ซีฟู้ดบุฟเฟ่ต์ที่ Lord Jim’s ห้องอาหารลอร์ด จิมส์ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เป็นอีกหนึ่งร้านที่มีแฟนคลับใช้บริการอย่างเหนียวแน่น     ห้องอาหาร ลอร์ด จิมส์ เปรียบเสมือน "ห้องนั่งเล่นของกรุงเทพฯ" เพราะตลอดเวลาที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 ที่นี่เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของทั้งลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่ต่างชื่นชอบบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวันระดับพรีเมี่ยม       บุฟเฟ่ต์มื้อกลางวันเปิดให้บริการทุกวัน หากเป็นวันจันทร์ - วันศุกร์ จะมีเมนูอาหารมากกว่า 80 รายการ ถ้าใครอยากพบกับประสบการณ์แบบเต็มๆ ให้มาวันเสาร์ -วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ที่จะมีอาหารมากกว่า 100 รายการ ให้ลิ้มลอง       จุดเด่นที่ห้ามพลาดคือ อาหารทะเลระดับพรีเมี่ยม วางเรียงสวยงามบนน้ำแข็ง ได้แก่ แคนนาเดี่ยนล็อบสเตอร์ ปูยักษ์จากฮอกไกโด หอยนางรมจากฝรั่งเศส ซูชิ ซาชิมิ  แฮมไอเบอริโก 36 เดือนจากสเปน แซลมอนกรัฟลักซ์ตำรับนอร์ดิค (Gravlax Salmon) และชีสนานาชนิด           ส่วนสเตชันร้อนต้องยกพื้นที่ให้กับ ตับห่านจากฝรั่งเศสเสิร์ฟพร้อมซอสมะม่วงสุดคลาสสิค ปลากะพงอบเกลือเมนูสุดคลาสสิคประจำลอร์ด จิมส์ แฮมอบน้ำผึ้งมัลเบอร์รี่ออร์แกนิค ซึ่งเป็นน้ำผึ้งออร์แกนิคจากฟาร์มผึ้งของโรงแรมตั้งอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ซี่โครงแกะอบ เนื้ออบ           สเตชั่นพาสต้าเส้นสดโฮมเมดพร้อมด้วยซอสนานาชนิดจากห้องอาหารเชาว์ เทอราซซ่า และของหวานนานาชนิดละลานตา และที่พลาดไม่ได้คือ เครปซูเซท ที่อยู่คู่กับซุ้มขนมหวานประจำลอร์ด จิมส์มามากกว่าสี่ทศวรรษ         นอกจากไลน์บุฟเฟ่ต์ที่ให้เราได้เลือกตักด้วยตัวเองแล้ว เรายังสามารถนั่งที่โต๊ะแล้วสั่งเมนูอาหารจานหลักได้ไม่จำกัด เชฟจะปรุงอาหารจานให้สดใหม่ร้อนๆ ทุกจาน เช่น ซุปล็อบสเตอร์บิสค์ หอยแมลงภู่สีดำอบไวน์ขาว ซีฟู้ดในซอสเคจันตามแบบฉบับของอาหารอเมริกันในรัฐลุยเซียนา ซีฟู้ดเทอร์มิดอร์ ริซอตโต้กับแบล็คทรัฟเฟิล ซี่โครงหมูอบซอสบาร์บีคิว หรือจะเป็นอาหารจานหลักตำรับไทยปรุงโดยเชฟป้อม พัชรา จากห้องอาหารศาลาริมน้ำ อาทิ ต้มยำกุ้ง แกงเขียวหวานไก่หรือเนื้อ น่องเป็ดตุ๋นสมุนไพร เป็นต้น     เป็นอีกร้านสุดคลาสสิคที่ได้เพลิดเพลินไปกับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมด้วยการบริการที่เป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับโอเรียนเต็ล   ที่มาของชื่อห้องอาหาร ลอร์ด จิมส์ (Lord Jim’s Restaurant) เกี่ยวข้องกับนักเขียนชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง ‘โจเซฟ คอนราด (Joseph Conrad)’ ผู้ที่เคยมาพำนักที่โรงแรมเมื่อปี พ.ศ. 2431 ‘ลอร์ด จิมส์’ ถูกตั้งขึ้นตามชื่อกะลาสีเรือ ผู้ที่เป็นตัวละครในหนังสือที่มีชื่อเดียวกัน ห้องอาหารลอร์ด จิมส์ ตั้งอยู่บนชั้น 1 ของอาคารริเวอร์ วิง (River Wing) ซึ่งถูกปรับโฉมใหม่โดยนักออกแบบชื่อดัง มร. เจฟฟี่ย์ วิลค์ (Jeffrey Wilkes) นักออกแบบตกแต่งอาคารริเวอร์ วิง รวมถึงห้องพัก ห้องอาหารต่างๆ และล็อบบี้ ในส่วนของห้องอาหาร ลอร์ด จิมส์ นั้น เจฟฟี่ย์ วิลค์ ได้รับแรงบันดาลใจจากเรือสำราญหรูสไตล์อาร์ตเดโค ซึ่งเป็นศิลปะการออกแบบในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สถาปัตยกรรมในยุคนั้นจะ โดดเด่นด้วยลายเส้นโค้ง เหลี่ยม และรูปทรงเลขาคณิต แฝงความหรูหราด้วยการนำวัสดุอย่างไม้สัก ทองเหลือง และหินอ่อน โลโก้ ลอร์ด จิมส์ มีลักษณะคล้ายแผงควบคุมเรือสำราญ โดยตัวอักษรด้วย ‘L’ สื่อถึงใบเรือ และตัวอักษร ‘J’ ที่เปรียบเสมือนการเคลื่อนไหวของเรือ อีกทั้งส่วนโค้งของตัว ‘J’ ยังสื่อถึงความโค้งเว้าของท้องเรืออีกด้วย

“พระรามสี่ บิสโตร (Phar-Ram IV Bistro)” คาเฟ่และร้านอาหารน่านั่งน้องใหม่แห่ง ‘โรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพฯ’ แหล่งนัดพบของฟู้ดดี้ที่ชอบบรรยากาศสวยสไตล์ยุโรป แชะรูปกี่มุมก็เพลิน พื้นกระเบื้องโมเสคสีขาวดำทันสมัย ดูกลมกลืนไปกับผนังสีขาวสะอาด ที่รอบด้านติดกระจกใสมองออกไปเห็น ‘ถนนพระรามสี่’ แบบพอดิบพอดี ด้วยเหตุนี้จึงใช้ชื่อร้านว่า ‘พระรามสี่ บิสโตร’ อย่างไรล่ะ       แสงธรรมชาติที่กระจายความสว่างเข้ามาทางกระจกบานใหญ่ ทำให้ร้านดูโปร่งไม่รู้สึกแออัด แม้พื้นที่จะจำกัดลูกค้าได้เพียง 34 ที่นั่งก็ตาม โต๊ะหินอ่อนและโซฟาเบาะนุ่มสีน้ำตาล เคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่มที่เรียงรายด้วยไวน์คุณภาพ เคียงข้างไปกับเบเกอรีสไตล์ฝรั่งเศสอบสดใหม่วันต่อวัน โดยรวมแล้ว ‘Phar-Ram IV Bistro’ ก็เป็นร้านที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น เรียบง่าย สบายๆ อยู่ไม่น้อย     สำหรับเรื่องอาหารก็โดดเด่นและน่าสนใจ โดยในช่วงเช้าถึงบ่ายจะเสิร์ฟอาหารมื้อเบาๆ เช่น สลัด แซนด์วิช ขนมโฮมเมดสไตล์ฝรั่งเศส อาทิ ครัวซองต์ ชีสเค้ก และเครื่องดื่มรสชาติดี อย่าง ช็อกโกแลตร้อนสไตล์ปารีเซียงและ Earl Grey Apple Cooler เป็นต้น เมื่อเวลาเปลี่ยนเป็นยามเย็นโพล้เพล้ คาเฟ่จะกลับกลายเป็นบิสโตรและไวน์บาร์บรรยากาศดี ที่เสิร์ฟเมนูสไตล์ยุโรปกลิ่นอายฝรั่งเศสแสนอร่อย ซึ่งเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ โดย ‘แอร์เว่ แฟร์ราร์ด’ (Hervé Frerard)     เชฟชื่อดังชาวฝรั่งเศสฝีมือเก่งกาจที่มีประสบการณ์การปรุงอาหารเสิร์ฟบุคคลสำคัญของโลก อาทิ สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ทั้งยังเคยเป็นพ่อครัวส่วนตัวของประธานาธิบดีฟรองซัวร์ มีแตร์ร็อง (François Mitterrand) แห่งประเทศฝรั่งเศส อีกด้วย อาหารรสอร่อย จิบคู่ไปกับไวน์ดีๆ ที่นำเข้ามาจากแหล่งผลิตไวน์ชั้นนำของโลก อาทิ ประเทศฝรั่งเศส ประเทศอิตาลี และประเทศชิลี แต่หากใครชอบดื่มม็อกเทล หรือค็อกเทล ที่นี่เขาก็มีเสิร์ฟเช่นกัน     จานแรกที่ชิมเป็นเบเกอรียอดนิยมอย่าง Butter Croissant (120 บาท) ครัวซองต์เนยสดเนื้อนุ่มที่ใช้เนยจากประเทศฝรั่งเศส และ Almonds Croissant (120 บาท) ครัวซองต์อัลมอนด์ไซส์มินิ กินง่าย แป้งนุ่มฟูกัดพร้อมครีมอัลมอนด์รสหวานกำลังดี และอัลมอนด์สไลซ์กรุบกรอบ     Iberico Ham, Cheese Croquettes, Yuzu Cream (280 บาท) แฮมไอเบอริโก (Iberico Ham) แฮมคุณภาพที่ผลิตจากหมูดำ ประเทศสเปน เนื้อนุ่ม รสเค็มละมุนมีไขมันแทรกเล็กๆ กินพร้อมชีสคร็อกเก้ ที่ทำจากมันบดสอดไส้ชีสหอมมัน จากนั้นนำไปทอดให้เป็นสีเหลืองทอง กินกับครีมยุซุรสเปรี้ยวสดชื่น     ตามด้วย Vegetable Ratatouille, Slow-Cooked Egg, Crispy Campagne Bread (190 บาท)  สตูผักรวมนานาชนิด หรือที่ในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า ราตาตูย (Ratatouille) รสเค็มนิดๆ หอมกลิ่นพริกไทยและน้ำมันมะกอก ท็อปด้วยไข่ออนเซ็น และขนมปังกัมปาญ (Campagne Bread) กรอบ     Italian Burrata Cheese, Organic Heirloom Tomato, Citrus Vinaigrette (490 บาท) ชีสบูราต้าสดจาก ประเทศอิตาลี ซึ่งผลิตมาจากน้ำนมควาย รสหอมมัน กินกับมะเขือเทศแฮร์ลูมออร์แกนิก และน้ำสลัดรสส้ม รสเปรี้ยวอมหวาน     Linguine Rustichella, Japanese Sea Urchin, Baby Clams Jus (450 บาท) เส้นลิงกวินีโฮมเมด เหนียวนุ่ม ผัดพร้อมอูนิ ไข่หอยเม่นคุณภาพจากประเทศญี่ปุ่น และซอยหอยลายรสเค็มจัดจ้าน Tajima Wagyu Beef Fillet, Shallots Confit, Corn Puree, Port Wine Reduction (1,280 บาท) เนื้อทาจิมะวากิว จากดินแดนอาทิตย์อุทัยชิ้นโตจุใจ ย่างสุกระดับมีเดียม ราดซอสพอร์ตไวน์รสเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมผักย่าง       ล้างปากด้วยของหวานอย่าง Japanese Style Caramel Custard (120 บาท) พุดดิ้งรสคัสตาร์ดสไตล์ญี่ปุ่น เนื้อเนียน นุ่มเด้ง รสหอมหวาน เข้ากันดีกับผลไม้สดอย่างสตรอว์เบอร์รี  

ภายในโรงแรมวาลาหัวหิน นู แชปเตอร์ โฮเทล มีห้องอาหาร Woods Kitchen & Bar ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่แห่งความสงบที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติอย่างแท้จริง ตัวร้านอยู่ภายใต้อาคารหลังคาทรงกลม มีวิวสระว่ายน้ำอยู่เบื้องหน้า แซมด้วยความร่มรื่นของมวลไม้เขียวขจีในบรรยากาศสดชื่น โซนเอ้าท์ดอร์จัดสรรพื้นที่เป็นเคาน์เตอร์บาร์ให้นั่งจิบเครื่องดื่ม และโต๊ะรับประทานอาหารควบคู่กันไป           ภายในห้องอาหารตกแต่งในสไตล์มินิมอล เน้นความเรียบง่ายอย่างมีดีไซน์ เลือกใช้สีเอิร์ธโทนให้ความรู้สึกผ่อนคลายจนอยากนั่งชิลละเลียดความอร่อยไปยาวๆ         ร้านอาหารเปิดบริการตั้งแต่เช้าด้วยบุฟเฟ่ต์ไลน์สวยงามน่ากินทั้งสลัด แฮม โบโลญ่า มอร์ทาเดลลา ชีสนานาชนิด ขนมปัง แพนเค้ก วาฟเฟิล ส่วนเมนูไข่เลือกสั่งตามชอบทั้งไข่กระทะ ไข่ดาวน้ำ นอกจากนั้นยังมีอาหารท้องถิ่นแบบไทยๆ อย่างข้าวต้ม ปาท่องโก๋ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ตอบโจทย์ทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ           สำหรับมื้อกลางวันมีเมนูอะลาคาร์ตให้เลือกสั่งทั้งอาหารไทยและนานาชาติ อาทิ ยำใบชะคราม ผัดไทย ปีกไก่ทอด ซีซาร์สลัด พาสต้าหลากชนิด อาทิ T&T Pasta, Orecchiette with Broccoli & Chilli ซึ่งทุกจานล้วนรสชาติดีไม่ผิดหวังแน่นอน           อีกหนึ่งไฮไลต์ในช่วงค่ำ ทางห้องอาหารจะปรับเมนูเป็นทาปาส ซีฟู้ดแอนด์กริลล์ โดยคัดสรรวัตถุดิบท้องถิ่นและเครื่องปรุงชั้นดี รังสรรค์เป็นจานอร่อยมากมาย อาทิ ทาปาสหลากชนิด สลัดส้มโอและเนื้อปู ปาเอญ่าซีฟู้ด ปลากะพงและซีฟู้ดคาสซูเลต์ เป็นต้น ส่วนขนมหวานแนะนำ Churros หรือปาท่องโก๋สเปนเสิร์ฟพร้อมซอสช็อกโกแลต จานนี้รับประกันความฟิน และอีกจานที่ไม่ควรพลาด Pineapple Carpaccio ที่ใช้สับปะรดจากประจวบฯ สไลซ์เป็นแผ่นบาง รสหวานอมเปรี้ยวกินพร้อมมูสมะนาว และไอศกรีมกะทิ รับรองว่าต้องติดใจ            

ใครมองหามื้อเที่ยงที่ทั้งอร่อยระดับคุณภาพในราคาเบาๆ เข้าถึงได้ต้องมาที่ห้องอาหาร The Allium Bangkok” บนชั้น 3 โรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล ที่นำเสนอ The Allium set Lunch” เซ็ตอาหารฝรั่งเศสสไตล์โมเดิร์นฝีมือเชฟ Jeffrey Verweij” Chef de cuisine คนใหม่ที่พร้อมมาสร้างสรรค์เมนูอร่อยประทับใจในราคาเพียง 2 คอร์ส 650++ บาท ต่อคน และ 3 คอร์ส 750++ บาท ต่อคน         จานเด่นมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งอาหารเรียกน้ำย่อยอย่าง Chiang Mai tomato & ricotta espuma สลัดมะเขือเทศออร์แกนิกที่ใช้มะเขือเทศจากเชียงใหม่ แม้ไม่ชอบมะเขือเทศก็กินได้ Blue crab salad & cucumber สลัดปูทะเลมาพร้อมสปาเกตตีแตงกวาและคาเวียร์สาเก และ Home-cured trout & ponzu gel ปลาเทราต์หมักเพิ่มรสชาติด้วยซอสเจลพอนสึ ส้ม และแอปเปิลเขียว         ต่อด้วยจานหลัก ใครชอบเนื้อเราแนะนำ Wagyu beef striploin, potato & carrot สเต๊กเนื้อวากิวจากออสเตรเลียส่วนสันอก ย่างระดับมีเดียมแรร์ เสิร์ฟพร้อมแครอตย่างและโฟมมันฝรั่งนุ่มๆ ส่วนคนรักปลาต้องลอง Seabass, broccoli puree & caper sauce ปลากะพงเนื้อแน่นมาพร้อมบร็อคโคลีพูเรและซอสเคเปอร์ และ Dutch cod, black mussel & saffron sauce ปลาคอดซูสวิดเนื้อนุ่มในโฟมซอสหอมกลิ่นแซฟฟรอนอ่อนๆ เพิ่มความอร่อยด้วยหอยแมลงภู่ดำ         ปิดท้ายด้วยของหวานอร่อยเด็ด ไม่ว่าจะเป็น Strawberries & yoghurt เมนูของหวานแสนสดชื่นที่คนรักสตรอว์เบอร์รีเป็นต้องถูกใจ หรือ Chocolate & passionfruit ที่นำความอร่อยเข้มข้นของช็อกโกแลตมาผสมผสานกับความเปรี้ยวของเสาวรสได้อย่างลงตัว ส่วนสาวๆ ที่ชอบผลไม้ลองสั่ง Seasonal Fruits & lychee sorbet ผลไม้ตามฤดูกาลนานาชนิด เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมซอร์เบต์รสลิ้นจี่หวานเปรี้ยวสดชื่นก็เป็นอันจบมื้อกลางวันแบบสุดประทับใจ      

ถือเป็นสีสันรับลมร้อนที่กำลังมาเยือน เมื่อร้านของเชฟมาร์ติน บลูโนส เชฟหนวดอารมณ์ดี ได้ปรับพื้นที่บนชั้น 14 ริมสระว่ายน้ำของโรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ ให้กลายเป็นพื้นที่สีชมพูสดใส ให้เราได้ไปเช็คอินถ่ายรูปสวย และลิ้มลองเมนูสุขภาพสุดชิค       in the pink @Blunos คือคอนเซ็ปต์น่ารักที่เชฟมาร์ตินอยากให้เราคลายเครียดไปกับบรรยากาศสนุกๆ และอิ่มเอมไปกับเมนูอร่อยเสิร์ฟอาหารดีสุขภาพดี ที่ใช้ผลไม้ท้องถิ่นตามฤดูกาล และผลไม้นำเข้าเกรดพรีเมียม หลีกเลี่ยงการใช้สีผสมอาหาร เน้นความอร่อยจากธรรมชาติเพื่อสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอก เหมาะกับการกินอาหารสุขภาพในปัจจุบัน     หลังจากดื่มด่ำกับวิวสวยบนดาดฟ้าแล้ว ห้ามพลาดเมนูที่มีสีสันสนุกสนานตามสไตล์ของเชฟมาร์ติน กับเมนูแรก EGG & FRIES (220 บาท) เมนูไฮไลต์ของเชฟมาร์ติน หน้าตาคล้ายอาหารเช้าแบบไข่ดาว แต่แท้จริงแล้วคือ กรีกโยเกิร์ตมาทำเป็นเหมือนไข่ขาว มีแอปริคอตโพชสีส้มสดใสเป็นไข่แดง ราดด้วยน้ำผึ้ง เสิร์ฟคู่กับฝรั่งสดๆ ที่ทำหน้าตาให้คล้ายมันฝรั่งทอด ราดด้วยซอสราสเบอรีและสตรอเบอรี เป็นเมนูน่ารักที่มีโปรตีนและวิตามินเต็มเปี่ยม     สำหรับใครที่ชอบสมูทตี้โบวล์ต้องลอง THE GALAXY (250 บาท) ที่แบบจักรวาลกาแลคซี่ เต็มไปด้วยผลไม้หลากหลายชนิด เช่น กล้วยหอม สตรอเบอรี มะม่วงสุก ปั่นผสมกับผงชาโคลที่ช่วยดูดซับสารพิษในร่างกาย โรยด้วยกราโนล่า เมล็ดดอกทานตะวัน และถั่วแดงเคี้ยวมัน     อีกชามที่สีสวยไม่แพ้กันคือ TROPICAL GREEN (290 บาท) ที่ได้สีเขียวจากสาหร่ายสไปรูลิน่า สาหร่ายที่มีสารคลอโรฟิลล์สูง ปั่นรวมกับกล้วย มะม่วงสุก นมอัลมอนด์ ตกแต่งหน้าตาให้ดูน่ากินด้วยผลไม้สด กราโนล่า     BERRY BLISS (190 บาท) แก้วนี้สีชมพูสดใสเพราะมีส่วนผสมของมิ๊กซ์เบอร์รี่ปั่นกับโยเกิร์ตไขมันต่ำ และสตอเบอร์รีพูเร่ โรยด้วยเบอร์รี่ กราโนล่า ดื่มเย็นๆ สดชื่น     ถือเป็นมื้อที่ได้ทั้งความสุขจากวิวสวยๆ และสุขภาพดีจากอาหาร แว่วมาว่าถ้าสระว่ายน้ำเปิดให้บริการเมื่อไร คงได้เห็นสาวๆ พร้อมใจมาเช็คอินพร้อมชุดทูพีชแน่นอน

เมื่อร้าน Tables Grill ร้านเก่าแก่ประจำโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ ได้โบกมือลาไป ตอนนี้มีร้านน้องใหม่อย่าง Salvia (ซาลเวีย) ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์ออสเตอเรีย (Osteria) แบบอิตาเลียนดั้งเดิมมาให้บริการแทน       ซาลเวีย ในภาษาอิตาเลียนแปลว่าใบเสจ (พืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง) ร้านบรรยากาศสบายเสิร์ฟเมนูอิตาเลียนดั้งเดิมรสชาติถูกปากชาวไทย โดยมีหัวหน้าเชฟ โรแบร์โต ปาเรนเตล่า เชฟหนุ่มจากแคว้นปิเยมอนเตเป็นผู้กำกับรสชาติ     Insalata Cesare (250 บาท) สลัดผักโรเมนหรือผักกาดคอสสดกรอบ ราดเดรสซิ่งแองโชวีรสเค็มมัน และชีส Grana Padano รสเค็มมัน     Burrata e pomodori (390 บาท) สลัดชีสบูราต้าจากหัวหิน เนื้อนุ่มครีมมี่ กับมะเขือเทศเชอร์รี่สดๆ จากเชียงใหม่รสหวาน เติมรสเค็มมันลงตัวด้วยมะกอกดำ     พิซซ่าที่นี่ขนาดกำลังดีและราคาก็น่ารัก ต้องลองสั่ง Salsiccia e broccolini (230 บาท) แป้งนุ่มหอมกลิ่นเตาถ่านสไตล์นโปเลียน ใส่บรอกโคลี เบคอน ชีสมอสซาเรลล่าและกอร์กอนโซล่ารสเข้ม     พาสต้าก็เด็ดเพราะเชฟทำเส้นสดเอง ที่แนะนำคือ Spaghetti vongole e acciughe (460 บาท) สปาเก็ตตี้หอยตลับกับไวน์ขาว พริกป่นและเนยแองโชวี ถ้าชอบเส้นเกลียวเคี้ยวหนุบๆ ต้อง Fusilli caserecci al ragù d’ agnello (330 บาท) พาสต้าเส้นเกลียวเหมือนเชือกที่เชฟทำเอง ผัดกับซอสรากูเนื้อแกะที่ตุ๋นช้าๆ จนนุ่มและรสเข้มข้น       ส่วนจานเนื้อ Tagliata di Angus 350 g (1,380 บาท) เสิร์ฟมาบนเตาย่างเล็กๆ ได้กลิ่นหอมของควันจากใบองุ่น เนื้อริบอายแองกัสออสเตรเลียนย่างมาสุกแบบปานกลาง เมื่อสไลด์แล้วเนื้อสีชมพูสวย นุ่ม กินคู่กับผักร็อกเก็ตและมะเขือเทศเชอร์รี่       ของหวานเราก็ไม่อยากให้ข้าม Tiramisu (220 บาท) เนื้อนุ่ม หอมกลิ่นกาแฟและเหล้าอัลมอนด์อะมาเรตโต (Amaretto) ได้รสชีสมาสคาร์โปนครีมมี่ โรยผงโกโก้และช็อกบอลเม็ดเล็กกรุบกรอบ Crostata di fichi (220 บาท) ทาร์ตลูกฟิก คาราเมลหอมหวาน ลูกฟิกเนื้อนุ่ม เข้ากับอัลมอนด์ครีมและไอศกรีม     เป็นเมนูอิตาเลียนที่อร่อยและคุ้นเคยจนอยากกลับไปกินบ่อยๆ

คงไม่บ่อยครั้งที่เราจะได้ดินเนอร์พร้อมชมวิวริมระเบียงเฉียดฟ้าในจุดที่สูงที่สุดของกรุงเทพฯ แบบไม่มีสิ่งใดปิดกั้น แค่คิดก็สนุกแล้วเพราะฉะนั้นอย่ารอช้าเราอยากชวนทุกคนมาที่ Bangkok Balcony ชั้น 81 โซน Sky Box มุมดินเนอร์สุดอเมซซิ่งที่ควรมีสักครั้งในชีวิต           ก่อนดื่มด่ำกับมื้อค่ำสุดพิเศษ อย่าพลาดโมเมนต์สุดชิลคือการขึ้นไปชมวิวบนชั้น 77 และดาดฟ้าพื้นหมุนบนชั้น 84 ในมุมมอง 360 องศากว้างไกลสุดสายตาเพื่อเก็บภาพดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าได้อย่างเต็มที่ แต่เดี๋ยวก่อน...อย่าลืมเหลือเมมโมรี่ไว้เก็บภาพสวยๆ ระหว่างมื้ออาหารกันด้วยล่ะ               ความดีงามของโซน Sky Box นอกจากมุมมองแบบ Bird Eye View สุดอลังการแล้วก็คืออาหารจานเด็ดที่ยกขบวนมาให้ลิ้มลองอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยเซ็ตเมนูสุดพรีเมียมไม่ว่าจะเป็นฟัวกราส์, ซุปล็อบสเตอร์, ซูชิวากิว, ซีฟู้ดย่าง, นาเบะเนื้อวากิวสไลด์, ติ่มซำ               สเต๊กเนื้อชั้นดีก็มีให้เลือกอย่างเต็มที่ อาทิ สเต๊กเนื้อสันในออสเตรเลีย, สเต๊กซี่โครงแกะออสเตรเลีย, สเต๊กลิ้นวัว, สเต๊กแซลมอน หรือสะโพกนางฟ้า รวมถึงอีกหลายเมนูที่เสิร์ฟให้กินแบบจุใจ โดยเฉพาะไวน์ชั้นดีให้คุณละเลียดพร้อมกับชมวิวอย่างเพลิดเพลิน             หรือถ้ายังไม่จุใจก็สามารถเลือกฟินไปกับเมนูบุฟเฟต์โซนด้านในได้อีกไม่อั้นอีกด้วย ยกให้เป็นดินเนอร์สุดอเมซซิ่งแห่งปี ที่มีแต่คำว่าประทับใจจริงๆ  

หากมาถึงเมืองท่องเที่ยวชื่อดังอย่างพัทยาและมองหาห้องอาหารรสชาติดีที่มีบรรยากาศสุดหรูในราคาที่เข้าถึงได้ แนะนำ Marini Gastrobar ห้องอาหารอิตาเลียนและซีฟู้ดที่ซ่อนตัวอยู่ใน Hotel Vista Pattaya ด้วยจุดเด่นของรสชาติที่ปรุงแบบต้นตำรับจากวัตถุดิบสดใหม่ โดยฝีมือเชฟเปี๊ยกหนุ่มร่างเล็กที่รอบรู้และเปี่ยมด้วยประสบการณ์ด้านอาหารอิตาเลียนมานานหลายปี จะสั่งเมนูไหนรับรองว่าถูกปากถูกใจทั้งนั้น         เริ่มที่ Parmaham Pizza พิซซ่าหน้าตาเรียบง่ายแต่ครองแชมป์ยอดขายในสายพิซซาของร้าน แป้งไม่หนามากกินแล้วไม่หนักท้องเกินไป ปกติพิซซาต้องกินร้อนๆจะฟินมาก แต่ถาดนี้วางทิ้งไว้สักพักก็ไม่เสียรส แป้งยังคงกรอบนอกนุ่มใน ยิ่งได้ซอสโฮมเมดรสเปรี้ยวตัดรสเค็มนิดๆ ของพาร์มาแฮมก็ยิ่งลงตัว แต่ถ้าชอบความเปรี้ยวสดชื่นอีกระดับก็หยิบจุ่มซอสมะเขือเทศได้เลย       ต่อด้วยจานเด็ดขายดีไม่น้อยหน้าสปาเก็ตตีซอสปู เส้นสปาเก็ตตี้ลวกได้สุดนุ่ม เคี้ยวลื่นคอ ผัดกับซอสปรุงจากน้ำสต๊อกที่เคี่ยวจากเนื้อปูม้าเน้นๆ รสชาติเข้มข้นและหอมมันจากวิปครีม เป็นเมนูที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความสดชื่นจากท้องทะเล       ส่วนสายเนื้อห้ามพลาด เนื้อออสโซบูโกเสิร์ฟกับมันบด (Osso Buco) เชฟเลือกใช้เนื้อน่องมาตุ๋น เนื้อไม่เปื่อยมากทำให้เคี้ยวสนุก เพราะทั้งนุ่มและหนึบสู้ฟัน ราดด้วยซอสเกรวีสูตรต้นตำรับอิตาเลียน เสิร์ฟคู่กับมันบดเนื้อเนียน อร่อยเข้ากันที่สุด       ปลาพ็อกล็อคซอสต้มข่า เมนูพิเศษที่อาจไม่มีให้กินทุกวัน แต่ถ้าอยากลองจะร้องขอเชฟดูก็ได้ เชฟใช้ปลาพ็อกล็อค (Alaska Pollock) ซึ่งเป็นปลาตระกูลเดียวกับปลาค็อด (Cod)  กริลล์พอให้ผิวกรอบแต่รักษาความฉ่ำนุ่มของเนื้อใน จากนั้นราดด้วยซอสเคี่ยวในอุณหภูมิที่พอเหมาะจนได้กลิ่นและรสชาติที่กลมกล่อม มีความครีมมี่นิดๆ ละมุนลิ้น       ถึงคิวของไฮไลท์ห้ามพลาดเพราะเป็นเมนูโปรโมชั่นที่ขายดีจนต้องมีต่อโปรฯ กันยาวๆ ได้แก่ พล่าเนื้อปลา จานนี้เชฟเลือกใช้ปลา Pacific Ocean Perch ส่งตรงจากทะเลอลาสก้า แหล่งน้ำที่สะอาดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นำมาย่างให้เหลืองหอมคลุกเคล้ากับน้ำพล่ารสจัดจ้าน ตักเข้าปากคำแรกก็แทบหยุดมือไม่ได้       อย่าลืมของหวานทีรามิสุ รสหวานนุ่มละมุนลิ้น ตัดความเลี่ยนด้วยผลไม้รสเปรี้ยวได้อย่างเข้ากัน       หรือจะล้างปากด้วยผลไม้สดหลากชนิดที่เสิร์ฟเป็นชิ้นพอดีคำในผลแก้วมังกรผ่าซีกก็ได้ทั้งความกรอบอร่อยและสดชื่น ถือเป็นการปิดท้ายมื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด       ไม่ต้องรอให้ถึงวันหยุดยาวก็แวะมาฟินกับอาหารจานเด็ดแบบนี้ได้ทุกวันที่ Marini Gastrobar

นอกจากห้องอาหารหลักอย่าง Amaya Food Gallery ที่หลายคนยกนิ้วให้แล้ว หากใครมีโอกาสแวะมาพักผ่อนที่ Amari Pattaya โรงแรมยอดนิยมบนถนนเลียบชายหาดพัทยา ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาละเลียดความอร่อยสบายๆ ได้ที่ Aqua Eatery & Bar” ห้องอาหารและบาร์ริมสระว่ายน้ำที่พร้อมเสิร์ฟอาหารไทยและนานาชาติ รวมทั้งคอกเทลและเครื่องดื่มรสเลิศให้ดื่มด่ำตลอดค่ำคืน     เมนูเด่นห้ามพลาดของที่นี่มีทั้งเมนูเรียกน้ำย่อยอย่าง Classic Caesar Salad ซีซาร์สลัดจานใหญ่จุใจ และ Wild Mushroom Cream Soup ซุปครีมเห็ดรสกลมกล่อม     ต่อด้วยจานหลัก อาทิ Grilled Marinated Spicy Chicken with Roasted Potatoes and Green Salad ไก่ย่างซอสเผ็ดรสเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งอบและผักสลัด และ Seared Sea Bass Fillet with Mediterraean Sauce, Mashed Potatoes and Peas สเต็กปลากะพงชิ้นโต เสิร์ฟพร้อมซอสสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน มันบด และถั่ว       ปิดท้ายมื้ออร่อยด้วยของหวาน Chocolate Tart ทาร์ตช็อกโกแลตเนื้อแน่นหอมหวาน ที่บอกเลยว่าช็อกโกแลตเน้นๆ ทุกคำ     สำหรับสาย (ชอบ) ดื่ม ลองสั่งคอกเทลยอดนิยม Tequila Sunrise และ Thai Sabai มาจิบเพิ่มความคึกคัก ส่วนใครไม่ถนัดแอลกอฮอล์ เราแนะนำมอกเทลสีสวยอย่าง Oriental Beauty และ Mango Tango ที่สาวๆ เป็นต้องถูกใจ      

ใครที่เคยติดอกติดใจในรสชาติจานเด็ดของ Ross Kitchen (รส คิทเช่น) ห้องอาหารไทยในโรงแรมอครา ตอนนี้ห้องอาหารย้ายโซนใหม่จากชั้น 4 ไปชั้น 17 พื้นที่กว้างขวางกว่าเดิมมีทั้งส่วนของห้องแอร์ที่ตกแต่งเรียบหรูฉีกแนว Ross Kitchen เดิม แต่เพิ่มเติมวิวเมืองสวยๆ ริมสระน้ำให้ได้นั่งชมอย่างเพลิดเพลินช่วยเจริญอาหาร ส่วนเรื่องเมนูคาวหวานยิ่งห้ามพลาดเพราะยกขบวนความอร่อยมาแบบครบรส ไม่ปล่อยให้คิดถึง           โดยเฉพาะลาบเป็ดกงฟี ซิกเนเจอร์คู่ร้านที่สั่งมากินกี่ครั้งก็ยังรักเหมือนเดิม ลาบเป็ดปรุงเข้มขึ้นถึงเครื่อง เสิร์ฟให้กินกับสะโพกเป็ดตุ๋นที่ทอดจนหนังกรอบแต่ภายในเนื้อนุ่มเคี้ยวง่าย       อีกไฮไลท์คือแกงปูใบชะพลูและเส้นหมี่ น้ำแกงเข้มข้นจากเครื่องแกงโขลกใหม่ทุกวัน เชฟใส่เนื้อปูให้เต็มที่ไม่มีหวง กินกับเส้นหมี่ลวกและผักสดที่ช่วยบรรเทารสเผ็ดร้อนได้แบบพอดีๆ       ต่อด้วยทอดมันกุ้งลาวา ทอดมันลูกกลมโต ทอดจนกรอบนอกนุ่มใน เวลาเคี้ยวสัมผัสได้ถึงเนื้อกุ้งเต็มปากเต็มคำ ก่อนพบไฮไลท์ที่ซ่อนอยู่ด้านในคือลาวาไข่เค็มเยิ้มๆ รสเค็มมัน ถ้าอยากชูรสแบบยกกำลังให้แตะน้ำจิ้มบ๊วยอีกนิด เผลอเดี๋ยวเดียวหมดจาน       พิเศษสุดเฉพาะเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้ ห้ามพลาด 2 เมนูไฮไลท์แสนอร่อยปรุงจากวัตถุดิบส่งตรงจากอลาสก้า (Alaska Seafood) ในเมนูแซลมอนตอติญ่า (Alaska Sockeye Salmon) แป้งตอติญ่าสไตล์ทาโก้สอดไส้แซลมอนหั่นเต๋าชิ้นโต ความพิเศษของจานนี้คือนำแซลมอนซ็อกอายจากอลาสก้ามาหมักกับเครื่องเทศและน้ำมันมะกอกเพื่อให้เนื้อปลานุ่มละมุนแบบคูณสอง และมีกลิ่นหอมของเครื่องเทศ เป็นเมนูที่ได้ทั้งความอร่อยควบคู่กับความสดชื่นจากผักสดปลอดสาร ที่สำคัญสาวๆ กินได้เต็มที่ไม่มีอ้วน       อีกเมนูคือเบอร์เกอร์ปลาโซล (Alaska Sole) ขนมปังเบอร์เกอร์ที่ใส่ผักโขมเพิ่มสีสันและคุณค่าทางอาหารไปพร้อมกัน อีกทั้งเปลี่ยนจากการทามายองเนสเป็นอะโวคาโดบดสุดครีมมี่ จากนั้นวางปลาโซลจากอลาสก้าที่ผ่านการทอดกับน้ำมันมะกอก ทั้งหอมและฉ่ำชวนน้ำลายสอ เสิร์ฟให้กินกับผักสดกรอบอร่อย       นอกจากอาหารจานเด็ด เครื่องดื่มยังเป็นตัวชูโรงของโรงแรม โดยเฉพาะค็อกเทลหลากสีสัน อาทิ รสอุทัย สีแดงสดใสมีส่วนผสมของวอดก้า ลิเคียว น้ำมัลเบอร์รี่ น้ำมะนาว ไซรัป หยดน้ำยาอุทัยเล็กน้อย รสเปรี้ยวๆ หวานๆ อีกแก้วคือนวลนาง ชูสเน่ห์ของเหล้าไทยมาผสมกับมาลิบูลที่มีกลิ่นหอมมะพร้าว เพิ่มความสดชื่นด้วยน้ำสับปะรด ไซรัป ใส่ผงกะหรี่เล็กน้อย ดื่มชุ่มคอทีเดียว ทั้งสองแก้วเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับสาวๆ เพราะรสชาติหวานนุ่มดื่มรื่นรมย์     ยิ่งใกล้ช่วงเทศกาลแห่งความสุข  ต้องรีบมาปักหมุดเคาท์ดาวน์!

ไม่เพียงเป็นที่พักที่พร้อมให้เรา “หลับสบาย” อย่างแท้จริงเท่านั้น แต่ “OZO North Pattaya” โรงแรมน้องใหม่บนถนนเลียบชายหาดพัทยายังตอบโจทย์สายกินอย่างเต็มอิ่ม เพราะที่นี่มีEat Restaurant” ห้องอาหารคอนเซ็ปต์ All Day Dining พื้นที่กว้างขวางนั่งสบายที่พร้อมให้เราอร่อยกับหลากหลายเมนูเด็ดกันได้ทั้งมื้อเช้า กลางวัน และเย็น           ที่นี่พร้อมเสิร์ฟเมนูอร่อยทั้งไทย อาเซียน และนานาชาติ ฝีมือเชฟมากประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเมนูเบาๆ อาทิ Prawn & Mango ยํามะม่วงสุกใส่กุ้ง รสเปรี้ยวหวานสดชื่น และ Chicken Satay ไก่สะเต๊ะกินเพลิน รวมทั้งเมนูจานหลักอย่าง Beef Massaman มัสมั่นเนื้อวัวรสกลมกล่อม         ส่วนใครมองหาเมนูอาหารจานเดียว เราแนะนำ Prawn Padthai ผัดไทยกุ้งสดเส้นเหนียวนุ่ม ผัดเสิร์ฟร้อนๆ จานใหญ่จัดเต็ม อย่าลืมเก็บท้องไว้ชิม Mango Sticky Rice ข้าวเหนียวมะม่วงสูตรเด็ด และ Red Velvet Tiramisu เค้กเรดเวลเวต ด้านบนเป็นทิรามิสุหอมหวาน         และหากช่วงเย็นใครอยากมานั่งชิลๆ โซนด้านนอกของห้องอาหารยังเป็นบาร์ริมสระว่ายน้ำที่มีทั้งคอกเทล มอกเทล และเครื่องดื่มหลากหลายให้จิบเคล้าเมนูกินเล่นอย่าง Bruschetta ขนมปังปิ้งหน้าชีสบรูสเกตตา Buffalo Chicken Wings ปีกไก่ย่างหมักซอสบาร์บีคิวรสเข้มข้น และ Mango Tango Salad สลัดมะม่วงมาพร้อมกุ้งสดตัวโต           แต่ถ้ายังไม่อิ่ม เราแนะนำ OZO Cajun ซิกเนเจอร์เบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ยักษ์ที่ให้เราเลือกได้เนื้อวัว หมู ไก่ และมังสวิรัติ เรียกว่าอิ่มประทับใจไปตลอดคืนกันเลยทีเดียว  

Goji Kitchen & Bar ห้องอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติ แห่งโรงแรม แบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค ประทับใจสายกิน (อย่างเรา) มากมาย ด้วยอาหารคุณภาพชั้นเลิศจากทั่วโลกที่ผ่านการรังสรรค์จาก เชฟอิทธิ นิตยาพร เชฟใหญ่แห่งโกจิคิทเช่นแอนด์บาร์ ผู้มีประสบการณ์ด้านการปรุงอาหารมานานกว่า 10 ปี มีทั้งอาหารไทย จีน ญี่ปุ่น ตะวันตก อินเดีย แถมยังมีเมนูเด็ดจากทวีปเอเชีย และตะวันตก       ส่วน ซีฟู้ด ก็เป็นที่เลื่องลืออยู่ไม่น้อย ด้วยความสดใหม่ละลานตาราวกับขนทะเลขึ้นบก มีให้เลือกทั้งแบบย่าง และมุมอาหารทะเลสด อย่าลืมชีสคุณภาพ ขนมหวานก็มีให้เลือกหลากหลายไม่น้อยหน้าอาหารเช่นกัน และที่สำคัญทุกเมนูปรุงสดใหม่ด้วยวัตถุดิบออร์แกนิค ผ่านครัวเปิดที่โชว์ความพิถีพิถันของเชฟอย่างเต็มพิกัด เรียกได้ว่าทั้งเอ็นจอยไปกับการกิน และการนั่งมองเชฟทำงานไปอย่างเพลินๆ       บวกกับบรรยากาศสบายๆ กว้างขวาง ไม่แออัด ห้องอาหารแห่งนี้สามารถจุลูกค้าได้ถึง 200 กว่าที่นั่ง แต่หากใครต้องการต้องการจะจัดงานสังสรรค์ อาทิ ดินเนอร์กับคนรู้ใจ ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง หรือรับประทานมื้ออร่อยกับครอบครัว โกจิคิทเช่นแอนด์บาร์ก็จัดให้ได้ เพราะเขามีโซนไพรเวทแยกต่างหากสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แถมมีวิวสวยๆ จากสวนเบญจสิริที่ทั้งร่มรื่นและรีแรกซ์มาให้นั่งชมอีกด้วย       อุ่นเครื่องกันกับ ติ่มซำ เต็มคำทุกชิ้น ที่มีทั้ง ขนมจีบกุ้ง เนื้อหวาน ขนมจีบปู เนื้อแน่น และ ไข่แดงแต้มหน้าหมู ที่รสชาติดีอย่าบอกใคร ตามด้วยเมนูซิกเนเจอร์ประจำห้องอาหารอย่าง ต้มยำกุ้ง กุ้งแชบ๊วยตัวโต อยู่ในน้ำต้มยำรสกลมกล่อม จัดจ้านกำลังดี บีบมะนาวซีกเล็กน้อย อร่อยครบรส       ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ เป็นเมนูที่พลาดไม่ได้ มีทีเด็ดอยู่ที่น้ำซุป ทางโรงแรมใช้เนื้ออย่างดี เคี่ยวกับเครื่องสมุนไพรต่างๆ ที่ส่งกลิ่นหอม รสเค็มละมุน ซูดพร้อมเส้นเล็กเหนียวนุ่ม สุดเพลิน แต่อย่างลืมชิมเนื้อเปื่อย และลูกชิ้นที่อยู่ในชามด้วยล่ะ       ฟัวกราส์ ตับห่านคุณภาพเยี่ยมยอดจากประเทศฝรั่งเศส ย่างบนเตาร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องอาหาร เนื้อสุกกำลังดี รสชาติครีมมี่ เข้ากันได้ดีกับซอสไวน์แดงรสหวานเค็ม สายเนื้อต้องนี้ สเต็กเนื้อ มีเดียม แรร์ นุ่มชุ่มฉ่ำ สุกกำลังพอเหมาะ กินคู่กับซอสไวน์ขาว รสครีมมี่ มันบดเนื้อเนียน และผักย่าง         ยังไม่อิ่มเดินไปสั่ง Lamb ขาแกะย่างหอมกรุ่น เนื้อมีเดียมสีชมพูสวยดูน่าหม่ำ ราดซอสไวน์แดงรสอร่อย เสิร์ฟพร้อมมันบด และผักย่างอีกเช่นเคย แม้จะต่อคิวยาวหน่อย แต่ก็ขาดจานนี้ไปไม่ได้เลย กุ้งเผา กุ้งแม่น้ำไซส์บิ๊กเบิ้ม เนื้อสดหวาน หอมฟุ้งจากเตาถ่าน กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ แต่ถ้าใครชอบแบบสดๆ ขนทะเลขึ้นแบบสไตล์ On Ice อาทิ หอยนางรม ตัวใหญ่จุใจ ให้คุณเลือกฟิน 2 สไตล์ จะกินแบบบีบเลม่อนซีก ตามด้วยใบกระถินแบบดั้งเดิม หรือราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดก็แล้วแต่ กุ้ง หอยหวาน ปูอลาสก้า ก็มีนะ           แฟนคลับอาหารญี่ปุ่นต้องเลิฟ ซาชิมิ ที่มีให้คุณเลือกฟินอย่างเอ็นจอย ทั้ง แซลมอน ที่คุ้นเคย ปลาฮามาจิ และ ทูน่า จิ้มวาซาบิ รสเผ็ดซ่า ผสานไปกับโชยุรสเค็มกลมกล่อม ยังมี ซูชิ ต่างๆ ให้คุณเลือกลิ้มลองด้วยนะ ซูชิปลาไหล ก็ดี ซูชิแซลมอนโรล ก็โดน     ล้างปากไปกับเหล่าขนมหวานกันบ้าง มีมากมายจนชิมไม่หมด ทั้ง บ้าบิ่น หวานละมุน เค้กมะพร้าว เนื้อนุ่มฟู กรุ่นกลิ่นมะพร้าว บราวนี่ รสเข้ม ได้ใจสาวกช็อกโกแลต ทาร์ตเลมอน สดชื่น และ ทิรามิสุ ที่เรารัก ไม่ต้องกลัวเลี่ยนเพราะทุกเมนูของหวาน ห้องอาหารเขาทำไซส์มินิ ไว้ให้หม่ำได้เรื่อยๆ         ได้ใจสายกินมากๆ เลยร้านนี้

หากใครติดใจ “เสน่ห์จันทน์” ร้านอาหารไทยรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว ตอนนี้ได้ส่งต่อความอร่อยมายัง ลูกจันทน์ โดย เสน่ห์จันทน์ (Loukjaan by Saneh Jaan) อาหารไทยสไตล์​ร่วมสมัย​ ที่พิถีพิถันในการรังสรรค์​เมนูอาหารไทยตำรับชาววัง​จากร้านเสน่ห์จันทน์ กับสูตรอาหารที่สืบต่อกันมายาวนานในครอบครัว       ลูกจันทน์ อยู่ในห้องอาหารเฟลอริช (Flourish) โรงแรมสินธร​ เ​คม​ปินสกี้​ กรุงเทพฯ ตกแต่งด้วยสีขาว-ดำร่วมสมัย มองเห็นวิวสวนสีเขียวร่มรื่นสดชื่น เสิร์ฟอาหารจานอร่อยรสมือคุณแม่ปรุงด้วยวัตถุดิบคุณภาพดีจากเกษตรกรท้องถิ่น มีเมนูคุ้นเคยกินง่ายที่อยากแนะนำได้แก่       แกงรัญจวนหมู (240 บาท) แกงโบราณที่ใช้น้ำพริกกะปิเหลือมาแกง ที่นี่ใส่กระดูกหมูอ่อนเคี่ยวจนนุ่ม หอมกลิ่นกะปิ ตะไคร้ และใบมะกรูด น้ำแกงรสเข้มข้นเข้ากันได้ดีกับข้าวสวยร้อนๆ     แกงมอญคอหมูย่าง (320 บาท) เชฟดัดแปลงมาจากแกงป่าของมอญ น้ำแกงเหมือนแกงเผ็ด สีเหลืองสดใสจากขมิ้น ใส่คอหมูย่างชิ้นใหญ่เนื้อนุ่ม เคี่ยวจนหอมกลิ่นเครื่องแกง รสชาติเค็มเผ็ด     ส่วนเมนูบ้านๆ ที่เราคุ้นเคยก็มีอย่างเช่น หมูพะโล้เต้าเจี้ยว (260 บาท) สูตรพิเศษของร้านที่มีกลิ่นเต้าเจี้ยวลอยเด่นในคำแรก หมูสามชั้นนุ่มกลมกล่อม ไข่พะโล้เนื้อแน่นเหนียวนุ่มเข้าเนื้อ และเต้าหู้ขาวเนื้อนุ่มตุ๋นจนผิวนอกสีน้ำตาลสวย     ดอกขจรผัดวุ้นเส้นและแหนม (180 บาท) อาหารคู่บ้านสูตรคุณแม่ที่นำดอกขจรมาผัดกับวุ้นเส้นเหนียวนุ่มกำลังดีไม่แฉะ ใส่แหนมทอดรสเปรี้ยวอ่อนๆ และกุ้งสดรสหวาน     ยำส้มโอ (280 บาท)  ส้มโอกลีบใหญ่พันธุ์ขาวน้ำผึ้งรสเปรี้ยวอมหวาน น้ำยำรสเข้มข้นทำจากน้ำตาลโตนด น้ำมะขามและน้ำพริกเผา กับกุ้งตัวโตๆ และหอมแดงเจียว     ข้าวคลุกกะปิ (180 บาท) อาหาารจานเดียวอร่อยเต็มอิ่ม ข้าวผัดกับกะปิส่งกลิ่นหอม รสกลมกล่อม กับเครื่องเคียงครบครันทั้งหมูหวาน กุ้งแห้งทอด มะม่วงเปรี้ยว หอมแดงซอย กินกับไข่ลูกเขยรสเปรี้ยวอมหวาน คลุกเคล้าให้เข้ากัน บีบมะนาวหน่อยอร่อยได้ง่ายๆ     ปิดท้ายด้วย ส้มฉุนหิมะ (100 บาท) ทำเป็นแบบกรานิต้าเกล็ดน้ำแข็งป่นนุ่มๆ หอมกลิ่นน้ำส้มซ่า ผสมน้ำมะกรูด และน้ำมะนาว ใส่มะกรูดเชื่อมสีเขียวสดใส เงาะ ลิ้นจี่ ขิงอ่อนและหอมแดงเจียว กลิ่นหอมกินแล้วสดชื่นเหมาะกับอากาศบ้านเราจริงๆ     เป็นอีกร้านที่คนรักอาหารไทยห้ามพลาด

สร้างความตื่นเต้นให้นักกินไม่น้อย สำหรับ “Tr.Eat by Saneh Jaan” ห้องอาหารแห่งใหม่จากโรงแรมสินธร มิดทาวน์ กรุงเทพฯ (Sindhorn Midtown Hotel Bangkok) ที่ชักชวนร้านอาหารไทยระดับมิชลินสตาร์ “เสน่ห์จันทน์” มารังสรรค์เมนูในราคาเป็นมิตรและเข้าถึงง่าย ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ โดยจำลองความเป็นชิโน-โปรตุกีสมาไว้ได้อย่างน่าสนใจ สังเกตได้จากลวดลายบนจาน มุมภาพถ่ายโบราณ รวมถึงซุ้มประตูโค้งอันเป็นเอกลักษณ์         เมนูของ Tr.Eat by Saneh Jaan ย่นย่อความหรูหราให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เริ่มด้วย ข้าวมันส้มตำหมูฝอย ข้าวหุงกับกะทิเสิร์ฟพร้อมส้มตำไทยรสชาติเปรี้ยวหวานสดชื่น กินกับหมูฝอย และผักสด     ตามมาด้วยจานที่เราชอบเป็นพิเศษดอกขจรผัดวุ้นเส้นและแหนม ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายมาแต่ไกล วุ้นเส้นเหนียวนุ่มผัดไข่ใส่ดอกขจร มีความเปรี้ยวของแหนมมาช่วยตัดรส เพิ่มความอร่อยด้วยแหนมทอด     เมนูถัดมาหมูพะโล้เต้าเจี้ยวสูตรโบราณ เสิร์ฟแบบน้ำขลุกขลิก โดดเด่นที่เนื้อหมูนุ่มๆ ไข่เป็ดใบโตและเต้าหู้ที่อุ้มน้ำพะโล้รสเข้มข้นตามตำรับเสน่ห์จันทน์ กินกับข้าวสวยชวนให้เจริญอาหารเป็นพิเศษ     นอกจากนี้ยังมี แกงรัญจวนหมู แกงโบราณที่อัดแน่นไปด้วยสมุนไพร หอมกลิ่นกะปิชวนให้น้ำลายสอ  รวมถึงแกงมอญคอหมูย่าง คอหมูคุโรบูตะแกงกับเครื่องแกงแดง รสชาติเข้มข้นแต่กลมกล่อม       ปิดท้ายมื้อนี้ด้วย ส้มฉุนหิมะ ผลไม้ลอยแก้วคลายร้อน ด้านบนมีเกล็ดน้ำแข็งเบาละเอียดเหมือนบิงซู ชื่นใจด้วยน้ำเชื่อมจากมะกรูดและส้มซ่า โรยหอมเจียว ขิงอ่อน และมะม่วงดิบปิดท้าย     มาครั้งเดียวจบครบทั้งคาวหวาน

ณ เชอราตันหัวหิน รีสอร์ทแอนด์สปา รีสอร์ทริมทะเลชะอำ-หัวหิน ที่นอกจากจะหรูหรา บรรยากาศดีแล้วยังมีอาหารอร่อยๆ ให้สายฟู้ดดี้ได้ลิ้มลองกันอีกด้วย ใครผ่านไปย่านนั้นแต่ยังไม่มีที่ฝากท้องมื้อเที่ยง หรือดินเนอร์ G&C ขอแนะนำนี่เลยห้องอาหาร “ลูน่า ลาไนย์” ที่เขาเพิ่งพลิกโฉมใหม่ให้ไฉไลกว่าเคย จากเดิมที่เคยมีแต่พื้นที่โล่งกว้างรับวิวทะเลเต็มๆ อย่างเดียว ปัจจุบันมีแอเรียที่เป็นห้องอาหารและบาร์สุดชิลในห้องแอร์เย็นฉ่ำแล้ว       ก้าวเท้าเข้ามาคุณจะเจอกับบาร์ใหญ่สไตล์โมเดิร์ล เฟอร์นิเจอร์โทนสีน้ำทะเลที่ตั้งอยู่บนกระเบื้องสีทราย มีแสงสีเหลืองนวลจากโคมไฟฟิลธรรมชาติ  ผนังรอบๆ ร้านนั้นเป็นกระจกใส ที่สามารถเปิดออกไปเจอที่นั่งแสนสบาย เหมาะสำหรับใครอยากดื่มด่ำกับวิวทะเลเต็มตา มองท้องฟ้ากว้างใหญ่ หาดทรายขาว และน้ำทะเลสีครามแบบพาโนรามาจากระเบียงกระจกใส       ส่วนใครที่เลือกนั่งโซนเอ้าท์ดอร์ก็จะได้ผ่อนคลายไปกับกาเซโบ้ขนาดใหญ่ และเตียงอาบแดดที่บังความร้อนจากแสงอาทิตย์ด้วยร่มสีฟ้า สัมผัสลมทะเลเย็นๆ และสูดกลิ่นไอทะเลเบื้องหน้า ฉากหลังเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่สไตล์ลากูน สวยงามตระการตาไม่แพ้กัน พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับอาหารไทยและตะวันตก ที่รังสรรค์จากวัตถุดิบท้องถิ่นสดใหม่ จนกลายมาเป็นเมนูซิกเนเจอร์เลื่องชื่อ อาทิ     ยำกุ้งฟู กุ้งเนื้อสดเด้ง สับให้เป็นชิ้นพอดีคำ ชุบแป้งแล้วนำไปทอดจนเป็นสีเหลืองทอง น่ากินเป็นที่สุด ราดด้วยน้ำยำรสชาติเปรี้ยว จัดจ้าน เผ็ดกำลังดี เหมาะมากที่จะเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยในจานแรก     คนรักปลาท้องเลิฟ ปลาทรายทอดกระเทียมกรอบ ปลากรายเนื้อหวาน กรอบนอกนุ่มใน หอมกรุ่นกลิ่นกระเทียม รสเค็มกลมกล่อม ตัดด้วยซอสมะม่วงรสเปรี้ยวอมหวาน     คั่วสับปะรดทะเล ซีฟู้ดสดเด้ง ซดพร้อมน้ำแกงคั่วที่มีทั้ง รสเปรี้ยว หวาน เค็ม กินเพลิน เสิร์ฟมาในลูกสับปะรดสุดน่ารัก ต่อกันกับจานที่หลายคนโปรดปราน ปูนิ่มทอดกระเทียมพริกไทย ปูนิ่มผัดพร้อมกระเทียมพริกไทย รสเผ็ดร้อนพอเหมาะ หอมฟุ้งชวนน้ำลายสอ กินกับข้าวสวยสุดเข้ากัน       ผัดกะเพราเนื้อแก้มวัว แก้มวัวเนื้อนุ่ม สู้ฟันกินอร่อย เข้ากันได้ดีกับรสเผ็ดละมุนของพริก หอมกลิ่นใบกะเพรา และ ผัดไทยกุ้ง สาวเส้นเล็กเหนียวนุ่ม พร้อมเครื่องแน่นๆ ฟินไปกับกุ้งแม่น้ำเนื้อหวานตัวโต       หันไปชิมอาหารตะวันตกขึ้นชื่อของที่นี่กันบ้าง ซี่โครงแกะออสเตรเลียย่าง ก็น่าสนใจ ซี่โครงแกะคุณภาพ นำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย คุ้กจนได้เนื้อนุ่มฉ่ำในไร้กลิ่นสาบ ราดซอสสูตรเฉพาะของทางร้าน รสหวานหอม     สเต็กอกไก่ ก็เข้าที อกไก่เนื้อแน่น ย่างจนหอม กินคู่กับซอสสูตรเด็ดของทางร้าน มันฝรั่งทอด และผักลวกต่างๆ อาทิ หน่อไม้ฝรั่ง บล็อกโคลี่ เบเบี้แครอท และดอกคะน้า     ของหวานเป็น Tiramisu & Vanilla Ice Cream ทีรามิสุเนื้อนุ่มชุ่มไปด้วยรสเข้มของกาแฟ ผสานกับความครีมมี่ของวิปครีมสุดละมุน เสิร์ฟพร้อมครัมเบิ้ลกรุบกรอบ ผลไม้สด และไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด รสหวานสุดฟิน     อย่าลืมจิบค็อกเทลซิกเนเจอร์ด้วยนะ ที่นี่เขาอร่อยหลายตัวเลย

โรงแรมสินธร  เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ โรงแรมหรูเปิดใหม่ใจกลางเมือง อยู่ภายในโครงการสินธร วิลเลจ ย่านหลังสวน ใกล้กับสวนลุมพินี สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ถือเป็นปอดของชาวกรุง       เมื่อก้าวเข้าไปในโรงแรมจะพบกับความหรูหราโอ่โถงของ ล็อบบี้ เลานจ์ (Lobby Lounge) ที่ได้รับการออกแบบให้สูงโปร่ง เปิดรับแสงธรรมชาติที่ส่องผ่านประตูทางเข้าทรงโค้งที่เชื่อมต่อความเป็นธรรมชาติใจกลางเมืองสู่โถ่งล็อบบี้ของโรงแรม ได้อย่างกลมกลืน       ล็อบบี้ เลาจน์ นอกจากจะเป็นจุดนัดพบแล้วยังให้บริการเมนูอาหารหลากหลายชนิดและที่โดดเด่นฮิตที่สุดตอนนี้ต้องยกให้กับ ชุดน้ำชายามบ่าย “ชีวา” ที่เสิร์ฟบนต้นไม้แสนสวย ให้คุณจิบชาหอมๆ รับประทานของว่างแสนอร่อยทั้งคาวหวาน     ชุดน้ำชามี 2 แบบให้เลือกได้แก่ ชุดน้ำชายามบ่ายอินดัลเจนซ์ (Indulgence) ชุดชาสุดคลาสสิคพร้อมของว่างสไตล์ยุโรป เช่น สโคนรสดั้งเดิมกับแยมสตรอว์เบอร์รี เลมอนครีมและคลอตเต็ดครีม มูสช็อคโกแลตกับซอสคาราเมลและพราลีนเฮเซลนัต เลมอนเมอแรงค์ทาร์ต สตรอว์เบอร์รี่ทาร์ตสีสดใสกับวนิลาครีม ปารีสเบรสท์พิสตาชิโอกับครีมบัตเตอร์กาแฟ พายแฮมมูส สะเต๊ะไก่ม้วน สลัดไข่เห็ดทรัฟเฟิลเสิร์ฟกับอะโวคาโด ฯลฯ         ชุดน้ำชายามบ่ายกิลท์ฟรี (Guilt-Free) ชุดน้ำชาแบบวีแกนสูตรเฉพาะของล็อบบี้ เลานจ์ ที่ชาววีแกนต้องยกนิ้วให้เพราะทั้งสวยและอร่อยแบบเฮลตี้สุดๆ เช่น เชอร์รี่อมารีนากับมูสอัลมอนด์มิลค์ แอปริคอทคานาเล่ช็อคโกแลตกับพราลีนเฮเซลนัต ราสป์เบอร์รี่ทาร์ตครีมเต้าหู้วนิลา มูสมะพร้าวไส้สับปะรดเสาวรส แซนวิชสลัดข้าวโพด สลัดมะม่วงกับแอปเปิ้ลโรล สลัดเต้าหู้ทรัฟเฟิลกับอะโวคาโด สโคนแครนเบอร์รี่ สโคนฟักทอง ที่มาพร้อมกับคลอตเต็ดครีมที่ทำจากมะพร้าว ฯลฯ     จิบชาในบรรยากาศห้องโถงที่สูงโปร่งรับแสงธรรมชาติ ท่ามกลางสวนเขียวขจีขนาดใหญ่ ไม่ว่าถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมด

บนชั้น 32 ของโรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะสุรวงศ์ เป็นที่ตั้งของภัตตาคารจีนสุดหรู Yao Restaurant & Rooftop Bar ให้คุณได้อิ่มอร่อยไปกับอาหารจีนรสเลิศระดับพรีเมี่ยมฝีมือเชฟชาวจีนแท้ๆ เคล้าไปกับวิวหลักล้านของแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากนั้นถ้ามาวันเสาร์-อาทิตย์ เย่าเขายังมี “Chinese Afternoon Tea” ชุดน้ำชายามบ่ายสไตล์จีน และติ่มซำแสนอร่อย เสิร์ฟคู่ไปกับชาดอกไม้หอมละมุน หรือชาจีนหอมกรุ่นได้สุขภาพ ให้คุณได้ผ่อนคลายในยามบ่ายแสนสุขคุ้มค่ากับช่วงวีคเอนเสียนี่กระไร           เริ่มชิมจากอาหารกันก่อน มาร้อนๆ กลิ่นห๊อมหอมต้องตัวนี้เลย เกี๊ยวทอดไส้ปูและชีส แป้งข้าวเหนียวห่อเนื้อปูรสหวานเน้นๆ ผสานไปกับชีสชั้นดีสุดครีมมี่ เข้ากันดีจริงๆ     กุ้ยช่ายทอดไส้ปลาและกุ้ง เป็นจานที่เราเลิฟที่สุดในทีเซ็ทนี้เลย กุ้ยช่ายแป้งบางๆ กรอบนอกนุ่มใน สอดไส้ปลาทะเลเนื้อสด กุ้งเนื้อเด้ง และกุ้ยช่าย อร่อยได้ในคำเดียว (แต่อยากหม่ำอีก)      ตามด้วย เป๋าฮื้อหมักซอสสาเกถั่วเหลือง เป๋าฮื้อที่ส่งตรงจากแดนอาทิตย์อุทัย เนื้อหนึบหนับ กินอร่อย หมักกับซอสถั่วเหลืองรสเค็มละมุนกลมกล่อม และเพิ่มความหอมอีกขั้นด้วยเหล้าสาเก     และ รังนกและวุ้นว่านหางจระเข้ เจลลี่นุ่มๆ เด้งๆ รสเปรี้ยวอมหวาน ยิ่งตักเข้าปากก็ยิ่งสนุก ติ่มซำ ก็น่ากิน มีทั้ง ฮะเก๋าไส้กุ้ง ลูกโต๊โต ขนมจีบไส้กุ้ง รสชาติดี จิ้มโชยุยิ่งเสริมรสกัน และ ซาลาเปาไส้ไข่เค็มลาวา เยิ้มๆ รสหอมมัน กลมกล่อมเป็นที่สุด         หันมาหาขนมหวานกันบ้าง ช็อกโกแลต ดาร์กช็อกโกแลตรสเข้ม ละลายในปาก ผสมถั่วกรุบกรอบ 5 ชนิด ต่อด้วยของหวานประจำ  Afternoon Tea อย่าง สโคน ที่นอกจากเนื้อจะแน่น ร่วน กินเพลินแล้ว ทางร้านยังผสมชาจีน (ชาดำ) เข้าไปให้กลิ่นหอมอ่อนๆ อีกด้วย กินคู่กับวิปครีม และแยมสตรอว์เบอร์รี       มาที่ มาการอง กันบ้าง มาการองสีฟ้าสดใส สอดไส้ซอสมะม่วง รสหวานฉ่ำ ถูกใจสายหวานแน่ๆ ชิ้นนี้ และทิ้งท้ายด้วย น้ำลูกสำรองแช่เย็น ได้รสหวานหอมจากน้ำตาลทรายแดง กินพร้อมเนื้อลูกตาลลอยแก้วนุ่มๆ       เราเลือกจิบคู่กับ ชายูนนานฝูเออร์ ชาชั้นดีจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ให้รสนุ่ม กลมกล่อม หอมกรุ่นกลิ่นชาจีนตลบอบอวนอยู่ในลำคอ ยิ่งจิบก็ยิ่งเพลิน     คุ้มค่าขนาดนี้คราวหลังต้องแวะมาจิบชาที่นี่บ่อยๆ แล้ว

เรียกว่ากลับมาแบบน่ากินอลังการสุดๆ สำหรับ “ซีฟู้ดบุฟเฟ่ต์” สุดพรีเมียมที่หลายคนรอคอยแห่งห้องอาหาร "Rain Tree Cafe" ชั้น G โรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล ที่คราวนี้รวมพลความอร่อยของซีฟู้ดนานาชนิด โดยเฉพาะ “ลอบสเตอร์” นำเข้าตัวโตเนื้อสดแน่นที่พร้อมให้อร่อยกันอย่างจุใจไปจนถึงซีฟู้ดนานาชนิด รวมทั้งเมนูเด็ดนานาชาติจากสเตชันต่างๆ ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น อิตาเลียน อินเดีย รวมทั้งไอศกรีมโฮมเมดและของหวานหน้าตาน่ากินที่บอกเลยว่าเต็มอิ่มระดับคุณภาพ       ที่สำคัญยังเป็นการกินบุฟเฟ่ต์แบบ New Normal” ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องความสะอาดปลอดภัย เพราะทุกสเตชันมีพนักงานบริการตัก หยิบ และเสิร์ฟให้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีเมนูพิเศษที่บริการแบบรถเข็นเสิร์ฟความอร่อยถึงโต๊ะกันอีกด้วย อาทิ ซีซาร์สลัด, ปูและกุ้งลุยสวน, เซบิเชปลากระพงแดง ซีฟู้ดคอกเทล, หมูหรือเนื้อรมควัน, คาเวียร์กับ blinis (แพนเค้กสไตล์ยุโรป), ทาร์ทาร์เนื้อกับทรัฟเฟิล, ข้าวเหนียวมะม่วง, เครปซูเซตต์, รัมบาบา และไอศกรีมหลากรส       นอกจากลอบสเตอร์ตัวโต คนรักซีฟู้ดเป็นต้องอร่อยละลานตากับบรรดาอาหารทะเล ทั้งกุ้งแม่น้ำ กุ้งลายเสือ ขาปูอลาสก้า หอยนางรม หอยแมลงภู่ สำหรับคนรักอาหารญี่ปุ่นห้ามพลาดซูชิ ซาชิมิ โดยเฉพาะสายแซลมอนเป็นต้องถูกใจ ส่วนคนรักอาหารจีนต้องลองขนมจีบ ฮะเก๋า และซาลาเปานึ่งร้อนๆ ที่บอกเลยว่ากินเพลิน                 ที่เซอร์ไพรส์สุดๆ คือสเตชันอาหารอินเดียที่อร่อยแบบคาดไม่ถึง เราแนะนำแกงแกะรสเข้มข้น แต่อร่อยไร้กลิ่นสาบ กินกับแผ่นแป้งนานอร่อยลงตัวสุดๆ แล้วอย่าลืมไปชิมเมนูอาหารไทยจานเด็ด หรือจะเพิ่มความอิ่มไปอีกขั้นกับพิซซาและพาสต้าที่สเตชันอิตาเลียน รวมทั้งฟัวกราส์นุ่มๆ ที่สั่งได้ไม่อั้น               อย่าลืมเก็บท้องไว้สำหรับเมนูของหวานแสนน่ากินที่บอกเลยว่าอร่อยระดับคุณภาพไม่แพ้กัน ทั้งไอศกรีมโฮมเมด ไอศกรีมไนโตรเจน เครปซูเซตต์ ชีสเค้ก พานาตอตต้า เลมอนทาร์ต ช็อกโกแลต และขนมไทยสีสวย             โดยบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน วันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ราคา 1,300++ บาท/ท่าน, บุฟเฟ่ต์มื้อเย็น บริการในวันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์ ราคา 1,700++ บาท/ท่าน ส่วนวันศุกร์และเสาร์มื้อเย็นจะเป็นบุฟเฟ่ต์ซีฟู้ดราคา 1,900++ บาท/ท่าน (หยุดวันจันทร์ - วันพุธ)       สำหรับบุฟเฟ่ต์มื้อสาย วันเสาร์และอาทิตย์ ราคา 2,500++ บาท/คน พร้อมเครื่องดื่มแบบไม่อั้น ทั้งน้ำอัดลม, น้ำผลไม้,  มอกเทล, น้ำเปล่า, กาแฟอิลลี่ และชา (เสริมด้วยเครื่องดื่ม 2 แพ็กเกจให้เลือก ได้แก่ The Royal ที่สามารถเลือกดื่มได้หลากหลายประเภทและ  แบรนด์ (ไม่รวมเครื่องดื่มสุดพรีเมียม) ราคา 1,400++ บาท/คน และ Princess VA ที่สามารถเลือกเครื่องดื่มได้หลากหลายประเภทและแบรนด์ รวมถึงเครื่องดื่มสุดพรีเมียมจากฝรั่งเศสในราคา 3,000++ บาท/ท่าน

ยกทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาไว้ที่ใจกลางกรุงเทพฯ เป็นที่เรียบร้อย สำหรับ ‘อลาตี้’ (ALATi) ห้องอาหารแห่งใหม่ของโรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ นำทีมโดยเชฟฝีมือดี เชฟคาร์โล วาเลนเซียโน ที่นำเมนูท้องถิ่นจากแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอย่างประเทศสเปน ตูนิเซีย ฝรั่งเศส กรีซ ตุรกี เลบานอน และอิตาลี ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาเล่าใหม่ในแบบฉบับของอลาตี้ ภายใต้บริการระดับสูงรูปแบบใหม่ ‘Kempinksi White Gloves Service’ ให้เรากินมื้อโปรดอย่างอุ่นใจ       คำว่า “อลาตี้” ในภาษากรีกนั้นหมายถึงเกลือ นอกจากจะเป็นหนึ่งในเครื่องปรุงหลักของอาหารทั่วโลกแล้ว ในหลายพื้นที่ยังมีธรรมเนียมการแลกเกลือเพื่อสื่อถึงมิตรภาพ การตกแต่งภายในห้องอาหารจึงดีไซน์ออกมาให้โปร่งสบาย ไม่อึดอัด ใช้โทนสีฟ้าน้ำทะเลชวนให้รู้สึกเหมือนได้กินมื้อพิเศษอยู่ริมชายหาด รวมถึงมีครัวเปิดให้เราได้เห็นทีมเชฟบรรจงทำแต่ละจานได้อย่างใกล้ชิด     เริ่มมือนี้ด้วย Flatbread : Black Truffle & Cheese (480บาท) แฟลตเบรดแผ่นยาวอบใหม่ด้วยเตาแบบตุรกี ท้อปด้วยชีสและแบล็คทรัฟเฟิลสไลซ์ที่ให้ทั้งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายและรสชาติที่เข้มข้น Burrata & Muhammara (390 บาท) มูฮัมมาราทำจากวอลนัตและพริกสีแดงได้ทั้งความมันและรสเผ็ดเบาๆ มาพร้อมชีสบูราต้าแบบอิตาเลียนแล้วโรยทับทิมเพิ่มเนื้อสัมผัส ก่อนกินคลุกเคล้าให้เข้ากันก่อน เรียกน้ำย่อยได้ดีเยี่ยม       หรือจะลอง ALATi Gyros (290 บาท) เมนูสไตล์กรีก แป้งโรลสอดไส้ไก่หมักเครื่องเทศที่ย่างจนหอมให้อารมณ์คล้ายเคบับ กินกับ Tzatziki ซอสโยเกิร์ตแตงกวารสออกเปรี้ยวเล็กๆ เข้ากันดี     ส่วนจานหลัก Roasted Seabass (590 บาท) ปลากะพงหมักกับน้ำมันมะกอก อบเชย กระวาน เครื่องเทศ ปาปริก้า ผักชี ยี่หร่า พริกไทย และลูกจันทน์เทศ นำไปอบให้ผิวด้านนอกสุกส่วนเนื้อยังชุ่มฉ่ำกินกับข้าวอบผงกระวานและขมิ้น ใส่เนยกีเพิ่มความหอมมันกินกับซอส Tarator แบบเลบานีส ตบท้ายด้วยของหวาน Classic Tiramisu Cup (270 บาท) คลาสสิกทีรามิสุที่เสิร์ฟมาอย่างสวยงามในถ้วยแก้ว หวานฉ่ำเต็มคำ ปิดท้ายมื้อนี้ได้สมบูรณ์แบบ     ใครอยากสั่งเมนูของอลาตี้แบบเดลิเวอรี่ ที่นี่มีบริการ ‘ALATi Up the Road’ เข้าไปดูเมนูได้ที่ https://www.kempinski.com/en/bangkok/siam-hotel/restaurants-and-bars/alati/ บทความที่เกี่ยวข้อง : ‘ALATi Up the Road’ เมนูเดลิเวอรี่จาก ALATi ที่พร้อมส่งความอร่อยแบบเมดิเตอร์เรเนียนถึงบ้าน

ถูกใจคนรักงานศิลป์และของสะสม เมื่อ The Map ห้องอาหารเปิดใหม่ในโรงแรม MeStyle Museum Hotel ที่ตั้งใจตกแต่งล้อไปกับส่วนอื่นของโรงแรม เหมือนเราได้ท่องเที่ยวทั่วโลกผ่านของสะสมแปลกตาและบรรดางานศิลป์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจ ก่อนลิ้มรสอาหารไทยสไตล์ฟิวชั่นที่มีให้เลือกอย่างจุใจ             อาทิ สลัดส้มโอปลาหมึกฉีก เปลี่ยนยำส้มโอเป็นเมนูสลัดที่ปรุงรสจัดถึงใจ เนื้อส้มโอแห้งไม่แฉะน้ำ รสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ กินแล้วสดชื่น เมนูนี้แนะนำให้จับคู่กับแกงเหลืองเปลือกแตงโม เปลือกแตงโมฉ่ำๆ กินกับเนื้อปลาแซลมอนในน้ำแกงเข้มข้นที่ได้จากเครื่องแกงโขลกเองรสชาติถูกปากจนอยากเติมข้าว ส่วนเนื้อแตงโมไม่ไปไหน หั่นพอดีคำและเสิร์ฟมาพร้อมกันในเมนูปลาแห้งแตงโม ช่วยตัดรสจัดจ้านได้อย่างลงตัว         เนื้อย่างและน้ำจิ้มแจ่วเมนูสุดฮอตที่หลายคนยกนิ้วให้ในความแซ่บนัวสไตล์อีสาน ทางร้านใช้เนื้อโคขุนจากสกลนครมาซูวีดเพื่อให้นุ่มนวลเคี้ยวง่าย กริลล์พอสุกด้านนอกส่วนด้านในยังคงเป็นสีชมพูระเรื่อชวนกิน เสิร์ฟร้อนๆ กลิ่นหอมฟุ้งกระตุ้นน้ำลาย เพิ่มความจี๊ดจ๊าดด้วยน้ำจิ้มแจ่วสูตรเด็ดสักหน่อย อร่อยจนไม่อยากวางช้อน       สำหรับของหวานห้ามพลาดในฤดูกาลนี้ ได้แก่ ข้าวเหนียวมะม่วงมะม่วงน้ำดอกไม้สุกรสชาติหวานหอม จัดมาเป็นรูปดอกกุหลาบ วางคู่ข้าวเหนียวมูนรสหวานมันกำลังดี     อิ่มจานหลักแล้วยังอยากปักหลักไม่ไปไหน แวะมานั่งชิลที่Sombat Barบาร์ค็อกเทลไทยมุมสุดคูลที่ออกแบบมาเพื่อสายดริงก์โดยเฉพาะ เครื่องดื่มของร้านได้นพบุรีบาร์ บาร์ค็อกเทลชื่อดังจากเชียงใหม่มาครีเอทให้จิบสบายๆ ในบรรยากาศของห้องเก็บสมบัติล้ำค่าที่หาชมยาก ถือเป็นอีกมุมไฮไลท์ในโรงแรมที่ห้ามพลาด ค็อกเทลส่วนใหญ่เน้นสปิริตไทยเป็นเบส แต่บางทีก็มีแบรนด์จากต่างประเทศเข้ามาสร้างสีสันชวนว้าวบ้าง       ไฮไลท์คือเทคนิคผสมกลิ่นให้ใกล้เคียงธรรมชาติอันเป็นสเน่ห์เฉพาะตัว อาทิ ต้มยำ รสละมุนไม่ฉุนแรงหอมกลิ่นสมุนไพรไทยที่เข้าใจง่าย เหมาะกับสาวๆ หรือบิกินเนอร์ ส่วนหนุ่มๆ เราแนะนำสมบัติซิกเนเจอร์สุดจี๊ดที่ต้องรีบยกนิ้วให้ทั้งบรรยากาศและรสชาติที่เข้ากันได้ดีแบบนี้ เพิ่มดีกรีความชิลได้ทั้งค่ำคืนเลยล่ะ