ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในเสน่ห์ของเครื่องเทศหอม ๆ และรสชาติกลมกล่อมของอาหารอินเดียแบบแท้ ๆ ต้องไม่พลาดแวะมาที่ Daryaganj Bangkok ร้านอาหารอินเดียเหนือระดับตำนานจากกรุงเดลี เจ้าของเมนู Butter Chicken สูตรต้นตำรับ หนึ่งในจานเด็ดที่ใครต่อใครต่างยกให้เป็นไอคอนิกของวงการอาหารอินเดีย ซึ่งครั้งนี้ขยายความอร่อยสไตล์ต้นตำรับ เปิดสาขาแรกนอกประเทศที่กรุงเทพฯ ให้คนรักอาหารอินเดียได้ลิ้มลองกันที่ โรงแรมพาร์ค พลาซ่า บางกอก ซอย 18 Daryaganj เริ่มต้นในปี 2019 ณ กรุงเดลี ประเทศอินเดีย โดยอมิต บักกา นักธุรกิจร้านอาหารมากประสบการณ์พร้อมรางวัลมากมาย และราฆาฟ จากกี หลานชายของกุนดาน ลาล จากกี เชฟผู้บุกเบิกการคิดค้น Butter Chicken สูตรต้นตำรับ หรือที่คนอินเดียเรียกว่า Murgh makhani ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1947 หลังจากได้รับความนิยมในอินเดีย จนกลายเป็นเมนูขึ้นชื่อประจำร้าน ความอร่อยสูตรต้นตำรับนี้ได้ถูกส่งต่อข้ามทวีป มายัง Daryaganj Bangkok ภายในร้านถูกตกแต่งในโทน Indian Art Deco ผสมผสานความวินเทจเข้ากับความหรูหราทันสมัย ใช้โทนสีอบอุ่น ผนังประดับภาพถ่ายเก่าแก่และแสตมป์อินเดียวินเทจถ่ายทอดเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ มาพร้อมไฮไลต์สุดพิเศษอย่าง ครัวแบบเปิด ที่มีเตาทันดูรีตั้งไว้ด้านหน้า พร้อมให้แฟนอาหารทุกท่านได้ชมเชฟรังสรรค์อาหารกันแบบสด ๆ ด้านบรรยากาศโซนบาร์ก็ตกแต่งได้หรูหรา และสบายตา เหมาะกับการสั่งเครื่องดื่มคลาสสิก หรือค็อกเทลร่วมสมัยมาจิบแบบเพลิน ๆ  พูดถึงเมนูอาหาร ได้มาเยือนร้านต้นตำรับทั้งที ต้องห้ามพลาดเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านอย่าง The Original 1947 Butter Chicken สูตรลับที่รักษาเนื้อสัมผัสแบบดั้งเดิม และความเข้มข้นของรสชาติจากยุคครัวแบบเดิม หรือจะเป็น The Original 1947 Dal Makhani อีกหนึ่งเมนูที่กุนดาน ลาล จากกี เป็นผู้คิดค้น ปรุงจากถั่วดำที่เคี่ยวข้ามคืนพร้อมเนยสด ใบลูกซัดแห้ง และมะเขือเทศสุกจากเถาที่นำมาบดแบบสดๆ ซึ่งนอกจากเมนูไฮไลท์ ทางร้านก็ยังมีเมนูน่าลองอีกหลายจานอย่าง The Original Tandoori Chicken ไก่หมักโยเกิร์ตและเครื่องเทศสูตรลับ ย่างในเตาทันดูรีทั้งกระดูก สูตรต้นตำรับที่คิดค้นโดย โมคา ซิงห์ ที่ปรึกษาของจากกีในยุค 1920 ที่เปศวาร์ The Original Chicken Pakoda ไก่ไร้กระดูกทอดกรอบในแป้งสูตรพิเศษ ปรุงรสด้วยเมล็ด Carom และผักชีบดสด The Original Butter Paneer คอจเทจชีสทิกก้าชิ้นนุ่มในซอสมะเขือเทศและเนย เพิ่มความหอมด้วยพริกเขียวและขิงซอย และสุดพิเศษ สำหรับชาวกรุงเทพฯ เท่านั้น! พบกับ Daryaganj Gold Menu ฝีมือเชฟอินเดียมือทอง เชฟภารัต เอส. บัท (Chef Bharath S. Bhat) ที่ปรึกษาด้านอาหารของ Daryaganj ดีกรีเจ้าของแชมป์ Iron Chef Thailand มาออกแบบเมนูใหม่โดยยังคงรากเหง้าของอินเดียเหนือ แต่ใส่กลิ่นอายร่วมสมัย ประกอบไปด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยสุดพิเศษ Stuffed Kashmiri Morels เห็ดมอเรลเนื้อละเอียด สอดไส้หน่อไม้ฝรั่งรสกลมกล่อม Amritsari Soft Shell Crab ปูนิ่มทอดปรุงรสด้วยเมล็ด Carom เสิร์ฟพร้อมโฟมวาซาบิเบาๆ Keema Tak-a-Tak เนื้อแกะสับรสเข้มข้น เสิร์ฟคู่กับ jeera khari fans แป้งอบกรอบหอมยี่หร่า เมนูจานหลักระดับตำนาน ประกอบด้วย Lobster Afghani Malai กุ้งล็อบสเตอร์หมักในซอสครีมเข้มข้น เสิร์ฟคู่กับสลัดส้มเผาเพิ่มรสเปรี้ยวสดชื่น 24 Carat Lamb Rack Biryani บิรยานีระดับพรีเมียม ข้าวบาสมาติปรุงด้วยหญ้าฝรั่นและเครื่องเทศอุ่นๆ ซ้อนชั้นกับซี่โครงแกะเนื้อนุ่ม เคลือบด้วย ทองคำ 24 กะรัต ขนมหวานประกอบด้วยเมนูดั้งเดิม อย่าง Gulab Jamun & Ras Malai ขนมอินเดียคลาสสิกที่ทุกคนหลงรัก หรือจะเลือกการผสมผสานของนวัตกรรม อย่าง Rose Tiramisu ทีรามิสุสูตรพิเศษที่เติมกลิ่นกุหลาบ Saffron Rasmalai Tres Leches Rasmalai ที่ผสานความนุ่มของเค้ก Tres Leches เข้ากับความหอมของหญ้าฝรั่น และ Mango Gold Makhan Malai ขนมครีมฟูเบารสนุ่ม ตกแต่งด้วยทองคำ นอกจากนี้ยังมี Kulfi Sticks ไอศกรีมแท่งแบบดั้งเดิมจากอินเดีย ให้สัมผัสละลายช้าและรสเข้มข้น มาช่วยเติมเต็มความหลากหลายของเมนูของหวาน แฟนอาหารอินเดียได้ลองรับรองต้องติดใจ

ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบและสวยงามของหาดเชิงมน เกาะสมุย FishHouse Restaurant & Bar คือหมุดหมายใหม่สำหรับใครที่อยากพักใจจากความวุ่นวาย มาเติมเต็มความสุขด้วยมื้ออาหารดี ๆ การันตีด้วยคู่มือมิชไกด์ปี 2024 ตัวร้านตั้งอยู่ภายในโรงแรม Kimpton Kitalay Samui ตกแต่งมาในสไตล์ทรอปิคอลร่วมสมัย เรียบหรูและแฝงด้วยความอบอุ่นจากเฟอร์นิเจอร์ไม้ โดยมาพร้อมระเบียงริมทะเลที่สามารถออกไปนั่งรับประทานอาหารและรับลมเย็นๆ ได้ตลอดทั้งวัน อีกทั้งยังตอบโจทย์ใครที่มองหาสถานที่ดินเนอร์ใต้แสงดาวสุดหรูหราไม่เหมือนใคร ทางร้านนำเสนอเมนูที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่จากท้องถิ่นผ่านแนวคิด “Ocean-to-Plate” ซึ่งเน้นการรักษารสธรรมชาติของวัตถุดิบควบคู่มากับความคิดสร้างสรรค์ในทุกจานอาทิ Crab & Avocado ซาวร์โดว์โทสต์กรอบนอกหนึบใน เสิร์ฟพร้อมกัวคาโมเล่เนื้อเนียนละเอียด ท็อปด้วยเนื้อปูสดแน่น ๆ รสหวานตามธรรมชาติในทุกคำ ต่อด้วย Seared Scallops หอยเชลล์ฮอกไกโดเนื้อแน่น สดเด้ง ถูกเซียร์จนได้ผิวสีทองนิดๆ เสิร์ฟคู่กับกัวคาโมเล่เนื้อเนียนมัน และเติมความสดชื่นด้วยซัลซ่ามะม่วงที่ให้รสเปรี้ยวหวานอย่างลงตัว Special Paella of the Day ข้าวผัดสเปนซีฟู้ดจัดเต็มทั้งกุ้ง ปลาหมึก และหอยแมลงภู่ ข้าวผัดสเปนซีฟู้ดที่จัดเต็มทั้งกุ้ง ปลาหมึก และหอยแมลงภู่ บีบมะนาวเสริมรสอีกหน่อยอร่อยยิ่งขึ้น สำหรับของหวานแนะนำ Banana Smoke ไวท์ช็อกโกแลตรูปกล้วย สอดไส้มูสมะพร้าวเนื้อนุ่ม หอมกลิ่นสโมคอ่อนๆ ละมุนละไม

Hide Dine & Wine เหมาะมากสำหรับคนที่มองหามื้อดินเนอร์เงียบ ๆ กับคนรู้ใจ หรือนัดครอบครัว ชวนเพื่อนสนิทมาแฮงก์เอาต์ตามโอกาสพิเศษต่างๆ เพราะที่นี่เป็นไวน์บาร์ลับที่สามารถเข้าไปซ่อนตัวจากความวุ่นวายกลางเมืองเพื่อมาใช้ช่วงเวลาแสนพิเศษด้วยกัน ไม่ว่าจะนั่งจิบเครื่องดื่มพร้อมเสพบรรยากาศ เคล้าเสียงดนตรีบรรเลงเพราะๆ หรือตั้งใจมารับประทานอาหารมื้อหนักก็เข้าท่า เพราะที่นี่เน้นอาหารสไตล์ Modern European ที่ผสมผสานกลิ่นอายญี่ปุ่นเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เสิร์ฟจานใหญ่ในบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองเหมือนนั่งอยู่ในบ้านเพื่อนที่เต็มเปี่ยมด้วยแรงฮีลใจ จานซิกเนเจอร์แนะนำเป็น BERRIES & WILD ROCKET ร็อกเก็ตสลัดราดเดรสซิงเบอร์รีรสเปรี้ยวสดชื่น มีเบอร์รีสดให้เคี้ยวเพลิน ต่อด้วย ASARI SOUP ซุปหอยตลับต้มสาเก หอยตัวใหญ่ต้มสุกกำลังดี ซดร้อนๆ คล่องคอมาก MENTAIKO BREAD SPREAD ขนมปังบาแก็ตเสิร์ฟคู่ครีมชีสท็อปด้วยไข่ปลาเมนไทโกะ ถัดมาคือ SMOKED DUCK อกเป็ดรมควันย่างจนหนังกรอบแต่เนื้อยังนุ่มอยู่ เสริมรสด้วยส้มซันคิสเคิร์ดและเบอร์รีซอส ตามด้วย KANIMISO WITH CRAB MEAT สปาเกตตีผัดกับมันปูซูไวหรือคานิมิโซะ มีเนื้อปูก้อนโตท็อปด้านบน MACKEREL CRUDO เนื้อปลาแมกเคอเรล ครูโด เบิร์นไฟเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหอม กินกับน้ำซุปดาชิ ยิ่งกินกับขิงดองบอกเลยว่ารสตัดกันได้อร่อยมาก UNAGI TOAST ที่ร้านใช้ Thousand Layers ท็อปหน้าด้วยปลาไหลญี่ปุ่น ได้ความหอมฉ่ำเนยจากขนมปังตัดกับซอสรสเปรี้ยวนิดๆ คล้ายมายองเนสปรุงรส ปิดท้ายด้วย PARMA MELON พาร์มาแฮมท็อปบนเมลอนรสหอมหวานมีครีมยูซุเพิ่มความสดชื่นกินกับไวน์เข้ากันได้ดีมาก เราสั่งม็อกเทลรสหวานอมเปรี้ยวมาจิบคู่กับอาหาร แนะนำ BERRY MIX และ LYCHEE ช่วยตัดรสได้ดี ได้ความหวาน เปรี้ยว ซ่าสดชื่น ทุกจานคิดและสร้างสรรค์จากความชอบของเจ้าของร้านที่สั่งสมมาจากการเที่ยว-กิน ตามแลนด์มาร์กต่างๆ นำมาครีเอตจนเกิดเป็นเมนูไฮไลต์ที่เสิร์ฟวันนี้

ใครกำลังมองหาร้านอร่อยบรรยากาศแสนสบายนาทีนี้ไม่มีที่ไหนจะเหมาะไปกว่า “Shelly House” ร้านบรันช์สไตล์ออสเตรเลียเปิดใหม่แห่งซอยสาทร 2 ตัวร้านเรียกได้ว่าถอดแบบมาจากบ้านที่ตั้งอยู่บนชายหาด Shelly Beach หนึ่งในหาดชวัญใจนักท่องเที่ยวประจำเมืองซิดนีย์อย่างไรอย่างนั้น บ้านสีขาวที่ล้อมล้อมด้วยกระจกใส ที่ภายในสาดส่องด้วยแสงธรรมชาติ เข้ากันดีกับโทนสีน้ำเงินคราม และเขียว ที่สื่อถึงคลื่นทะเลซู่ๆ และต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นอยู่รอบริมชายหาด พร้อมเสิร์ฟมื้อสาย All Day Dining สไตล์ออสเตรเลียที่ชูเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบ ไม่เน้นการปรุงแต่งมากนัก มีทั้งเมนูคลาสสิกคุ้นเคย ได้แก่ แซนด์วิชหน้าเปิด สเปาเก็ตตี้ เบอร์เกอร์ สมูตตี้โบวล์ หรือจะเป็นจานอร่อยแบบฉบับเมดิเตอร์เรเนียน ที่เสริมเรื่องความหลากหลายให้ฟู้ดดี้ชาวต่างชาติอย่าง ฮัมมูส ชักชูก้า มูซาก้า ฟาลาเฟล และสลัดต่างๆ นอกจากนี้ยังมีขนมอบโฮมเมด กาแฟ และสมูตตี้เพื่อคนรักสุขภาพอีกด้วย จานแรกเป็น Kale Salad สลัดผักเคลชามใหญ่ที่ประกอบด้วยผักเคลสด กรุบกรอบ ผักเคลย่าง ฟักทองบัตเตอร์นัตหอมมัน ลูกฟิก รสหวาน ราดน้ำสลัดโยเกิร์ตรสครีมมี ผสมผักชีลาวหอมๆ ตามด้วย Shakshuka อาหารเช้าสไตล์แอฟริกัน ที่โดดเด่นด้วยไข่ดาวอิ่มเอม ซอสมะเขือเทศโฮมเมดรสเปรี้ยวกลมกล่อม ตัดเลี่ยนด้วยเครื่องเทศต่างๆ และพริกปาปริกา ไปต่อกับอาหารเช้าสไตล์เมดิเตอเรนเนียนอย่าง Crispy Turkish Eggs ไข่ดาวสไตล์ตุรกี เข้ากันดีกับโยเกิร์ตรสเข้มข้น ผสมน้ำมันกระเทียมและเนย เพิ่มความเผ็ดร้อนสักนิดด้วยพริกอาเลปโป กินคู่แฟลตเบรดโฮมเมดพองๆ หรือจะลอง Beetroot บีตรูตสีแดงสวย ดองในน้ำมันมะกอกชั้นดี ท็อปด้วยปูเนื้อหวาน คนรักเส้นต้องเลิฟ Linguine with Clams and Fresh Herbs เส้นลิงกวินีเหนียวนุ่ม ผัดพร้อมหอยกาบตัวอ้วน เนื้อหวาน โรยด้วยสมุนไพรหอมๆ เด็กอ้วนถูกใจ Bacon & Egg Roll เบอร์เกอร์ชิ้นโตๆ น่าอร่อยที่ให้คุณเอ็นจอยกับขนมปังบันโฮมเมดเนื้อนุ่มปู ประกบเบคอนเนื้อนุ่มฉ่ำในที่เรารัก เบคอนทอดกรอบ ไข่คน ผักสด ราดด้วยซอสศรีราชาและมายองเนสรสกระเทียม หนึ่งในเมนูขายดี Grill Fish Fillet, Butter Tomato Dashi, Mushrooms ปลากระพงย่างเนื้อฉ่ำ หนังกรอบเกรียม ล้อมรอบด้วยซุปดาชิรสกลมกล่อม ที่ทำมาจากเห็ดและมะเขือเทศ ของหวานเราเลือกเป็น Sticky Date Pudding พุดดิ้งอินทผาลัมเนื้อแน่นรสหวาน เสิร์ฟมาอุ่นๆ กินคู่ไอศกรีมวานิลลาโฮมเมดรสหอมมัน ฟินเกินคำบรรยาย จิบคู่ Summer Berries สมูตตี้สีแดงรสเปรี้ยวอมหวานที่เป็นการรวมตัวกันของผลไม้ตระกูลเบอร์รี แตงโม และส้ม ปิดท้ายด้วย Pina Colada รสหวานละมุน หอมกรุ่นนุ่มนวลของน้ำสับปะรดและนมมะพร้าว มากประโยชน์ เหมือนได้นั่งชิลกินของอร่อยในบ้านตากอากาศเลย

คลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานที่ The Mesh Bar & Restaurant เสิร์ฟบรรยากาศการรับประทานอาหารรูปแบบใหม่ในธีมสปอร์ตบาร์ใจกลางเมืองย่านสุขุมวิท มื้อกลางวันไว้ใจได้กับเมนูอาหารหลากสไตล์หลายสัญชาติ แล้วเปลี่ยนมู้ดสู่การแฮงเอาต์สุดชิคยามค่ำคืนภายใต้คอนเซ็ปต์ "DINE – DRINK - PLAY" ภายในร้านบรรยากาศโปร่งโล่งสบาย โดดเด่นด้วยบาร์ขนาดใหญ่ ด้านข้างเป็นเวทีดนตรีสดที่มีโต๊ะวางเรียงรายหลายมุมห้อง ตรงกลางมีโต๊ะพูลไว้สำหรับเล่นสังสรรค์ รวมถึงมีบอร์ดเกมไว้ลับคมสมองกับเพื่อนๆ ส่วนเมนูอร่อยของเดอะ แม็ช ก็พร้อมเสิร์ฟทั้งอาหารไทย เวสเทิร์น แลฟิวชัน ที่รังสรรค์อย่างพิถีพิถันโดยเชฟมากประสบการณ์ แนะนำเมนูซิกเนเจอร์ที่ต้องลอง ได้แก่ ข้าวซอยไก่เส้นเฟตตูชินีหมึกดำ รสเข้มข้นหอมกลิ่นเครื่องเทศ ยำส้มโอ ยำรสจัดจ้านเข้ากันได้ดีกับส้มโอรสหวานฉ่ำน้ำ ท็อปด้วยกุ้งตัวโต โรยด้วยทับทิมสีสวย ส้มตำไทย ได้รสเปรี้ยวอมหวานตามแบบฉบับของส้มตำไทย มีกุ้งแห้ง แคบหมู และถั่วลิสงคั่วเพิ่มความอร่อย หมูสามชั้นหมักกรอบ หมูสามชั้นทอดจนเหลืองกรอบ เสิร์ฟพร้อมซอสชิมิชูรีและผักกวางตุ้งย่าง และ เดอะแม็ชเบอร์เกอร์ เบอร์เกอร์เนื้อชิ้นใหญ่ที่ราดซอสรสเข้มข้นและชีสมาให้แบบไม่หวง เพิ่มสีสันให้ชีวิตก่อนหมดวันด้วยเครื่องดื่มที่คัดสรรมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น เบียร์ท้องถิ่นรสชาติดี หรือค็อกเทลซิกเนเจอร์ที่สร้างสรรค์อย่างลงตัว ไฮไลต์อยู่ที่ Mesh Beer เบียร์พิเศษภายใต้คอนเซ็ปต์ Best Brews™ ช่วยเติมไฟให้คนวัยทำงานสุดๆ

ใครที่ชื่นชอบอาหารอินเดีย ต้องไม่พลาดบันทึกร้าน Jhol (โจฮ์ล) เป็นหนึ่งในร้านอาหารอินเดียในดวงใจ และเผลอแป๊บเดียวร้านอาหารอินเดียมุมมองใหม่แห่งนี้ก็เปิดให้บริการมาครบ 5 ปีแล้ว ในโอกาสนี้ เชฟฮารี (Hari Nayak) เชฟชาวอินเดียผู้สร้างชื่อในฐานะปรมาจารย์แห่งอาหารอินเดียยุคใหม่และอยู่เบื้องหลังเมนูของ Jhol และเชฟ Gaurav Gupta Chef de Cuisine ประจำร้าน จึงอยากชวนมาสัมผัสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับหลากหลายเมนูใหม่ที่ยกระดับการตีความอาหารอินเดียสมัยใหม่ ซึ่งผสานรากเหง้าและนวัตกรรมเข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้ง ให้ลิ้มลองกันได้ตั้งแต่วันนี้ เมนูใหม่มีให้บริการทั้งแบบอะ ลา คาร์ท และเทสติงเมนูในชื่อ The Culinary Journey: शुद्धि (Purification) ซึ่งหมายถึงการชำระล้างให้บริสุทธิ์ นำเสนอรสชาติอันสดใสจากชายฝั่งของอินเดียร่วมกับวัตถุดิบท้องถิ่นไทย ออกมาเป็นจานอร่อยที่แปลกใหม่และน่าสนใจ เริ่มตั้งแต่จานเรียกน้ำย่อย รวมของว่างคำเล็กอย่าง Calicut Pepper Crab ทาร์ตปูเครื่องเทศ ปาจาดีมะพร้าว และส้มโอ Goan Choris Pav ฮอตด็อกจิ๋วสอดไส้ครีมมะกรูดทอปด้วยหมูฝอย Kolkata Dim’er Devil ไข่นกกระทาหุ้มด้วยเนื้อแกะบดและเครื่องเทศ ราดซอสมัสตาร์ดสไตล์เบงกอล (kasundi) ทอปด้วยคาเวียร์ กลิ่นและรสของเครื่องเทศกระตุ้นประสาทรับรสให้ตื่นตัว อาหารของเมืองชายฝั่งทางตอนใต้ของอินเดียเน้นซีฟู้ดสดใหม่ จานแรกเราจึงได้ลิ้มลอง Fine De Claire Oyster หอยนางรมทอปด้วยซอสพริกมะม่วง (raw mango thecha) และกรานิตาทับทิมสีสดใสให้รสสดชื่น ตามด้วย BFC หรือ Berhampur Fried Chicken ด้านในชุ่มฉ่ำด้านนอกกรอบและหอมเครื่องเทศ บีบมะนาวดึงรสชาติแล้วจิ้มกินกับฮอตซอสสูตรของทางร้าน อร่อยมากๆ จานต่อมาก็ดีงามไม่แพ้กัน Surti Anda Ghotala ซึ่งมีต้นแบบมาจากอาหารริมทางของชาวกุจราต ถูกแปลงโฉมให้เป็นจานที่หรูหราอย่างออมเล็ตซอสครีมรสเผ็ดใส่เนยและชีสอามุลให้รสนวลกลมกล่อม กินกับโทสต์ชีสพริกกรอบๆ ชวนฟิน ตามด้วยจานที่น่าสนใจมากอย่าง Kundapura Ghee Roast Crab ตีความอาหารคลาสสิกจากภาคใต้ของอินเดียใหม่โดยเลือกใช้ปูไทยปรุงด้วยกีและเครื่องเทศมังคาลอร์ ใส่แป้งอิดลีนึ่งจนฟู โรยผงปืน (Gunpowder Podi) เพิ่มความหรูหรา หลังจากล้างปากด้วยซอร์เบต์ฝรั่งสีชมพู ก็เริ่มเข้าสู่จานที่หนักท้องขึ้นมาอย่าง Malabar Lamb Ribs ซี่โครงแกะออสเตรเลียส่วนที่ติดกระดูกอ่อนย่างและตุ๋นจนนุ่มละมุนกับเครื่องเทศรสเข้มข้น ตามด้วย The Feast จานแชร์ที่ประกอบด้วย Coorgi Pandi Curry แกงกะหรี่เนื้อหมูสามชั้นทอปด้วยแคปหมู เสิร์ฟกับแผ่นแป้ง หอมเจียว ใบบัวบก และชัตนีย์มะเขือเทศ ห่อเข้าด้วยกัน และ  Bengali Biye Bari Korma จานที่มีแรงบันดาลใจมาจากงานแต่งงานอันยิ่งใหญ่ของชาวเบงกาลี เนื้อปลากะพงในแกงมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดป๊อปปี้ และหอมใหญ่คาราเมล เสิร์ฟกับข้าวกีมะม่วงหิมพานต์และมัลลาบาร์ปาโรตา ครีมมีหอมมันกลมกล่อมมาก ปิดท้ายด้วยของหวานที่ชวนสดชื่นดีงามสุดๆ อย่าง Tender Coconut Payasam หรือซอร์แบต์มะม่วงและโยเกิร์ตหอมหวานอมเปรี้ยว และแผ่นตูเล่งา และ Sticky Toffy Pudding ซึ่งใช้ Nolen Gud น้ำตาลปี๊บจากเบงกอลตะวันตกมาทำเป็นคาราเมลหวานลึกล้ำ ตัดรสด้วยเกลือคาราเมลเอสปูมาและไอศกรีมวานิลลาทำจากวานิลลาเขาใหญ่ เข้ากันได้ดีเป็นที่สุด เทสติงเมนู The Culinary Journey: शुद्धि (Purification) ให้บริการถึงตุลาคม 2568 โดยมีให้เลือกทั้งคอร์สเมนูซีฟู้ด ราคา 2,200++ บาท ตามที่เรารีวิวไป และคอร์สมังสวิรัติ ราคา 1,999++ บาท และยังสามารถเลือกแพร์ริงกับไวน์ในราคา 1,599++ บาท หรือเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ในราคา 999++ บาท ได้อีกด้วย และอย่างที่บอกไปว่าทุกเมนูสามารถเลือกสั่งมาอร่อยในแบบละ ลา คาร์ท ได้เช่นกัน   Jhol พลิกโฉมเมนูใหม่ครั้งนี้ ช่างเต็มไปด้วยความอร่อยที่แปลกใหม่น่าสนใจ พาเราให้เพลิดเพลินไปกับรสชาติของบรรดาเมืองริมชายฝั่งอินเดียได้อย่างสดชื่นและสำราญใจ ใครที่ชอบอาหารอินเดียไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

Maze Dining (เมซ ไดนิง) ร้านอาหารสไตล์แคชชวลติดแกลม ของดีย่านสามเสน ปรับเมนูใหม่เพิ่มเมนูบรันช์และเมนูมื้อกลางวัน รวมถึงเพิ่มเมนูไดนิงสไตล์คอมฟอร์ต อิ่มอร่อยง่ายๆ ด้วยวัตถุดิบคุณภาพดี ให้ใครที่ผ่านไปมาแวะมาลิ้มลองความอร่อยได้ตลอดทั้งวันในแบบ All Day Dining ด้วยทีมเชฟที่มีความเชี่ยวชาญระดับไฟน์ไดนิง และความตั้งใจที่จะคัดสรรทั้งวัตถุดิบคุณภาพดีเหมือนทำให้คนในครอบครัวกิน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบท้องถิ่นหรือวัตถุดิบตามฤดูกาลของไทย เมนูใหม่ของที่ร้านจึงเน้นเมนูที่ผู้คนรู้สึกคุ้นเคย แต่ยกระดับด้วยความพิถีพิถันในการปรุง การตกแต่ง และการเลือกใช้วัตถุดิบ ให้แวะมาฝากท้องได้อย่างสบายใจตั้งแต่มื้อบรันช์ มื้อกลางวัน จนถึงมื้อค่ำ เริ่มด้วยเมนูบรันช์ที่ทางร้านพร้อมให้บริการตั้งแต่ 11:00 - 15:00น. เราขอแนะนำเอ้กเบเนดิกต์ที่ไม่ธรรมดา Lobster Benedict เพิ่มความหรูหราด้วยล็อบสเตอร์และคาเวียร์ ผสานรสด้วยความนุ่มหนึบของอิงลิชมัฟฟินที่ทางร้านทำเอง เคียงมากับผักต่างๆ ได้แก่ หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศพวง และมันฝรั่งซอเต้ ส่วนสายหวานต้องลอง French Toast โทสต์บริยอชชิ้นหนากรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟกับกล้วยหอมคาราเมลไลซ์ บลูเบอร์รี และสตรอว์เบอร์รี ราดเมเปิลไซรัปหอมหวาน จับคู่กับกาแฟคราฟต์สักแก้ว เติมเอเนอร์จี้ดีๆ ได้ทั้งวัน เมนูออลเดย์จานใหม่ ห้ามพลาดซีรีส์ Rice Bowls ตอบโจทย์ใครที่อยากกินอาหารจานง่ายๆ แต่ก็ต้องอร่อย อิ่มท้อง ดีต่อใจ จานที่โดนใจเราอย่างจังต้อง Glam Glam River Prawn Rice ข้าวหน้ากุ้งแม่น้ำคัดไซส์ใหญ่ขนาด 6 ตัว 1 กิโลกรัม แกะจนเหลือแต่เนื้ออวบๆ วางมาบนข้าวญี่ปุ่นนุ่มๆ ราดซอสมันกุ้งที่เคี่ยวจนเข้มข้น พร้อมเครื่องเคียงอย่างหอมแดงซอย พริกซอย เสิร์ฟกับน้ำจิ้มซีฟู้ด และน้ำปลาพริกให้เลือกปรุงตามชอบ ตามด้วย Crispy Pork with Garlic and Chilli Rice ข้าวหน้าหมูสามชั้นคั่วพริกเกลือ ซึ่งทอดหมูด้วยกรรมวิธีพิเศษจึงได้หมูทอดที่มีความนุ่มชุ่มฉ่ำและผิวนอกไม่แข็งเกินไป ในจานนี้มีไข่ต้มให้ด้วย เมนูข้าวจะเสิร์ฟเป็นเซ็ตมากับน้ำซุปรสละมุนให้ซดเพิ่มความคล่องคอ ทางด้านเมนูไดนิงเริ่มจากของทานเล่นเบาๆ Small Toast ซึ่งมี 2 รสชาติ ได้แก่ Hotate Royale หอยเชลล์ญี่ปุ่นสดหั่นเต๋าเนื้อหวานคลุกเคล้าซอสครีมและผิวเลมอนรสเบาสดชื่น ทอปด้วยคาเวียร์เพิ่มความหรูหรา และ Spicy Salmon Nori แซลมอนสดหั่นเต๋าในซอสรสเผ็ดนิดๆ และสาหร่ายเพิ่มความอูมามิ อร่อยเต็มคำ ตามด้วยสลัดเมนูใหม่ที่เน้นความสดชื่น Maze’s Rocket Salad สลัดร็อคเกตใส่แฮมโพรชูตโต ชีสบรี พาร์มีจาโน และวอลนัตเพิ่มความมันนัว ตัดรสด้วยความเปรี้ยวของสตรอว์เบอร์รีและแอปเปิลเขียว ราดเดรสซิงบัลซามิค ด้านจานหลักแนะนำ Crispy Bacon Aglio Olio พาสตาผัดแห้งกับน้ำมันมะกอกและพริกแห้งรสเผ็ดนิดๆ ถูกปากชาวไทย ใส่เบคอนชิ้นและเบคอนกรอบให้หลายสัมผัสกินเพลิน เป็นอีกเมนูยอดนิยม ปิดท้ายด้วยเสต็กสำหรับบีฟเลิฟเวอร์ ทางร้านแนะนำ Rib Eye Steak เสต็กเนื้ออาร์เจนติเนียนส่วนริบอายที่มีเท็กซ์เจอร์เคี้ยวสู้ฟันนิดๆ และให้รสชาติและกลิ่นเข้มข้น ส่วนใครที่ชอบสัมผัสนิ่มๆ ก็มี Wagyu Tenderloin ให้เลือกเคียงมากับมันฝรั่งและผักย่าง เสิร์ฟกับเกลือ วาซาบิดอง และซอสไวน์แดง แต่หากอยากสั่งน้ำจิ้มแจ่วมาเติมความแซ่บก็บอกพนักงานได้เลย เขาไม่หวง   ใครที่ไม่กินเนื้อยังมีเมนูจานหลักอื่นๆ อาทิ Pork Chop, Lamb Chop, Duck Confit หรือเมนูปลาทั้งแซลมอนและปลากะพงให้เลือก ซึ่งล้วนแต่เลือกสรรวัตถุดิบชั้นดีไม่แพ้กัน ปิดท้ายด้วยของหวานเมนูใหม่ในซีรีย์ “พาร์เฟต์” ที่หวานเย็นและสวยงามเหมาะสำหรับลงอินสตาแกรมเป็นที่สุด ใครที่ชอบความฉ่ำของช็อกโกแลตและความลึกล้ำของคาราเมลต้องลอง Salted Caramel Parfait ส่วนสายหวานซ่อนเปรี้ยวต้อง Strawberry Pistachio Bliss Parfait มีรสหวานอมเปรี้ยวของสตรอว์เบอร์รีตัดกับครีมพิสตาชิโอที่มีความหวานมันกลมกล่อม ประดับเมอร์แรงก์สวยงาม ช่วงนี้ทางร้านได้มะยงชิดมาจากสวนที่นครนายก จึงมีของหวานพิเศษอย่าง กรานิตามะยงชิด ที่หวานเย็นสดชื่น และแพนนาคอตตามะยงชิด ที่มีรสละมุนกลมกล่อมตัดรสกับความหวานอมเปรี้ยวของมะยงชิดได้อย่างลงตัว เมนูนี้สามารถสั่งกลับบ้านได้ ทุกจานเติมความสดชื่นได้ด้วยเครื่องดื่มสูตรพิเศษ อาทิ Luv You So Much-cha ผสมผสานมัตฉะเกรดพิธีการกับโฟมนมสตรอว์เบอร์รีรสละมุน หรือม็อคเทล Blush Season มีส่วนผสมของน้ำส้ม น้ำแตงโม ชาเอิร์ลเกรย์ สตรอว์เบอร์รี และโซดา ทอปด้วยเชอร์รีเชื่อม สำหรับมื้อค่ำจับคู่ความอ่อยกับค็อกเทล The OWL ซึ่งได้ความสดชื่นจากน้ำส้ม น้ำแตงโม และลิ้นจี่ Maze Dining เมนูใหม่มีความคอมฟอร์ตขึ้นแต่ยังคงเน้นวัตถุดิบพรีเมียมและรูปลักษณ์ที่สวยงาม เพื่อตอบโจทย์มื้ออร่อยคุณภาพดีได้ในชีวิตประจำวัน ในส่วนมื้อค่ำทางร้านก็ยังให้บริการคอร์สเมนูที่ยกระดับความแกลมยิ่งขึ้นสำหรับใครที่ต้องการดื่มด่ำมื้ออร่อยในโอกาสพิเศษอีกด้วย

เมื่อกระแสของร้าน All day dining ยังไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลง เราก็ขอเติมลิสต์ร้านใหม่ในดวงใจอย่าง Holy Belly (โฮลี เบลลี) ให้กับสาวกคอมฟอร์ตฟู้ดได้ตามไปลองชิมกัน ทางร้านนำเสนอเมนูคุ้นเคยหลากหลายเชื้อชาติในคอนเซ็ปต์ All-Day Roast หยิบเอาความอบอุ่นของรสชาติอาหารโฮมเมดแบบดั้งเดิมทั่วโลกมาปรุงด้วยเทคนิกสมัยใหม่ ซึ่งมีไฮไลต์เป็นเมนูย่างที่ผ่านการดูแลโดยเชฟ Jeriko Van Der Wolf เชฟใหญ่ประจำร้าน BIANCA Bangkok ในเครือเดียวกันนั่นเอง บรรยากาศภายในร้านมาพร้อมความอบอุ่นสดใสด้วยโทนสีส้มแดงและเฟอร์นิเจอร์ไม้ ที่ตกแต่งด้วยต้นไม้ประดับสีเขียวเสริมความสดชื่น เมนูแนะนำ Creamy Lobster Bisque ซุปล็อปสเตอร์รสครีมมีจากน้ำสต็อกสุดเข้มข้นที่เคี่ยวจนนัวและกลมกล่อม  Tuna Tarta & Avocado เนื้อทูน่าดิบหั่นเต๋าเสิร์ฟมาบนอะโวคาโดบด กินพร้อมซอสเสาวรสเลมอนและแตงกวาสไลซ์ ยกให้เป็นจานที่เรียกความเฟรชได้ดี Holy Triffle Pasta พาสต้าเส้นสดเหนียวนุ่มคลุกเคล้ามากับซอสครีมทรัฟเฟิล ออนท็อปด้วยชีสและไข่แดงเยิ้มๆ หอมละมุนอบอวลอยู่ในปาก Holy Whole Roasted Chicken ไก่หมักสูตรพิเศษของทางร้านที่ผ่านการย่างด้วยกรรมวิธีเฉพาะกว่า 24 ชั่วโมง สัมผัสนุ่มและแน่น กินพร้อมมันย่างและซอสเกรวี ของหวานต้องยกให้  Sticky Date Pudding เค้กอินทผาลัมหอมหวานฉ่ำมากับซอสคาราเมล ที่เมื่อกินกับไอศกรีมโยเกิร์ตแล้วเข้ากันอย่างลงตัว หรือจะเลือกเป็น Thai Tea Tiramisu ตัวดังสูตรเดียวกับร้าน BIANCA ก็ไม่ผิดหวัง

Tamarind Cove เขาใหญ่ พื้นที่ปล่อยใจสบายอารมณ์ มองไปก็เห็นคุ้งน้ำ และต้นมะขามขนาดใหญ่ นี่คือบรรยากาศของร้านอาหารสุดชิลที่ตั้งใจให้คนมาเขาใหญ่ได้นั่งกินของอร่อยกัน ต้องบอกว่าต้นมะขามที่โดดเด่นเป็นสง่าบริเวณหน้าทางเข้านั้นมีมาอยู่แล้วก่อนที่จะต่อเติมจนกลายเป็นร้านแห่งนี้ตามชื่อ Tamarind Cove แบ่งออกเป็นโซนคาเฟ่ และโซนร้านอาหารแบบ All Day Brunch ซึ่งถ้าพูดถึงรสชาติแล้ว ใครจะพาครอบครัว พาเพื่อนมาไม่ต้องกลัวผิดหวังกับความอร่อย เพราะรับประกันโดยฝีมือเชฟนีซ ศิษย์เก่าเลอกอร์ดองเบลอผู้ร่ำเรียนมาแล้วทุกคอร์ส จึงนำความรู้และประสบการณ์มาปรับใช้กับแต่ละเมนูอย่างลงตัว ประเดิมด้วย Gougères กินชูว์เล่นๆ ให้เพลิดเพลินกับกลิ่นชีสกรูแยร์อบหอมๆ Truffle soup with puffy puff บนถ้วยลายหัวสิงโตดูวินเทจสวยงาม เวลากินตักแป้งพัฟพร้อมซุป เข้ากันดีมาก Fish & Chips พิเศษตรงการใช้ปลาญี่ปุ่น นำมาทอดจนเหลืองกรอบ (กรอบนานด้วย) Corned Pork Collar ส่วนของคอหมูหมักนุ่มๆ ราดเกรวีแทบละลายในปาก กินกับมันฝรั่งและสลัด Shakshuka Wagyu Short Rib เนื้อวากิวในซอสมะเขือเทศ เสิร์ฟพร้อมไข่ลวกและขนมปัง ตัวเนื้อเคี้ยวง่าย ไม่เหนียวเลย Tiramisu Lava ซิกเนเจอร์ในหมวดของหวานของที่นี่ สวยไม่พอ ยังอร่อย ไม่หวานเลี่ยน หรือจะเป็น Lemon cheese cake souffle เมนูของหวานที่ตัดรสได้ดี ด้วยความอมเปรี้ยวเล็กน้อยบวกความมันนัวของชีส บอกเลยว่าฟิน! ไปเขาใหญ่รอบหน้าไม่ต้องวนหาร้านอาหารให้เหนื่อยแล้ว ปักหมุด Tamarind Cove ได้เลย!

แรกเริ่มเปิดตัวมาก็กลายเป็นหนึ่งในร้านโปรดของสายฟู้ดไปเสียแล้วสำหรับ ตั๋นโบข้าวมันไก่ ร้านข้าวมันไก่เปิดใหม่ป้ายแดงของคุณป่าน ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการอยากทำเมนูโปรดของแฟนอย่าง ‘ข้าวมันไก่’ ให้คนที่รักลิ้มลอง เริ่มจากการลงเรียนคอร์สต่างๆ บวกกับเคล็ดลับที่อาม่าให้เล็กๆ น้อย ใช้เวลาทดลองสูตรกว่า 4 เดือนจนมั่นใจในรสชาติก่อนตัดสินใจเปิดร้านในที่สุด จุดเด่นของตั๋นโบข้าวมันไก่คือ ทางร้านจะใช้ไก่จากฟาร์มไก่อารมณ์ดีนำไปดองเกลือและต้มในอุณหภูมิพอเหมาะจนได้เนื้อที่เด้งนุ่มฉ่ำ เนื้อที่เสิร์ฟจะใช้เฉพาะส่วนสะโพกและส่วนน่อง เพราะเป็นส่วนที่นักกินหลายคนโปรดปราณ เสิร์ฟคู่กับข้าวมันสูตรเด็ดสีน้ำตาลที่เกิดการข้าวหอมมะลิกลางปีผัดพร้อมสมุนไพร 7 ชนิด จนได้กลิ่นหอมฟุ้ง นอกจากนี้ยังมีน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวที่ใช้ความเปรี้ยวจากน้ำมะขามเปียกแทนมะนาว แถมให้คุณได้ฟินได้ในราคาที่น่ารัก (เริ่มต้นเพียง 60 บาทเท่านั้น) จานแรกต้องนี่ ข้าวมันไก่สิงค์โปร์ ให้คุณอิ่มอร่อยกับเนื้อไก่ส่วนน้องเด้งฉ่ำ มาพร้อมกับตับครีมมี ราดด้วยน้ำต้มไก่หอมกลิ่นน้ำมันงา ข้าวมันผัดสมุนไพรกว่า 6 ชนิด กินคู่กับน้ำจิ้มต้นหอมขิง กับพริกเหลิงขิง รสเผ็ดกำลังดี หลายคนชอบ ข้าวมันไก่ต้ม ไก่ต้มส่วนสะโพกและน่องเนื้อเด้งที่เรารัก เสิร์ฟเคียงข้าวมันสีน้ำตาลที่ได้จากสมุนไพร น้ำซุปรสนุ่มนวล กินกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวสูตรเด็ดที่เจ้าของร้านใช้น้ำมะขามเปียกแทนน้ำส้มสายชู รสเปรี้ยวกลมกล่อม ข้าวมันไก่ทอด เนื้อไก่ส่วนสะโพกชุบแป้งบางๆ ทอดร้อนจี๋จนได้เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน เข้าคู่น้ำจิ้มไก่รสหวานที่เราคุ้นใคร แล้วตัดเลี่ยนด้วยการซดน้ำซุปฟักแฟงร้อนๆ รสเค็มละมุน ห้ามพลาดกับ ตับต้ม จานอร่อยที่โด่งดังในโลกโซเชี่ยล ด้วยความนุ่มของตับไก้ชิ้นใหญ่ๆ บวกกับรสหอมมันยิ่งกินคู่น้ำจิ้มเต้าเจี้ยวรสเค็มเผ็ดยิ่งเข้ากัน ปิดท้าย ข้อไก่ต้ม ที่ทั้งนิ่มเด้ง และมีความกรุบในตัว กินกี่คำก็เพลิน ถือว่าเป็นหนึ่งในร้านอร่อยย่านสุทธิสารก็ย่อมได้

ใครเป็นนักชิมเจนเบบี้บูมต้องรู้จักร้านสามเสนวิลล่าซึ่งโด่งดังและเป็นตำนานเบียร์วุ้นแก้วแช่เจ้าแรกอย่างแน่นอน เบียร์วุ้นคือเบียร์ที่แช่เย็นจัด เทเสิร์ฟในแก้วที่แช่เย็นจัด น้ำที่รินออกมาจะดูเหมือนเป็นฟองเบียร์ แต่แท้จริงคือเกล็ดน้ำแข็งที่อร่อยมากโดยเฉพาะเมื่อดื่มทันทีที่รินเสร็จ สามเสนวิลล่าตั้งอยู่บนถนนเศรษฐศิริ ไม่ไกลจากสถานีรถไฟสามเสน และหากย้อนไปเมื่อ 47 ปีก่อน รูปแบบของร้านถือเป็นร้านอาหารแนวใหม่ของยุคที่ใช้บ้านที่อยู่อาศัยทำเป็นร้านอาหาร แขกทุกคนจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น เสมือนทานข้าวที่บ้าน คุณอัน– สุวิทัศท์ สุรสิงห์โตทอง ทายาทรุ่นที่ 2 เล่าถึงที่มาของเบียร์วุ้นอันโด่งดังว่ามาจากคุณปู่ซึ่งชอบดื่มเบียร์เย็นจัด จึงหาวิธีการจนได้เป็นเบียร์วุ้นที่ทุกคนรู้จักในวันนี้ คุณปู่เปิดร้านนามไชยเป็นร้านอาหารทั่วไปอยู่บริเวณเสาชิงช้า กระทั่งคุณพ่อคุณแม่แยกมาเปิดร้านสามเสนวิลล่าบนถนนเศรษฐศิริตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 ก็นำสูตรอาหารจากนามไชยมาเริ่มต้นที่นี่ โดยเฉพาะสูตรพริกแกงต่างๆ ที่ปรุงเองทั้งหมด ทั้งพริกแกงแดง พริกแกงเขียว พริกแกงเลียง เป็นต้น รวมทั้งเมนูหมูสะเต๊ะก็เป็นสูตรจากร้านคุณปู่ซึ่งสามเสนวิลล่าก็ใช้สูตรนี้มาตลอด 47 ปี รีแบรนด์เพิ่มความสดใหม่ขยายกลุ่มลูกค้า ตลอดระยะเวลา 47 ปี สามเสนวิลล่ายังคงรักษาฐานลูกค้าที่ชื่นชอบรสชาติอาหารของทางร้านได้ดี แต่ขณะเดียวกัน คุณอันก็มีความคิดที่จะรีแบรนด์สามเสนวิลล่าเพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้เติบโตขึ้น โดยการสร้างความสดใหม่ให้กับแบรนด์ เริ่มจากโลโก้หลักซึ่งอินสปายจากหน้าร้านในปัจจุบัน (สาขาพญาไท) ปรับเป็นตัวอาคารสีแดงสไตล์คลาสสิก มีประตูและหน้าต่างรูปทรงวินเทจซึ่งเป็นเสน่ห์ของคาเฟ่สไตล์ยุโรป ให้อารมณ์ของบ้านที่ปรับปรุงใหม่ภายในบ้านหลังเดิม ขณะที่มอตโต้ประจำร้านก็เปลี่ยนจาก “ตำนานที่สัมผัสได้” เป็น “รสชาติที่เชื่อมใจเรา” ซึ่งกว่าจะได้เป็นมอตโต้นี้ คุณอันเล่าว่า ทีมงานรีแบรนด์ต้องรวบรวมข้อมูลเยอะมาก ทั้งจากผู้บริหาร พนักงาน และกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก ตกผลึกเป็นจุดเด่นของร้านคืออาหารอร่อย และลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มครอบครัว องค์กร และเพื่อนฝูง ซึ่งเมื่อมาที่ร้านจะมีอารมณ์ของความสนุก เป็นอารมณ์ของความเป็นพวกพ้อง จึงเป็นที่มาของคำว่าเชื่อมใจ และกลายเป็น “รสชาติที่เชื่อมใจเรา”  (Savor The Moment) ความอร่อยอันเป็นตำนาน รสชาติความอร่อยที่ผูกใจลูกค้าไว้อย่างเหนียวแน่นและเป็นเมนูที่ลูกค้าสั่งกันทุกโต๊ะ ได้แก่ หมึกแดดเดียว เนื้อแน่นนุ่มที่คัดไซส์จากซัพพลายเออร์เจ้าประจำ หมักและปรุงรสก่อนนำไปทอด ได้ความสดกรอบและนุ่มไปพร้อมกัน หมูสะเต๊ะสามเสนวิลล่าตำรับดั้งเดิมสูตรร้านนามไชยที่สไลซ์เนื้อหมูชิ้นใหญ่ หมักรสชาติเข้าเนื้อ ย่างจนหอมและไม่ฉุนกลิ่นผงกะหรี่ น้ำจิ้มถั่วทำเอง เสิร์ฟพร้อมขนมปังชิ้นหนาที่ทำเองจากครัวเบเกอรี่ แค่ยกมาวางก็ส่งกลิ่นหอมฉุยชวนหิว จานนี้มีรางวัลเปิบพิสดารการันตีความอร่อย แกงคั่วหอยขมก็ทำพริกแกงเองได้รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม และเป็นจานที่คุณแม่คัดสรรหอยขมที่แกะเนื้อมาปรุงตั้งแต่เริ่มตั้งร้านเพื่อให้รับประทานสะดวก ไม่เลอะมือ ซึ่งก็เป็นความใส่ใจในการบริการมายาวนาน และจานนี้ยังคว้ารางวัลมิชลินเพลต 2 ปีซ้อนอีกด้วย ยำถั่วพูกุ้งสดรสชาติเปรี้ยวหวานกลมกล่อมมีความนัวของกะทิสดเบาๆ กินเพลิน ซี่โครงหมูอบถั่วลันเตา จานอร่อยตำรับดั้งเดิมที่หน้าตาดูธรรมดาแต่รสชาติชวนให้ติดใจ เมนูเอาใจซีฟู้ดเลิฟเวอร์ ยกให้กุ้งใหญ่เผา ขนาด 3 ตัวโล กุ้งแม่น้ำตัวโตย่างสุกกำลังดี มีมันกุ้งเยิ้มๆ หอมชวนหิว เสิร์ฟกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ ต่อด้วย ตำ 555 ที่รวมเอากุ้งสด แซลมอนสด หมึก และหอยแมลงภู่ คลุกเคล้าน้ำยำรสจัดจ้าน ถูกใจคออาหารรสแซ่บ เนื้อเกรดพรีเมี่ยมอย่างวากิวก็มีให้เลือกทั้ง Saga Wagyu Striploin หรือ Kagoshima Wagyu Striploin ซึ่งเป็น 1 ใน 5 เนื้อวัวที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น เลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ตามธรรมชาติ มีริ้วไขมันลายหินอ่อนสวยงาม รสนุ่มละมุนลิ้น ย่างสุกในระดับที่ต้องการ เสิร์ฟพร้อมน้ำเกรวี่และน้ำจิ้มแจ่วสไตล์ไทย เป็นสเต๊กเนื้อนุ่มที่ละลายในปากจริงๆ ยังมีเบเกอรี่หลายรายการไม่ควรพลาด อาทิ ซาลาปัง ซึ่งก็คือขนมปังใส่ไส้ซาลาเปานั่นเอง มีทั้งไส้หมูสับ หมูแดง ครีม เผือก ไส้ครีมทุเรียน เค้กชนิดต่างๆ และล่าสุด ครัวซองต์ทุเรียน ที่เกิดจากความช่างคิดและชอบประยุกต์ของคุณอันโดยเอาครัวซองต์มาใส่ไส้ครีมทุเรียน ผลปรากฎว่าอร่อยจึงพัฒนาต่อให้มีขนาดพอดีกิน กระทั่งได้รับการการันตีความอร่อยด้วยรางวัลเปิบพิสดาร ปัจจุบันนอกจากสามเสนวิลล่า สาขาพญาไท ยังมีสามเสนวิลล่า สาขาราชพฤกษ์ นนทบุรี และสามเสนวิลล่า สาขาริมปิง เชียงใหม่ ซึ่งทั้งสามแห่งต่างมี identity ที่ชัดเจน สาขาพญาไทจะเป็นอารมณ์บ้านเก่าที่รีโนเวตแล้ว แต่คงไว้ซึ่งกลิ่นอายความเก๋า  ขณะที่สาขาราชพฤกษ์จะเป็นสวนสไตล์อังกฤษบนพื้นที่ไร่เศษ มีโซนดนตรีสด ทั้งห้องแอร์ ห้องไพรเวท เบเกอรี่ พร้อมรองรับลูกค้าได้ในปริมาณมาก และสามเสนวิลล่า สาขาริมปิง เชียงใหม่ ซึ่งเป็นสไตล์สวนอาหารริมแม่น้ำปิง มีโซนเอาต์ดอร์ ถือเป็นร้านซิกเนเจอร์สำหรับคนเชียงใหม่ที่นิยมพาเพื่อนฝูงต่างชาติมารับรอง ขณะเดียวกันก็มีแบรนด์น้องที่ชื่อ สามเสนไลฟ์ สาขาริมน้ำ (สะพานพระนั่งเกล้า) ที่มีความแคชชวลกว่า เอ็นเตอร์เทนกว่า และได้วิวสวยริมแม่น้ำไปเต็มๆ   วันไหนอยากเปลี่ยนบรรยากาศการรับประทานอาหาร ลองแวะไปลิ้มความอร่อยระดับตำนานที่สามเสนวิลล่าได้ทั้ง 3 สาขา 3 สไตล์    สาขาพญาไท (ดั้งเดิม) โทร. 089-795-8801 สาขาราชพฤกษ์ นนทบุรี โทร. 089-040-1805 สาขาริมปิง เชียงใหม่ โทร. 081-951-4415

WYND ไม่ใช่แค่คาเฟ่ที่เสิร์ฟกาแฟและขนมอร่อย แต่ยังเป็นร้านอาหารแคชชวลไดนิ่งไวป์ดีที่มาในคอนเซ็ปต์ Post Modern British Cuisine โดดเด่นสะดุดตาด้วยตัวร้านสีน้ำตาลไม้ทรง Arch ที่เน้นเรื่องส่วนเว้าโค้งดูสวยงามเรียบหรู ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปด้านในจะเจอกับบาร์น้ำและครัวเปิดที่มีกลิ่นหอมจางๆ ของกาแฟและอาหารลอยออกมาทักทายกัน ทางร้านจะเสิร์ฟอาหารสไตล์โมเดิร์นบริติชที่มีกลิ่นอายของเอเชียผสมอยู่ โดยปรุงขึ้นจากมือเชฟไทยที่เคยประจำอยู่ร้านมิชลินทั้ง 2 และ 3 ดาว อย่าง Cuttlefish Somen ปลาหมึกหอมสดจากประมงพื้นบ้านใสรูปแบบเส้นโซเมงที่คลุกมากับผงเฮิร์บและวาซาบิ กินพร้อมบัตเตอร์มิลค์ซอส และ Dill Oil ทางร้านเสิร์ฟมาแบบเย็น เปรี้ยว ซ่าสดชื่น Prawn Dumpling เกี๊ยวในรูปแบบพาสต้าสอดไส้กุ้ง ปลาหมึก และสมุนไพรต่างๆ ราดด้วยซอสปลาแห้งที่มีส่วนผสมของไข่กุ้ง ไข่ปลาแซลมอนและเทราต์ ให้เท็กเจอร์กรุบนิดๆ ต่อด้วยเมนคอร์สสุดว้าว Chicken Be-Khla Sausage เชฟเลือกใช้ไก่พันธุ์เบขลา (ไก่เบตง+ไก่สงขลา) เนื้อนุ่มกำลังดี มาสอดไส้สะโพกไก่สับและขาเห็ด เสิร์ฟพร้อมครีมฟักทองบัตเตอร์นัต และบราวน์ซอสสูตรพิเศษของร้าน อร่อยกลมกล่อมลงตัว ปิดท้ายด้วย Chocolate Royaltine ของหวานที่ใช้ทั้งดาร์คและมิลค์ช็อกโกแลตมาทำให้มีเนื้อสัมผัส 4 แบบ เป็นเมนูที่ช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ห้ามพลาด

ชาวบางนาที่กำลังมองหาร้านนั่งกินดื่มแบบเทสดี ขอให้จดลิสต์ A Whale Restaurant ไว้เลย ร้านอาหารที่เลือกแต่วัตถุดิบคุณภาพดีทั้งจากแหล่งโลคอล และต่างประเทศมาครีเอตเป็นเมนูสุดพิเศษสไตล์ยูโรเปียนผสมผสานนอร์ดิก โดยเน้นชูรสธรรมชาติของวัตถุดิบผ่านเทคนิคการปรุงและถนอมอาหารอย่างสร้างสรรค์ ด้วยฝีมือของเชฟ Nikolaj Lenz เชฟชาวเดนมาร์กและเชฟ Mel Rujimora ที่ต่างก็คร่ำหวอดในวงการอาหารมานานกว่า 10 ปี ทางร้านมาในคอนเซ็ปต์ Affordable luxury เน้นเรื่องบรรยากาศสบายๆ ที่ยังคงเข้าถึงง่ายเป็นกันเอง แบ่งเป็นโซนรับประทานอาหารที่ตกแต่งแบบเรียบง่ายโปร่งโล่งไม่อึดอัด ประดับด้วยแสงไฟสีส้มชวนอบอุ่น และโซนบาร์ที่อยู่ติดกับครัวเปิด ให้ได้เอนจอยกับเครื่องดื่มพร้อมวิวการรังสรรค์อาหารของเหล่าเชฟและผู้ช่วยแบบเพลินๆ เริ่มด้วย House Baked Breads ขนมปังสูตรโคเปนฮาเกนอบมาในแม่พิมพ์ไม้จนขึ้นฟูเนื้อเหนียวนุ่ม เสิร์ฟพร้อมโอลีฟออย น้ำส้มสายชูหมักกระเทียมดำและเนย ต่อที่ Chiang Mai Tomato Salad สลัดมะเขือเทศไร้เปลือกฉ่ำมาด้วยน้ำสลัดที่ทำจากน้ำมันมะกอกและน้ำมะเขือเทศหมัก กินพร้อมเพสโตสูตรพิเศษและชีสนมควาย ด้านบนเป็นชิปแผ่นยักษ์กรุบกรอบจากข้าวโอ๊ตและพาร์เมซานชีล กินแล้วสดชื่นมาก จานต่อมาเป็น Beef Tatar ทางร้านเลือกใช้เนื้อโลคอลมาคลุกเคล้ามากับซอสเอ็กซ์โอและมายองเนส ท้อปด้วยไข่แดงออร์แกนิก เสิร์ฟพร้อมขนมปังโทสต์เข้ากันสุดๆ และจานเด็ดยกให้ Dry Aged Duck Breast อกเป็ดจากฟาร์มไทยท้องถิ่นที่ผ่านการดรายเอจ 5-7 วันก่อนจะนำไปกริลล์ให้หนังกรอบและมีสีสวยประมาณมีเดียมแรร์ เสิรฟ์คู่ซอสมัลเบอร์รี และผักดอง ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง MAG-NUM Icecream ด้านในเป็นไอศกรีมวานิลลาเคลือบด้วยช็อกโกแลตเข้มข้นและถั่วกรุบกรอบ อิ่มครบจบทั้งคาวหวานเลย

สายบรันช์ห้ามพลาดร้านโฮมเมดบรันช์ยุโรปที่ผสมกลิ่นอายแบบเอเชีย-ญี่ปุ่น คัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ นำเสนอแบบ All Day Brunch ในย่านทองหล่อ ให้อิ่มอร่อยได้ตลอดวัน ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบและการปรุงรสอย่างตั้งใจ เพื่อให้ทุกคนได้เริ่มต้นวันกับมื้ออาหารที่ดี ตัวร้านโดดเด่นด้วยการออกแบบห้องแบบกระจกใส ช่วยสร้างบรรยากาศให้โปร่งโล่งสบาย ภายในร้านให้กลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น ผสานกับความเรียบและอบอุ่นเช่นเดียวกับคอนเซ็ปต์ร้าน NICO NICO หรือ にこにこ ที่แปลว่า “รอยยิ้ม” เพราะเชื่อว่าการที่เราได้กินของอร่อย  เป็นการสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับทุกคนได้ เกิดเป็นสโลแกน Meals That Make You Smile :) มื้อสายแบบนี้บรรยากาศกำลังดีเริ่มด้วย NICO NICO Breakfast มื้อเช้าที่เสิร์ฟมาครบ 5 หมู่ ที่ทางร้านเสิร์ฟCurry Scrambled Eggs ไข่คนผสมกับผงกะหรี่ พร้อมกับเบคอนตุ๋นเคลือบซอสชาชูจนเนื้อฉ่ำวาว กินคู่กับเห็ดผัดสาเก และขนมปังซิกเนเจอร์ (Yudane Toast) เนื้อสัมผัสนุ่มและหนึบ ตักกิยคู่กับไข่คนเข้ากันอย่างลงตัว Salmon Ochazuke เมนูยอดนิยมของคนญี่ปุ่น เป็นข้าวญี่ปุ่นปรุงรสด้วยซีอิ๊วและปลาโอป่น กินกับแซลมอนย่างและผัก Mizuna เสิร์ฟมาพร้อมกับซุปชาข้าวคั่วผสมซุปปลาแห้งญี่ปุ่น ที่ทางร้านเลือกใช้ข้าวเหนียวไทยมาคั่วและต้มเป็นชาสูตรพิเศษของทางร้าน มื้อสาย Scallop & Daikon Miso Salad สลัดผักสดเสิร์ฟกับเนื้อหอยเชลล์ย่างเกรดซาซิมิที่ย่างจนสุกกำลังดี เนื้อนุ่มหนึบรสหวาน วางสลับชั้นมากับ Daikon หรือหัวไชเท้าต้มซีอิ๊วย่างเนื้อชุ่มฉ่ำ สุกกำลังดี ราดด้วยน้ำสลัดงาขาวมิโซะรสครีมมี่ เพิ่มความกรุบกรอบด้วยเมล็ดฟักทอง หรือใครที่อยากได้มื้อสายแบบเบาๆ แต่ต้องการเพิ่มความแซ่บต้องลอง Spicy Tuna ขนมปังซิกเนเจอร์ของทางร้าน นำไปอบให้กรอบนอกนุ่มใน ท็อปด้วยสลัดทูน่าหั่นเต๋าคลุกกับสไปซี่มาโย หอมซอสพริกศรีราชา โคชูจังและพริกป่นญี่ปุ่น กินอิ่มแล้วช่วยให้มีรอยยิ้มตลอดวัน

นอกจากกาแฟตุรกีที่ต้มผ่านทรายร้อนอันเลื่องชื่อแล้ว ที่ Shaloba Eatery ยังเปิดประตูบ้านต้อนรับนักกิน พร้อมเสิร์ฟมื้อสายด้วยเมนูออสเตรเลียนบรันช์หลากเมนู และยังมีมื้อค่ำสุดพรีเมียมกับวัตถุดิบชั้นดีไว้ซัพพอร์ตทุกคนให้มาคลายความเหนื่อยล้าหลังเลิกงานกันได้อีกด้วย บรรยากาศทั้งภายนอกและภายในนั้นโอบล้อมไปด้วยความร่มเย็นของต้นไม้น้อยใหญ่ เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปก็ดูปลอดโปร่งด้วยกระจกบานใหญ่ที่ให้แสงจากธรรมชาติ มีความไพรเวตจากการจัดระเบียบโต๊ะ ช่วยให้เราเพลิดเพลินกับรสชาติอาหารและเสียงดนตรีได้เป็นอย่างดี บรรยากาศภายในร้านก็หอมอบอวลไปด้วยกลิ่นที่สรรสร้างจาก Karmakamet แบรนด์เครื่องหอมและสินค้าไลฟ์สไตล์ที่สามารถเดินเข้าไปเลือกชอปกันได้หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ หากมาที่ Shaloba แล้วไม่สั่ง Sand Coffee ก็คงมาไม่ถึง แนะนำ Dark Caramel Iced White กาแฟคั่วเข้ม มีกลิ่นหอมๆ เข้ากันได้ดีกับนม หากใครไม่ใช่คอกาแฟก็สามารถสั่งเป็น Sunstone ชาไทยที่ใส่บัตเตอร์สกอตช์ไซรัปเพิ่มความหอมหวาน ข้างบนมีข้าวแต๋นกรอบๆ ให้เคี้ยวเพลิน ใครมาช่วงกลางวันก็คลายหิวกันด้วยเมนูใหม่อย่างบรันช์ ไฮไลต์คือ Brunch Board ที่สามารถเลือกอาหารเองได้ตั้งแต่ 4-5 เมนู เราเลือกเป็น Brioche ที่ร้านอบเอง มีความนุ่มและฉ่ำเนย กินกับ Scrambled Egg เพิ่มรสเผ็ดเล็กน้อยด้วยซอสศรีราชามาโย Chopped Salad with Buttermilk Chicken and Mushroom Cream และ Brie Cheese Truffle Honey เพิ่มรสเปรี้ยวจากสตรอว์เบอร์รี กินสลับกับทุกองค์ประกอบอร่อยลงตัวสุดๆ ต่อด้วย Steak n’ Egg มันฝรั่งทอดผัดกับเบคอนท็อปด้วยสเต๊กส่วนสตริปลอยน์ และไข่ดาว เคียงด้วยแยมมะเขือเทศช่วยเพิ่มรสชาติให้จานนี้ได้เป็นอย่างดี Grilled Beef Burger ขนมปังเนื้อนุ่มที่ร้านอบเอง ด้านในเป็นเนื้อวากิวบดราดด้วยชีสเยิ้มๆ และซอสสุดเข้มข้น ข้างๆ เป็นมันฝรั่งทอดกรอบและแตงกวาดอง เบรกด้วยเครื่องดื่มสุดสดชื่นอย่าง Hello Yellow (Cold Pressed juice) น้ำสกัดเย็นโคเพลส ประกอบด้วยสับปะรด แอปเปิล ส้ม และมะนาว สำหรับเมนูโคเพลสลูกค้าสามารถมิกซ์ผลไม้ที่ชอบเองก็ได้ เผื่อใครบางคนอยากกินสลัดก็อย่าพลาด Smoked Salmon & Smashed Avocado ซาวร์โดท็อปด้วยครีมชีส อะโวคาโด แซลมอน ไข่ปลาแซลมอน และสลัด หรืออยากจะกินให้อิ่มนานขึ้นแนะนำ Tuscan Shrimp Pasta เฟตตูชินีเส้นสดที่ร้านทำเองคลุกเคล้ากับซอสรสนุ่มนวลที่ผสมผักโขม มีกุ้งตัวโตให้เคี้ยวเพลิน ถัดมาคือ Pan Roasted Salmon แซลมอนชิ้นใหญ่ย่างจนหนังกรอบ ข้างล่างเป็นข้าวผัดกิมจิใส่เบคอนและบล็อกโคลีย่าง ส่วนมื้อเย็นจะเป็นเมนูเวสเทิร์นที่เน้นเสิร์ฟเป็นอาหารทานเล่นแต่ก็กินแบบมื้อหนักได้ แนะนำให้สั่งเมนูกริลด์ต่างๆ ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ห้ามพลาด ยิ่งจับคู่กับม็อกเทล ค็อกเทล และไวน์หลากชนิดก็อร่อยไม่เบา เรียกน้ำย่อยกันด้วย Grilled Peach and Parmaham Salad สลัดผักสดที่โดดเด่นด้วยผักร็อกเก็ตให้รสขมเล็กน้อย ตัดรสด้วยพาร์มาแฮม มอซซาเรลลาชีส และพีชย่าง อร่อยสดชื่นมาก ตามด้วย Chicken Liver Pate ตับไก่บดเสิร์ฟคู่ขนมปังซาวร์โด เพิ่มรสชาติด้วยแยมมะเขือเทศให้รสหวาน และตัดเลี่ยนด้วยแตงกวาดอง Frito Misto เป็นอาหารทะเลทอดกรอบกินกับซอสพริกมาโยให้รสเผ็ดเล็กน้อย แต่แนะนำให้บีบเลมอนเพื่อเพิ่มความสดชื่น ยิ่งจิบ Bear Fruits ม็อกเทลสุดสดชื่น หอมกลิ่นชาเล็กน้อยก็ช่วยเปิดต่อมรับรสรอจานหลักได้เป็นอย่างดี มาถึงจานหลักอย่าง Grilled Hanger Steak เนื้อส่วนท้องติดกับตับให้รสเข้มข้นมีความนุ่มผนวกกับรสชาติของซอสไวน์แดง มีพริกดองย่างให้กินแกล้ม จะสั่งเครื่องดื่มมาจิบคู่กันไปก็ฟินไม่น้อย ปิดท้ายด้วย Green Peace แก้วม็อกเทลสุดสดชื่น หอมกลิ่นชา ดื่มแล้วรู้สึกเอลท์ตี้ มีความนุ่มนวลจากโฟมไข่ขาว ช่วยทำให้มื้อนี้อร่อยขึ้นเป็นกอง

ร้านอาหารหน้าใหม่ที่เสิร์ฟทั้งเมนูบรันช์และดินเนอร์ ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นละมุนละไมสไตล์กลาสเฮ้าส์ โดยเป็นร้านของ ‘เชฟเบลล์ท’ Top Chef Thailand ที่จับมือมากับ ‘เชฟบูม’ The Next Iron Chef ร่วมกันครีเอตเมนูคอมฟอร์ตฟู้ด ซึ่งใช้เทคนิคการปรุงอย่างประณีต ควบคู่มากับความคิดสร้างสรรค์ ทำให้แต่ละจานรสชาติออกมามีมิติ กินง่าย แถมไม่เลี่ยน เมื่อนำไปจับคู่กับเครื่องดื่มแล้วยิ่งสมบูรณ์แบบ แนะนำ Gambas กุ้งผัดน้ำมันมะกอกสเปน ที่เสริมความจัดจ้านด้วยเฮิร์บไทยอย่าง พริกแห้ง กระเทียมตามด้วยกลิ่นหอมๆ ของใบโหระพา กินพร้อมขนมปังซิกเนเจอร์เนื้อนุ่มฟู ได้ทั้งความเผ็ด มัน นัวในคำเดียว Chicken Liver Toast  ขนมปังสูตรพิเศษออนท็อปด้วยมูสตับไก่บดเนื้อบางเบา เข้ากับรสเปรี้ยวอมหวานของบัลซามิกได้อย่างลงตัว และ Pasta with Bisque Sauce พาสต้าเส้นสดคลุกเคล้ามากับซอสครีมมันกุ้งรสชาติเข้มข้นจากน้ำสต๊อกที่หอมเตะจมูก ตัดรสด้วยความเผ็ดเบาๆ ของน้ำมันพริก เป็นจานที่กินเพลินไม่ผิดหวัง จานเด่นต้อง Porkchop and Cream Mushroom พอร์กช็อปที่ผ่านการย่างด้วยเตาถ่าน หอมกลิ่นสโมคเสิร์ฟมากับซอสเห็ดเกรวี่และซอสเอโอรี รสเข้มข้นลงตัว จับคู่กับเครื่องดื่มอย่าง Chocolate Milkshake เนื้อเนียนรสละมุนด้านบนโรยครัมเบิ้ลพอให้เคี้ยวกรุบๆ สดชื่นมาก

นัมเบอร์วันยกให้ 1’s Kitchen Journey เพราะติดลิตส์ Must Eat เมืองเชียงใหม่ทุกแพลตฟอร์ม ร้านสุดคูลที่ดูภายนอกเหมือนตึกสร้างไม่เสร็จ ซึ่งความครีเอทนี้เกิดจากความตั้งใจของเชฟหนึ่งและแฟนหนุ่มสถาปนิกที่อยากเนรมิตพื้นที่ให้เป็นทั้งที่พัก สตูดิโอทำอาหาร และเปิดให้นักชิมได้มาสัมผัสประสบการณ์แห่งรสชาติ ในบรรยากาศที่ดึงธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งอย่างลงตัว อาหารทุกจานผ่านกระบวนความคิดและพิถีพิถันในการปรุงโดยเชฟหนึ่งและเหล่าลูกศิษย์ของเธอ ที่เน้นทำเองทุกขั้นตอนจนออกมาเป็นจานเด็ดที่โดดเด่นและชวนลิ้มลอง จานแรก Ravioli ราวีโอลี่โฮมเมดสอดไส้กุ้งและเนื้อปู ไฮไลท์คือซอสต้มยำกุ้งเข้มข้นที่ช่วยชูรสให้จานนี้พิเศษมากขึ้น หากอยากเพิ่มความจี๊ดก็มีเลมอนฝานบางมาให้เพิ่มรส ต่อด้วย Rosemary Chicken and Fettuccine เชฟหนึ่งนำไก่ไปซูวี พอได้ที่แล้วนำมาตุ๋นต่อในซอสสูตรลับทำจากน้ำผึ้ง ผงกระเทียม และโรสแมรรี่ ช่วยเพิ่มระดับความนุ่มฉ่ำ เข้าเนื้อเข้าหนัง ละเลียดแล้วได้กลิ่นหอมเบาๆ ของโรสแมรี่ กินกับเฟตตูชินีผัดซอสเพสโต   Gnocchi ย็อกกี้หนึ่งในพาสต้าหากินได้ยาก เชฟทำจากมันฝรั่งแล้วนำไปผัดกับเครื่องปรุง เสริมรสชาติด้วยซอสครีม กินกับสโมกเบคอนและหน่อไม้ฝรั่ง สำหรับของหวานที่สวยหวานไม่แพ้ของคาว Vanilla Mousse มูสวนิลาสอดไส้มะม่วงเจลลี่ รสเปรี้ยวๆ หวานๆ และ Mint Mousse สีเขียวได้จากนมอินฟิวส์กับใบมิ้นท์สด ส่วนไส้เชฟทำออกมา 2 รสชาติ ได้แก่ นามะชาเขียว กับนามะช็อคโกแลต ส่วนใครจะได้ไส้อะไรต้องลุ้นกันหน่อยแล้ว ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่ม Berry Smootie กับ ชาผลไม้รวม ทุกแก้วใช้ผลไม้สด ไม่เติมน้ำตาล ตกแต่งด้วยดอกไม้กินได้ที่ปลูกในบริเวณร้าน ยืนหนึ่งของแท้ ต้องเชฟหนึ่งนี่ล่ะ!

ร้าน All Day Dining ยอดฮิตแห่งย่านสาทรอย่าง Copine (โคปีน) หากมาเยือนในยามเช้าจะได้มู้ดแอนด์โทนที่ต่างจากยามค่ำคืนโดยสิ้นเชิง และเราอยากให้ใครที่ยังไม่เคยมาในช่วงเช้าๆ ที่เงียบสงบ ได้ลองมาสัมผัสบรรยากาศละมุนๆ ไปกับแสงอุ่นๆ ที่ส่องลอดม่านบางเบา พร้อมด้วยเมนูอาหารเช้าและเมนูบรันช์สไตล์ตะวันตกที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อยแบบจานโต มอบเอเนอร์จีดีๆ ให้คงอยู่ไปอีกตลอดวัน ทางร้านเปิดให้บริการตั้งแต่ 8 โมง นอกจากเมนูเบเกอรีอบสดใหม่อย่างครัวซองต์และมัฟฟินแล้ว ยังมีเมนูอาหารเช้าเต็มรูปแบบให้แวะเวียนมาฝากท้องได้แต่เช้า จานที่แนะนำเริ่มด้วย Full English Breakfast จัดเต็มด้วยไข่ดาว 2 ฟอง ถั่วขาวในน้ำซอส ไส้กรอกคัมเบอร์แลนด์ ไส้กรอกเลือด เบคอนกรอบ แฮชบราวน์ โทสต์ เห็ดพอร์โทเบลโลและมะเขือเทศย่างฉ่ำๆ จานนี้แชร์กันได้สบายเลย หรือจานเบาๆ สำหรับสายเฮลท์ตี้อย่าง Overnight Oats ข้าวโอ๊ตและธัชพืชในนมโอ๊ตรสกลมกล่อมละมุน ทอปด้วยกราโนลาโฮมเมดกรุบกรอบ ใส่เนยถั่วโฮมเมดลงไปด้วยเพื่อมความเค็มๆ มันๆ และผลไม้สดทั้งบลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี และกล้วย จับคู่กับ Copine Milk นมสดสูตรพิเศษของโคปีน นมหอมมันได้รสหวานนัวด้วยไซรัปข้าวโพดและน้ำมันทรัฟเฟิลชวนฟิน สำหรับมื้อสายที่อยากให้หนักท้องขึ้นมาหน่อย เราแนะนำ Gambas Garlic served with Riso Bisque กุ้งตัวอวบสดใหม่เนื้อเด้งผัดในน้ำมันกระเทียมและไส้กรอกโชริโซรสจัดจ้าน เสิร์ฟกับพาสตาเมล็ดข้าวในซอสบิสก์ชุ่มฉ่ำเคลือบพาสตาให้มีรสอร่อยอูมามิในทุกคำ ปิดท้ายด้วยสลัดสักจานเพื่อสุขภาพอย่าง Burrata Salad สลัดฟรีเซ่และมะเขือเทศหลากสีใส่ชีสบูร์ราตาลูกโตสดใหม่ ราดน้ำสลัดเพสโตรสเข้มข้น ตามด้วยบัลซามิกชวนสดชื่น ปิดท้ายด้วยกาแฟร้อนๆ สักแก้ว เท่านี้ก็เติมพลังงานและความสุขให้พร้อมทั้งกายและใจแล้วล่ะ นึกถึงอาหารเช้าเมื่อไหร่ นึกถึง Copine ได้นะ

La Braci ร้านอาหารแห่งใหม่ในตึก One City Centre ใจกลางย่านเพลินจิต ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์แคชชวลไฟน์ไดนิ่ง นำเสนอความอร่อยของอาหารตะวันตกไฟน์ไดนิ่งในบรรยากาศสบายๆ แต่ทันสมัย ด้วยการตกแต่งร้านที่ผสมผสานความโมเดิร์นและธรรมชาติเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนในคอนเซ็ปต์ถ้ำหินและเฟอร์นิเจอร์โทนสีไม้ ให้ความหรูหราและรู้สึกผ่อนคลายไปพร้อมกัน La Braci ให้ความสำคัญกับบรรยากาศในการรับประทานอาหารที่เป็นกันเองด้วยครัวเปิดซึ่งแขกสามารถเชื่อมโยงกับเชฟขณะปรุงอาหาร มองเห็นกระบวนการสรรค์สร้างอาหารแต่ละจานอย่างใกล้ชิด พร้อมสัมผัสกลิ่นหอมยั่วใจจากเตารมควันที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ รวมถึงเทคนิกการปรุงอาหารด้วยไฟจากฟืนของไม้สนทะเลอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ La Braci ด้วย เชฟ Sean Lai เชฟผู้เป็นเจ้าของร้าน La Braci เล่าถึงปรัชญาในการทำอาหารว่าเกิดจากความเคารพอย่างลึกซึ้งต่อทั้งประเพณีและนวัตกรรม การนำเอาเสน่ห์ดั้งเดิมของการปรุงอาหารด้วยไฟจากไม้ฟืนมาผสานกับเทคนิคสมัยใหม่ จะช่วยดึงรสชาติตามธรรมชาติของวัตถุดิบที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันให้เปล่งประกายซึ่งเป็นความซับซ้อนและละเอียดอ่อนที่ได้จากไฟและควัน อาหารแต่ละจานจะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อรังสรรค์ประสบการณ์ที่น่าจดจำนี้ อีกทั้งเชฟ Sean ยังออกแบบให้ La Barci มีอาหารจานแชร์เพื่อให้ลูกค้าลิ้มลองความหลากหลายด้วยกัน เป็นการสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง สะท้อนถึงวัฒนธรรมไทยที่มักกินข้าวด้วยกัน   เมนูซิกเนเจอร์อันโดดเด่นของร้านต้องยกให้ Oyster Flambee ( 350 บาท++ต่อชิ้น) ที่ใช้เทคนิกการปรุงอาหารแบบดั้งเดิมของยุโรป โดยเชฟจะเผา Flambadou หรือโลหะทรงกรวยจนร้อนจัดและเติมไขมันลงไป เปลวไฟจะลุกโชนขณะที่น้ำมันหลอมละลายหยดลงบนหอยนางรมสด ความร้อนจะช่วยให้หอยนางรมสุกกำลังดีและมีกลิ่นหอมชวนกิน ก่อนเสิร์ฟราดซอสครีมเบอร์บล็อง หยดน้ำมันต้นหอม และมะนาวคาเวียร์รสเปรี้ยวสดชื่น เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยที่สร้างประสบการณ์สนุกและอร่อย น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย   หรือจะเป็น Wood Fired King Oyster Mushroom เห็ดนางรมหลวงเนื้อนุ่มย่างไฟจนหอมหั่นกินกับซาวร์ครีมทรัฟเฟิลและข้าวพองกรุบกรอบ จานพาสต้าแนะนำ Wild Boar Ragu Cappelletti (450 บาท++) คาเปลเล็ตติ พาสต้าสอดไส้รูปทรงคล้ายหมวกเสิร์ฟกับซอสรากูหมูป่าที่เคี่ยวจนนุ่มเข้าเนื้อ แค่แตะด้วยซ้อมเนื้อหมูก็ร่อนเป็นเส้น รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม อร่อยติดใจ ยังมี Charred Baby Squid Potato Dumpling (450 บาท++) หมึกกระดองย่างไฟเนื้อหวานเสิร์ฟกับดัมพลิงส์ที่ทำจากมันฝรั่งเนื้อนุ่มเนียน ราดซอสเลมอนแซฟฟรอนและน้ำมันดิลล์หอมละมุน ได้รสเปรี้ยวนิดๆ ของเลมอนครีมซอสเพิ่มความสดชื่นในทุกคำ อาหารจานหลักเอาใจสายเนื้อด้วย Wood-Fired Australian Wagyu Angus Beef Flank (750 บาท++) เนื้อวากิวขนาดชิ้นพอดี ย่างด้วยถ่านไม้ที่สร้างกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ เสิร์ฟคู่หอมผัดคาราเมลที่ใช้ขั้นตอนการทำอย่างพิถีพิถันและบร็อกโคลินีย่าง พร้อมซอส Rof Emulsion สูตรของทางร้านที่มีแรงบันดาลใจจากซอส Chimichurri ของแอฟริกาตะวันตก เพิ่มเติมกลิ่นหอมของสมุนไพรช่วยปรับสมดุลให้วากิวจานนี้ครบรสยิ่งขึ้น สายซีฟู้ดต้องไม่พลาด Wood Fire Giant River Prawn (800 บาท++) กุ้งแม่น้ำเนื้อแน่นเด้งพร้อมมันกุ้งเยิ้ม เสิร์ฟเคียงกับซัลซ่ามะเขือเทศรสเปรี้ยวสดชื่นโรยหน้าด้วยผักผำ (Wolffia) ซูเปอร์ฟู้ดยอดนิยมเพิ่มเท็กเจอร์ขณะรับประทาน   จบมื้ออย่างงดงามด้วย Tiramisu (350 บาท++) ทีรามิสุสุดอร่อย บิสกิตเนื้อสปองซ์นุ่มชุ่มหอมกาแฟ ตัดรสขมด้วยเนื้อมูสมาสคาโปนรสละมุนและผงช็อกโกแลต หอมอร่อยจนไม่อยากวางช้อน หรือจะสั่ง Pavlova (350 บาท++) พัฟโลวาสุดคลาสสิก เมอแรงค์หวานกรอบราดซอสคัสตาร์ดเสาวรสเปรี้ยวสดชื่น เพิ่มมิติด้วยเนื้อเสาวรสสดอร่อยทุกสัมผัส เชฟ Sean Lai เชฟเจ้าของร้าน และเชฟแบงค์-วชิรวิทย์ ธนันต์รัตน์ กรรมการบริษัทและผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ร่วมกับทีมเชฟชาวไทยมากฝีมือ พร้อมแล้วที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ให้แขกทุกคนได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวการสร้างสรรค์อาหารที่ไม่หยุดนิ่งของ La Braci ในบรรยากาศที่เป็นกันเอง สัมผัสเปลวไฟอันอบอุ่น และรับประทานอาหารด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน

พื้นที่แฮงก์เอาต์แห่งใหม่ริมน้ำย่านปากเกร็ด ที่จะมาเติมโมเมนต์ดีๆ ส่งท้ายปี 2024 ด้วยความอร่อยของเมนูชาบูปลา ที่เรียกว่า ‘ปลาจุ่ม’ ซึ่งหยิบเอาปลาไทยพันธุ์หายากและบางสายพันธุ์ที่เราคุ้นเคยมาจุ่มกินกับน้ำซุปรสกลมกล่อม ให้อุ่นท้องพร้อมอิ่มใจไปกับบรรยากาศสุดชิลริมน้ำเจ้าพระยา ตัวร้านโดดเด่นด้วยอาคารบ้านไม้เรือนไทยที่ล้อมรอบมาด้วยกระจกใส สามารถเสพย์วิวริมน้ำยามพระอาทิตย์ตกดินได้แบบเต็มตา โดยหากใครชอบบรรยากาศกลางแจ้งที่นี่ยังมีมุมบาร์บีคิวในสวนจาก Sloane’s แบรนด์ผู้ผลิตเนื้อ ไส้กรอก อันโด่งดัง ที่เหมาะกับการสั่งมานั่งกินชิลเอ้าต์ได้เพลินๆ สำหรับเมนูปลาจุ่มของร้าน ปลาทุกตัวจะผ่านกรรมวิธีหยุดการย่อยสลายของเนื้อปลาและจัดเก็บขึ้นอย่างพิถีพิถันก่อนเสิร์ฟให้ได้ชิม ทำให้เนื้อปลาที่ได้มีความสด ไร้กลิ่นคาว โดยชนิดของปลาจะถูกสลับเวียนกันไปตามฤดูกาล ซึ่งก่อนเริ่มมื้ออาหารทางร้านจะมีน้ำซุปให้เลือกถึง 4 แบบทั้ง ซุปกระดูกปลา ซุปต้มยำ ซุปผักกาดกองและซุปเต้าเจี้ยว เราได้ลองเป็น ปลากดคัง และ ปลาอังเกย เนื้อนุ่มฟูและมีกลิ่นหอมโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ จุ่มลงในน้ำซุปกระดูกปลารสกลมกล่อม ยิ่งได้ความหวานฉ่ำของเนื้อปลาแบบเต็มๆ อีกตัวคือ ปลาหัวเสี้ยม ปลาเนื้อขาวสัมผัสแน่น กินกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวสูตรเด็ดของร้านเข้ากันได้ดี หรือจะเลือกเป็น ปลาเก๋า เนื้อเด้งก็อร่อยน่าประทับใจเช่นกัน ใครกลัวไม่อิ่มท้องทางร้านยังมีเมนูอาหารไทย ขนมหวาน ซีฟู้ดย่าง อาทิ กุ้งเผามันเยิ้มๆ ปลาหมึกตัวโต และหอยแครงหวานสด ไปจนถึงเครื่องดื่มคราฟต์จากร้านดังย่านปากเกร็ดให้เลือกอีกด้วย ร้านเดียวครบจบมาฉลองก็ดี มาปาร์ตี้ก็ทำได้