เบียร์เย็นแก้วโตๆ อาหารรสดี ดนตรีอลังการ พนักงานบริการด้วยใจ เป็นความทรงจำดีๆ เมื่อนึกถึง “โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง” สถานที่แฮงค์เอ้าท์สำหรับทุกวัย นอกร้านดูโอ่อ่าและยิ่งใหญ่ ภายในตกแต่งจำลองเป็นสถานีรถไฟประเทศต่างๆ พร้อมอาหารหลากหลายให้เลือกรับประทานกว่า 200 เมนู ที่รอให้คุณไปสัมผัสลิ้มลอง         เริ่มต้นด้วยเมนูกรุบกรอบที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา  กะหล่ำปลีที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ผัดกับน้ำปลาหอม ความเค็มลงตัวของน้ำปลาผสานกับความหวานกรอบของกะหล่ำปลี ได้ใจเราไปเต็มๆ จากนั้นเอาใจคนรักอาหารอีสานด้วย      ส้มตำไหลบัว ไหลบัวอ่อนต้นขาวอวบพิเศษ หั่นชิ้นพอดีคำ คลุกเคล้ากับน้ำส้มตำสูตรพิเศษครบรสชาติ สมเป็นส้มตำฉบับอีสานแท้ๆ     ขาหมูทอดตะวันแดง เมนูที่ขาดไม่ได้ ขาหมูกรอบนอกนุ่มในที่ผ่านกระบวนการทอดแบบใส่ใจทุกขั้นตอน เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงช่วยตัดเลี่ยนอย่าง กะหล่ำปลีดอง และมันบด กินคู่กับน้ำจิ้มรสจัดจ้านที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี ถัดมาคือ ปลากะพงทอดน้ำปลา คัดสรรปลากะพงสดใหม่ ได้ความหวานของเนื้อปลาเต็มๆ กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ       หันมาซดน้ำซุปให้คล่องคอกันบ้างกับเมนู เกาเหลาเย็นตาโฟทรงเครื่อง  หนึ่งในเมนูฮิตของโรงเบียร์ น้ำซุปรสชาติครบเครื่อง เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ใส่เครื่องเคราจนเต็ม อาทิ ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้งอย่างดี ปลาหมึกกรอบอร่อย แมงกะพรุนดอกใหญ่ เต้าหู้ทอดกรอบ และยอดผักบุ้งคัดยอดอ่อน     นอกจากนั้นยังเอาใจคนรักอาหารญี่ปุ่นด้วย ซาซิมิแซลมอน เกรดพรีเมี่ยม ส่งตรงมาประเทศญี่ปุ่น คู่ควรแก่การลิ้มลอง     ปิดท้ายด้วยเบียร์สดสัญชาติเยอรมันคุณภาพ 3 รสชาติยอดนิยม ได้แก่ ลาเกอร์ (Lagern) เบียร์สีทองฟองน้อย รสหวานนุ่มลิ้น ดุงเกล (Dunkel) เบียร์ดำ ได้รสหวานเจือขมจางของมอลต์ ไวเซ่น (Weizen) เบียร์ผลไม้ ฟองนุ่ม หอมกลิ่นฟรุตตี้เบาๆ เพิ่มความหลากหลายด้วยเบียร์อีก 2 รสชาติอย่าง โรเซ่ (Rosè) เบียร์กลิ่นกุหลาบ ดื่มง่าย ถูกใจสาวๆ และฮ็อปส์บอมบ์ (Hops bomb) รสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นฮ็อปเป็นที่สุด  

Lumble café เกิดจากความชอบและหัวใจล้วนๆ ของ “คุณบิว” เจ้าของร้านที่ชอบดื่มกาแฟเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาตัดสินใจเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ขึ้นมา แล้วค่อยๆ พัฒนาร้าน ปรับเมนู และรสชาติอาหารให้เป็นที่ถูกอกถูกใจของลูกค้า จนทำให้ Lumble café กลายเป็นหนึ่งในร้านที่สมบูรณ์แบบร้านหนึ่งในย่านศาลายา       เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกันด้วย สลัดไก่อบซอสบาร์บีคิว ไก่เนื้อนุ่มหมักซอสบาบีคิว กินคู่กับน้ำสลัดงาขาวรสเปรี้ยวหวาน และผักสดที่ช่วยลดทนความเลี่ยน เป็นเมนูที่อิ่มอร่อยเบาๆ     สปาเก็ตตี้ข้าวซอยไก่ เมนูขวัญใจของเด็กมหาลัยฯ ที่เปลี่ยนจากเส้นข้าวซอยเป็นเส้นสปาเก็ตตี้เหนียวนุ่ม แต่ยังคงความอร่อยเข้มข้นเหมือนต้นฉบับคนเหนือ และอีกเมนูที่ขาดไม่ได้เลย      ซี่โครงหมูย่างซอสแจ่ว ความพิเศษของเมนูนี้อยู่ที่ ตัวซี่โครงหมูที่ถูกนำไปตุ๋นก่อนอบ จนได้เนื้อหมูนุ่มร่อนจากซี่โครง หอมอบอวลด้วยเครื่องเทศ ยิ่งกินคู่กับน้ำจิ้มแจ่วเข้มข้นถึงเครื่องยิ่งดีเข้าไปใหญ่     สำหรับของหวานล้างปากแนะนำ โทสต์ชาไทย ขนมปังกรอบนอกนุ่มในเสิร์ฟพร้อมซอสครีมชาไทย วิปปิงครีม ไอศกรีมวานิลลา และเบอร์รีสด ส่วนรสชาตินั้นสร้างความประหลาดใจให้กับเราเลยทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่า เบอร์รีกับชาไทยจะไปด้วยกันได้ เรียกว่าคนรักชาไทยต้องฟินอย่างแน่นอน     ส่วนเครื่องดื่มต้องลอง เมนูฮิตยอดนิยม Coconut Coffee กาแฟน้ำกะทิเสิร์ฟพร้อมไอศกรีมกะทิ จุดเด่นของแก้วนี้อยู่ที่ความหอมมัน เข้มข้น คนที่ไม่ดื่มกาแฟสามารถดื่มได้สบาย บอกเลยเลยแก้วนี้ดีงาม      ปิดท้ายด้วย ชาเอิร์ลเกรย์ผลไม้ เพิ่มความสดชื่น ชาเอิร์ลเกรย์ผสมด้วยเบอร์รีสด และเลมอน ได้กลิ่นหอมหอมหวานของชา และความเปรี้ยวจากผลไม้ รสชาติหวานพอดี ยิ่งดื่มยิ่งสดชื่น  

เป็นใครก็คงตื่นเต้นเมื่อได้ข่าวเครือซูกิชิที่สายกินยกให้เป็นตัวจริงเรื่องปิ้งย่างอาหารเกาหลี เปิดตัวแบรนด์น้องใหม่สุดคิวท์ในลุคคาเฟ่ที่สดใสชวนนั่ง แม้ฉีกแนวไปนิดแต่ไม่ทิ้งคอนเซปต์อาหารแฟมิลีที่ปาร์ตี้ได้ทั้งบ้าน ไม่เฉพาะเมนูเกาหลีที่เชี่ยวชาญยังจัดเต็มเมนูไทย จีน ญี่ปุ่น ตะวันตก รวมถึงฟิวชั่นเก๋ๆ ที่แค่เห็นก็ตาลุกวาว         ด้านเครื่องดื่มก็ไม่น้อยหน้าปล่อยทีเด็ดไม่ยั้งทั้งชา กาแฟ และน้ำผลไม้ที่มิกซ์แอนด์แมทส่วนผสมหลายอย่างเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เกิดเป็นเมนูสุดว้าวที่เห็นแล้วอยากลองให้ครบทุกแก้ว         เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกับมันฝรั่งเบคอนอบชีส มันฝรั่งอบบดละเอียดนุ่มเนียนลิ้น หอมกลิ่นเนยและชีส ด้านบนวางเบคอนและชีสแน่นๆ เสิร์ฟร้อนๆ ให้ดึงได้ยืดสุดแขน       ถ้าไม่จุใจสั่งเกี๊ยวซ่าไข่กุ้งชีสลาวา เกี๊ยวซ่าทอดแบบกรอบนอกฉ่ำใน ไส้เป็นไข่กุ้งเคี้ยวกรุบมัน ราดซ้ำด้วยชีสเข้มข้นสุดครีมมี่       สลับมาตัดเลี่ยนกับสลัดโรลดอกไม้กุ้งและปูอัดอลาสก้า โรลขนาดพอดีคำ ห่อไส้กุ้ง ปูอัด และกลีบดอกไม้สดปลูกแบบออร์แกนิกส์ ชูรสชาติด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเปรี้ยวแซ่บ       ส่วนจานหลักอยากให้ลองสปาเก็ตตีคาร์โบนารา เส้นเหนียวนุ่มฉ่ำครีมซอส รสชาติเค็มมันที่สำคัญหอมกลิ่นชีสมาก       ต่อกันที่สเต๊กไก่ย่างจิ้มแจ่ว ไก่หมักเครื่องปรุงจนเข้าเนื้อเข้าหนังนำมาย่างพอสุกทั่วถึง หอมอบอวลด้วยกลิ่นควันไฟจางๆ เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มแจ่วรสจัดจ้าน เคียงด้วยผักสดที่ช่วยลดทอนความเลี่ยน       สำหรับของหวานล้างปากแนะนำ ซีซันเชนจ์ บิงซู 3 รส 3 ความอร่อย เริ่มด้วยความหอมหวานและเข้มข้นของมัตฉะจากญี่ปุ่น รสเปรี้ยวจากสตรอเบอร์รี และหวานฉ่ำจากมะม่วงน้ำดอกไม้สุก       ส่วนเครื่องดื่มต้องลองวิทซี ซิลค์ ที ชาเย็นกับผลไม้รสเปรี้ยวที่มอบความสดชื่นปิดท้ายมื้อได้อย่างรื่นรมย์     ดีต่อใจ-อิ่มต่อพุงแบบนี้ คงต้องยกให้เป็นจุดรวมพลใหม่ของทุกคนในครอบครัวแล้วล่ะ!

หากใครเคยรู้สึกเกร็งและไม่รู้ว่าอาหารสไตล์เชฟเทเบิลเป็นอย่างไรแล้วล่ะก็ เราอยากชวนทุกคนมาลิ้มลองความอร่อยจากฝีมือของ 2 เชฟสาวความสามารถอย่าง คุณโบว์ จากเลอ กอร์ดอง เบลอ ประเทศอังกฤษ และคุณอ้อ ที่เคยมีประสบการณ์จากร้านอาหารชื่อดังระดับโลกอย่าง Gaggan มาร่วมกันทำเชฟเทเบิลในคอนเซ็ปต์ Casual Fine Dining เพื่อให้ทุกคนได้อิ่มเอมไปกับอาหารและบรรยากาศ ราวกับมาเที่ยวบ้านเพื่อน โดยจำกัดที่นั่งในแต่ละวันไว้เพียง 12 ที่ พร้อมกับคอร์สความอร่อยแบบไม่ระบุสัญชาติ ซึ่งจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกๆ 3 เดือน หรือ Quarter ตามชื่อร้าน         สำหรับธีมแรกประเดิมร้านเปิดมีชื่อว่า “Nice to Meat You” ซึ่งจะเป็นการเลือกใช้เนื้อสัตว์หลากชนิดมาปรุงเป็นอาหารในแต่ละจาน คุณโบว์เริ่มต้นเปิดต่อมรับรสด้วย Welcome Drink เครื่องดื่มรสเปรี้ยวหวานจากส่วนผสมของน้ำลิ้นจี่ มะนาว และใบมินต์ปลูกเอง ตามด้วย Beach หอยเชลล์เนื้อนุ่มหวานและไข่ปลาแซลมอนลูกกลมโตที่เพิ่มรสสดชื่นด้วยซอสมะม่วงผสมเจลจากส้มยูซุ       จากนั้นเป็น Afternoon Tea in the Garden เมนูชวนตื่นเต้นด้วยการพรีเซนต์จานแบบสวนสวย โดยในกาจะเป็นคอนซอมเม่หรือซุปใสที่เกิดจากการต้มกระดูกเป็ด กระดูกไก่ และผักนานาชนิด ยาวนานกว่า 10 ชั่วโมง จนได้ซุปรสหวานกลมกล่อมสีเหลืองทองกินคู่กับพาสตาตอร์เตลลีนี (Tortellini) ทรงดอกไม้ที่สอดไส้เนื้อเป็ดซูวีด 14 ชั่วโมงและผักดอง     ไฮไลต์ยังไม่หมดเพียงเท่านี้เพราะยังมี Ground and Grain รีซอตโตผัดซอสเห็ดและชีสพาร์เมซาน เสิร์ฟพร้อมกับเนื้อวัวออสเตรเลียย่างจนนุ่มหั่นชิ้นเต๋าพอดีคำที่เข้าคู่กับ Black Winter Truffle เห็ดทรัฟเฟิลหอมๆ ได้อย่างลงตัว แล้วจบคอร์สด้วย Dark Forest ที่แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นของหวานแต่ก็ยังคงคอนเซ็ปต์การใช้เนื้อสัตว์ เมื่อเค้กช็อกโกแลตและไอศกรีมวานิลลาที่อยู่ตรงหน้าได้ซ่อนครัมเบิลที่ทำจากไก่และเป็ดเอาไว้เซอร์ไพร์สเรากันอีกด้วย       ส่วนใครมีเวลาไม่มากก็มีอาหารแบบจานเดียวให้เลือกกัน อาทิ Tiger Prawn with Garlic Chili Oil กุ้งลายเสือเนื้อแน่นเด้งเสิร์ฟพร้อมน้ำมันพริกแห้งและกระเทียมกินคู่กับขนมปังบาแกตต์นาบกระทะกับน้ำมันมะกอก และ Beef Stir Fried Kaprao Rice ข้าวผัดกะเพรารสชาติจัดจ้านหอมกลิ่นกระทะและน้ำมันจากการทอดเนื้อ เสิร์ฟคู่กับสเต๊กเนื้อวากิว A5 ฉ่ำหวานนุ่มลิ้น       ถ้าบีฟเลิฟเวอร์ได้ลอง รับรองมีเกลี้ยงจาน!

แค่ได้ยินชื่อ Rooftop หัวใจก็พองโตไปถึงไหน ยิ่งถ้าเป็นที่บรรยากาศดีๆ ยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากไปมากเท่านั้น วันนี้เราชวนทุกคน มารับลมเย็นๆ สัมผัสวิวพาโรนามาของแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมอิ่มท้องกับอาหารสุดเลิศรส Seen Restaurant & Bar Bangkok Rooftop ย่านพระราม 3 ที่จะทำให้คุณผ่อนคลายและเพลิดเพลินกับบรรยากาศ จนไม่อยากลุกไปไหน     สำหรับ Rooftop แห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้น 26 มีทั้งโซน indoor และ Outdoor ซึ่งทั้งสองโซนสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำได้เหมือนกันที่สำคัญยังมีสระว่ายน้ำอยู่ด้วย เรียกว่าได้บรรยากาศดีสุดๆ ไปเลย     อีกหนึ่งอย่างที่เลิศไม่แพ้กันคงจะเป็นเรื่องของรสชาติอาหาร เริ่มต้นด้วย Truffle gunkan hotate ซูชิชิ้นพอดีคำแต่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพจากหอย hotate แถมยังมีไข่นกกะทาวางข้างบนอีก ทำให้จานนี้เข้ากันดีแบบสุดๆ ต่อมาคือ Salmon roll ปลาแซลมอนชิ้นโตๆ พร้อมด้วยไข่กุ้งด้านบน ตัดเลี่ยนด้วยแตงกวา เป็นอีกจานที่อร่อยลงตัวเช่นกัน       เอาใจคนรักล็อบสเตอร์กันด้วย Truffle lobster salad สลัดล็อบเตอร์รสชาติเข้มข้นถึงใจ แถมยังได้ความหอมจากเห็ดทรัฟเฟิลมาช่วยเพิ่มจานนี้ดูน่ากินยิ่งขึ้น แต่สำหรับใครที่ชื่นชอบไก่ต้องจัดไปเลยกับเมนู Niwatori miso Chicken ไก่ชิ้นโตๆ มาพร้อมซอส 2 สไตล์อย่างเทอริยากิและพริกไทยดำ ไม่ว่าจะจิ้มซอสไหนก็ดูเข้ากันเหลือเกิน         ปิดท้ายด้วยขนมหวานแสนอร่อยอย่าง Chocolate mousse 70% ช็อกโกแลตเนื้อมูสเนียนนุ่ม เข้มข้นถึงใจ มาพร้อมคิทแคทรสชาเขียว เรียกได้ว่าเป็นจานที่ตบท้ายมื้ออาหารได้อย่างสวยงามจริงๆ ค่ะ  

พิกัดความอร่อยของสายเนื้อที่อยากเชื้อเชิญเพราะเข้าถึงง่ายใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีวุฒากาศ ตัวร้านตกแต่งชวนนั่งสไตล์อินดัสเตรียลลอฟต์ ปูนเปลือยสุดเท่ ช่วงค่ำเปิดไฟได้แสงนวลสวยช่วยเปลี่ยนบรรยากาศให้โรแมนติกได้อีก สเต๊กร้านนี้ราคาเริ่มต้นไม่ถึง 100 บาทแต่ใช้เนื้อเกรดดีๆ ทั้งนั้น ใครอยากย่างเนื้อเองก็มีเตาร้อนให้สนุกกับการย่างเนื้อที่เลือกระดับความสุกได้ตามชอบอีกด้วย         เริ่มที่ชุดใหญ่ขายดี Steak Factory No.1 นำทีมโดยหมูพริกไทยดำ พอร์กชอฟ ไก่สไปซี่ และปลาดอรีราดซอสโฮมเมดมาพร้อมสลัดผัก 5 อย่างราดครีมฉ่ำๆ และเฟรนช์ฟรายส์กรอบนอกนุ่มใน       ต่อด้วยสปาเกตตีซอสกุ้ง เส้นเหนียวนุ่มเคี้ยวลื่นคอ ราดซอสเปรี้ยวสไตล์ฟิวชัน ผัดกับกุ้งตัวโตเนื้อกรอบเด้ง     สลับมาซดน้ำซุปร้อนๆ ให้คล่องคอกันบ้างกับเย็นตาโฟต้มยำหม้อไฟ เมนูที่ชูกลิ่นหอมชวนหิว ด้านในยังเนืองแน่นด้วยเส้นบะหมี่นุ่มๆ หอยนางรมนิวซีแลนด์ หมึก ปูอัด ผักบุ้งและกุ้งตัวอวบ รสชาติจัดจ้านโดนใจ       ส่วนเมนูกินเล่นมาแรงยกให้ คางกุ้งทอด ทอดกรุบกรอบไร้มัน จิ้มกินกับซอสมะเขือเทศเพลินไปอีก อิ่มอร่อยกับมื้ออาหารแล้วอย่าลืมสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ รสเปรี้ยวซ่ามาจิบปิดท้ายด้วยล่ะ    

แม้จะเปิดมานานกว่า 8 ปี แต่ “XXL Steakhouse” ก็ยังคงเป็นร้านสเต๊กยอดนิยมขวัญใจนักกินทุกเพศทุกวัยในย่านลาดพร้าว ด้วยความอร่อยสไตล์โฮมเมดที่จัดให้เต็มอิ่มทั้งปริมาณและคุณภาพ โดยเฉพาะวัตถุดิบที่เจ้าของร้านคัดสรรมาอย่างดี เรียกว่าอร่อยคุ้มค่าเกินราคาทุกจาน         นอกจากหลากหลายเมนูสเต๊กไซส์บิ๊กที่หลายคนยกนิ้วให้ ที่นี่ยังมีจานเด่นเอาใจคนรักชีสที่บอกเลยว่าห้ามพลาด เพราะทุกจานอัดแน่นไปด้วยชีสคุณภาพดีแบบจุใจ ไม่ว่าจะเป็นเมนูกินเล่น (แต่อิ่มจริง) อาทิ ขนมปังกระเทียมอบชีสกรอบนอกนุ่มใน โรยหน้าด้วยชีสมอสซาเรลลาหอมมัน และผักโขมอบชีสที่ใส่ชีสมอสซาเรลลาแบบจัดเต็มไม่แพ้กัน       แต่อย่าลืมเผื่อท้องไว้สำหรับเมนูซิกเนเจอร์อย่างลาวาชีสเบอร์เกอร์ ทีเด็ดอยู่ที่ชีสลาวาทำจากชีสมอสซาเรลลาและเชดดา เมื่อหั่นหมูชิ้นโตออกจะเยิ้มทะลักออกมาน่ากินสุดๆ เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอดและสลัดผัก (แนะนำให้กินตอนเสิร์ฟมาร้อนๆ จะยิ่งอร่อยสุดๆ)  

"You Are The Fork to My Spoon" สโลแกนแสนหวานติดบนผนังตัวโต สื่อความหมายชวนให้อบอุ่นหัวใจดีจัง ช้อนต้องคู่กับส้อมเหมือนที่ The Fork Eatery ก็จะอยู่เคียงข้างเราพร้อมกับเมนูอร่อยเสมอ ภายในร้านตกแต่งบรรยากาศแบบ Neighborhood Cafe กระจกใสโปร่งเปิดรับแสงสว่างจากภายนอก ร่วมกับเฟอร์นิเจอร์ไม้โทนน้ำตาลอ่อนสบายตาชวนให้นั่งได้นานๆ ด้านอาหารได้คุณตาลเชฟสาวคนสวยเป็นผู้ออกแบบเมนูทั้งหมด ส่วนเครื่องดื่มยกให้คุณเมย์หุ้นส่วนอีกคนรับหน้าที่ครีเอทอย่างเต็มที่         เริ่มที่ เฟรนซ์ฟรายเกลียวที่สุดของความกรอบอร่อยที่ควรสั่งมาเรียกน้ำย่อยก่อนมื้ออาหาร     จากนั้นต่อด้วยเนื้อย่างคลุกแจ่ว ซิกเนเจอร์จานคลาสสิกที่มาแล้วไม่สั่งถือว่าพลาดอย่างแรง ทางร้านใช้เนื้อโคขุนจากสุรินทร์ เคี้ยวนุ่มกำลังดี ชูรสชาติด้วยน้ำจิ้มแจ่วเผ็ดนิดหวานหน่อย       ข้าวผัดต้มยำกุ้งไข่ลูกเขย การจับคู่ที่ดูแปลกตาแต่รสชาติผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว ระหว่างข้าวผัดต้มยำกุ้งรสเปรี้ยวแซ่บจัดจ้านที่มีกุ้งเนื้อแน่นใส่มาให้กินแกล้มกับไข่ลูกเขยรสหวานอมเปรี้ยวยิ่งเคี้ยวยิ่งชื่นใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งหอมเจียวกรอบๆ ที่โรยมาเพิ่มกลิ่นรส เรียกว่าครบเครื่องเรื่องความอร่อย       ไปกันต่อกับสปาเก็ตตีครีมไข่กุ้ง จานโปรดของคนหลากหลายวัยที่ใจตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นสีส้มสดใสของไข่กุ้งที่โปะมาให้แบบพูนๆ เคี้ยวกรุบๆ ไปพร้อมความหนึบหนับของกุ้งสดเนื้อแน่น ไหนจะรสชาติสุดครีมมี่ที่เข้ากั๊นเข้ากัน ตักเข้าปากทีไรก็ได้ใจไปเต็มๆ เสียทุกครั้ง       เฟรนช์โทสต์สังขยามะพร้าวอ่อน โทสต์แผ่นบางด้านนอกเกรียมนิดๆ หอมกลิ่นเนยจางๆ ดูเรียบง่ายแต่ทำไมน้ำลายสอ (ฮา)ทางร้านเสิร์ฟมาพร้อมสังขยาโฮมเมดที่ได้สีเขียวธรรมชาติจากใบเตยรสชาติหวานมัน ด้านบนใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนมาให้กินเล่นเพลินๆ       ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มหอมหวานกลมกล่อมสักแก้ว เติมสุขแบบนี้ได้ทุกวันที่ The Fork Eatery  

หากอยากหลบความวุ่นวายบนถนนเกษตร-นวมินทร์เรามีมุมหย่อนใจมาแนะนำ Café I Love You คาเฟ่ชิคๆ เท่ๆ เนรมิตพื้นที่ชวนนั่งด้วยการนำตู้คอนเทนเนอร์มาตกแต่งสไตล์ลอฟต์และจัดสวนรอบร้านให้ดูร่มรื่นเย็นตา เปรียบดังโอเอซิสกลางใจเมืองที่เหมาะกับการนั่งชิลสูดอากาศบริสุทธิ์ได้ทั้งวัน โดยช่วงเย็นจะมีดนตรีสดเน้นเพลงสนุกฟังสบาย เบื่อรถติดจะแวะมาเอนเตอร์เทนก่อนกลับบ้านก็ยังได้         เมนูอาหารมีให้เลือกทั้งอาหารไทยและยุโรป ขายดียกให้กุ้งแม่น้ำคั่วพริกเกลือ ความแซ่บอยู่ที่กระเทียมแกะเปลือกคั่วพริกเกลือรสชาติเค็มมันเข้ากันดีกับเนื้อกุ้งกรอบเด้ง ตักมาคลุกเคล้ากับข้าวหอมมะลิร้อนๆ อร่อยจนต้องขอเติมข้าว     ต่อด้วยหอยเชลล์ฮอกไกโดผักโขมอบชีส หอยเชลล์ตัวใหญ่ไซส์พิเศษส่งตรงจากเกาะฮอกไกโด ปรุงรสด้วยชีสและผักโขม แนะนำควรกินร้อนๆ เพราะชีสจะยิ่งยืดและหอมมาก     ปิดท้ายด้วยจานหลักหนักท้องอย่างสปาเกตตีปูนิ่มกับซอสปุตตาเนสกา เส้นลวกสุกเคี้ยวนุ่มๆ หนึบๆ แล้วนำมาผัดกับปูนิ่มทั้งตัวด้วยซอสสูตรเด็ดของร้าน รสชาติกลมกล่อมหอมกรุ่น เสิร์ฟจานใหญ่ให้แบ่งกันกินได้หลายคน  

ใครหลบร้อนไปเที่ยวทะเลแถวจังหวัดระยอง อย่าลืมหาโอกาสแวะไปเยือน “Luscious Garden Café” คาเฟ่และร้านอาหารในบ้านหลังใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยความร่มรื่นของต้นไม้และสนามหญ้า ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งเล่นอยู่ในบ้านเพื่อนสุดเก๋ที่มีเมนูโฮมเมดทั้งไทยและตะวันตก รวมทั้งของหวานแสนอร่อยฝีมือคุณแม่เจ้าของร้านที่บอกได้คำเดียวว่าห้ามพลาด         สำหรับคนรักเมนูเส้นต้องลอง สปาเกตตีซอสครีมไข่กุ้ง ทีเด็ดอยู่ที่การใช้คูลินารีครีมระดับคุณภาพและชีสพาร์เมซานหอมมัน และถ้าชอบอาหารทะเลด้วย สปาเกตตีซอสครีมซีฟู้ดที่มีทั้งกุ้ง ปลาหมึก และเนื้อปลาชิ้นโต จานนี้ตอบโจทย์แน่นอน       ส่วนสาย(ของ)หวาน เราแนะนำ Hokkaido Cheesecake เมนูชีสเค้กสไตล์ญี่ปุ่น เนื้อแน่นกลมกล่อมหอมนม เพิ่มความหอมมันด้วยครีมชีสทำจากวิปปิงครีมคุณภาพดี และ Passionfruit Mousse Cheesecake ความอร่อย 5 ชั้น ของเค้กที่มีทั้งอัลมอนด์ครัมเบิล มูสเสาวรสหอมครีมชีส เนื้อเค้กช็อกโกแลต และเจลลีเสาวรสผสมน้ำผึ้งรสเปรี้ยวหวาน       สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย  

แฟนๆ “Sweet Pista” ที่กำลังท้อใจกับการจราจรบนถนนสุขุมวิทที่คับคั่งหนาแน่นขึ้นทุกวันคงได้ยิ้มกว้าง เพราะตอนนี้ร้านอาหารโฮมเมดขวัญใจหลายๆ คนย้ายมาประจำการที่บ้านหลังใหม่ในโครงการ Warehouse 30 ซึ่งกว้างขวางนั่งสบาย ตกแต่งเรียบง่าย และยังคงความอบอุ่นเหมือนมาเยือนบ้านคนคุ้นเคยเช่นเดิม         แม้จะเปลี่ยนแปลงสถานที่ใหม่ แต่รับรองว่าสิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปอย่างแน่นอนคือ ความอร่อยจาก “รสมือ” สไตล์ Old School อันเป็นเอกลักษณ์ของ คุณเอ้ - ชุติมา บวรรัตนโชติ เจ้าของร้าน ไม่ว่าจะเป็นบรรดาจานเด่นซิกเนเจอร์อย่าง Sweet Pista Salad สลัดหอมทอดกรอบนอกนุ่มใน คลุกเคล้าซอสมาโย ตัดรสเปรี้ยวด้วยน้ำสลัดบัลซามิก     สายเบอร์เกอร์ยิ่งห้ามพลาด เพราะ Guacamole Burger ขนมปังบันโฮมเมด มาพร้อมเนื้อบดนุ่มฉ่ำและกัวคาโมเลใส่พริกฮาลาเปนโญดองเพิ่มกลิ่นอายเม็กซิกัน สอดแทรกด้วยชีส ผักกาดแก้วสด และมายองเนสนั้นอร่อยเด็ดขาด แบบไม่ต้องใส่ซอสเพิ่มแต่อย่างใด     ส่วนใครอยากกินเมนูง่ายๆ (แต่อร่อยมาก) ต้องลอง Dog Rice ข้าวหมาไข่ดาวหรือข้าวหมูสับคั่วกระเทียมกรอบๆ เสิร์ฟพร้อมไข่ดาวที่กินแล้วหยุดไม่อยู่     ที่สำคัญเมนูของหวานก็ยังคงคุ้มค่าแก่การ (เปลี่ยนเส้นทาง) มาชิม ทั้ง Orange Creme Brulee ทำจากส้มซันคิสต์ทั้งลูก เนื้อคัสตาร์ดเนียนนุ่มหวานมันผสานความเปรี้ยวของส้มอย่างลงตัว แถมยังมีเนื้อส้มให้เคี้ยวกันเพลินๆ และ Banana Waffle with Ice Cream วัฟเฟิลบางกรอบหอมเนย แต่ไร้ความเลี่ยน เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลาและกล้วยหอมคาราเมลที่กินเพลินจนลืมอิ่มเลยทีเดียว    

แม้จะอยู่ท่ามกลางถนนสุขุมวิทและใกล้ชิดกับห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่แสนจะคึกคัก แต่หากเราก้าวเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกลาสเฮาส์ผสานโรงงานผลิตเครื่องหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของ “Karmakamet” แบรนด์เครื่องหอมที่หลายคนคุ้นเคยแล้วก็เหมือนได้หลีกหนีและทิ้งความวุ่นวายของโลกภายนอกไว้เบื้องหลัง ก่อนจะพบกับร้านอาหารสุดเก๋ที่ออกแบบมาเพื่อช่วงเวลาอันแสนรื่นรมย์ของเหล่านักชิม       นอกจากมื้อเย็นที่หลายคนเทใจให้ “Karmakamet Diner” ยังเตรียมบรันช์สไตล์โฮมคุ้กแสนอร่อยไว้ให้เราเริ่มต้นวันดีๆ อย่างสดใส โดยทุกจานเน้นการดึงรสชาติความอร่อยของวัตถุดิบและปรุงอย่างใส่ใจในทุกขั้นตอนตามแบบฉบับของ “เชฟส้ม-จุฑามาศ เทียนแท้” เชฟสาวมากฝีมือที่ถ่ายทอดความตั้งใจและความหลงใหลในการทำอาหารลงไปในทุกเมนูซึ่งกลายเป็นความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ยากจะเลียนแบบ         จานแรกในช่วงสายของวันสบายๆ เราแนะนำให้เริ่มต้นอัพความสดชื่นด้วย Smoked Fish Salad ปลาแบล็กคอดที่เชฟรมควันเอง มาพร้อมสลัดผักร็อกเกต ส้ม และองุ่น ราดเดรสซิงที่ทำจากน้ำมันและน้ำส้มบีบสดๆ จากนั้นค่อยๆ เพิ่มความอิ่มด้วย A la Bottarga เส้นสปาเกตตีโฮมเมด คลุกเคล้าไข่ปลาทูน่าแห้งรสเค็มมัน เพิ่มรสสัมผัสแบบเอเชียนด้วยหมูพะโล้แบบจีนที่กลมกล่อมเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ       ใครต้องการจานอิ่มแบบจัดเต็มต้องลอง A Can’t Resist Waffle วัฟเฟิลกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟพร้อมขาเป็ดกงฟีกับน้ำมันเป็ดจนนุ่ม ตับห่าน เบคอนทอดกรอบ และมันฝรั่งทอด กินกับมัสตาร์ด เมเปิลไซรัป และซาวร์ครีม ที่บอกได้คำเดียวว่าอร่อยเกินจะปฏิเสธสมชื่อเมนูจริงๆ และ Surf & Turf สเต๊กเนื้อเทนเดอลอยด์ (เชฟแนะนำว่าควรสั่งระดับมีเดียมแรร์) และสอบสเตอร์ตัวโตอบเนยหอมๆ มาพร้อมมันฝรั่งทอดและซอสหลากสไตล์ อาทิ บราวน์เกรวี ซอสกอร์กอนโซลา ซอสมาเดลา ซอสมัสตาร์ดครีม รวมทั้งมันฝรั่งพูเรสไตล์ฝรั่งเศส       แต่อย่าลืมเหลือพื้นที่ในกระเพาะสำหรับของหวาน(ที่ผสานของคาวได้อย่างลงตัว) อย่าง Old Fashion Donut โดนัตเนื้อแน่นสไตล์คลาสสิกเคลือบด้วยชีสการ์มองต์แบร์หอมมัน เสิร์ฟคู่ไอศกรีมรสวานิลลาที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี ส่วนสาวกไอศกรีมพลาดไม่ได้กับ Banana Split In The Clouds ไอศกรีมรสสตรอว์เบอร์รีชีสเค้กหอมหวานที่แอบซ่อนอยู่ในสายไหมสีสวย แนะนำให้ยกสายไหมออกมาไว้ในจานข้างๆ แล้วกินคู่กับไอศกรีมจะยิ่งอร่อยสุดๆ        

เปลี่ยนบรรยากาศมื้อค่ำที่แสนธรรมดาของคุณด้วยการออกมาดินเนอร์หรูย่านใจกลางสุขุมวิทกับ MOJJO Rooftop Lounge & Bar  ชั้น 32 โรงแรมคอมพาสสกายวิวพร้อมชมวิวพระอาทิตย์ตกยามเย็นในบรรยากาศโรแมนติก จะมากับเพื่อนหรือควงแขนคนรู้ใจมาก็ดีต่อใจแบบสุดๆ เช่นกัน     Figure 1บรรยากาศภายใน   เมื่อเดินเข้ามาในร้านเราจะสัมผัสถึงบรรยากาศของอเมริกาใต้ร่วมสมัยในสไตล์ลาติน ทำให้เรารู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในสเปน เม็กซิโก หรือประเทศแทบอเมริกาใต้เลยทีเดียว โดยภายในถูกแบ่งออกเป็น 2 โซนด้วยกัน สำหรับใครอยากนั่งรับลมเย็นๆ สามารถนั่งในโซนOutdoor หรือใครที่ชื่นชอบบรรยากาศสบายๆ ทางร้านก็มีโซนห้องแอร์ด้วยนะ     Figure 2โซนด้านนอก สามารถรับลมเย็นๆ พร้อมดูวิวพระอาทิตย์ตกดิน   เริ่มต้นกันด้วยเมนูสุดคลาสสิกอย่าง Mojjo Wings ปีกไก่ทอดราดด้วยซอสสุดชุ่มฉ่ำที่มาพร้อมกับซอสบลูชีสรสชาติเข้มข้นจะกินคู่กันหรือกินปีกไก่อย่างเดียวก็อร่อยทั้งสองแบบ   Figure 3Mojjo Wings   ถัดมา Mojjo Gourmet Pizza พิซซ่าแป้งบางกรอบกับชีสเยิ้มๆ ท็อปด้วยพาร์มาแฮมหอมๆ เป็นใครก็อดใจไม่ไหว ต่อด้วย Crispy Calamari ปลาหมึกชุบแป้งทอดเพิ่มความกรุบกรอบด้วยเกร็ดขนมปัง กินคู่กับซอสทาทาร์ ยิ่งทำให้เมนูนี้โดนใจสาวกอาหารทะเลไปเต็มๆ   Figure 4Mojjo Gourmet Pizza   Figure 5Crispy Calamari   เอาใจคนที่ชอบกินปลาทูน่าด้วย Classic Tuna Cevicehe คลุกเคล้าด้วยเครื่องเทศของไทย อย่างผักชี หอมแดง ต้นหอม เติมรสชาติด้วยพริกป่น เกลือ และผงมิกซ์ ไม่น่าเชื่อว่าวัตถุดิบที่ค่อนข้างจะแตกต่างกันแต่เมื่อปรุงรสแล้วก็เข้ากันได้ดี   Figure 6Classic Tuna Cevicehe   ตบท้าย Churros ขนมปังทอดกรอบคลุกเคล้าด้วยผงชินนามอนโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง มาพร้อมกับช็อกโกแลตหอมๆ เข้ากันดีแบบสุดๆ เช่นกัน   Figure 7Churros   สำหรับนักดื่มทั้งหลาย MOJJO Rooftop Lounge & Bar ก็มีโซนบาร์สไตล์คลาสสิคหรูหราที่รวบรวมเครื่องดื่มจากทั่วโลกวางเรียงรายให้เราได้เลือกชิมกันอย่างเพลิดเพลินใจ ไม่ว่าจะเป็น เบียร์ วิสกี้ ค็อกเทล เหล้ารัม และสำหรับใครที่ไม่กินแอลกอฮอล์เขาก็มีเครื่องดื่มสมุนไพรอย่าง Refresher Mocktail น้ำอัญชันโฮมเมดไว้คอยบริการด้วยนะ       Figure 8Refresher Mocktail

บนความสูงของชั้น 25 โรงแรมสยามแอทสยามย่านปทุมวันแห่งนี้คือพื้นที่ของรูฟทอพบาร์ The Roof Gastro ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นมุมชิลเอาท์กลางใจเมืองที่วิวสวยมากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ในมุมมองแบบ 360 องศาชนิดไร้สิ่งกีดขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้นั่งชมยอดภูเขาทองสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็นเปล่งประกายงดงามจรดพลบค่ำ ก่อนถูกแทนที่ด้วยแสงไฟระยิบระยับจากอาคารบ้านเรือนและรถราบนท้องถนนที่มีเสน่ห์ชวนมองไม่ต่างกัน วิวดีใจกลางมหานครกรุงเทพฯ แบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ เลย       ด้านอาหารนำเสนอสไตล์ Asean Tapaz เมนูกินง่ายอบอวลด้วยกลิ่นอาย Japanese Inspire ส่วนสายดื่มห้ามพลาดค็อกเทลสูตรพิเศษโดยเฉพาะ Hyper Local Cocktail 8 ชนิดที่รอให้คุณและผองเพื่อนมาลิ้มลอง     เริ่มต้นช่วงเวลาแห่งความสุขกับเมนู Salmon Crudo แซลมอนเกรดพรีเมียมหั่นเต๋าคลุกเคล้าเครื่องปรุงรสเน้นความจัดจ้านช่วยปลุกความสดชื่นหลังอ่อนล้าจากการทำงานมาทั้งวัน เสิร์ฟคู่นาโช่โรยชีสเยิ้มๆ เคี้ยวกรุบกรอบเค็มมัน     สำหรับคนรักเนื้อต้องลอง Beef Tataki Roll โรลเนื้อวากิวสุดนุ่ม เคี้ยวแต่ละคำชุ่มฉ่ำไปทั้งปาก จานนี้นำแรงบันดาลใจจากเมนูดั้งเดิมของญี่ปุ่นคือ beef tataki หรือเนื้อดิบมาปรับใหม่ในสไตล์ของร้านโดยเลือกใช้เนื้อวากิวมาย่างพอสะดุ้งไฟก่อนม้วนเป็นโรลสอดแทรกส่วนผสมที่ช่วยชูรสชาติของเนื้อชั้นดีให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น     เติมความสดชื่นอย่างต่อเนื่องกับ Chirashi Salad สลัดสไตล์ญี่ปุ่น ทีเด็ดยกให้ทูน่าเนื้อแน่นที่ใส่ให้เต็มที่ไม่มีหวง คลุกเคล้ากับอะโวคาโดและผักสลัดราดด้วยซอสพอนสึรสเปรี้ยวนิดหวานหน่อย จัดเป็นเมนูเพื่อสุขภาพที่กินได้มากแบบไม่ห่วงเรื่องอ้วน     Camenmbert Cheese Croquette ของทอดยอดนิยมควรกินตอนร้อนๆ เพราะจะยิ่งทวีความหอมอีกทั้งเนื้อสัมผัสจะยิ่งกรอบนอกยืดในจากไส้ชีสกาม็องแบร์ที่นุ่มมันสุดครีมมี่ ชีสเลิฟเวอร์ห้ามพลาด!     ด้านจานหลักอิ่มท้องต้องสั่ง Salmon & Green Tea Soba แซลมอนชิ้นใหญ่ย่างไฟพอให้ผิวนอกตึงกรอบส่วนด้านในรักษาความชุ่มฉ่ำชวนกินไว้ วางมาบนเส้นโซบะชาเขียวที่เหนียวนุ่ม เคี้ยวลื่นคอ จับถูกคู่ก็ยิ่งชูรส     นอกจากจานเด่นในคอนเซ็ปต์ Japanese Inspire ไฮไลท์ของรูฟทอปแห่งนี้คงต้องยกให้เหล่าค็อกเทลหลากสีสันที่สั่งมาจิบได้ไม่ซ้ำตลอดค่ำคืน ตัวอย่างเช่นซิกเนเจอร์สีแดงสดใสแก้วนี้ Siam@Siam Delight สัมผัสความนุ่มละมุนชวนเคลิบเคลิ้มตั้งแต่จิบแรกจนถึงหยดสุดท้าย จากส่วนผสมที่ลงตัวของเตกิล่า น้ำส้ม น้ำแอปเปิ้ล และเหล้ากลิ่นส้ม ดีงามจนไม่อยากลุกไปไหน!  

  คงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นไม่น้อยถ้ากำลังเดินทอดน่องอยู่บนถนนสุขุมวิทใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯอยู่ดีๆ เพียงเปิดประตูเข้ามาในร้านนี้ความรู้สึกแรกเหมือนตัวเองเดินทะลุมิติมาอยู่ใจกลางกรุงนิวเดลีที่อบอวลด้วยกลิ่นอายของดินแดนภารตะยังไงยังงั้น ด้วยสไตล์การตกแต่งร้านราวกับยกมาทุกสิ่งอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งพนักงานหนุ่มน้อยผิวเข้มตาคมที่ยืนคอยให้บริการอย่างสุภาพและเป็นกันเอง       จากวันแรกเปิดร้านต่อเนื่องยาวนานถึงวันนี้ก็นับได้ 40 กว่าปีแล้ว ถือเป็นร้านเก่าแก่ที่สุดในถนนสุขุมวิทซอย 3 โดยยังคงรักษาบรรยากาศแบบดั้งเดิมไว้ไม่ผิดเพี้ยนเช่นเดียวกับเมนูอาหารอินเดียและปากีสถานที่ยังคงรสชาติเข้มข้นแบบต้นตำรับ นอกจากนี้ยังเพิ่มจานเด็ดนานาชาติไว้รองรับผู้มาเยือนที่มีทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวจากหลากหลายประเทศให้เลือกสั่งได้ตามชอบ     เมนูแรกเสิร์ฟมาแบบยกหม้อ Butter Chicken ไก่ทันดูรีในน้ำแกงเข้มข้นจากส่วนผสมของวิปครีมและโยเกิร์ต กลิ่นหอมเครื่องเทศจางๆ ปลุกน้ำย่อยให้เต้นตูมตามทีเดียว     หรือถ้ามาหลายคนสนใจจะแชร์อาหารร่วมกันแนะนำ Special Tandoori Mix ประกอบด้วย อาหารประเภทเนื้อย่างหอมๆ  ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อแพะ และเนื้อปลา ย่างด้วยเตาทันดูรีที่รักษาความชุ่มฉ่ำของเนื้อสัตว์ไว้ภายใต้หนังกรอบตึง ต่อด้วยแกง 3 อย่าง ได้แก่ แกงไก่ แกงกระเจี๊ยบ และแกงถั่ว กินคู่ข้าวผัดกับหญ้าฝรั่น แป้งนาน โยเกิร์ตใส่สลัด และของหวานกุหลาบจามุน     สำหรับอาหารจานเดียวยอดนิยม ได้แก่ Chicken Hyderabadi Biriyani ข้าวหมกไก่หุงจากข้าวบัสมาติ กินคู่ไก่น่องโต โรยหอมเจียวและผักชี ส่วนน้ำจิ้มชูรสยกให้น้ำจิ้มสะระแหน่ อย่าลืมกินแกล้มหอมดองช่วยตัดเลี่ยนหรือหากต้องการเพิ่มดีกรีความจี๊ดจ๊าดก็มีพริกกับมะนาวที่พร้อมประจำการอยู่ทุกโต๊ะแล้ว  

ใครที่หลงรักกาแฟและอาหารหน้าตาดีอย่าลืมลิสต์ร้านนี้ไว้ในไดอารี่อย่างเด็ดขาด เพราะถ้าใครเคยติดใจรสชาติของอาหารเช้าแสนอร่อยที่ Kay’s Boutique Breakfast กันมาแล้ว เราขอบอกดังๆ ว่าตอนนี้เขามีสาขาใหม่ที่ Central Embassy เป็นที่เรียบร้อย       Kay’s Boutique Café นับเป็นส่วนต่อขยายความอร่อยจากคอนเซปต์ All Day Breakfast ให้เป็น All Day Dining หลังจากที่ร้านนี้เคยประสบความสำเร็จจากการชิมลางลองเปิดป็อบอัพเฉพาะกิจ 3 เดือนที่นิวยอร์กมาก่อนหน้า ที่นี่จึงมาในมาดของคาเฟ่สุดชิลล์พร้อมวิวแสนสวยและอาหารที่ไม่ลองคงไม่ได้       ไม่ว่าจะเป็น AVO-KAY-DO Toast (255 บาท) กุ้งทาร์ทาร์ที่ปรุงให้มีรสชาติเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ คล้ายยำที่ให้รสอร่อยคุ้นลิ้น แต่ก็แอบแฝงความนัวและนุ่มนวลด้วยเนื้ออะโวคาโดและไข่แดงของไข่ลวกมาให้คลุกเคล้า เสิร์ฟพร้อมขนมปังซาวร์โดห์กรอบๆ มาตัดรสชาติ หรือจะมาอิ่มน้อยๆ กับของกินเล่นเบาๆ อย่าง Corn Truffle Flatbread (150 บาท) ขนมปังแฟลตเบรดแผ่นบางกรอบหน้าข้าวโพดอบชีสกรุ่นกลิ่นหอมของเห็ดทรัฟเฟิล       ก่อนจะตามด้วย Vodka Salmon Pesto Linguine (250 บาท) พาสต้าลิงกวินี่ในซอสมะเขือเทศที่เติมวอดก้าลงไปเพื่อดึงรสชาติหวานๆ ของมะเขือเทศให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อนจะเจือด้วยรสเผ็ดหอมของซอสเพสโต้ผัดจนแห้ง แถมยังเสิร์ฟพร้อมกับแซลมอนย่างชิ้นโตให้กินอิ่มกันแบบจุใจ     แต่ถ้าชอบเมนูข้าวก็อย่าลืมสั่ง Teriyaki Beef (210 บาท) เมนูสุดครีเอตที่นำเอาข้าวญี่ปุ่นมาทำให้มีความกรอบนอกนุ่มในคล้ายข้าวจี่ ก่อนวางท็อปด้วยเนื้อวัวนุ่มๆ ฉ่ำซอสเทอริยากิรสออกเค็มน้อยๆ เสิร์ฟพร้อมไข่ลวกที่จะได้ยางมะตูมมาเติมความหวานมันให้กับจานนี้     ส่วนสายหวานก็ห้ามพลาด Ultimate French Toast (160 บาท) โทสต์สูตรซิกเนเจอร์ที่โดดเด่นด้วยความนุ่มหอมเนยของขนมปังบริยอชโฮมเมดที่มาพร้อมความหวานมันของกล้วยหอม เบคอน และอัลมอนด์กรุบกรอบ ก่อนจะผสานความหวานนุ่มละมุนจากครีมและไอศกรีมวานิลลา ร่วมด้วย The Hulk (165 บาท) เครื่องดื่มสูตรซิกเนเจอร์รสขมอมหวานที่ผสานชาเขียวแท้และช็อกโกแลตเบลเยี่ยมมาไว้ด้วยกัน       ก่อนจะปิดท้ายด้วย B.O.M.B. Bassy (165 บาท) ความอร่อยที่จะทำให้ช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ต้องร้องว้าว! จากความสดชื่นหอมหวานมันของช็อกโกแลตเบลเยี่ยมที่ผสมผสานกับโอรีโอ พุดดิ้งนม และแบล็คทรัฟเฟิลที่เราขอบอกว่าเข้มข้นไม่เหมือนใครจริงๆ  

ไม่ต้องนั่งไทม์แมชชีนก็ย้อนเวลาไปสัมผัสบรรยากาศของย่านเยาวราชสมัย พ.ศ.2510 ที่เต็มไปด้วยสีสันความสนุกสนานกันได้ที่ร้านนายห้าง โครงการล้ง 1919       ภายในร้านผสมผสานกลิ่นอายในอดีตเข้ากับความร่วมสมัยได้อย่างลงตัว เริ่มจากโต๊ะเก้าอี้ต่างที่มาแต่จับเข้าคู่กันได้อย่างมีสไตล์ได้อารมณ์เหมือนนั่งอยู่ในร้านสตรีทฟู้ดสมัยเก่า ยังมีภาพเขียนสีสดใสบอกเล่าเรื่องราวของชุมชนชาวจีนในสยามที่ชวนให้คิดถึงวันวานเรื่อยไปจนถึงไฟนีออนคุ้นตาในยามค่ำคืนอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่บอกให้รู้ว่าเรามาถึงถนนสายนี้แล้ว จุดเด่นของร้านยังอยู่ที่ความโปร่งโล่งชวนผ่อนคลายจากหลังคาสูงซึ่งเป็นโครงสร้างโกดังเดิม การจัดวางโต๊ะเก้าอี้ที่ตั้งใจทิ้งระยะห่างให้นั่งยืดแขนขาสบายไม่อึดอัดและไม่รบกวนโต๊ะข้างเคียง จะนั่งพูดคุยอย่างออกรสหรือนั่งชมของสะสมแปลกตาที่ส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ไม้สอยที่อดีตเคยใช้งานได้จริงก็ล้วนเพลิดเพลินไม่ต่างกัน       จานเด่นประจำร้านคือการรวมสุดยอดของดีเยาวราชมาไว้ในที่เดียว ไม่ทิ้งทั้งเมนูริมทางไปจนถึงเมนูดังในภัตตาคาร ผ่านการนำเสนอแบบผสมผสานได้อย่างลงตัวและชวนน้ำลายสอสุดๆ เริ่มปลุกน้ำย่อยให้ตื่นตัวกับขนมจีบทอด ขนมจีบไส้หมูสับปรุงรสกลมกล่อมที่เปลี่ยนจากวิธีนึ่งมาเป็นทอด เพิ่มกิมมิกชวนกินยิ่งขึ้นด้วยกระเทียมกลีบใหญ่ฝานเป็นแผ่นบางทอดกรอบ ชูรสชาติอีกนิดด้วยน้ำจิ้มหอมๆ [readmore]   อีหมี่ บะหมี่ไข่ทอดด้วยไฟอ่อนเพื่อคงความกรอบนอกนุ่มใน ทอปด้วยเนื้อปูก้อนกับหมูแฮม คนจีนนิยมโรยน้ำตาลทรายนิดจิ๊กโฉ่วหน่อย เพิ่มรสเค็มหวานมันกำลังดี     จานโปรดของทุกคนในครอบครัวยกให้หมูกรอบเปรี้ยวหวาน ทางร้านใช้หมูสันในสไลด์บางผสานเทคนิคการทอดเฉพาะตัวเพื่อให้ได้หมูกรุบกรอบไร้ความมันส่วนเกิน ราดด้วยซอสเปรี้ยวหวานผัดกับพริกหวาน หอมหัวใหญ่ และมะเขือเทศเชอร์รี     หอยนางรมชมรัง แป้งออส่วนนุ่มหนึบกินลื่นคอ ใส่หอยนางรมตัวใหญ่เนื้อสดหวานไร้กลิ่นคาวกวนใจ เสิร์ฟเก๋ไก๋ในรังนกทำจากแป้งทอดกรอบ อย่าลืมเหยาะซอสพริกเพิ่มความอร่อยแบบทวีคูณ     ซุปบะกุ๊ดเต๋ ซี่โครงหมูตุ๋นยาจีน เมนูเพื่อสุขภาพที่มาพร้อมรสชาติกลมกล่อมจากการตุ๋นเครื่องยาจีนหลายชนิดด้วยไฟอ่อนนานกว่าครึ่งวัน ชูรสชาติเพิ่มตามชอบมีให้เลือกทั้งน้ำส้มและซีอิ๊วดำ เสิร์ฟพร้อมปาท่องโก๋ จับคู่กินก็ฟินได้ใจ     ต่อด้วยผัดไทยกุ้งแม่น้ำย่าง เส้นจันท์เหนียวนุ่มผัดกับซอสสูตรเด็ดของร้าน คั่วจนแห้งพอได้กลิ่นหอมรีบใส่ถั่วงอกผัดพอสะดุ้งจัดเสิร์ฟพร้อมกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ไซส์พิเศษ ใครชอบความจี๊ดบีบมะนาวอีกหน่อยอร่อยสุดขีด     จบของคาวต่อด้วยของหวานล้างปากอย่างบัวลอยน้ำขิง บัวลอยลูกโตไส้งาหอมๆ เสียบไม้คล้ายดังโงะขนมญี่ปุ่นสุดอร่อย แต่บอกเลยเมนูนี้ระดับความฟินไม่เป็นรองกัน ทั้งหวานนุ่มเนียนลิ้นกินคู่น้ำขิงรสเผ็ดร้อน ซดคล่องคอชื่นใจแถมสบายท้องอีกต่างหาก     สำหรับเครื่องดื่มยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของวันวาน อาทิ กาแฟเย็นอัญชัน น้ำอัญชันสลับชั้นด้วยนมสด ตามด้วยเอสเปรสโซช็อตเข้มข้น เมื่อผสมเข้าด้วยกันก็ได้ความเข้มข้นหวานมันพอดี     น้ำอ้อยเฉาก๊วย น้ำอ้อยบีบสดจากต้นได้รสหวานตามธรรมชาติ ใส่เฉาก๊วยแท้แก้ร้อนในมาให้เคี้ยวเล่นหนึบหนับ ปิดท้ายด้วย มะนาวโซดาอัญชัน เติมความสดชื่นได้ทุกครั้งที่ต้องการ     [/readmore]

วันไหนที่ว้าวุ่นหัวใจหรือบรรยากาศไม่เป็นใจให้เรารู้สึกสงบเอาเสียเลย ลองแวะมานั่งผ่อนคลายในบ้านหลังที่ 2 ของคุณรัตน์ โอสถานุเคราะห์กันดูไหม ที่นี่เป็นร้านอาหารไทยและตะวันตกที่คุณรัตน์ออกแบบเอาไว้ให้ทุกคนมานั่งกินข้าวฟิลเหมือนอยู่บ้าน โดยจัดมุมในร้านไว้ทั้งโซนห้องนั่งเล่น มีโซฟานุ่มๆ นั่งสบายกับโฮมเธียร์เตอร์ขนาดใหญ่ให้เอกเขนกกัน หรือจะเป็นมุมบาร์ไว้ดื่มเครื่องดื่มแก้วโปรดแบบเพลิดๆ เมื่อเริ่มได้ที่ก็มูฟไปต่อที่ห้องพลูได้เลย         ส่วนอาหารมีทั้งอาหารไทยและตะวันตกแบบโฮมเมดที่คุณรัตน์ยกสูตรประจำบ้านมาให้เราชิมกัน อย่าง Tortilla Duck Nacho with Cheddar Cheese and Tomato Salsa แป้งตอร์ติลญ่าทอดกรอบ ราดซอสเชดดาร์ชีสรสนวล แล้วทอปด้วยเนื้อเป็ดตุ๋นสมุนไพรแม็กซิกันหอมๆ กับซัลซ่ามะเขือเทศ กินแล้วสดชื่น อีกจานเป็น Dream Noodles บะหมี่ปูหมูหวานสูตรสมัยคุณปู่ บะหมี่เคี้ยวหนุบหนับ ลงตัวมากขึ้นด้วยหมูหวานสูตรพิเศษและเนื้อปู       Dreamloft Rigatoni Tiger Prawn with Wasabi Cream Sauce เราว่าดีงาม ซอสวาซาบิรสเข้มข้นเมื่อคลุกเคล้ากับเส้นพาสต้า ไข่ปลาแซลมอน และกุ้งลายเสือเนื้อเด้งตัวโตแล้วเข้ากันอย่าบอกใคร     ก่อนปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง Love Potion No.9 ไวท์ช็อกโกแลตลาวาเข้าคู่กันกับซอสเบอร์รีรสอมเปรี้ยวอมหวานได้กลมกลืน ยิ่งกินกับไอศกรีมวานิลลาด้วยแล้วเย็นฉ่ำชื่นใจเป็นที่สุด แถมใครที่มาเป็นโต๊ะแรกในวันเสาร์และอาทิตย์สามารถรับของหวาน 1 เมนูฟรีๆ ไปได้เลย! หรือถ้าหากอยากชิมหลาย เมนูหน่อย เราแนะนำให้ลอง Lunch Set ราคา 499 บาท (net) ช่วง 11.00-14.30 น. รับรองว่าดีงามไม่แพ้กันแน่นอน!  

ใครเป็นแฟนคลับ Changwon Express ร้านแฮงก์เอาต์ขนาดกะทัดรัดติด MRT เพชรบุรี ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาทำความรู้จักกับ Changwon Express at Flow House สาขาใหม่เอี่ยมบนชั้น 2 ของ Flow House Bangkok แหล่งโต้คลื่นกลางกรุงเทพฯ ซึ่งคุณเท็ดเจ้าของร้านชาวเกาหลีสุดเท่ ตั้งใจนำเสนอชางวอนในคอนเซ็ปต์ใหม่ที่สนุกขึ้น (และกว้างขึ้นมาก) ที่นี่จึงให้อารมณ์บีชบาร์จิบเบียร์ไปด้วย มองคนเล่นเซิร์ฟไปแบบเพลินๆ เหมือนอยู่แถวฮาวายอย่างไรอย่างนั้น!       สิ่งดึงดูดสายตาแรกเมื่อก้าวมาด้านใน คงหนีไม่พ้นแท็ปเบียร์ที่มีมากถึง 30 แท็ป ที่ควบคุมอุณหภูมิของเบียร์ได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะคราฟต์เบียร์ไทยที่คุณเท็ดการันตีว่ารสชาติไม่แพ้ของชาติอื่น  อาทิ Changwon Express Asoke Pale Ale เบียร์ซิกเนเจอร์ซึ่งสื่อถึงที่ตั้งของสาขาแรกอันขึ้นชื่อลือชาว่ารถติดสาหัส แก้วนี้จึงให้ความสดชื่น จิบง่าย มีปลายขมเล็กๆ และไปได้ดีกับอาหารหลายจาน ส่วนใครอยากเพิ่มความหนักขึ้นอีกนิด แนะนำ Changwon Express Chaopraya Stout เบียร์ดำชื่อแสบๆ คันๆ ที่มีกลิ่นของกาแฟและช็อกโกแลต         ข้ามมาดูฝั่งอาหารกันบ้าง สาขานี้เพิ่มความหลากหลายให้มากขึ้น ทั้งเมนูตะวันตกและตะวันออก ซึ่งต่างจากสาขาแรกที่เน้นความเป็นเกาหลี-เม็กซิกัน เริ่มต้นด้วย Chicken Wings ใครเคยติดใจไก่ทอดสไตล์เกาหลีจากชางวอนสาขาแรก ลองเปลี่ยนมาชิมปีกไก่ทอดแบบไทยดูบ้าง ทอดให้หนังกรอบ รสชาติออกเค็มนิดๆ ไปด้วยกันได้ดีกับเบียร์ของทางร้าน ต่อด้วย Ham & Bacon Olio Spaghetti สปาเกตตีจานเด็ดที่ให้เราสาวเส้นได้ยาวๆ และที่เหมาะกับแก๊งเพื่อนต้องยกให้ Napoli Pizza พิซซ่าแป้งบางกรอบ ท็อปด้วยเปเปอร์โรนี เห็ด มะกอกดำ และมอซซาเรลล่า         พร้อยลุยปาร์ตี้ได้อีกยาว

Passion + Craftmanship + Experience ความหลงใหล งานฝีมือ และประสบการณ์ คือสิ่งที่เรามองหาได้จากที่นี่ Café Leitz by Pacamara คือการรวมตัวกันของ Leica Camara Thailand ฐานะผู้ดูแลแบรนด์ Laica ในประเทศไทย กับ Pacamara Coffee Roaster ผู้จำหน่ายเมล็ดกาแฟชื่อดังและเป็นผู้นำร้านกาแฟประเภท Specialty อย่างลึกซึ้ง เมื่อทั้งสองแบรนด์ที่เป็นสุดยอดมารวมตัวกันจึงเกิดขึ้นเป็นไลฟ์สไตล์คาเฟ่ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การกินดื่มเท่านั้น แต่ยังชูไฮไลต์ด้วยการเพิ่มประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ซึ่งสะท้อนผ่านคาแรกเตอร์ของไลก้าและพาคามาร่าอย่างแท้จริง         ความโดดเด่นของ Café Leitz by Pacamara ที่เราชอบนอกจากเป็นคอมมูนิตี้ไว้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรักไลก้าในบรรยากาศโคซี่ รีแล็กซ์ จะเลือกนั่งเอ้าท์ดอร์ก็รับลมเย็นสบายผิวแล้ว ที่นี่ยังมีบริการให้เราทดลองเล่นกล้องไลก้า (ครบทุกรุ่น) ตัวที่เราเล็งเอาไว้ อีกทั้งถ้าหากใครสนใจเรียนรู้เทคนิคการใช้งานกล้องไลก้าเบื้องต้นจนถึงขั้นแอดวานซ์ก็มีเวิร์คชอปชื่อ Lrica Akademie ไว้บริการ แถมยังมี Exhibition เล็กๆ ในร้านไว้ติดภาพดีภาพเด่นของใครที่ลงเวิร์คชอปกับทางไลก้าแล้วโดนใจกรรมการอีกด้วย         ส่วนอีกหนึ่งความประทับใจที่เราไม่พูดถึงไม่ได้คือ คาเฟ่บาร์ ที่ดูแลโดยแบรนด์พาคามาร่าที่คอกาแฟรู้จักกันดี มาครั้งนี้จัดเต็มทั้งเครื่องดื่มและอาหารที่ดูเรียบง่ายแต่มีลูกเล่นด้วยมิติทางรสชาติมากมายใน 1 คำ เช่น E-san Pasta เส้นพาสตาผัดคลุกเคล้ากับเครื่องเทศหอมกรุ่น แหนมหมูรสเปรี้ยว ปลาร้ารสนัว กินกับกุ้งแม่น้ำย่าง มันกุ้งฉ่ำๆ ต่อด้วยข้าวหมูฮ้อง ข้าวสวยปรุงรสเข้ากันกับเนื้อหมูและหมูสามชั้นตุ๋นเครื่องเทศนุ่มๆ จากการซูวีด หมูรสเค็มหวานเหมาะมากกับพริกน้ำส้มและอาจาดที่เสิร์ฟมาด้วยกัน       ส่วนของหวานเราแนะนำ Tarte au Citron เลมอนทาร์ตเคี้ยวกรุบกรอบรสเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นซีตรัสจากเลมอน เสิร์ฟพร้อมเมอแรงก์รสหวานแบบพอเหมาะ ถ้าสั่ง Old Fashion มาดื่มด้วยกันยิ่งดีเข้าไปใหญ่ กาแฟสกัดเย็นด้วยโคล่าหอมกลิ่นเกรปฟรุต มะนาว วานิลลา และเมเปิลไซรัป ท็อปด้วยโทนิกและผิวส้มดื่มแล้วสดชื่นที่สุด หรือใครชอบกาแฟรสนุ่มต้องลอง Cortado Orange กาแฟเอสเปรสโซเข้มข้นจากโรงคั่วพาคามาร่าเพิ่มรสด้วยนมสูตรพิเศษ เติมความหอมด้วยผิวส้มอีกหน่อย กินกับส้มสดที่เสิร์ฟมาพร้อมกัน อยากกลับมาดื่มซ้ำๆ ก็คราวนี้!