ถนนทรงวาด กลายเป็นเส้นคึกคักแห่งปี ด้วยความที่มีสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ ให้กลิ่นอายของย่านการค้าจีน มีร้านค้าและร้านอาหารทยอยเปิดใหม่กันอยู่เรื่อยตามตรอกซอกซอยต่างๆ ซึ่งในปีนี้ตรอกที่ได้รับความนิยมตั้งแต่เปิดตัวจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก ตรอกโรงไม้ ทรงวาด   ตลอดข้างทางเต็มไปด้วยร้านมากมาย แต่เราเดินตรงดิ่งเพื่อไปหา Koh Crêperie ร้านลับที่เน้นเสิร์ฟเครปโฮมเมดทั้งหน้าคาวและหวาน เป็นเครปสไตล์ฝรั่งเศส ทำสดจานต่อจาน ทางร้านใช้แป้ง Teff นำเข้าจากเอธิโอเปีย เป็นแป้งจากธัญพืช ปลอดกลูเตน ตัวแป้งมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์นำมาทำเมนูอะไรก็อร่อย อย่าพลาด Charlie Koh เมนูใหม่ล่าสุดเป็นเครปชิ้นใหญ่ท็อปด้วยไข่ดาวและเยอรมันเบคอนโรล กินกับมะเขือเทศตากแห้งและสลัดเคียง เข้ากันได้ดีทีเดียว และ Koh’s Waffle คลาสสิกวาฟเฟิล เมนูของหวานจากแป้งเครปอบกรอบไส้คาราเมล ด้านนอกเคลือบด้วยช็อกโกแลตรสเข้มข้นโรยด้วยพิสตาชิโอ สำหรับเครื่องดื่มก็มีให้เลือกทั้ง Americano, Vanilla Latte และ Iced Chocolate เสิร์ฟในกระป๋องรีไซเคิล จะสั่งกินที่ร้านหรือซื้อกลับบ้านก็ได้เช่นกัน ก่อนกลับอย่าลืมเก็บภาพร้านสวยๆ ไปอวดลงโซเชียลเพราะทั้งภายนอกและภายในออกแบบตกแต่งสไตล์ฝรั่งเศสติดวินเทจนิดๆ ใช้โทนสีฟ้าอ่อนตัดสลับสีของปูนเปลือยจากโครงสร้างดั้งเดิมของอาคาร มาพร้อมชุดโต๊ะเก้าอี้เหล็กวินเทจ ช่วยเพิ่มความสวยหรู

คาเฟ่ บ่วนจอร์โน่ (Café Buongiorno) คาเฟ่อิตาเลียนที่เป็นมากกว่าร้านกาแฟรสละมุนและยังเปี่ยมด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรมและวิถีชีวิตสไลต์อิตาเลียนแท้ คาเฟ่เล็กๆ แห่งนี้ซ่อนตัวอยู่บนชั้น 2 ของอาคารเอ็ม เอส สยาม ทาวเวอร์ ถนนพระรามที่ 3 อันพลุกพล่าน แต่พื้นที่นี้กลับเป็นมุมสงบให้แวะเวียนมาชาร์ตพลังความอร่อย ชื่อร้าน “Buongiorno” ที่แปลว่า “สวัสดีตอนเช้า” ในภาษาอิตาเลียนนั้น ไม่ได้สื่อเพียงแค่การทักทาย แต่สะท้อนถึงช่วงเวลาอันอบอุ่น เรียบง่าย และเปี่ยมด้วยมิตรภาพ โดยเบื้องหลังชื่อ “Buongiorno” นั้นมาจากเหตุการณ์สำคัญในปี 1899 ณ Peroni Estate เมื่อมิสเตอร์อันโตนิโอ เปอโรนี ทักทายเหล่าคนงานของเขาด้วยคำว่า “Buongiorno” และให้คำปรึกษาที่เปี่ยมด้วยความหมาย จนกลายเป็นที่มาของชื่อผืนแผ่นดินที่ประเทศอิตาลีและร้านอาหารในเวลาต่อมา Café Buongono มีแรงบันดาลใจหลักมาจากประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาหลายศตวรรษ และเป็นความภูมิใจของตระกูล Celleno, Peroni, Scarino, Mattei และ Panetta ที่ยึดมั่นในคุณภาพของอาหารต้นตำรับและผลผลิตจากผืนแผ่นดินของบรรพบุรุษ ความมุ่งมั่นในการผลิตไวน์ นม น้ำมันมะกอก และธัญพืชคุณภาพเยี่ยม ปัจจุบันแบรนด์ Café Buongiorno โดยมิสเตอร์เอนโซ่ เปอโรนี เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ทั้งยังได้รับแต่งตั้งเป็นอัศวิน Cavaliere Enzo Peroni และได้รับเครื่องราช Order of the Star of Italian Solidarity จากประธานาธิบดีของประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จในการเผยแพร่วัฒนธรรมอิตาลีให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก บรรยากาศภายในร้านสะท้อนถึงแนวคิด “Buongiorno” ที่บ่งบอกถึงความรู้สึกและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศอิตาลี และสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ขณะเดียวกันก็อบอวลด้วยกลิ่นหอมของกาแฟ ขนม และอาหารอันหลากหลาย ชวนให้นึกถึงความอบอุ่นของครอบครัวและมิตรภาพของเพื่อนฝูง คาเฟ่ บ่วนจอร์โน่พร้อมเสิร์ฟเมนูอาหารอิตาเลียนคลาสสิกมากมาย อาทิ Minestrone Soup ซุปผักรวมรสเข้มข้นหวานอร่อย Mushroom Soup ซุปเห็ดหอมๆ ให้ความครีมมี่เบาๆ ที่คนรักเห็ดต้องหลงรัก และ Pumpkin Soup ซุปฟักทองสีเหลืองอร่ามได้ความหวานตามธรรมชาติของเนื้อฟักทองเนียนละมุน ทั้ง 3 ชนิดผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติล้วนๆ เสิร์ฟพร้อมขนมปังกรอบนอกนุ่มใน   หรือจะอร่อยเบาๆ กับแซนวิชหลากชนิด อาทิ Tuna Melt Panini ขนมปังปานินี่ชิ้นหนาประกบเนื้อทูน่าและชีสเยิ้มๆ Black Olive Focaccia Tomato Mozzarella Pesto ฟอคคาเซียมะกอกดำสอดไส้มะเขือเทศ ชีสมอซซาเรลล่า และซอสเพสโตหอมๆ ต่อด้วย Spicy Tuna Salad รสชาติกลมกล่อมมีความสไปซี่เล็กๆ เสิร์ฟพร้อมขนมปังอบ กรอบนอกนุ่มใน จานหลักมีให้เลือกสั่งทั้ง Penne Arrabbiata Sauce เส้นเพนเน่ในซอสอาร์ราเบียต้าเข้มข้นรสเผ็ดอ่อนๆ หอมกลิ่นกระเทียมและชีสพาร์มีซาน หรือจะลอง Spaghetti Aglio Olio เส้นสปาเก็ตตีผัดน้ำมันมะกอก กระเทียม พริกไทย และพริก จัดเต็มเครื่องเคราทั้งเบคอนและเห็ด หอมพาร์สลี่ย์และโหระพาอิตาเลียน ใครชอบคาร์โบนาราต้องสั่ง Rigatoni Carbonara with Zucchini เส้นริกาโตนี ผัดซอสคาร์โบนาราสไตล์ดั้งเดิม เสริมความอร่อยด้วยเบคอน ซุกกินี และชีสพาร์มีซาน หรือจะลอง Spaghetti Pork Bolognese ก็ได้ความฉ่ำของเนื้อหมูบดในซอสมะเขือเทศ ยังมี Pork Lasagna พาสต้าจานดั้งเดิมของอิตาลีที่แต่ละชั้นของพาสต้าจะแทรกด้วยหมูผัดซอสมะเขือเทศเนื้อฉ่ำและชีสพามีซาน หรือจะเลือกเป็น Truffle Mushroom Lasagna พาสต้าอิตาลีคลาสสิกที่เต็มไปด้วยรสชาติของทรัฟเฟิลหอมหวลชวนกิน ยังมี Pollo Con Funghi อกไก่หนังกรอบราดด้วยซอสครีมเห็ด กินเคียงกับ Bake Spinach ก็อร่อยไม่เบา อย่าลืมสั่งเมนูไฮไลต์อย่าง Affogato แสนอร่อยมาปิดมื้ออาหาร เป็นการผสมผสานที่ลงตัวมากๆ ระหว่างเจลาโต้รสวานิลลาหอมหวาน กาแฟเอสเพรสโซ่ช็อตเข้มข้น และบิสกอตติอิตาเลียนแท้ หรือจะเปลี่ยนจากช็อตกาแฟเป็นชาเขียวก็อร่อยไม่แพ้กัน ระหว่างวันจะแวะมาอิ่มอร่อยมื้อสายหรือยามบ่ายกับเมนูขนมอย่างมัฟฟินที่เลือกได้ทั้ง Banana Choc Chip Muffin, Chocolate Fudge Muffin และ Blueberry Crumble Muffin ขนมเค้ก อาทิ Green Tea Roll พร้อมชา กาแฟ และขนมขึ้นชื่อประจำร้านอย่าง Biscotti Homemade หลากรสชาติ อาทิ “Amos” Chocolate Orange & Almond Biscotti, “Camilla” Chocolate and Almond, “Flora” Lemon & Almond Biscotti, “Natalina” Black Raisin and Almond Biscotti และ “Enzo Peroni in Arrone” Malted Chocolate Biscotti   หรือเติมพลังด้วยเครื่องดื่มสกัดเย็นสุดสดชื่น อาทิ  Benessere ส่วนผสมที่ลงตัวของตะไคร้และสับปะรด Camapgna น้ำสกัดเย็นจากแครอต เซอเลอรี และส้ม Stile di Vita สีแดงสวยของบีตรูท แอปเปิ้ล แครอต และเลมอน ใครที่กำลังมองหาประสบการณ์ใหม่ในการดื่มด่ำอาหารอิตาเลียนแท้ พร้อมเรื่องเล่าที่มีชีวิต ไม่ควรพลาดแวะมาเยือน คาเฟ่ บ่วนจอร์โน่ (Café Buongiorno)

ถ้าพูดถึงคาเฟ่และแหล่งแฮงเอาต์ในย่านหลังสวนที่บรรยากาศเป็นกันเอง นั่งสบาย สามารถพาน้องหมาน้องแมวไปเดินเล่นได้ ชื่อของ CRAFT โรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok ต้องติดโผเป็นอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน ล่าสุด CRAFT เพิ่มความสนุกให้ทุกช่วงเวลาของวันด้วยเมนูใหม่หลากหลาย พร้อมเปิดตัวโปรเจกต์ “Breakfast Club” สำหรับคนตื่นเช้า และตื่นสาย หรือใครที่อยากจัดบรันช์สบาย ๆ ช่วงกลางวัน ตั้งแต่เวลา 7.00 - 11.00 น. CRAFT พร้อมเสิร์ฟเมนูอาหารเช้าให้เลือกครบทั้งคาวและหวาน ไม่ว่าจะเป็น เฟรนช์โทสต์เบคอน, เบอร์ริโต้รสจัดจ้าน, เครปราดครีมเฮเซลนัทและเบอร์รี, โจ๊กทะเลสไตล์ไทย ไปจนถึงอาหารเช้าสุดคลาสสิกแบบอังกฤษอย่าง English Fry-Up และ Huevos con Chorizo อาหารเช้าสไตล์เม็กซิกัน หรือจะเลือกทานเป็นเบเกิ้ลแซลมอนรมควัน จิบคู่กาแฟร้อน ๆ จาก Karo Coffee Roasters ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี หรือใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งในสวนสูดอากาศเช้า ๆ พร้อมจิบกาแฟ ก็ทำได้เต็มที่ เพราะที่นี่เขาเป็น Pet-Friendly Café ต้อนรับสัตว์เลี้ยงทุกไซส์ CRAFT ยังคงเสิร์ฟ All-Day Breakfast ให้เลือกตลอดวัน เพิ่มเติมด้วยเมนูใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น Breakfast Fatayer พายอาหรับแป้งบางไส้แน่น ข้าวหน้าไก่เกาหลี หรือเมนูเด็ดที่เชฟแนะนำอย่าง ซาวร์โดว์โทสต์ ใส่ชีสบูราต้าและอะโวคาโด สายรักสุขภาพต้องลอง Super Green Smoothie Bowl สมูทตี้โบวล์อัดแน่นด้วยเคล อะโวคาโด มะม่วง ผักโขม สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี และเวย์โปรตีน หรือจะเลือกเป็น Tropical Smoothie Bowl ใส่กรีกโยเกิร์ต คาเคานิบส์ มะม่วง มะพร้าว เสาวรส และแก้วมังกร ก็ได้ประโยชน์แถมดีต่อสุขภาพเช่นกัน ส่วนสายวีแกนที่นี่เขามี เต้าหู้และเทมเป้ทอด เสิร์ฟกับน้ำจิ้มพริกหวานใส่ถั่วลิสงกินเพลินได้แบบไม่ต้องรู้สึกผิด มื้อหนัก ๆ แบบเต็มท้องเขาก็มีให้ อย่าง เบอร์เกอร์ Double Smashed ที่มาพร้อมแพตตี้เนื้อ 2 ชิ้นหนา แซนด์วิช BLT ชวาร์มาไก่, แซนด์วิชหน้าเปิดสลัดวอลดอร์ฟกุ้งมังกร และเมนูอื่นๆ อีกมากมาย พิเศษ! สำหรับเมนูแซนด์วิชและแรปที่สามารถเลือกเปลี่ยนเป็นขนมปังหรือแป้งแบบ gluten-free ได้ตามใจชอบ เรียกได้ว่าตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไลต์การกินได้อย่างแท้จริง ส่วนใครกำลังมองหาร้านนั่งชิลสุดสัปดาห์ ทุกเย็นวันศุกร์ 19.00 - 22.00 น. และวันเสาร์ 17.00 - 21.00 น. พบกับดนตรีจากดีเจ ที่จะมาสร้างบรรยากาศสุดครึกครื้น เหมาะแก่การรวมแก๊งค์เพื่อนหรือแวะไปพักผ่อน หากกำลังมองหาคาเฟ่นั่งชิลย่านหลังสวน เก็บ CRAFT Kimpton Maa-Lai Bangkok ไว้ในลิสต์รับรองไม่ผิดหวัง

ย่านตลาดน้อยมีอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะกับร้าน Feng Huang Tea Bar คาเฟ่มัตฉะที่เสิร์ฟชาพรีเมียมในแก้วไวน์สุดหรู เพื่อให้ทุกคนได้กลิ่นและรสของชาแบบเน้นๆ ตัวร้านมี 2 ชั้น ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง เปิดประตูเข้าไปจะพบกับบาร์ไม้ขนาดพอเหมาะและมีโต๊ะเก้าอี้ไว้รองรับ ส่วนใครอยากนั่งนานขึ้นหน่อยก็สามารถขึ้นไปยังชั้น 2 มีหลากหลายมุมให้เลือกนั่งภายใต้บรรยากาศสไตล์จีนประยุกต์ มีของสะสมที่นำมาตกแต่งและจับวางไว้อย่างเหมาะเจาะ ทางร้านนำเสนอมัตฉะ 3 แบบให้เลือกคือ Uji มัตฉะหอมกลิ่นสาหร่าย มีความอูมามิ มอบความสดชื่น Yame มัตฉะกลิ่นอัลมอนด์คั่ว ให้รสมันนัว มีความครีมมี่ และ Signature Blend 01 เบลนด์ระหว่าง Uji กับ Yame ให้รสอูมามิมาพร้อมกลิ่นหอมโทนถั่ว ไม่ขมไม่ฝาด ดื่มง่าย นอกจากเบสที่ว่ามานี้ทางร้านยังมีเสิร์ฟ Seasonal Blend เพิ่มเติมอีกด้วย ต้องสั่ง! Yuzu Matcha ยูซุไซรัปพูเร่ท็อปด้วยมัตฉะสุดเข้มข้น ได้รสเปรี้ยวอมหวานเข้ากันได้ดีกับมัตฉะ มีกลิ่นของวานิลลาเล็กน้อย ดื่มเพลินๆ ต่อด้วย Houjicha ใบชาคั่วอ่อน ให้สัมผัสนุ่มนวล ลื่นคอ มีความหอมหวานอบอวลในปาก Clear Matcha ทางร้านใช้ Yame ให้กลิ่นหอม ไม่ขม มีรสมันๆ นัวๆ ถัดมาคือ Matcha Latte มัตฉะสีสวยท็อปบนนมสด มีความหอมนวลของนมเข้ากันได้ดีกับมัตฉะสุดเข้มข้น รสไม่หวาน ดื่มได้จนหมดแก้ว นอกจากมัตฉะแล้วที่ร้านยังมีชาใสสกัดเย็นให้ดื่มคลายกระหายอีกด้วย อย่าง ชาเขียวมะลิ ชาหอมหมื่นลี้ และ ชาอู่หลง เมนูชาจีนสกัดเย็นรสกลมกล่อม ไม่ขม ไม่ฝาด ทางร้านสกัดเอารสชาติและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแต่ละตัวออกมาได้อย่างชัดเจน ดื่มแล้วแยกออกได้เองเลยว่าแก้วไหนเป็นชาชนิดใด และที่สำคัญรสที่ได้ไม่มีน้ำเชื่อมผสม สามารถสั่งเป็นแก้วแยกหรือจะสั่งแบบเซ็ต 3 แก้ว ก็ได้เช่นกัน (ราคาเป็นมิตรมาก) ปิดท้ายที่ สังขยามัตฉะ/ชาไทย สังขยาเนื้อเนียนไม่ผสมแป้ง ให้รสหวานเล็กน้อย หอมกลิ่นมัตฉะและชาไทยชัดเจน เสิร์ฟคู่กับโทสต์ชิ้นใหญ่นาบกระทะจนกรอบนอกฉ่ำเนย สั่งมากินคู่ชาบอกเลยว่าฟิน เป็นร้านที่เราเชื่อว่าหากคุณได้มาลองแล้ว คุณจะกลับมาดื่มชาที่นี่ได้เรื่อยๆ อย่างแน่นอน

ถือเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของเด็กอ้วนโดยแท้ สำหรับ “Cow to Cream” ร้านไอศกรีมครีมสดจากฟาร์มวัวไทยเปิดใหม่แกะกล่องย่านบรรทัดทอง ที่มีดีตรงไอศกรีมสูตรลับฉบับโฮมเมดรสเข้มข้น อันมีเบสเป็นครีมสดจากฟาร์มวัวไทยรสนัว มาพร้อมกับของหวานตัวดังจากอเมริกาอย่าง Honey Cheese Toast เข้าคู่กับบรรยากาศสไตล์คันทรี่ ที่ทางร้านตกแต่งด้วยโซฟาไม้สีน้ำตาลเข้ม เข้ากันดีกับผนังสีขาวสะอาด ที่แซมด้วยภาพฟาร์มวัวนมร่มรื่น อันสื่อถึงครีมสดจากฟาร์มวัวไทยรสหวานมันที่เป็นเบสให้ความอร่อยให้กับทุกเมนู ส่วนด้านหน้าเป็นบาร์ไอศกรีมหลากรสชาติที่ปั่นกันแบบสดๆ ให้สายหวานดูเป็นขวัญตา ตัวแรกที่เราลองคือ Honey Cheese Toast โทสต์ตัวดังจากอเมริกาที่ทางร้านนำเข้ามา มีให้เลือกอร่อยทั้งแบบไม่มีไส้ กรอบได้ใจ ไส้ชีสเชดด้า เยิ้มๆ และไส้มอสซาเรลล่า สุดครีมมี เข้าคู่ไอศกรีมโฮมเมดของทางร้าน ที่ครั้งนี้เราเลือกเป็นรสครีมสดสุดหอมมัน หรือจะเป็นซอสครีมสด เบสของไอศกรีมทุกรสก็ย่อมได้ มาถึงคิวไอศกรีมกันบ้าง สาวกช็อกโกแลตต้องสั่ง ไอศกรีมรสช็อกโกแลต ไอศกรีมครีมสดหวานมัน ผสมหสานกับช็อกโกแลตชั้นดีจนได้รสเข้มข้น ตามด้วย ไอศกรีมรสพิตตาชิโอ ที่ได้ความหอมมันเต็มพิกัดของถั่วพิตตาชิโอและครีมสดของฟาร์มวัวไทย ตามด้วย ไอศกรีมรสชาไทย ครีมสดจากฟาร์มวัวไทยรสหอมมันเข้มข้น มิ๊กซ์กับชาไทยจากแดนใต้กลิ่นหอมกรุ่น จิบคู่ มิลก์เช็ก รสดั้งเดิม ที่ได้ความหวานมันจากไอศกรีมรสครีมสด และนมสดสุดครีมมี ปิดท้ายด้วย สตรอว์เบอร์รีมิลก์เช็ก นมปั่นรสหอมมัน ได้รสเปรี้ยวอมหวานของสตรอว์เบอร์รี จิบแล้วสดชื่นเป็นที่สุด สายหวานถูกใจสิ่งนี้ยิ่งนัก

Ciao! ส่งตรงความฟินมาจากกรุงมิลานให้สายหวานลิ้มลองโดยเฉพาะ นี่เรากำลังพูดถึง Cioccolatitaliani (ช็อกโกลาติตาลิอานี หรือ ช็อกโกลา) ร้านขนมหวานอิตาเลียนสุดพรีเมี่ยมจากกรุงมิลาน ที่เสิร์ฟความอร่อยมาตั้งแต่ 2009 มาปักหมุดสาขาแรกของเมืองไทย แถมยังเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ เซ็นทรัลเวิลด์ ตัวร้านตกแต่งด้วยสีทองสะท้อนถึงความหรูหรา ด้านหน้ามีบาร์ไอศกรีมเจลาโต้ที่ทำกันแบบสดใหม่ พ่วงมาด้วยครัวเปิดที่มองเห็นทั้งคาราวานขนมหวานอย่าง ช็อกโกแลตฟองดู ทีรามิสุ แพนเค้ก และเครื่องดื่มได้แบบถนัดตา ความพิเศษของ Cioccolatitaliani ที่ทำเอาหลายคนติดใจคือ คุณจะได้ลิ้มลองงานศิลปะในรูปแบบของหวาน ผ่านพรีเซนเทชั่นและรสชาติต้นตำรับที่ได้จากวัตถุดิบชั้นยอด เริ่มต้นต้องนี่เลย Nutella Lovers ไอศกรีมเจลาโต้โฮมเมดเพื่อคนรักนูเทลล่าโดยเฉพาะ เพราะโดดเด่นด้วยรสหอมหวานปนเข้มของนูเทลล่า เข้ากันดีกับไอศกรีมเจลาโตเนื้อเนียนหนึบรสนม มิลก์ช็อกโกแลตและฮาเซลนัต ท็อปด้วยวิปครีมล้นๆ เนื้อนุ่มปุกปุย ถูกใจเด็กอ้วนยิ่งนัก ตามด้วย Tiramisu ของหวานสไตล์อิตาเลียนที่ได้ใจสวีตเลิฟเวอร์ตลอดมา ความพิเศษคือร้านนี้เขาใช้ขนมเลดี้ฟิงเกอร์สูตรลับฉบับโฮมเมด จุ่มด้วยเอสเปรสโซช็อตรสเข้มพอเหมาะ สลับชั้นกับครีมมาสคาโปนรสหวานกลมกล่อม แถมยังได้ความครีมมีเต็มพิกัด ก่อนโรยหน้าด้วยผงโกโก้ชั้นดี ชิมกี่ทีก็โดนใจ ปิดท้ายด้วย Cappuccino Chocolate Lovers กาแฟคาปูชิโนหวานน้อย เข้าคู่ช็อกโกแลตน้ำตก 3 สไตล์ อย่าง ดาร์กช็อกโกแลตรสเข้ม มิลก์ช็อกโกแลตรสหวานหอม และไวต์ช็อกโกแลตฉ่ำๆ เป็นแลนด์มาร์กของสายหวานโดยแท้

ใครที่ชอบกินฟินองเซีย ต้องรีบพุ่งตัวมาที่ห้างสรรพสินค้า สยาม ทาคาชิมายะ ไอคอนสยาม เมื่อ Henri Charpentier (อ็องรี ชาร์ปองติเยร์) แบรนด์ขนมฝรั่งเศสพรีเมียมระดับตำนานจากญี่ปุ่น มาเปิดสาขาแรกในประเทศไทยแล้ว พร้อมด้วยหลากหลายเมนูขนมหวานและเค้กแสนอร่อยแบบต้นตำรับที่เราไม่อยากให้พลาดลิ้มลอง Henri Charpentier ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 1969 ที่เมืองอาชิยะ ประเทศญี่ปุ่น ด้วยจุดเริ่มต้นจากร้านกาแฟเล็กๆ ที่โด่งดังจากเมนูเครปซูเซ็ตต์ (crêpe suzette) สู่แบรนด์ขนมตะวันตกชั้นนำของญี่ปุ่น ปัจจุบันมีสาขากว่า 93 สาขาทั่วญี่ปุ่น 7 สาขาในสิงคโปร์ และล่าสุดที่ประเทศไทย โดยคุณอามิ ทานาเบะ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ มาร่วมในงานเปิดร้านพร้อมเผยว่า ที่นี่เป็นเป็นสาขาแรกนอกญี่ปุ่นที่ทางร้านจะเสิร์ฟเมนูซิกเนเจอร์อย่างเครปซูเซ็ตต์ให้ลิ้มลองกันด้วย เครปซูเซ็ตต์ ของที่นี่ปรุงสดใหม่ทุกออเดอร์ เชฟโคมะอิ เชฟผู้คว้ารางวัลชนะเลิศจาก Coupe du Monde de la Patisserie 2023 เป็นผู้สาธิตการทำให้ชม เริ่มต้นจากการเคี่ยวซอสคาราเมลและน้ำส้ม จากนั้นใส่แป้งเครปเนื้อบางนุ่มแต่มีความหนึบกำลังดีลงไปราดด้วยซอสจนชุ่มฉ่ำ เมื่อเคี่ยวจนเดือดแล้วจึงใส่เหล้ารัมลงไปแฟลมเบ้ให้แอลกอฮอลล์ระเหยไปจนหมดเหลือไว้แต่กลิ่นหอมๆ เครปเนื้อนุ่มลื่นชุ่มฉ่ำร้อนๆ เสิร์ฟกับไอศกรีมวานิลลาเย็นฉ่ำ ให้รสสัมผัสนุ่มละมุนและความต่างของอุณหภูมิอันน่ารื่นรมย์ อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือ ฟินองเซีย (financier) สินค้าตัวแทนของร้านที่กินเนสส์บุ๊คบันทึกว่าขายได้มากที่สุดในโลกกว่า 33 ล้านชิ้นต่อปี โดดเด่นด้วยกลิ่นหอมอัลมอนด์ลอยขึ้นมาเตะจมูก ผิวนอกบางกรอบส่วนด้านในนุ่มชุ่มฉ่ำหอมเนย สัมผัสได้ถึงความพรีเมียมของวัตถุดิบและความพิถีพิถันในการะบวนการผลิต ชิ้นเดียวไม่เคยพอ ทางร้านอบฟินองเซียสดใหม่ทุกวันและมีแบบกล่องสำหรับซื้อเป็นของฝากได้ นอกจากนี้ยังมีหลากหลายเมนูเค้กเนื้อนุ่มเบาสไตล์ญี่ปุ่น ทำสดใหม่ให้เลือกลิ้มลองได้ทั้งแบบชิ้นและแบบปอนด์สำหรับโอกาสพิเศษต่างๆ โดยเมนูที่อยากแนะนำคือ เดอะ ชอร์ตเค้ก (the Short Cake) เค้กครีมสดเนื้อนุ่มฟูประดับด้วยสตรอว์เบอร์รีลูกโต 3 ลูก ที่สื่อถึงโลโก้รูปเปลวเทียน 3 เล่มของแบรนด์ Henri Charpentier นั่นเอง ร้าน Henri Charpentier มีที่นั่งทั้งแบบเคาน์เตอร์และแบบโต๊ะ ตกแต่งในโทนสีขาว ทอง และชมพูสดใส พร้อมมอบความอร่อยจากขนมหวานพรีเมียมและส่งต่อความประทับใจในทุกช่วงเวลาของชีวิต ใครที่เป็นสายหวานพลาดไม่ได้แล้ว

พาไปชอปปิงและทำเวิร์กช็อปเพนต์หน้าขนมปังกันที่ 96H Artisanal Bread ร้านขนมปังโฮมเมด เป็นร้านขนาดกะทัดรัดสไตล์โฮมมี่ในโครงการ Meat up แจ้งวัฒนะ ที่เพิ่งย้ายมาเปิดได้ประมาณ 4 เดือน แต่ก็มีลูกค้าเก่าและใหม่หมุนเวียนเข้ามาเลือกซื้อขนมปังกลับบ้านกันอย่างคับคั่ง ที่บอกว่าย้ายโลเคชันเพราะก่อนหน้านี้ทางร้านเคยเปิดอยู่อีกที่หนึ่งมานานกว่า 4 ปี ก่อนทำการโยกย้ายเพื่อจัดสรรพื้นที่สำหรับสอนทำ Workshop Sourdough Painting ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมไฮไลต์ของร้านเลยก็ว่าได้ ภายในร้านชั้น 1 มีขนมปังอบสดใหม่วางเรียงรายให้เลือกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Sourdough, Bagel, Pizza, Focaccia, Pretzel และ Soft Bread หรือแม้แต่ Shio Pan ขนมปังเกลือก็มีมาวางไม่ขาดสาย ทุกเมนูทำจากยีสต์ธรรมชาติ ขนมปังของที่นี่จึงให้รสและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ทุกคนสามารถนั่งกินที่ร้านได้อีกด้วยนะ แนะนำเมนูซิกเนเจอร์อย่าง ชีสเบอร์เกอร์ แป้งเบเกิลเนื้อเหนียวหนึบสอดไส้เนื้อบด ตัดรสด้วยแตงกวาดองและชีสเยิ้มๆ กัดเข้าไปแล้วฉ่ำมากหอมกลิ่นกระเทียมด้วย ต่อด้วย แซลมอนครีมชีส แป้งซาวร์โดญี่ปุ่นนุ่มฟู มีรสเปรี้ยวเป็นเอกลักษณ์กินกับแตงกวาดอง หอมแดงดอง แซลมอนรมควัน อร่อยทีเดียว กาลิกครีมชีส ขนมปังไส้ครีมชีสและกระเทียม ด้านบนโรยเกลือและกระเทียมป่นเพื่อเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอม ส่วนเท็กซ์เจอร์ของขนมปังด้านนอกกรอบด้านในนุ่ม เคี้ยวเพลินสุดๆ นอกจากขนมปังก็จะมีเครื่องดื่มทั้งกาแฟ ชา และมัตฉะลาเต้ สั่งมาจิบควบคู่ไปกับขนมปังเข้ากันมาก ส่วนชั้น 2 จะเป็นพื้นที่สำหรับเวิร์กช็อปโดยทางร้านเปิดเป็นรอบ 11.00 น. และ 14.00 น. เพียงทุกคนหา Reference หรือรูปที่อยากเพนต์ลงบนขนมปังมา ทางร้านก็พร้อมสอนในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมหน้าขนมปังไปจนถึงอธิบายเกี่ยวกับสีที่ใช้ การลงสีและขั้นตอนก่อนการอบ

ได้ยินชื่อของเชฟ ซากิ โฮชิโน มาพักใหญ่ มาพร้อมเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงรสมือเจ้าแม่ขนมหวานที่บอกเหมือนกันว่า 'อร่อย' คราวนี้ถึงเวลาเปิดสแตนด์อโลนในชื่อ Sàat Bangkok (ศาสตร์) ร้านขนมหวานที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก "ขนมไทย" ขอบอกเลยว่านี่เป็นหนึ่งในร้านขนมที่น่าสนใจในกรุงเทพฯ ยิ่งใครชอบกินขนมไทยต้องหาเวลาไปลองสักครั้ง! ด้วยความที่ร้านนำเสนอศาสตร์แห่งขนมหวาน ขั้นตอนการทำและวิธีการปรุงจึงมีความละเมียดละไม โดยใช้เทคนิคสมัยใหม่เข้ามาผสมผสานกับรากฐานของรสชาติแบบไทยจนออกมาเป็นจานขนมหวานสุดโมเดิร์น รสชาติไม่ซับซ้อนแต่มีชั้นเชิง ชวนให้นึกถึงขนมไทยหลายเมนูที่คุ้นเคย ตัวร้านเป็นตึกเก่าริมถนนมหาพฤฒาราม ภายในยังคงโครงสร้างเดิมไว้ด้วยเพดานสูงที่โปร่งโล่ง รายล้อมด้วยกระจกบนใหญ่ หากเงยหน้าขึ้นจะเห็นวัสดุที่หลากหลายทั้งเก่าและใหม่ผสมๆ กันอย่างลงตัว ส่วนบรรยากาศของร้านดีไซน์ออกมาแนว Minimal Cozy เน้นโทนสีอ่อนจากวัสดุธรรมชาติเพื่อให้รู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย และเรียบง่ายแต่ร่วมสมัย ด้านหน้าร้านเป็นครัวเปิดเผยให้เห็นความใส่ใจในทุกขั้นตอน เพราะครัวคือพระเอกของร้านนี้ นอกจากนี้คำว่า Sàat (ศาสตร์) ยังหมายถึง Saki+Nat ชื่อของสองผู้ก่อตั้งอย่างเชฟซากิกับคุณนัทที่ร่วมออกไอเดียเนรมิตร้านแห่งนี้ขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็น Women run business เลยก็ว่าได้ เพราะทาง Head Chef ของที่นี่ก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน นั่นคือเชฟอิง เชฟมากความสามารถที่ถ่ายทอดเมนูอร่อยออกมาให้เราได้ชิมในรูปแบบอะลาคาร์ต ไม่ว่าจะเป็น Coconut Reverie เมนูที่ได้แรงบันดาลใจมาจากขนมใส่ไส้ เชฟทำไส้เป็นมูสกะทิใบตองย่าง มีเนื้อมะพร้าวกะทิหอมไวท์คลาวด์ผัดกับน้ำตาลมะพร้าว ด้านนอกเป็นโมจิกะทิและคุกกี้ขี้โล้ช่วยเพิ่มเท็กซ์เจอร์ ต่อด้วย Pineapple Butter Sando เป็นบิสกิตไส้เนยสับปะรดกินแล้วนึกถึงขนมปี๊บไส้สับปะรด เชฟนำมาสร้างลุคใหม่โดยด้านนอกเป็นแป้งขี้โล้ ไส้ดัดแปลงเป็นเนยสดและแยมสับปะรดย่าง แอบเพิ่มความเป็นญี่ปุ่นด้วยบัตเตอร์แซนด์โดะ Fluffy Pancake and Coconut Sugar Ice Cream เมนูแพนเค้กไส้ครีมและไอศกรีมน้ำตาลมะพร้าวที่ได้ไอเดียมาจากขนมโตเกียวไส้หวาน ได้รสหวานหอมของสังขยามะพร้าวกะทิน้ำหอมไวท์คลาวด์ เพิ่มรสสัมผัสด้วยเนื้อมะพร้าวให้เคี้ยวควบคู่ไปกับไอศกรีมหวานเย็นชื่นใจ Pansib ที่ร้านออกแบบปั้นสิบให้มีรูปร่างเป็นปลาตะเพียน 2 ตัว สอดไส้คาวและหวาน แป้งที่เห็นเป็นพัฟเคลือบด้วยซอสสามเกลอคาราเมล ตามด้วย Coconut Flat Bread and Tai Pla Dip เป็นอาหารคาวให้กินเบาๆ ประกอบด้วยแป้งนานมะพร้าวที่ทำจากโยเกิร์ตกะทิโฮมเมด กินกับซอสไตปลาคู่ปลาย่างประจำวัน เสริมรสชาติด้วยยำผลไม้ตามฤดูกาล มาถึงเมนูใหม่แกะกล่องอย่าง ข้าวแช่ เครื่องดื่มที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอาหารไทยชาววังอย่างข้าวแช่ โดยใช้ข้าว Redberry ข้าวสายพันธุ์ใหม่ให้รสสัมผัสกึ่งข้าวเหนียวกับข้าวเจ้า รังสรรค์ออกมาคล้ายกับการทำอามาซาเกะ หรือข้าวหมากญี่ปุ่น เสิร์ฟพร้อมลูกกะปิที่ทำจาก Caramel Fudge จากนั้นห่อด้วยกระดาษกินได้ที่ทำจากขมิ้นขาว วิธีการกินคือให้กัดลูกกะปิทีละนิดจากนั้นก็ดื่มน้ำตาม เมื่อกินเข้าไปก็ทำให้นึกถึงขนมไทยจานโปรด แต่เป็นในเวอร์ชันที่ไม่เคยเห็นมาก่อน! ประทับใจมาก

เรียกได้ว่าเป็นพิกัดมหาชนของช่วงเวลานี้เลยก็ว่าได้สำหรับ Sunspirit Bangpu ร้านอาหารวิวดีริมทะเล โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากชายฝังเมดิเตอร์เรเนียนและบ้านสวนริมทะเลในลอสแองเจลิสที่ออกแบบอย่างเรียบง่ายแต่ทันสมัยและเปี่ยมด้วยความอบอุ่นจากโทนสีที่ใช้ ทุกพื้นที่ดีไซน์ให้ใกล้ชิดธรรมชาติตั้งแต่ทางเข้าไปจนถึงบริเวณตัวอาคารที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็หันไปเจอการเชื่อมต่อพื้นที่ให้เข้ากับหิน ต้นไม้ และน้ำทะเล ยิ่งใครมาช่วงเย็นก็สามารถเดินถ่ายรูปเช็กอินตามมุมที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวของร้าน พร้อมสัมผัสแดดอุ่นๆ และความสงบของท้องฟ้าเคล้ากลิ่นอายลมทะเลแบบพาโนรามา นอกจากบรรยากาศจะดีแล้วอาหารก็อร่อยไม่แพ้กันเพราะทะเลคือหัวใจหลักของครัว ที่ร้านจึงเน้นเสิร์ฟเมนูหลากสัญชาติที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นย่านบางปู ไฮไลต์อยู่ที่ซีฟู้ดทะเลไทยนำมาปรุงอย่างพิถีพิถันและเสิร์ฟวัตถุดิบสดใหม่ทุกออเดอร์ไม่ว่าจะมื้อกลางวันของครอบครัว หรือแม้กระทั่งมื้อเย็นสุดโรแมนติกท่ามกลางวิวทะเล อย่าพลาด Crab Curry with Betel Leaves แกงคั่วปูใบชะพลู เมนูอาหารใต้รสเข้มข้นให้เนื้อปูแน่นชาม จัดเสิร์ฟคู่ขนมจีนกินเข้ากันได้เป็นอย่างดี ต่อด้วย Crispy Morning Glory Salad ยำผักบุ้งชุบแป้งทอดจนเหลืองกรอบ กินกับน้ำยำรสแซ่บหอมกลิ่นพริกเผา ด้านในมีเนื้อกุ้งและถั่วลิสงให้เคี้ยวเพลิน ถัดมาคือ Pork Chop สเต๊กหมูชิ้นใหญ่ เคียงด้วยผักย่าง มันบดทรัฟเฟิล เสริมรสด้วยซอสพริกไทยดำแสนอร่อย และ Angel Hair AOP Seafood พาสตาผัดพริกแห้งกระเทียมซีฟู้ด ให้เครื่องแน่นแบบไม่หวง ได้รสเผ็ดถึงเครื่อง ใครเป็นสายนั่งชิลริมทะเลก็อย่าลืมสั่งครื่องดื่มซิกเนเจอร์อย่าง Strawberry Smoothie สตรอว์เบอร์รีโยเกิร์ตปั่นจนเนื้อเนียนละเอียด ให้รสหอมหวานนวลๆ หรือจะเป็น Sunset Whisper ซิกเนเจอร์ค็อกเทล ได้รสเข้มจากไวน์โรเซ่ จิน และมอสคาโต เพิ่มความสดชื่นด้วยเลมอนและโซดาเล็กน้อย เพียงแค่ 40 นาที จากกรุงเทพฯ ก็สามารถสัมผัสกับความเรียบง่ายที่เติมเต็มใจได้อย่างไม่รู้ตัว

Sarnies คาเฟ่ที่มีต้นกำเนิดจากสิงคโปร์ นอกจากจะเสิร์ฟกาแฟหอมกรุ่นแล้ว ยังบริการอาหารหลากหลายเมนู ปัจจุบันมีทั้งหมด 5 สาขาทั่วกรุงเทพ ได้แก่ สาขาเจริญกรุง 2 แห่ง สาขาตลาดน้อย สาขาเพลินจิต และสาขาสุขุมวิท 37 แต่ละที่มีลูกค้าประจำซึ่งส่วนใหญ่คือผู้พักอาศัยของคอนโดย่านนั้นแวะเวียนเข้าออกตลอดวัน เชฟธีโอเชฟประจำร้านมีความถนัดในการทำอาหารเอเชียและฝรั่งเศส และสั่งสมฝีมือในการเป็นผู้ช่วยเชฟร้านดัง รวมถึงที่ Connaught Bar บาร์เจ้าของรางวัลอันดับ 1 ในรายการ World’s 50 Best Bars ปี 2020 และ 2021 จนได้นำหลักการและไอเดียมาใช้กับร้าน Sarnies ที่สาขาสุขุวิทผ่านเมนูฟิวชันน่ากินหลายสิบเมนู จานแรกขอรับประกันความอร่อยสำหรับคนชอบกินเส้น Mentaiko salmon pasta รสกลมกล่อม Miso kombu eggs benedict เมนูที่ตั้งใจผนวกรวมความเป็นญี่ปุ่นและความเป็นตะวันตกเข้าด้วยกันผ่านเมนูไข่เบเนดิกต์ท็อปด้วยซอสฮอลแลนเดซผสมคอมบุมิโซะ แทรกด้วยแซลมอนอะบูริ ต้นหอมผัดเครื่องปรุงชิจิมิ โทการาชิ Wood fired donabe rice ข้าวอบหม้อดินสไตล์ญี่ปุ่น รวมส่วนผสมอร่อยทั้งหมูชาชูน้ำผึ้งเคี้ยวนุ่ม ต้นหอม เห็ดที่หมักรสชาติมาแล้ว รวมถึงผสมซุปมิโซะเล็กน้อยให้รสกลมกล่อม และปิดท้ายด้วยไข่แดงออร์แกนิก และห้ามพลาดเด็ดขาดกับพิซซาเปปเปอโรนีโฮมเมด จัดเต็มด้วยชีสสตราเซียเทลลา ก่อนเสิร์ฟเพิ่มความพิเศษโดยราดน้ำผึ้งเพื่อความหวานละมุน ไม่แปลกใจที่จะชื่อเมนู Land of milk & honey ความพิเศษของร้าน Sarnies ที่หลายคนนชอบคือการเปลี่ยนสไตล์การตกแต่งร้านให้เข้ากับพื้นที่ในแต่ละสาขา อย่างเช่นสาขาสุขุมวิทจะเน้นความมินิมอลแบบญี่ปุ่น ส่วนสาขาเจริญกรุงจะตกแต่งสไตล์ลอฟต์ เป็นต้น   ใครลองแล้วน่าจะชอบกันนะ

Termtem Coffee × AQUA LAB คาเฟ่ไม้น้ำและตู้ปลาที่มาช่วยชุบชูจิตใจในวันที่เหนื่อยล้า ซึ่งเป็นการคอลแลปส์กันของร้าน เติมเต็ม คอฟฟี่ คาเฟ่สุดชิคย่านสาทรกับ AQUA LAB Store ผู้รับจัดตู้ไม้น้ำและตู้ปลา โดยมาในคอนเซ็ปต์ Coffee & Aquarium พาทุกคนมาดื่มด่ำกับกาแฟท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบและผ่อนคลาย จากพืชไม้น้ำและเหล่าปลาหลากชนิด ตัวร้านตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาลเข้มให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในป่า โดยจัดสรรที่นั่งไว้อย่างเป็นสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็น บาร์กาแฟที่สามารถพูดคุยกับบาริสต้าอย่างเป็นกันเอง โซนบาร์ตู้ไม้น้ำ ที่มาพร้อมปลั๊กไฟสามารถนั่งทำงานได้ยาวๆ และโซนกำแพงไม้น้ำสุดสงบ เคล้าคลอไปด้วยเสียงน้ำไหลชวนผ่อนคลาย แนะนำ Cococcino เมนูกาแฟกลิ่นหอม ที่มีส่วนผสมของ เอสเปรสโซช็อต น้ำมะพร้าวและโฟมนม ดื่มง่ายละมุนลิ้น Black Vanillime เมนูเปรี้ยวหวานและซ่านิดหน่อย จากไซรัปวานิลลาผสานกับน้ำมะนาวโซดา ท็อปด้วยชาเอิร์ลเกรย์หอมๆ กินแล้วสดชื่นผ่อนคลาย Berry Kiss Matcha มัตฉะพรีเมียมจากประเทศญี่ปุ่นผสานมากับนมสด และแยมสตรอว์เบอร์รี ปิดท้ายด้วย Carrot Cake เนื้อเค้กชุ่มฉ่ำที่อัดแน่นมาด้วยธัญพืช สลับชั้นกับครีมชีสหอมมันนัว จับคู่กับเครื่องดื่มแล้วยิ่งเพอร์เฟกต์

ชวนไปจิบชารสละมุน กินขนมญี่ปุ่นโบราณ ในบ้านหลังใหม่ของ 'Homu Cafe' คาเฟ่มัตฉะชื่อดังย่านเจริญนคร ที่ตอนนี้ได้ย้ายโลเคชั่นใหม่ มาปักหมุดอยู่ใจกลางเมืองบนถนนสาทร ในบรรยากาศที่อบอุ่นคงเดิมกับสไตล์ร้านที่ดูโมเดิร์นมากขึ้น โฮมุยังเลือกนำจุดเด่นดั้งเดิมของร้านเก่ามาอยู่ในพื้นที่ใหม่บางส่วน เช่น การเลือกใช้โทนสีน้ำตาลและครีมจากเฟอร์นิเจอร์ไม้ รวมถึงการปูผนังอิฐบนชั้น 2 ที่เมื่อตกแต่งเพิ่มเติมด้วยกระจก ยิ่งทำให้ภายในโปร่งโล่งนั่งสบายมากขึ้น แวะมาจิบชานั่งชิลก็เพลินๆ ได้ทุกวัน แนะนำ Coconut Matcha Cloud (160.-) มัตฉะมะพร้าวหอมนวล ทางร้านใช้เป็นมะพร้าวน้ำหอมที่ออนท็อปมาด้วยโฮมุมัตฉะเบลนด์ ดื่มแล้วสดชื่น ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป แก้วต่อไป Kinako Milk (100.-) ใครที่ไม่ใช่สายมัตฉะต้องลองเมนูที่มีความละมุนละไมจากนมสดได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของผงคินาโกะ แก้วนี้ไม่หวานกินได้เรื่อยๆ สำหรับเมนูขนมห้ามพลาด Warabi Mochi (170.-) วาราบิโมจิกวนสด เนื้อสัมผัสนุ่มแต่หนึบหนับคลุกกับผงคินาโกะมาแบบไม่หวง ราดด้วยซอสน้ำเชื่อมญี่ปุ่น หรือจะเลือกเป็น Dango (120.-) ที่มีให้เลือกทั้งรสออริจินอลและมัตฉะ ทางร้านต้มให้สดใหม่ เนื้อสัมผัสเด้งหนึบ ได้รสชาติของมัตฉะเข้มข้นเต็มปาก

คนอบไม่ท้อ คนรอก็สู้ไม่ถอยเหมือนกัน นาทีนี้ต้องหลีกทางให้ YOLK ร้านทาร์ตไข่สไตล์ฮ่องกงบนถนนบรรทัดทองของคุณอิน-สาริน ที่ส่งกลิ่นหอมมาตั้งแต่ยังไม่ถึงหน้าร้าน ความเก๋ของทาร์ตไข่ร้านนี้คือตัวทาร์ตเป็นแป้งครัวซองต์ที่ใช้แป้งนำเข้าจากฝรั่งเศส อบแล้วได้เนื้อสัมผัสที่กรอบร่วน บาง และหอมกลิ่นเนยแท้ AOP ส่วนเนื้อคัสตาร์ดเนียนนุ่มก็มาจากไข่แดงแบบเน้นๆ จากฟาร์มแม่ไก่อารมณ์ดี ซึ่งเป็น 1 ในวัตถุดิบสำคัญเหมือนชื่อร้าน เมื่ออบแล้วจะได้สีทองสวยน่ากิน ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะด้านล่างสุดมีคาราเมลเยิ้มๆ ซ่อนอยู่ แนะนำให้กัดคำใหญ่ๆ จะได้กินครบทุกเลเยอร์ ทั้งความกรอบ ความนุ่ม และรสหวานละมุนตอนท้าย ตอนนี้ที่ร้านเปิดขายเป็นรอบๆ รอบละ 30 นาที เริ่มตั้งแต่ 15.00 น. เป็นต้นไป จะซื้อแบบ 1 ชิ้นกินหน้าร้านก็สะดวกดี หรือจะซื้อแบบ 1 กล่อง (6 ชิ้น) กลับไปฝากคนที่บ้าน ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอร่อยน้อยลง แค่นำไปอุ่นในเตาอบด้วยอุณหภูมิ 180 องศาฯ  2 -3 นาที ก็จะได้แป้งครัวซองต์กรอบๆ และคัสตาร์ดเนื้อเนียนถูกต้อง แน่นอนว่าคาราเมลเยิ้มเหมือนตอนอบใหม่ๆ เลยล่ะ

ลุยงานมาทั้งสัปดาห์อยากหาเวลาไปพักผ่อนฮีลใจต่างจังหวัดก็ติดขัดด้วยเวลา การได้พบคาเฟ่เปิดใหม่ใกล้กรุงฯ อย่าง Anyamanee Cafe and Roastery จึงเป็นเสมือนทางออกที่ตอบโจทย์ สถาปนิกถอดสมการจากความต้องการของเชฟโอ๊ค-พลสิน พลัสสินทร์เจ้าของร้านและภรรยา ที่ต้องการเนรมิตพื้นที่กว่า 6 ไร่ ให้เป็นมุมพักผ่อนของชาวบางนาและใกล้เคียง โดยนำกิจกรรมสุดโปรดทั้งการเข้าครัวและทำสวนมารวมไว้ด้วยกัน ทำให้เราได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศโฮมมี่ ผสมผสานความเป็นอิตาลีที่เน้นสีสันสดใสให้ความรู้สึกสนุกสนานและความหรูหราคลาสสิกในแบบฝรั่งเศสได้อย่างละเมียดละไม ในขณะเดียวกันก็สอดแทรกความทันสมัยให้ล้อไปด้วยกันอย่างลงตัว ส่วนพื้นที่ด้านนอกรายล้อมด้วยสวนสไตล์ยุโรป วางเก้าอี้สนามให้นั่งพักเป็นระยะใต้ร่มเงาของซุ้มไม้เลื้อย สลับด้วยพันธุ์ไม้หายากที่นำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ ต้นมะกอกหลายสายพันธุ์ ยังมีสระน้ำที่มีฝูงปลาแหวกว่าย รวมทั้งลำธารที่นอกจากเพิ่มความสวยงามแล้วยังเป็นทางระบายน้ำในยามที่ฝนตกหนัก นอกจากนี้ยังแบ่งพื้นที่เป็นสวนเลมอนกว่า 400 ต้นที่ออกดอกผลให้นำมาประกอบอาหารและเครื่องดื่มของร้านได้ตลอดทั้งปี   ใครเป็นอาร์ทติสหรือนักสะสมจะยิ่งถูกใจเพราะเชฟโอ๊คนำของสะสมแสนรักที่ได้จากการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ นำมาจัดวางให้ลูกค้าชื่นชม รวมถึงภาพวาดสีน้ำมันหลายขนาด เครื่องปั้นดินเผา และเซรามิกลวดลายประณีตงดงามที่นำมาอวดโฉมกว่าร้อยชิ้น จนดูราวกับที่นี่คือมิวเซียมอย่างไรอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ดีเทลการตกแต่งที่น่าสนใจ เพราะอาหาร ของหวาน และเครื่องดื่มยังถือเป็นลายเซ็นต์ของร้าน เชฟโอ๊คนำประสบการณ์จากการเป็นเชฟในสหรัฐอเมริกามารังสรรค์จานเด็ดในสไตล์คอมฟอร์ทฟู้ดที่อร่อยและเข้าถึงง่าย เน้นใช้วัตถุดิบอย่างดีและแน่นอนต้องมีเลมอนจากสวนของตนเอง เมนูแนะนำ ได้แก่ ปลาแซลมอนย่าง แซลมอนนอร์เวย์ย่างน้ำมันมะกอกกับมันฝรั่ง เห็ดแชมปิญอง และผักตามฤดูกาล เสิร์ฟกับซอสซีฟู้ดมายองเนส จานนี้อิ่มสบายท้องแล้วยังย่อยง่ายอีกด้วย ถัดมาคือสปาเก็ตตี้คาโบนารา เมนูที่ดูเหมือนเบสิก แต่เชฟปรับสูตรให้มีความโมเดิร์นขึ้น รสชาติเข้มข้นครีมมี่จากไข่แดงและพาร์มาซานชีส ก่อนท็อปด้วยเบคอนกรอบ อร่อยจนต้องยกนิ้ว สลับมาที่จานเด็ดสไตล์ไทย ยำวุ้นเส้นทะเลหมูสับ ยำวุ้นเส้นรสชาติจัดจ้าน เด่นที่เส้นเหนียวหนึบ กุ้ง ปลาหมึก โรยกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว ส่วนจานนี้กินเป็นกับข้าวก็ได้ กินเป็นกับแกล้มก็ดี ปอเปี๊ยะไส้หมูผัดวุ้นเส้นเห็ดหอม ทางร้านผัดไส้ที่มีส่วนผสมของหมูสับกับเห็ดหอม ปรุงรสชาติกลมกล่อมหอมกลิ่นเครื่องปรุงรส เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มรสเปรี้ยวอมหวานผสานกันได้อย่างลงตัว มาถึงของหวานล้างปากแนะนำ โชกุปังเนยสดโฮมเมด ซิกเนเจอร์เรียบง่ายแต่ขายดี ที่นี่มี Bake House ขนมอบและเบเกอรี่ทั้งหมดจึงอบสดใหม่ อย่างเมนูนี้นำขนมปังหอมกรุ่นมาปิ้งบนกระทะที่ละลายเนย เพื่อให้เนยซึมเข้าแผ่นขนมปังอย่างทั่วถึง รสชาติเค็มๆ มันๆ ดิปกับเนยละลายและแยมโฮมเมดยิ่งเพิ่มความฟินอีกเท่าตัว สำหรับเครื่องดื่ม แนะนำอเมริกาโนร้อน เมล็ดกาแฟพรีเมียมที่ทางร้านคัดสรรมาเป็นพิเศษ  หรือจะสั่งเป็น อัฟโฟกาโต้ ช็อตเอสเปรสโซเข้มข้น ท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด ก็ช่วยให้ดื่มง่ายยิ่งขึ้น และพระเอกของหมวดซอฟต์ดริงค์ น้ำผึ้งเลมอนอัญมณี ที่มีเลมอนของร้านเป็นตัวชูโรง ร่วมด้วยน้ำผึ้งป่าที่มีความหอมหวานเป็นพิเศษ วันไหนอากาศร้อนๆ ดื่มชื่นหัวใจยิ่งนัก การเช็คอินคาเฟ่สวยๆ คือของขวัญเรียบง่ายที่จะมอบให้ตัวเองเมื่อไหร่ก็ได้

WYND ไม่ใช่แค่คาเฟ่ที่เสิร์ฟกาแฟและขนมอร่อย แต่ยังเป็นร้านอาหารแคชชวลไดนิ่งไวป์ดีที่มาในคอนเซ็ปต์ Post Modern British Cuisine โดดเด่นสะดุดตาด้วยตัวร้านสีน้ำตาลไม้ทรง Arch ที่เน้นเรื่องส่วนเว้าโค้งดูสวยงามเรียบหรู ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปด้านในจะเจอกับบาร์น้ำและครัวเปิดที่มีกลิ่นหอมจางๆ ของกาแฟและอาหารลอยออกมาทักทายกัน ทางร้านจะเสิร์ฟอาหารสไตล์โมเดิร์นบริติชที่มีกลิ่นอายของเอเชียผสมอยู่ โดยปรุงขึ้นจากมือเชฟไทยที่เคยประจำอยู่ร้านมิชลินทั้ง 2 และ 3 ดาว อย่าง Cuttlefish Somen ปลาหมึกหอมสดจากประมงพื้นบ้านใสรูปแบบเส้นโซเมงที่คลุกมากับผงเฮิร์บและวาซาบิ กินพร้อมบัตเตอร์มิลค์ซอส และ Dill Oil ทางร้านเสิร์ฟมาแบบเย็น เปรี้ยว ซ่าสดชื่น Prawn Dumpling เกี๊ยวในรูปแบบพาสต้าสอดไส้กุ้ง ปลาหมึก และสมุนไพรต่างๆ ราดด้วยซอสปลาแห้งที่มีส่วนผสมของไข่กุ้ง ไข่ปลาแซลมอนและเทราต์ ให้เท็กเจอร์กรุบนิดๆ ต่อด้วยเมนคอร์สสุดว้าว Chicken Be-Khla Sausage เชฟเลือกใช้ไก่พันธุ์เบขลา (ไก่เบตง+ไก่สงขลา) เนื้อนุ่มกำลังดี มาสอดไส้สะโพกไก่สับและขาเห็ด เสิร์ฟพร้อมครีมฟักทองบัตเตอร์นัต และบราวน์ซอสสูตรพิเศษของร้าน อร่อยกลมกล่อมลงตัว ปิดท้ายด้วย Chocolate Royaltine ของหวานที่ใช้ทั้งดาร์คและมิลค์ช็อกโกแลตมาทำให้มีเนื้อสัมผัส 4 แบบ เป็นเมนูที่ช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ห้ามพลาด

ใครเคยลิ้มลองเพสตรีตำรับฝรั่งเศสที่ Blue by Alain Ducasse ร้านอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยดีกรีมิชลินสตาร์ 5 ปีซ้อนที่ไอคอนสยาม โดยเชฟชื่อดังระดับโลก เชฟอลัง ดูคาส ต้องติดใจรสชาติความอร่อยที่รังสรรค์จากวัตถุดิบชั้นเลิศและเทคนิคขั้นสูง มาตอนนี้เราจะได้ลิ้มลองหลากหลายเมนูเพสตรีและเบเกอรี่แสนอร่อยได้มากกว่าเดิมและได้ทุกวันที่ Blue Café by Alain Ducasse คาเฟ่แห่งแรกโดย Blue by Alain Ducasse พร้อมเสิร์ฟความอร่อยแล้วที่สยามพารากอน ชั้น G ฝั่งนอร์ธ ขนมอบที่ทั้งสวยและอร่อยในคาเฟ่แห่งนี้ ดูแลโดย เชฟคริสตอฟ กรีโล (Christophe Grilo) Executive Pastry Chef & Artisan Baker แห่งร้าน Blue by Alain Ducasse ผู้เชี่ยวชาญการทำขนมอบกว่า20 ปี มาพร้อมหลากหลายเมนูที่โดดเด่นทั้งด้านรสชาติ เนื้อสัมผัส และหน้าตา ทำด้วยความพิถีพิถันแบบอาร์ติซานให้เราได้ลิ้มลอง เมนูไฮไลต์ ได้แก่ ขนมอบขึ้นชื่อของฝรั่งเศส “Madeleine” (มาเดอแลง) ที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงและทางร้านจะอบแบบ “á la minute” หรืออบใหม่เมื่อได้รับออเดอร์เท่านั้น โดยรอเพียง 8 นาทีก็จะได้ลิ้มรสมาเดอแลงสดใหม่จากเตา เป็นประสบการณ์ความอร่อยสุดพรีเมียม มีหลากลายรสชาติทั้งซิกเนเจอร์และคลาสสิก อาทิ มาเดอแลงพิสตาชิโอ มาเดอแลงบลูเบอร์รี มาเดอแลงช็อกโกแลต มาเดอแลงวานิลลา มาเดอแลงเลมอน เนื้อนุ่มฟูหอมมาก ตามด้วยครัวซองต์รสชาติต่างๆ ที่อบอย่างพิถีพิถัน อาทิ Classic Croissant ครัวซองต์ผิวนอกกรอบบางเนื้อเบาฟู Pain Chocolat ครัวซองต์สอดไส้ช็อกโกแลตเข้มข้น Bow Tie Croissant ครัวซองต์รูปโบว์เมนูแนวใหม่สอดไส้ช็อกโกแลตและพราลีเน่ นอกจากนี้ยังมีขนมอบหน้าต่างๆ ที่ใช้วัตถุดิบชั้นดีจากทั่วโลก อาทิ Strawberry Danish ใช้สตรอว์เบอร์รีสดหวานจากยามะดะฟาร์มที่ประเทศญี่ปุ่น Phuket Pineapple Danish ใช้สับปะรดภูเก็ตของไทย Flan Vanilla ทาร์ตไข่สไตล์ฝรั่งเศสที่หรูหรา กรอบนอกเนื้อในละมุนหอมวานิลลา จับคู่กับเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลตทั้งแบบร้อนและเย็น ใช้โกโก้จาก Le Chocolat Alain Ducasse รสเข้มข้นกลมกล่อม ทอปด้วยครีมเนื้อเนียนสไตล์ฝรั่งเศส ชาร้อนและเย็นหลากรสชาติ รวมทั้งชาเบลนด์พิเศษตำรับของร้าน Blue by Alain Ducasse และกาแฟคัดพิเศษจากโรงงานของอลังดูคาส ในช่วงเปิดตัวนี้ ทางร้านชวนร่วมสนุกกับแคมเปญ Blue Café’s Dipping Culture” กินขนมอบแบบคนฝรั่งเศสด้วยการจุ่มลงในช็อกโกแลตหรือกาแฟ พร้อมติดแฮชแท็ก #DipwithBlue #Bluecafebangkok #bluecafebyalainducasse หรือทำ Google Review รับฟรีมาเดอลีน 1 ชิ้นต่อโพสต์ต่อท่าน ตั้งแต่ 11 กุมภาพันธ์ถึง 31 มีนาคมนี้ Blue Café by Alain Ducasse เปิดให้บริการทุกวันที่สยามพารากอน ชั้น G ฝั่งนอร์ธ สั่งซื้อสินค้าหรือสอบถามเพิ่มเติมโทร 06-1267-2775 หรือไลน์ ID @blue.cafe

ใครเป็นคาเฟ่ฮอปเปอร์ที่ชื่นชอบการจิบกาแฟควบคู่ไปกับการเสพงานศิลป์ ต้องชอบ Eddie Cafe BKK คาเฟ่สุดอาร์ตที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมซอยปรีดี 31 เพราะด้วยไวบ์ดีๆ ของดีไซน์ร้านที่ตกแต่งจากของสะสมจนกลายเป็น Art Gallery เลยก็ว่าได้ ตัวร้านมีทั้งหมด 3 ชั้น รายล้อมไปด้วยผลงานศิลปะที่มีคุณค่าทางจิตใจของเจ้าของร้าน อีกทั้งยังมอบความสดชื่นให้กับผู้ชมอย่างเราได้อีกด้วย ส่วนบรรยากาศภายในร้านก็เงียบสงบ มีหลากหลายมุมให้เลือกนั่งเคล้าเสียงดนตรีเบาๆ ตลอดวัน หรือใครอยากจะเล่นบอร์ดเกมทางร้านมีบริการฟรีด้วยนะ แต่อย่าเสียงดังจนเกินไปล่ะ! ไฮไลต์ของร้านอยู่ที่ไอศกรีมโฮมเมดรสละมุน มีหลากรสชาติให้เลือก เราสั่งเป็น Himalayan Salted Caramel อร่อยมาก! ได้รสเค็มเล็กน้อยผนวกกับความหอมของคาราเมล กินเพลินๆ จนหมดถ้วย สำหรับขนมและเครื่องดื่มก็มีพร้อม ไม่ว่าจะเป็น Garlic Bun ขนมปังกระเทียมอบมาร้อนๆ กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วร้าน Chocolate Lava รสเข้มข้น ทางร้านทำไม่หวานมากอยู่แล้ว แนะนำให้สั่งแบบปกติก่อนสั่งว่าหวานน้อย หรือจะเพิ่มความสดชื่นรับวันกันด้วย Rose Lomonade น้ำเลมอนหอมกลิ่นกุหลาบจางๆ สดชื่นด้วยโซดา

สายบรันช์ห้ามพลาดร้านโฮมเมดบรันช์ยุโรปที่ผสมกลิ่นอายแบบเอเชีย-ญี่ปุ่น คัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ นำเสนอแบบ All Day Brunch ในย่านทองหล่อ ให้อิ่มอร่อยได้ตลอดวัน ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบและการปรุงรสอย่างตั้งใจ เพื่อให้ทุกคนได้เริ่มต้นวันกับมื้ออาหารที่ดี ตัวร้านโดดเด่นด้วยการออกแบบห้องแบบกระจกใส ช่วยสร้างบรรยากาศให้โปร่งโล่งสบาย ภายในร้านให้กลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น ผสานกับความเรียบและอบอุ่นเช่นเดียวกับคอนเซ็ปต์ร้าน NICO NICO หรือ にこにこ ที่แปลว่า “รอยยิ้ม” เพราะเชื่อว่าการที่เราได้กินของอร่อย  เป็นการสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับทุกคนได้ เกิดเป็นสโลแกน Meals That Make You Smile :) มื้อสายแบบนี้บรรยากาศกำลังดีเริ่มด้วย NICO NICO Breakfast มื้อเช้าที่เสิร์ฟมาครบ 5 หมู่ ที่ทางร้านเสิร์ฟCurry Scrambled Eggs ไข่คนผสมกับผงกะหรี่ พร้อมกับเบคอนตุ๋นเคลือบซอสชาชูจนเนื้อฉ่ำวาว กินคู่กับเห็ดผัดสาเก และขนมปังซิกเนเจอร์ (Yudane Toast) เนื้อสัมผัสนุ่มและหนึบ ตักกิยคู่กับไข่คนเข้ากันอย่างลงตัว Salmon Ochazuke เมนูยอดนิยมของคนญี่ปุ่น เป็นข้าวญี่ปุ่นปรุงรสด้วยซีอิ๊วและปลาโอป่น กินกับแซลมอนย่างและผัก Mizuna เสิร์ฟมาพร้อมกับซุปชาข้าวคั่วผสมซุปปลาแห้งญี่ปุ่น ที่ทางร้านเลือกใช้ข้าวเหนียวไทยมาคั่วและต้มเป็นชาสูตรพิเศษของทางร้าน มื้อสาย Scallop & Daikon Miso Salad สลัดผักสดเสิร์ฟกับเนื้อหอยเชลล์ย่างเกรดซาซิมิที่ย่างจนสุกกำลังดี เนื้อนุ่มหนึบรสหวาน วางสลับชั้นมากับ Daikon หรือหัวไชเท้าต้มซีอิ๊วย่างเนื้อชุ่มฉ่ำ สุกกำลังดี ราดด้วยน้ำสลัดงาขาวมิโซะรสครีมมี่ เพิ่มความกรุบกรอบด้วยเมล็ดฟักทอง หรือใครที่อยากได้มื้อสายแบบเบาๆ แต่ต้องการเพิ่มความแซ่บต้องลอง Spicy Tuna ขนมปังซิกเนเจอร์ของทางร้าน นำไปอบให้กรอบนอกนุ่มใน ท็อปด้วยสลัดทูน่าหั่นเต๋าคลุกกับสไปซี่มาโย หอมซอสพริกศรีราชา โคชูจังและพริกป่นญี่ปุ่น กินอิ่มแล้วช่วยให้มีรอยยิ้มตลอดวัน

ใครที่ผ่านไปมาแถวถนนเพลินจิตไม่มีทางจะมองผ่านอาคารสีทองอร่ามโดดเด่นของ Dior Gold House หมุดหมายแห่งใหม่ของสายแฟชั่นไปได้ ที่นี่นอกจากจะเป็นคอนเซ็ปต์สโตร์ที่จัดแสดงคอลเลกชันและและจำหน่ายสินค้าของแบรนด์ดิออร์แล้ว ยังเป็นที่ตั้งของ Café DIOR by Mauro Colagreco คาเฟ่ดิออร์แห่งแรกของประเทศไทยอีกด้วย เมื่อ Café DIOR เปิดที่ไหน ก็ต้องร่วมมือกับเชฟชั้นนำในการรังสรรค์อาหารและขนมหวานที่จะให้บริการในสาขานั้นขึ้นมาด้วย สำหรับที่กรุงเทพฯ ก็ได้ร่วมกับเชฟเมาโร โคลาเกรคโค (Mauro Colagreco) เชฟชื่อดังผู้ก่อตั้งร้าน Mirazur ร้านอาหารมิชลินสตาร์ 3 ดาวในฝรั่งเศส และร้านอาหารอีกหลายแห่งทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือที่ประเทศไทย ร้าน Côte ร้านอาหารมิชลินสตาร์ 2 ดาว ตั้งอยู่ที่โรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ ในช่วง Soft Opening ทางร้านให้บริการขนมหวานและขนมอบแสนอร่อย อาทิ La Rose เค้กรูปกุหลาบแสนสวยที่ให้รสชาติหอมหวานของมูสมะพร้าว ราสป์เบอร์รี และลิ้นจี่ เพิ่มเท็กซ์เจอร์กรุบกรอบด้วยมะพร้าวกรอบ และดักกัวซ์อัลมอนด์ และ L’Abeille เค้กมูสน้ำผึ้งและมะลิสีขาวละมุน ประดับด้วยตูอีลฉลุลายและผึ้งทำจากไวท์ช็อกโกแลต เสิร์ฟบนภาชนะแบรนด์ดิออร์ ด้านขนมอบก็ไม่ธรรมดา ล้วนมีรูปทรงและสีสันที่โดดเด่น อาทิ La Lune ครัวซองต์ฝรั่งเศสแบบคลาสสิกวงโค้งดุจพระจันทร์ ด้านนอกกรอบด้านในสอดไส้ด้วยครีมพิสตาชิโอหวานมัน นอกจากนี้ยังมีไอศกรีมบูเก้กลิ่นดอกไม้ที่ทั้งสวยและเย็นชื่นใจ ให้เลือกสั่งมาลิ้มลองอีกด้วย ให้บริการคู่ไปกับเครื่องดื่มหลากหลาย รวมถึงม็อกเทลและค็อกเทลแก้วสวยที่มีแรงบันดาลใจมาจากดอกไม้นานาพรรณ อาทิ Lavande ค็อกเทลเบสจินและไวน์ Chablis ที่ดึงเอาความโดดเด่นของกลิ่นลาเวนเดอร์ออกมาได้อย่างดี หรือ Jasmin ค็อกเทลสีขาวบริสุทธิ์ที่ผสมผสานเตกิลาเข้ากับความหอมหวานของกลิ่นมะลิลงตัว และ Rose ค็อกเทลสีชมพูหวานหอมกลิ่นกุหลาบในเก้วก้านยาวดูแกลมไม่เบา นอกจากด้านอาหารแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คาเฟ่แห่งนี้โดดเด่นอย่างมากคงไม่พ้นการตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหน เริ่มตั้งแต่หน้าร้านที่ตรึงสายตาด้วยคอลเลกชันกระเป๋าถือ “Lady Dior” จากงานจักสานตอกไม้ไผ่ โดยศิลปินวาสนาและสาวินแห่งแบรนด์ Vassana ที่ต้องการสื่อถึงการเชื่อมโยงระหว่างสองวัฒนธรรมอย่างงดงาม เมื่อทอดสายตาไปด้านในก็ต้องตื่นตากับงานจักสานตอกไม้ไผ่สามมิติสุดวิจิตรครอบคลุมผนังทั้งร้าน รังสรรค์โดยศิลปินไทย “กรกต อารมย์ดี” ประดับด้วยงานจักสานรูปนกจากฝีมือศิลปินท้องถิ่นไทยเช่นกัน นกทุกชนิดล้วนเป็นนกพันธุ์ไทย มีพันธุ์อะไรบ้างลองดูนะ นอกจากนี้ เก้าอี้ Medallion Chair ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของดิออร์ยังถูกออกแบบขึ้นสำหรับสาขานี้อย่างสวยงาม ภายในร้านแบ่งที่นั่งเป็นโซนต่างๆ ได้แก่ Indoor, Outdoor และ Glass House โดยในโซนกลาสเฮาส์จะมีเพดานสูงและช่องแสงเปิดรับแสงธรรมชาติจากภายนอก แว่วว่าเร็วๆ นี้จะมีบริการอาหารคาวให้ลิ้มลองกันด้วย สำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่ทางเว็บไซต์ของดิออร์