หลังจากที่ MaiMai Eatery ร้านอาหารไทยคอมฟอร์ตฟู้ดสุดคลาสสิกภายในศูนย์การค้า เดอะ เพนนินซูล่า พลาซ่า ได้หยุดกิจการพักไปกว่าหนึ่งปี ก็ถึงเวลาที่จะกลับมาเปิดให้แฟนๆ เหล่านักชิมได้ไปลิ้มรสความอร่อยอีกครั้งในบ้านหลังใหม่ที่ดูโมเดิร์นอบอุ่นกว่าที่เคย โดยตั้งอยู่บนทำเลดีภายในซอยอารีย์สัมพันธ์ 1 แหล่งรวมร้านเด็ดร้านดังไว้นั่นเอง สำหรับการกลับมาครั้งนี้ทางร้านได้เปลี่ยนสีประจำร้านจากสีน้ำเงินเรียบหรูให้เป็นสีแดงชวนสะดุดตา เพื่อทำให้ร้านดูโมเดิร์นสดใสขึ้นกว่าเดิม ผสมผสานกับการตกแต่งสไตล์โฮมมี่ ซึ่งเลือกใช้งานไม้ในการออกแบบเป็นหลัก และเติมเต็มบรรยากาศอบอุ่น โปร่งโล่งสบายตาด้วยแสงธรรมชาติที่ส่องผ่านกระจกใสบานใหญ่เข้ามาตลอดวัน ที่นี่ยังคงคอนเซ็ปต์เสิร์ฟเมนูก๋วยเตี๋ยวเรือพรีเมียมจากวัตถุดิบสดใหม่ได้คุณภาพเหมือนเมื่อครั้งยังเป็น Le Jardin เพิ่มเติมมาด้วยหลากหลายเมนูคอมฟอร์ตฟู้ดรสชาติดั้งเดิมที่ส่งต่อความอร่อยแบบรุ่นสู่รุ่น อาทิ ก๋วยเตี๋ยวเรือใหม่ใหม่เนื้อริบอาย (390.-) น้ำซุปที่ผ่านการเคี่ยวมาอย่างพิถีพิถัน ไปด้วยกันได้ดีกับเนื้อริบอายออสเตรเลียและลูกชิ้นเนื้อเด้ง เติมความหอมด้วยกากหมูเจียวที่ทอดใหม่ทุกวัน รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม ใครที่ไม่กินเนื้อก็สามารถเลือกเป็น ก๋วยเตี๋ยวเรือเพนนินหมูคุโรบูตะ (280.-) ที่ท็อปมาด้วยหมูคุโรบูตะเนื้อนุ่มชิ้นโต มาพร้อมลูกชิ้นหมูอย่างดี รับรองว่าพรีเมียมไม่แพ้กัน ต่อด้วย โครเกต์เนื้อปูก้อนซอสทาร์ทาร์ (480.-) เมนูแนะนำที่การันตีความอร่อยด้วยรางวัลมิชลินปี 2021 ภายในโครเกต์อัดแน่นด้วยเนื้อปูหวานสด กินคู่กับซอสทาร์ทาร์สูตรโฮมเมดสัมผัสละมุนละไมเข้ากันได้อย่างลงตัว อร่อยกันต่อเพลินๆ ด้วย ข้าวตังหน้าตั้ง (160.-) ข้าวตังทอดหอมกรอบเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มรสเข้มข้นจากเนื้อกุ้งและไก่สับ ผัดมากับกะทิหอมแดงและเครื่องเทศอีกหลายชนิด วุ้นเส้นผัดยอดชะอมไข่เจียว (280.-) วุ้นเส้นเหนียวนุ่มผัดคลุกเคล้ามากับยอดชะอมกรุบกรอบและกุ้งเนื้อหวานตัวโต อร่อยหอมกรุ่น อิ่มสบายท้อง ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง กล้วยไข่เชื่อม (120.-) กล้วยไข่เนื้อแน่นกำลังดี เชื่อมมากับน้ำตาลจนเนื้อสัมผัสฉ่ำมันวาว ตัดรสชาติด้วยน้ำกะทิสดจากหัวกะทิแท้ และ เครมบรูเล่มะพร้าวอ่อน (190.-) กินแล้วได้สัมผัสกรุบกรอบของคาราเมลน้ำตาลไหม้ด้านบนและความหอมนุ่มละมุนของคัสตาร์ดมะพร้าวด้านล่าง เป็นการผสมผสานขนมสไตล์ฝรั่งเศสและไทยได้อย่างลงตัว

NAVA Restaurant ร้านอาหารไทยสไตล์ Local Thai - Fine Cuisine กับเมนูโฮมเมด รังสรรค์ด้วยวัตถุดิบคุณภาพที่คัดสรรเป็นพิเศษจากจังหวัดต่างๆ ทั่วท้องถิ่นไทย ทุกเมนูปรุงอย่างประณีตเพื่อรสชาติตามแบบฉบับของอาหารไทยดั้งเดิม ตัวร้านตั้งอยู่ภายใน The Salil Hotel Riverside Bangkok (โรงแรม เดอะ สลิล ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ) บนถนนสายสำคัญริมแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเจริญกรุง ภายในร้านมีพื้นที่กว้างขวาง เลือกนั่งได้ถึง 4 โซน ได้แก่ NAVA-Kitchen, NAVA Sala, NAVA Terrace และ NAVA Chef's Table ให้ทุกคนได้ดื่มด่ำบรรยากาศในแบบที่ตัวเองชื่นชอบ มื้อนี้เป็นคิวของโซน NAVA-Kitchen ห้องอาหารไทยฟิวชันสุดหรู ที่เน้นเสิร์ฟอาหารไทยรสชาติถึงเครื่องแบบพื้นเมืองแท้ๆ อีกทั้งยังเสิร์ฟพอร์ชันใหญ่ สามารถสั่งมาแชร์กันได้ เริ่มต้นที่อาหารกินเล่นอย่าง ปอเปี๊ยะดินสอ แท่งแป้งปอเปี๊ยะทอดกรอบจนสีเหลืองสวย ภายในสอดไส้กุ้งสับปรุงรสกลมกล่อม กินคู่หมี่กรอบและซอสมาโย เมนูต่อมา หมูคลุกฝุ่นย่างน้ำจิ้มแจ่ว หมูย่างสุกกำลังดีคลุกพริกป่นและข้าวคั่ว เพิ่มรสจัดจ้านยิ่งขึ้นอีกด้วยน้ำจิ้มแจ่วรสแซ่บ ตามด้วย ผัดไทยกุ้งแม่น้ำ ที่ให้รสชาติครบรสทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม อร่อยได้โดยไม่ต้องปรุงเพิ่ม กินคู่กุ้งไซส์ใหญ่ลงตัวสุดๆ ถัดมาคือเมนูฟิวชันจานยักษ์ เนื้อวัวออสเตรเลีย ย่างระดับมีเดียมแรร์ มีมันแทรกเล็กน้อย เนื้อนุ่มละลายในปาก เคียงมาด้วยผักย่างกับซอสตะไคร้และซอสมะขาม อร่อยมากทีเดียว

เบื้องหลังกำแพงทึบในซอยพหลโยธิน 34 เพียงแค่ก้าวข้ามผ่านประตูไปก็เหมือนได้พบกับอีกโลกหนึ่งที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยสีเขียวของร่มไม้นานาชนิด รายล้อมอยู่รอบ ๆ สระน้ำที่ร้านเริน (Rern) ตั้งใจจำลองมาจากสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในจังหวัดกระบี่ ‘เริน’ ในภาษาใต้นั้นหมายถึง ‘บ้าน’ เพราะฉะนั้นในทุกรายละเอียดจึงสอดแทรกไปด้วยความอบอุ่นเหมือนกินข้าวบ้านที่ทุก ๆ จานล้วนปรุงด้วยรสมือของคนคุ้นเคย แล้วนำเสนอออกมาในแบบฉบับ Fine-Dining ที่สร้างความประทับใจได้ตั้งแต่สายตาไปจนถึงปลายลิ้น เชฟบอส-ธนชล เลาวพงษ์ คือหัวเรือใหญ่ในการรังสรรค์เมนูอาหารใต้ในรูปแบบใหม่นี้ ด้วยการลงพื้นที่จริงและเข้าไปคลุกคลีกับคนท้องถิ่น เพื่อถ่ายทอดรสชาติ วัตถุดิบ และวัฒนธรรมของอาหารใต้ในหลากหลายจังหวัดอย่างถึงแก่น โดยคอร์สเมนูจะสลับสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละฤดูกาลเพื่อบอกเล่าเอกลักษณ์อาหารใต้แต่ละพื้นที่อย่างครบถ้วน ปฐมบทของเรินเพิ่งจะเริ่มต้นได้ไม่นานแต่พกพาเอาความน่าสนใจมาเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะ 3 เมนูโดดเด่นในเมนูคอร์สของร้าน ได้แก่ กรรเชียงปูม้า ในหลนปูไข่ จำลองภาพของสระมรกต จังหวัดกระบี่มาเป็นแรงบันดาลใจ แต่เปลี่ยนจากสระน้ำสีฟ้าให้หลายเป็นเนื้อหลนปูไข่สีขาวนวล แต่งแต้มสีสันด้วยน้ำมันพริกขี้หนูเขียว ตัดเลี่ยนด้วยไหลบัวดองและใบแว่นแก้วเสมือนดอกบัวและใบบัวในสระน้ำ มาพร้อมก้ามปูคัดสรรอย่างดีจากทะเลชุมพรและสุราษฎร์ธานี (ตามฤดูกาล) จานต่อมาคือ หมึกหอมผัดน้ำดำ สูตรของชาวบ้านในหมู่บ้านคีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ทางร้านเลือกชูความสดใหม่ของหมึกหอมที่ผ่านกระบวนการทำความสะอาดด้วยน้ำทะเลฆ่าเชื้อก่อนแช่เย็นส่งตรงมาถึงกรุงเทพฯ และด้วยความใหญ่ไซส์ตัวละ 1 กิโลกรัม ทำให้หมึกมีเนื้อหนา เด้ง และหนึบ เคี้ยวสนุก ส่วนดีหมึกที่อยู่ในตัวนั้นนำมาทำเป็นซอสผัดที่ผสานไปด้วยรสชาติสมุนไพรจากพริกไทยขาว รากผักชี กระเทียม หอมแดง ขิงอ่อน ตะไคร้ และใบมะกรูดอ่อน อีกจานที่นับเป็นตัวชูโรงก็คือ แกงส้มขาหมูออร์แกนิกหน่อไม้ดอง ที่แปลงโฉมเมนูแกงแบบเดิมไปจนหมด จากน้ำแกงสีเหลืองส้มก็กลายเป็นน้ำแกงใสแจ๋วแต่ยังคงรสชาติน้ำแกงที่เผ็ดร้อน ได้ความเปรี้ยวจากมะอึก ส้มแขก และสับปะรด ใส่หน่อไม้ดองสูตรพิเศษที่ดองด้วยน้ำซาวข้าวสังข์หยด ซึ่งเป็นข้าว GI จากจังหวัดพัทลุง ส่วนขาหมูนั้นเลือกใช้ส่วนต้นขาได้ทั้งเนื้อ หนัง และไขกระดูก นำไปเผาถ่านให้หนังด้านนอกมีกลิ่นควันหอม ๆ เข้ามาเพิ่มอรรถรสให้กับน้ำแกงด้วย “ขอเชิญเข้าเริน” ที่เป็นได้ทั้งเชิญเข้าบ้านและเชิญเข้าร้านเรินมาลิ้มลองอาหารใต้ในรูปแบบของไฟน์ไดนิ่ง แม้จะหน้าตาต่างไปจากต้นตำรับ และรสชาตินั้นหรอยแรงไม่แพ้กันอย่างแน่นอน

ตอนนี้อาหารใต้กำลังมาแรงสุด ๆ นอกเหนือไปจากคู่มือมิชลินไกด์ ที่เดินทางลงภาคใต้มาหลายปี แต่เรายังเห็นได้ผ่านร้านอาหารใต้ในกรุงเทพมหานครที่เกิดขึ้นกันเรื่อย ๆ แถมยังน่าลองไปเสียทุกร้าน หนึ่งในนั้นคือ ‘บ้านสะใภ้ใต้’ ร้านอาหารใต้ที่ขายความซี๊ดส่งตรงจากดินแดนต้นตำรับตามแบบฉบับของสะใภ้คนใต้และปรุงด้วยจริตของคนใต้จริง ๆ บ้านสะใภ้ใต้สร้างความประทับใจตั้งแต่ก้าวเข้าร้านด้วยภาพวาดที่มาพร้อมลายเส้นและสีสันอันโดดเด่นของศิลปิน Pommechan ร้อยเรียงเป็นภาพของตลาดเมืองเก่าตะกั่วป่า จังหวัดพังงา บอกเล่าเรื่องราวของการคัดสรรวัตถุดิบท้องถิ่นในภาคใต้มาประกอบเป็นจานอาหารบนโต๊ะของสะใภ้ใต้ เนื่องจากที่ตั้งของบ้านสะใภ้ใต้นั้นอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกับโรงแรม Vic3 Bangkok (โรงแรม วิค 3 แบงค็อก) ในซอยพหลโยธิน 3 ภายในร้านจึงมีทั้งอาหารใต้ที่สามารถเข้ามาลิ้มลองได้ตลอดทั้งวัน และอาหารจานเดียวที่เหมาะสำหรับมื้อเช้าของวัน (แต่ก็สั่งมากินได้ทั้งวันเช่นกัน) อย่างเมนู ข้าวต้มแห้งกุ้งผัดกระเทียมมันกุ้ง กุ้งเนื้อเด้งหั่นชิ้นพอดีคำผัดกับกระเทียมมันกุ้ง ได้รสชาติเค็มมันกำลังดี เข้ากับข้าวต้มแห้งเนื้อเนียน นอกจากข้าวต้มแห้งที่มีให้เลือกหลากหลายเมนูแล้ว ในส่วนของผัดกะเพราของที่ร้านก็ไม่เป็นสองรองใคร โดยเฉพาะ เนื้อสเต๊ก Australian Ribeye Grain Fed Dry Aged 30 Day เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียวผัดกะเพรา เนื้อริบอายนำเข้าจากออสเตรเลีย ผ่านการดรายเอจมาแล้ว 30 วันจนได้รสชาติและกลิ่นของเนื้อสุดเข้มข้น เพิ่มรสชาติให้เข้มข้นได้กว่าเดิมด้วยน้ำจิ้มซอสกะเพรา กินคู่กับข้าวเหนียวผัดกะเพราที่สามารถเลือกระดับความเผ็ดได้หลายระดับผ่านลูกเล่นของการกินเผ็ดจากคนในครอบครัวสะใภ้ใต้ ได้แก่ เผ็ดลูกสาว (พริก 1 เม็ด) เผ็ดคนกรุง (พริก 3 เม็ด) เผ็ดสะใภ้ (พริก 5 เม็ด) และเผ็ดนายหัว (พริก 10 เม็ด) เอาใจคนชอบกินผัดกะเพราในแต่ละเลเวล ท็อปด้วยไข่แดงดอง ส่วนของอาหารใต้สูตรส่งตรงจากตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เริ่มต้นด้วยของเรียกน้ำย่อย กะหรี่พัฟฟ์ไส้ไก่ เสิร์ฟพร้อมอาจาด กะหรี่พัฟตัวอวบไส้แน่น ๆ ที่ผสมผสานไปด้วยเครื่องเทศหลากหลายชนิด ให้กลิ่นอายของอาหารแขกอย่างชัดเจน เมื่อจิ้มกับอาจาดตามแบบฉบับของกะหรี่ปั๊บทางใต้ กระทงทองไก่แบบปีนัง เป็นอีกหนึ่งเมนูเรียกน้ำย่อยที่ไม่ควรพลาด เพราะนอกจากจะเป็นกระทงทองที่แปลกหน้าแปลกตามาในกระทงทรงสูงด้วยพิมพ์แบบเปอรานากันแล้ว ยังมาคู่กับน้ำจิ้มแดงสูตรพิเศษที่ทำจากพริกแห้งและมะเขือเทศสด ทำให้กระทงทองของที่นี่ไม่เหมือนกระทงทองซึ่งเป็นของว่างไทยในแบบที่เราเคยลิ้มลอง ต่อด้วยเมนู ตำตะลิงปลิงเคยใต้กุ้งเสียบกรอบ เมนูยำที่กินแล้วได้ความเปรี้ยวสดชื่นจากผลตะลิงปลิง แต่ใช้ว่าจะเปรี้ยวเพียงอย่างเดียวเพราะมีเคยใต้และกุ้งเสียบแห้งกรอบมาสร้างรสเค็มตัดกันอย่างลงตัว สำหรับเมนูข้้าวแบบใต้ ๆ ต้องยกให้กับ ข้าวผัดไตปลาแห้งและไข่เจียวฟู เสิร์ฟพร้อมหมูทอดสะใภ้ ข้าวเมล็ดเรียงตัวสวยสีเหลืองทองจากไตปลาแห้งส่งตรงจากใต้ ได้รสชาติเข้มข้นจัดจ้าน หอมกลิ่นสมุนไพร มาพร้อมกับไข่เจียวฟู ๆ แนะนำให้สั่งหมูทอดมากินพร้อมกับจานนี้เป็นการเพิ่มความพิเศษพร้อมด้วยน้ำจิ้มแจ่วสูตรเด็ด เส้นหมี่ผัดกระเฉดมันกุ้งและกุ้งแม่น้ำตาปีย่าง เอาใจคนชอบกินกุ้งด้วยกุ้งแม่น้ำตาปีตัวใหญ่เนื้อเด้งหวาน หัวมันเยิ้ม ที่เพียงแค่เห็นก็ชวนให้น้ำลายสอ จัดมาคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดและเส้นหมี่ผัดกระเฉด เมื่อพูดถึงอาหารใต้แล้วจะขาดเมนู ขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้ปู ไปไม่ได้ น้ำยาสุดเข้มข้นด้วยเนื้อปู ผสานรสชาติเข้มข้นจากพริกแกงที่ร้านตำเองผสมไปกับน้ำกะทิคั้นสด เสิร์ฟพร้อมไข่เป็ดต้ม และผักเคียงที่ประกอบไปด้วยผักสดหลากชนิดและผักดองแบบใต้ แกงเหลืองมังคุดคัด ปลากะพง ทางร้านเลือกใช้มังคุดคัด หรือมังคุดลูกอ่อนที่สามารถกินได้ทั้งผล ให้สัมผัสออกไปทางหวานกรอบ มาพร้อมปลาชิ้นใหญ่เหมาะสำหรับกินคู่ข้าวสวยร้อน ๆ สักจาน ผักเหลียงผัดไข่เป็ด เป็นหนึ่งในเมนูอาหารใต้สุดคลาสสิกที่ง่าย ๆ แต่ไม่ว่าใครก็กินได้ ทางร้านนำมาผัดกับไข่เป็ดจึงมีสีสันน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น หมูต้าวอิ้ว หรือภาคใต้ในบางจังหวัดจะเรียกกันว่าหมูฮ้อง เป็นหมูส่วนสามชั้นที่ร้านนำไปตุ๋นกับเครื่องเทศนานถึง 6-8 ชั่วโมงจนเข้าเนื้อ  ห่อหมกปลาไร้แป้งใบชะพลู พิเศษด้วยส่วนผสมเรียบง่ายเพียง 3 อย่างคือ กะทิ พริกแกง และเนื้อปลาอินทรีสด ที่กวนจนเหนียวแล้วนำไปนึ่ง จบของคาวแล้วต่อด้วยของหวานที่มีให้เลือกอีกหลายเมนูไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมนูโปรดตลอดกาลของร้านอย่าง บัวลอยเผือกมะพร้าวอ่อนและเผือกหอม (กะทิคั้นสด มะพร้าวอ่อนบ้านแพ้ว) ที่ใครได้ลองก็จะต้องประทับใจด้วยเม็ดบัวลอยอัดแน่นด้วยเนื้อของเผือก สอดแทรกด้วยกะทิหวานมัน สาคูแท้เปียกลำไย สัมผัสเหนียวนุ่มละมุนของเม็ดสาคูแท้ที่หากินได้ยาก ตัดด้วยน้ำกะทิเค็มมัน และที่ไม่เหมือนใครสุด ๆ คือ ไอติมกะทิกับบีโกหมอย ขนมชื่อแปลกของภาคใต้ ที่ทำจากข้าวเหนียวดำต้มกะทิ ซึ่งทางร้านนำมาจับคู่กับไอติมกะทิแบบไทย ๆ ได้อย่างลงตัว ปิดท้ายด้วยของหวานเพิ่มความสดชื่นขั้นสุด น้ำแข็งไสส้มมะปี๊ด ที่ขนมาทั้งความเปรี้ยวของมะปี๊ดหรืออีกชื่อหนึ่งว่าส้มจี๊ดในรูปแบบของเกล็ดน้ำแข็ง และผลมะปี๊ดสดให้บีบเพิ่มความเปรี้ยวและความหอมสดชื่นในทวีคูณไปยิ่งกว่าเดิม นอกจากร้านใหญ่ที่ ซ.พหลโยธิน 3 สะใภ้ใต้ยังมีป๊อบอัปชื่อว่า Sapaitai Pop (Block 28) ตั้งอยู่ที่ ซ.จุฬาลงกรณ์ 9 ที่หยิบยกหลากหลายเมนูจากบ้านสะใภ้ใต้ไปเสิร์ฟกันในย่านใจกลางกรุงเทพมหานคร กับรสชาติที่ทำให้หายคิดถึงภาคใต้ของไทยได้ไม่ยากเลย

ปิ่นโตนามีตาล ร้านอาหารใต้กลางเมืองปทุมธานี ในบรรยากาศน่านั่งริมคันนาและดงตาล โดดเด่นด้วยเมนูแกงใต้กว่า 30 เมนู ที่ให้กลิ่นอายความเป็นอาหารใต้แท้ๆ จากเครื่องแกงที่อัดแน่นด้วยสมุนไพรนานาชนิด ปรุงรสจัดจ้าน เผ็ดร้อน ตามเอกลักษณ์ของความเป็น ‘อาหารใต้’ ไม่ต้องลงไปถึงใต้ แค่เพียงขับรถมายังถนนปทุมธานี-รังสิต เป็นต้องสะดุดตากับสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นจากไม้ไผ่ สานให้เข้ากันจนเกิดเป็นร้านอาหารใต้ดีไซน์เก๋ เหมาะแก่การมาฝากท้องยามหิวและถ่ายรูปเช็คอินบนสะพานไม้เรียบคันนา ด้วยสถานที่ที่โล่งปลอดโปร่งสามารถมานั่งรับลม กินอาหารอย่างหนำใจ ทั้งโซนซุ้มไม้ไผ่และศาลาริมทุ่งนา ส่วนอาหารเน้นเสิร์ฟเป็น ข้าวราดแกง สามารถเดินไปเลือกได้เองที่หน้าเคาน์เตอร์ หรือจะสั่งเป็นกับข้าวก็ได้เช่นกัน และใครที่อยากเพิ่มความน่ารักให้จานอาหาร สามารถแจ้งพี่พนักงานให้ใส่กับข้าวในปิ่นโตก็น่ารับประทานไปอีกแบบ อาทิ คั่วกลิ้ง หมูสับผัดกับเครื่องแกงและสมุนไพรต่างๆ หอมกลิ่นขมิ้นชัดเจน มีรสชาติค่อนข้างเผ็ดทีเดียว ผัดสะตอกุ้ง กุ้งชิ้นพอดีคำผัดกับพริกแกง สะตอ และสมุนไพร ปรุงรสเข้มข้น หอมกลิ่นกะปิ อร่อยจัดจ้าน ตามด้วย ฉู่ฉี่ปลากะพง เนื้อปลาชิ้นใหญ่เสิร์ฟในน้ำเครื่องแกงขลุกขลิก ได้ความหอมมันจากกะทิที่แตกมัน มีสีเหลืองสวย ปรุงรสหวานเค็มเล็กน้อย อร่อยกลมกล่อม ทางร้านเขามีบริการผักสดหลากหลายชนิดให้ตักกินคู่น้ำพริก ฟรี! อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเมนูพิเศษให้เลือกสรรอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เมนูของทอดกินเล่น อาหารตามสั่ง ยำรสแซ่บและส้มตำ เราเลือกเซ็ต ส้มตำกระด้ง เป็นตำไทยรสจัดจ้าน เคียงมาด้วยไก่ทอด กุนเชียง หมูยอ แคปหมู ไข่ต้ม ขนมจีน ข้าวเหนียว และผักสด ดับความเผ็ดร้อนด้วย น้ำอัญชันมะนาว และ น้ำกระเจี๊ยบ รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยสดชื่น บอกเลยว่า หรอยแรง!

ผัดไทยไฟทะลุ ร้านผัดไทยบรรยากาศสนุกสนานเร้าใจของเชฟแอนดี้ หยาง เชฟประสบการณ์แน่นจากนิวยอร์กกับแพสชั่นด้านอาหารสตรีทฟู้ดไทยแบบเต็มเปี่ยม และไฟแรงไม่แพ้ชื่อร้าน สำหรับสาขาสยามสแควร์ซอย 10 นั้นนั่งสบายใกล้เมือง ส่วนไฮไลต์ยังอยู่ที่การใช้ไฟแรงลุกท่วมกระทะให้ซอสเคลือบเส้นที่เห็นแล้วตื่นเต้น (และหิว!) เมนูเด่นคือ ผัดไทยไฟทะลุโคตรกากหมู ใช้สะโพกหมูเบิร์กเชียร์สับแล้วผัดใส่เส้นข้าวเจ้าสูตรพิเศษและเครื่องเครา ผัดให้สุกพร้อมกันในไฟเดียวจนตัวซอสเปลี่ยนเป็นคาราเมลแล้วซึมเข้าเส้น กินคู่กากหมูเจียวหอมๆ กรอบๆ อีกเมนูห้ามพลาด ผัดไทยไฟทะลุโคตรคอหมูย่าง ใช้สันคอหมูหมูเบิร์กเชียร์หมักกับผักชี พริกไทย และซีอิ๊วขาว รมควันด้วยถ่านชาร์โคลแล้วนำไปตากแดด จากนั้นพอกด้วยเกลือแล้วเผาด้วยไฟแรงจนได้คอหมูย่างที่ทั้งนุ่มและหอม วางบนผัดไทยไฟทะลุเส้นนุ่มหนึบ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วที่ใช้มะขามปลอดสาร นอกจากนี้ยังมีเมนูน่าลองอย่าง ผัดไทยโคตรไก่ย่าง ผัดไทยไฟทะลุโคตรหมูกรอบ ข้าวกะเพราหมูสับหมูกรอบไข่ดาวไล่ทุ่ง รวมถึงของกินเล่นอย่างกุยช่ายทอด เป็นร้านผัดไทยที่มันส์มากจริงๆ

ต่อให้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปี ฝีมือของแม่อัมคนดังแห่งคลองเตยก็ยังไม่เคยตก แม้ตอนนี้ร้านผัดไท แม่อัมจะย้ายจากที่เดิมมาที่ใหม่ใกล้แยกเกษมราษฎร์ ก็ยังมีลูกค้าเจ้าประจำแวะมาอุดหนุนแบบไม่ขาดตั้งแต่เปิดร้าน มาถึงแล้วหาที่นั่งก่อน หากเห็นกล้วยหรือผลไม้ในตะกร้าก็ไม่ต้องตกใจ หยิบกินได้เลยไม่ต้องเขิน เพราะที่ร้านตั้งใจวางไว้ให้เป็นของว่างแก้หิว ไม้เด็ดของผัดไทยกุ้งสดร้านแม่อัมอยู่ที่กลิ่นหอมกระทะ เพราะยังใช้เตาถ่านแบบดั้งเดิม เส้นสีชมพูสวยจากน้ำมะขามเปียก ผัดแล้วเหนียวนุ่มไม่เละ (ซึ่งแม่อัมบอกว่าเป็นข้อดีของเตาถ่านเพราะตัวเส้นจะไม่ได้ถูกเร่งให้สุกด้วยแก๊ส) ส่วนซอสเป็นสูตรน้ำมะขาม รสชาติกลมกล่อมครบรสทั้งเปรี้ยว เค็ม หวาน แถมยังเน้นวัตถุดิบธรรมชาติอย่างน้ำตาลปี๊บและเกลือ ไม่ใช้ผงชูรสและน้ำส้มสายชู มาถึงร้านนี้ต้องชิมคั่วไก่ทะเล คั่วร้อนๆ ด้วยเตาถ่านเช่นกัน เส้นก๋วยเตี๋ยวเหนียวนุ่ม ใส่ไก่ กุ้ง ปลาหมึกกรอบ รสชาติกลมกล่อมแบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม ปิดท้ายบัวลอยมะพร้าวอ่อนอันโด่งดัง แป้งบัวลอยปั้นเอง ใส่มันม่วง เผือก ฟักทอง ใบเตย ผสมนวดไปด้วยกัน กินกับไข่หวานและเนื้อมะพร้าวอ่อน ตัดด้วยรสเค็มเล็กๆ จากน้ำกะทิสด ดีงามจนอยากเบิ้ลอีกถ้วย

บ่อยครั้งที่ได้กินอาหารไทย แต่เพิ่งได้ลิ้มรสอาหารไทยในเวอร์ชันที่พิเศษกว่าที่เคย Khao (ข้าว)” ร้านอาหารไทยร่วมสมัยบนถนนวิทยุ สาขาใหม่ที่ขยายความอร่อยมาจาก Khao (ข้าว) ร้านอาหารไทยระดับมิชลินสตาร์ 1 ดาว 4 ปีซ้อน ย่านเอกมัย ตัวร้านตั้งอยู่ในรั้วเดียวกับ โอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ กรุงเทพ ภายในดูไฉไลมากขึ้นด้วยงานดีไซน์เพดานสูงโปร่ง รายล้อมด้วยกระจกบานใหญ่ มีแชนเดอเลียร์รูปนกบินสาดแสงกระทบกับพื้นหินอ่อนสีดำ ช่วยขับเน้นเฟอร์นิเจอร์สีเขียวให้โดดเด่นยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความโอ่อ่าให้ตัวร้านได้เป็นอย่างดี ส่วนด้านบนมีห้องไพรเวต สำหรับจัดเลี้ยงแบบส่วนตัวในสไตล์เชฟเทเบิล เมนูของร้านข้าว เป็นอาหารไทยขนานแท้ ที่พิถีพิถันทั้งการเลือกใช้วัตถุดิบและวิธีการปรุง ทุกจานมีความซับซ้อนในแบบฉบับของร้านข้าว ควรค่าแก่การลิ้มลองเป็นแน่ เช่น ยำส้มโอ อาหารไทยโบราณที่ขึ้นชื่อเรื่องความสดชื่น ด้วยรสชาติเปรี้ยวอมหวานของส้มโอที่คลุกเคล้าในน้ำยำผสมกะทิ ได้รสจัดจ้านนัวกลมกล่อม พร้อมกุ้งไซส์เบิ้ม กินพร้อมหอมเจียว ห่อด้วยใบชะพลูหรือผักกาดขาว ช่วยเปิดต่อมรับรสให้มื้อนี้ได้เป็นอย่างดี ถัดมาคือ น้ำพริกไข่ปู จานน้ำพริกครบรส ให้ทั้งรสเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด และมันนัวจากไข่ปูให้เคี้ยวกรุบกรับ ช่วยเสริมให้เมนูนี้อร่อยขึ้นอีกระดับ จะกินคู่ผักแนม ไข่ต้ม ปลาทู ไข่ชะอม หรือตักใส่ข้าวสวยร้อนๆ ก็ดีต่อใจไม่น้อย ตามด้วย ไข่เจียวปู ไข่เจียวสีเหลืองทองจัดเสิร์ฟแบบก้อนกลม อัดแน่นด้วยเนื้อปูก้อนโตรสหวาน และได้กลิ่นหอมของใบโหระพาเบาๆ ซิกเนเจอร์ห้ามพลาดกับ มัสมั่นน่องแกะ เครื่องแกงโขลกเอง มีเนื้อสัมผัสเนียนละเอียด หอมกลิ่นสมุนไพรไทยอบอวลในปาก กินคู่น่องแกะชิ้นโต ได้รสเข้มข้นเข้าเนื้อและไม่มีกลิ่น บ่งบอกถึงความพิถีพิถันเป็นที่สุด เนื้อปูผัดพริกเหลือง เชฟใช้กรรเชียงปูจากท้องทะเลตอนใต้บ้านเรา นำมาแกะอย่างประณีตจนได้เนื้อชิ้นสวย ผัดกับกระเทียม ถั่วฝักยาว และพริกเหลือง ได้รสเผ็ดร้อน เค็ม และหวานจากเนื้อปู อร่อยกลมกล่อม และของคาวจานสุดท้ายที่แนะนำให้สั่งคือ ผัดไทยกุ้งสด เมนูโปรดของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพียงมาวางที่โต๊ะก็ได้กลิ่นหอมฟุ้ง องค์ประกอบโดยรวมไม่แฉะ เส้นไม่เละ กินอร่อยแบบไม่ต้องปรุง ปิดท้ายกันที่เมนูของหวานอย่าง ข้าวเหนียวมะม่วง จัดจานอย่างสวยงามด้วยมะม่วงสีเหลืองทองฉ่ำๆ และข้าวเหนียวมูนรสนุ่มนวล ราดด้วยน้ำกะทิสดเพิ่มความละมุน และ พลอยกรอบ ภายในถ้วยประดับประดาไปด้วยทับทิมกรอบหลากสีสัน มีมะพร้าวกับขนุนช่วยเพิ่มรส มีความหอมหวานเย็นชื่นใจ ส่วนเครื่องดื่มคลายร้อนแนะนำเป็น อัญชันมะนาว สีม่วงสดใส ท็อปมาด้วยมะนาวซอร์เบต์ ได้รสหวานอมเปรี้ยว ด้านล่างยังมีว่านหางจระเข้ให้เคี้ยวเพลินๆ และ มะพร้าวปั่น เสิร์ฟในแก้วทรงสูง เผยให้เห็นลวดลายและสีสันจากส่วนผสมระหว่างมะพร้าว นม ตัดด้วยสีฟ้าจากดอกอัญชัน ดื่มแล้วได้รสหวานละมุน ช่วยดับร้อนได้ดี รสชาติติดดาวทุกเมนูเลย

ภายในโครงการ Harajuku Thailand (ฮาราจูกุ ไทยแลนด์) ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เหมือนหลุดไปอยู่ในประเทศญี่ปุ่น (ที่อากาศอบอุ่นหน่อย ๆ) ในมุมหนึ่งของโครงการนี้ยังมีอยู่พิกัดหนึ่งที่เอาใจคนไทยด้วยอาหารอีสานรสจัดจ้านถึงใจ พร้อมด้วยเมนูจิ้มจุ่มชุดใหญ่ไฟกระพริบ เริ่มต้นด้วยเมนู ลาบเป็ด ใช้เนื้อเป็ดส่วนหน้าอกมาสับให้ละเอียด ปรุงด้วยรสชาติอีสานแท้ ๆ ด้วยข้าวคั่ว พริกป่น และข่าเพื่อตัดกลิ่นคาวเป็ด ได้สัมผัสของเนื้อติดหนังที่นุ่มสู้ฟัน หมูคลุกฝุ่น เป็นเมนูที่พลาดไม่ได้ ทางร้านนำคอหมูมาย่างจนสุกราว 70% จากนั้นนำออกมาคลุกเคล้ากับน้ำปลา มะนาว ข้าวคั่ว และพริกป่น แล้วนำไปย่างอีกครั้งจนสุก ได้คอหมูย่างฉ่ำ ๆ พร้อมด้วยรสชาติเปรี้ยวเค็มเผ็ดครบรส สำหรับเมนูตำและยำ ขอแนะนำ ตำซั่วปูปลาร้าหมูยอ ที่ภูมิใจนำเสนอหมูยอส่งตรงจาก จ.อุบลราชธานี เนื้อแน่นหอมกลิ่นสมุนไพร ยิ่งอยู่ในน้ำตำปลาร้ายิ่งนัวจนหยุดกินไม่ได้ และอีกเมนูคือ ยำมะม่วงปูม้า ทางร้านเลือกใช้ปูม้าสด โดดเด่นที่น้ำยำรสจี๊ดจ๊าด ต่อมาคือ แกงเห็ดรวมสมุนไพร แกงสไตล์อีสานเข้มข้นด้วยน้ำปลาร้าและน้ำต้มใบย่านาง ในถ้วยนี้ผสมผสานไปด้วยเห็ด 3 อย่าง ได้แก่ เห็นหูหนูดำ เห็ดเข็มทอง และเห็ดชิมเมจิ รวมถึงบวบและใบแมงลัก ครบตามตำรับแกงเห็ดอีสานแท้ ๆ สำหรับเมนูจิ้มจุ่ม ที่นี่มีความพิเศษอยู่ที่น้ำจิ้มแจ่วและน้ำจิ้มสุกี้ที่เป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน มีเซ็ตให้เลือกทั้ง จิ้มจุ่มแซ่บชุดรวมหมู จิ้มจุ่มแซ่บชุดรวมเนื้อ ที่จัดเต็มทั้งเนื้อใบพาย เนื้อริบอาย พร้อมด้วยน้ำซุปสไตล์ไทย ๆ ทั้งแบบน้ำใสและแบบต้มโคล้งที่ให้รสชาติแซ่บ ๆ คล้ายน้ำต้มยำ ได้ความเปรี้ยวจากน้ำมะขาม ใครที่อยากได้ของแซ่บ ๆ เข้าปาก บอกเลยว่าที่นี่ไม่ผิดหวัง

ถือเป็นอีกหนึ่งร้านที่อยู่คู่คนไทยมานานจริงๆ สำหรับ “ขนมจีนบางกอก” ร้านอาหารไทยรสจัดจ้านที่ไม่ได้มีดีแค่ ‘ขนมจีน’ เพราะเขาเสิร์ฟเมนูคอมฟอร์ตฟู้ดรสชาติดีในบรรยากาศร้านอาหารตามสั่งที่คุ้นเคย มีบาร์ผักสดให้เลือกตักแบบไม่อั้น ครั้งนี้เราแวะมาที่สาขา ‘เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า’ (ชั้น 2) ศูนย์การค้าดังขวัญใจชาวฝั่งธนฯ นั่นเอง จานแรกเป็น ขนมจีนน้ำยาปู เมนูซิกเนเจอร์ประจำร้าน ขนมจีนน้ำยาปูรสจัดจ้านที่ได้จากพริกแกงสูตรเมืองภูเก็ต ผสานกะทิคั้นสดรสหอมมัน และเนื้อปูรสหวาน แถมเพิ่มความฟินให้สาวกซีฟู้ดด้วยเนื้อปูก้อนโตๆ กินคู่ผักสดกรุบกรอบเข้ากัน ต่อด้วย รวมทะเลคั่วพริกเกลือ จานนี้หลายคนเลิฟเพราะได้อร่อยกับกั้งเนื้อแน่น กุ้งตัวโตๆ ไข่หมึกหนึบหนับ ผัดพร้อมซอสสูตรเฉพาะของทางร้านที่ทำจากคาตั๊งและเครื่องเทศ เคี่ยวนานกว่า 48 ชั่วโมง ต้นหอม พริกสดและกระเทียมเจียวโฮมเมด เกาเหลาต้มยำกระหน่ำเด้ง ซดเพลินๆ หมูเด้งโฮมเมดลูกใหญ่เนื้อเด้งน่าอร่อย อยู่ในน้ำแกงต้มยำสูตรโบราณรสชาติหวานเค็ม แซมด้วยความเผ็ดแบบพอดี บีบมะนาวซีกเล็กน้อยรสชาติดีครบรส ยังมี ข้าวสเต๊กริบอายกะเพรากรอบ เนื้อนุ่มฉ่ำลิ้นหั่นเป็นลูกเต๋ากินง่าย เคล้ากับซอสสูตรลับและเครื่องกะเพรารสจัดจ้านถึงใจ ปิดท้ายด้วย ขนมถ้วย ฝาใหญ่ๆ น่าหม่ำ แป้งใบเตยเนื้อนุ่มรสหวานหอมกลิ่นใบเตยเตะจมูก ท็อปด้วยหัวกะทิครีมมี มีรสเค็มนิดๆ ฟินได้ใจสายหวาน

ลิ้มรสความอร่อยของอาหารไทย 4 ภาคในแบบฉบับของ Akanee ร้านอาหารไทยแห่งใหม่ย่านทองหล่อ โดย เชฟเป่าเป้ - เจสสิก้า หวัง และเชฟเอียน - พงษ์ธวัช ที่หยิบเอาวัตถุดิบท้องถิ่นมารังสรรค์ ปรุงเป็นเมนูจานเด็ด รสชาติเข้มข้นด้วยเตาอั้งโล่ ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ ผสานความหรูหราสไตล์  Casual Dining ตัวร้านการตกแต่งอย่างสวยงามหรูหราจากสีทองผสานมากับเฟอร์นิเจอร์ไม้ และโคมไฟที่มีลวดลายของพัดสาน ซึ่งล้อไปกับโลโก้ของร้าน และยังช่วยสื่อถึงความเป็นไทย โดยแบ่งเป็นโซนชั้นล่างที่สามารถมองเห็นครัวเปิดชัดเจน และโซนชั้นลอยสำหรับรองรับเหล่านักชิมกลุ่มใหญ่ ที่ต้องการเอ็นจอยกับเครื่องดื่มและอาหารรสชาติดีแบบไพรเวต เริ่มด้วย ยำปลาหมึกย่าง (260.-) หมึกดองเนื้อเด้งคลุกเคล้ามากับน้ำยำรสเปรี้ยวหวาน และผลไม้ตามฤดูกาล กินแล้วสดชื่น เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี เมนูเด่นยกให้ ข้าวซอยไก่ (380.-) เครื่องแกงเนื้อข้นรสจัดจ้านสูตรเฉพาะของร้าน เข้ากับเส้นข้าวซอยเล็กกรุบกรอบและสะโพกไก่เนื้อนุ่มเปื่อยอย่างลงตัว จัดเต็มอิ่มท้องด้วยเมนู ซี่โครงเนื้อออสเตรเลีย (1400.-) ซี่โครงเนื้อชิ้นโตที่ผ่านการปรุงด้วยวิธีดั้งเดิมแบบท้องถิ่นไทย ย่างถ่านด้วยเตาอั้งโล่จนหอมอบอวล เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วรสเผ็ดเปรี้ยวหวาน เป็นซิกเนเจอร์ของอัคนีที่ห้ามพลาด ปิดท้ายด้วยของหวาน เค้กลำไยและไอศกรีมเสาวรส (250.-) เค้กลำไยเนื้อฉ่ำไปด้วยซอสคาราเมลผสมลำไยแห้ง หวานมันเค็ม ท็อปด้วยไอศกรีมเสาวรสเปรี้ยว ยกให้เป็นของหวานสุดครบรสที่ต้องลอง

Feelings Thai Eatery and Bar ร้านอาหารไทยแห่งใหม่ของโรงแรม SQ Boutique Hotel ใกล้ BTS อโศก ที่มาพร้อมความสนุกสนาน ทั้งสีสันฉูดฉาด และการตกแต่งร้านในสไตล์ Modern Art Deco ดึงดูดสายตาด้วยงานศิลปะบนผนัง ล้อไปกับคอนเซ็ปต์ของโรงแรม เมนูทั้งหมดของที่ร้านมีทั้งอาหารไทยโบราณและอาหารไทย 4 ภาคที่รังสรรค์โดย ‘เชฟทวี เพียรพัฒนกิจ’ เชฟใหญ่ที่เราคุ้นเคยกันดี ด้วยประสบการณ์ด้านอาหารกว่า 21 ปี และคว้ารางวัลการแข่งขันมาแล้วมากมาย ครั้งนี้เชฟทวีนำเสนออาหารที่ทำอย่างพิถีพิถัน ถึงรสถึงชาติทุกเมนู   เริ่มด้วยกรอบเสวย เข้มข้นจากพริกแกงตำเอง ใส่กระเทียม พริกแห้ง พริกสด เคี่ยวกับหัวกะทิจนหอม ใส่เนื้อหมูสับปรุงรสให้กลมกล่อม กินกับข้าวตังกรุบกรอบกินเพลิน ต่อด้วย กุ้งตะไลสไบทอง จานนี้จี๊ดจ๊าดมาก กุ้งสดในน้ำยำรสเปรี้ยวสดชื่นด้วยน้ำส้มซ่า น้ำมะกรูด น้ำมะนาว น้ำกระเทียมโทนดอง ใส่ผิวส้มซ่าขูด และได้รสมันจากถั่วลิสงคั่วบด ใส่ใบสะระแหน่ และพริกขี้หนูสวน กระตุ้นต่อมรับรสได้เป็นอย่างดี จานถัดมา หลนปูขึ้นสวรรค์ พิเศษที่ใช้เต้าเจี้ยวขาวที่มีรสเค็มเพียงเล็กน้อย ส่วนเนื้อปูใช้ส่วนกรรเชียงก้อนให้กินได้อย่างจุใจ เสิร์ฟพร้อมผักลวกและผักสด แกงคั่วหอยใบชะพลู ที่เชฟทำได้รสชาติเข้มข้น  เพิ่มความพิเศษด้วยหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวโตเนื้อแน่น   พลาดไม่ได้กับ กุ้งเกยหาด กุ้งคั่วพริกเกลืออันเป็นทีเด็ด เชฟนำกุ้งไปสะดุ้งน้ำมัน จากนั้นผัดกับกระเทียม พริกขี้หนู รากผักชี คั่วจนแห้ง กินแล้วเจริญอาหาร ส่วนใครไม่อยากกินอะไรหนักท้อง ที่ร้านมีส่วนบาร์ให้แวะมาจิบเครื่องดื่มชิลๆ ทั้งค็อกเทลและม็อกเทล เราแนะนำ Som Tum Tini มาร์ตินี่สูตรไทยที่ได้แรงบันดาลใจจากส้มตำ

เชื่อว่าเพื่อนๆ คงเคยได้ยินชื่อของ The Classic Chair โชว์รูมขายเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังกันมาบ้างพอสมควร ซึ่งตอนนี้เขาได้เปิดตัวร้านใหม่อย่าง Classic Room Cafe and Dining ร้านอาหารไทยโมเดิร์น ในบรรยากาศสุดคลาสสิก บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ Classic Room เป็นหนึ่งในร้านที่โดดเด่นเรื่องอาหารไทยฟิวชัน โดยการนำวัตถุดิบท้องถิ่นของไทยมาผสมผสานกับวัตถุดิบนานาชาติ เกิดเป็นเมนูใหม่ที่มีทั้งหน้าตาทันสมัยบวกกับรสชาติแสนอร่อยอันเป็นเอกลักษณ์ เหมาะแก่การมาฝากท้องยามหิวกับครอบครัวและผองเพื่อน นอกจากเมนูอาหารที่น่าสนใจแล้ว งานอินทีเรียก็เรียบหรูดูพรีเมียมไม่แพ้กัน ด้วยเฟอร์นิเจอร์ของ The Classic Chair บวกกับการตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นโคโลเนียล ช่วยทำให้บรรยากาศยิ่งโดดเด่นไม่ซ้ำใคร โดยมื้อนี้เสิร์ฟเป็นเมนูขายดี ที่ต้องลิ้มลอง อาทิ Herbal Rice Thai Southern Style ข้าวยำสมุนไพรสูตรสงขลา ประกอบด้วย มะม่วงดิบ ส้มโอ มะนาว แตงกวา ข้าวคั่ว ปลาป่น ข้าวตัง ถั่วงอก ตะไคร้ พริกป่น กะหล่ำม่วง แครอต ถั่วฝักยาว ใบมะกูดและไข่ต้ม เสิร์ฟคู่น้ำบูดูที่เคี่ยวจนได้ที่ ได้กลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ ของข่า ตะไคร้และใบมะกูด มีรสเค็มหวาน คลุกเคล้าให้เข้ากันก่อนรับประทาน อร่อยกลมกล่อม ต่อมาคือ Duck Confit เป็นน่องเป็ดทอด เคียงมาด้วยหมี่กรอบสูตรโบราณที่มีกลิ่นหอมของส้มซ่า ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้จานนี้ได้เป็นอย่างดี Penne Truffle Cream Sauce with Big River Prawn เพนเนสุกกำลังดี ราดครีมซอสทรัฟเฟิล รสละมุน หอมกลิ่นทรัฟเฟิล ท็อปหน้าด้วยกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ชวนกิน และ Spicy Tamarind Pork Ribs ซี่โครงหมูย่างเนื้อนุ่มละมุน ราดซอสมะขามรสเด็ด มีความเปรี้ยว หวานหอมของน้ำตาลโตนด เคียงมาด้วยเฟรนช์ฟรายส์ มันบด ผักย่าง แตงกวาดอง และมัสตาร์ด ในส่วนของเครื่องดื่มแนะนำให้สั่ง Chinoseries น้ำบ๊วยโซดา สีสันสดใส และ Yuzu Blood Orange น้ำส้มยูซุผสมโซดา เป็น 2 เมนูซิกเนเจอร์ ที่มีรสเปรี้ยว หวาน หอมกลิ่นผลไม้ ดื่มแล้วชื่นใจ อย่ามัวกินเพลิน จนลืมเดินไปดูเฟอร์นิเจอร์นะ

ใครแวะเวียนมาแถวอ่อนนุชแล้วท้องร้อง เราแนะนำให้ปักหมุดร้านอาหารไทยสไตล์โมเดิร์นชื่อ “Greenhouse Restaurant & Terrace” ห้องอาหารหนึ่งเดียวแห่งโรงแรมอวานี สุขุมวิท (BTS อ่อนนุช) ให้สายฟู้ดเอ็นจอยกับอาหารไทยที่เสิร์ฟมาในรูปแบบทันสมัยน่าถ่ายรูป ค็อกเทลดาวเด่นประจำร้าน และดนตรีจากดีเจเปิดแผ่นในบรรยากาศเป็นกันเองอีกด้วย   จานแรกเราสั่ง ยำแซลมอนก้านบัว ส้มตำไทยไหลบัวรสหวาน เคล้าแซลมอนเนื้อสดเข้ากันดี ตามด้วย เมี่ยงปลาแซลมอนและเส้นหมี่  แซลมอนหั่นเต๋าทอดร้อนๆ กินคู่กับเครื่องเมี่ยงและเส้นหมี่เหนียวนุ่ม ราดน้ำจิ้มรสหวานแซมเผ็ดเบาๆ ผักเหลียงผัดไข่กุ้งเสียบ ก็เด็ด ใบเหลียงรสหวานผัดพร้อมไข่ไก่และกุ้งเสียบตัวโตๆ สามชั้นต้มทอดน้ำปลา หมูสามชั้นคุณภาพต้มกับน้ำปลาอย่างดีและน้ำตาลปี๊บ ก่อนนำไปชุบแป้งทอดให้ร้อนจี๋ เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มแจ่ว และน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเผ็ดเปรี้ยว ซี่โครงหมูร้องไห้ ซี่โครงหมูเนื้อนุ่มร่อนนี้ได้จากการหมักและตุ๋นพร้อมเครื่องเทศหอมๆ ก่อนนำไปย่างให้หอม กินคู่น้ำจิ้มแจ่วและผักสด ของหวานเราสั่ง ลอดช่องแพนเค้กไอศกรีมกะทิ แพนเค้กสไตล์โฮมเมดเนื้อฟูๆ ผสานลอดช่อง ราดซอสน้ำตาลมะพร้าวอบควันเทียนหอมฟุ้ง กินกับไอศกรีมกะทิ ยังมีค็อกเทลซิกเนเจอร์อย่าง Cinderella’s Dream บลูฮาวายรสหวานละมุน เพิ่มดีกรีร้อนแรงด้วยเหล้าว้อดก้า เสิร์ฟมาในกรงนกเก๋ไก๋ และ 7 Level ค็อกเทลสีชมพูนี้ทำมาจากน้ำลิ้นจี่ น้ำสตรอว์เบอร์รี น้ำมะนาวและเหล้าว้อดก้า อาฟเตอร์นูนทีที่นี่ก็รสชาติดีไม่เบาเลยนะ

หน้าร้านสีขาวสะอาดพร้อมหน้าต่างบานใหญ่ของร้านน้องใหม่ริมถนนสุขุมวิท อ.เมือง จ.ระยอง ให้บรรยากาศราวกับเป็นร้านคาเฟ่มินิมัล แต่เมื่อก้าวข้ามผ่านบานประตูเข้าไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ตู้ ของประดับประดาแบบย้อนยุค รวมไปถึงเพลงลูกทุ่งไทยท่วงทำนองสนุกสนาน ทั้งหมดนี้ช่วยสร้างบรรยากาศที่แสนเป็นกันเอง ราวกับอยู่บ้านเพื่อน สมชื่อฉันลมิตร หรือ ‘ฉันมิตร’ ในเวอร์ชั่นเหน่อ ๆ สไตล์ระยองฮิ จนลืมภาพความมินิมัลไปจนหมด กลิ่นหอม ๆ ของวัตถุดิบเครื่องแกง สมุนไพรท้องถิ่นที่หอมคละคลุ้งเตะจมูกทันทีนั้น ชวนให้ผู้มาเยือนได้ประทับใจตั้งแต่แรกพบ เมนูอาหารที่ฉันลมิตรจะมาในรูปแบบของอาหารไทยสไตล์ระยอง ที่ไม่ทำให้เสียชื่อเมืองติดชายทะเลด้วยการคัดสรรวัตถุดิบสด ๆ จากเรือประมง นำมาผสมผสานไปกับการปรุงในแบบฉบับของฉันลมิตรที่แอบใส่ลูกเล่นและความคิดสร้างสรรค์ลงไปนิด ๆ หน่อย ๆ ชวนตื่นเต้น แต่รสชาติอาหารแบบฉบับดั้งเดิมก็ยังคงอยู่ไม่หายไปไหน เริ่มต้นด้วยเมนูพิเศษของร้าน กินเล่นเพลิน ๆ อย่าง ไส้กรอกหมูสะเต๊ะ และอาจาดตะลิงปลิง ไส้กรอกโฮมเมดที่ฉันลมิตรตั้งใจแปลงโฉมเมนูเรียกน้ำย่อยแบบเดิม ๆ เสียใหม่ โดยนำเครื่องหมักหมูสะเต๊ะมาผสมกับเนื้อหมูทำเป็นไส้กรอก เสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้มอาจาดที่เพิ่มเติมความพิเศษด้วยตะลิงปลิงหั่นเป็นชิ้นเล็ก ให้รสเปรี้ยวเคี้ยวสนุก อีกจานที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอาหารท้องถิ่นก็คือ ยำปลาหมึกย่างใส่องุ่น น้ำจิ้มพริกเกลือเจือกะทิ ที่หยิบเอา ‘พริกกลือ’ หรือน้ำจิ้มซีฟูดของคนภาคตะวันออกมาทำเป็นน้ำยำ ใส่ถั่วตัดรสหวาน สัมผัสกรุบ ๆ มาสร้างสมดุลให้กับรสเผ็ดเปรี้ยว และเพิ่มความนุ่มนวลแบบภาคกลางด้วยกะทิ คลุกเคล้าเข้ากับหมึกย่างน้ำปลาเนื้อเด้งหวาน เพิ่มความสดชื่นด้วยผลไม้ตามฤดูกาล แกงเขียวหวาน ปลาอินทรีย่าง ใส่กล้วยน้ำว้าดิบ เป็นหนึ่งในเมนูที่อวดความอุดมสมบูรณ์ของอาหารทะเลเมืองระยองได้ดีทีเดียว เพราะชามนี้ยกปลาอินทรีย่างเนื้อในฉ่ำ ๆ ด้วยวิธีการเสียงไม้ย่างเกลือแบบญี่ปุ่นมาจับคู่กับน้ำแกงเขียวหวานเข้มข้น ขลุกขลิก สอดแทรกด้วยสัมผัสหนึบ ๆ จากกล้วยน้ำว้าดิบทดแทนมะเขือ แถมยังอมเปรี้ยวเล็ก ๆ ช่วยตัดเลี่ยนและเพิ่มไฟเบอร์ให้กับเมนูนี้อย่างลงตัว                             มาเยือนระยองก็ต้องได้กินแกงของท้องถิ่นอย่างเมนูนี้ แกงเผ็ดระยอง คอหมูย่างน้ำผึ้ง ใส่แขนงสับปะรด แกงป่าเผ็ดกับวัตถุดิบท้องถิ่นที่ขาดไม่ได้อย่างดอกผักชีไร่ มีสีเหลืองน่ารับประทานจากหัวไพลและขมิ้น ได้กลิ่นหอมและเผ็ดซ่าแล็กน้อยจากหน่อกระวานอ่อน ส่วนคอหมูนั้นผ่านหมักน้ำผึ้งแล้วย่างจนมีความหวานหนึบ หอมกลิ่นสโม้ก พอดีกับรสชาติเค็มเผ็ดของน้ำแกง เพิ่มรสเฝื่อนเล็กน้อยจากแขนงสับปะรด เป็นความครบรสที่กินกับข้าวสวยร้อน ๆ แล้วยิ่งน่าประทับใจ ด้วยวัตถุดิบจากท้องทะเลสุดหลากหลาย ฉันลมิตรก็มักจะมากับเมนูพิเศษอยู่เรื่อย ๆ ใครที่ชื่นชอบอาหารทะเลสดใหม่ บวกกับรสชาติอาหารที่เข้มข้นด้วยกลิ่นอายตำรับระยอง แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ต้องชวนญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมสนุกและอร่อยแบบฉันมิตรอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงความอร่อยมานานแล้วสำหรับ “Ginger Farm Kitchen” ร้านอาหารพื้นบ้านออร์แกนิกสไตล์ล้านนาแห่งเมืองเชียงใหม่ ที่การันตีด้วยรางวัลบิบ กูร์มองด์ มิชลิน 3 ปีซ้อน เขามีจุดเริ่มต้นจากการทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์ที่มีทั้งพืชผักต่างๆ และโรงเลี้ยงสัตว์ ประกอบกับวัตถุดิบชั้นดีจากเกษตรกรอินทรีย์ในเครือข่าย ผ่านฝีมือเชฟมือฉมังที่สืบทอดความอร่อยจากต้นตำรับล้านนา ล่าสุดทางร้านมาบุกโลเคชั่นใหม่ที่ไอคอนสยาม (โซนอลังการ บริเวณชั้น 6) ถูกใจสายฟู้ดที่อยู่ฝั่งธนฯ อย่างเราเสียนี่กระไร แถมยังมาในแนวคิดเก๋ๆ อย่าง ‘From Farm to City’ โดยการนำวัตถุดิบสดใหม่จากฟาร์มที่เชียงใหม่ ลำเลียงมาปรุงจานอร่อยในแบบฉบับล้านนา นอกจากนี้จินเจอร์ฟาร์มคิทเช่นยังมีเมนูพิเศษที่เสิร์ฟเฉพาะสาขาไอคอนสยามเท่านั้นด้วย ได้แก่ ยำส้มโอปูนิ่ม ส้มโอสดรสเปรี้ยวอมหวานคลุกเคล้ากับน้ำยำครบรส ท็อปด้วยปูนิ่มตัวโตทอดกลิ่นหอม ตามด้วย เซ็ตแอ่วเหนือ เสิร์ฟมาในแบบฉบับขันโตกน่าประทับใจ พร้อมให้คุณอร่อยไปกับแกงฮังเล หมูเนื้อนุ่มร่อน อยู่ในน้ำแกงรสเปรี้ยว เค็ม หวาน น้ำพริกอ่อง รสเผ็ด กินคู่ผักพื้นบ้าน น้ำพริกหนุ่ม รสนุ่มนวล เข้าคู่แคปหมู ไส้อั่วเนื้อแน่น หอมกลิ่นสมุนไพร ปูอ่อง รสครีมมีที่เรารัก และลาบหมู รสเค็มเผ็ดสไตล์เหนือ เนื้อสตริปลอยน์ย่างซอสพะแนง  เนื้อสันนอกส่วนเอวคุณภาพ ย่างความสุกระดับมีเดียม เข้ากันดีกับซอสพะแนงรสเข้มข้น ห้ามพลาดกับเมนูมิชลินอย่าง หมูกรอบสามเกลอเสิร์ฟพร้อมแตงกวาดองมะแขว่น หมูกรอบชิ้นอวบๆ ทอดไม่อมน้ำมัน ราดน้ำจิ้มที่มีให้คุณเลือกฟินถึง 3 แบบ อาทิ น้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ พริกน้ำส้ม และน้ำจิ้มหวาน เสิร์ฟเคียงผักดอง ตัดเลี่ยนได้ดี เชียงดาออร์แกนิกผัดไข่ ผักพื้นบ้านภาคเหนือหากินยากอย่าง ผักเชียงดา ผัดไข่ไก่ได้รสหวานธรรมชาติ กินพร้อมข้าวสวยร้อนๆ อร่อยดี อย่าลืมเผื่อท้องไว้สำหรับขนมหวาน น้อยหน่าน้ำกะทิ น้อยหน่าแช่เย็น ราดน้ำกะทิหอมมัน และ สาคูเปียกลำใยแห้งน้ำกะทิกุหลาบ สาคูเนื้อนุ่มหนึบ เข้ากันดีกับลำใยลูกใหญ่หวานฉ่ำ และน้ำกะทิครีมมี หอมกลิ่นกุหลาบเบาๆ ส่วนเครื่องดื่มเราสั่ง Lychee Mellow หอมชื่นใจด้วยส่วนผสมของโหระพา ขิง มะนาว น้ำผึ้ง และซอสลิ้นจี่ โดดเด่นด้วยสีสันมาแต่ไกลกับ Forest Harmony ชาอัญชันสีสวย ท็อปด้วยน้ำผักขึ้นช่าย น้ำผักโขม น้ำกะเพรา ได้รสหวานอมเปรี้ยวจากน้ำสับปะรด น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว สุดท้ายเป็น ส้มมะปี๊ดโซดา ผลไม้วิตามินซีสูงอย่าง ส้มมะปี๊ด มิ๊กซ์กับน้ำโซดาซาบซ่า จิบกี่คราก็สดชื่น แฟนคลับเยอะเลยร้านนี้

ยุ้งข้าวหอม หนึ่งในร้านที่เป็นจุดหมายของคนรักอาหารใต้ ขยับขยายสาขามาที่ศูนย์การค้าเดอะ คริสตัล เอกมัย-รามอินทรา เป็นที่เรียบร้อย  โดยสาขานี้ออกแบบให้มีบรรยากาศสบายๆ เข้าถึงง่าย เหมาะแก่การนัดเพื่อนมาพบปะสังสรรค์ พร้อมลิ้มรสเมนูอาหารใต้ ที่การันตีความอร่อยด้วยรางวัล มิชลิน ไกด์ 5 ปีซ้อน (2019 - 2023) ทุกเมนูรังสรรค์โดยเชฟอ้อม-สุจิรา พงษ์มอญ เจ้าของรางวัล MICHELIN Guide Young Chef Award คนแรกของประเทศไทย ได้ปรับปรุงสูตรและผสาน 3 วัฒนธรรมถิ่นใต้ ได้แก่ ไทย-พุทธ, ไทย-มุสลิม และไทย-จีน เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว โดยใช้วัตถุดิบและเครื่องปรุงที่ส่งตรงจากภาคใต้บ้านเรา ความพิเศษคือรสชาติที่ถ่ายทอดออกมาได้ตรงตามสูตรต้นตำรับที่มีเอกลักษณ์ของยุ้งข้าวหอมผสานเข้าไปในทุกจาน เริ่มต้นที่เมนูติดดาวจานแรก แกงคั่วเนื้อตุ๋นใบยี่หร่า มีรสชาติจัดจ้าน เผ็ดร้อน และหอมกลิ่นเครื่องแกง ต่อมาคือเมนูที่ยุ้งข้าวหอมรังสรรค์ออกมาเป็นเจ้าแรกอย่าง กุ้งแม่น้ำคั่วขมิ้น กุ้งตัวใหญ่ เนื้อกุ้งเด้งสุกกำลังดี เพิ่มรสชาติด้วยน้ำจิ้มรสแซ่บ แกงส้มปลาน้ำดอกไม้ น้ำแกงรสชาติเข้มข้น เสิร์ฟมากับเนื้อปลาชิ้นใหญ่ กินคู่ข้าวสวยร้อนๆ อร่อยมาก ถัดมาเป็น น้ำชุบหยำ มีรสหวาน เปรี้ยวเล็กน้อย ได้กลิ่นกะปิชัดเจน และมีเนื้อกุ้งหั่นเต๋าให้เคี้ยวอย่างเพลิดเพลิน แกล้มกับผักสด และ ใบเหลียงผัดไข่ ปรุงแบบครบรส มีความเค็มมันของใบเหลียง อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมา ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานอย่าง โรตีกล้วยเสิร์ฟกับไอศกรีม กล้วยชุบแป้งทอดกรอบ กินคู่กับไอศกรีมวานิลลาเข้ากันอย่างลงตัว อร่อยทุกเมนู สมกับที่เป็นเมนูติดดาว

ห่างหายจากเมนูยำไปนาน วันนี้แวะมาห้างเซ็นทรัลเวิล์ด ขอมาลิ้มลองอาหารร้าน “เบิร์นบุษบา” ร้านยำรสเด็ดไฟลุกที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ ความโดดเด่นต้องยกให้วัตถุดิบสดใหม่ และน้ำยำสูตรลับของที่ร้าน ซึ่งรสชาติแตกต่างกันออกไปเพื่อให้เข้ากับวัตถุดิบจานอร่อยนั้นๆ โดยสามารถเลือกความเผ็ดได้ 3 ระดับ บุษบาเบา (เผ็ดน้อย) บุษบาเบิร์น (เผ็ดธรรมดา) และบุษบาบอมบ์ (เผ็ดมาก) ทุกจานตกแต่งด้วยดอกไม้สด ซึ่งสื่อความหมายตามชื่อร้านอย่างคำว่า ‘บุษบา’ แปลว่าดอกไม้นั่นเอง เสิร์ฟในบรรยากาศเรียบง่าย พื้นลายหินสีดำและเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาล ผนังกระเบื้องสีแดงเลือดนกตกแต่งด้วยไฟนีออนที่มีข้อความว่า ‘เผ็ดร้อนแสะใจดั่งไฟเยอร์’และ ‘ยำไฟแล่บ ย่างไฟลุก’  ที่เห็นแล้วยิ่งท้องร้องอยากลิ้มลองเมนูซิกเนเจอร์ของร้านเร็วๆ มาชิมของกินเล่นกันก่อนดีกว่า ข้าวจี่ทอดไส้ไข่แดงเค็ม เป็นไอเดียที่ดี ข้าวจี่ทอดร้อนจี๋ สอดไส้ไข่แดงเค็มใบโตๆ รสเค็มหอมมัน ต่อด้วย รวมมิตรย่าง จานนี้สายฟู้ดเลิฟ ประกอบไปด้วย คอหมูย่าง หอมๆ เนื้อนุ่มฉ่ำใน แป้งนมย่างร้อนๆ กินอร่อย และไส้ย่างหนึบๆ เข้าคู่กับน้ำจิ้มแจ่วรสเข้มข้น ตำสตรอว์เบอร์รี ชูโรงด้วยรสเค็มนัวของกะปิคุณภาพ เคล้ากับสตรอว์เบอร์รีสดผลใหญ่ รสเปรี้ยวอมหวาน ห้ามพลาดกับ ยำรวมหมึกย่าง โดนใจสายซีฟู้ด หมึกกระดองย่าง ไข่หมึกกระดองย่างที่เรารัก และหมึกสายย่าง คลุกเคล้ากับน้ำยำรสเปรี้ยวเผ็ด เพิ่มสัมผัสกรุบกรอบด้วยไหลบัวกินอร่อย ทีเด็ดต้อง ยำบุษบาลุยไฟ แค่ฟังชื่อก็แซบไปถึงทรวง คอหมูย่างฉ่ำลิ้น แป้งนมย่าง ไส้ย่างและไหลบัวเคี้ยวสนุก มิ๊กซ์กับน้ำยำสูตรพิเศษ เติมข้าวคั่วหอมๆ ลงไป ก่อนดับความเผ็ดร้อนด้วย น้ำบุษบาชมสวน น้ำลิ้นจี่ท็อปด้วยน้ำอัญชันสีสวย รสหวานหอมจิบชื่นใจ รสเผ็ดเด็ดไม่เกรงใจใครต้องร้านนี้แหละ

ด้วยแรงบันดาลใจจากเรื่องราวบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง ผนวกกับการรวมตัวกันของเชฟรุ่นใหม่ นักประวัติศาสตร์อาหารไทย นักคิด นักวิจัย และนักธุรกิจ จึงถือกำเนิดเป็นเมนูอาหารที่ได้รับแรงบันดาลใจและอิทธิพลของการตั้งรกรากของคนหลากหลายวัฒนธรรมรอบแผ่นดินไทย ถ้าถามว่าอาหารที่ ‘ตามกาล’ เป็นอาหารโบราณแค่ไหน ก็ตอบได้ว่า บางเมนูถูกค้นพบตั้งแต่ 1,200 ปีที่แล้ว แต่ละเมนูที่นำมาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหาร ล้วนมีกลิ่นอายตำรับโบราณอยู่อย่างหนักแน่น แฝงด้วยกรรมวิธี และการเลือกใช้วัตถุดิบในแบบวิถีโบราณ เช่น การใช้ใบชะมวง ซึ่งเป็นใบไม้รสเปรี้ยว และมะม่วงเบามาทดแทนความเปรี้ยวจากมะนาว ในเมนู มัสยาส้มใบ (ลาบปลากะพงแดง) เช่นเดียวกับเครื่องดื่มเริ่มต้นคอร์สอย่าง เปาหลิงโก๊ะ สุราจากข้าวเหนียวเขี้ยวงู ที่ค้นพบในดินแดนแขมร์ หรือกัมพูชาในปัจจุบัน ที่ทางร้านนำมาหมักจนเกือบได้แอลกอฮอล์ ผสมกับพริกจินดาแดง จึงได้เป็นเครื่องดื่มน้ำนมข้าวที่ให้รสชาติหวานละมุนในเริ่มแรกและเผ็ดร้อนติดปลายลิ้น แน่นอนว่าแต่ละจานนั้นล้วนคงแนวคิดของอาหารโบราณไว้อย่างเหนียวแน่น แแต่ในขณะเดียวกันก็นำเสนอผ่านหน้าตาสุดโมเดิร์น ไม่ว่าจะเป็นเมนู เครื่องกรอบเข้าวัง หรือหมี่น้ำบ้านราชทูตที่ค้นพบเมื่อ 150 ปีที่แล้ว มาพร้อมปูกรรเชียงปูทอด ราดด้วยซอสที่ทำจากหัวน้ำปลาและน้ำตาลแว่นจากปัตตานี ท็อปด้วยเจลลี่ดอกดาหลา ไม่ต่างกับ ร้อนรสโอชเอม ที่เปลี่ยนโฉมจานข้าวคลุกน้ำพริกพริกไทยอ่อนจากตำราน้ำพริกของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ออกมาใหม่ได้อย่างน่าประทับใจ แฝงไว้ด้วยความร้อนแรงจากข้าวกล้องคลุกด้วยน้ำพริกพริกไทยอ่อน เสิร์ฟคู่กับไก่ย่าง จากเนื้อไก่ตะนาวศรีเนื้อแน่นและนุ่ม ส่วนเมนูที่เก่าแก่ที่สุดในคอร์สนี้คือ มัจฉาซ่อนรส หรือ งบห่อหมกปลาบู่ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากชาวอินโดนีเซีย ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานบริเวณภาคใต้ของไทย จึงเป็นงบปลาย่างใบตองที่ให้กลิ่นเครื่องเทศชัดเจนและมีความเผ็ดร้อน แทรกด้วยความกลมกล่อมจากมะเขือเทศ นอกจากนี้ยังมีเมนูน่าสนใจอีกมากมาย เช่น อัมพิละนางรม หรือ หอยนางรมจี๊ดจ๊าด ที่คัดสรรหอยนางรมจากสุราษฎร์ธานีเสิร์ฟพร้อมซอสส้มซ่า ใบมะตูมแขก และขิง ให้ความสดชื่น เครื่องแกงแฝงพวงร้อย หรือฉู่ฉี่ไข่ปลาช่อน ที่มีมาตั้งแต่ 300 กว่าปีก่อน นับตั้งแต่สยามเริ่มทำการค้าขายกับต่างชาติ และได้รู้จักกับการใช้พริก เครื่องแกง กะทิ รวมถึงกรรมวิธีการทำอาหารแบบใหม่ โดยเมนูนี้เป็นการหยิบเอาไข่ปลาช่อนแม่ลาทอดมาจับคู่กับน้ำแกงฉู่ฉี่รสชาติเข้มข้นหวานมัน เสริมด้วยสมุนไพรลูกสามสิบ และคุกกี้เครื่องแกงที่แซมความเผ็ดที่ปลายลิ้น อีกเมนูที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วง 300 กว่าปีที่แล้วเช่นกันคือ กระยาหารส่งถวาย หรือซุปไก่ดำรังนก  น้ำซุปใสรสกลมกล่อมจากไก่ดำที่อายุไม่เกิน 3 เดือน ทำให้เป็นซุปที่ไร้กลิ่นสาบ ผสมผสานกับสมุนไพรจีนมาพร้อมกับรังนกจากปัตตานี เชื่อว่าเป็นยาบำรุงกำลังได้ด้วย เลิศรสลงทรง เป็นเมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือเรื่อง ‘เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก’ สะท้อนถึงวิถีชีวิตคนกรุงเทพฯ ที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำ ไฮไลต์ของจานต้องยกให้กับน้ำปลามะกอก ซึ่งประกอบไปด้วยน้ำบูดูและมะกอกให้รสชาติเค็มออกเปรี้ยว ใช้แทนซอส กับกุ้งแม่น้ำย่างเนื้อนุ่มเด้งหัวมันเยิ้ม เสิร์ฟพร้อมผักสด ก่อนจะเข้าสู่อาหารจานหลัก ล้างปากเพิ่มความสดชื่นกันก่อนด้วย หมากชื่นกลิ่น หรือ กรานิต้ามะเม่า ที่หยิบเอา มะเม่า หรือ หมากเม่า ที่เป็นผลไม้ท้องถิ่นจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้รสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด มาทำเป็นเกร็ดน้ำแข็งเย็นชื่นใจ ท็อปด้วยคาเวียร์น้ำเชื่อมมิ้นต์ ให้ความสดชื่นแบบคูณสอง การระเกตุถือดาบ คืออาหารจานหลังที่ประกอบไปด้วย ซี่โครงแกะจากออสเตรเลียย่างราดด้วยซอสขมิ้น ผักชีเล็บครุฑชุบแป้งทอดกรอบแบบเทมปุระ จับคู่มากับน้ำอาจาดที่เพิ่มกะทิกับขมิ้นเข้าไปให้แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร หนึ่งในจานที่เซอไพรส์มาก ๆ คือ ทวิรสชดชื่น หรือ ปลาแห้งแตงโม ที่ปกติแล้วเรามักจะคุ้นเคยว่าเป็นเมนูของว่างก่อนเริ่มมื้ออาหาร แต่ที่นี่กลับสลับสับเปลี่ยนมาเป็นของหวานไว้ที่ท้ายคอร์ส ประกอบไปด้วยแตงโมแดงและแตงโมเหลือง ที่นำไปแช่ในไวน์หวานจนเนื้อชุ่มฉ่ำ ท็อปด้วยเจลมะกรูดและเจลไวน์หวานที่ให้รสชาติตัดกัน ต่อด้วยของหวานจานที่ 2 กับ หินฝนทอง ขนมไทยโบราณหากินยาก หรือบางคนไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยด้วยซ้ำ มาในรูปแบบคล้ายคุกกี้สีดำสนิททำจากผงชาโคล สอดแทรกด้วยกลิ่นงาขาวและงาดำหอม ๆ จากมูสที่รองอยู่ด้านล่าง ปิดท้ายด้วย บิสกิตแครนเบอร์รี่ หรือ สัมปันนีแครนเบอร์รี่ ที่ปรับรสชาติหอมหวานของสัมปันนีให้มีความเปรี้ยวจากแครนเบอร์รี่แทรกเข้าไปด้วยอย่างลงตัว เมนูคอร์สของ ‘ตามกาล’ จะเปลี่ยนใหม่ทุก ๆ 4 เดือน ดังนั้นต้องรีบมาจับจองโต๊ะเพื่อลิ้มลองอาหารที่แฝงการเดินทางย้อนเวลาให้ครบทุกจาน

หากใครต้องการรับประทานอาหารไทย ในบรรยากาศสบายๆ หลีกหนีความวุ่นวายของเมืองกรุง Patara Fine Thai Cuisine (ภัทรา) คือคำตอบที่ดีที่สุด ด้วยตัวร้านตั้งอยู่ในซอยทองหล่อ 19 เป็นบ้านเดี่ยวหลังเก่าที่โอบล้อมด้วยสวนสีเขียวและต้นไม่ใหญ่ เหมาะแก่การชวนครอบครัวมานั่งดื่มด่ำบรรยากาศ และลิ้มรสเมนูอาหารไทยพื้นบ้าน ก็คงจะดีไม่น้อย ภายในร้านกว้างขวาง มีมุมให้เลือกนั่งได้ตามอัธยาศัย ตกแต่งอย่างประณีตพิถีพิถัน สื่อถึงความเป็นไทย แต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายร่วมสมัยทั้งเฟอร์นิเจอร์ งานศิลปะและของประดับ สำหรับเมนูอาหารทั้งคาวและหวาน ทางร้านรังสรรค์ให้มีรสชาติแบบฉบับอาหารไทยดั้งเดิม โดยคัดสรรวัตถุดิบจากทั่วท้องถิ่นไทย เริ่มต้นที่ แกงเขียวหวานเนื้อ - โรตี เครื่องแกงเขียวหวานรสจัดจ้าน มีความหอมมันของกะทิสด เนื้อที่ให้มาเป็นเนื้อวากิวนุ่มละมุน กินคู่แป้งโรตีอร่อยกลมกล่อม อาหารเหนือก็มีเป็น ข้าวซอยไก่ น้ำแกงรสเข้มข้นตามตำรับข้าวซอย กินรวมกันทุกองค์ประกอบ ได้รสชาติกลมกล่อมสุดๆ ถัดมาคือ เครปไข่นุ่มซอสมันกุ้ง แป้งเครปบางๆ อัดหน้าเเน่นด้วยไข่กวนเนื้อเนียนและกุ้งเนื้อเด้ง รสชาติเค็มๆ มันๆ อร่อยมาก ต่อกันที่เมนูของหวานอย่าง เครปทับทิมกรอบ ท็อปหน้าด้วยไอศกรีมกะทิสดโฮมเมด ได้รสหวานมัน เพิ่มเท็กซ์เจอร์ด้วยทับทิมกรอบ เคี้ยวเพลินๆ ก่อนกินอย่าลืมราดน้ำกะทินะ ตบท้ายด้วยการสั่งเครื่องดื่มให้ชื่นใจด้วย Bitter Lemonade ได้รสเปรี้ยวนิดๆ หอมกลิ่นเลมอน และได้ความสดชื่นจากโซดา ช่วยปิดท้ายมื้อนี้ได้ดีจริงๆ เป็นอีกหนึ่งร้านที่มาแล้วไม่ผิดหวังเลย