เพราะไม่ชอบหมูหวานน้ำเยิ้มๆ เลยปรับเป็นหมูหวานคั่วแห้ง ของหวานแนะนำเค้กมะพร้าวเนื้อนุ่ม ไม่หวานเลี่ยน มีเนื้อมะพร้าวให้เคี้ยวเล่นแบบจุกๆ แต่ถ้าใครเลิฟทุเรียนก็ต้องทุเรียนชีสพาย (เราเป็นคนไม่กินทุเรียนจึงยกหน้าที่นี้ให้พี่ตากล้องและได้รับฟีดแบ็กว่าอร่อย!) ใครชอบเผ็ดมากเผ็ดน้อย หรือไม่เผ็ดก็บอกทางร้านได้นะ และบอกเป็นจำนวนเม็ดพริกได้จะดีมาก เพราะเผ็ดของเราไม่เท่ากันอยู่แล้ว   พูดถึงสไตล์การตกแต่งร้าน เรามองว่าค่อนข้างอบอุ่นเหมือนบ้านแต่มีซ่อนความ Abstract ไว้ โดยเฉพาะลายบนโต๊ะอาหารชั้น 2 ดูเก๋ไม่เบา คุณต้อมและคุณโอมบอกว่า พื้นที่ที่เห็นเป็นบ้านเก่า แต่สภาพยังดีเลยไม่อยากทำไรมาก แค่นำเฟอร์นิเจอร์มาวาง ใส่โคมไฟ ทาสี แล้วก็ใส่อะไรที่พวกเขาชอบให้มันดูเข้ากันจนเป็น Phed Phed Lhay ที่สมบูรณ์

ร้านอร่อยในเมืองดอกบัวงามมีมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ลาบเป็ดคนลือ ร้านอาหารอีสานรุ่นเดอะที่เสิร์ฟรสแซ่บๆ มาแล้วกว่า 20 ปี เจ้าของคือคุณเสาร์ ระสาสม ที่เริ่มจากการเปิดร้านลาบเล็กๆ หน้าอำเภอลืออำนาจแห่งจังหวัดอำนาจเจริญ และได้รับกระแสตอบรับดีอย่างล้นหลาม ก่อนย้ายไปเปิดบริเวณสามแยกลือชัย (สาขาดั้งเดิม) ด้วยแอเรียที่มากกว่า (รับลูกค้าได้ 100 คน) และตอกย้ำความปังด้วยการขยายโลเคชั่น 3 สาขาในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งครั้งนี้เรามีโอกาสมาลิ้มลองที่ ‘ลาบเป็ดคนลือ ริมมูล’ ให้คุณฟินกับอาหารไทย – อีสานกว่า 80 เมนู ไม่ว่าจะเป็นเมนูทอด ตำ ลวกจิ้ม ซีฟู้ด พร้อมกับดื่มด่ำวิวแม่น้ำมูลทอดยาวที่ทั้งสวยและสงบ ขอบอกว่ายามค่ำคืนบรรยากาศดีมาก เรียกน้ำย่อยด้วย กุ้งชุบแป้งทอด สีเหลืองทองร้อนจี๋ เนื้อเด้งหวาน ผิวนอกกรุบกรอบ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มบ๊วย ตามด้วย กุ้งแช่น้ำปลา กุ้งแชบ๊วยเนื้อสด ราดน้ำยำรสจัดจ้านจี๊ดจ๊าด ยำวุ้นเส้นทะเล ก็ดีงาม วุ้นเส้นเหนียวนุ่ม มิ๊กซ์กับคาราวานซีฟู้ดอย่าง ปลาหมึก หนึบหนับ กุ้งตัวโต ได้รสเปรี้ยวเผ็ดเต็มพิกัด หลายคนชอบ กุ้งทอดซอสมะขาม เพราะได้รสหวานอมเปรี้ยวของซอสมะขามสูตรเฉพาะ เข้ากันดีกับกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ทอดไม่อมน้ำมัน โรยด้วยหอมเจียวล้นๆ และพริกแห้ง ขาดไม่ได้กับ ลาบเป็ด เมนูซิกเนเจอร์ที่ใครมาก็ต้องสั่ง เป็ดเนื้อแน่นหั่นชิ้นพอดีคำ เคล้าเครื่องเคราหอมๆ ได้ทั้งรสเค็ม เปรี้ยว และความเผ็ดร้อนจากพริกป่น ต่อด้วย บ้องตันผัดเผ็ด บ้องตัน หรือเนื้อจระเข้แน่นๆ (สัมผัสละม้ายคล้ายไก่) ผัดพร้อมพริกแกงตำเองสูตรเด็ด และสมุนไพรนานาชนิด ปิดท้ายด้วย ต้มยำทะเลน้ำข้น เสิรฟ์มาในหม้อไฟร้อนฉ่า ท้าให้คุณลิ้มลอง ได้รสเปรี้ยวกลมกล่อม ผสมกับความเผ็ดเป่าปาก แถมยังเต็มไปด้วยเหล่าซีฟู้ดสดเด้ง จบด้วยไอศกรีมสักถ้วยก็คงดี

ร้านข้าวมันไก่ที่มาแรงที่สุดของปี 2024 นี้จะเป็นร้านใดไปไม่ได้นอกจาก โต๊ะคิม (TOH-KIM) เสิร์ฟข้าวมันไก่ตำรับไทย-ไหหนาน ปรุงอย่างสุดฝีมือจากสูตรลับฉบับ 'ปลา iberry' เรียกได้ว่าเป็นน้องใหม่ป้ายแดงที่มาแรง แม้ว่าจะเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานแต่ความอร่อยนั้นดังไกลจนคนแน่นตลอดวันตามรุ่นพี่ในบ้านทองสมิทธ์มาติดๆ สิ่งที่ทำให้ร้านคิวยาวคงเป็นเสน่ห์ของข้าวมันไก่ที่ทุกคนเฝ้าถามหา ซึ่งทางร้านได้หยิบจุดเด่นแต่ละอย่างของข้าวมันไก่ในอุดมคติของใครหลายคนมารวมไว้ โดยพัฒนาเป็นไก่สับจานแยกให้กินแบบแชริ่ง เสิร์ฟกับข้าวมันเรียงเมล็ด หอมกลิ่นกระเทียมและขิง เพิ่มรสชาติด้วยน้ำจิ้มหลากสไตล์ อีกทั้งยังมีเมนูเคียงอื่นๆ ให้เลือกสั่งมากินควบคู่กันไป ส่วน Masterpiece ที่พร้อมสับแล้วยกมาเสิร์ฟในมื้อนี้ได้แก่ ไก่ต้ม ไก่สับที่มีให้เลือกหลายขนาด เนื้อไก่สุกกำลังดี ไม่แห้งและด้านจนเกินไป กินกับข้าวและน้ำจิ้มเข้ากันได้ดีมาก ต่อด้วย ตับไก่ ชิ้นขนาดพอดีคำมีความนุ่มละมุน ละลายในปากได้โดยไม่ต้องออกแรงเคี้ยว เข้ากันได้ดีกับซอสรสเค็มนิดๆ ที่ราดมาให้อย่างชุ่มฉ่ำพร้อมโรยกระเทียมเจียวโปะหน้า คอหมูย่างน้ำผึ้ง เป็นคอหมูย่างรสเด็ดที่หมักจนเข้าเนื้อ หอมกลิ่นสโมกผนวกกับรสนวลๆ ของน้ำผึ้งอบอวลในปาก จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วรสแซ่บอร่อยทีเดียว และ แตงกวาน้ำมันงา แตงกวาเนื้อกรอบหอมกลิ่นน้ำมันงามาแต่ไกล กินแกล้มกับเนื้อไก่ ตับไก่ และคอหมู ได้อย่างลงตัว ขอแอบเน้นว่าเป็นจานที่ขาดไม่ได้เลย สาขาต่อไปจะไปเปิดใกล้บ้านใครต้องรอติดตาม

สานฝันให้คนรักหมูปิ้งจริงๆ สำหรับ หมูแข็งแรง คาเฟ่หมูปิ้งโบราณเปิดใหม่แห่งย่านบรรทัดทอง เจ้าของคือคุณบอมและคุณแบม เพื่อนซี้ที่อยากชูโรงเมนูหมูปิ้งโบราณให้โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของเมืองไทย จึงนำสูตรครอบครัวมาเปิดแบรนด์หมูแข็งแรงให้เราได้ชิม ซึ่งหลายคนอาจจะเคยเห็นป็อปอัพที่ตลาดถนอมมิตร วัชรพล บูธในห้างฯ หรือบนสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT เป็นมื้อเช้าแสนอร่อยให้ชาวออฟฟิศกันถ้วนหน้า ก่อนทั้งสองจะตัดสินใจมาเปิด Flagship Store ที่ย่านบรรทัดทองแห่งนี้ (ซอยจุฬา 16) ตัวร้านตกแต่งด้วยสีส้มสดใส เดินเข้าไปจะเจอบรรยากาศเรียบง่ายที่มีทั้งเฟอร์นิเจอร์โมเดิร์น ผนังสีส้มอิฐที่แซมด้วยกระดานดำใหญ่ เหมือนห้องเรียนจำลองที่พาย้อนวันวานตอนเรากินหมูปิ้งโบราณก่อนเข้าเรียน ความพิเศษของหมูปิ้งที่หมูแข็งแรงคือการหมักข้ามคืนด้วยสามเกลอ ทำให้ได้เนื้อที่นุ่ม บวกกับรสกลมกล่อมที่ไม่หวานไม่เค็มจนเกินไป ย่างด้วยถ่านกะลาที่ทั้งหอมและควันน้อย เสิร์ฟคู่กับข้าวเหนียวและข้าวสวยพันธุ์พิเศษที่นุ่มนิ่ม กินอร่อย นอกจากนี้ที่ร้านจะเติมความอร่อยให้หมูปิ้งด้วยน้ำจิ้ม 3 สูตรเด็ดอย่าง น้ำพริกแจ่วปลาร้า รสจัดจ้าน แจ่วบอง สูตรอร่อยของชาวขอนแก่นครอบครัวของคุณแบม น้ำพริกตาแดง และน้ำจิ้มแจ่วสูตรมะขาม (เราชอบมาก) ประเดิมด้วย ชุดประถม หมูปิ้งโบราณชุดเล็ก เหมาะกับเด็กน้อยเพราะอิ่มเอมกำลังดี ชิมหมูปิ้ง 5 ไม้เนื้อชุ่มฉ่ำ รสหวานปนเค็ม กินคู่ข้าวเหนียวนิ่มนุ่ม ใหญ่ขึ้นมาหน่อยจะเป็น ชุดมัธยม เซ็ตหมูปิ้งโบราณที่เสิร์ฟในถาดหลุมน่ารัก เสมือนย้อนไวไปช่วงมัธยม อิ่มอร่อยกับหมูปิ้งสูตรเฉพาะ 10 ไม้ มาพร้อมกับข้าวเหนียวอิ่มเอม ผักสด และน้ำจิ้มที่คุณสามารถเลือกได้ทั้งน้ำพริกแจ่วปลาร้า แจ่วบอง น้ำพริกตาแดง และน้ำจิ้มแจ่วสูตรมะขาม ชุดข้าวหมูย่าง นี่แหละเมนูขายดีเกินคาด หมูย่างร้อนฉ่ารสกลมกล่อม หอมกลิ่นสามเกลอ กินกับข้าวสวยนุ่มๆ และ น้ำจิ้มแจ่วสูตรมะขามรสเปรี้ยวละมุน นอกจากนี้ที่ร้านยังมีเมนูไก่รสชาติดีไม่แพ้กัน ทั้ง ไก่ย่างขมิ้น ที่ใช้ส่วนอกเนื้อแน่น หมักน้ำซอสรสหวานๆ เค็มๆ และผงขมิ้นหอมๆ ย่างบนเตาถ่าน จนได้ไก่ย่างขมิ้นเนื้อนุ่ม กินเพลิน หรือจะลอง ชุดข้าวไก่ย่าง ไก่ย่างขมิ้นเนื้อนุ่มแน่นรสชาติดี เข้าคู่ข้าวสวยร้อนๆ น้ำจิ้มแจ่วที่โดดเด่นด้วยรสเปรี้ยวพอเหมาะของน้ำมะขาม อิ่มเอมพร้อมลุยงานต่อ

ข้าวอุ่น คือร้านอาหารเหนือพื้นเมืองแสนอร่อยที่อยู่คู่เชียงใหม่มานานหลายสิบปี ให้นึกถึงภาพร้านอาหารในบ้านแบบคลาสสิกที่แฝงไปด้วยความเรียบง่าย สบายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตอง แต่รสชาติอาหารนั้นสูสีกับร้านใหญ่ๆ เลยก็ว่าได้ ความอร่อยที่ได้มาจากฝีมือการทำอาหารของเจ้าของร้านที่เป็นคนเชียงใหม่แท้ๆ และลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง แต่ละเมนูที่ได้จึงมีความประณีตและพิถีพิถันตามแบบต้นฉบับรสชาติดั้งเดิม แต่สิ่งที่ทำให้อาหารอร่อยขึ้นไปเท่าตัวคงต้องยกให้ข้าวเหนียวกับข้าวสวยอุ่นๆ ที่เสิร์ฟมาให้ เพราะเจ้าของร้านเชื่อว่า 'ข้าวอุ่นๆ กินกับอะไรก็อร่อย' นี่จึงเป็นที่มาของชื่อร้านด้วยเช่นกัน มาเริ่มกันที่เมนูซิกเนเจอร์ห้ามพลาดอย่าง แกงฮังเลขาหมู หอมมาแต่ไกล ด้วยเครื่องแกงสุดเข้มข้นหอมกลิ่นขิงชัดเจน เสิร์ฟมาพร้อมขาหมูที่ตุ๋นจนเปื่อยนุ่ม เป็นไฮไลต์ที่ทำให้แกงฮังเลของร้านนี้ต่างจากร้านอื่น แถมยังอร่อยจนต้องสั่งอีกถ้วย ต่อด้วย ลาบคั่ว หมูสับผสมเครื่องในหมูคั่วจนแห้งไปพร้อมกับเครื่องเทศกลิ่นหอมอ่อนๆ ตามสไตล์ลาบเหนือ ให้รสเค็มนิดๆ และเผ็ดเพียงปลายลิ้นเท่านั้น เชียงดาผัดไข่ ผักพื้นเมืองเหนือผัดกับไข่และกระเทียม มีความเค็มๆ มันๆ ให้ฟีลคล้ายใบเหลียงผัดไข่ของภาคใต้ แต่ผักเชียงดาจะกรอบและหวานกว่าเล็กน้อย ใครได้ลองก็ติดใจแน่นอน แล้วคุณจะติดใจจนต้องกลับไปซ้ำ