ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแล้วที่ Duet by David Toutain (ดูเอ็ท บาย เดวิด ทูแทง) ห้องอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยโดย เชฟเดวิด ทูแทง (David Toutain) เชฟมิชลิน 2 ดาวจากปารีส ร่วมกับเชฟวาลองแต็ง ฟูอาซ (Valentine Fuache) พร้อมนำเสนอจานอร่อยสุดสร้างสรรค์จากวัตถุดิบตามฤดูกาล ภายใต้บรรยากาศกลาสเฮาส์แสนสวยบนชั้น 7 โรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ (The Ritz-Carlton, Bangkok) คอร์สเมนูใหม่ประจำฤดูใบไม้ผลิ “Spring Menu” มาพร้อมหลากหลายเมนูที่สดใหม่และงดงามดุจงานศิลปะ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Racines, Fleurs et Feuilles” เป็นภาษาฝรั่งเศสหมายถึง Roots, Flowers and Leaves ดึงเอาความอร่อยของพืชพันธุ์และสมุนไพรที่งอกงามยามฤดูหนาวผ่านพ้นทั้งในส่วนของ “ราก ดอก และใบ” มาสู่จานอาหาร อาทิ แนสเซอร์เทียม ฮอร์สแรดิช บรอนซ์เฟนเนล และต้นกระเทียมป่า ปรุงด้วยเทคนิคการทำอาหารฝรั่งเศสอย่างพิถีพิถัน และอย่างที่รู้กันว่าฤดูใบไม้ผลิมีระยะเวลาไม่ยาวนาน เราจึงอยากชวนให้รีบมาลิ้มลองสีสันและรสชาติแห่งฤดูกาลนี้กัน ประทับใจแรกพบด้วย Snacks 3 คำ Nasturtium ชูรสเผ็ดอ่อนๆ จากดอกแนสเซอร์เทียมผสานกลิ่นเย็นสดชื่นของเอพิเซีย Miso โรลครีมโฟมมิโสะขาวรสอ่อนโยนผสานกับเรนโบว์แรดิชกรุบกรอบ ปิดท้ายด้วย Horseradish เบนเย่ (Beignet) หรือโดนัทโฮมเมดสไตล์ฝรั่งเศสสอดไส้เมล็ดมัสตาร์ดและฮอร์สแรดิชรสเผ็ดซ่าทอปด้วยบีตรูตพูเร่ รสจัดจ้านแต่สดชื่นเรียกความอยากอาหาร แนะนำให้จับคู่กับไวน์หรือเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอลล์เพื่อความเพลิดเพลินยิ่งขึ้น คอร์สแรก Bronze Fennel หอยนางรม Ostra Regal ที่มีความครีมมีเคียงมากับถั่วชิกพี ทอปด้วยบรอนซ์แฟนเนลที่ให้กลิ่นและรสหวานปนเย็นซ่านิดๆ ขับให้โดดเด่น ตามด้วย Tarragon ลิ้มรสความหวานกรอบของหน่อไม้ฝรั่งต้นอวบ ตัดด้วยรสเปรี้ยวหอมซิตรัสของส้มคัมควอต เพิ่มความสดชื่นด้วยทาร์รากอนซอร์เบต์ ตามด้วยขนมปังอบใหม่เสิร์ฟกับเนยผสมน้ำมันเซจ จานถัดมา Kaffir Lime จับคู่เนื้อปูม้ากับซอสเห็ดมอเรล ผสานความอร่อยจากผืนป่าและท้องทะเลด้วยน้ำมันมะกรูดดึงความสดชื่น ตามด้วย Bear Garlic พืชป่าตระกูลเดียวกับกระเทียมและหอมที่หมีมักกินหลังออกจากฤดูจำศีลเพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหาร นำมาทำเป็นพาสตากระเทียมที่รสชัดแต่ไม่แรงให้กลิ่นหอมอ่อนๆ คอร์สต่อมา Basil เนื้อหมึกฝานเป็นเส้นเล็กๆ เข้ากับถั่วกรีนพีที่หวานและกรอบ ราดซอสที่ชวนสดชื่นจากกลิ่นโหระพา และ Wasabi ปลาพ็อลล็อกเนื้อนุ่มสอดแทรกกลิ่นรสเผ็ดซ่าของวาซาบิ เสิร์ฟเคียงกับจานหน่อไม้ฝรั่งขาวในโฟมครีมรสละมุน จานหลัก Seaweed เนื้อแกะย่างนุ่มและหอมไร้กลิ่นคาว จับคู่อย่างน่าสนใจกับสาหร่ายและไข่หอยเม่นที่ให้รสเค็มอ่อนๆ ของทะเลและรสหวานอูมามิ มากับจานเคียงมันบดเนื้อเนียนและเนื้อแกะตุ๋นจนนุ่มละลายในปาก ตามธรรมเนียมฝรั่งเศสต้องคั่นด้วยจานชีส ซึ่งเสิร์ฟเป็น Fleurs de Lacs ชีสเนื้อครีมมีเข้มข้นที่หอมอบอวลด้วยกลิ่นดอกไม้นานาพรรณ เสิร์ฟกับโทสต์ซาวร์โดฟรุตเบรดและเจลลีใบมะเดื่อดอง ก่อนเข้าสู่ Trou Normand ของหวานเคลียร์พาเล็ตต์ที่อินสไปร์จากวัฒนธรรมการดื่มคาลวาโดส (Calvados เหล้าแอปเปิล) ของแคว้นนอร์มังดี แอปเปิลซอร์เบต์และเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ ทอปด้วยไลม์ฟิงเกอร์ ตามด้วย Verbena ของหวานจากสมุนไพรที่ให้กลิ่นเลมอนชวนสดชื่น ทอปด้วยเจลลีทำจากเหล้ามักกอลลีของเกาหลีรสละมุน เสิร์ฟกับซอร์เบต์มะนาวและไบไทม์ อร่อยและรีเฟรชมาก ก่อนปิดท้วยด้วย Petit Fours “ทาร์ตเบียร์” ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมการกินวาฟเฟิลกับเบียร์แบบเบลเยียมที่เชฟชื่นชอบ ให้รสเบียร์เข้มข้นทั้งหอมและขมดึงดูดใจ Duet by David Toutain Spring Menu รวมความสดชื่นของฤดูใบไม้ผลิมาไว้ในจานอาหารอย่างน่าประทับใจ ชวนให้เพลิดเพลินไปกับการจับคู่วัตถุดิบอันแตกต่างเข้าด้วยกันอย่างลงตัว จนถึงศิลปะในการจัดจานที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจทุกรายละเอียด มาสัมผัสรสชาติอันลึกล้ำของวัตถุดิบในฤดูใบไม้ผลิกันได้ตั้งแต่วันนี้

G&C กลับมาเยือน Patt Bangkok ร้านอาหารไฟน์ไดนิงที่นำเสนออาหารยุโรปร่วมสมัยผสานกลิ่นอายจีนของ เชฟบิ๊ก-อรรถสิทธิ์ พัฒนเสถียรกุล อีกครั้ง ซึ่งใครเป็นแฟนของเชฟส์เทเบิลลับในโรงพิมพ์ “อยากทำแต่ไม่อยากกิน” ต้องจดจำเชฟผู้เปี่ยมเอเนอร์จีคนนี้ได้ดี และที่เรากลับมาครั้งนี้เพราะได้ข่าวว่าเชฟบิ๊กปลุกปั้นเมนูสำหรับฤดูกาลใหม่ของร้าน “Chapter 2” เสร็จแล้ว “จากที่คิดไว้ว่าจะปรับเมนูใหม่ทุก 3 เดือน ตอนนี้ผมจะปรับทุก 2 เดือนแล้วครับ” เชฟบิ๊กเล่าอย่างเปี่ยมพลังงานเหมือนทุกที นั่นเพราะเขากำลังสนุกกับการเฟ้นหาวัตถุดิบที่น่าสนใจจากทั่วโลกมาสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ในแบบของต้วเอง ให้แขกทั้งขาประจำและขาจรได้ลิ้มลองกัน อาหารของ Patt Bangkok ต่างจากร้านอื่นๆ ของเชฟบิ๊ก เพราะยกระดับสู่ความเป็นไฟน์ไดนิงเต็มรูปแบบ สำหรับเมนูใน “Chapter 2” จะมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้นในการนำเสนออาหารโมเดิร์นยูโรเปียนโดยมีอิทธิพลของอาหารจีนมาผสมผสาน สร้างความแตกต่างด้วยวัตถุดิบและซอสที่มีเอกลักษณ์ ออกมาเป็นหลากหลายจานอร่อยใหม่ อาทิ จานเรียกน้ำย่อย Oyster Ostra Regal Gold จากฝรั่งเศส เกลซด้วยซอสพอนสึ ทอปด้วยโฟมหอยตลับให้รสชาติของทะเล เคียงมากับคิวคัมเบอร์มินต์ไลม์เชอร์เบตที่ให้ความเปรี้ยวสดชื่น วางมาบนหอมแดงเจียวและพริกเผาโฮมเมดเพิ่มรสชาติและสัมผัสกรอบ เสิร์ฟกับซอสกระถินคาเวียร์ ชวนให้นึกถึงสไตล์การกินหอยนางรมแบบไทยๆ ในรูปแบบที่เลิศหรู อีกจานที่เราชอบมาก Lobster ซึ่งเชฟนำส่วนหางและก้ามมาย่างถ่านบินโจตัน เนื้อหวานและชุ่มฉ่ำมาก เสิร์ฟกับซอสล็อบสเตอร์บิสก์หอมเข้มข้น เคียงด้วยผักโขมและพูเรเห็ดชิตาเกะ ทอปด้วยซอสฮอลันเดสขิง ในจานยังมี ติ่มซำบอล ที่ทำจากเนื้อล็อบสเตอร์ห่อแป้งปอเปียะทอดกรอบซอสเอ็กซ์โอ อร่อยและเคี้ยวเพลินไปกับสัมผัสหลากหลาย จานหลักในฤดูกาลนี้คือ Duck Pithivier พัฟฟ์อบสอดไส้เนื้อเป็ดและฟัวกราส์ ผสานรสด้วยรากบัว เสิร์ฟกับซอสฮอยซินสไตล์จีนและทรัฟเฟิล มีทั้งความเข้มข้นและหอมละมุน เป็นอีกจานที่จะทำให้เราหลงรักร้านนี้ได้ไม่ยาก ด้านของหวานจานใหม่ Soufflé ซูเฟล่สอดไส้ชีสบรีเค็มนัวกลมกล่อม ตัดรสด้วยเคิร์ดพุทราจีนคาราเมลไลซ์และรากบัวจีน เสิร์ฟกับสับปะรด 3 แบบ เจลลีสับปะรด สับประรดคาราเมลไลซ์ และไอศรีมสับปะรดขิง ให้รสเปรี้ยวอมหวานสดชื่น ของหวานจานนี้เชฟบิ๊กคิดขึ้นในโอกาสที่ครอบครัวได้ต้อนรับสมาชิกใหม่คือลูกสาวคนแรกของเชฟนั่นเอง Patt Bangkok ตกแต่งด้วยแรงบันดาลใจจาก Press Room หรือห้องพิมพ์เก่าแก่ของยุโรปผสานความหรูหราของ Opera House สอดแทรกด้วยรายละเอียดที่สื่อถึงการพิมพ์อย่างประตูห้องไพรเวตที่จำลองมาจากห้องพิมพ์แห่งแรกของโลก ตัวเรียงพิมพ์ประดับเป็นชื่อร้าน หรือม้วนพิมพ์เหนือครัวเปิด ทั้งหมดล้วนสื่อถึงโรงพิมพ์ที่ตั้งร้านซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวของเชฟบิ๊กเอง โดยจะมีมินิมิวเซียมตรงโถงทางเข้ามายังลิฟต์จัดแสดงแท่นพิมพ์และอุปกรณ์การพิมพ์ยุคก่อนไว้ด้วย จากเชฟส์เทเบิลอยากทำแต่ไม่อยากกินสู่ Patt Bangkok บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของเชฟบิ๊กที่ค้นหาและรังสรรค์รสชาติความอร่อยใหม่อยู่เสมอ อย่างที่บอกว่าทางร้านจะปรับเมนูทุก 2 เดือน ไม่อยากพลาดความอร่อยใน Chapter 2 ต้องรีบแล้ว

ใครเคยลิ้มลองเพสตรีตำรับฝรั่งเศสที่ Blue by Alain Ducasse ร้านอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยดีกรีมิชลินสตาร์ 5 ปีซ้อนที่ไอคอนสยาม โดยเชฟชื่อดังระดับโลก เชฟอลัง ดูคาส ต้องติดใจรสชาติความอร่อยที่รังสรรค์จากวัตถุดิบชั้นเลิศและเทคนิคขั้นสูง มาตอนนี้เราจะได้ลิ้มลองหลากหลายเมนูเพสตรีและเบเกอรี่แสนอร่อยได้มากกว่าเดิมและได้ทุกวันที่ Blue Café by Alain Ducasse คาเฟ่แห่งแรกโดย Blue by Alain Ducasse พร้อมเสิร์ฟความอร่อยแล้วที่สยามพารากอน ชั้น G ฝั่งนอร์ธ ขนมอบที่ทั้งสวยและอร่อยในคาเฟ่แห่งนี้ ดูแลโดย เชฟคริสตอฟ กรีโล (Christophe Grilo) Executive Pastry Chef & Artisan Baker แห่งร้าน Blue by Alain Ducasse ผู้เชี่ยวชาญการทำขนมอบกว่า20 ปี มาพร้อมหลากหลายเมนูที่โดดเด่นทั้งด้านรสชาติ เนื้อสัมผัส และหน้าตา ทำด้วยความพิถีพิถันแบบอาร์ติซานให้เราได้ลิ้มลอง เมนูไฮไลต์ ได้แก่ ขนมอบขึ้นชื่อของฝรั่งเศส “Madeleine” (มาเดอแลง) ที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงและทางร้านจะอบแบบ “á la minute” หรืออบใหม่เมื่อได้รับออเดอร์เท่านั้น โดยรอเพียง 8 นาทีก็จะได้ลิ้มรสมาเดอแลงสดใหม่จากเตา เป็นประสบการณ์ความอร่อยสุดพรีเมียม มีหลากลายรสชาติทั้งซิกเนเจอร์และคลาสสิก อาทิ มาเดอแลงพิสตาชิโอ มาเดอแลงบลูเบอร์รี มาเดอแลงช็อกโกแลต มาเดอแลงวานิลลา มาเดอแลงเลมอน เนื้อนุ่มฟูหอมมาก ตามด้วยครัวซองต์รสชาติต่างๆ ที่อบอย่างพิถีพิถัน อาทิ Classic Croissant ครัวซองต์ผิวนอกกรอบบางเนื้อเบาฟู Pain Chocolat ครัวซองต์สอดไส้ช็อกโกแลตเข้มข้น Bow Tie Croissant ครัวซองต์รูปโบว์เมนูแนวใหม่สอดไส้ช็อกโกแลตและพราลีเน่ นอกจากนี้ยังมีขนมอบหน้าต่างๆ ที่ใช้วัตถุดิบชั้นดีจากทั่วโลก อาทิ Strawberry Danish ใช้สตรอว์เบอร์รีสดหวานจากยามะดะฟาร์มที่ประเทศญี่ปุ่น Phuket Pineapple Danish ใช้สับปะรดภูเก็ตของไทย Flan Vanilla ทาร์ตไข่สไตล์ฝรั่งเศสที่หรูหรา กรอบนอกเนื้อในละมุนหอมวานิลลา จับคู่กับเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลตทั้งแบบร้อนและเย็น ใช้โกโก้จาก Le Chocolat Alain Ducasse รสเข้มข้นกลมกล่อม ทอปด้วยครีมเนื้อเนียนสไตล์ฝรั่งเศส ชาร้อนและเย็นหลากรสชาติ รวมทั้งชาเบลนด์พิเศษตำรับของร้าน Blue by Alain Ducasse และกาแฟคัดพิเศษจากโรงงานของอลังดูคาส ในช่วงเปิดตัวนี้ ทางร้านชวนร่วมสนุกกับแคมเปญ Blue Café’s Dipping Culture” กินขนมอบแบบคนฝรั่งเศสด้วยการจุ่มลงในช็อกโกแลตหรือกาแฟ พร้อมติดแฮชแท็ก #DipwithBlue #Bluecafebangkok #bluecafebyalainducasse หรือทำ Google Review รับฟรีมาเดอลีน 1 ชิ้นต่อโพสต์ต่อท่าน ตั้งแต่ 11 กุมภาพันธ์ถึง 31 มีนาคมนี้ Blue Café by Alain Ducasse เปิดให้บริการทุกวันที่สยามพารากอน ชั้น G ฝั่งนอร์ธ สั่งซื้อสินค้าหรือสอบถามเพิ่มเติมโทร 06-1267-2775 หรือไลน์ ID @blue.cafe

สายฟู้ดคนไหนแวะมา One Bangkok แล้วเกิดท้องร้องจ๊อกๆ เราแนะนำให้ไปเช็คอิน “The House Brasserie” ร้านอาหารฝรั่งเศสฟิวชั่นเปิดใหม่เครือ GINGER FARM kitchen ที่ครั้งนี้กลับมาเอาใจนักชิมด้วยจานอร่อยสไตล์ฝรั่งเศสฟิวชั่น ที่รังสรรค์จากทีมเชฟคนไทยมากประสบการณ์ แน่นอนว่าอาหารยังคงคอนเซ็ปต์ Farm to Table วัตถุดิบส่วนใหญ่ลำเลียงมาจากฟาร์มออร์แกนิกแห่งเชียงใหม่ส่งตรงสู่เมืองกรุงฯ พร้อมเสิร์ฟให้คุณลิ้มลองถึงที่ นอกจากด้านอาหารที่น่าสนใจแล้ว The House Brasserie ยังมีบรรยากาศคึกคักชวนให้หลงใหลด้วยการโทนสีสันคัลเลอร์ฟูลอย่าง น้ำเงิน สีเหลืองและสีเขียว เสริมความเก๋ไก๋ด้วยเฟอร์นิเจอร์ทั้งเก๋าอี้ไม้ไผ่ โคมไฟหวาย งานฝีมือของชาวเหนือที่สวยงามและน่ายกย่อง นอกจากนี้ยังมีจานชามจากเมืองเชียงใหม่ที่สื่อถึงความเป็น GINGER FARM kitchen ได้อย่างดีเยี่ยม จานแรกเป็น Scallop Ceviche หอยเชลล์ฮอกไกโดเนื้อสดหวาน คลุกเคล้าน้ำยำสไตล์สเปนที่ได้รสเปรี้ยวสดชื่นจากส้ม เลมอน เพิ่มกลิ่นหอมๆ ด้วยสนุนไพรนานาพันธุ์ ตามด้วย Salmon Tartare ทาร์ทาร์รสกลมกล่อมที่ประกอบด้วยแซลมอนหั่นเต๋า อะโดคาโด มะม่วงสุก เคเปอร์ โรยด้วยมันฝรั่งทอดและไข่ปลาแซมอน Mushroom Tartine แซนด์วิชหน้าเปิด ทางร้านใช้ขนมปังซาวร์โดว์โฮมเมดเนื้อเนียวนุ่ม กินพร้อมเห็ดผัดเบคอนสไตล์อิตาเลียน เพิ่มความอิ่มเอมด้วยโพ้ชเอ้กอีกที ขาดไม่ได้กับ French Onion Soup Pain Perdu ซุปหัวหอมสไตล์ฝรั่งเศสที่ได้รสหวานนุ่มนวลจากหัวหอมผัดคาราเมล เติมความครีมมีด้วยชีสกรูแยร์ และกลิ่นหอมฟุ้งจากใบไธม์ คนรักพาสต้าต้องสั่ง Parisian Gnocchi ญ็อกกี้ โฮมเมด เกี๊ยวสไตล์อิตาเลียนชิ้นจิ๋วที่ทำจากมันฝรั่งเนื้อนุ่ม ผัดพร้อมซอสครีมเห็ดผสมพริกหยวกอบ กินอร่อยไม่แพ้ใคร จานหลักเป็น Chicken Mushroom อกไก่ซูวีเนื้อฉ่ำใน ไปด้วยกันได้กับกับซอสครีมเห็ดรสเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมมันบดเนื้อเนียน และสลัดผักกรุบกรอบ เอาใจมีตเลิฟเวอร์ด้วย Steak Frites เสต็กเนื้อวากิวออสเตรเลีย (ส่วนสันนอก) ต่างเตาถ่านหอมๆ จนได้สัมผัสชุ่มฉ่ำ ราดด้วยซอสไวน์แดงรสเข้มข้น กินคู่มันฝรั่งทอด และผักสลัด มาถึงคิวของหวานกันบ้าง Suzette Chiffon นี่น่าสนใจ เค้ฟชิฟฟอนเนื้อฟูๆ หอมกลิ่นวานิลลา เพิ่มความกรุบกรอบด้วยครัมเบิ้ลเคี้ยวเพลิน ท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลาหอมมันชื่นใจ ตัดรสด้วยซอสส้มรสเปรี้ยวอมหวาน Chocolate Mousse ก็ฟินไม่แพ้กัน มูสช็อกโกแลตเนื้อแน่นเนียน กินกับคาเคานิบส์กรุบๆ วิปครีมปุกปุย และส้มซ่า Yuzu Sorbet ยุซุซอร์เบทรสเปรี้ยวชื่นใจ เติมรสหวานธรรมชาติด้วยองุ่นไซมัสคัสลูกโตๆ และองุ่นแดงฉ่ำๆ กินพร้อมเลมอนเคิร์ดรสนุ่มนวล เครื่องดื่มเราขี้เป้า Signature Hot Chocolate ช็อกโกแลตร้อนขวัญใจสายหวาน ที่ทำมาจากช็อกโกแลตชั้นดีจากเมืองเชียงใหม่ ผสมผิวส้มสดชื่นหอมฟุ้ง กินกับวิปครีมตีสดถูกใจเด็กอ้วน ใครชอบจิบสมูตตี้ หรือค็อกเทลที่ร้านก็มีเสิร์ฟนะ

เป็นปีที่ดีสำหรับฟู้ดดี้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะแม้เพิ่งย่างเข้าเดือนแรก เราก็ได้ลิ้มรสอาหารระดับเชฟมิชลินสตาร์กันอีกแล้ว ยิ่งใครที่ชื่นชอบอาหารฝรั่งเศส ต้องบอกว่าครั้งนี้จะได้สัมผัสกับอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยชั้นเลิศที่จะมอบมื้ออาหารอันน่าจดจำอย่างแน่นอน ที่ Duet by David Toutain (ดูเอ็ท บาย เดวิด ทูแทง) โดยสองเชฟชาวฝรั่งเศส เชฟเดวิด ทูแทง (David Toutain) และเชฟวาลองแต็ง ฟูอาซ (Valentine Fuache) ในบรรยากาศกลาสเฮาส์ที่ทั้งหรูหราและร่มรื่นด้วยสวนสวย ในโลเกชันสุดพิเศษที่เทอร์เรสชั้น 7 โรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ โอบรับวิวอันแสนงดงามเหนือสวนลุมพินีแบบพาโนรามา เชฟเดวิด ทูแทง เชฟและเจ้าของร้านอาหาร David Toutain แห่งกรุงปารีส เจ้าของสองดาวมิชลินสตาร์ ร่วมด้วยดาวสีเขียว Michelin Green Star ซึ่งมอบแก่ร้านอาหารที่ยึดหลักเพื่อความยั่งยืน (Sustainability) ทั้งด้านการคัดสรรวัตถุดิบและการดำเนินงาน เชฟทูแทงจะนำเอาปรัชญาและแนวทางในการทำอาหารของเขามาสู่ร้าน Duet by David Toutain ที่กรุงเทพฯ แห่งนี้ด้วย เชฟทูแทงเติบโตมาในแคว้นนอร์มังดีของฝรั่งเศส ที่ซึ่งเขามักไปเยี่ยมฟาร์มของคุณปู่คุณย่าจนเกิดความหลงใหลในความอร่อยของวัตถุดิบที่สดใหม่ ที่ Duet by David Toutain เราจะได้เห็นเทคนิคการทำอาหารชั้นยอดควบคู่กับมุมมองด้านศิลปะ และการเชิดชูวัตถุดิบอย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะยังหนุ่มแต่เชฟทูแทงก็ผ่านการร่วมงานกับเชฟชั้นนำและเชฟระดับตำนานของฝรั่งเศสมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเชฟ Alain Passard เชฟ Pierre Gagnaire เชฟ Bernard Pacaud และเชฟ Marc Veyrat ร่วมกับประสบการณ์ที่ได้จากการเดินทางรอบโลก เชฟจะนำสิ่งที่เก็บเกี่ยวมารังสรรค์จานพิเศษที่น่าตื่นตาให้นักกินชาวไทยได้ลิ้มลอง Duet หมายถึงการร้องประสานเสียง ฉะนั้นเชฟทูแทงจึงไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมเชฟวาลองแต็ง ฟูอาซ ผู้เปี่ยมด้วยเทคนิคและประสบการณ์เช่นกัน เชฟฟูอาซเคยร่วมงานกับร้านอาหารมิชลินสตาร์ทั้งในฝรั่งเศสและประเทศไทย และครั้งนี้เขาจะมาร่วมสอดผสานแนวคิดและพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์อาหารในตำแหน่ง Chef de Cuisine แก่ห้องอาหารแห่งนี้ ภายในเรือนกระจกที่ออกแบบอย่างงดงามคือห้องอาหาร 32 ที่นั่ง ซึ่งจัดเสปซอย่างพิถีพิถันมอบความเป็นส่วนตัวให้แก่แขกทุกโต๊ะ ภายในให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในสวนพฤกษศาสตร์อันงดงาม ดีไซน์หมดจดตั้งแต่พื้นจรดเพดานสูงล้อมรอบด้วยสวนสวยเขียวขจี ใครมองหาห้องอาหารที่มอบบรรยากาศโรแมนติก หรือฟังก์ชั่นที่เป็นส่วนตัว ที่นี่ตอบโจทย์อย่างมาก แต่ที่เป็นไฮไลต์ของห้องอาหารแห่งนี้คงไม่พ้นจานอาหารที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เพียงแค่อะมูสบุชถูกยกมาก็เห็นได้ถึงความเป็นศิลปะสุดพิถีพิถันตั้งแต่จานแรก อาหารทั้ง 8 คอร์สจะเสิร์ฟมาพร้อมการ์ดแนะนำวัตถุดิบ บอกเล่าเรื่องราวของเหล่า “Herbs” หรือเครื่องเทศและสมุนไพรจากทั่วโลก ซึ่งจะมีบทบาทอันน่าสนใจและการจับคู่ที่ชวนตื่นตาในแต่ละจาน ค่อยๆ ไต่ระดับไปทีละคอร์สราวกับท่วงทำนองที่น่าอภิรมย์ อาทิจานแรก Tarragon, Ostra Regal Oyster, Kiwi จับคู่หอยนางรมสดกับซอสครีมสมุนไพรและทาร์รากอนออยล์ เติมรสเปรี้ยวสดชื่นด้วยกีวีหลากหลายเท็กซ์เจอร์และความกรุบกรอบจากกรูตอง เรียกความอยากอาหาร ตามด้วย Shiro Kyoto Miso, Tuna, Eggplant ทูน่าเคียวร์ปรุงรสแบบทาทาร์ ทอปด้วยมะเขือคาเวียร์และมะเขือชิปส์ แต่งกลิ่นอายญี่ปุ่นด้วยซอสมิโสะขาวจากเกียวโตอูมามิกลมกล่อม จานต่อมา XO Sauce, Brittany Scallop, Cauliflower เชฟเลือกใช้หอยเชลล์จากบริตตานีจับคู่กับซอสเอ็กซ์โอที่เชฟทำขึ้นเอง เคียงด้วยดอกกะหล่ำทั้งแบบพูเร่และทอดเทมปุระ ต่อด้วยจานที่มีตัวเอกเป็นเครื่องเทศของไทยอย่าง Panang, Foie Gras, Passion Fruit ฟัวกราส์นาบกระทะมีความครีมมีเข้ากับซอสพะแนงที่ร้อนแรงอย่างลงตัวและหอมมาก ตัดด้วยความเปรี้ยวของเสาวรสทำให้ยิ่งกินเพลิน ตามด้วยจานที่น่าพิศวง Dill, Artichoke Barigoule, Black Sesame มีแรงบันดาลใจจากเมนูอาร์ติโชคตำรับคลาสสิกของแคว้นโพรวองซ์ จับคู่กับกลิ่นหอมที่มีความซับซ้อนของผักชีลาว ชวนหลงไหลด้วยสีดำขลับของงาดำ   เริ่มเข้าสู้จานหลักด้วยซีฟู้ด Épicéa, Brittany Blue Lobster, Broccolini บริตตานีล็อบสเตอร์ย่างถ่านบินโจตันเนื้อหวาน เสิร์ฟกับผักต่างๆ ได้แก่ บร็อคโคลินี บ๊อกฉ่อย และผักเคล ราดล็อบสเตอร์ซอส ทอปด้วยซอสซาบายอนซอสใส่เอพิเซียให้กลิ่นแบบเลมอนและความเย็นจากเอพิเซียที่เป็นพืชตระกูลสน เคียงมาด้วยอีกจานคือเนื้อล็อบสเตอร์ห่อกะหล่ำปลีเกลซด้วยเอพิเซีย เป็นจานที่เราชอบมากๆ ตามด้วย Tamarind, Brittany Pégeon, Turnip นกพิราบจากฝรั่งเศสย่างทั้งตัวด้วยถ่ายบินโจตันจนหอม เสิร์ฟกับหัวผักกาดหลายเท็กซ์เจอร์ ราดจุสเข้มข้นใส่มะขามและมัลเบอร์รีให้สีแดงสวย และไส้กรอกย่างซอสมะขามเป็นของทานเล่นที่มีแรงบันดาลใจมากจากไส้อั่วของไทย ตามลำดับการกินแบบฝรั่งเศสต้องคั่นด้วยจานชีส แต่เป็นชีสแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน Fig Leaves, Red Port Stilton ชีสสติลตันที่ขึ้นชื่อด้านกลิ่นและรสที่เข้มข้น เสิร์ฟกับซาวร์โดฟรุตเบรดอบกรอบ อุเมะชูเอ็กซ์แทรกชั่น และเจลลีใบมะเดื่อเพิ่มความหอมหวาน ทอปด้วยใบมะเดื่อที่ทางร้านดองเองเพิ่มความอมเปรี้ยวตัดกับความเข้มข้นของชีสได้อย่างกลมกล่อม จานคั่นก่อนของหวาน Trou Normand มีที่มาจากวัฒนธรรมการดื่มคาลวาโดส (Calvados เหล้าแอปเปิล) ของบ้านเกิดของเชฟที่แคว้นนอร์มังดีเพื่อช่วยย่อยและคลีนรสชาติในปาก แต่จานนี้ไม่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ มีเพียงเฟรชครีมจากนอร์มังดี แอปเปิลซอร์เบต์ และแอปเปิลรีดักชั่น ร่วมกับเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ที่หวานหอมเข้ากันได้ดีกับรสเปรี้ยวของแอปเปิล สดชื่นมาก ปิดท้ายด้วยจานของหวานที่ทั้งสวยงามและอร่อย Coriander, Pineapple จับคู่กลิ่นเฉพาะตัวของผักชีในรูปแบบซอร์เบต์ เข้ากับรสหวานหอมของสับปะรดหลากหลายเท็กซ์เจอร์ ทั้งสับปะรดเชื่อม สับปะรดอบกรอบ ครีมสับปะรด ชวนสดชื่นอย่างที่สุด ตามด้วย Petit Fours ที่มาแบบชิ้นใหญ่ วาฟเฟิลกรอบเสิร์ฟกับซอสคาราเมลและครีม อาหารของเชฟทูแทงขึ้นชื่อด้านการใช้เทคนิคการทำอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยชั้นสูง นำเสนอรสสัมผัสที่หลากหลายของวัตถุดิบชนิดเดียวกันได้อย่างสร้างสรรค์ ร่วมกับการจับคู่รสชาติของวัตถุดิบต่างๆ ได้อย่างโดดเด่น ออกมาเป็นรสชาติที่ทั้งอร่อยและมีเอกลักษณ์ ทั้งยังมีศิลปะในการจัดจานที่สวยงามละเมียดละไม โดยไม่ทิ้งความเรียบง่ายที่เข้าถึงได้ในความเป็น Farm-to-Table เรียกว่าเห็นความตั้งใจของเชฟที่สื่อสารอยู่ในทุกรายละเอียดของอาหารแต่ละจานอย่างน่าประทับใจ Duet by David Toutain เปิดให้สำรองที่นั่งแล้วที่ www.ritzcarlton.com/en/hotels/bkkrb-the-ritz-carlton-bangkok/dining/ และสำหรับใครที่มาดินเนอร์ เราอยากให้เผื่อเวลาสักนิดเพื่อจะได้ดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินพร้อมแชมเปญฉ่ำๆ สักแก้ว โรแมนติกสุดๆ ไปเลย

ใครคิดถึงอาหารที่อัดแน่นด้วยความสร้างสรรค์และพิถีพิถันของร้าน STAGE (สตาช) ร้านอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยแห่งย่านเอกมัย ดีใจได้เลย เพราะตอนนี้ เชฟเจย์ - สายนิสา แสงสิงแก้ว พาร้าน STAGE กลับมาอีกครั้ง ในบ้านหลังใหม่กลางซอยสาทร 9 ติดกับร้าน Copine (โคปีน) ร้านอาหาร All Day Dining ที่กำลังอินเทรนด์ อีกร้านหนึ่งที่เชฟเจย์ดูแลความอร่อยอยู่เช่นกัน กลับมาครั้งนี้ ร้าน STAGE มาในรูปแบบไฟน์ไดนิงอย่างเต็มตัว ให้แฟนๆ ของร้านเดิมรวมถึงผู้ที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน ได้อิ่มเอมไปกับคอร์สอาหารที่แปลกใหม่และน่าสนใจกว่าที่ผ่านมา สะท้อนถึงความตั้งใจและความเติบโตของเชฟเจย์ เสริมทัพด้วยทีมเชฟมากความสามารถที่มีความมุ่งมั่น ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นส่วนตัวและหรูหราด้วยโทนสีน้ำเงินเข้ม มองเห็นครัวเปิดที่สว่างไสวและขวักไขว่ไปด้วยเหล่าเชฟที่ตั้งใจปรุงอาหารดุจเวทีที่ดึงดูดทุกสายตาให้จับจ้อง STAGE โฉมใหม่ให้บริการในรูปแบบ Chef’s Table รองรับ 12 ที่นั่ง นำเสนออาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยที่ปรุงด้วยเทคนิคการทำอาหารแบบฝรั่งเศสแท้ๆ โดดเด่นด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพดีในบ้านเราที่สรรหาด้วยแนวคิดเพื่อความยั่งยืน (sustainability) ผสานกับวัตถุดิบพรีเมียมจากทั่วโลก   ในเทสติงเมนู 8 คอร์ส เชฟเจย์มอบความท้าทายให้กับทั้งตัวเองและคนกินได้ดำดิ่งลงไปในความซับซ้อนของรสชาติและสัมผัสอันหลากหลายที่สอดประสานอย่างลงตัว นำเสนอแบบร่วมสมัยสวยตรึงใจ เป็นประสบการณ์มื้ออาหารที่มอบอรรถรสแก่ทุกประสามสัมผัสอย่างแท้จริง เริ่มต้นด้วย Bites ของว่างคำเล็กน่ารัก ได้แก่ ฟัวกราส์เคลือบเจลลีไวน์ร้อนใส่กัมมีแครนเบอร์รี วาฟเฟิลสอดไส้มูสหอยแมลงภู่ และทาร์ตเล็ตต์กุ้งหวานอามะเอบิแต่งดอกไม้กินได้ ก่อนเข้าสู่จานเรียกน้ำย่อยแบบเย็นกับ Eel ปลาไหลทะเลจากฮอกไกโดรมควัน คลุกเคล้าครีมมาสคาโปนและแครมเฟรชให้สดชื่น เพิ่มมิติด้วยเมล็ดมัสตาร์ดดองและแอปเปิล คั่นด้วยแผ่นเจลลีสับปะรด ทอปด้วยคาเวียร์โอเชียสตรา เสิร์ฟกับซอร์เบต์ที่ได้แรงบันดาลใจจากค็อกเทล Old Fashion รสเปรี้ยวอมหวานช่วยปรับรสชาติในปากได้ดี ตามด้วยจานไฮไลต์ที่เราชอบ Crab ก้ามปูจากภาคใต้ของไทยนึ่ง ห่มผ้าห่มเจลลีมะเขือเทศ เสิร์ฟกับข้าวฮางจากสกลนครผัดซอส XO ที่ทางร้านทำเองจากทริมมิ่ง (ชิ้นส่วนที่เหลือจากการตัดแต่ง) ของเนื้อหมูอิเบริโค ใส่มันปูให้หอมมัน โรยหน้าด้วยอิเบริโคอบกรอบ เคียงด้วยซุปคอนซอมเมปู ข้าวฮางให้สัมผัสเคี้ยวหนุบคล้ายข้าวเหนียวและซึมซับรสชาติของซอสได้ดี เป็นจานที่ได้ความอร่อยจากปูทั้งตัว จานต่อมา Scallop หอยเชลล์เนื้อหวานทอดในซอสเนย ทอปด้วยครัสต์สาหร่ายเพิ่มรสเค็มและอูมามิ ตัดด้วยความเปรี้ยวนิดๆ ชวนสดชื่นจากเห็ดกิโรส์ดองเนื้อแน่นนุ่มเคี้ยวเพลิน ตามด้วยจานปลา Pinjalo ปลาแดงหางบ่วงจากเกาะหลีเป๊ะ เป็นปลาสกุลเดียวกับปลากะพง ซึ่งเชฟนำไปเอจกับซอสบราวน์บัตเตอร์ให้รสชาติและสัมผัสที่นุ่มเด้งของเนื้อปลา ราดซอสเวอร์จิน (Vierge Sauce) สไตล์ฝรั่งเศส เคียงด้วยต้นกระเทียมสอดไส้เนื้อปลา ทอปด้วยโอเชียสตราคาเวียร์ จานหลักมีให้เลือกระหว่าง Furano A4 เสต็กเนื้อฟุราโนะระดับเอสี่ เสิร์ฟกับมันบดเนื้อนวลเนียนครีมมีและเห็ดมอเรลในซอสบอร์เดเลซ และ Duck & Foie Gras Pithivier แป้งพัฟฟ์สอดไส้เนื้อเป็ดและฟัวกราส์ เป็นอีกจานที่ชวนว้าวด้วยหน้าตาที่สวยงามและอัดแน่นด้วยความอร่อยชุ่มฉ่ำภายใน ตัวแป้งบางอร่อยส่วนครัสต์ก็กรอบกำลังดี ปาดกับซอสเข้มข้นดีงามมาก สำหรับของหวานเรียกว่าเป็นดังงานศิลปะ เริ่มด้วยจานแรก Fig/ Fig Leaves ที่ทุกเลเยอร์ทำจากผลและใบมะเดื่อให้สีชมพูสวยดุจอัญมณี รสหวานอมเปรี้ยวสดชื่น ตามด้วย White Truffle / Cheese Cake ภายใต้ทรัฟเฟิลฝานบางเรียงสวยเป็นบรีชีสเค้กและเฮเซลนัทพราลีเน่หวานมันกลมกล่อม ก่อนปิดท้ายด้วย Petit Fours อร่อยและสวยงามไม่แผ่วจนจานสุดท้าย ใครที่ติดตาม STAGE มาแต่แรกจะเห็นว่าเชฟเจย์มุ่งมั่นพัฒนาอาหารของตนเองเสมอจนออกมาเป็นเวอร์ชั่นต่างๆ มากมาย สำหรับชื่อร้าน Stage ที่ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า เด็กฝึกงาน ก็เปรียบได้ดั่งตัวเชฟเจย์ที่รักในการเรียนรู้และหลงใหลในสิ่งที่ทำอยู่เสมอ และยังหมายถึง ‘เวที’ สำหรับแสดงฝีมือที่ขัดเกลามาให้ผู้มาเยือนได้รับชมและรับชิมกันอีกด้วย   ร้าน STAGE ก็ได้เติบโตจากเด็กฝึกงานสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่ STAGE สาทร แห่งนี้เอง มาลิ้มลอง Tasting Menu 8 คอร์ส ได้ในราคา 4,800++ บาท และเพิ่มไวน์แพร์ริ่งโดย The Wine Merchant 6 แก้วในราคา 2,900++ บาท

ใครที่มองหาร้านอาหารไฟน์ไดนิงที่มอบประสบการณ์ที่แตกต่างทั้งด้านคอนเซ็ปต์และรสชาติ เราอยากให้มาที่ MOTOï Bangkok (อ่านว่า โม-โต-อิ) ซึ่งเป็นร้านสาขาของร้าน Motoi Restaurant Kyoto ร้านอาหารที่ครอง 1 ดาวมิชลินต่อเนื่องถึง 10 ปีจากเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น โดยการนำของ เชฟโมโตอิ มาเอดะ (Motoi Maeda) ร้านลูกที่กรุงเทพฯ แห่งนี้พร้อมแล้วที่จะนำเสนออาหารรูปแบบใหม่ให้นักกินได้ลิ้มลองตั้งแต่ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป บรรยากาศของที่นี่เรียกว่าชวนประทับใจตั้งแต่ช่วงเวลาที่เดินผ่านสวนอันร่มรื่นไปจนถึงตัวร้าน ชวนให้นึกว่าอยู่ที่ญี่ปุ่นเลยทีเดียว ตัวร้าน MOTOï Bangkok ตั้งอยู่ด้านในสุดของโครงการ Patom Organic Living รายล้อมด้วยต้นไม้หนาตา สัมผัสได้ถึงความสงบแม้อยู่ใจกลางสุขุมวิท ตัวร้านออกแบบด้วยแรงบันดาลใจจากหลักสุนทรียศาสตร์ “Wabi-Sabi” ที่ให้คุณค่ากับความงามที่เกิดจากความเรียบง่าย แต่เห็นได้ชัดถึงความประณีตและใส่ใจในทุกรายละเอียด เมื่อผ่านครัวเปิดขนาดใหญ่จะเป็นโซนเคาน์เตอร์ 8 ที่นั่งที่สามารถชมการเตรียมอาหารได้อย่างใกล้ชิด และมีวิวสวน Zen Rock Garden เป็นฉากหลัง และโซนโต๊ะอาหาร 3 โต๊ะติดกระจกบานใหญ่เปิดรับทัศนียภาพสวนสวย เอกลักษณ์ในอาหารของเชฟโมโตอิเกิดจากเส้นทางที่น่าทึ่ง เขาเกิดที่เมืองเกียวโตซึ่งมีวัฒนธรรมอาหารอันเก่าแก่ และความที่บ้านเป็นร้านหนังสือเก่าจึงสนใจในตำราอาหารยุโรปมาแต่เด็ก เมื่อเรียนจบก็ได้สั่งสมประสบการณ์ในครัวอาหารจีนกว่า 10 ปี ก่อนจะเริ่มฝึกฝนด้านอาหารฝรั่งเศสอีกครั้งกับร้านอาหารที่เมือง Beaune ประเทศฝรั่งเศส แล้วจึงกลับมาทำงานที่ญี่ปุ่นที่ร้าน HAJIME มิชลินสตาร์ 3 ดาวภายใต้การดูแลของเชฟฮาจิเมะ โยเนดะ ซึ่งเป็นแรงสนับสนุนให้เขาค้นพบแนวทางของตนเอง กระทั่งได้เปิดร้าน MOTOï Restaurant Kyoto ขึ้นในปี 2013   เชฟโมโตอิจะเดินทางไปมาระหว่างร้านหลักที่เกียวโต โดยมี เชฟคาสึมะ มิซึโนะ (Kazuma Mizuno) ซึ่งเป็น Sous Chef จากร้าน Motoi Restaurant Kyoto เป็นเชฟประจำที่ร้านในกรุงเทพฯ แห่งนี้ ด้วยประสบการณ์ที่หลากหลายอาหารของเชฟโมโตอิจึงมีความโดดเด่น จากจุดเริ่มต้นเป็น Modern French หลอมรวมกับกลิ่นอายของอาหารจีนและอาหารญี่ปุ่น อาศัยทักษะในการดึงรสชาติของแต่ละวัตถุดิบมาผสมผสานกัน เมื่อมาเปิดร้านที่ประเทศไทยเชฟก็ไม่ลืมที่จะเลือกวัตถุดิบที่เราคุ้นเคยมาผสานรสชาติในอาหารแต่ละจานด้วย ลองหาดูนะ ในฤดูกาลนี้นำเสนอเป็นเทสติงเมนู ‘Selection de la Saison’ 15 คอร์ส เน้นวัตถุดิบทั้งในท้องถิ่นและวัตถุดิบตามฤดูกาลจากทั่วโลก เริ่มด้วยอะมูสบุช Gougeres – Duck – Truffle – Cream ขนมอบใส่ชีสแบบฝรั่งเศส ชิ้นหนึ่งสอดไส้ครีมเนื้อเป็ด อีกชิ้นเป็นครีมทรัฟเฟิล เคียงคู่เวลคัมดริงค์เป็นสปาร์คกลิงสาเก หรือหากไม่ดื่มแอลกอฮอลล์ ทางร้านก็มีคราฟต์โฮจิฉะโคล่าให้จิบเติมความสดชื่น อาหารเรียกน้ำย่อยเป็นชุด 3 จาน Panipuri – Carrot – Consomme – Dried Plum ของกินเล่นแบบอินเดียสอดไส้สไตล์ฝรั่งเศส มูสแครอต เจลลีคอนซอมเม่ และพลับแห้ง Scallops – Papaya – Chorizo ทาร์ตครีมชิลลีรสเผ็ดนิดๆ ทอปด้วยหอยเชลล์เนื้อหวาน ไส้กรอกโชริโซ และมะละกอดิบดองแบบญี่ปุ่น (นุกะสึเกะ) กรอบและเปรี้ยวนิดๆ Kagoshima Squid – Eggplant – Bilimbi – Cumin หมึกอะโอริอิกะจากคาโกชิมะหมักเซเลอรีโคจิบนเพสต์ทำจากมะเขือ ทอปด้วยตะลิงปลิงฝานบางเพิ่มรสเปรี้ยวและกลิ่นหอม คอร์สต่อมา Uni – Caviar – Negi แนวคิดแบบไข่ตุ๋นญี่ปุ่น (Chawanmushi) เสิร์ฟแบบเย็น ผสานเทคนิคการปรุงแบบฝรั่งเศส ด้านล่างเป็นพุดดิ้งต้นหอมอ่อน ตามด้วยมูสอูนิฮอกไกโด ทอปด้วยคาเวียร์ Oscietra กลมกล่อมมาก Fukahire – Shrimp – Soba – Sudachi – Herbs จานนี้ผสาน 3 สัญชาติอย่างชัดเจน ชั้นนอกเป็นแป้งเครปฝรั่งเศสทำจากแป้งโซบะ ด้านบนเป็นฮารุมากิหรือปอเปียะทอด สอดไส้หูฉลาม กุ้ง และหมู เคียงด้วยสมุนไพรจากฝรั่งเศส จีน และญี่ปุ่น เวลากินให้ห่อแป้งเครปรอบฮารุมากิร้อนๆ จิ้มกับโมโรมิ หรือกากถั่วเหลืองที่ได้จากกระบวนการทำโชยุ ที่เคียงมาเพื่อเพิ่มรสชาติ Foie Gras – Plum – Cacao – Chrysanthemum ซิกเนเจอร์จากร้านที่เกียวโต ฟัวกราส์นุ่มละมุนไร้กลิ่นคาวเพราะนำไปแช่ในน้ำเกลือก่อนจะซูวีเพื่อคงรสชาติให้มากที่สุด เคียงมากับสุโมโมะ ผลไม้ที่มีเนื้อแบบกึ่งพีชกึ่งพลัมรสหวานฉ่ำคอมโพต โรยหน้าด้วยโกโก้ครัมเบิลหวานกรุบ ตัดเปรี้ยวด้วยมะนาวที่ซ่อนอยู่ และซอสไซรัปเก๊กฮวยหอมอ่อนๆ เติมความสมบูรณ์ให้กลิ่นและรส (เมนูนี้จะเปลี่ยนไปทุกซีซั่นตามวัตถุดิบในฤดูกาล) Abalone – Mushrooms – Risotto ข้าวอบแบบญี่ปุ่นที่ผสมผสานความเป็นฝรั่งเศสและจีนลงไป โดยตัวข้าวเป็นริซอตโตใส่เห็ด 5 อย่าง ทอปด้วยเป๋าฮื้อตุ๋นในซอสแบบจีนจนนุ่มเข้าเนื้อ เป็นอีกจานที่เราประทับใจในรสชาติ 50 Kinds of Vegetables – Yuzu อีกหนึ่งซิกเนเจอร์สุดพิถีพิถัน ในจานสลัดสีสวยนี้มีผัก สมุนไพร และผลไม้กว่า 55 ชนิด ส่งตรงจากเกียวโต 25 ชนิด และจากท้องถิ่นไทย 30 ชนิด แต่ละชนิดมีวิธีเตรียมต่างกันทั้งแบบสด แบบดอง ลวก ย่าง ทอดเนย ทอดกรอบ ให้รสชาติและเท็กซ์เจอร์ที่ต่างกันไปทุกคำ ผสานกับซอสทั้งหมด 4 ชนิดทำให้กินสลัดได้อย่างสนุกสนานยิ่งกว่าครั้งไหนๆ Grouper – Cos – Dried Radish – Dried Scallops ปลาเก๋าจากพังงาที่จัดการด้วยวิธี ‘อิเคะจิเมะ’ แบบญี่ปุ่นเพื่อรักษาความสดอร่อยของเนื้อปลาตั้งแต่บนเรือ เนื้อปลานุ่มเด้งและชุ่มฉ่ำ ราดซอสไวน์จีนใส่เนยมีความเข้มข้น เคียงด้วยผักคอสผัดเนยและไชโป๊วผสมหอยเชลล์ตากแห้งให้ทั้งความหนุบและกรุบในตัว สำหรับจานหลักมีให้เลือก 2 อย่าง Charrolais Beef or Duck – Guava เริ่มที่จานเนื้อพันธุ์ชาร์โลเลส์จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยที่มีรสเข้มข้นและไขมันน้อยกว่าเนื้อวากิว ราดซอสไวน์แดงเข้มข้นอร่อยมาก ส่วนเนื้อเป็ดมาจากฟาร์มที่เขาใหญ่ ดรายเอจและนำไปอบจนเนื้อนุ่มหนังกรอบ ราดซอสทำจากซุปเป็ด ใส่ซันโชหรือพริกไทยญี่ปุ่นที่หอมเป็นเอกลักษณ์ ทั้งสองแบบเสิร์ฟเคียงกับฝรั่งคอมโพตและแยมฝรั่ง ปิดท้ายด้วยจานเส้น Hokkaido Wheat – Shoyu หรือ โชยุราเมน ที่ตัวเส้นใช้แป้งฮอกไกโด 100% และใส่แป้งโมจิเล็กน้อยให้มีความเคี้ยวหนึบ น้ำซุปรสกลมกล่อม และต้นหอมย่าง ชวนอบอุ่นใจ ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะในคอร์สยังมี pre-dessert ล้างปาก Chocolate – Calamansi ที่จับคู่ระหว่างช็อกโกแลตจากเชียงใหม่ที่ติดเปรี้ยวนิดๆ กับซอร์เบต์ส้มคาลามันซีรสเปรี้ยวอมหวาน โรยผิวส้มจี๊ดและส้มซ่าหอมสดชื่น ตามด้วย Baba Au Rhum – Melon ของหวานปิดท้าย สปันจ์เค้กใส่รัมชุ่มฉ่ำในซุปเมลอนเย็นที่หอมและหวานฉ่ำ ทอปด้วยแผ่นเมอร์แรงบางกรอบ ตามธรรมเนียมไฟน์ไดนิงต้องปิดท้ายด้วยของหวานคำเล็ก ทางร้านเสิร์ฟ 3 Kinds of Sweets – Kyoto Bancha ของหวาน 3 อย่าง ได้แก่ ขนมสายไหมไส้องุ่นไชน์มัสแคต คาเนเล่มะพร้าว และมาการองรสมะขาม เสิร์ฟกับชาบันฉะจากเกียวโต ซึ่งทำจากใบชานอกฤดูกาลที่นำไปรมควันให้มีกลิ่นสโมคอันน่ารื่นรมย์ เสิร์ฟในถ้วยชาวาดลายเส้นแบบโจจูจิกะสั่งผลิตในเมืองเกียวโต เป็นการปิดท้ายมื้ออาหารอย่างสมบูรณ์แบบ ทางร้านยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยทำงานร่วมกับเกษตรกรและช่างฝีมือท้องถิ่นในกลุ่ม Patom Organic Living และกลุ่มอื่นๆ ทั่วประเทศ ในการจัดหาวัตถุดิบตามฤดูกาลที่อร่อย สะอาด และ ปลอดภัยที่สุด ทั้งผักและผล เนื้อปลา และเนื้อวัว   แม้ขึ้นป้ายว่านำด้วยอาหารฝรั่งเศส แต่ทุกจานก็สะท้อนถึงความละเอียดอ่อนและความเคารพต่อวัตถุดิบอันเป็นวัฒนธรรมที่งดงามของเกียวโต มาลิ้มลองรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์จากการผสมผสานอาหารฝรั่งเศส จีน และญี่ปุ่น ท่ามกลางสวนสวยราวกับอยู่ในเมืองเกียวโตกันได้ที่ MOTOï Bangkok

เปิดบ้านหลังใหม่ Jaja French Bistrot ของ เชฟมาร์ค วาซูลร์ (Marc Vasseur) เชฟผู้มากประสบการณ์จากร้านอาหารมิชลินซึ่งหลายคนคุ้นหน้าคุ้นตา เชฟอารมณ์ดีผู้ทำอาหารด้วยใจรัก จากการทำงานในร้านอาหารชื่อดังอย่าง Côte by Mauro Colagreco และ Alpea Bistrot สู่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในบ้านหลังใหญ่ Baan Turtle 31 นำเสนอความหลงรักการทำอาหารกับคุณยาย Jaja จึงเป็นที่มาของชื่อร้าน และได้นำมาทำเป็นคอนเซ็ปต์คอมฟอร์ตฟู้ดสไตล์เฟรนช์บิสโทร ร้านนำเสนออาหารฝรั่งเศสดั้งเดิมที่ได้ไอเดียจากคุณยาย นำมาผสมผสานในสไตล์ของเชฟที่มีทั้งความหรูหราและโมเดิร์น ชูความสดใหม่ของวัตถุดิบ ปรุงอย่างพิถีพิถันได้รสชาติที่เข้าถึงง่าย แฝงกลิ่นอายความอบอุ่นอยู่ในทุกๆ จาน เริ่มด้วย Sea Bass Ceviche ปลากะพงสดคลุกน้ำมะนาวรสจัดจ้าน เสิร์ฟในซอสครีมและน้ำมันผักกลิ่นคล้ายเครื่องต้มยำ กินคู่กับอะโวคาโดพูเร่และคอร์นชิปส์ Beef Tataki Mosaic เมนูที่มีความผสมผสานเนื้อย่างกับซอสสูตรลับของทางร้าน ให้แต่ผิวด้านนอกสุกเล็กน้อย แล้วนำมาม้วนกับสาหร่ายแล้วหั่นเป็นรูทรงโมซาอิก (Mosaic) กินคู่กับซอสชิโปตเลและเมล็ดมัสตาร์ดดอง บอกตรงๆ ว่ารักจานนี้มาก จานหลักเลือกเป็น Fregola Sarda พาสตาทรงกลมต้มกับน้ำสต็อกทะเลแล้วนำไปผัดกับซอสมะเขือเทศรสเปรี้ยวและเข้มข้น ท็อปด้วยชีสพาร์เมซานและหอยลายปรุงสไตล์ Marinere และอีกจานสุดประทับใจ และอีกจานสุดประทับใจ Roasted Chicken เนื้อได่ที่เชฟเลือกใช้ขนาดไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไป นำไปย่างเนื้อชุ่มฉ่ำและหอมกลิ่นเนย กินคู่กับซอสอัลบูเฟราที่เชฟเคี่ยวจากกระดูกไก่นานหลายชั่วโมงจนได้ซอสเข้มข้น เสิร์ฟคู่กับข้าวโพดพูเร่รสหวานหอม ทำให้รสชาติของจานนี้กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น หากใครอยากลิ้มลองเมนูคุณยาย Jaja กับหลานมาร์คต้องไม่พลาด!

รับไม้ต่อจาก Philippe Restaurant ร้านอาหารฝรั่งเศสไฟน์ไดน์นิ่งรุ่นเก๋าได้อย่างสวยงามจริงๆ สำหรับ “Maison Philippe” ตำนานบทใหม่ของพ่อครัวรุ่นใหญ่อย่าง Philippe Peretti เชฟชาวฝรั่งเศสที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์การทำอาหารยาวนานกว่า 20 ปี ทั้งจากสถาบันการทำอาหารชั้นนำจากประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษ ก่อนตระเวรเดินทางไปหาความรู้เรื่องอาหารจากทั่วทุก ทั้งเมืองนิยอร์ก เกาะฮาวาย อิสราเอล จีน ดินแดนอาทิตย์อุทัย ก่อนจะตัดสินใจมาลงหลักปักฐานที่ประเทศไทยในที่สุด ในส่วนของ Maison Philippe ที่ตั้งอยู่ในโครงการ Living At Citi Resort (สุขุมวิท 39) เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสรสดั้งเดิมที่มีทั้ง All Day Breakfast จานอร่อยอาละคาร์ต และเซ็ตเมนู เสิร์ฟมาในบรรยากาศสบายๆ สไตล์บิสโทรเข้าถึงง่าย พื้นปูนเปลือบดิบเท่เข้าคู่ผนังสีเทาที่ถูกแซมด้วยภาพเพนท์หลากสีสันของศิลปินไทย มีผนังกระจกใสกว้างที่เห็นครัวเปิดมองดูเชฟทำงานเพลินๆ ตา แถมยังมีโซน Grocery ของอร่อยสูตรเด็ดของเชฟอย่าง เบเกอร์รีอบสดใหม่ ซอสพาสตา ซุป สตู ให้ซื้อฝากคนที่บ้านได้อีกด้วย เริ่มต้นชิมที่เมนูตัวดังอย่าง Onion Soup in Puff ซุปหัวหอมสไตล์ฝรั่งเศส ที่เปี่ยมด้วยรสชาติกลมกล่อมของหัวหอมคาราเมล เห็ดชิโรลล์และไก่รมควันเนื้อแน่น เพิ่มรสหอมมันด้วยชีสกงเต้รสถั่วชั้นดี กินคู่แป้งพัฟฟ์โฮมเมดเนื้อนุ่มฟู หอมกลิ่นเนย ต่อด้วยจานอร่อยที่ได้ใจสายเนื้อ Beef Steak with French Fries and Green Salad เสต็กเนื้อมีเดียมแรร์ชุ่มฉ่ำ ราดซอสกระเทียมพริกไทยรสเข้มข้นลงไปสักหน่อย เสิร์ฟเคียงหัวหอมคาราเมล มันฝรั่งทอดร้อนจี๋ และสลัดผักสดชื่น Tomato with Pork Stuffing and Pesto เนื้อหมูนุ่มฉ่ำใน ไปด้วยกันได้กับรสซุปมะเขือเทศรสเปรี้ยวละมุน และซอสเพสโต้โฮมเมดหอมๆ เสริมความอิ่มเอมด้วยข้าวผัดหอมกลิ่นกระทะ Chicken & Mushroom Vol au Vent แป้งพัฟฟ์เนื้อฟูสไตล์ฝรั่งเศส ราดด้วยซอสครีมรสหอมมัน ที่ทำจากไก่เนื้อนุ่มและเห็ด ตามมาติดๆ กับ Seafood Gratin กราแต็งร้อนๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรสหวานปนหอมมันของชีสยืดเยิ้มและซีฟู้ดเนื้อสดเด้งอย่าง ล็อบสเตอร์ ปลาหมึก กุ้งและหอยเชลล์ ในส่วนของขนมต้องนี่เลย Apple Tart แอปเปิ้ลทาร์ตหอมกรุ่น รสเปรี้ยวอมหวาน เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลาโฮมเมดสุดฟินและครัมเบิ้ลกรุบกรอบ ขาดไม่ได้กับ Creme Brulee ที่หอมกลิ่นน้ำตาลเบิร์นไฟมาแต่ไกล ตักกินพร้อมตัวเนื้อนิ่มเด้งยิ่งได้ใจสายหวาน

อีกหนึ่งความน่าสนใจของ Café Claire คือความแกลมที่สะท้อนออกมาจากมวลโดยรวมของห้องอาหารแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น อาหารฝรั่งเศสสุดสร้างสรรค์ที่พร้อมเสิร์ฟตลอดวัน ผนวกกับบรรยากาศภายในร้านที่ปลอดโปร่งและอบอวลไปด้วยพลังงานบวกชวนผ่อนคลาย แม้จะอยู่ใจกลางเมืองก็ตาม ที่ Oriental Residence Bangkok ถนนวิทยุ ซึ่งการผ่อนคลายที่ว่าจะไม่บรรลุผลหากคุณพลาดการดื่มชาพรีเมียม จาก TWG พร้อมเพลิดเพลินไปกับศิลปะการทำอาหารสไตล์ฝรั่งเศสแบบดั้งเดิมที่บรรจงปรุงแต่งและขับเน้นรสชาติอย่างพิถีพิถันให้ออกมามีสไตล์เป็นของตัวเอง กระตุกต่อมอยากอาหารด้วย Burrata Salad ชีสบูร์ราตาชิ้นใหญ่ที่ทำจากนมวัว มีความครีมมี่และเค็มมัน วางมาบนสลัดร็อกเก็ต เสริมรสชาติด้วยเพสโตซอส และมะเขือเทศแฮร์ลูมจากเชียงใหม่ ช่วยให้ความสดชื่นได้เป็นอย่างดี ต่อด้วยอีกหนึ่งเมนูเรียกน้ำย่อยสุดหรูของฝรั่งเศสอย่าง Escargots หอยทากจากฝรั่งเศสเสิร์ฟเป็นทาปาสขนาดพอดีคำ อบจนสุกพร้อมกับเนยและพาร์สลีย์ซอส ให้รสสัมผัสนุ่มหนึบยิ่งกินคู่กับขนมปังกระเทียมกรอบๆ เข้ากันได้ดีมาก อิ่มท้องเพิ่มขึ้นด้วย Scallops Risotto ข้าวริซอตโตผัดกับหญ้าฝรั่น ปรุงรสอย่างเบามือตามแบบฉบับดั้งเดิม มีความหอมหวานอร่อย กินคู่ฮอกไกโดสแกลอปและพาร์เมซานชีสที่ท็อปมาด้านบน อร่อยลงตัว มาถึงจานหลักอย่าง Australian Lamb Racks ซี่โครงแกะย่างหอมกลิ่นสโมกเสิร์ฟในระดับมีเดียม กินคู่ถั่วหวานซอเต มันฝรั่งฟองดองต์หอมกลิ่นเนย  และหอมแดงตุ๋นในซอสบัลซามิก ส่วนของหวานต้อง Brioche French Toast ซิกเนเจอร์ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ด้วยความกรอบนอกนุ่มในของขนมปังบริออช หอมกลิ่นเนยและซินนามอน มีความกรอบจากน้ำตาลที่เคลือบอยู่ด้านนอก ตัดรสหวานด้วยความเปรี้ยวจากผลไม้สด ไม่ว่าจะเป็น สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี ส้ม และกีวี่ บอกเลยว่าห้ามพลาด เป็นอีกหนึ่งมื้อที่ทำให้อิ่มท้องพร้อมอิ่มใจ

บนถนนสาทรที่มากด้วยเชฟระดับตำนานและร้านอาหารชื่อดัง คงต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของร้าน Maison Dunand มามากไม่น้อย ร้านอาหารฝรั่งเศสที่นำเสนออาหารแบบไฟน์ไดนิงที่ครอบครองดาวมิชลินสตาร์ 1 ดาวเป็นที่เรียบร้อย ผลงานโดย เชฟอาร์โนด์ ดูนองด์ โซทิเยร์ (Chef Arnaud Dunand-Sauthier) ผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารมากว่า 25 ปี ภายในรั้วเดียวกันกับร้าน Maison Dunand เชฟอาร์โนด์ได้เปิดบ้านหลังใหม่! อย่าง Alpea บ้านไม้โอ๊กสไตล์ฝรั่งเศส ที่มอบความอบอุ่นให้กับแขกที่เข้ามาเยือน ผ่านเมนูความทรงจำตอนวัยเด็กที่อาศัยอยู่ในชาเลต์ (Chale't) หรือกระท่อมไม้หลังน้อยๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในแคว้นซาวัว (Savoie) สู่จานอาหารสุดพิเศษทั้งรสชาติและบริการอย่างอบอุ่น บรรยากาศเป็นบ้านหลังสีขาวตกแต่งเน้นสีเอิร์ธโทน ตั้งอยู่ในภายใต้ร่มไม้ใหญ่ เมื่อเดินเข้ามาบริเวณชั้นล่างเป็นร้านเบเกอรี่โฮมเมดและร้านของชำสุดน่ารัก ชั้น 2 เชฟได้เนรมิตให้แขกที่เข้ามาได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่อบอุ่นด้วยผนังหิน เตาผิง และโต๊ะไม้ นั่งชมบรรยากาศสวนป่าผ่านบานกระจก พร้อมแสงแดดสาดส่องลงมาตกกระทบบนโต๊ะและพื้นได้อารมณ์เหมือนอยู่ในบ้านที่ต่างประเทศ สำหรับอาหารเป็นเมนูที่เข้าใจง่ายและน่าจดจำ เริ่มจาก ขนมปังซาวร์โดสูตรโฮมเมด ที่อบมาแบบร้อนๆ เสิร์ฟพร้อมกับเนยเบคอนทำเอง และ Foie Gras Terrine Seasonal Chutney ตับเป็ดบดเนื้อเนียน กินคู่กับซอสรูบาร์บและซอสเบอร์รีรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ปาดบนขนมปังบริออช ต่อด้วย Eggplant Caviar, Crunchy Vegetables เมนูขนมปังปิ้ง (Tartines) เนื้อมะเขือยาวบดปรุงรสแบบอมเปรี้ยวนิด เสิร์ฟบนขนมปังบาแกตต์สไลซ์แล้วอบจนกรอบ ท็อปด้วยชีสและผักต่างๆ รสชาติเรียบง่ายและลงตัว สำหรับซิกเนเจอร์ที่มาแล้วห้ามพลาด! Cheese Fondue Ravioli, Pork Broth พาสตาราวิโอลีสอดไส้ชีสฟองดู (ของโปรดเชฟ) ในน้ำซุปหมูรสเข้มข้นเคลือบลิ้น ให้ความรู้สึกถึงการเคี่ยวซุปเพื่อดึงรสชาติจากวัตถุดิบออกมาได้เป็นอย่างดี เมนู Pike Perch Quenelles มูสปลาปลาไพค์เพิร์ช ปลาท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดและน้ำกร่อย โดยเชฟนำมาปั่นจนเป็นเนื้อมูส ทำเป็นรูปทรงเกอแนลเสิร์ฟมาในซอส Chignin Beurre Blanc ซอสเนยและไวน์ขาว รสครีมมี่ ท็อปด้วยไข่ปลาเทราต์แบบเน้นๆ ได้เท็กซ์เจอร์กรุบๆ เมนูต่อมา Buckwheat Pasta Ham & Cheese Gratin เมนูเทรดิชันพาสตาจากแคว้นซาวัว ซึ่งความพิเศษของเส้นพาสตาจะหั่นเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ผัดกับซอสรสครีมมี่ ท็อปด้วยชีส Reblochon ชีสไหลเยิ้มเคลือบเส้น ปิดท้ายด้วยของหวาน Traditional Crêpe Suzette มาพร้อมกับ Live Station ที่ทำเครปกันแบบร้อนๆ ราดด้วยซอสส้มคาราเมล เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมวานิลลา  และ ALPEA Signature Lemon Tarte ทาร์ตเลมอนในฉบับดั้งเดิม ท็อปด้วยอิตาเลียนเมอแรงก์ เปรี้ยวๆ หวานๆ หรือถ้าอยากลิ้มลองของหวานที่มีเนื้อสัมผัสนุ่มฟูก็ต้อง Grand Marnier Soufflé ซูฟเฟล่อุ่นๆ ราดด้วยซอสวานิลลา เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีมวานิลลา เข้ากันได้อย่างลงตัว Alpea Bistrot เป็นอีกหนึ่งร้านของเชฟอาร์โนด์ที่ถ่ายทอดความทรงจำผ่านอาหารรสชาติพิเศษ

เพียงแค่ก้าวเข้าไปในร้าน Bisou (บิซู) เราก็รับรู้ได้ถึงความสนุกสนานที่เปล่งประกายออกมา ทั้งจากงานศิลปะที่ประดับประดาอยู่ทั่วร้าน ไปจนถึงภาพ ‘จูบ’ อันลือลั่นบนฝาผนัง ที่หยอกล้อไปกับชื่อของร้านว่า Bisou ซึ่งหมายถึง ‘จูบ’ ในภาษาฝรั่งเศส บอกได้ดีถึงความขี้เล่น ความเป็นกันเอง และความนอกกรอบของทั้งสองคู่หูชาวฝรั่งเศส อองตวน ดัคเกียง เชฟ และ ธีโอ ลาแวร์ญ ซอมเมอลิเยร์ ผู้ก่อตั้งร้าน บันไดที่พาขึ้นไปสู่ชั้นสองของร้านก็สนุกไม่แพ้กัน เพราะเมื่อขึ้นไปแล้วจะมองเห็นที่นั่งรายล้อมช่องว่างที่สามารถมองทะลุลงไปยังชั้นล่างได้ ในมุมลึกสุดของชั้นสองนั้นเป็นที่ตั้งของไวน์เซลลาร์ซึ่งเรียงรายไปด้วยไวน์และแชมเปญที่ธีโอคัดเลือกมาด้วยตัวเอง เปิดต้อนรับให้ผู้มาเยือนได้เดินเข้าไปเลือกไวน์ได้ตามใจชอบ โดยในบรรดาขวดไวน์ต่าง ๆ จากทั่วโลกนี้ มีบางขวดที่มีภาพวาดสุดพิเศษบนขวดเป็นของแถมด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นร้านของชาวฝรั่งเศส แต่สำหรับเมนูอาหารของ Bisou ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นเมนูอาหารฝรั่งเศสเสียทีเดียว ด้วยแนวคิดการทำอาหารผ่านคำว่า K.I.S.S – Keep It Simple, Sexy อาหารแต่ละจานจึงเน้นไปที่ความสนุกสนานของการจับเอาวัตถุดิบต่าง ๆ มาผสมผสานกันจนออกมาเป็นความอร่อยในแบบฉบับของ Bisou เช่นเมนูกินเล่นอย่าง French Toast Black Truffle ขนมปังบริออชเนื้อฉ่ำเนยโทสต์จนผิวนอกกรอบกำลังดี ท็อปด้วยเห็ดทรัฟเฟิล และ BFC, Bisou Fried Chicken & Salmon Roe ไก่ทอดสูตรเฉพาะของร้าน ที่ท็อปมาด้วยไข่ปลาแซลมอน กรอบนอกนุ่มในไร้กระดูก กินหมดแล้วจะเห็นลวดลายของจานที่แฝงไปด้วยความทะลึ่งตึงตัง แต่สนุก! Beef Tartare เป็นจานต่อมาที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะเป็นการจับคู่เนื้อวากิวเทนเดอร์ลอยน์และโบนแมร์โรว์มาด้วยกันในจานเดียว ให้รสชาติที่กลมกล่อม กินได้เพลิน ๆ ตลอดมื้ออาหาร สำหรับอาหารจานหลักที่เป็นเนื้อสัตว์นั้นมีสองซิกเนเจอร์ที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือ Monkfish ปลาชิ้นใหญ่ที่เชฟอองตวนเปิดใจเลยว่าเป็นจานที่ท้าทายไม่น้อยในการกำจัดกลิ่นคาว แต่ด้วยความสดนั้นทำให้จานนี้น่าประทับใจด้วยเนื้อปลาแน่น ๆ เข้ากันกับมันฝรั่งบดและซอสเห็ดเป็นอย่างดี อีกหนึ่งจานต้องยกให้ Hanger Steak สเต๊กเนื้อวากิวดรายเอจ ย่างจนได้ผิวนอกที่กรอบชวนตะลึง แถมด้วยรสชาติเนื้อที่เข้มข้นเข้ากับโบนแมร์โรว์และหัวหอมกงฟีที่ให้รสชาติหวานเข้ามาแทรก โดยจานนี้เราสามารถเลือกมีดหั่นสเต๊กได้เองตามที่เราถนัดมือด้วย มีจานเนื้อแล้วก็ต้องมีจานผัก โดยมีเมนู Heirloom Tomatoes ที่เชฟเลือกใช้มะเขือเทศจากเชียงใหม่ มาเพิ่มรสชาติด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ในจานอย่าง สไปซี่ซอร์เบต์ ผงมะกอกเพิ่มสัมผัสระหว่างเคี้ยว และชีสสด ที่รวมกันแล้วให้ความหวานอมเปรี้ยวพร้อมด้วยความเผ็ดนิด ๆ เพิ่มความสดชื่นระหว่างมื้ออาหารได้ดีทีเดียว อีกหนึ่งเมนูคือ Smocked Carrot แครอทรมควัน กับเชดด้าชีส และซอสกระเทียม ที่เข้าปากเพียงคำเดียวก็ได้กลิ่นรมควันหอมตลบอบอวล บาร์ของร้านพร้อมเสิร์ฟซิกเนเจอร์ค็อกเทลอีกหลากหลายเมนู แต่ละเมนูนั้นมีชื่อเรียกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เช่น Kate Middleton, Natalie Portman, Paris Hilton, Marylin Monroe และ Amy Winehouse อย่าลืมสั่งมาจิบคู่กันเพื่อให้ได้ประสบการณ์ของมื้อเย็นที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ Bisou

ยินดีต้อนรับสู่ “กาสตง” (Gaston) ห้องอาหารฝรั่งเศสสไตล์เฟรนช์-บิสโทรแห่งใหม่ของโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ การตกแต่งได้แรงบันดาลใจจากร้านสไตล์บิสโทรในปารีสที่เต็มไปด้วยความเรียบง่าย เป็นกันเอง แล้วเพิ่มความสนุกสนานด้วยสีแดงบอร์โดซ์และสีทอง ขับให้ภาพศิลปะบนผนังโดดเด่นยิ่งขึ้น คลอด้วยเสียงเพลงฝรั่งเศสเบาๆ เพิ่มสุนทรีย์ในมือนี้ได้เป็นอย่างดี ทุกเมนูของกาสตงรังสรรค์จากวัตถุดิบที่คัดสรรเป็นพิเศษโดยเชฟชาวฝรั่งเศสอารมณ์ดี เดวิด เซนญา (David Senia) ที่จะพาทุกคนสนุกไปตั้งแต่จานแรกจนถึงจานสุดท้าย แน่นอนว่าที่นี่มีเมนูฮอตฮิตตลอดกาลของปารีสอย่างสเต๊กฟริตส์ (Steak Frites) สเต๊กเนื้อริบอายนุ่มฉ่ำราดซอสเนยสูตรลับตามแบบฉบับฝรั่งเศสเสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอดแบบดั้งเดิมที่ยังหั่นด้วยมือและสลัดผัก นอกจากเนื้อแล้ว เราแนะนำกุ้งลายเสือย่างเนื้อสดแน่นที่เข้ากับซอสเนยได้ดีไม่แพ้กัน ส่วนเมนูสไตล์บิสโทรก็เรียกว่ามีครบทุกภูมิภาค อาทิ Fromage de Tête เยลลี่เนื้อสัตว์เสิร์ฟแบบเย็น ราดซอส Charcutière ซอสเข้มข้นแบบฝรั่งเศส Calamars farcis,Piperade ปลาหมึกสอดไส้หมูสับกินกับซอส Piperade รสเข้มข้นจากมะเขือเทศและพริกหวานกงฟี Pissaladière Provençale ทาร์ตหัวหอมแบบโพรวองซ์ที่ได้ทั้งความกรอบของทาร์ต รสหวานจากหัวหอม และรสเค็มอ่อนๆ จากแองโชวี Confit de canard poele น่องเป็ดกงฟีที่เนื้อนุ่มและ Juicy นอกจากนี้ยังมี Escargot a la bourguignonne เมนูคลาสสิก รวมถึงหอยนางรมสดหลากหลายสายพันธุ์ อาทิ Fines de Claire, Parcs de l'Impératrice, Gillardeau, David Hervé Spéciales ฯลฯ ปิดท้ายด้วยของหวานที่มีไฮไลต์อย่าง Baba “Gaston” aux pruneaux ฉ่ำลิ้นด้วยรสเข้มหอมจากบรั่นดีอาร์มาญัก

ปัวโรต์ (Poirot) เป็นชื่อห้องอาหาร (หรือถ้าจะให้ถูกต้องเรียกว่า ”ตู้รถไฟ”) ที่เสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของโรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล เขาใหญ่ รีสอร์ต (InterContinental Khao Yai Resort) โรงแรมแห่งใหม่ในคอนเซ็ปต์ที่จะพาเราย้อนอดีตไปสู่ยุคทองของการเดินทางด้วยรถไฟในบรรยากาศที่โอบล้อมด้วยความร่มรื่นของพื้นที่เขาใหญ่ไม่ไกลนักจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แต่อย่าคิดว่านี่เป็นเพียงตู้เสบียงธรรมดาๆ เพราะเชฟที่นี่พร้อมเสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสสุดหรูให้แขกที่มาเยือนได้ละเลียดอาหารพลางดื่มด่ำไปกับธรรมชาติกลางป่าเขาได้อย่างสุดชิล เสมือนหนึ่งเรานั่งอยู่ในตู้เสบียงชั้นเฟิร์สคลาสของขบวนรถไฟสุดหรูที่กำลังวิ่งผ่านเทือกเขาในยุโรป เพียงก้าวขึ้นมาบนตู้รถไฟขบวนอร่อยนี้ เราก็จะตกลงไปสู่ห้วงบรรยากาศที่หรูหราและคลาสสิกในโทนสีเหลืองทองและไม้เนื้อเข้ม ชวนให้นึกถึงฉากสวยสะกดจากภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายสืบสวนชื่อดังของอกาธา คริสตี้ “Murder On The Orient Express” ที่มีตัวละครคุณลุงหนวดงาม แอร์กูล ปัวโรต์ เป็นผู้ดำเนินบทบาทนักสืบ ไม่ผิดแน่ ชื่อปัวโรต์ของห้องอาหารแห่งมีที่มาจากนิยายชื่อดังเรื่องนี้นั่นเอง นอกจากโซนในตู้รถไฟแล้ว หากอยากสัมผัสอากาศที่เริ่มเย็นสบาย ยังสามารถเลือกนั่งโซนเทอร์เรส ซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงามไม่แพ้กัน เลือกที่นั่งได้ดั่งใจแล้วก็ลงมือสั่งอาหารกันเลย เมนูอาหารที่นี่มีไม่มากแต่มีครบเมนูคลาสสิกสไตล์ฝรั่งเศสที่หลายคนหลงรัก เริ่มด้วยอะมูสบุช เพสต์ตับบดบนขนมปังกรอบ ก่อนนำเข้าสู่จานแรก Wagyu Beef Tartare ทาทาร์เนื้อวากิวปรุงรสได้อย่างเข้มข้นท็อปด้วยไข่นกกระทาดอง เคียงมากับสลัดผักสดใหม่ เสิร์ฟพอร์ชั่นใหญ่ให้อร่อยเต็มคำ จานต่อมา Potato Leek Soup ซุปมันฝรั่ง ต้นหอม และทรัฟเฟิล เสิร์ฟคู่กับบาบ้าอบใหม่ กินด้วยกันคือครีมมี่ละมุนละไมมาก ส่วนจานหลักมีให้เลือกครบทั้งเนื้อวัว เนื้อหมูอิเบริโค่ เนื้อแกะ และจานปลา เราขอแนะนำเมนูคลาสสิกของคนรักเนื้ออย่าง Beef Bourguignon เนื้อออสเตรเลียนวากิวส่วนเทนเดอร์ลอยน์ตุ๋นในซอสไวน์แดงเข้มข้น เสิร์ฟกับมันบดเนื้อนวลเนียนละเอียดและเบคอนรมควันชิ้นโต เป็นจานที่คนรักเนื้อพลาดไม่ได้ หากไม่กินเนื้อลองสั่ง Saddle of Lamb เนื้อแกะม้วนสอดไส้สตัฟฟิ่งเห็ดและทรัฟเฟิล เสิร์ฟกับมันบดและซอสเนื้อแกะ (lamb jus) สำหรับของหวาน คนรักสตรอว์เบอร์รีต้องยอมใจให้กับขนมหวานสีสวยจานนี้ Strawberry Flembée ที่ใช้สตรอว์เบอร์รีโครงการหลวงลูกเบ้อเริ่มมาทำเฟลมเบ้ให้หวานนุ่มฉ่ำนอกแต่ด้านในยังกรอบ เสิร์ฟกับไอศกรีมโฮมเมดรสน้ำผึ้งจากเชียงใหม่หวานกลมกล่อมหอมน้ำผึ้งแตะจมูกเลยทีเดียว หากมีโอกาสมาเที่ยวที่เขาใหญ่ แวะมาฝากท้องที่ตู้รถไฟแสนอร่อยของนักสืบหนาวดงามคนนี้กันได้ และถ้าอยากได้เครื่องดื่มดีๆ สักแก้วก่อนหรือหลังอาหาร ตู้รถไฟขบวนติดกันยังเป็นที่ตั้งของ Papillon Bar บาร์ที่ตกแต่งในสไตล์วินเทจเรียบหรู พร้อมเสิร์ฟคลาสสิกเฟรนช์ค็อกเทลและซิกเนเจอร์ค็อกเทลให้ได้ลิ้มลองกันไปยาวๆ ตั้งแต่ 5 โมงเย็นจนถึงเที่ยงคืน

มีร้านอร่อยใหม่ๆ ให้สายฟู้ดอย่างเราได้มาชิมตลอดจริงๆ สำหรับห้าง CentralWorld คราวนี้เราแวะมาชิม Poulet Thailand” ร้านอาหารฝรั่งเศสเลื่องชื่อแห่งประเทศสิงคโปร์ มีเมนู ‘Signature Roast Chicken’ หรือไก่อบสไตล์ฝรั่งเศส เป็นเมนูชูโรง ตามความหมายของชื่อร้านอย่างคำว่า ‘Poulet (พูเลท์)’ ในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า ไก่ นั่นเอง ใครอยากลิ้มลองอาหารฝรั่งเศสกินง่าย (Casual Modern French Cuisine) รสเข้มข้นถูกปากคนไทยให้ตรงดิ่งมาที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ บริเวณชั้น 6 ได้เลย จานแรกเราลองชิม Salad de Saison สลัดผักเอาใจสายเฮลท์ตี ผักสดกรุบกรอบ มะเขือเทศสีเหลือง ลูกฟิกชีสรีคอตตาหอมมัน ราดน้ำสลัดรสเปรี้ยวสดชื่น ตามด้วย French Onion Soup ซุปหัวหอมสไตล์ฝรั่งเศส ได้รสหวานเค็มของหัวหอมผัดคาราเมล กินกับขนมปังอบเข้ากัน Mushroom Soup ชามนี้เราเลิฟมาก เห็ดนานาชนิดผสานไปกับนมสด และวิปปิงครีม ได้รสครีมมีเข้มข้น คนรักเส้นต้องสั่ง Tiger Prawn Aglio Olio พาสตาเส้นแองเจิลแฮร์กินง่าย ผัดพร้อมกุ้งลายเสือเนื้อแน่น ไส้กรอกไก่สไปซี่โฮมเมด มะเขือเทศ กระเทียมและน้ำมันพริก Slow-Cooked Beef Oxtail หางวัวตุ๋นอย่างดีจนได้เนื้อสัมผัสนุ่มๆ เคล้าไปกับหัวหอมคาราเมล มันบดเนื้อเนียนและเชสดาร์ชีสหอมมัน กินพร้อมแป้งพ็อตพายสไตล์โฮมเมดฟุ้งกลิ่นเนย มาถึงจานซิกเนเจอร์ที่ทุกคนรอคอยนั่นคือ Signature Roast Chicken with Creamy Tom Yum Sauce ไก่ตัวอวบอ้วนผ่านกระบวนการหมักสูตรเฉพาะของทางร้านนานถึง 24 ชั่วโมง ก่อนอบในสไตล์ฝรั่งเศสจนได้เนื้อนุ่มฉ่ำใน เข้ากันดีกับซอสครีมต้มยำรสเข้มข้น   ขนมหวานต้องนี่เลย Vanilla French Toast ขนมปังบริออชฟูๆ ชุ่มเนย ท็อปด้วยวิปครีมปุกปุย ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รีสดชื่น เบอร์รีสดต่างๆ ราดซอสเบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน ก่อนปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มอย่าง Homemade Brazilian Lemonnade น้ำมะนาวในแบบฉบับบราซิล รสเปรี้ยวหอมมันนี้ได้มาจากน้ำส้มจี๊ด น้ำเลมอน และนมสด ยังมีอีกหลายเมนูเลยที่อยากลิ้มลอง

อากาศเริ่มเย็นแล้ว เขาใหญ่ (Khao Yai) เดสติเนชั่นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติอันร่มรื่นจึงเป็นจุดหมายยอดฮิตของนักท่องเที่ยว และยังเต็มไปด้วยของกินอร่อยๆ สำหรับสายกูร์เมต์อีกด้วย ใครกำลังมองหาที่ซึ่งมีทั้งร้านอาหารอร่อยทั้งยังจะได้อิ่มเอมไปกับบรรยากาศที่สวยงาม ต้องมาที่ VinCotto Restaurant ร้านอาหารซึ่งโอบล้อมไปด้วยไร่องุ่นกว้างใหญ่ของ GranMonte Vineyard and Winery รับรองว่าจะได้ลิ้มรสอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับปรุงในสไตล์โฮมเมด แพร์ริ่งกับไวน์ที่คัดสรรมาอย่างดีจนจุใจ เหมือนได้วาร์ปไปกินอาหารในวินยาร์ดแสนสวยที่ฝรั่งเศสอย่างไรอย่างนั้น เราได้พบกับคุณนิกกี้ - วิสุตา โลหิตนาวี และคุณมีมี่ - สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี สองพี่น้องทายาทรุ่นที่สองของ GranMonte Vineyard and Winery ซึ่งเล่าถึงที่มาของร้านอาหารแห่งนี้ว่า เดิมทีที่ตรงนี้เป็นไร่เพียงอย่างเดียว แต่เมื่อเริ่มผลิตและส่งไวน์เข้าสู่ตลาดก็เริ่มมีคนที่เดินทางมาซื้อไวน์ที่หน้าไร่มากขึ้น ทางครอบครัวจึงเกิดความคิดว่าควรมีร้านอาหารไว้รับรองลูกค้า จึงปรับพื้นที่บ้านส่วนหนึ่งเป็นร้านอาหารและภายหลังได้ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อให้สามารถรองรับแขกได้เต็มที่ในช่วงไฮซีซั่น   ด้านเมนูอาหารนั้น ทางคุณแม่และลูกๆ ทั้งสองชอบเข้าครัวทำอาหารมาแต่เดิม โดยเฉพาะคุณแม่สกุณา โลหิตนาวีนั้นชอบทำอาหารฝรั่งเศสคลาสสิกอยู่แล้ว จึงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการสร้างสรรค์เมนูเด็ดประจำร้าน ทั้งยังมีส่วนผสมจากต้นองุ่นในไร่ที่นำมาใช้อย่างลงตัว อาทิ Prawn and Seedless Grape Salad (280 บาท) องุ่นไร้เมล็ดเก็บสดๆ จากไร่ทั้งหวานและกรอบโรยหน้ามาบนผักสลัด ราดด้วยเดรสซิ่งรสเปรี้ยวเบาๆ ชวนสดชื่น ทอปด้วยเนื้อกุ้ง ไข่กุ้ง และอัลมอนด์สไลซ์ อร่อยลงตัวจนขึ้นแท่นเป็นซิกเนเจอร์ของร้าน หรือจานเบาๆ สำหรับคนรักชีส Burrata with Pesto and Grilled Tomato (330 บาท) ซึ่งเลือกใช้ชีสสดจากผู้ผลิตชีสอาร์ติซานในท้องที่เขาใหญ่ เนื้อเนียมนุ่มเข้ากับมะเขือเทศย่างรสหวานฉ่ำในซอสเพสโตชวนสดชื่น ตามด้วยจานกินเล่นอย่าง Chicken Wrapped in Vine Leaves (320 บาท) เนื้อไก่ห่อใบองุ่นอ่อนซึ่งเป็นผลิตผลในไร่อีกเช่นกัน กินได้ทั้งคำ มีความหวานนิดๆ จากลูกเกดโฮมเมดที่สอดไส้ด้านใน กินกับซอสองุ่นเพิ่มความเพลิดเพลิน และ Pan-Seared Foie Gras in Grape and Verjus Sauce (850 บาท) ฟัวกราส์นาบกระทะหวานมันตัดรสด้วยความเปรี้ยวอมหวานของซอสองุ่นเวอร์จุส เพิ่มรสเค็มนิดๆ มาตัดหวานด้วยเกลือไวน์แดงที่ทางร้านทำเอง อีกเมนูที่เป็นซิกเนเจอร์และอยากให้ทุกคนได้ลิ้มลอง Slow-Cooked Lamb Shank in Red Wine (760 บาท) สตูน่องแกะตุ๋นไวน์แดงซึ่งต้องตั้งไฟตั้งแต่เช้าตรู่ทุกวันจนเนื้อแกะนุ่มละลายในปาก ผักต่างๆ เข้ารสในน้ำซอสไวน์แดงจนได้ความอร่อยเต็มๆ ในทุกคำ เสิร์ฟกับมันบดเนื้อเนียน เนื้อแกะไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่น้อย ส่วนสายแป้งฝากท้องไว้กับสารพัดเมนูพาสตาและพิซซาได้ อาทิ Pizza Salami (380 บาท) ซึ่งใช้ซาลามีท่อนโตแทบจะบังแป้งพิซซ่ามิด โรยด้วยชีสเต็มๆ หน้า อร่อยกินเพลินแบบหยุดไม่ได้ ปิดท้ายด้วยของหวานรสเบาและสดชื่นด้วยความหวานจากธรรมชาติ Chesse Pie with Fresh Grapes (140 บาท) ชีสพายองุ่นสดที่ทอปด้วยองุ่นไร้เมล็ดทั้งหวานทั้งกรอบจนพูน ต่อด้วย Panna Cotta with Grape Preserve (140 บาท) แพนนาคอตตาซอสองุ่น ทอปด้วยครีมสดฟูๆ ละลายในปาก ขนมหวานที่นี่ใช้วานิลลาที่ปลูกเองในไร่ ซึ่งวานิลลาที่นำมาปลูกต้นแรกนั้นได้รับมาจากอดีตบรรณาธิการบริหารของ Gourmet & Cuisine คุณอ้วน - สมศักดิ์ วงศ์เดชานันท์ นั่นเอง โลกกลมจริงๆ ไฮไลต์อีกอย่างของร้านคือเมนู “ไวน์แพร์ริ่ง” จานเดี่ยว ซึ่งออกแบบมาสำหรับคนที่อยากกินอาหารจานเดียวแต่ได้แพร์ริ่งกับไวน์ที่เข้ากันซึ่งแนะนำโดยนักทำไวน์อย่างคุณนิกกี้ เลือกได้ว่าจะแพร์ริ่งเป็นแก้วหรือคาราฟ (เหยือกขนาด 250 มล.) อาทิ  Australian Wagyu Ribeye with 2020 GranMonte Gradient Cabernet Sauvignon (1,750 บาท สำหรับแพร์ริ่งแบบแก้ว) จับคู่เนื้อวากิวริบอายกับไวน์แดง Grilled Sea Bass with Lemon and Caper Sauce with 2020 GranMonte Midnight Harvest Chenin Blanc (690 บาท สำหรับแพร์ริ่งแบบแก้ว) สำหรับคนชอบกินปลา และ Coq au Vin with 2019 GranMonte Heritage Syrah Viognier (600 บาท สำหรับแพร์ริ่งแบบแก้ว) ไก่ตุ๋นซอสไวน์แดงเนื้อนุ่มรสกลมกล่อม VinCotto Restaurant ให้บริการตั้งแต่มื้อเช้าจนถึงมื้อค่ำ อยากลิ้มรสความอร่อยอย่างครบครัน แนะนำให้จองเข้าพักที่ GranMonte Wine Cottage ห้องพักน่ารักๆ ที่เห็นวิวเป็นไร่องุ่นล้อมรอบด้วยภูเขาทุกด้าน วิวยามเช้าสวยงามมากๆ และมีห้องพักจำนวนจำกัดเพียง 8 ห้องเท่านั้น หากติดใจอาหารและเครื่องดื่มของที่นี่ ก่อนกลับอย่าลืมแวะที่อาคารร้านค้าซึ่งมีคาเฟ่ให้บริการ พร้อมสินค้าผลผลิตจากไร่มากมายให้ซื้อหากลับบ้านได้อีกด้วย

จากร้านอาหารสไตล์ Chef's Table อยากทำแต่ไม่อยากกิน สู่การต่อยอดโปรเจ็กต์ใหม่ในชื่อ “Yak Yang (อยากย่าง)” ร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศส (French-inspired Bistro) ที่ยังคงคอนเซ็ปต์ "อยากทำ" อาหารให้ทุกคนได้กิน แต่ครั้งนี้เน้นเสิร์ฟเมนูอะลาคาร์ต บรรยากาศภายในร้านดีไซน์ให้ได้กลิ่นอายฝรั่งเศส เน้นโทนสีอุ่นจากเฟอร์นิเจอร์ ตัดกับพื้นลายตารางขาวดำ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เป็นคอมฟอร์ตโซนสำหรับทุกคนที่พร้อมสังสรรค์กับครอบครัวและเพื่อนฝูง ด้านในสุดเป็นพื้นที่ครัวทำงานจริง เปิดโล่งให้มองเห็นและได้ยินเสียงต่างๆ ของการรังสรรค์เมนูสุดพิเศษในค่ำคืนนี้ เชฟต้อนรับด้วย Amuse Bouche แป้งซาวร์โดขนาดพอดีคำ ท็อปด้วยแซลมอนทาร์ทาร์ รสเปรี้ยวสดชื่น หอมกลิ่นมะนาว เรียกน้ำย่อยกันต่อกับ Hokkaido Scallop XXL Carpaccio หอยเชลล์ฮอกไกโดสไลซ์บาง เสิร์ฟพร้อมสลัดผักสดกรุบกรอบและไข่ปลาแซลมอน ราดด้วยน้ำยำสไตล์ฝรั่งเศสผสมดาชิเล็กน้อย เป็นซอสสูตรเฉพาะของร้าน จานนี้ได้รสหวาน หนึบและฉ่ำจากสแกลลอปซึ่งเข้ากันได้ดีกับซอสรสเปรี้ยวนิดๆ ที่ต้องบอกว่าอร่อยลงตัวมาก ถัดมาเป็นเมนูขึ้นชื่ออย่าง Foie Gras Poêlé Thick Cut ตับห่านชิ้นโตจากฟาร์มในฝรั่งเศส ชิ้นหนาพิเศษ มีเนื้อที่แน่น ไขมันน้อย นำมาย่างจนกรอบนอกแต่อมชมพูข้างใน ราดด้วยซอสสูตรเฉพาะ กินคู่กับขนมปังกรอบและผักสลัด อร่อยกันต่อกับเมนู Burrata & Heirloom Tomatoes สลัดบูร์ราตาชีสนำเข้าจากประเทศอิตาลี รสชาติออกเปรี้ยวนิดๆ ให้ความสดชื่น อร่อยจนอดใจรอเมนูต่อไปไม่ไหว ต่อด้วย Truffle Soup ซุปเห็ดทรัฟเฟิลเข้มข้น ที่มีความครีมมี่ ไม่หนักท้อง กลิ่นหอมอวลในปาก ด้านบนเป็นปาร์มีจาโนเรจจาโนและโครเกตต์เห็ดสับ กินตัดกันเพลินๆ ต่อมาคือเมนูสปาเห็ดฮอก หรือ Spaghetti Truffle Cream Sauce สปาเก็ตตีครีมซอสเห็ดทรัฟเฟิล ท็อปด้วยฮอกไกโดสแกลลอปชิ้นโตที่สุกกำลังดี กินกับซอสรสชาติเข้มข้น หอมทรัฟเฟิล อร่อยสุดๆ Crispy Skin Dry-Aged Barramundi ปลากะพงทะเลย่างจนหนังกรอบแต่เนื้อข้างในยังฉ่ำ เสิร์ฟคู่ซอสปิกกาตา เบสเป็นเนย AOP ของฝรั่งเศส กินคู่กันอร่อยกลมกล่อม ถัดมาคือเมนูขายดีอย่าง Beef Short Ribs เนื้อฉ่ำมาก ไม่เหนียว ได้กลิ่นหอมของพริกไทยอ่อนๆ ยกให้เป็นเมนูที่ต้องสั่งเท่านั้น สปาโคตรปู Crab Spaghetti เส้นสปาเก็ตตีผัดกระเทียมพริกแห้งร้อนๆ ท็อปด้วยไข่ปลาแซลมอนและกรรเชียงปูก้อนโต ได้รสเปรี้ยวเล็กน้อย มีกลิ่นหอมของมะนาว อร่อยสมกับเป็นเมนูแจ้งเกิดของ “อยากทำแต่ไม่อยากกิน” เสิร์ฟต่อไม่รอช้ากับไซด์ดิสเห็ดผัด ที่มาพร้อมกับมันบดเนื้อเนียนนุ่มและหอมเนย เป็นสูตรมิชลิน 2 ดาว Herb Crusted Baby Rack of Lamb (Half Rack) สเต๊กเนื้อซี่โครงลูกแกะ หรือ Agneau de Lait เนื้อนุ่ม หอมกลิ่นสมุนไพร กินคู่กับซอสไวน์แดง เข้ากันสุดๆ ปิดท้ายด้วยเมนูสเปเชียลของวันนี้ Confit de Canard น่องเป็ดมัสโกวีย่างแบบสุกกำลังดี เนื้อนุ่มละมุน กินคู่ซอสไวน์แดง จะได้รสเปรี้ยวเล็กน้อย จานนี้ไม่มีในเมนูแต่ถ้าใครอยากลิ้มลองสามารถสั่งเป็น Crispy Skin Dry-Aged Duck Breast จะเป็นอกเป็ดย่างไฟอ่อนๆ จนกรอบ แต่คงเนื้อด้านในอมชมพู อร่อยไม่แพ้กันเลย

“Petits Plats” ร้านอาหารฝรั่งเศสเมดิเตอร์เรเนียนที่ตั้งอยู่ในโครงการ Velaa Sindhorn Village ต้วร้านสีขาวครีมเรียบง่าย บรรยากาศสบายๆ ผสมผสานความหรูหราสไตล์ Casual Dining พื้นกระเบื้องสีขาว-ดำลายตารางหมากฮอส เข้ากับผนังสีขาวสะอาด มีเคาน์เตอร์หินอ่อนลายสวยให้นั่งมองครัวเปิดดูทีมเชฟปรุงอาหารถนัดตา เดินเข้ามาอีกโซนตัวร้านจะให้มู้ดแอนด์โทนที่แตกต่าง ผนังสีขาวแซมด้วยภาพวาดและของตกแต่งจากศิลปินชื่อดัง ได้แก่ ภาพโมนาลิซาอวบอ้วนน่ารักของ Fernando Botero จิตรกรและประติมากรชาวโคลัมเบีย ภาพบอลลูนด็อกหลากสีสัน และงานปั้นรูปกระต่ายสีชมพูบานเย็นจาก  Jeff Koons งานประติมากรรมรูปฟักทองลายจุดของ Yayoi Kusama ศิลปินร่วมสมัยชาวญี่ปุ่นก็เข้าที ยังมีงานอาร์ตลายเส้นโค้งมนสีสันสดใสของ Keith Haring ศิลปินอาร์ตชาวอเมริกันอีกด้วย พื้นไม้และโซฟาหนานุ่มสีเขียวเสริมให้บรรยากาศอบอุ่น เสมือนได้นั่งกินข้าวอยู่ในอาร์ตแกลลอรี่ ใครที่อยากเอ็นจอยกับเพื่อนแบบส่วนตัว ร้าน Petits Plats ก็มีโซนไพรเวทนะ (ชั้น 2 ) พร้อมฟินกับจานอร่อยจากหัวหน้าเชฟ Eray Katirci พ่อครัวชาวตุรกีขี้เล่นที่เชี่ยวชาญการทำอาหารหลากสไตล์ เช่น ฝรั่งเศส เมดิเตอร์เรเนียน และอาหารญี่ปุ่น ต้อนรับด้วย Tartare de boeu ขนมปังกรอบกินพร้อมทาร์ทาร์เนื้อ ที่ปรุงด้วยหัวหอม เคเปอร์ เห็ด พริกไทย และซอสสูตรลับรสเค็มกลมกล่อม ท็อปด้วยคาเวียร์เลอค่า ตามมาติดๆ กัน Uni with Black Meringue เมอแรงก์สีดำเงาที่ทำมาจากหมึกดำและส้มยุซุ ไปด้วยกันได้ดีกับอูนิคำโตๆ รสเค็มได้ที่ คนรักทรัฟเฟิลต้องชอบ Truffle French Toast บริออชชุ่มเนยชิ้นพอดีคำ เข้ากันกับมูสทรัฟเฟิลหอมๆ ก่อนโรยด้วยทรัฟเฟิลสไลซ์มหาศาล  Foie Gras Poêlé รสชาติดีงาม ตับห่านคุณภาพครีมมี่เซียร์ให้สุกกำลังดี ราดด้วยซอสเบอร์รีรสเปรี้ยวหวาน Carpaccio De Sériole ปลาหางเหลืองเนื้อสด แร่เป็นแผ่นบางๆ กินง่าย เคล้ากับน้ำยำสไตล์อิตาเลียนรสเปรี้ยวสดชื่น หรือใครเป็นสายเนื้อจะสั่ง Carpaccio de boeuf เนื้อคุณภาพแร่บางเฉียบ ราดด้วยน้ำยำในแบบฉบับอิตาเลียน แฟนคลับพาสตาชื่นชอบ Rigatoni à la Truffe เส้นรีโตกานีโฮมเมด ลวกสุกพอเหมาะผัดพร้อมซอสครีมรสหอมมัน ทางร้านใส่ทรัฟเฟิลหอมฟุ้งลงไปด้วย จานหลักเป็น Confit de Canard อาหารฝรั่งเศสจานคลาสสิก ขาเป็ดชิ้นโตจุใจ กงฟีจนเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ รสเค็มได้ที่ ตัดกับข้าวรีซอตโตผัดฟักทองบัตเตอร์นัตรสหวานมัน พร้อมสั่ง Frites Maison มันฝรั่งทอดโฮมเมด เนื้อแน่นๆ ไม่อมน้ำมันมากินด้วย Escargots จานดาวเด่นประจำร้าน หอยทากสัญชาติฝรั่งเศสตัวอวบอ้วน อบกับเนยสด กระเทียมและสมุนไพรต่างๆ จนได้เนื้อนุ่มหนึบ กินกับขนมปังกระเทียมทำเองหอมกรุ่นยิ่งฟินเข้าไปใหญ่ ของหวานเราแนะนำ Pain Perdu à la Française เฟรนช์โทสต์สไตล์ฝรั่งเศสฟินสุดใจ ขนมปังโฮมเมดฉ่ำเนยและไข่ เซียร์ให้หอมฟุ้ง จับคู่กับซอสคาราเมลรสหวานหอม ไอศกรีมวานิลลาทำเองชื่นใจและครัมเบิ้ลกรุบกรอบ ในโครงการ Velaa Sindhorn Village มีร้านน่าสนใจเยอะทีเดียว  

ประสบความสำเร็จจากสาขาแรกที่ The Emquartier อย่างงดงาม ครั้งนี้ Victoria by Cocotte”ร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ Modern Brasserie มาบุกสาขา 2 ที่ห้างฯ ใหญ่อย่าง เซ็นทรัลเวิลด์’ (บริเวณชั้น 1 โซนเอเทรียม)  แน่นอนว่าคอนเซ็ปต์ร้านยังคงเป็นอาหารฝรั่งเศสคอมฟอร์ตฟู้ด ซึ่งปรุงจากวัตถุดิบคุณภาพ และทีมเชฟฝีมือดีที่เสิร์ฟแบบ All Day Dining เช่นเคย       ให้คุณเพลิดเพลินได้ทั้งมื้อเช้า บรันช์ ดินเนอร์ ของหวานและเครื่องดื่มรสชาติดี ที่เคล้าไปกับบรรยากาศสบายๆ แต่แฝงไปด้วยความมีสไตล์ราวกับคุณนั่งเล่นอยู่ริมชายหาด Saint Riviera ประเทศฝรั่งเศส เก้าอี้หวายสีน้ำเงินสลับขาว ทั้งยังมีมุมโซฟานุ่มๆ ตัดกับสีทองเพื่อเพิ่มความหรูหรา เหมาะกับทุกๆ โอกาส ทั้งออกเดตกับคนพิเศษ ประชุมงานสำคัญ หรือแม้กระทั่งพักเอาแรงจากการชอปปิง       เรียกน้ำย่อยกันก่อนกับ Bruschetta Tomato Confit แซนด์วิชหน้าเปิดสไตล์อิตาเลียนแสนอร่อย ขนมปังฝรั่งเศสสไตล์โฮมเมด เข้าคู่ไปกับมะเขือเทศกงฟีนุ่มๆ ซอสเพสโตรสเผ็ดกลมกล่อม หอมกลิ่นใบโหระพา และชีสสตราชาเทลลาครีมมี     Truffle Deviled Eggs ไข่ออร์แกนิกคุณภาพ ต้มจนได้ที่ กินพร้อมซอสครีม ที่ครีเอทมาจากไข่แดงและมายองเนสทรัฟเฟิล รสเปรี้ยวละมุน ท็อปด้วยทรัฟเฟิลสุดเลอค่าอีกที     เอาใจแฟนคลับพาสตาด้วย Aglio Olio Bacon สปาเก็ตตีเบคอนผัดพริกแห้ง เส้นสปาเก็ตตีเหนียวนุ่ม รสเผ็ดนุ่มนวล หอมกลิ่นกระเทียม เสริมรสเค็มด้วยเบคอนที่เรารัก     จานหลักเราเลือกเป็น Salmon Chorizo สเต็กแซลมอนชิ้นโตๆ เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ผิวนอกเกรียมกรอบ เสิร์ฟพร้อมผักย่างกินง่าย อาทิ เห็ด หน่อไม้ฝรั่ง และซอส Chorizo สีส้มรสเข้มข้น มีรสเผ็ดเล็กๆ จากพริกปาปริก้าด้วย     ตบท้ายด้วยของหวานอย่าง Tropical Panna Cotta พานาคอตตารสครีมมะพร้าวหอมมัน เนื้อนุ่มเนียนเด้ง เข้าปากพร้อมไอศกรีมเชอร์เบตรสมะม่วงน้ำดอกไม้ รสหวานฉ่ำ ครีมเสาวรส ครัมเบิลมะพร้าวกรุบกรอบ ยังมีเนื้อมะม่วงและสับปะรดมาให้ด้วยนะ  

แทบไม่น่าเชื่อว่าภายในซอยวิภาวดี 60จะมีร้านอาหารฝรั่งเศสบรรยากาศสุดคลาสสิกซ่อนตัวอยู่ Le Vipa” ร้านอาหารฝรั่งเศสในปราสาทที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบทิวดอร์ (Tudor) ซึ่งมักพบเห็นได้ในยุโรปอย่างฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน ถูกจำลองมาตั้งอยู่ใจกลางซอยนี้แล้ว       ด้วยความหลงใหลในอาหารและไวน์จากฝรั่งเศสนำพาให้กัปตันแหลม – เรืออากาศโท นภสูร ชยันตรดิลก  ได้พบเจอกับเชฟกิต – กิตติวงศ์ แสงชื่นถนอม ซึ่งขณะนั้นทำงานอยู่ในร้านมิชลินหนึ่งดาวที่ Abbaye de la Bussiere ใน Burgundy ได้มาร่วมงานกันในโครงการที่เป็นเหมือนความฝันของกัปตันแหลม ที่อยากจะมีร้านอาหารฝรั่งเศสบรรยากาศดีๆ เสิร์ฟไวน์พรีเมียม พร้อมด้วยอาหารคุณภาพดีเฉกเช่นที่ได้รับประทานกันในปารีส     กัปตันแหลมเล่าว่าบ้านหลังนี้สร้างเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เจ้าของเดิมเป็นอดีตนักเรียนอังกฤษซึ่งชื่นชอบของเก่ามาก สถาปัตยกรรมต่างๆ ของบ้านล้วนทำในอังกฤษทั้งหมด เขียนแบบและนำวัสดุเข้ามา ทั้งไม้ กลอนประตู มือจับ แจกัน ขอบหน้าต่าง เครื่องสุขภัณฑ์ หรือแม้แต่ปลั๊กไฟก็ต้องใช้อะแดปเตอร์ ใช้เวลาสร้างประมาณ 5 ปี ความโดดเด่นของตัวอาคารอยู่ที่การโชว์เนื้อไม้แยกส่วนออกมาจากตัวปูน เป็นสถาปัตยกรรมอิงลิชทิวดอร์ มีภาพจำเป็นรูปจั่วซึ่งนำมาใช้เป็นโลโก้ของร้านด้วย ภายในร้านแบ่งเป็น 3 โซน ชั้นบนและโซนด้านในสามารถจัดเป็นพื้นที่ไพรเวต ส่วนโซนตรงกลางเปิดรับลูกค้าทั่วไป และในพื้นที่เดียวกันนี้ยังมีอีก 2 อาคารที่จะเปิดเป็นห้องจัดเลี้ยง และพรีเมียมสเต็ก ในอนาคตอันใกล้         สำหรับเมนูอาหารที่เป็นไฮไลต์ประจำร้าน เริ่มด้วย Spanish Caesar ทางร้านใช้เบบี้ครอสคลุกกับซอสซีซ่าร์สูตรเฉพาะของร้าน  ความพิเศษอยู่ที่ Jamon Iberico de Bellota หมูดำไอเบอริโก้ส่วนที่ดีที่สุด เป็นหมูดำสเปนเลี้ยงในธรรมชาติ ที่ออกแบบให้หมูต้องเดินไปยังแหล่งน้ำที่ใกล้ที่สุดไปกลับวันละ 12.5 กิโลเมตร เนื้อหมูจึงเป็นสีแดงซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อที่ออกกำลัง ผ่านการเอจจิงนาน 48 เดือน หอมกลิ่นโอ๊ค รสชาติหมูและซอสเข้มข้น ตัดด้วยความสดมากๆ ของเบบี้ครอส แค่เพียงจานแรกก็เห็นได้ชัดถึงความตั้งใจในการเฟ้นหาวัตถุดิบ     ตามด้วย Wild Mushroom Soup ที่ใช้เห็ด 9 ชนิดในการปรุงซุปถ้วยนี้ หนึ่งในนั้นคือเห็ดเมอเรล ซึ่งราคาแพงกว่าแบล็กทรัฟเฟิลเมื่อเทียบน้ำหนักกันปอนด์ต่อปอนด์ ซุปถ้วยนี้มี 3 เลเยอร์ บนสุดเป็นแผ่นเห็ดกรอบทำจากเห็ดเมอเรล ตรงกลางเป็นซุปเห็ด และล่างสุดเป็นคัสตาร์ดที่ทำจากเห็ด กัปตันแหลมแนะนำให้ตักกินพร้อมกันทั้ง 3 เลเยอร์จะได้ความริชของเห็ดที่กลมกล่อม       ต่อด้วย Spanish Gambas เป็นกุ้งทะเลทอดกับน้ำมันมะกอก กระเทียม และปาปริก้า ในสไตล์สเปน มาพร้อมชิ้นขนมปังที่แนะนำว่าต้องใช้ขนมปังปาดน้ำมันมะกอกกินไปพร้อมๆ กัน หรือจะเป็นขากบฝรั่งเศส ที่ใช้ขากบนำเข้าจากฝรั่งเศสทอดกับน้ำมันมะกอก เนื้อใสคล้ายปลาหิมะ แม้ขาจะเล็กกว่าขากบในบ้านเราเกือบครึ่ง แต่รสชาติเหนือกว่าหลายเท่าตัว       จานเส้นเป็น Pasta Truffle เส้นสปาเก็ตติโนแบบอัลเดนเต้ ใช้เห็ดเมอเรลและเนื้อเห็ดทรัฟเฟิลสดสับทำเป็นซอส  มุมขวาบนมีชีสพามิชิอาโนซึ่งบ่มนานกว่าพามิซานให้คลุกเคล้าเพิ่มรสชาติกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น     จานหลักสุดอร่อยของมื้อ ขอยกให้ Black Cod เป็นปลาหิมะย่างด้วยแชมเปญ เนื้อปลาด้านนอกกรอบภายในยังคงนุ่ม หอมกลิ่นแชมเปญ เสิร์ฟพร้อมหนังปลา อิคุระ ซอสแชมเปญ มีแครอตพูเล และเบซิลออยล์เคียงมาด้วย     จบแบบฟินๆ ด้วย Gelato with Fresh Fruit สดชื่นเป็นที่สุด     เซ็ต 6 คอร์สเมนูราคาเริ่มต้นเพียง 2,500 บาท (ไม่รวมภาษีและเซอร์วิส) ตามไปชิมความอร่อยได้ที่ Le Vipa เลขที่ 1/99 ซอยวิภาวดีรังสิต 60 แยก 18-1-2 เปิดบริการ 17.00-23.00 น. (หยุดวันอังคาร) สำรองล่วงหน้าที่ โทร. 08-0747-4487, 08-6571-8687