ร้านอาหารอิตาเลียนเก่าแก่ Enoteca รางวัลมิชลิน ถูกตกแต่งด้วยไวน์หลายชนิดสมกับความหมายของชื่อร้าน (Enoteca แปลว่า ห้องเก็บไวน์) หลังจากเชฟ Federico Orrú ผู้เดินทางจากเมืองมิลาน ใช้ชีวิตผจญภัยโดยการเดินทางท่องเที่ยวและทำงานในร้านอาหารมาหลายแห่งจนมาถึงประเทศไทย เชฟพกใจที่รักการทำอาหารจากอิทธิพลของคุณเม่ และความสร้างสรรค์ของตนเองใส่กระเป๋าเดินทางมาเพื่อเปิดใช้อีกครั้งที่นี่ เป็นการผสมผสานความเป็นต้นตำรับและความเป็นตัวเองนำเสนอผ่านอาหารหน้าตาสวยงามคู่รสชาติที่อร่อยไม่แพ้กัน Tartare di di Tonno ทาทาร์ทูนาครีบน้ำเงิน เพิ่มความสดชื่นด้วยไข่ปลาลัมป์ฟัช ตูเลหมึกดำ หยดกระเทียม และ Basil pearls เห็ด Morels ยัดไส้เนื้อนกพิราบรสหวานฉ่ำ ผิวนอกของเห็ดค่อนข้างนุ่มหยุ่น เมื่อกัดลงถึงเนื้อนกพิราบจะได้ความกรอบของเนื้อพรีเมียมที่นำมาปรุง กินกับบัลซามิกที่หมักมานาน 12 ปี ท็อปด้วยรากผักชีฝรั่งและผักร็อกเก็ต ขาแกะสไลด์ ชุบแป้งสมุนไพร เสิร์ฟคู่พัฟมันฝรั่งและถั่วบอร์ล็อตติ (บางคนอาจรู้จักในชื่อถั่วแครนเบอร์รี) อย่าลืมราดซอสไธม์เพื่อความลงตัวมากขึ้น ของคาวอลังการขนาดนี้ ของหวานก็ไม่น้อยหน้าเสิร์ฟมาเป็นต้นเลยทีเดียว! ต้นที่ว่าคือต้นไม้จำลองหลากสีสันประดับตกแต่งด้วยชิ้นมาการอง และขนมปังไส้ช็อกโกแลต ขนมปังไส้ครีม และลูกอมคาราเมล เป็นกิมมิกที่นอกจากสวยแล้ว ยังทำให้เพลิดเพลินกับการค้นหาขนมเหมือนได้เล่นเกมอีกด้วย เราลองให้เชฟเลือกว่าชอบเมนูไหนที่สุด เชฟบอกใจอยากเลือกทุกเมนูที่เสิร์ฟเพราะล้วนมาจากความตั้งใจ แต่ขอยกให้ทาทาร์ทูนาเป็นเมนูเด็ดยามบ่ายและเห็ดไส้นกพิราบเป็นของดีของรอบดินเนอร์ ใครมาแล้วคิดไม่ออกว่าจะกินอะไร สั่งตามเชฟแนะนำไปได้เลย

เมื่อนึกถึงอาหารง่ายๆ ที่เป็นเมนูประจำวันสามารถทำกินอยู่บ้านพร้อมนั่งจิบแก้วโปรดได้อย่างฟินๆ น่าจะเป็นเรื่องที่ดูอบอุ่นใจไม่น้อย แล้วถ้าเกิดอยากเปลี่ยนบรรยากาศกลายเป็นมีคนทำให้กิน รสชาติและหน้าตาอาหารต่างไปจากเดิม แต่ยังคงรู้สึกโฮมมี นั่งยาวๆ พร้อมเม้าท์มอยจิบน้ำเก๊กฮวย ไวน์ หรือเครื่องดื่มมีฟองอื่นๆ ที่เลือกมาให้เข้ากับอาหาร SoupSip เป็นอีกหนึ่งร้านที่เพิ่งเปิดได้ไม่นานแต่ก็ครบจบทุกฟังก์ชันที่กล่าวมา SoupSip (ซุปซิป) ร้านอาหารไทย-เอเชียนฟิวชันที่ต้องการเสิร์ฟเมนูประจำวันให้เข้าถึงง่ายแต่ใส่ความไม่ธรรมดาเข้าไปโดยใช้เทคนิคการปรุงสมัยใหม่ นำเสนอในสไตล์ไทยประยุกต์เสิร์ฟบนรูฟท็อปบรรยากาศดีของ Kitsch Hotel ไฮไลต์ของร้านจะเป็นอาหารไทยโมเดิร์นที่ยกระดับข้าวต้มกุ๊ยและเมนูกับข้าวยามค่ำคืนให้มีมิติของรสชาติและหน้าตาอาหารต่างไปจากเดิม จากเมนูธรรมดาๆ ให้กลายเป็นจานใหม่ที่น่าลิ้มลอง รังสรรค์โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นที่ตั้งใจแสวงหาและยึดคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญก่อนนำมาสร้างมูลค่าพร้อมถ่ายทอดรสชาติผ่านจานนั้นๆ หากพูดถึงด้านการตกแต่งทางร้านก็ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะสไตล์ Kitsch ที่หยอกล้อไปกับโรงแรม ดีไซน์ให้ดูสวย ทันสมัย และเข้าถึงง่าย ใส่ความสบายเข้าไปให้ดูน่ามาพักผ่อนหย่อนใจไปกับเสียงเพลง ชมวิวกลางเมือง และลิ้มรสชาติของอาหาร สามารถมาแฮงเอาต์กับเพื่อนและจอยกับครอบครัวได้ในทุกวัน เมนูเด็ดห้ามพลาดเป็น ข้าวต้มเรือโป๊ะ ข้าวต้มแห้งที่สามารถกินได้ทั้งแห้งและน้ำ ให้เครื่องแน่น เสิร์ฟกับน้ำซุปรสกลมกล่อม เสริมรสเครื่องทะเลที่นำไปผัดกับพริกเหลืองและสามเกลอให้หอม ต่อด้วย กุ้งแช่วาซาบิ รสแซ่บถึงใจ ถัดมาคือ ยำปลาหวาน ใช้ปลาข้างหลืองทอดราดน้ำยำรสจัดจ้าน มีเนื้อส้มให้เคี้ยวเพลิน ตามด้วย เป็ดพะโล้ เชฟนำเป็ดไปกงฟีในน้ำมันให้หนังกรอบแต่เนื้อในยังฉ่ำ ราดด้วยซอสพะโล้เข้มข้น ต่อด้วย ต้มจืดผักกาดดองหอยนางรม ได้รสกลมกล่อม หอมกลิ่นผักกาดดอง ซดร้อนๆ คล่องคอดีเชียว ครีบปลากระเบนย่างซอสน้ำพริกเผา ซอสให้รสคล้ายต้มยำน้ำข้นแต่เสิร์ฟแบบแห้ง กินกับครีบปลากระเบนชิ้นใหญ่จากจังหวัดระนอง ต่อด้วย หมูบะเต็ง หมูทอดจนกรอบ โรยด้วยหัวไชเท้าและเปลือกเลมอนขูด ถัดมาคือ หอยตลับผัดพริกเผาเหล่ากันมา ให้รสเผ็ดร้อนยิ่งกินกับข้าวต้มยิ่งฟิน และ ผักบุ้งฝอยผัดกะปิ ได้รสเข้มข้นจัดจ้าน หอมกลิ่นกะปิ จะกินกับข้าวสวยหรือข้าวต้มก็อร่อยไม่แพ้กัน เป็นอีกแลนด์มาร์คที่น่ามาสังสรรค์ยามค่ำคืน

Volti Tuscan Grill & Bar ห้องอาหารของ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ ที่รวบรวมความอร่อยของอาหารอิตาเลียนหลายเมืองโดยเชฟบรูโน เฟอร์รารี ผู้จากบ้านมาไกลหลายปี เชฟบอกว่าในแต่ละพื้นที่ของอิตาลีมีวัตถุดิบให้เลือกนำมาประกอบอาหารมากมาย โดยเฉพาะนอกเมืองใหญ่อย่างเมือง Abruzzo ที่เขาจากมา แต่นักท่องเที่ยวมักติดรสชาติอาหารจากในเมืองซึ่งถูกดัดแปลงจากเมื่อก่อน เขาจึงตั้งใจนำตำรับอาหารของอิตาลีมาเผยแพร่ให้คนต่างชาติได้รู้จัก เรียกน้ำย่อยกันก่อนด้วย Carpaccio เนื้อแบล็กแองกัสเทนเดอร์ลอยด์สไลด์บางชิ้นสี่เหลี่ยม ท็อปด้วยมะเขือเทศเชอร์รี ผักร็อกเก็ต เลมอน และขนาบข้างด้วยชีสพาร์มิจาโน เรจจาโน จานนี้รสออกเปรี้ยว Carbonara ใส่กวนชาเล ชีสเปโกริโน และไข่แดง คาโบนาราที่นี่จะไม่ค่อยเหมือนที่อื่น เพราะนอกจากรสจะเข้มข้นกว่าแล้ว เชฟยังใช้เส้นสปเกตตีโฮลวีตยี่ห้อ Mancini Pastificio Agricolo จากฝีมือเกษตรกรชาวอิตาเลียน ซึ่งเนื้อสัมผัสอาจจะแข็ง และไม่นุ่มแบบคาโบนาราทั่วไป แต่เชฟคอนเฟิร์มว่านี่คือรสชาติดั้งเดิมของอิตาลีที่หากินได้ยากแล้วในตอนนี้ นอกจากคุณภาพของวัตถุดิบ รูปลักษณ์ที่ดึงดูดใจของอาหารแต่ละจานก็เป็นสิ่งที่คำนึงถึงเช่นกันโดยเฉพาะในยุคโซเชียล Porchetta หรือหมูสามชั้นย่าง จึงออกมาสีสันสวยงามที่สุดเพราะเป็นเมนูเด็ดและได้ชื่อว่าเป็น Chef’s Hometown Specialty เนื้อสัมผัสนุ่มคล้ายเยลลี่ สาวกหมูสามชั้นต้องลอง Foie Gras บนขนมปังบริยอช เชอร์รีนำเข้าจากอิตาลี หอมหัวใหญ่ผัดจนเป็นคาราเมล และ Mango Puree ส่วน Tenderloin Black Angus Rossini ชิ้นใหญ่ กรอบนอกฉ่ำใน เสิร์ฟพร้อมฟัวกราส์ ผักโขม และทรัฟเฟิลดำ Pistachio Experience เค้กถั่วลาวาแสนละมุน ใช้พิสตาชิโอนำเข้าจากเมือง Sicily มาพร้อมไอศกรีมพิสตาชิโอ ครัมเบิล และโรยพิสตาชิโอปิดท้าย ส่วนคนที่ชอบความหอมของกาแฟอย่าลืมลอง Tiramisu ที่เสิร์ฟมาในแก้วทรงสูง ส่งกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ มาที่เดียวแต่จะได้ลิ้มรสความอร่อยจากหลายเมืองในอิตาลีที่มาจากวัตถุดิบชั้นเลิศ และฝีมืออันเลื่องลือของเชฟบรูโนและทีมงาน

ไม่ได้แวะเวียนมาซะนานเลยอยากชวนนักกินมาอัปเดตความอร่อยที่ Zuma Bangkok ร้านอิซากายะร่วมสมัยสุดปังแห่ง The St. Regis Bangkok ที่ครั้งนี้มาพร้อมกับเซ็ตมื้อกลางวันใหม่เอี่ยมอ่อง “Ebisu Lunch” ประกอบด้วยอาหารเรียกน้ำย่อย 2 เมนู ซุปมิโซะ จานหลัก 1 เมนูในราคา 999++ บาท หากใครเป็นสายหวานจะเพิ่มขนมหวานสุดฟิน (บวกเพิ่ม 200 บาท) ก็ไม่ว่ากัน พร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศร้านใหม่ ที่การรีโนเวทได้แรงบันดาลใจมาจากธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ สอดประสานไปกับสุนทรียศาสตร์แบบญี่ปุ่นร่วมสมัย ทั้งครัวเปิดกว้างขวาง บาร์ซูชิ ห้องเก็บไวน์ที่รวมรวมไลน์ไวน์ชั้นดีมากกว่า 400 รายการ นอกจากนี้ยังมีห้องไพรเวทสำหรับใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ส่วนพื้นที่เทอเรสแสนสดใสก็ถูกเพิ่มหลังคาผ้าใบเพื่อบดบังสายแสงแดดจ้า และสายฝนพรำ จานเรียกน้ำย่อยเราสั่งเป็น Chicken Yakitori ไก่เนื้อแน่นคลุกเคล้ากับซอสเทริยากิรสหวานละมุน ย่างบนเตาถ่านร้อนฉ่า เติมความเผ็ดเล็กๆ ด้วยพริกป่นญี่ปุ่น ต่อด้วย White Shrimp Tempura กุ้งขาวเทมปุระทอดร้อนจี๋ จิ้มกับมายองเนสโฮมเมดที่เชฟผสมพริกปุ่นลงไปด้วย ก่อนกินบีบมะนาวซีกเล็กน้อย จานหลักเราเลือกเป็น Shogayaki Chicken Donburi ข้าวด้งอิ่มเอมหน้าไก่ย่างหนังกรอบเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ เสริมกลิ่นหอมๆ และรสเผ็ดพอเหมาะด้วยต้นหอมและพริกป่นญี่ปุ่น ก่อนราดด้วยซอสเทริยากินรสหวานเข้มข้น ตัดเลี่ยนด้วยซุปมิโซะร้อนๆ ซดคล่องคอ ส่วนของหวานจะเป็น Homemade Mochi โมจิสไตล์โฮมเมดที่มีทั้งรสมัตฉะสุดละมุน และรสสตรอว์เบอร์รีรสหวานอมเปรี้ยว เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมมะม่วงรสหวานฉ่ำ และผลไม้สดตามฤดูกาล ก่อนมาทบทวนความหลังกันด้วยคาราวานเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Avocado Salad สลัดอะโวคาโดขวัญใจสุขภาพ เติมรสเปรี้ยวมอหวานด้วยเดรสซิ่งเลมอนและน้ำผึ้ง โรยหน้าด้วยเกล็ดเทมปุระกรุบกรอบ Sliced Yellowtail ปลาฮามาจิเนื้อสดฉ่ำในซอสพอนสึรสเปรี้ยวกลมกล่อม และน้ำกระเทียมดอง ตามด้วย Wagyu Gyoza เกี๊ยวซ่าแป้งบางกริบ สอดไส้เนื้อวากิวหอมกรุ่น เข้าคู่ซอสทรัฟเฟิลยุซุรสละมุน เลิฟมากกับ Grilled Asparagus หน่อไม้ฝรั่งกรุบกรอบกินง่าย ย่างบนเตาถ่านหอมๆ ราดด้วยซอสวาฟู รสเปรี้ยวละมุน หอมกลิ่นน้ำมันงา จานนี้ก็ขายดี Sweet Corn ข้าวโพดหวานกินง่ายๆ อาบซอสเนยมิโซะรสกลมกล่อม ก่อนนำไปย่างบนเตาถ่านร้อนจี๋ เอาใจคนรักซูชิด้วย Mixed sushi เซ็ตซูชิแบบจัดเต็มที่ให้คุณอร่อยเด็ดกับซาชิมิเนื้อสดเด้งต่างๆ อย่าง แซมมอน มากุโระ โอโทโร่ นอกจากนี้ยังมีข้าวปั้นหน้าปลาหางเหลือง ปลามาได (ปลากะพงญี่ปุ่น) โรลเทมปุระ และโรลสไปซี่ที่หลายคนรัก ยังไม่อิ่มสั่ง Miso Marinated Black Cod ปลาหิมะเนื้อนุ่ม หมักในซอสมิโซะโฮมเมดรสเค็มละมุน ก่อนห่อใบโฮบะแล้วนำไปย่าง ปิดท้ายด้วย Rib Eye Steak สเต็กเนื้อริบอายหั่นเต๋า ความสุกระดับมีเดียมแรร์ชุ่มฉ่ำ มิ๊กซ์กับซอสวาฟูรสเปรี้ยวพอเหมาะ โรยหน้าด้วยกระเทียมกรอบ หนึ่งในร้านอร่อยที่ไม่เสื่อมคลาย

The Local ร้านอาหารไทยในบ้านเก่าบรรยากาศคลาสสิกสไตล์โคโลเนียลซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยความอบอุ่นและการต้อนรับอย่างเอาใส่ใจ ภายในร้านตกแต่งสวยงามประดับด้วยเครื่องใช้ภายในบ้านซึ่งเป็นของสะสมเก่าแก่ที่เป็นอาหารตาและต้องใจนักสะสมของโบราณ ส่วนรสชาติความอร่อยนั้นการันตีด้วยรางวัลมิชลินสตาร์บิบกรูมองต์ต่อเนื่องยาวนานถึง 7 ปีซ้อน คุณแคน เจ้าของร้านเล่าถึงเมนูอาหารว่าเป็นการต่อยอดเมนูดั้งเดิมที่มีอยู่ให้มีลูกเล่นมากขึ้น สร้างสรรค์แบบไม่คิดซับซ้อน เน้นความอร่อยเป็นสิ่งสำคัญ อย่างเมนู แกงเขียวหวานแก้มวัว ที่คุณแคนมองว่าแกงเขียวหวานเป็นหนึ่งในเมนูพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ชื่นชอบ เมื่อใส่แก้มวัวที่ได้จากการเคี่ยวจนนุ่มมากพอ ก็จะเป็นความอร่อยที่ลงตัว เป็นต้น ลาบก้อยปลากระทงทอง ใช้เนื้อปลาช่อนทะเลดรายเอจประมาณ 3-5 วัน เสิร์ฟพร้อมเครื่องยำ อาทิ พริกป่น กระเทียมเจียว เม็ดกระถิน ข้าวคั่ว ฯลฯ ก่อนกินคลุกเคล้าทุกอย่างรวมกันและตักใส่กระทงทอง หรือห่อใบชะพลูที่เตรียมให้ ได้รสชาติเปรี้ยวแซ่บไม่ธรรมดา ยำเนื้อมะเขือย่างสามสี เปลี่ยนจากยำมะเขือทั่วไปที่ได้สีเขียวจากมะเขือเปราะเพียงอย่างเดียว เพิ่มสีเหลืองด้วยมะเขือเหลือง และสีแดงจากมะเขือเทศ รวมทั้งมะอึก ปรุงรสน้ำยำราดบนเนื้อย่างสไลซ์ จัดเรียงอย่างสวยงาม แค่เห็นก็น้ำลายสอ แกงรัญจวน แกงโบราณหากินยากที่คุณแคนเล่าว่าเมื่อราวๆ 15 ปีก่อน ได้อ่านตำราอาหารเล่มหนึ่ง เขียนถึงเมนูชื่อไพเราะจานนี้ ในนั้นเปรียบเปรยว่า “เร็วๆ สำลัก ร้อนๆ เห็นดาว” ทำให้รู้สึกสนใจอยากลองทำ และโชคดีที่มีโอกาสเรียนกับอาจารย์ศรีสมร คงพันธุ์ ซึ่งถือเป็นบรมครูด้านอาหารไทยที่โรงเรียนการเรือนก่อนท่านจะเสียชีวิต ทำให้เข้าใจว่าแกงชนิดนี้ต้องให้รสจัดจ้านจนอาจสำลักได้ตามคำโบราณ โดยแกงรัญจวนของ The Local จะมีความพิเศษคือใส่ตะไคร้เพิ่มด้วย เพราะคุณแคนมั่นใจว่ารสชาติเข้ากันได้ดีนั่นเอง (ซึ่งตามต้นตำรับจะไม่มีส่วนผสมของตะไคร้) ทุกวันนี้ The Local  ยังคงรับรองลูกค้าทั้งต่างชาติและชาวไทยอย่างต่อเนื่องมากถึงหลักร้อยในแต่ละวัน ได้ฟังแล้วก็ชื่นใจที่อาหารไทยยังคงเป็นมีมนต์เสน่ห์ยอดนิยมตลอดมา

ยอมรับว่าเดายากว่าจานตรงหน้าคือ ‘พล่าหอยนางรม’ นี่คือความสนุกของ SOMA (โสมะ) ร้านอาหารไทยสไตล์โมเดิร์นจากสุดยอดเชฟอย่าง เชฟชาลี กาเดอร์ แห่ง Wana Yook และ เชฟหนุ่ม วีรวัฒน์ จากซาหมวยแอนด์ซันส์ พร้อมด้วยเชฟภาคย์ ยะมู head chef กับคอนเซ็ปต์ Thai Social Kitchen เชื่อมโยงอาหารกับผู้คนโดยไม่มีกรอบและไม่มีลำดับการกินมาทำให้อึดอัด ภายในร้านมีครัวเปิดให้เราได้เห็นทีมเชฟโชว์ฝีมือกันอย่างเต็มที่ ซึ่งแต่ละจานมาพร้อมรสชาติเข้มข้นและเนื้อสัมผัสสนุกๆ ซึ่งล้วนมาวัตถุดิบที่คัดลือกอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลจากชาวประมงท้องถิ่น ผักพื้นบ้าน รวมถึงวัตถุดิบนำเข้าอย่างเนื้อวัวแองกัสออสเตรเลีย และปลาจากตลาดปลาของญี่ปุ่น เริ่มต้นด้วยเมนูกระตุ้นต่อมรับรสอย่าง พล่าหอยนางรม เสิร์ฟมาอย่างเก๋ไก๋ให้กินหมดใน 1 คำ นอกจากเครื่องยำรสชาติจัดจ้านตาสว่าง ยังเพิ่มเนื้อสัมผัสด้วยการซ่อนแคปหมูกรอบๆ ด้านล่างอีกด้วย ถัดมาเป็น สาคูไส้หมู ที่เชฟนำเม็ดสาคูไปดีไฮเดรตก่อนแล้วนำมาทอดกรอบ วางไส้หมูและกุ้ง แล้วปิดด้านบนด้วยแป้งหนึบหนับ หรือจะลอง เมี่ยงคำหมี่กรอบ นำหมี่กรอบชาววังและเมี่ยงคำมารวมกัน เพิ่มความสนุกปลาข้าวสาร แต่งหน้าด้วยกลีบบัวหลวง จานที่เราชอบมากคือ ข้าวผัด XO ปู ซอส XO ทำเองกินแล้วไม่มันเลี่ยน เบสเป็นน้ำพริกเผาแล้เติมหอยเชลล์แห้ง ปลาหมึกแห้ง และกุ้งแห้งลงไปเพื่อให้ได้รสกลมกล่อม ผัดกับข้าวจนหอมฟุ้ง ใส่กรรเชียงปูแบบจัดเต็มเสิร์ฟคู่น้ำขิ้มซีฟู้ดรสเด็ด นอกจากนี้ยังมี ยำเนื้อรีเจนซี่  หมึกหอมย่าง ต้มโคล้งปลาย่าง รวมถึงแกงคั่วสับปะรดหอยแมลงภู่ ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารในความทรงจำของเชฟชาลี จบมื้อด้วย โมจิลําไยและไอศครีมกะทิ โรยข้าวเม่าทอด ตักให้ครบในหนึ่งคำแล้วจะรู้ว่า นี่แหละข้าวเหนียวเปียกน้ำลำไยที่เราคุ้นเคย!

Ojo ร้านอาหารภายในโรงแรม The Standard, Bangkok Mahanakhon บนตึกมหานคร ชั้น 76 ที่มีความหมายงดงามว่า ‘ดวงตา’ ตกแต่งอย่างโมเดิร์นโดยใช้รูปทรงหลากหลาย เน้นสีทองและโรสโกลด์เพื่อความหรูหราและทันสมัย นอกจากบรรยากาศดีมองออกไปเห็นวิวของบ้านเมืองในกรุงเทพฯ แล้ว ทุกจานใน Ojo จะต้องผ่านตาเชฟชาวเม็กซิกัน  Alonso Luna Zarate ซึ่งเรียนรู้การทำอาหารมาตั้งแต่อายุ14 ปี และภูมิใจในความรุ่มรวยของวัตถุดิบในประเทศของตนมาก ทำให้อยากถ่ายทอดความอร่อยจัดจ้านผ่านเมนูดั้งเดิมผนวกกับไอเดียใหม่ๆ ควบคู่การค้นหาวัตถุดิบในไทยมาผสมผสานรวมกันได้อย่างลงตัว เซ็ตอาหารกลางวันและอะลาคาร์ทเริ่มต้นด้วย Lunch Set เสิร์ฟทาโก้ เมนูที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี แม้แต่เชฟอลอนโซก็ยังชอบ แต่เป็นทาโก้ที่สร้างมิติใหม่อย่าง Barbacoa Taco ทาโก้เนื้อแกะปรุงกับซอส XO และ Salsa Verde จัดวางบนใบตองชวนสะดุดตามาเรียกน้ำย่อย ส่วนจานหลักเลือกได้ระหว่าง Pollo Loco ไก่หมักซอส Annatto Adobo (มีน้ำส้มสายชูและซีอิ๊วเป็นส่วนผสมหลัก) และ Salsa Roja เติมความจัดจ้านในจานด้วยพริก Chipotle หรือจะเลือกเมนู Lechon Con Frijoles หมูหันย่างกินคู่ซอสถั่วบดและหัวหอมดอง ของหวานเป็น Chamoy Sorbet ซึ่งเลือกใช้ผลไม้ตามฤดูกาลกับ Mezcal และ Taijin รสเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ แต่สดชื่น เมนูอะลาคาร์ท Ojo ก็มีเหมือนกัน แนะนำทาโก้แป้งกรอบซีฟู้ด หรือ Seafood Tostada ใช้กุ้ง Obsiblue หมึก และปลา Tostada คุณภาพดี สัมผัสความสดใหม่เข้าเนื้อซอส XO Salsa macha ตกแต่งด้วย Salicornia กินเพลินแทบหยุดไม่อยู่ Pescado Zarandeado ปลาย่างซอส Guajillo adobo เสิร์ฟคู่แตงกวา อะโวคาโด มะเขือเทศ และผักเคียงอื่นๆ สุดท้ายอยากให้ลอง Arroz Con Leche ไอศกรีมซินนามอนกับข้าวครีมวานิลลาหอมๆ เวลากินตักพร้อมแป้งไวท์ช็อกโกแลต Sugar brulée และผงนมถั่วเหลืองเพื่อให้รสหวานนวล ฟินมาก ระหว่างเพลิดเพลินกับเมนูมากมาย สามารถสั่งม็อกเทลจิบไปด้วยได้ อาจจะเลือกเป็น Hibiscus & Mint หรือ Tangerine & Yuzu ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ถือเป็นร้านอาหารคุณภาพสูง วิวสวย แต่ราคาไม่ได้ไกลเกินเอื้อม

ใครที่ชื่นชอบอาหารอินเดีย ต้องไม่พลาดบันทึกร้าน Jhol (โจฮ์ล) เป็นหนึ่งในร้านอาหารอินเดียในดวงใจ และเผลอแป๊บเดียวร้านอาหารอินเดียมุมมองใหม่แห่งนี้ก็เปิดให้บริการมาครบ 5 ปีแล้ว ในโอกาสนี้ เชฟฮารี (Hari Nayak) เชฟชาวอินเดียผู้สร้างชื่อในฐานะปรมาจารย์แห่งอาหารอินเดียยุคใหม่และอยู่เบื้องหลังเมนูของ Jhol และเชฟ Gaurav Gupta Chef de Cuisine ประจำร้าน จึงอยากชวนมาสัมผัสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับหลากหลายเมนูใหม่ที่ยกระดับการตีความอาหารอินเดียสมัยใหม่ ซึ่งผสานรากเหง้าและนวัตกรรมเข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้ง ให้ลิ้มลองกันได้ตั้งแต่วันนี้ เมนูใหม่มีให้บริการทั้งแบบอะ ลา คาร์ท และเทสติงเมนูในชื่อ The Culinary Journey: शुद्धि (Purification) ซึ่งหมายถึงการชำระล้างให้บริสุทธิ์ นำเสนอรสชาติอันสดใสจากชายฝั่งของอินเดียร่วมกับวัตถุดิบท้องถิ่นไทย ออกมาเป็นจานอร่อยที่แปลกใหม่และน่าสนใจ เริ่มตั้งแต่จานเรียกน้ำย่อย รวมของว่างคำเล็กอย่าง Calicut Pepper Crab ทาร์ตปูเครื่องเทศ ปาจาดีมะพร้าว และส้มโอ Goan Choris Pav ฮอตด็อกจิ๋วสอดไส้ครีมมะกรูดทอปด้วยหมูฝอย Kolkata Dim’er Devil ไข่นกกระทาหุ้มด้วยเนื้อแกะบดและเครื่องเทศ ราดซอสมัสตาร์ดสไตล์เบงกอล (kasundi) ทอปด้วยคาเวียร์ กลิ่นและรสของเครื่องเทศกระตุ้นประสาทรับรสให้ตื่นตัว อาหารของเมืองชายฝั่งทางตอนใต้ของอินเดียเน้นซีฟู้ดสดใหม่ จานแรกเราจึงได้ลิ้มลอง Fine De Claire Oyster หอยนางรมทอปด้วยซอสพริกมะม่วง (raw mango thecha) และกรานิตาทับทิมสีสดใสให้รสสดชื่น ตามด้วย BFC หรือ Berhampur Fried Chicken ด้านในชุ่มฉ่ำด้านนอกกรอบและหอมเครื่องเทศ บีบมะนาวดึงรสชาติแล้วจิ้มกินกับฮอตซอสสูตรของทางร้าน อร่อยมากๆ จานต่อมาก็ดีงามไม่แพ้กัน Surti Anda Ghotala ซึ่งมีต้นแบบมาจากอาหารริมทางของชาวกุจราต ถูกแปลงโฉมให้เป็นจานที่หรูหราอย่างออมเล็ตซอสครีมรสเผ็ดใส่เนยและชีสอามุลให้รสนวลกลมกล่อม กินกับโทสต์ชีสพริกกรอบๆ ชวนฟิน ตามด้วยจานที่น่าสนใจมากอย่าง Kundapura Ghee Roast Crab ตีความอาหารคลาสสิกจากภาคใต้ของอินเดียใหม่โดยเลือกใช้ปูไทยปรุงด้วยกีและเครื่องเทศมังคาลอร์ ใส่แป้งอิดลีนึ่งจนฟู โรยผงปืน (Gunpowder Podi) เพิ่มความหรูหรา หลังจากล้างปากด้วยซอร์เบต์ฝรั่งสีชมพู ก็เริ่มเข้าสู่จานที่หนักท้องขึ้นมาอย่าง Malabar Lamb Ribs ซี่โครงแกะออสเตรเลียส่วนที่ติดกระดูกอ่อนย่างและตุ๋นจนนุ่มละมุนกับเครื่องเทศรสเข้มข้น ตามด้วย The Feast จานแชร์ที่ประกอบด้วย Coorgi Pandi Curry แกงกะหรี่เนื้อหมูสามชั้นทอปด้วยแคปหมู เสิร์ฟกับแผ่นแป้ง หอมเจียว ใบบัวบก และชัตนีย์มะเขือเทศ ห่อเข้าด้วยกัน และ  Bengali Biye Bari Korma จานที่มีแรงบันดาลใจมาจากงานแต่งงานอันยิ่งใหญ่ของชาวเบงกาลี เนื้อปลากะพงในแกงมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดป๊อปปี้ และหอมใหญ่คาราเมล เสิร์ฟกับข้าวกีมะม่วงหิมพานต์และมัลลาบาร์ปาโรตา ครีมมีหอมมันกลมกล่อมมาก ปิดท้ายด้วยของหวานที่ชวนสดชื่นดีงามสุดๆ อย่าง Tender Coconut Payasam หรือซอร์แบต์มะม่วงและโยเกิร์ตหอมหวานอมเปรี้ยว และแผ่นตูเล่งา และ Sticky Toffy Pudding ซึ่งใช้ Nolen Gud น้ำตาลปี๊บจากเบงกอลตะวันตกมาทำเป็นคาราเมลหวานลึกล้ำ ตัดรสด้วยเกลือคาราเมลเอสปูมาและไอศกรีมวานิลลาทำจากวานิลลาเขาใหญ่ เข้ากันได้ดีเป็นที่สุด เทสติงเมนู The Culinary Journey: शुद्धि (Purification) ให้บริการถึงตุลาคม 2568 โดยมีให้เลือกทั้งคอร์สเมนูซีฟู้ด ราคา 2,200++ บาท ตามที่เรารีวิวไป และคอร์สมังสวิรัติ ราคา 1,999++ บาท และยังสามารถเลือกแพร์ริงกับไวน์ในราคา 1,599++ บาท หรือเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ในราคา 999++ บาท ได้อีกด้วย และอย่างที่บอกไปว่าทุกเมนูสามารถเลือกสั่งมาอร่อยในแบบละ ลา คาร์ท ได้เช่นกัน   Jhol พลิกโฉมเมนูใหม่ครั้งนี้ ช่างเต็มไปด้วยความอร่อยที่แปลกใหม่น่าสนใจ พาเราให้เพลิดเพลินไปกับรสชาติของบรรดาเมืองริมชายฝั่งอินเดียได้อย่างสดชื่นและสำราญใจ ใครที่ชอบอาหารอินเดียไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

Termtem Coffee × AQUA LAB คาเฟ่ไม้น้ำและตู้ปลาที่มาช่วยชุบชูจิตใจในวันที่เหนื่อยล้า ซึ่งเป็นการคอลแลปส์กันของร้าน เติมเต็ม คอฟฟี่ คาเฟ่สุดชิคย่านสาทรกับ AQUA LAB Store ผู้รับจัดตู้ไม้น้ำและตู้ปลา โดยมาในคอนเซ็ปต์ Coffee & Aquarium พาทุกคนมาดื่มด่ำกับกาแฟท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบและผ่อนคลาย จากพืชไม้น้ำและเหล่าปลาหลากชนิด ตัวร้านตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาลเข้มให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในป่า โดยจัดสรรที่นั่งไว้อย่างเป็นสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็น บาร์กาแฟที่สามารถพูดคุยกับบาริสต้าอย่างเป็นกันเอง โซนบาร์ตู้ไม้น้ำ ที่มาพร้อมปลั๊กไฟสามารถนั่งทำงานได้ยาวๆ และโซนกำแพงไม้น้ำสุดสงบ เคล้าคลอไปด้วยเสียงน้ำไหลชวนผ่อนคลาย แนะนำ Cococcino เมนูกาแฟกลิ่นหอม ที่มีส่วนผสมของ เอสเปรสโซช็อต น้ำมะพร้าวและโฟมนม ดื่มง่ายละมุนลิ้น Black Vanillime เมนูเปรี้ยวหวานและซ่านิดหน่อย จากไซรัปวานิลลาผสานกับน้ำมะนาวโซดา ท็อปด้วยชาเอิร์ลเกรย์หอมๆ กินแล้วสดชื่นผ่อนคลาย Berry Kiss Matcha มัตฉะพรีเมียมจากประเทศญี่ปุ่นผสานมากับนมสด และแยมสตรอว์เบอร์รี ปิดท้ายด้วย Carrot Cake เนื้อเค้กชุ่มฉ่ำที่อัดแน่นมาด้วยธัญพืช สลับชั้นกับครีมชีสหอมมันนัว จับคู่กับเครื่องดื่มแล้วยิ่งเพอร์เฟกต์

Grand Hyatt Erawan Bangkok โรงแรม 5 ดาวอยู่คู่ถนนราชดำริมานานกว่า 30 ปี ภายในหรูหราโอ่อ่า พื้นที่ของโรงแรมแบ่งส่วนที่พักและร้านอาหารอย่างชัดเจน มีห้องอาหารทั้งหมด 3 ห้องทั้งอาหารฝรั่งเศส อาหารอิตาเลียน และอาหารไทย ห้องอาหารฝรั่งเศส GASTON บรรยากาศอบอุ่นคล้ายร้านยุค 80 มีเวทีขนาดย่อมอยู่ด้านหน้าสำหรับวงดนตรีสด โซนบาร์และโซนนั่งกินอาหารแยกกันเป็นสัดส่วน เมนูห้ามพลาดคือ La Formule เนื้อออสเตรเลียแบล็กแองกัสริบอาย พร้อมสลัดและเฟรนช์ฟรายส์เคี้ยวเพลิน ถ้าราด Mustard Vinaigrette ด้วยจะได้รสเปรี้ยว Salvia ห้องสีเอิร์ธโทนสไตล์มินิมอล นิยมในหมู่ฟู้ดบล็อกเกอร์และคนชอบอาหารอิตาเลียน แนะนำ Burrata e pomodori สลัดชีสบูราตา เพิ่มคุณประโยชน์ด้วยมะเขือเทศเชอร์รีกรอบๆ เมล็ดสน และ Taggiasche olives ราดน้ำสลัดบัลซามิก Tortelli funghi e tatufo Cappelletti เข้มข้นด้วยครีมชีสพาร์เมซาน ท็อปหน้าด้วย fresh winter truffle ของหวานต้องทีรามิสุ ซึ่งมีส่วนผสมของชีส Mascarpone, Espresso, และ Amaretto เนื้อสัมผัสนุ่มเบา แทรกบิสกิต ladyfingers ให้เคี้ยวเล่น และขอแนะนำ Erawan Tea Room ห้องอาหารไทยที่มีทั้งอาหารคาวและอาหารหวานครบเครื่อง อาทิ เมนูซิกเนอเจอร์ข้าวผัดเอราวัณ สไตล์ข้าวผัดโบราณได้กลิ่นหอมตั้งแต่เสิร์ฟ ท็อปด้วยเนื้อปูชิ้นใหญ่จุใจ ฉู่ฉี่กุ้งย่าง ใช้กุ้งลายเสือย่างกำลังดี เนื้อสดกรอบ ราดซอสฉู่ฉี่รสเข้มข้น ช่อม่วงปูสีฟ้าอมม่วงจับจีบเป็นรูปดอกไม้ ได้รสสัมผัสเนื้อปูอัดแน่น ยิ่งโรยกระเทียมเจียวมาด้วยยิ่งอร่อยขึ้น เพิ่มความสวยงามด้วยการวางดอกกุหลาบสีแดงและดอกอัญชันสีม่วง โดยเวลาเปิด-ปิดของแต่ละห้องจะแตกต่างกัน ห้อง GASTON เปิดมื้อเย็นทุกวันอาทิตย์-จันทร์ 17.30-23.00 น, อังคาร-เสาร์ 17.30-00.00 น. ส่วนมื้อกลางวันเปิดเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ 11.30-14.30 น, ห้อง Salvia เปิด 11.30-14.30 น. และ 17.30-22.00 น. ของทุกวัน และห้อง Erawan Tea Room เปิดทุกวัน 10.00-22.00 น. หากสนใจห้องไหนสามารถจองผ่านเว็บไซต์ของโรงแรมได้ทันทีที่ www.hyatt.com/grand-hyatt/th-TH/bangh-grand-hyatt-erawan-bangkok/dining

Tag:

Maze Dining (เมซ ไดนิง) ร้านอาหารสไตล์แคชชวลติดแกลม ของดีย่านสามเสน ปรับเมนูใหม่เพิ่มเมนูบรันช์และเมนูมื้อกลางวัน รวมถึงเพิ่มเมนูไดนิงสไตล์คอมฟอร์ต อิ่มอร่อยง่ายๆ ด้วยวัตถุดิบคุณภาพดี ให้ใครที่ผ่านไปมาแวะมาลิ้มลองความอร่อยได้ตลอดทั้งวันในแบบ All Day Dining ด้วยทีมเชฟที่มีความเชี่ยวชาญระดับไฟน์ไดนิง และความตั้งใจที่จะคัดสรรทั้งวัตถุดิบคุณภาพดีเหมือนทำให้คนในครอบครัวกิน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบท้องถิ่นหรือวัตถุดิบตามฤดูกาลของไทย เมนูใหม่ของที่ร้านจึงเน้นเมนูที่ผู้คนรู้สึกคุ้นเคย แต่ยกระดับด้วยความพิถีพิถันในการปรุง การตกแต่ง และการเลือกใช้วัตถุดิบ ให้แวะมาฝากท้องได้อย่างสบายใจตั้งแต่มื้อบรันช์ มื้อกลางวัน จนถึงมื้อค่ำ เริ่มด้วยเมนูบรันช์ที่ทางร้านพร้อมให้บริการตั้งแต่ 11:00 - 15:00น. เราขอแนะนำเอ้กเบเนดิกต์ที่ไม่ธรรมดา Lobster Benedict เพิ่มความหรูหราด้วยล็อบสเตอร์และคาเวียร์ ผสานรสด้วยความนุ่มหนึบของอิงลิชมัฟฟินที่ทางร้านทำเอง เคียงมากับผักต่างๆ ได้แก่ หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศพวง และมันฝรั่งซอเต้ ส่วนสายหวานต้องลอง French Toast โทสต์บริยอชชิ้นหนากรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟกับกล้วยหอมคาราเมลไลซ์ บลูเบอร์รี และสตรอว์เบอร์รี ราดเมเปิลไซรัปหอมหวาน จับคู่กับกาแฟคราฟต์สักแก้ว เติมเอเนอร์จี้ดีๆ ได้ทั้งวัน เมนูออลเดย์จานใหม่ ห้ามพลาดซีรีส์ Rice Bowls ตอบโจทย์ใครที่อยากกินอาหารจานง่ายๆ แต่ก็ต้องอร่อย อิ่มท้อง ดีต่อใจ จานที่โดนใจเราอย่างจังต้อง Glam Glam River Prawn Rice ข้าวหน้ากุ้งแม่น้ำคัดไซส์ใหญ่ขนาด 6 ตัว 1 กิโลกรัม แกะจนเหลือแต่เนื้ออวบๆ วางมาบนข้าวญี่ปุ่นนุ่มๆ ราดซอสมันกุ้งที่เคี่ยวจนเข้มข้น พร้อมเครื่องเคียงอย่างหอมแดงซอย พริกซอย เสิร์ฟกับน้ำจิ้มซีฟู้ด และน้ำปลาพริกให้เลือกปรุงตามชอบ ตามด้วย Crispy Pork with Garlic and Chilli Rice ข้าวหน้าหมูสามชั้นคั่วพริกเกลือ ซึ่งทอดหมูด้วยกรรมวิธีพิเศษจึงได้หมูทอดที่มีความนุ่มชุ่มฉ่ำและผิวนอกไม่แข็งเกินไป ในจานนี้มีไข่ต้มให้ด้วย เมนูข้าวจะเสิร์ฟเป็นเซ็ตมากับน้ำซุปรสละมุนให้ซดเพิ่มความคล่องคอ ทางด้านเมนูไดนิงเริ่มจากของทานเล่นเบาๆ Small Toast ซึ่งมี 2 รสชาติ ได้แก่ Hotate Royale หอยเชลล์ญี่ปุ่นสดหั่นเต๋าเนื้อหวานคลุกเคล้าซอสครีมและผิวเลมอนรสเบาสดชื่น ทอปด้วยคาเวียร์เพิ่มความหรูหรา และ Spicy Salmon Nori แซลมอนสดหั่นเต๋าในซอสรสเผ็ดนิดๆ และสาหร่ายเพิ่มความอูมามิ อร่อยเต็มคำ ตามด้วยสลัดเมนูใหม่ที่เน้นความสดชื่น Maze’s Rocket Salad สลัดร็อคเกตใส่แฮมโพรชูตโต ชีสบรี พาร์มีจาโน และวอลนัตเพิ่มความมันนัว ตัดรสด้วยความเปรี้ยวของสตรอว์เบอร์รีและแอปเปิลเขียว ราดเดรสซิงบัลซามิค ด้านจานหลักแนะนำ Crispy Bacon Aglio Olio พาสตาผัดแห้งกับน้ำมันมะกอกและพริกแห้งรสเผ็ดนิดๆ ถูกปากชาวไทย ใส่เบคอนชิ้นและเบคอนกรอบให้หลายสัมผัสกินเพลิน เป็นอีกเมนูยอดนิยม ปิดท้ายด้วยเสต็กสำหรับบีฟเลิฟเวอร์ ทางร้านแนะนำ Rib Eye Steak เสต็กเนื้ออาร์เจนติเนียนส่วนริบอายที่มีเท็กซ์เจอร์เคี้ยวสู้ฟันนิดๆ และให้รสชาติและกลิ่นเข้มข้น ส่วนใครที่ชอบสัมผัสนิ่มๆ ก็มี Wagyu Tenderloin ให้เลือกเคียงมากับมันฝรั่งและผักย่าง เสิร์ฟกับเกลือ วาซาบิดอง และซอสไวน์แดง แต่หากอยากสั่งน้ำจิ้มแจ่วมาเติมความแซ่บก็บอกพนักงานได้เลย เขาไม่หวง   ใครที่ไม่กินเนื้อยังมีเมนูจานหลักอื่นๆ อาทิ Pork Chop, Lamb Chop, Duck Confit หรือเมนูปลาทั้งแซลมอนและปลากะพงให้เลือก ซึ่งล้วนแต่เลือกสรรวัตถุดิบชั้นดีไม่แพ้กัน ปิดท้ายด้วยของหวานเมนูใหม่ในซีรีย์ “พาร์เฟต์” ที่หวานเย็นและสวยงามเหมาะสำหรับลงอินสตาแกรมเป็นที่สุด ใครที่ชอบความฉ่ำของช็อกโกแลตและความลึกล้ำของคาราเมลต้องลอง Salted Caramel Parfait ส่วนสายหวานซ่อนเปรี้ยวต้อง Strawberry Pistachio Bliss Parfait มีรสหวานอมเปรี้ยวของสตรอว์เบอร์รีตัดกับครีมพิสตาชิโอที่มีความหวานมันกลมกล่อม ประดับเมอร์แรงก์สวยงาม ช่วงนี้ทางร้านได้มะยงชิดมาจากสวนที่นครนายก จึงมีของหวานพิเศษอย่าง กรานิตามะยงชิด ที่หวานเย็นสดชื่น และแพนนาคอตตามะยงชิด ที่มีรสละมุนกลมกล่อมตัดรสกับความหวานอมเปรี้ยวของมะยงชิดได้อย่างลงตัว เมนูนี้สามารถสั่งกลับบ้านได้ ทุกจานเติมความสดชื่นได้ด้วยเครื่องดื่มสูตรพิเศษ อาทิ Luv You So Much-cha ผสมผสานมัตฉะเกรดพิธีการกับโฟมนมสตรอว์เบอร์รีรสละมุน หรือม็อคเทล Blush Season มีส่วนผสมของน้ำส้ม น้ำแตงโม ชาเอิร์ลเกรย์ สตรอว์เบอร์รี และโซดา ทอปด้วยเชอร์รีเชื่อม สำหรับมื้อค่ำจับคู่ความอ่อยกับค็อกเทล The OWL ซึ่งได้ความสดชื่นจากน้ำส้ม น้ำแตงโม และลิ้นจี่ Maze Dining เมนูใหม่มีความคอมฟอร์ตขึ้นแต่ยังคงเน้นวัตถุดิบพรีเมียมและรูปลักษณ์ที่สวยงาม เพื่อตอบโจทย์มื้ออร่อยคุณภาพดีได้ในชีวิตประจำวัน ในส่วนมื้อค่ำทางร้านก็ยังให้บริการคอร์สเมนูที่ยกระดับความแกลมยิ่งขึ้นสำหรับใครที่ต้องการดื่มด่ำมื้ออร่อยในโอกาสพิเศษอีกด้วย

ย่านพระราม 9 เขามีร้านมาเปิดใหม่เพียบ แต่ที่เตะตาสายเฮลท์ตี้อย่างเราก็คือ Shakie Healthy Life Bar (เชกกี้ เฮลตี้ ไลฟ์ บาร์) จุดเช็กอินใหม่ของสายสุขภาพ เป็นร้านน้ำผลไม้ปั่นไร้น้ำแข็งในบ้านสวยบรรยากาศดี ตัวร้านต่อเติมออกมาได้อย่างน่าสนใจ แม้ว่าภายนอกจะดูกะทัดรัดไปบ้าง แต่ภายในก็จัดเป็น Open Bar เปิดโล่งให้คนรักสุขภาพมีพื้นที่สำหรับการเอนจอยกับเครื่องดื่มแก้วโปรด ส่วนเมนูก็มีตั้งแต่สมูทตีซิกเนเจอร์ไปจนถึงน้ำสกัดเย็น ซึ่งทางร้านเลือกใช้ผลไม้ของเกษตรกรไทย นำผลไม้มาแช่เย็นก่อนลงปั่นแทนการใส่น้ำแข็ง สัมผัสที่ได้จึงมีความข้นและเนียนละเอียด อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือรสชาติ ที่ร้านใช้นมโอ๊ตแทนนมวัว ไม่ใช้ไซรัปและน้ำตาล เพราะอยากให้ได้รสชาติจากผลไม้แท้ๆ   เจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่าทุกเมนูมีกิมมิกที่มีส่วนช่วยกระตุ้นภูมิในร่างกาย แนะนำ LA VELA SUNRISE เมนูซิกเนเจอร์รสเปรี้ยวอมหวาน มีวิตามินเสริมผิวพรรณ FIX YOU รสนวลๆ ดื่มง่าย เมนูที่ร้านบอกว่าช่วยผ่อนคลายจากอาการออฟฟิศ ซินโดรม และ DEEP ANDAMAN แก้วสีฟ้าสวยมีส่วนผสมของสาหร่าย Blue Spirulina ให้รสสดชื่นสร้างภูมิคุ้มกัน น้ำสกัดเย็นก็มีให้เลือกหลากรสชาติ ได้แก่ SCREWDRIVER น้ำส้มผสมแครอท ขิง และมะนาว อย่าพลาด BLUE SOUR COCO ขวดสีฟ้าที่มีน้ำมะพร้าวเป็นเบสผสานกับมะนาว สาหร่ายสไปรูลิน่าสีฟ้าและน้ำผึ้ง

สร้างความประทับใจให้แก่คนชิมไม่หยุดหย่อนจริงๆ สำหรับ “etcha” ห้องอาหารยุโรปร่วมสมัยเปิดใหม่ป้ายแดงแห่ง Chatrium Grand Bangkok ที่จะพาคุณไปดื่มด่ำมื้ออร่อยไร้พรมแดนในคอนเซ็ปต์ ‘Borderless Dining’ กับเทคนิคการทำอาหารจากยุโรปเข้ากับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมทั่วโลกของเชฟจาโคโม พริมันเต้ (Chef Giacomo Primante) เชฟใหญ่ชาวอิตาเลียนผู้นำความอร่อย ที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์จากร้านดังและโรงแรมชั้นนำแห่งประเทศฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ โดยคอร์สแรกที่เชฟจาโคโมนำเสนอคือ Etcha 360° คอร์สอาหารยุโรปสไตล์โมเดิร์น 10 จาน ที่ครีเอทจากวัตถุดิบพื้นบ้านจากทั่วทุกมุมโลก (โดยเฉพาะของดีในเมืองไทย) อาทิ ผัก-ผลไม้ ซีฟู้ดจากแดนใต้ น้ำแร่จากอุทยานไทรโยคที่กรองโดยหินปูน แพร์ริ่งกับไวน์นำเข้าชั้นดี นอกจากจะได้เปิดประสบการณ์การกินแล้วเอ๊ดช่ายังมอบไวบ์ดีๆด้วยบรรยากาศอบอุ่นเป็นส่วนตัว และอิงถึงความเป็นธรรมชาติด้วยการตกแต่งสีเอิร์ธโทน อย่าง ผ้าม่านพริ้วไหวสีเบจ เฟอร์นิเจอร์สีดินเผาและสีเขียวเข้ม แถมยังมีงานอาร์ตของศิลปินไทยมาให้เป็นอาหารตาอีกด้วย เรียกน้ำย่อยกันก่อนกับ Small Delicacies ประกอบด้วย มังคุด มังคุดสดรสเปรี้ยวอมหวาน ราดน้ำยำรสกลมกล่อม เติมความหอมด้วยกระเทียมเจียวและใบมะกรูด ต่อด้วย ทาร์ตปลาฮามาจิ ปลาฮามาจิที่เรารัก สอดไส้ซอสครีมรสหอมมัน เกี๊ยวมะลากอ มะละกอกวนเนื้อหนึบรสหวาน กินพร้อมล็อบสเตอร์เนื้อเด้งจากเกาะภูเก็ต ปลาซาดีน หัวปลาซาดีนอบกรอบ รสเค็มเล็กๆ จิบคู่ เหล้าสาโท โฮมเมดที่เชฟเลือกใช้เมล็ดคาเคาจากเมืองเชียงใหม่ สกัดออกมาเป็นเหล้ารสร้อนแรงแต่เต็มไปด้วยมิติแห่งความกลมกล่อม หลายคนชอบ กรานิต้าทับทิม กรานิต้าทับทิมสีแดงแรงฤทธิ์รสเปรี้ยวปนหวาน หอมกลิ่นใบมินต์ฟุ้ง เข้ากันดีกับปลาเต๋าเต้ยจากทะเลไทยดรายเอจ 2 วัน จนได้เนื้อที่นุ่มเด้งและรสชาติเข้มข้น พาสต้าปลาหมึก เปลี่ยนจากเส้นพาสต้าเหนียวนุ่ม มาเป็นปลาหมึกเนื้อสดจากเกาะภูเก็ต ราดซอสเพสโต้รสนุ่มนวลที่ทำจากใบกะเพราของเมืองไทยและใบเบซิลอิตาเลียน ผสมกับคาเวียร์เลอค่าจากทะเลสาบแคสเบียน   ซีฟู้ดเลิฟเวอร์ถูกใจ ล็อบสเตอร์ซอสและซอสแกงกะหรี่ ล็อบสเตอร์จากเกาะภูเก็ต ย่างเตาถ่านหอมๆ จนได้เนื้อเด้งชุ่มฉ่ำ กินกับซอสแกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่นรสกลมกล่อม เสิร์ฟคู่ซุปล็อบสเตอร์ ที่ทำจากกระดูกล็อบสเตอร์ผสานกับแตงกวาเย็นๆ ชื่นใจ แปลกใหม่ไม่เหมือนใครขอยกให้ ทาร์ตมะม่วงถั่วลันเตา ถั่วลันเตาหวานกินเพลิน ล้อมรอบด้วยมะม่วงสุกสายพันธุ์น้ำดอกไม้ ตัดด้วยรสเปรี้ยวละมุนของโฟมแอปเปิ้ล จานต่อไปคือ ราวิโอลี่ดอกไม้ ราวิโอลี่โฮมเมดรูปดอกไม้คิวต์ๆ ภายในสอดไส้ชีสหอมมันจากเมืองเชียงใหม่ เข้ากันดีกับซอสต้มข่าไก่รสเผ็ดและเปรี้ยวพอเหมาะ ยังมี ปลาอังโกะและดอกซูกินี ปลาอังโกะเนื้อแน่นจากท้องทะเลลึกแห่งประเทศญี่ปุ่น เสิร์ฟพร้อมดอกซูกินีสอดไส้ปลาอังโกะเนื้อหวานอีกที เข้ากันกับซอสเสาวรสรสเปรี้ยวสดชื่น เสริมความกลมกล่อมด้วยมูสกาแฟเนื้อปุกปุยละมุน เข้าคู่ ขนมปังบริยอชโฮมเมด เนื้อนิ่มฟู จิ้มเนยมัตฉะ ที่ทำจากนมวัวฟาร์มคุณภาพของจังหวัดราชบุรี หรือจะเป็น ครีมชีสสูตรเฉพาะ ที่เชฟเสิร์ฟมาพร้อมน้ำมันมะกอกชั้นดีกับน้ำส้มสายชูสไตล์อิตาเลียน สเต็กเป็ด เป็ดเนื้อแน่นจากเขาใหญ่ หนังเกรียมๆ เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ กินคู่แครอต ซอสมันหวาน และซอสไวน์แดงรสเลิศ ก่อนไปพบกับขบวนขนมหวานแสนอร่อยอย่าง ไอศกรีมมะม่วงหาว มะนาวโห่ รสเปรี้ยวละมุน กินคู่มูสมะพร้ามเนื้อนุ่มรสหอมมัน มูสดอกบัว มูสวานิลลาเนื้อนิ่ม หอมกลิ่นดอกบัวอ่อนๆ ไปด้วยกันได้ดีกับมูสช็อกโกแลตรสเข้มข้น ไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด และคริสปี้กรุบกรอบ เติมความฟินด้วยซอสวานิลลาอีกที ปิดท้ายกันแบบจัดเต็ม (เอาใจสายหวาน) ด้วย คัสตาร์ดฟักทอง ตัวทาร์ตฐานล่างทำมาจากงาดำหอมมัน สอดไส้เยลลี่มะตูม มูสไวท์ช็อกโกแลต และมังคุด ท็อปด้วยฟักทองเชื่อมแกะสลัก อร่อยอย่าบอกใคร บีตรูต รสหวานนี้เป็นการรวมตัวกันของบีตรูต มูสโยเกิร์ต ลูกพลับ และคาเวียร์ N25 Oscietra ยังมี บาบา ขนมฝรั่งเศสที่มีมากว่าร้อยปีผิวกรอบนอกนุ่มใน สอดสั้งมูสลำไย แก้วมังกรและลูกหยี เติมความร้อนแรงด้วยเหล้ารัม ก่อนส่งท้ายด้วย กานาชช็อกโกแลตนม ได้รสหวานหอมของมิลก์ช็อกโกแลต ตัดกับรสเปรี้ยวสดชื่นของซอสส้ม พริกไทย และเหล้าฝรั่งเศส (Grand Marnier) ไวต์ช็อกโกแลตมะกรูด รสหวานละมุนของไวต์ช็อกโกแลต มิ๊กซ์กับกลิ่นหอมฟุ้งของใบมะกรูดและซิตรัส อร่อยกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

Tag:

ชวนไปจิบชารสละมุน กินขนมญี่ปุ่นโบราณ ในบ้านหลังใหม่ของ 'Homu Cafe' คาเฟ่มัตฉะชื่อดังย่านเจริญนคร ที่ตอนนี้ได้ย้ายโลเคชั่นใหม่ มาปักหมุดอยู่ใจกลางเมืองบนถนนสาทร ในบรรยากาศที่อบอุ่นคงเดิมกับสไตล์ร้านที่ดูโมเดิร์นมากขึ้น โฮมุยังเลือกนำจุดเด่นดั้งเดิมของร้านเก่ามาอยู่ในพื้นที่ใหม่บางส่วน เช่น การเลือกใช้โทนสีน้ำตาลและครีมจากเฟอร์นิเจอร์ไม้ รวมถึงการปูผนังอิฐบนชั้น 2 ที่เมื่อตกแต่งเพิ่มเติมด้วยกระจก ยิ่งทำให้ภายในโปร่งโล่งนั่งสบายมากขึ้น แวะมาจิบชานั่งชิลก็เพลินๆ ได้ทุกวัน แนะนำ Coconut Matcha Cloud (160.-) มัตฉะมะพร้าวหอมนวล ทางร้านใช้เป็นมะพร้าวน้ำหอมที่ออนท็อปมาด้วยโฮมุมัตฉะเบลนด์ ดื่มแล้วสดชื่น ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป แก้วต่อไป Kinako Milk (100.-) ใครที่ไม่ใช่สายมัตฉะต้องลองเมนูที่มีความละมุนละไมจากนมสดได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของผงคินาโกะ แก้วนี้ไม่หวานกินได้เรื่อยๆ สำหรับเมนูขนมห้ามพลาด Warabi Mochi (170.-) วาราบิโมจิกวนสด เนื้อสัมผัสนุ่มแต่หนึบหนับคลุกกับผงคินาโกะมาแบบไม่หวง ราดด้วยซอสน้ำเชื่อมญี่ปุ่น หรือจะเลือกเป็น Dango (120.-) ที่มีให้เลือกทั้งรสออริจินอลและมัตฉะ ทางร้านต้มให้สดใหม่ เนื้อสัมผัสเด้งหนึบ ได้รสชาติของมัตฉะเข้มข้นเต็มปาก

เมื่อกระแสของร้าน All day dining ยังไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลง เราก็ขอเติมลิสต์ร้านใหม่ในดวงใจอย่าง Holy Belly (โฮลี เบลลี) ให้กับสาวกคอมฟอร์ตฟู้ดได้ตามไปลองชิมกัน ทางร้านนำเสนอเมนูคุ้นเคยหลากหลายเชื้อชาติในคอนเซ็ปต์ All-Day Roast หยิบเอาความอบอุ่นของรสชาติอาหารโฮมเมดแบบดั้งเดิมทั่วโลกมาปรุงด้วยเทคนิกสมัยใหม่ ซึ่งมีไฮไลต์เป็นเมนูย่างที่ผ่านการดูแลโดยเชฟ Jeriko Van Der Wolf เชฟใหญ่ประจำร้าน BIANCA Bangkok ในเครือเดียวกันนั่นเอง บรรยากาศภายในร้านมาพร้อมความอบอุ่นสดใสด้วยโทนสีส้มแดงและเฟอร์นิเจอร์ไม้ ที่ตกแต่งด้วยต้นไม้ประดับสีเขียวเสริมความสดชื่น เมนูแนะนำ Creamy Lobster Bisque ซุปล็อปสเตอร์รสครีมมีจากน้ำสต็อกสุดเข้มข้นที่เคี่ยวจนนัวและกลมกล่อม  Tuna Tarta & Avocado เนื้อทูน่าดิบหั่นเต๋าเสิร์ฟมาบนอะโวคาโดบด กินพร้อมซอสเสาวรสเลมอนและแตงกวาสไลซ์ ยกให้เป็นจานที่เรียกความเฟรชได้ดี Holy Triffle Pasta พาสต้าเส้นสดเหนียวนุ่มคลุกเคล้ามากับซอสครีมทรัฟเฟิล ออนท็อปด้วยชีสและไข่แดงเยิ้มๆ หอมละมุนอบอวลอยู่ในปาก Holy Whole Roasted Chicken ไก่หมักสูตรพิเศษของทางร้านที่ผ่านการย่างด้วยกรรมวิธีเฉพาะกว่า 24 ชั่วโมง สัมผัสนุ่มและแน่น กินพร้อมมันย่างและซอสเกรวี ของหวานต้องยกให้  Sticky Date Pudding เค้กอินทผาลัมหอมหวานฉ่ำมากับซอสคาราเมล ที่เมื่อกินกับไอศกรีมโยเกิร์ตแล้วเข้ากันอย่างลงตัว หรือจะเลือกเป็น Thai Tea Tiramisu ตัวดังสูตรเดียวกับร้าน BIANCA ก็ไม่ผิดหวัง

Tag:

LAWOI' - ละโวยจ โปรเจ็กต์ที่เกิดจากความรักในการกินอาหารทะเลของเชฟต้นและภรรยา สู่ร้านอาหารทะเลแบบแคชชวลไดนิง เสิร์ฟเมนูซีฟู้ดในสไตล์อิซากายะที่สามารถแพริงคู่กับสาเกพรีเมียมได้อย่างเข้ากัน ซึ่งแต่ละเมนูทางร้านเน้นใช้วัตถุดิบจากท้องทะเลไทย ตั้งใจเสาะแสวงหาตามท้องถิ่นต่างๆ จนได้วัตถุดิบที่สดใหม่จากชาวประมงโดยตรง ก่อนนำมารังสรรค์จานเด็ดด้วยเทคนิคสมัยใหม่แต่ก็ยังคงรสชาติที่แท้จริงจากทะเลไทยเอาไว้ได้อย่างน่าประทับใจ ส่วนร้านใหม่นี้ถ้าจะให้เข้าทีก็ต้องดีไซน์ออกมาให้เหมือนนั่งกินอยู่ในทะเล และใช่! เพราะภายในร้านได้ทำการตกแต่งทุกตารางนิ้วให้กลายเป็นบ้านชาวประมงที่ผสมผสานความโมเดิร์นเอาไว้ในทุกจุด มีการคุมมู้ดแอนด์โทนด้วยแสงไฟสลัวเหมือนนั่งกินข้าวริมทะเลยามค่ำคืน มีเพียงแสงสว่างกลางโต๊ะที่เป็นตัวแทนของแสงจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำ มีแหจับปลาวางไว้ตามโต๊ะและที่รองจาน รวมถึงเกลียวคลื่นที่ประดับไว้ตามมุมต่างๆ มาถึงไฮไลต์ของมื้อค่ำ ในแต่ละวันจะไม่มีเมนูหรือการขึ้นกระดานและการอัปเดตเมนูผ่านทางเพจ เพราะทางร้านจะเสิร์ฟปลาประจำวันเท่านั้นเพื่อความสดใหม่ แต่ก็มีบางเมนูที่เชฟจะนำปลาไปดรายเอจก่อนเพื่อเพิ่มรสชาติเข้มข้นให้กับเนื้อปลา แนะนำ ปลาช่อนทะเลย่างชิ้นใหญ่ เนื้อแน่นไม่มีกลิ่นคาว เสิร์ฟกับ ยำใบชา ให้รสเค็มเปรี้ยว อร่อย ต่อด้วย คลีบปลาทอดเหลืองกรอบเพิ่มรสชาติด้วยซอสลาบเหนือ และสมุนไพรนานาชนิด หรือจะเป็น พาสต้าผัดกับหอยลายคลุกเคล้าซอสพาร์สลีย์ ให้รสเปรี้ยวสดชื่นด้วยเลม่อนเผา กินกับมะเขือเทศเข้ากันมาก และ ปลาโอหรือทูน่าเวลลิงตันพันกับเห็ดดุ๊กเซลล์และแป้ง ได้กลิ่นหอมของพริกไทยดำ เพิ่มมิติให้รสชาติด้วยซอสส้ม อร่อยจนวางช้อนไม่ลง

ภายในซอยสมคิดย่านชิดลม ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในโอเอซิสใจกลางกรุงฯ มีร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์รัสติกเปิดใหม่ชื่อ “Tabula Rasa Italian Restaurant” คำว่า Tabula Rasa (ทาบูล่า ราซ่า) ในภาษาละตินหมายถึง ‘หินอ่อนขัดใหม่’ ปรัชญาคมๆ ของร้านที่อยากทดลองสร้างสรรค์เมนู และค่อยๆ ขัดเกลาจนเกิดเป็นจานอร่อยเปี่ยมคุณภาพ เสมือนกับหินอ่อนที่แข็งแกร่งและเล่อค่านั่นเอง  เชฟใหญ่ประจำร้านคือ เชฟปลื้ม เชฟหนุ่มไฟแรงฝีมือดีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเชฟชาลี กาเดอร์ มานำทีมความอร่อยในแบบฉบับอิตาเลียนสไตล์โฮมคุกที่สอดแทรกวัตถุดิบท้องถิ่นของดีของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นซีฟู้ดและพืชผักผลไม้นานาชนิด เสิร์ฟมาในไซส์ซิ่งที่จุใจเรียกได้ว่าคุ้มค่าแก่การลิ้มลอง นอกจากนี้ยังให้ไวบ์ดีๆ ด้วยบรรยากาศโล่งกว้าง อบอุ่นแต่ไม่ทิ้งความหรูหราเหมาะกับการฉลองโอกาสพิเศษ ด้วยการตกแต่งที่เน้นใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีดำตาลเข้มสลับกับสีฟ้าครามสบายตา และสีเขียวมะกอกตัวแทนแห่งสีของธรรมชาติ เพลิดเพลินกับครัวเปิดที่มองเห็นทีมเชฟทำงานอย่างขะมักเขม้น หรือใครชอบวิวสวนร่มรื่นที่ร้านก็มีแอเรียร้านนอก แถมยังมีสระว่ายน้ำเย็นฉ่ำระบบน้ำเกลือที่สามารถลงเล่น ปาร์ตี้ริมสระแบบฉ่ำๆ ได้อีกด้วย ต้อนรับด้วย Duck Prosciutto แซนด์วิชหน้าเปิดที่ใช้ตัวขนมปังซาวโดวจ์โฮมเมดเนื้อเหนียวนุ่ม สเปรดด้วยชีสแพะวิปครีมหอมมัน และแฮมเนื้อเป็ดรสเค็มกลมกล่อม ตัดด้วยความหวานจากเชอร์รี่เชื่อม ต่อกับเมนูขายดี Burrata Con Nduja ชีสบูราต้าโฮมเมดลูกอ้วนกลม ถูกใจเด็กอ้วนเป็นที่สุด ล้อมรอบด้วยซอสมะเขือเทศรสเปรี้ยวละมุน ผสมกับรสเค็มได้ของปลาแองโชวี่ เสิร์ฟคู่แฟรตแบรดกรอบนอกนุ่มในร้อนๆ ที่ส่งตรงมาจากเตาฝืน เมนูแสนรักของสายสุขภาพต้องนี่ Endive Salad ผักกรุบกรอบและผลไม้นานาพันธุ์ อย่าง อองดีฟ ผักโขม ทับทิม คลุกเคล้ากับชีสริคอตต้าที่เชฟสโมกกับผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ราดด้วยน้ำสลัดสูตรเฉพาะที่ได้รสหวานฉ่ำจากมะม่วง เสริมความเคี้ยวเพลินอีกนิดด้วยเมล็ดสน หลายคนกดไลค์ Melon and Coppa เมลอนดองเลมอนรสเปรี้ยวอมหวาน เข้ากันดีกับสเปรดชีสมาสคาโปน พาร์มาแฮม และน้ำส้มสายชูอิตาเลียนที่ทำเป็นรูปทรงคาเวีย อีกหนึ่งจานเด็ดที่ห้ามพลาด Fish Crudo ปลาช่อนทะเลจากชาวประมงพื้นบ้านเนื้อสดหวาน ราดด้วยรสเปรี้ยวจากเดรสซิ่งซิตรัส เพิ่มความหอมมันด้วยมูสอะโวคาโดและน้ำมันมะกอกอย่างดี Crab Pasta ก็เด็ดดวง สปาเก็ตตี้สี่เหลี่ยมนวดมือเหนียวนุ่ม ผัดพร้อมซอสเอ็กซ์โอสูตรเด็ดรสเผ็ดร้อนแรง แถมยังได้รสเปรี้ยวละมุนจากมะเขือเทศ ก่อนโรยด้วยใบเบซิล ปิดท้ายด้วยของหวานสุดเลิฟอย่าง Mille-feuille ที่เปลี่ยนจากแป้งเพสทรีมาเป็นแครกเกอร์ฮาเซลนัตรสหวานกรอบ สลับชั้นกับครีมสดหวานมัน และเชอร์รี่ดองชุ่มฉ่ำ เป็นการปิดจบที่สมบูรณ์แบบ

เป็นอีกหนึ่งร้านในปี 2025 ที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากกับร้าน I-Sang (อิ-ซัง) ร้านอาหารเกาหลีโมเดิร์นจากเชฟ Steve Sanggun Lee เชฟเกาหลีที่เคยทำร้าน Hansik Goo เปิดเป็นร้านไฟน์ไดนิงเกาหลีมิชลิน 1 ดาวที่ประเทศฮ่องกง ซึ่งเป็นร้านในเครือเดียวกับร้าน Migles มิชลิน 3 ดาว ในปี 2025 ของเชฟ Chef Kang Min-goo ที่ประเทศเกาหลี อีกทั้งเชฟลียังได้รับเลือกเป็นเจ้าของรางวัล Michelin Young Chef ปี 2023 อีกด้วย บรรยากาศภายในร้านเป็นโทนสีครีมดูสบายตา ตกแต่งแบบเรียบง่ายสไตล์มินิมอลให้ความรู้สึกที่เรียบหรู โดยใช้สถาปนิกคนเกาหลีเป็นคนออกแบบ เมื่อเดินเข้าไปในร้านจะพบกับครัวเปิดที่เราสามารถมองเป็นเชฟลีกำลังทำอาหารแบบจดจ่อ ผ่านรอยยิ้มที่คอยต้อนรับลูกค้า สำหรับเมนูเริ่มด้วย ซุปไก่โสมเกาหลี (Samgye Tang) เชฟนำไก่ไปต้มกับโสมและวัตถุดิบที่ส่งตรงมจากเกาหลี จนได้ซุปไก่ที่รสชาติเข้มข้น ทาร์ตผักด้านล่างเป็นฮอร์สแรดิช ท็อปด้วยไก่หยอง, ปลากระมงพร้าวดิบ (HWEH) ห่อด้วยใบฉะพลู ท็อปด้วยเม็ดพริกไทยเสฉวน ให้ความสดชื่น, ทาร์ทาร์เนื้อออสเตเรียเสียบไม้เสิร์ฟมาพร้อมกับพริกชิชิโตะ ท็อปด้วยไข่แดงเค็ม และจินปัง ด้านในเป็นไส้ขนุน ห่อด้วยแป้ง สัมผัสคล้ายซาลาเปา ต่อด้วย Muk เส้นทำจากถั่วเขียวเนื้อเด้งและหนึบ ด้านล่างเป็นผักที่เชฟบรรจงหั่นได้อย่างเท่ากันมี แตงกวา ลูกแพร และเนื้อมะเขือเทศอบแห้ง ทำให้เมื่อกินจานนี้แล้วรู้สึกสดชื่น เข้ากันได้ดีกับซอสโคชูจังรสเข้มข้น สำหรับไฮไลต์คอร์ส Perilla Oil Guksu เส้นบะหมี่ทำจากมูสกุ้งมีกลิ่นหอมมาก ด้านบนเป็นซูกีนีเกาหลีขูดเส้น จานนี้พระเอกคือ “งาขี้ม่อน” ทำให้หอมกลิ่นเมล็ดงาขี้ม่อนคั่ว กลิ่นน้ำมันงาขี้ม่อน กินคู่กับซอสงาขี้ม่อนรสนวลหอมกลิ่นซอสถั่วเหลืองเบาๆ เป็นการใช้งาขี้ม่อนที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก The Birth ในธรรมเนียมเกาหลีนิยมเสิร์ฟซุปสาหร่ายในวันเกิด คอร์สนี้เชฟลีเสิร์ฟปลาเก๋านึ่ง ข้าวเหนียวทอดกรอบนอกหนึบใน และหัวไชเท้าดองสลับกับสาหร่ายแล้วนำไปทอด ราดด้วยซุปสาหร่ายผสมสต็อกปลา เข้าสู่จานหลักที่เสิร์ฟแบบแชร์ริง The Fest คอหมูซูวีดย่างกับซอสซัมจัง และหมูสามชั้นหมักถั่วเหลืองเผ็ด มากินกับเครื่องเคียง สลัดกิมจิสด มะละกอดอง ใบบัวบกคลุกน้ำมันงา เสิร์ฟพร้อมกับข้าวสายพันธุ์เกาหลีที่ปลูกในเชียงราย ปิดท้ายมื้อนี้ด้วยขนมหวาน Ginger & Honeycomb พานาคอตตาน้ำผึ้ง ท็อปด้วยไอศกรีมขิงคาลาเมล ราดซอสลูกแพร และ Dagwa ชีสเค้กที่มีส่วนผสมเต้าเจี้ยวหมักและคาราเมลพริก เสิร์ฟพร้อมกับชาดอกดาหลาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน ทุกจานปรุงรสชาติเกาหลีที่คนไทยคุ้นเคย ผ่านการนำเสนอและใช้เทคนิคในแบบโมเดิร์น

ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นร้านอร่อยมีเมนูปูทาราบะเสิร์ฟตลอดปี แต่เพราะนี่คือ Tsubohachi Thailand ร้านอิซากายะนัมเบอร์วันของเกาะฮอกไกโด ที่เสิร์ฟความอร่อยมาแล้วกว่า 52 ปี (ในเมืองไทย 12 ปี) ด้วยจานอร่อยกว่า 200 เมนู โดนใจสายฟู้ดขี้เบื่อได้เป็นอย่างดี ซึ่งครั้งนี้พิเศษเพราะเขามากับ Tarabagani Festival เทศกาลปูทาราบะที่ให้คุณดื่มด่ำกับ 12 เมนูปูทาราบะสดเด้งจากเกาะฮอกไกโด บอกเลยว่าคนรักซีฟู้ดพลาดไม่ได้ มาเริ่มกันเลยดีกว่า เมนูแรกเป็น Gokai!! Mushi Tarabagani ขาปูทาระบะอวบๆ เนื้อแน่นหวาน นึ่งอย่างเร็ว (5 นาที) เพื่อให้เนื้อคงความชุ่มฉ่ำ ก่อนกินบีบมะนาวซีกเล็กน้อย หรือจะจับคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บก็ฟินไม่แพ้กัน เอาใจคนรักชาบูด้วย Tarabagani Shabu Shabu ชาบูปูทาราบะแบบจัดเต็ม ที่ให้คุณเพลิดเพลินกับเนื้อกล้ามปูทาราบะที่เรารัก น้ำซุปสูตรพิเศษรสกลมกล่อม และเซ็ตผักสดต่างๆ เติมความเผ็ดร้อนและหอมฟุ้งด้วยพริกไทยขาว และน้ำจิ้ม 3 สไตล์ ได้แก่ พอนซึ รสเปรี้ยว ซอสงาหอมมัน และวาซาบิสดรสเผ็ดได้ที่ ตามมาติดๆ กับ Tarabagani & Ebi Tempura Moriawase เซ็ตของทอดกรอบนอกนุ่มในถูกใจเด็กอ้วนเป็นที่สุด ประกอบด้วยเนื้อปูทาราบะทอดอย่างดีสีเหลือทอง และกุ้งลายเสือตัวใหญ่เนื้อหวาน จิ้มกับซอสเมนซึยุยิ่งเข้ากัน หลายคนชอบ Tarabagani & Kanimiso Donabe Gohan ข้าวอบหม้อดินหอมกรุ่นที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อปูทาราบะ คานิมิโสะ ไข่ปลาแซลมอน และข้าวญี่ปุ่นสายพันธุ์ดี หุงด้วยน้ำสต็อกรสหวานละมุน ก่อนกินให้สาหร่ายหั่นฝอย มิสึนะ และซอสเนงิ หรือใครสั่งลองราดน้ำจิ้มซีฟู้ดลงไปก็อร่อยไม่แพ้กัน ป.ล เมนูนี้ควรสั่งล่วงหน้าเพราะใช้เวลาอบ 1 ชั่วโมง ปิดท้ายด้วย Tarabagani & Zuwaigani Sushi Moriawase เซ็ตซูชิดชุดใหญ่จัดเต็มที่ให้คุณเอ็นจอยกับซูชิหน้าปูทาราบะ และซูชิปูซูไว จับคู่ไข่ปลาแซลมอน สาหร่าย ก่อนราดด้วยมันปูรสเข้มข้น อร่อยแบบนี้สิถึงโดนใจสายฟู้ด

แรกเริ่มเปิดตัวมาก็กลายเป็นหนึ่งในร้านโปรดของสายฟู้ดไปเสียแล้วสำหรับ ตั๋นโบข้าวมันไก่ ร้านข้าวมันไก่เปิดใหม่ป้ายแดงของคุณป่าน ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการอยากทำเมนูโปรดของแฟนอย่าง ‘ข้าวมันไก่’ ให้คนที่รักลิ้มลอง เริ่มจากการลงเรียนคอร์สต่างๆ บวกกับเคล็ดลับที่อาม่าให้เล็กๆ น้อย ใช้เวลาทดลองสูตรกว่า 4 เดือนจนมั่นใจในรสชาติก่อนตัดสินใจเปิดร้านในที่สุด จุดเด่นของตั๋นโบข้าวมันไก่คือ ทางร้านจะใช้ไก่จากฟาร์มไก่อารมณ์ดีนำไปดองเกลือและต้มในอุณหภูมิพอเหมาะจนได้เนื้อที่เด้งนุ่มฉ่ำ เนื้อที่เสิร์ฟจะใช้เฉพาะส่วนสะโพกและส่วนน่อง เพราะเป็นส่วนที่นักกินหลายคนโปรดปราณ เสิร์ฟคู่กับข้าวมันสูตรเด็ดสีน้ำตาลที่เกิดการข้าวหอมมะลิกลางปีผัดพร้อมสมุนไพร 7 ชนิด จนได้กลิ่นหอมฟุ้ง นอกจากนี้ยังมีน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวที่ใช้ความเปรี้ยวจากน้ำมะขามเปียกแทนมะนาว แถมให้คุณได้ฟินได้ในราคาที่น่ารัก (เริ่มต้นเพียง 60 บาทเท่านั้น) จานแรกต้องนี่ ข้าวมันไก่สิงค์โปร์ ให้คุณอิ่มอร่อยกับเนื้อไก่ส่วนน้องเด้งฉ่ำ มาพร้อมกับตับครีมมี ราดด้วยน้ำต้มไก่หอมกลิ่นน้ำมันงา ข้าวมันผัดสมุนไพรกว่า 6 ชนิด กินคู่กับน้ำจิ้มต้นหอมขิง กับพริกเหลิงขิง รสเผ็ดกำลังดี หลายคนชอบ ข้าวมันไก่ต้ม ไก่ต้มส่วนสะโพกและน่องเนื้อเด้งที่เรารัก เสิร์ฟเคียงข้าวมันสีน้ำตาลที่ได้จากสมุนไพร น้ำซุปรสนุ่มนวล กินกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวสูตรเด็ดที่เจ้าของร้านใช้น้ำมะขามเปียกแทนน้ำส้มสายชู รสเปรี้ยวกลมกล่อม ข้าวมันไก่ทอด เนื้อไก่ส่วนสะโพกชุบแป้งบางๆ ทอดร้อนจี๋จนได้เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน เข้าคู่น้ำจิ้มไก่รสหวานที่เราคุ้นใคร แล้วตัดเลี่ยนด้วยการซดน้ำซุปฟักแฟงร้อนๆ รสเค็มละมุน ห้ามพลาดกับ ตับต้ม จานอร่อยที่โด่งดังในโลกโซเชี่ยล ด้วยความนุ่มของตับไก้ชิ้นใหญ่ๆ บวกกับรสหอมมันยิ่งกินคู่น้ำจิ้มเต้าเจี้ยวรสเค็มเผ็ดยิ่งเข้ากัน ปิดท้าย ข้อไก่ต้ม ที่ทั้งนิ่มเด้ง และมีความกรุบในตัว กินกี่คำก็เพลิน ถือว่าเป็นหนึ่งในร้านอร่อยย่านสุทธิสารก็ย่อมได้

Tag: