Peace Oriental Teahouse ร้านชาสเปเชียลตี้คุณภาพของเมืองไทย ผลงานสุดภูมิใจของ คุณธี ธีรชัย ลิมป์ไพฑูรย์ ผู้มีวิถีชีวิตเกี่ยวข้องกับชามาตั้งแต่วัยเด็ก จนเกิดเป็นความหลงใหลและมีแรงบันดาลใจที่จะศึกษาศิลปะการชงชาด้วยตนเอง ประจวบกับว่า ณ ตอนนั้นมีน้อยคนนักที่จะเปิดร้านชาตะวันออกแบบดั้งเดิม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณธีตัดสินใจสร้างทีเฮ้าส์ที่มอบแต่ความสุขสงบแห่งนี้ขึ้นมา       Peace Oriental Teahouse ตอนนี้มีทั้งหมด 4 สาขา สไตล์การตกแต่งหน้าร้านจะมี Mood and Tone ที่ต่างกันไป อย่างสาขาสุขุมวิท 49 เป็นห้องน้ำชาสไตล์ญี่ปุ่น ดูอบอุ่น เหมาะกับกลุ่มครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนที่มานั่งจิบชายาวๆ ในช่วงค่ำ ต่อมาเป็นสาขา G-Tower พระราม 9 ตึกสำนักงานใจกลางเมือง สะดวกสไตล์ Grab & Go เน้นเครื่องดื่มสำหรับ Take away  สาขา King power รางน้ำ ที่ Peace ถูกเชิญให้ไปเปิดในช่วงปลายปี 2017 สาขานี้จะเน้นเป็นลูกค้าต่างชาติ นักท่องเที่ยวชาวจีน และลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายใน King power     และสาขาล่าสุด ชิดลม/หลังสวน  (ภายในโครงการ Velaa Sindhorn Village)  ที่ทางพีซได้เปลี่ยนแนวการตกแต่งมาเป็นแบบตะวันออกดั้งเดิม โดยเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นไม้สีน้ำตาลเข้ม ด้านหลังบาร์จิบชาที่นอกจากจะได้เห็นการทำงานของทีมาสเตอร์ได้อย่างชัดเจนแล้ว ยังมีผนังไม้อันประกอบไปด้วยเก๊ะเล็กๆ เป็นช่องๆ มองแล้วนึกถึงห้องปรุงยาในพระราชวังต้องห้ามของจีนอย่างไรอย่างนั้น ตอกย้ำว่า Peace ไม่ได้เป็นศูนย์รวมเฉพาะชาญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังมีชาตะวันออกอื่นๆ ให้คุณได้ลิ้มลองอีกหลายชนิด       กว่า 20-30 ชนิดของชาที่ให้คุณได้เลือกสรร ล้วนมั่นใจได้เลยว่าดีทั้งในรสชาติและคุณภาพ  เนื่องจากทางร้านนั้นพิถีพิถันทั้งในเรื่องของการหาชา รวมถึงวัตถุดิบต่างๆ ที่ทางร้านใส่ใจไม่ต่างกัน ในการนำมารังสรรค์เป็นเมนูสุดพิเศษ ทั้งการหมักน้ำผึ้ง ทำโยเกิร์ต การนวดแป้งโมจิ (ด้วยมือ) และไอศกรีมโฮมเมดที่ไม่ใส่สาร stabilizer หรือสารให้ความคงตัว (จึงทำให้ไม่สามารถ Take Away ไอศกรีมได้)     เมนูแรกที่ลิ้มลองคือ Rose Yoghurt (165 บาท) โยเกิร์ตโฮมเมดสไตล์จีน รสเปรี้ยวสดชื่น ตัดด้วยความหวานหอมจากธรรมชาติของน้ำผึ้ง ที่หมักกับกลีบกุหลาบจากมณฑลยุนนาน ประเทศจีน ตักกินพร้อมกับเก๋ากี้ สมุนไพรจีนมากประโยชน์ที่ถูกนำไปเชื่อมจนหอมหวานอวลไปในทุกคำที่ได้ทาน ชามนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นอาหารเช้า เป็นการเริ่มต้นวันใหม่อย่างสมบูรณ์     ต่อกันกับ Froyu with Mocheezu (245 บาท) ไอศกรีมโยเกิร์ตโฮมเมด ผ่านกระบวนการโดยไม่ได้สัมผัสความร้อนแม้แต่น้อย ทำให้แบคทีเรียที่อุดมไปด้วยประโยชน์ในโยเกิร์ตยังอยู่ครบถ้วน โอบล้อมด้วย Yuzu Honey น้ำผึ้งสีนวลสวยที่หมักกับเปลือกยูสึอย่างพิถีพิถัน จนได้รสเปรี้ยวอมหวานสุดละมุน หอมกรุ่นกลิ่นดอกไม้สีครีม กินกับ Mocheezu โมจินวดด้วยมือเนื้อหนึบหนับ สอดไส้ชีส Age สุดครีมมี่ในแบบฉบับโฮมเมด ที่ใช้เวลาหมักถึง 2 ปี ท็อปด้วยเปลือกส้มยูสึ โรยน้ำตาลและเบิร์นให้หอมฟุ้ง อร่อยสุดๆ ไปเลยกับเมนูนี้     Matcha Extremist (245 บาท) ไอศกรีมสุดฮิตตลอดกาล ไอศกรีมมัตฉะโฮมเมด ที่ถูกปั่นสดใหม่ในทุกๆ เช้า ทำให้ได้รสเข้มข้น หอมกลิ่นชาเขียวเป็นที่สุด (เราชอบมาก) ถูกเคลือบด้วยผงถ่านไม้ไผ่สีดำสนิท มีคุณสมบัติช่วยดูดซับคาเฟอีน เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนในปริมาณที่เกินแก่ความต้องการ เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียวดำรสหวานมันที่เรารัก     พักจากเมนูเย็นๆ ไปชิม Delicacies (190 บาท) ขนมสไตล์ตะวันสุดอร่อยอย่าง ขนมเปี๊ยะไส้พุทราจีนไข่เค็ม แป้งบางๆ หอมกลิ่นควันเทียน สอดไส้พุทราจีนเนียนละเอียด รสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ตัดกับรสเค็มมันจากไข่เค็มได้อย่างพอดิบพอดี ขนมเปี๊ยะไส้ถั่วไข่เค็ม ที่เราคุ้นเคย ถูกผ่าครึ่งให้กินได้ง่าย ไส้ถั่วเนื้อเนียนแน่น รสหวานหอม กินพร้อมไข่เค็มลูกใหญ่ และแป้งนุ่มๆ บางเฉียบกำลังดี     ขนมไส้สับปะรด หนึ่งในขนมขึ้นชื่อของประเทศไต้หวัน ถูกนำมาเป็นหนึ่งเมนูของร้าน แป้งนุ่มๆ หอมกรุ่นกลิ่นเนย เอาเข้าปากพร้อมกับสับปะรดที่กวนจนได้รสหวานอมเปรี้ยวอ่อนๆ หอม และสัมผัสหนึบหนับเคี้ยวสนุก ปิดท้ายด้วยขนมเปี๊ยะไส้เผือก ที่สอดไส้เผือกกวนเนื้อเนียน หวานกำลังดี ได้กลิ่นหอมละมุนของเผือกแท้ๆ     ทั้งหมดถูกเสิร์ฟคู่กับชา Single Set (125 บาท) ชาร้อนขนาดกำลังพอดีสำหรับการดื่มคนเดียว ที่คุณสามารถเลือกใบชาได้ตามใจ ในครั้งนี้ทีมาสเตอร์เลือก Roasted Tieguanyin หรือที่ทีเลิฟเวอร์รู้จักกันในชื่อ ทิกวนอิม หรือ กวนอิมเหล็ก ให้เรา เป็นชาอู่หลงเลื่องชื่อจากมณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน ดื่มง่าย ให้สัมผัสที่เบาบางแต่ก็นุ่มลึก ได้รสหวานเล็กๆ หอมกลิ่นดอกไม้สีขาวอ่อนๆ ดื่มแล้วชุ่มคอ แถมดีต่อสุขภาพ (ช่วยลดคอเลสเตอรอล และเผาผลาญไขมัน)     มาถึงเมนูขวัญใจแฟนคลับชาเขียวกันบ้าง Pastel Matcha (145 บาท) ผงมัตฉะชั้นดี ชงกับนมสด เติมความหวานจากน้ำตาลเล็กน้อยทำให้ได้รสกลมกล่อม และกลิ่นหอมหวาน ตัวชามีความครีมมี่ และเข้มข้น ก่อนเสิร์ฟทางร้านจะใช้วิธี age มัตฉะไว้ ประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ชาค่อยๆ เผยรสอูมามิออกมาอย่างชัดเจน พร้อมเสิร์ฟในถ้วยมัตฉะดั้งเดิมแช่แข็งจนเย็นเฉียบที่ถูกปั้นด้วยฝีมือจากช่างชาวญี่ปุ่น ทำให้ได้รสสัมผัสแห่งชาเขียวคุณภาพอย่างแท้จริง     ใครชอบกาแฟอย่าลืมสั่ง Snow Pastel Coffee (185 บาท) กาแฟผสมผสานกับไวท์ช็อกโกแลตชั้นเลิศจากประเทศเบลเยียม ปั่นรวมกับน้ำแข็งจนเป็นเกล็ดหิมะ ดูดสนุก ได้รสกลมกล่อม หวานหอมแบบคับแก้ว     มีความสุขเสมอที่ไปเยือน

ภายในโครงการ Seenspace ซอยทองหล่อ 13 มีร้านชื่อ Sundance Lounge สวรรค์แห่งใหม่ของทีเลิฟเวอร์ทั้งหลาย ด้วยใบชาออร์แกนิกที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี มีชาหลากหลายให้คุณได้ลิ้มลอง อาทิ ชาเครื่องเทศ ชาดอกไม้ ชาผลไม้ เสิร์ฟมาในสไตล์ร้อนหรือเย็นก็สามารถเลือกได้ตามใจ พร้อมดื่มด่ำในบรรยากาศดีๆ พื้นที่กว้างขวาง มีฉากกั้นระหว่างสองโซนให้ความรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว ชัวร์ว่าใครมาก็ต้องเพลิดเพลิน           เริ่มต้นความอร่อยด้วย ครัวซองต์ราสป์เบอร์รี จากร้าน Eric Kayser กรอบนอกนุ่มใน อบสดใหม่ทุกวัน     ต่อกันที่เมนูเพื่อสุขภาพอย่าง Very Berry สมูตตี้อาซาอิรสเปรี้ยวสดชื่น ท็อปด้วยกราโนร่ากรุบกรอบ เมล็ดเจีย และผลไม้สดต่างๆ อาทิ กล้วย สตรอว์เบอร์รีและบลูเบอรี     ส่วนเครื่องดื่มแนะนำ Sun ชาขาวเบลนด์กับมะม่วงและสัปปะรด หอมหวานชื่นใจ ดับร้อนได้อย่างดี     สำหรับใครที่เป็นสาวกพีชต้องนี่เลย You’re A “Peach” ชาพีชเปรี้ยวอมหวาน ดื่มแล้วกระปรี้กระเปร่า แก้วนี้ถูกใจใช่เลย     ทีเลิฟเวอร์ต้องลอง World ชาเขียวเบลนด์กับชาขาว มะลิและกุหลาบขาว รสนุ่ม หอมกรุ่นมาแต่ไกล     Two To“Mango” ชามะม่วงแสนหอม จิบอุ่นๆ สุดฟิน     ได้จิบชาดีๆ สักแก้ว แค่นี้ชีวิตก็แฮปปี้แล้ว!

ใครเป็นแฟนโรงงานชาแสนอร่อยแห่งพัทยาที่อยู่ในโครงการ A' La Campagne Pattaya หากไม่มีเวลาไปไกลถึงชลบุรี แค่แวะมาที่ซอยสุขุมวิท 39 ก็จะได้เพลิดเพลินกับเมนูเด็ดทั้งอาหารและเครื่องดื่มในสไตล์ของ “Tea Factory and More” ที่บอกเลยว่าอร่อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือสาขานี้สามารถพาสัตว์เลี้ยงแสนรักทั้งน้องหมาน้องแมวมาเอนจอยอีตติ้งด้วยกันได้ (สมกับอยู่ในโครงการ Trail and Tail คอมมูนิตี้สำหรับคนรักสุนัขและแมว)       โดยที่นี่ยังคงคอนเซ็ปต์โรงงานชาที่รวบรวมชาหลากชนิดจากไทยและหลายประเทศทั่วโลกมาให้ลิ้มลอง ทั้งศรีลังกา จีน  อินเดีย ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และชาคุณภาพดีของไทย ซึ่งได้มาจากการเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทุกมุมโลกของเจ้าของร้านผู้เป็น Tea Lover ตัวยง       คนรักชาต้องลอง White Tea Trail ชาขาวดื่มง่ายที่ผสมผสานดอกลิลลีและดอกหอมหมื่นลี้จากเมืองจีนได้กลมกล่อมลงตัว และ Oolong Lychee Tea ชาอู่หลงของไทยสกัดเย็นกว่า 8 ชั่วโมง จนรสนุ่มได้ที่ ผสมลิ้นจี่พูเรที่ช่วยดึงรสเปรี้ยวที่แอบซ่อนออกมาได้อย่างเข้ากัน         ส่วนสายกินห้ามพลาด Spaghetti Lamb Stew เส้นสปาเกตตีเหนียวนุ่มคลุกเคล้าสตูแกะที่ตุ๋นจนเนื้อนุ่มกินง่าย ไร้กลิ่นสาบ ถ้าไม่อิ่มแนะนำให้สั่ง Crab Cake Burger เบอร์เกอร์สอดไส้เนื้อปูชุบเกล็ดขนมปังทอด ที่เลือกขนมปังได้ทั้งบริยอชและชนมปังชาร์โคล เพิ่มความอร่อยสดชื่นด้วยสับปะรดย่าง เสิร์ฟพร้อมผักทอดกรอบนานาชนิด ดิปกับบราวน์ซอสและทาร์ทาร์ซอส       แต่ถ้ามองหาของหวานมากินคู่ชายามบ่าย เราแนะนำ Waffle Apple Crumble วัฟเฟิลกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟพร้อมแอปเปิลซอส เกล็ดครัมเบิล และไอศกรีมวานิลลาลูกโต และ Irish Scone เนื้อนุ่มแน่นไม่ร่วน เลือกได้ทั้งรสเนย, แครนเบอร์รี และลูกเกด จะกินกับแยมโฮมเมดหรือคอตเทจครีมหอมมันก็อร่อยไม่แพ้กัน    

ทีรูมสุดเก๋กลางซอยอารีย์ที่เต็มไปด้วยชาจากหลายประเทศทั่วโลกทั้งชาฝรั่ง ชาจีน ชาญี่ปุ่น ชาตุรกี ชาดอกไม้ รวมถึงชาผลไม้ เพื่อให้คนรักชาเพลิดเพลินได้ไม่รู้จบ ด้านการตกแต่งร้านทำได้เก๋สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็นในบรรยากาศย้อนยุคนิดๆ และแฝงความสดใสร่าเริงชวนให้ตื่นตัวไว้ทุกอณูทั้งจากสีสันและกิมมิกชวนมอง อาทิ ภาพเพนต์รูปกาน้ำชานานาชาติบนผนังร้าน แต่จุดรวมความสนใจคงหนีไม่พ้นเคาน์เตอร์ที่มีชาดริปบาร์สำหรับทำเครื่องดื่มเย็นอย่างชาเขียว ชากุหลาบ และชาอัญชันที่เรียงรายชวนชิม         จุดเด่นจากจำนวนชาที่มีมากถึง 40 ชนิด คนรักชาจึงสนุกกับการเลือกจิบได้ไม่ซ้ำ แต่ถ้ายังลังเลเลือกไม่ถูกทางร้านก็มีคำแนะนำพอเป็นแนวทาง อาทิ ชุดชาร้อน O-Melon ชาอูหลงเบลนด์กับเลมอน ความขมของชาบางเบาติดปลายลิ้นเจือรสเปรี้ยวอ่อนๆ ของเลมอน จิบแล้วชื่นใจ แนะนำให้สั่งชุดขนมไทยรวม มาจับคู่ก็ยิ่งชูรสไม่ว่าจะเป็นทองหยิบ ทองหยอด ตะโก้ เม็ดขนุน ฝอยทอง ลูกชุบ กลีบลำดวน และตะโก้ เสิร์ฟคำเล็กคำน้อยน่ารักชวนกิน         สำหรับคนไม่ชอบชาร้อนลองสั่ง Red Rose Iced Latte ชากุหลาบลาเต้ ทางร้านใช้ชาอูหลงเบลนด์กับกลีบกุหลาบจริงๆ (ไม่ใช้น้ำเชื่อมกลิ่นกุหลาบ) กลิ่นหอมจรุงชวนเคลิบเคลิ้ม    

หลังจากเสื้อผ้าแบรนด์ “สเรทซิส” (Sretsis) ได้สร้างความประทับใจให้แก่คุณสาวๆ ไปเป็นที่เรียบร้อย มาตอนนี้เชื่อว่าคุณสาวๆ คงได้อิ่มเอมกับความสุขไปอีกขั้น เมื่อสเรทซิสได้เนรมิตพื้นที่ติดกับแฟลกชิปสโตร์บนชั้น 2 ของเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ให้กลายเป็นห้องรับรองต้อนรับกลุ่มเพื่อนให้มาร่วมจิบชาและกินขนมภายใต้บรรยากาศแสนหวานที่ผสานอารมณ์ความเป็นแฟนตาซีอยู่ทุกอณู       ไม่ว่าจะเป็นโทนสี เฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงการตกแต่งล้วนออกแบบมาเป็นพิเศษด้วยการร่วมมือกับ House of Hackney แบรนด์อินทีเรียระดับโลกจากอังกฤษมาร่วมสร้างสรรค์ เห็นได้จากลายพิมพ์ผ้าที่มีทั้งราชสีห์ ม้ายูนิคอร์น และทุ่งดอกไม้ก็ได้กลายเป็นวอลล์เปเปอร์เล่าเรื่องราวได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับอาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่เรากล้าบอกเลยว่าพิเศษจริงๆ       ส่วนเมนูของที่นี่จัดเรียงเป็นเซ็ตโดยมีชื่อเรียกอย่างน่ารัก พร้อมกับให้เราลองเลือกจับคู่ขนมกับเครื่องดื่มได้อย่างสนุก ถ้าใครชอบทั้งขนมคาวและหวานขอแนะนำ Tea Time with Unicorn (650 บาท++) เซ็ตนี้เราได้ลอง Lemon Lavender Cream Tart ทาร์ตเลมอนรสละมุนอมเปรี้ยวแต่งหน้าด้วยครีมลาเวนเดอร์สีม่วงสวย ก่อนจะจับคู่กับ Surprise Coffee ลาเต้ที่สร้างความประทับใจให้กับทุกคนด้วยการสุ่มลายลาเต้อาร์ตมาให้       สำหรับสาวๆ ที่รักสุขภาพต้องลอง Forest Faeries (550 บาท++) เซ็ตที่เน้นความอร่อยปราศจากแป้งและน้ำตาลด้วย Raw Cake หลากรส เช่น Poppy Carrot Cake เค้กแครอตสูตรพิเศษเนื้อนุ่มด้วยส่วนผสมของเนื้อแครอต อินทผลัม ถั่ว และเมเปิลไซรัป มาพร้อมครีมบางๆ แต่งเป็นรูปดอกป็อปปี้ทำจากมะม่วงหิมพานต์ให้จับคู่กับชาสูตรซิกเนเจอร์ Ma Petit Papillon ชาดอกไม้เบลนด์พิเศษผสานเบอร์รีมาพร้อมผงทองวิบวับจาก No.57         ส่วนเซ็ตยอดนิยมคงไม่พ้น Siamese Delight (550 บาท++) ที่นำเสน่ห์ความเป็นไทยมาปรับเปลี่ยนหน้าตาให้เข้าถึงง่ายขึ้น ซึ่งในเซ็ตนี้เราสั่ง My Rose วุ้นกุหลาบสีชมพูอ่อนเสิร์ฟในแก้วแชมเปญ รสหวาน หอมกลิ่นลิ้นจี่ มาจับคู่กับ Lavender Lemonade น้ำเลมอนที่แต่งกลิ่นลาเวนเดอร์ให้สีม่วงอ่อนๆ สดใส       แต่ถ้าใครชอบความเป็นส่วนตัวที่นี่ก็มี Swan Room ห้องส่วนตัวสีชมพูสุดหวานให้สาวๆ ได้อิ่มเอมและละมุนความหอมหวานกันถึงขีดสุด  

ใครอยากหลบหนีจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่มานั่งพักกินข้าว จิบชาเบาๆ ท่ามกลางสวนสวยแนะนำว่าไม่ควรพลาดที่นี่ แค่เพียงพริบตาเดียวจากสถานีรถไฟฟ้าอโศกก็สามารถเปลี่ยนโลกแสนโกลาหลให้เงียบสงบได้ง่ายดาย แน่นอนว่าคุณตาฉันท์และคุณยายยุพาคิดมาอย่างดีแล้วว่าบ้านเก่าหลังน้อยอายุกว่า 60 ปีเป็นได้มากกว่าร้านอาหารธรรมดา จึงช่วยกันสร้างบรรยากาศสีเขียวร่มรื่นขึ้นมาให้สอดคล้องกับการตกแต่งร้านสไตล์วินเทจน่ารักอบอุ่น พร้อมเสิร์ฟอาหารโฮมเมดไทยยุโรป เบเกอรี่ และเซ็ตชาให้เรานั่งพักใจกันยาวๆ ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น            เมนูแนะนำ Hug Burger เบอร์เกอร์สีเขียวจากผักโขม สอดไส้ผักสลัด ชีส และปลาแซลมอนห่อสาหร่ายชุบแป้งทอดกรุบกรอบ   Rocket Salad with Smoked Salmon ร็อกเก็ตสลัดกินกับแซลมอนรมควัน ชีสพาร์เมซาน ราดซอสบัลซามิกกลิ่นหอม   Spaghetti Spicy Sausage สปาเกตตีผัดพริกกระเทียมแบบไทย เพิ่มความอินเตอร์ด้วยไส้กรอกเยอรมัน   Afternoon Tea Menu/For 2 ชุดน้ำชายามบ่ายสำหรับ 2 คน ขนมคาวหวานเสิร์ฟพร้อมชา Gryphon นำเข้าจากประเทศสิงคโปร์

ใครจะคิดว่าร้านชาเก๋ๆ แท้จริงแล้วสร้างขึ้นเป็นกุศโลบายให้คนเข้ามานั่งดื่มชาทำจิตใจให้สงบ เมื่อเกิดสมาธิแล้วที่นี่ก็มีห้องไว้ให้นั่งวิปัสสนาเจริญสติกันอย่างจริงจัง ไม่เพียงเท่านี้ยังมีกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นเป็นประจำอย่างจิบชาเสวนาธรรมหรือเกมฝึกสมอง ซึ่งเจ้าของไอเดียนี้คือคุณฤทธิรงค์ พาณิชย์รุ่งเรืองและคุณจตุพล สิทธิชัย เจ้าของบริษัทอีเวนต์ Pixel One ที่นอกจากนำศูนย์วิปัสสนา (ชุมชนปัญญา) เข้ามาอยู่ใจกลางเมืองให้เราเข้าถึงธรรมะได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังนำชาออร์แกนิกคุณภาพดีจากแบรนด์ TE และขนมจาก Baker Repubic มาให้ทุกคนได้ลองกินคู่กันในบรรยากาศเรียบง่าย แฝงกลิ่นอายการตกแต่งแบบเซน     เมนูแนะนำ ชาข้าวเหนียวดำผสมชาเขียว ชงแบบเย็น ชาสีม่วงเข้มสวย หอมกลิ่นข้าวเหนียวดำ ดื่มแล้วสดชื่น   ชาหลงจิ่ง ชาเขียวที่รู้จักกันในชื่อดรากอน เวล ใบชาแบนและเรียวยาว น้ำชาสีเขียวอ่อน รสนุ่มนวลกำลังดี   ชาจือหลั่งเฮียง ใบชาที่ผ่านการหมักมากว่า 2 ปี มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว น้ำชารสขมฝาดเล็กน้อย กินคู่กับขนม อร่อยเข้ากัน           วุ้นหอมหมื่นลี้ กลิ่นหอมชาอ่อนๆ หวานน้อย เสิร์ฟพร้อมถั่วแดงและลูกเดือย หรือจะเลือกเป็น ขนมบัวหิมะก็อร่อยไม่แพ้กัน แป้งนุ่มเหนียว กลิ่นหอม สอดไส้ถั่วเหลืองและถั่วแดงรสหวานน้อย

Tag: , ชา,

ขอยกตำแหน่งโอเอซิสแห่งใหม่ใจกลางซอยทองหล่อให้ไปเลย สำหรับ The Blooming Gallery Tea Cafe & Bar ของ 2 สาวเพื่อนสนิทที่ชอบดอกไม้ หลงใหลการดื่มชา และรักการทำขนมเป็นชีวิตจิตใจ โดยเธอทั้งสองนำความชอบทั้งหมดมาผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นสถานที่ชิลเอาต์สุดสวยที่เต็มไปด้วยความสุขสมกับนิยามน่ารักๆ ของที่นี่อย่าง "A place where happiness blooms like flowers"     ด้วยบรรยากาศสไตล์ Sweet Rustic ที่แฝงความร่มรื่นผ่านการจัดวางดอกไม้สวยๆ ในแทบทุกมุม อาทิ ไฮเดรนเยีย พีโอนี ซึ่งถ้าชอบช่อไหนก็สามารถซื้อกลับไปชื่นชมที่บ้านได้ด้วย รวมทั้งความโปร่งสบายของร้านที่ใช้หลังคากระจกรับแสงแดดธรรมชาติ แต่ไม่ต้องกลัวผิวเสีย เพราะที่นี่ติดฟิล์มกรองความร้อนและรังสียูวี เรียกว่าโดนใจ(สาวๆ)เหล่าคาเฟ่ฮอปเปอร์ไปเต็มๆ     นั่งชิลกับบรรยากาศดีๆ แล้วต้องลองชิมเมนูโฮมเมดของ The Blooming Gallery ที่ไม่เหมือนใคร เริ่มด้วย Home Fries with Truffle Sauce มันหวานญี่ปุ่นทอดกรอบนอกนุ่มใน กินคู่กับซอสทรัฟเฟิลโฮมเมดสูตรเด็ด          แล้วอิ่มกำลังดีกับ Tomyum Quinoa with King Prawns เมนูเฮลท์ตี้อร่อยเกินคาดที่ใช้ควินัวแทนข้าวผัดกับซอสต้มยำรสจัดจ้าน มาพร้อมกุ้งแม่น้ำตัวโตและเลมอนให้บีบเพิ่มสำหรับคนชอบความเปรี้ยว     ก่อนจบด้วยของหวานสุดฮิต A Path in the Forest การผสมผสานซอฟต์ชีสเค้กหอมมัน มูสชาเขียวหอมหวาน ครัมเบิลกรุบกรอบ และครีมสดนุ่มลิ้น ก่อนโรยหน้าด้วยผงชาเขียวอีกชั้นที่รับประกันว่าคนรักชาเขียวต้องเลิฟสุดๆ     แต่ถ้ายังไม่อิ่มต้องเพิ่มความฟินด้วย Freshly Made Scones สคอนกรอบนอกเนื้อในนุ่ม เสิร์ฟคู่กับคอตเทจครีมพรีเมียมจากอังกฤษและแยมสตรอว์เบอร์รีโฮมเมด แถมยังมีให้เลือกถึง 6 รสชาติ ทั้งออริจินอล เอิร์ลเกรย์ ลาเวนเดอร์ กุหลาบ น้ำผึ้ง และชาเขียว     เราแนะนำให้เพิ่มความรื่นรมย์อีกนิดด้วยชาเบลนด์สไตล์อังกฤษหอมหวานอย่าง My Dear Rose ชากุหลาบผลไม้ที่ดื่มแล้วเหมือนอยู่ท่ามกลางสวนกุหลาบ ผสานรสเปรี้ยวนิดๆ ของผลไม้นานาชนิดยิ่งทำให้อารมณ์ดี และ My Last Blue Valentine ชามิกซ์เบอร์รีที่ดื่มแล้วสดชื่นจนแทบลืมทุกเรื่องเศร้าสมกับชื่อเลยทีเดียว ซึ่งทั้งสองเมนูนี้คือซิกเนเจอร์สุดพิเศษที่ดื่มได้แค่ที่ร้านเท่านั้น    

ไม่ได้มานานเลยตั้งแต่สยามพารากอนรีโนเวทโซนชั้นล่างใหม่หมด จนได้ยินมาว่า The Mandarin Oriental Shop เปิดตัวของหวานไอเท็มใหม่รวมถึงเชฟใหม่ด้วย ชายจุกว่าอะไรๆ มันก็เลยใหม่อยู่หน่อยๆ สาขาสยามพารากอน เป็น 1 ใน 4 สาขาภายใต้ปีกของโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ นอกจากสาขานี้ยังมีสาขาเกษรวิลเลจ เซ็นทรัลชิดลม และดิเอ็มโพเรียม แต่สาขาตามห้างชายว่าสะดวกดีอยู่ติดเส้นรถไฟฟ้า     แมนดาริน โอเรียนเต็ล มักจะดึงดูดชายด้วยอาฟเตอร์นูนทีกับชามาคิยาจ แฟร์ส (Mariage Frères) แต่ก็จะเหมาะกับ Authors' Lounge ภายในโรงแรมฯ เพราะเหมาะนั่งชิลล์ละเลียดชาและของหวาน แต่ถ้ามาห้างก็ต้องกินพวกเค้กสักชิ้นสองชิ้นมากกว่า       เชฟคริสโตเฟอร์ ซาปี (Christophe Sapy) หัวหน้าเพสตี้เชฟ ติดภาระกิจ วันนี้ เชฟเดเนียล เทกซ์เตอร์ (Daniel Texter) มารับหน้าที่แทน ชายเลยโชคดีได้กินขนมปังสุดอร่อยของเชฟเดเนียล เชฟกระซิบว่า นำเอาวัตถุดิบลับของตัวเองอย่างยีสต์ธรรมชาติจากแอปเปิ้ลที่เลี้ยงดูกันมาเหมือนลูกหลานกว่า 9 ปีก่อน มาใช้ ทำให้เราได้กินขนมปังดีๆ โดยเฉพาะขนมปัง Sourdough แป้งข้าวไรซ์ออแกนิคกับยีสต์ธรรมชาติรสเปรี้ยวที่เป็นเอกลักษณ์ อร่อยมาก อยากให้ลองมี 3 แบบ 3เนื้อสัมผัส Campagne Sourdough (115 บาท) เนื้อออริจินอล Multi Grain Sourdough (140 บาท) ใส่ธัญพืชเพิ่มเนื้อสัมผัส และ Walnut White Sourdough (135 บาท) ได้ความมันของวอลนัท       แต่ที่ตราตรึงต้องใช้คำนี้จริงๆ Olive Oil Rosemary Foccacia (100 บาท) เนื้อมันนุ่มมมมมมมม หอม เนื่องจากเชฟแดเนียลสาธิตให้ดูและอบออกมาใหม่ๆ แถมเห็นวิธีทำจะไม่ฟินได้ยังไง     ส่วนของหวานมีออก ใหม่ 16 เมนู แต่ชายเลือกมาแนะนำแค่ 5 เมนู นี่ก็ตัวจะแตกแล้วนะ ก่อนสั่งของหวานให้เริ่มละเลียดจิบชาไปก่อน Marco Polo ก็คุ้นเคยดี แต่ตอนนี้มันก็ต้องชาที่เบลนด์พิเศษมาเพื่อโอกาสครบรอบ 140 ปี La Grande Dame เชฟบอกว่าของหวานเมนูใหม่เน้นเค้กเบาๆ และลดความหวานลง     Hazelnut & Gianduja (185 บาท) มูสช็อกโกแลตผสมเฮเซลนัท ทำให้กลิ่นรสของเฮเซลนัทกลมกลึงไปกับมูสนุ่มๆ แต่ก็สอดแทรกด้านในไว้ด้วยเนื้อสัมผัสกรุบๆ     Lemon Meringue Bar (120 บาท) บาร์เลมอนรสเปรี้ยวหวาน ไม่เปรี้ยวแหลม ทำออกมาให้เป็นบาร์แทนทาร์ตกลมๆ ที่ชายคุ้นเคย     Choco-Trio Cube (160 บาท) มูสช็อกโกแลต 3 อย่าง ไวท์ช็อกโกแลต ช็อกโกแลตนมรสวานิลลา และดาร์กช็อกโกแลต ทำฐานออกมากรุบกรอบ ด้านในเป็นเนื้อมูส ใครชอบช็อกโกแลตต้องหลงรักเมนูนี้     Vanilla Mango & Banana (ราคา 145 บาท) ชายชอบเมนูนี้ มูสวานิลลาสอดไส้ด้วยเค้กกล้วยและเยลลี่มะม่วง แต่งหน้าด้วยมาร์ชเมลโล่มะม่วง     และ Banoffee (170 บาท) น่าจะเป็นครั้งแรกที่แมนดารินทำ Dessert in a Jar ขึ้นมา พกพาสะดวกกินได้ระหว่างชอปปิ้ง ใส่แพชชั่นฟรุตเพิ่มความเปรี้ยวเล็กน้อยให้บานอฟฟี่