Brioche from heaven บ้านอิฐสีแดงข้างบันไดรถไฟฟ้าช่องนนทรีประตูทางออกหมายเลข 4 นี้เองที่ทำให้ย่านสาทรดูจะคึกคักเป็นพิเศษ ร้านขนมปังออริจินัลจากแคว้นนอร์มังดีแห่งนี้เกิดจากความตั้งใจของ เชฟไก่ ธนัญญา ไข่แก้ว เชฟกระทะเหล็กอาหารหวาน ที่อยากให้ลูกค้ามีความสุขจากสิ่งที่เสิร์ฟ โดยเลือกใช้แต่วัตถุดิบชั้นเยี่ยม อาทิ แป้ง กาแฟ นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส เนยผลิตจากแคว้นนอร์มังดี ที่ใช้เสิร์ฟในราชสำนัก เพื่อเก็บรสชาติขนมต้นตำรับไว้ไม่ให้เลือนหาย         ภายในร้านตกแต่งด้วยก้อนอิฐสีแดง และท่อนไม้ฟืน ให้กลิ่นอายราวกับคาเฟ่สมัยก่อนในฝรั่งเศสอย่างไรอย่างนั้น  มีขนมปังอบสดจากเตาเรียงรายไว้เป็นระเบียบ เพียงก้าวแรกที่เข้ามาจะได้กลิ่นขนมปังอบสดใหม่ หอมกรุ่นชวนให้ท้องร้อง ชวนอยากลิ้มลองสักคำ           เริ่มต้นที่ซิกเนเจอร์ Brioche from heaven เมนูดาวเด่น บริยอชเนื้อนุ่มชุ่มเนย เพิ่มรสชาติหอมหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำตาลทรายแดง และซินนามอน บวกกับความกรุบกรอบของพีแคน และความหวานจากคาราเมล เป็นรสชาติที่ฟินไม่รู้ลืม         ไอศกรีมเลิฟเวอร์ต้องลอง Affogato from heaven เมนูฮอตฮิตซิกเนเจอร์อีกหนึ่งเมนู ไอศกรีมแมคคาเดเมีย ท็อปด้วยแมคคาเดเมียเคลือบคาราเมล ยิ่งเคี้ยวยิ่งเพลิน กินคู่กับขนมปังเลดี้ฟิงเกอร์ให้ความกรุบกรอบ และกาแฟเอสเพรสโซร้อน เวลากินให้ราดกาแฟลงบนไอศกรีม รสเข้มตัดหวาน หอมกรุ่นละมุนอยู่ในปาก ลงตัวทุกสัมผัส     Strawberry milkshake สตรอว์เบอร์รีสด ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี นมสด และน้ำเชื่อมเล็กน้อย ปั่นรวมกันจนเป็นเนื้อนวลเนียน ท็อปด้วยวิปครีมนุ่มละมุนลิ้น ได้มิลค์เชครสเปรี้ยวหวาน เข้มข้น สดชื่นถูกใจสายหวาน บอกเลยแก้วนี้อร่อยหมดจนหยดสุดท้าย    

“เดอะ บราซเซอรี” ห้องอาหารหลักประจำโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok ตั้งอยู่บนถนนราชดำริ เสิร์ฟอาหารสไตล์ฝรั่งเศสต้นตำรับ เน้นการใช้วัตถุดิบคุณภาพดีเยี่ยมของท้องถิ่นมาผสมผสานกับเทคนิคการปรุงอาหารแบบดั้งเดิม กลายเป็นรสชาติอาหารสุดอร่อยที่ใครได้มากินแล้วประทับใจไปตามๆ กัน     ถึงแม้จะเป็นห้องอาหารภายในโรงแรม แต่การตกแต่งสวยงามก็ไม่แพ้ใคร ซึ่งที่นี้ได้รับการออกแบบโดยมัณฑนากรชื่อดังชาวฮ่องกง คุณอังเดร ฟู ด้วยการออกแบบให้ห้องอาหารมีทางเข้าสองด้านมาบรรจบกันเป็นวงกลม ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบผ่านผนังกระจก ทางเข้าด้านขวามีอุโมงค์สูงกว่า 4 เมตรประดับด้วยหินอ่อนเชื่อมทั้งสองด้านเข้าหากัน ซึ่งอุโมงค์หินอ่อนนี้มีความคล้ายกับพื้นที่บางส่วนของโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย นิวยอร์ก สาขาแรกแรกในโลกที่เป็นต้นแบบของแบรนด์อีกด้วย       บริเวณด้านหน้าเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่นหรูหราสไตล์ฝรั่งเศส ตกแต่งด้วยกระจก หินอ่อน โดดเด่นด้วยเคาน์เตอร์บาร์สีควันบุหรี่ตัดขอบทองเหลือง ส่วนภายในห้องอาหารถูกตกแต่งด้วยหินอ่อนเช่นกัน ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบายตา โต๊ะอาหารไม้สีเข้มเข้ากันได้ดีกับเก้าอี้ และโซฟาหนัง พร้อมครัวเคาน์เตอร์บาร์แบบเปิด ให้เราได้เห็นเชฟรังสรรค์อาหารในมุมต่างๆ อีกด้วย         ห้องอาหาร “เดอะ บราซเซอรี” อยู่ภายใต้การดูแลของ เชฟ ชลิต กอบัวแก้ว หรือเชฟท๊อดดี้ เชฟมากประสบการณ์ผู้เคยมีโอกาสร่วมงานกับเชฟชื่อดังจากทั่วโลกมาแล้วมากมาย เราเริ่มต้นมื้อนี้ด้วยเมนูเรียกน้ำย่อย Baked Camembert ขนมปังกริลล์จนกรอบกำลังดี กินคู่กับชีส ตัดรสชาติด้วยแยมและน้ำผึ้งหอมๆ     ต่อกันด้วยเมนูไซส์ใหญ่ที่สามารถกินได้ทั้งครอบครัวอย่าง Seafood Plateau อาหารทะเลสดๆ เสิร์ฟแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น หอยเชลล์ฮอกไกโด, หอยนางรม, กุ้งแม่น้ำ,  เนื้อปูอลาสก้า, ล้อบสเตอร์, ปลาหมึกยักษ์ และแซลมอน ทาร์ทาร์ เคียงคู่มากับน้ำจิ้ม 3 แบบ อาหารทะเลสด รสหวาน ทานแล้วสดชื่น       เข้าสู่เมนคอร์สสไตล์ฝรั่งเศสจานแรกด้วย Seared Foie Gras ฟัวกราส์ย่างมานุ่มกำลังดี เสิร์ฟพร้อมแอปเปิ้ลบด และซอสบัลซามิคหอมกลิ่นองุ่น ตามมาด้วย Pan-seared Halibut Provençale ปลาฮาลิบัตรเนื้อเนียน นำไปเซียจนได้ที่ เคียงคู่มากับกราแตงมันฝรั่งอบด้วยชีสเนื้อเนียน กินกับซอสสูตรพิเศษของทางร้าน        ปิดท้ายของคาวด้วย Grilled Australian Rack of Lamb แกะเนื้อนุ่มชิ้นใหญ่ เสิร์ฟมาบนกะหล่ำปลีแดง ทานคู่กับแบล็คการ์ลิคและซอสบัลซามิค ชูรสชาติเนื้อแกะให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น     นอกจากจะโดดเด่นเรื่องอาหารแล้ว ที่นี่ยังมีบาร์เล็กๆ ไว้สำหรับสั่งดริงค์มาดื่มแบบเก๋ๆ เริ่มจาก Homemade Lemonade น้ำมะนาวรสชาติเข้มข้น คั้นแบบสดๆ ทานแล้วสดชื่น และ Pickwick club น้ำเสาวรสรสชาติจี๊ดจ๊าด หอมกลิ่นสมุนไพร ปิดท้ายมื้ออร่อยสุดประทับใจได้อย่างลงตัว        

เยาวราช แหล่งของอร่อยและคาเฟ่สุดชิคที่สาวก Café Hopping แวะเวียนมาดื่มด่ำบรรยากาศอยู่เสมอ  และครั้งนี้ถึงคิวของคาเฟ่น้องใหม่ “Chata Specialty Coffee” ที่ได้พื้นที่สวนด้านหน้าโรงแรม Baan๒๔๕๗ มาเป็นฐานตั้งมั่นหลักของร้าน       คำว่า “Chata” มาจากคำว่า “ชะตาลิขิต” จากความเชื่อว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากความบังเอิญ “Chata Specialty Coffee” จึงถือกำเนิดขึ้นจากโชคชะตาที่ลิขิตให้ได้มาพบกับกำแพงอิฐเก่า ก่อร่างสร้างโรงแรม Baan๒๔๕๗ จนมาถึงคาเฟ่อันเป็นดั่งโชคชะตาแห่งนี้ขึ้นมา       เมื่อก้าวเข้ามาภายในบริเวณโรงแรม เราจะพบกับเรือนกระจกด้านขวา ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้าน Chata โดยร้านเลือกตกแต่งในสไตล์ Contemporary Loft ที่ผสานความคลาสสิกของเฟอร์นิเจอร์ไม้เข้ากับผนังอิฐเก่าพร้อมด้วยเรือนกระจกโปร่งโล่งได้อย่างลงตัว อีกทั้งมีโซนนั่งให้เลือกหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นเคาน์เตอร์ริมหน้าต่าง โต๊ะ โซฟา หรือโต๊ะยาวขนาดใหญ่แบบ Long Table ให้บรรยากาศอบอุ่นเปรียบเสมือนนั่งจิบกาแฟอยู่กลางบ้าน ที่รายล้อมไปด้วยแมกไม้ และแสงแดดที่ลอดผ่านกระจก       ความโดดเด่นของที่นี่คือ เมล็ดพันธุ์กาแฟที่นำเข้าจาก 4 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย เอธิโอเปีย บราซิล และอินเดีย แล้วนำทั้ง 4 ชนิดมาเบลนด์ใหม่เพื่อให้ได้รสชาติในแบบของ Chata เริ่มที่เมนูแรก “Piccolo Latte” แก้วจิ๋วแต่แจ๋ว กาแฟบอดี้หนักแน่นผสมผสานกับนมสดนุ่มนวลได้อย่างลงตัว     สำหรับคนที่ไม่ชอบทานกาแฟ ทางร้านมีเมนูเพิ่มความสดชื่นอย่าง “Chata Secret Love” ลิ้นจี่โซดารสซาบซ่า ดับความร้อนของอากาศได้เป็นอย่างดี       นอกจากเครื่องดื่ม ทางร้านยังมีเมนูของคาวไว้คอยเสิร์ฟให้อิ่มท้องอย่าง “ข้าวไข่ข้นเนื้อน่องลาย” ข้าวสวยร้อนๆ ท็อปด้วยไข่ข้นไหลเยิ้ม ซอสแกงกะหรี่ และเนื้อน่องลายที่นุ่มจนละลายในปาก เสิร์ฟบนจานกระทะร้อนให้อาหารอุ่นได้นานขึ้น เป็นเมนูง่ายๆ ที่ Beef Lover ไม่ควรพลาด    

จากร้านกาแฟเล็กๆ เพียงไม่กี่ที่นั่งที่เคยอิงแอบอยู่ใน “ชามเริญสตูดิโอ” สตูดิโอย่านแพร่งสรรพศาสตร์ มาตอนนี้ Sati Handcraft Coffee ได้มีที่ทางเป็นของตัวเองใจกลางย่านฮิปอย่างอารีย์ และด้วยพื้นที่ที่กว้างขวางมากขึ้นนี้เอง ร้านกาแฟร้านนี้จึงมาพร้อมกาแฟและเครื่องดื่มหลากรสที่เข้าคู่กับอาหารจานเด็ดได้อย่างลงตัว       คุณเอฟ - วิทิต ชัยสัมฤทธิ์โชค เจ้าของร้านเล่าให้เราฟังว่าอยากให้ที่นี่เสมอเป็นจุดแวะพักสำหรับทุกคนให้มานั่งทำงานหรือแฮงก์เอาท์กันได้แบบนานๆ พลางลิ้มรสกาแฟดีๆ โดยมีให้เลือกทั้งแบบเอสเพรสโซ่จากกาแฟเฮาส์เบลนด์ของทางร้านที่ผสานรสชาติกาแฟไทยและกาแฟจากรวันดาเอาไว้ จนได้รสชาติเข้มข้นแบบช็อกโกแลตแฝงกลิ่นถั่วและรสเปรี้ยวน้อยๆ         ถ้าใครอยากลองกาแฟซิงเกิลออริจินก็สามารถสั่งกาแฟฟิลเตอร์ (Filter Coffee) ที่ให้เราสามารถเลือกวิธีชงกันได้ด้วย ซึ่งครั้งนี้เราได้ลองกาแฟดริปจากเอธิโอเปียเบลนด์กับกาแฟจากคองกาที่โดดเด่นด้วยรสชาติเปรี้ยวๆ พ่วงด้วยกลิ่นหอมๆ ชวนจิบจนหมดแก้ว แต่สำหรับคนรักกาแฟรสละมุนก็อย่าลืมลองกาแฟและชาโคลด์บริวที่มีหมุนเวียนรสชาติกันอย่างไม่ขาด       หากใครยังนึกไม่ออกเราก็ขอแนะนำ Ginger Dirty การแฟสูตรพิเศษที่นำน้ำขิงคั้นสดมาผสมเข้ากับนมอุ่นท็อปด้วยเอสเพรสโซ่ช็อตแล้วปิดท้ายด้วยครีมสดด้านบน ทำให้ได้กาแฟรสชาติแปลกใหม่เพราะรสชาติขิงและนมเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังมีบิสกิตเลมอนชิ้นเล็กๆ มาช่วยเติมเต็มรสชาติสดชื่น ในขณะที่อาหารก็เป็นสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ดที่ร้อยเรียงรสชาติมาให้เข้ากันกับกาแฟ     เริ่มด้วย Mussels with White Wine Sauce หอยแมลงภู่ตัวโตอบในซอสไวน์ขาวกินคู่กับขนมปังบาแกตต์อบเนยและกระเทียมแผ่นบางกรอบ หรือจะอิ่มแบบหนักๆ กับ Egg Benedict with Smoked Salmon เมนูอาหารเช้ายอดฮิตที่มาพร้อมกับแชลมอนรมควันชิ้นหนานุ่มราดด้วยซอสฮอลันเดสรสเข้มข้นหอมมัน       ส่วนใครชอบอาหารจานเส้นก็ต้องลอง Spaghetti Aglio Bacon สปาเก็ตตี้ผัดในน้ำมันมะกอก กระเทียม พริกแห้ง และเบคอน ที่เราขอบอกว่าห้ามพลาดบีบมะนาวเพิ่มรสชาติลงไปอย่างเด็ดขาด  

หลังจากได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในโลกออนไลน์จนมีลูกค้าประจำมากมาย ด้วยเพราะติดใจในฝีมือของ เชฟพัช - พัชราพรรณ ปาละกูล เชฟและหนึ่งในเจ้าของร้านมานานหลายปี ในที่สุด “Patchwork BKK” ก็ได้เวลาขยับขยายกลายเป็นคาเฟ่เล็กๆ น่ารักน่านั่งที่ซ่อนตัวอยู่บนชั้น 2 ของโครงการ NapLap ในซอยจุฬา 6 ให้คนรักเค้กได้มาละเลียดความอร่อยกันอย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น       ไม่เพียงบรรยากาศดีเหมือนนั่งอยู่ในเรือนกระจกที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นที่ให้ความรู้สึกประหนึ่งกำลังนั่งชิลอยู่บนบ้านต้นไม้สุดเก๋เท่านั้น แต่ความพิเศษของที่นี่คือเราสามารถเลือกสั่งเค้กเป็นชิ้นแบบพอดีอิ่ม โดยไม่ต้องสั่งแบบปอนด์ใหญ่เพียงอย่างเดียว ที่สำคัญยังมีเมนูกาแฟและเครื่องดื่มหลากหลายสไตล์มาเพิ่มเติมความสดชื่นให้อีกด้วย       หากใครเพิ่งได้ทำความรู้จักร้านนี้ เราแนะนำเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Almond Crunchy เค้กหลากเลเยอร์ที่มีทั้งช็อกโกแลต แครกเกอร์ วิปครีม และข้าวพองกรุบกรอบ Red Velvet ที่มีทีเด็ดอยู่ที่ครีมชีสมาสคาโปนผสมเลมอนที่สอดแทรกในเนื้อเค้ก เพิ่มความเปรี้ยวนิดๆ กำลังดี ส่วนสาวกไข่เค็มต้องลองเมนูใหม่ล่าสุด Salted Egg Caramel Cheesecake ชีสเค้กรสกลมกล่อมที่เอาใจคนรักไข่เค็มด้วยมูสไข่เค็มและคาราเมลชีสเค้กด้านบน         สำหรับคอกาแฟอย่าลืมสั่ง Salted Caramel Latte ลาเต้เย็นรสนุ่มหอมกลมกล่อมคาราเมล ใครถนัดสายช็อกโกแลตต้องลอง Premium Belgian Dark Chocolate ช็อกโกแลตเบลเยียมเข้มข้นละลายกับนมสดหอมมันที่ได้รสชาติของช็อกโกแลตแท้แบบเต็มๆ       หรือถ้าชอบความซ่า Peach Lime Soda โซดาพีชผสมมะนาวหวานเปรี้ยวชื่นใจตอบโจทย์และคลายร้อนได้แน่นอน  

นอกจากการตกแต่งที่สวยสะดุดตา เราคงต้องยกให้กับชื่อร้านที่ซ่อนนัยยะความหมายน่ารักๆ เอาไว้ เมื่อคำว่า “Holmes” แท้จริงแล้วมีที่มาจาก “เชอร์ล็อก โฮล์มส์” (Sherlock Holmes) นักสืบคนดังจากปลายปากกาของ เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ (Sir Arthur Conan Doyle) และถ้าสังเกตให้ดีคำๆ นี้ยังพ้องเสียงคำว่า “Home” ที่แปลว่า “บ้าน” อีกด้วย       ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจที่บ้านหลังนี้จะคงคาแรกเตอร์ที่มีความเรียบเท่ห์ตามแบบฉบับยุโรปเอาไว้ให้สมกับเป็นบ้านของนักสืบ ขณะที่ความหมายแฝงก็สะท้อนออกมาผ่านตัวอาหารโฮมเมดสไตล์ Western Fusion ฝีมือ คุณบัว-บุฏกา โรจนัย หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันรายการ Master Chef ซีซั่นแรก ที่เราขอบอกว่าดีงามทั้งหน้าตาและรสชาติ         เริ่มกันด้วยเมนูซิกเนเจอร์อย่าง HOLMES Brekkie ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารมื้อสายของชาวอังกฤษแสนอร่อย ประกอบด้วยไข่ดาวสองฟอง ไส้กรอกอิตาเลี่ยนชิ้นโตเนื้อแน่น เบคอนหั่นชิ้นหนาๆ ถั่วอบ มะเขือเทศ และเห็ดผัด เสิร์ฟในกระทะใบย่อมส่งกลิ่นหอม เรียกว่าแค่จานเดียวก็แอบอิ่มแปล้     แต่ถ้าอยากอิ่มเบาๆ ก็ต้อง Winter Salad สลัดชามโตที่ขนความสดชื่นของผักโขม ก่อนจะเติมรสเปรี้ยวสดชื่นของทับทิมและชิ้นเนื้อส้ม เคี้ยวเพลินด้วยถั่วพีแคนและเบอร์รี่อบแห้งที่เข้าคู่กับน้ำสลัดบัลซามิควีนีแกรต์ได้อย่างลงตัว ร่วมด้วยชีสเฟต้าที่โรยข้างบนเหมือนกับหิมะสมชื่อ     ส่วนของหวานเราขอแนะนำ HOLMES Pain Perdu เฟรนช์โทสต์ชิ้นใหญ่สีเหลืองทองเสิร์ฟพร้อมผลไม้สดอย่างสตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และกีวี่มาเพิ่มรสเปรี้ยวสดชื่น ก่อนจะราดด้วยน้ำผึ้งท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลารสละมุน หรือจะลอง Te Fiti เค้กสีเขียวสดที่ได้แรงบันดาลใจจากตัวละครในแอนิเมชั่นเรื่อง Moana (2016) โดดเด่นด้วยความนุ่มหอมของเค้กพิตาชิโอที่ภายในซ่อนความอร่อยของชั้นครีมและเยลลี่บลูเบอร์รี่เอาไว้       แล้วอย่าลืมสั่งเครื่องดื่มอย่าง Velvet Lychee โซดาสีสวยที่ได้ไซรัปลิ้นจี่โฮมเมดมาเติมสีสันกับน้ำอัญชัญ ส่วนคนรักกาแฟต้องลอง Salted Caramel Latte กาแฟไทยรสเข้มที่เติมความหอมหวานของคาราเมลและกลิ่นวานิลลาที่เรากล้ารับประกันความอร่อยเลยล่ะ    

ขอยกให้เป็นหนึ่งในคาเฟ่สุดฮอตแห่งย่านทองหล่อในตอนนี้ สำหรับ Skoop & Co.” ที่ต่อยอดจาก Skoop Beach Cafe ร้านไอศกรีมโฮมเมดชื่อดังแห่งพัทยาและหัวหินที่มาเปิดสาขาใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ให้ไปชิมกันง่ายดายยิ่งขึ้น       นอกจากการดีไซน์กำแพงร้านสุดเก๋ด้วยกระจกรูปวงกลมและสามเหลี่ยมที่โดนใจทั้งสายชิม สายแชะ และสายแชร์ ผสานกับบรรยากาศคลีนๆ เน้นสีขาวดำเทาน่านั่งชิลแล้ว ที่นี่ยังเพิ่มเมนูอาหารและเครื่องดื่มสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ดที่อร่อยและกินง่ายให้อิ่มท้องกันตลอดวัน       ใครแวะมาตอนสายๆ ลองสั่ง Healthy Benny เมนูบรันช์เอาใจสายสุขภาพ โทสต์หนานุ่มท็อปด้วยฟักทองย่าง อะโวคาโด และเอ้กเบเนดิกต์ หรืออยากอิ่มจริงจังในมื้อเที่ยง เราแนะนำ Japanese Curry Fried Rice ข้าวผัดคลุกเคล้าแกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่นรสเข้มข้นหอมเครื่องเทศ มาพร้อมไก่ทอดกรอบนอกนุ่มในและไข่คนนุ่มลิ้น         คนรักของหวานก็ฟินได้ไม่แพ้กันกับ Salted Egg Yolk French Toast เฟรนช์โทสต์ชิ้นโตราดซอสไข่เค็มหอมมัน เพิ่มความอร่อยด้วยไอศกรีมโฮมเมดและวิปครีม และ Costa Bana วัฟเฟิลหนานุ่มราดซอสคาราเมลหอมหวาน มาพร้อมกล้วยหอมชิ้นโต วอลนัต และไอศกรีมรสวานิลลา       หรือถ้าแวะมาช่วงบ่าย อย่าลืมสั่ง Iced Bear Latte ลาเต้เย็นซิกเนเจอร์ที่เพิ่มความหวานด้วยน้ำผึ้งและเพิ่มความเข้มด้วยน้ำแข็งทำจากเอสเพรสโซชอตรูปหมีสุดน่ารักมาช่วยขจัดความง่วงสักแก้วก็ไม่เลวเลยทีเดียว  

แค่ชื่อ “Escape” ก็บ่งบอกถึงคาแรกเตอร์ร้านได้แบบไม่ต้องเดาให้มากความ เพราะที่นี่คือบีชบาร์ที่ซุกซ่อนอยู่กลางสวนสวยบนชั้น 5 ของดิ เอ็มควอเทียร์ ให้เราได้หลบหนีความวุ่นวายภายนอก มาหลบพักใจยามค่ำคืนเพื่อบูทพลัง       ไฮไลต์ของที่นี่ต้องยกให้การแบ่งพื้นที่ออกเป็นหลายโซนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Zail Zone เสิร์ฟทาปาสสำหรับอุ่นเครื่องมื้อค่ำและคราฟต์เบียร์จากหลายประเทศ ส่วน Ellipse Bar สะดุดตาด้วยการเนรมิตให้บาร์เป็นสีขาวสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน มีโคมไฟผ้าแบบบาหลีที่สลับสีให้อารมณ์เหมือนอยู่ริมทะเล ใครอยากดื่มด่ำกับวิวพระอาทิตย์ตกแบบชัดๆ แนะนำให้นั่งที่ Terrace Zone หรือถ้าหากไม่ชอบรับลมมากนัก ก็เลือกนั่งใน Tent Zone โซนอินดอร์ตกแต่งแบบบาหลีที่มีมุมสวยๆ ไว้ถ่ายรูปหลายมุม       เมนูอาหารถูกดีไซน์มาให้หลากหลายและแชร์กันได้ เริ่มด้วย Lobster & Citrus จานนี้นอกจากบอสตันล็อบสเตอร์เนื้อแน่นๆแล้ว ยังสดชื่นด้วยผลไม้รสเปรี้ยวอย่างส้ม ส้มโอ มะเขือเทศ มีรสหวานจากมะม่วงน้ำดอกไม้มาตัด และได้ความมันจากอะโวคาโด ราดด้วยน้ำสลัดฮันนี่เลมอน     ขยับดีกรีความอิ่มท้องขึ้นมาอีกนิดกับเมนูซิกเนเจอร์ Soft Shell Crab Slider เบอร์เกอร์จิ๋วให้แชร์กันได้ เก๋ตั้งแต่นำหมึกดำไปใช้ทำขนมปังด้วย ส่วนด้านในเป็นปูนิ่มทอดกรอบ อะโวคาโด มะเขือเทศ และ ซอส Chipotle Mayo เผ็ดๆ นวลๆ เข้ากันดีเชียว ต่อด้วยจานหลักเพื่อคนรักเนื้อแกะ Braised Lamb Shank ขาแกะนิวซีแลนด์นุ่มๆ จากการซูวี 48 ชั่วโมง เข้ากับตัวซอสที่ทำจากไวน์แดงและครีม เสิร์ฟพร้อมบัตเตอร์นัตยอกกี       แล้วปิดท้ายมื้อนี้ด้วย White Chocolate Panna Cotta พานนาคอตตาครีมชีส ผสมไวท์ช็อกโกแลต เคลือบด้านนอกด้วยเจลาตินเสาวรส     กินคู่ผลไม้สดได้ทั้งรสเปรี้ยวหวาน

ใครที่ตามหารสชาติความเผ็ดร้อนแซ่บนัว ขยับกันเข้ามาใกล้ๆ วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักร้าน อบทะเล ศาลายา ร้านซีฟู้ดน้อยๆ หนึ่งในร้านขวัญใจเด็กมหาลัยฯ ย่านนี้ ภายในตกแต่งแบบเรียบง่าย ผนังสีขาวให้ความรู้สึกโปร่งสบาย ได้ฟิลมากินอาหารแบบชิลๆ         เริ่มที่  หมูกรอบซีอิ๊วหวาน เนื้อนุ่ม หนังกรอบ กินคู่กับซีอิ๊วหวานเข้ากันพอดิบพอดี จากนั้นต่อด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยสุดฮิต ขนมจีบมันกุ้งเสวย ขนมจีบลูกใหญ่ไส้แน่น ตัวไส้ใช้เนื้อหมูมันน้อยผสมกับเนื้อกุ้งแชบ๊วย ท็อปด้วยมันกุ้งรสหวานมัน ใครมาแล้วไม่สั่งถือว่าพลาด       กุ้งผัดมันกุ้งเสวย เมนูเอาใจคนรักกุ้งอย่างเต็มเปา กุ้งสดตัวโตผัดคลุกเคล้ากับมันกุ้ง และกะหล่ำปลีจนเข้าเนื้อ ได้รสชาติหวานเค็มพอดีกัน     ไปต่อกับ อบทะเลเดือด วุ้นเส้นอบรสต้มยำจี๊ดจ๊าดสะใจ หอมกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ อบพร้อมกุ้งแชบ๊วยไซส์ใหญ่เนื้อแน่น ปลาหมึกกล้วยปลอดสาร และเนื้อปลากะพงขาวสดเด้ง กินคู่น้ำจิ้มรสเด็ดเผ็ดเปรี้ยว ชวนให้น่าลิ้มลอง     สายแซ่บถูกใจสิ่งนี้ มาม่าต้มยำยกหม้อ เมนูขายดีที่ขาดไม่ได้ ซดเพลินไปกับน้ำต้มยำเข้มข้น เปรี้ยวซี๊ดจี๊ดเผ็ด รสดีครบเครื่องต้มยำ กุ้งแชบ๊วยตัวโต ปลาหมึกกล้วยชิ้นใหญ่  เนื้อปลากะพงขาว หมูกรอบ หมูเด้ง ตอกไข่เยิ้มๆ ก่อนเสิร์ฟ งานนี้ฟินไปตามๆ กัน  

อาหารจอร์เจียพอได้ยินชื่อก็ต้องใช้เวลาคิดสักนิดว่าประเทศนี้อยู่ในทวีปใด จอร์เจียเป็นประเทศเล็กๆ ซึ่งอยู่ทางใต้ของสาธารณรัฐโซเวียต ติดกับอาร์มีเนีย อาร์เซอร์ไบจาน ทิศตะวันออกติดกับทะเลดำ ถ้าเลยลงไปทางใต้ก็จะเจอประเทศตุรกี เรียกว่าประเทศนี้อยู่ทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป ผู้คนแถบนี้หน้าตาก็ผสมผสานกันระหว่างเอเชียและยุโรป       ARGO ไม่ใชร้านอาหารจอร์เจียแห่งแรก แต่เป็นสาขา 2 ของร้าน AVRA ที่ซอยสุขุมวิท 33 ซึ่งเจ้าของร้านลูกผสมรัสเซียและกรีกบอกว่าตั้งใจจัดให้ร้านนี้มีบรรยากาศง่ายๆ แนวกินดื่ม ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 8 ที่คนไทยอาจจะไม่คุ้นเคยนัก       ส่วนอาหารจอร์เจียก็มีทั้งเอเชียและยุโรปผสมผสานกัน และแน่นอนว่าต้องมีขนมปัง ขนมปังจอร์เจียต่างจากที่เราเห็นทั่วไป เพราะชิ้นจะบาง เนื้อเหนียว ผิวกรอบ เค็ม ยิ่งกินยิ่งอร่อย เป็นขนมปังที่นักท่องเที่ยวไทยไปจอร์เจียโหวตให้เป็นของอร่อยอันดับหนึ่ง วิธีทำแบบดั้งเดิมจะใช้วิธีนาบกับโอ่งเพื่อให้สุก ที่ร้านนี้มีชิ้นเล็กๆ เสิร์ฟมากับอาหาร แต่มีขนมปังที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง Acharuli (อาจารูอิ) ขนมปังรูปเรือขอบหนาใส่ชีสและไข่แดง หน้าตาสะดุดตา เนื้อขนมปังนุ่มดีแต่ชีสท้องถิ่นรสเค็มไปหน่อย และ Megrulli (มิลกูลลิ) แผ่นแป้งกลมใส่ไส้ชีสทอดคล้ายพิซซา อร่อยดีแต่เค็ม       เมนูที่ชวนแปลกตาและน่าจะเป็นญาติกับจีนทางใดทางหนึ่ง คือ Khinkali (ฮินคาลิ) หน้าตาเหมือนเสี่ยวหลงเปาแต่ชิ้นใหญ่กว่า แป้งห่อเนื้อหนากว่า วิธีกินก็คล้ายกันต้องคว่ำลง กัดแป้งเพื่อให้น้ำซุปไหลเข้าปากก่อน แต่ไส้เนื้อจะแน่นกว่าเสี่ยวหลงเปา มีกลิ่นหอมของสมุนไพรจอร์เจียที่มีอย่หลายชนิด และไม่มีน้ำจิ้ม     อาหารจานหลักมีทั้งเนื้อแกะ ไก่ เนื้อวัว เมนูที่น่าลองคือ Chakapuli สตูที่ต้มจนเละ แต่เนื้อที่เละนุ่มคือเนื้อแกะตุ๋น ใส่ Tarragon Mint และ Green Plum ที่มีรสเปรี้ยว ใส่ไวน์ขาว พาร์สลีย์ และผักชี  กลิ่นหอม รสเปรี้ยวกลมกล่อมอร่อยน่าจะถูกใจคนไทย ไก่อบสมุนไพรจอร์เจียซึ่งเจ้าของบอกว่ามีสมุนไพรอยู่หลากหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีเคบับทั้งไก่ หมู เนื้อ  อาหารกรีก เช่น มูสซาก้า และเครื่องจิ้มหรือดิปสไตล์กรีกอีกหลายจาน         เรียกว่าถ้าใครสนใจเรียนรู้และชอบชิมอาหารแปลกใหม่ อาหารจอร์เจียน่าสนใจอยู่ในรายการ

แฟนคลับร้านปูดองอันยองที่ติดอกติดใจ “ปูดองซีอิ๊วสไตล์เกาหลี” พร้อมน้ำจิ้มแซ่บแบบเดลิเวอรี่และเทคโฮมคงได้ยิ้มกันแก้มปริ เพราะตอนนี้ทางร้านเพิ่งเปิดตัวสาขาใหม่เอี่ยม ปูดองอันยอง Have A Seat @ Central Ladprao ชั้น G เซ็นทรัล ลาดพร้าว ซึ่งเป็นสาขาแรกที่มีที่นั่งกินสบายๆ พร้อมเมนูพิเศษที่หาไม่ได้จากสาขาอื่น       แน่นอนว่า นอกจากเมนูปูดองจะครองใจแบบเรตติ้งไม่เคยตก ที่ร้านยังมีเมนูชวนน้ำลายสออีกเพียบ เริ่มด้วยของกินเล่นอย่าง อันยอง Hot Dog ฮอตดอกทอดร้อนๆ สไตล์เกาหลี ที่ทั้งอร่อยและสนุก เพราะด้านนอกเป็นเกร็ดขนมปังกรอบๆ พอกัดแล้วจะเจอชีสยืดๆ ที่ซ่อนไว้ข้างใน กินคู่ซอส 4 แบบ ทั้ง Honey Mustard, Sweet Potato Wasbi (เราชอบซอสตัวนี้), Spicy Mayo และ Ketchup     อีกเมนูสำหรับคนรักปูที่ไม่อยากมื้อเปื้อนสั่งเลย โจรขโมยข้าว ชามนี้เด็ดดวงสมชื่อ ข้าวโปะด้วยเนื้อปูม้าดองซีอิ๊ว ไข่ดองซีอิ๊ว และโรยด้วยสาหร่ายกรอบ ตักคำใหญ่ๆ ส่งต่อเข้าปากแล้วฟินนัก อีกเมนูที่เราชอบ หอยแครงชุบน้ำปลาร้า จานนี้เสิร์ฟเย็น ขอชมว่าลวกหอยได้เซียนมาก เนื้อกรอบหวาน และสุกกำลังดี เสิร์ฟกับน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรน้ำปลาร้าแซ่บๆ       แล้วมาปิดท้ายด้วยชาบูมันปู ทีเด็ดอยู่ที่น้ำซุปเคี่ยวกับมันปู ใส่ส่าหร่าย หวานหอมและกลมกล่อม เลือกได้ทั้งชุดหมู เนื้อ และซีฟู้ด กินคู่กับน้ำจิ้มแจ่วกะปิและน้ำจิ้มแจ่วปลาร้าเข้ากันอย่างน่าแปลกใจ         ถูกใจสายชาบูเชียวล่ะ

คนรักการกินอาหารอิตาเลียนและงานศิลปะได้ฟินเพราะ มีโอฟู้ดแอนด์อาร์ต Mio Food & Art ร้านใหม่ย่านทองหล่อในซอยสุขุมวิท 53 นี้ จับทั้ง 2 อย่างมารวมไว้ด้วยกัน ด้วยพื้นที่ของร้านแบ่งเป็น 2 ชั้นเหมือนเป็นโชว์รูมขนาดย่อมๆ ที่มีทั้งชิ้นงานศิลปะ ของประดับตกแต่ง โคมไฟและเฟอร์นิเจอร์สวย ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนเรื่อยๆ เลือกสรรโดยคุณอันโตนิโอ มาร์เชลลี เจ้าของร้านชาวอิตาเลียน           ส่วนอาหารได้เชฟมากประสบการณ์อย่างอันโตนิโอ แฟคชิเนติ ชาวเมือง Ponte di Legno (Bescia) ในแคว้นลอมบาร์เดีย ประเทศอิตาลี มาดูแลความอร่อย จานแรกที่เชฟแนะนำคือ Imported Burrata, Vine Tomatoes, Balsamic Reduction ชีสบูราต้าจากอิตาลีของดีประจำถิ่น ชีสสีขาวก้อนกลมเนื้อนุ่มครีมมี่กินกับมะเขือเทศสดรสหวานสดชื่น ราดด้วยน้ำมันมะกอกอย่างดี รสเปรี้ยวหวานหอมลงตัว     ร้านนี้ใช้โคลคัทสูตรออร์แกนิคส่งตรงจากอิตาลี อย่าง Salame Toscano al Coltello รสเค็มมัน หรือเลือกชนิดที่ชอบก็ได้เชฟจะสไลด์บางๆ จัดใส่ถาดมาให้อย่างสวยงาม แกล้มแตงดองกินเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยหรือคู่กับไวน์ก็เหมาะ     ส่วนพาสต้าลองสั่งเมนู Paccheri Squid Ink, Garlic, Chili Roasted Octopus พาสต้าทรงกระบอกสีออกดำเพราะผสมน้ำหมึกของปลาหมึกลงไปในแป้ง ผัดกับน้ำมันมะกอกส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ใส่หนวดปลาหมึกยักษ์ที่เชฟนำไปต้มจนนุ่มเคี้ยวมันสะใจ และมะเขือเทศเชอร์รีเพิ่มให้มีรสสดชื่นลงตัว     อีกเมนูที่สายเนื้อห้ามพลาดคือ Costata (Prime Rib 500 gr.) โดยทางร้านได้จับมือกับฟาร์มปศุสัตว์ในภาคอีสานของประเทศไทยสร้างสายพันธุ์พิเศษสำหรับเนื้อ ‘แบล็คแองกัส’ และ ‘ชาร์โรเล่สบีฟสเตียร’ เอจตามแบบฉบับอิตาลีต้นตำรับ ทำให้มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและฉ่ำเป็นพิเศษ เนื้อย่างมาแบบมีเดียมสุกกำลังดี หอมกลิ่นเนื้อชัดเจน เสิร์ฟพร้อมกระเทียมอบและซอสพาร์สลีย์ซัลซาเวร์เด (Salsa Verde)     สุดท้าย Tiramisu ของหวานที่แฟนพันธุ์อาหารอิตาเลียนห้ามพลาด เชฟใช้ชีสมารสคาร์โปนแท้ไม่ผสมครีม ตีกับไข่แดงและน้ำตาลทรายเท่านั้น ฟิงเกอร์เลดี้ชุบด้วยกาแฟผสมกับไวน์มาซาล่าทำให้ได้รสชาติเข้มข้นหวานมันแบบคลาสสิค     ทั้งศิลปะและอาหารทำให้เราได้เจริญตาและเพลิดเพลินเจริญพุงจริงๆ

วันหยุดสุดสัปดาห์คือวันที่จะได้ผ่อนคลาย ทั้งพักผ่อนและกินอาหารอร่อยตามใจอยาก หลายคนชอบรับประทานบุฟเฟต์มื้อสาย มื้อเช้าควบมื้อเที่ยงหรือที่เรียกว่า “บรั้นช์” (Brunch) เพราะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ต้องเร่งรีบ หลายโรงแรมต่างแข่งกันที่เมนูเด็ด อาหารคุณภาพดี ไลน์บุฟเฟต์อลังการตื่นตาตื่นใจ แถมยังขยายเวลาจากมื้อสายไปถึงบ่ายแก่     ที่เดอะ คิทเช่น เทเบิ้ล ร้านอาหารหลักประจำโรงแรมดับเบิ้ลยู กรุงเทพ เขาจัดบรั้นช์วันเสาร์ชื่อว่า W Does Brunch ที่สนุกสนานคึกคักไม่เหมือนใคร ด้วยบรรยากาศสบายเป็นกันเอง มีโซฟาเข้ามุมเป็นส่วนตัว และโต๊ะตัวยาวสำหรับรับรองครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน เมื่อก้าวเข้าร้านมาก็รู้สึกสนุกขึ้นมาทันทีเพราะเสียงเพลงจังหวะชวนโยกจากดีเจ ส่วนอาหารจัดเป็นมุมอาหารต่างๆ ทั้งค็อกเทลบาร์โดยมิกซ์โซโลจิสต์ มุมชีสจากทั่วโลก แฮมและโคลด์คัท ขนมปัง อาหารทะเลสดๆ เนื้ออบ บาร์บีคิว ซูชิบาร์ ก๋วยเตี๋ยว พาสต้า และของหวานแบบจัดเต็ม       เมื่อเป็นบุฟเฟ่ต์แล้วจึงมีแพ๊คเกจให้เลือกตามความชอบได้แก่ Just For Food เน้นกินอาหารพร้อมกับเครื่องดื่มอย่างซอฟท์ดริ้งค์และน้ำผลไม้แบบไม่อั้น ถ้าอยากเอนจอยกับวันหยุดแบบสุดๆ ให้เลือก The Experience ที่รวมอาหารพร้อมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ค็อกเทล ไวน์ เบียร์ และ สปาร์คลิงไวน์แบบจัดเต็ม     G&C ไปลองมาแล้วบอกเลยว่าวันหยุดแบบนี้ต้องเรียกน้ำย่อยด้วย Seafood ซีฟู้ดบนน้ำแข็งคู่หูคู่มื้อบรั้นช์ที่มีทั้ง กั้งหิน ขาปูอลาสก้า หอยนางรม กุ้งลวก หอยแมลงภู่เปลือกดำ มีตัวเลือกไม่มากแต่ว่าสดทุกอย่าง จัดใส่จานมาอย่างละนิดหน่อยพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดแซ่บๆ ก็กระตุ้นน้ำลายได้แล้ว     ส่วนใครสายเนื้อต้องลอง Roasted Aus. Prime Rib เนื้อวัวจากออสเตรเลียอบชิ้นใหญ่ติดกระดูก เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ กลิ่นหอม มีซอสให้เลือกหลายอย่างตามชอบ เมนูที่ปรุงสดใหม่อย่างพาสต้าก็น่าสั่ง เราลองชิม Pasta Truffle พาสต้าเส้นสดทำเองผัดกับเห็ดหลายชนิด ครีมและน้ำมันทรัฟเฟิลหอมๆ       สุดท้ายให้ Save room for dessert เผื่อท้องไว้สำหรับของหวานด้วย เพราะทั้งเค้กและขนมที่วางเรียงรายละลานตาชวนให้ตักทุกอย่าง เราชิม Chocolate Cake เค้กช็อกโกแลตเนื้อนุ่มกับครีมช็อกโกแลตรสเข้มข้นกินกิบไอศครีมราสป์เบอร์รี         จบมื้อใหญ่ให้ฟินสมเป็นวันหยุด   ‘ดับเบิ้ลยู ดาส บรั้นช์’ มีให้เลือก 2 แพ็กเกจ ได้แก่ จัส ฟอร์ ฟู้ด (Just For Food) ราคา 1,999 บาท++ /ท่าน สำหรับอาหาร, ซอฟท์ดริ้งค์, น้ำผลไม้, ชา และกาแฟแบบไม่อั้น ดิ เอ็กซ์พีเรียนส์ (The Experience) ราคา 2,999 บาท++ /ท่าน สำหรับอาหาร, ค็อกเทล, ไวน์,เบียร์ และ สปาร์คลิ่งไวน์แบบไม่อั้น

ใครเป็นสายเฮลตี้ ต้องถูกใจร้านสุขกินได้แน่นอน กรีนเพลสขนาดน้อยๆ ย่านศาลายา ที่เสิร์ฟเมนูเพื่อสุขภาพจากผักสดปลูกเองในฟาร์มหลังบ้าน ตัวร้านโดดเด่นสะดุดตาสไตล์มินิมอล เต็มไปด้วยแมกไม้หลากชนิด ทำให้บรรยากาศรอบๆ ร่มรื่น อบอุ่น สุขสบาย ภายในแต่งผนังสีขาวเพื่อให้ดูสว่างโล่งตา แต่งแต้มความสดใสด้วยสีสันจากรูปภาพ เสริมความสดชื่นด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ช่วยเพิ่มบรรยากาศร้านให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น           เริ่มต้นเมนูเรียกน้ำย่อยด้วย สลัดเคล กินคู่กับไข่ลวก ชีส อัลมอนด์ และเบอร์รี่ โดยมีน้ำสลัดหอยลายรสชาติเปรี้ยวอมหวานเป็นตัวชูโรง ความมันจากอัลมอนด์ กรุบกรอบจากเคล และความสดชื่นจากผลเบอรี่ รวมเป็นรสชาติที่กระตุ้นต่อมรับรสได้ดี       ต่อด้วย สปาเก็ตตี้ พริกแห้งไส้อั่ว สปาเก็ตตี้เส้นสดนุ่มหนึบหนับกำลังดี มาพร้อมรสชาติร้อนแรงของพริกแห้ง กินคู่กับไส้อั่วส่งตรงจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นเมนูที่ผสมผสานรสชาติระหว่างไทยกับอิตาเลียนได้อย่างลงตัว     ใครยังอิ่มไม่หนำใจต้องจัด สเต็กไก่อบชีส สะโพกไก่หมักเครื่องเทศ เนื้อนุ่ม สุกกำลังดี ทอปด้วยร็อกเก็ตสลัด กินพร้อมกับเนื้อไก่และชีสช่วยตัดเลี่ยนได้ดี     สายหวานต้องไม่พลาด ชีสเค้กชาเขียว ชีสเค้กที่อัดแน่นไปด้วยชีส ชาเขียว และงาดำ รวมเป็นรสชาติที่เข้มข้น กลมกล่อม มิรู้ลืม     ปิดท้ายด้วยความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า กับเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ เคลเสาวรสสมูทตี้  ผักเคลปั่นรวมกับเสาวรส และน้ำผึ้งดอกลำไย ได้รสชาติเปรี้ยวหวาน และเทกเจอร์สนุกๆ จากเม็ดเสาวรส ยิ่งดื่ม ยิ่งเพลินใจ  

เบียร์เย็นแก้วโตๆ อาหารรสดี ดนตรีอลังการ พนักงานบริการด้วยใจ เป็นความทรงจำดีๆ เมื่อนึกถึง “โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง” สถานที่แฮงค์เอ้าท์สำหรับทุกวัย นอกร้านดูโอ่อ่าและยิ่งใหญ่ ภายในตกแต่งจำลองเป็นสถานีรถไฟประเทศต่างๆ พร้อมอาหารหลากหลายให้เลือกรับประทานกว่า 200 เมนู ที่รอให้คุณไปสัมผัสลิ้มลอง         เริ่มต้นด้วยเมนูกรุบกรอบที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา  กะหล่ำปลีที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ผัดกับน้ำปลาหอม ความเค็มลงตัวของน้ำปลาผสานกับความหวานกรอบของกะหล่ำปลี ได้ใจเราไปเต็มๆ จากนั้นเอาใจคนรักอาหารอีสานด้วย      ส้มตำไหลบัว ไหลบัวอ่อนต้นขาวอวบพิเศษ หั่นชิ้นพอดีคำ คลุกเคล้ากับน้ำส้มตำสูตรพิเศษครบรสชาติ สมเป็นส้มตำฉบับอีสานแท้ๆ     ขาหมูทอดตะวันแดง เมนูที่ขาดไม่ได้ ขาหมูกรอบนอกนุ่มในที่ผ่านกระบวนการทอดแบบใส่ใจทุกขั้นตอน เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงช่วยตัดเลี่ยนอย่าง กะหล่ำปลีดอง และมันบด กินคู่กับน้ำจิ้มรสจัดจ้านที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี ถัดมาคือ ปลากะพงทอดน้ำปลา คัดสรรปลากะพงสดใหม่ ได้ความหวานของเนื้อปลาเต็มๆ กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ       หันมาซดน้ำซุปให้คล่องคอกันบ้างกับเมนู เกาเหลาเย็นตาโฟทรงเครื่อง  หนึ่งในเมนูฮิตของโรงเบียร์ น้ำซุปรสชาติครบเครื่อง เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ใส่เครื่องเคราจนเต็ม อาทิ ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้งอย่างดี ปลาหมึกกรอบอร่อย แมงกะพรุนดอกใหญ่ เต้าหู้ทอดกรอบ และยอดผักบุ้งคัดยอดอ่อน     นอกจากนั้นยังเอาใจคนรักอาหารญี่ปุ่นด้วย ซาซิมิแซลมอน เกรดพรีเมี่ยม ส่งตรงมาประเทศญี่ปุ่น คู่ควรแก่การลิ้มลอง     ปิดท้ายด้วยเบียร์สดสัญชาติเยอรมันคุณภาพ 3 รสชาติยอดนิยม ได้แก่ ลาเกอร์ (Lagern) เบียร์สีทองฟองน้อย รสหวานนุ่มลิ้น ดุงเกล (Dunkel) เบียร์ดำ ได้รสหวานเจือขมจางของมอลต์ ไวเซ่น (Weizen) เบียร์ผลไม้ ฟองนุ่ม หอมกลิ่นฟรุตตี้เบาๆ เพิ่มความหลากหลายด้วยเบียร์อีก 2 รสชาติอย่าง โรเซ่ (Rosè) เบียร์กลิ่นกุหลาบ ดื่มง่าย ถูกใจสาวๆ และฮ็อปส์บอมบ์ (Hops bomb) รสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นฮ็อปเป็นที่สุด  

Lumble café เกิดจากความชอบและหัวใจล้วนๆ ของ “คุณบิว” เจ้าของร้านที่ชอบดื่มกาแฟเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาตัดสินใจเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ขึ้นมา แล้วค่อยๆ พัฒนาร้าน ปรับเมนู และรสชาติอาหารให้เป็นที่ถูกอกถูกใจของลูกค้า จนทำให้ Lumble café กลายเป็นหนึ่งในร้านที่สมบูรณ์แบบร้านหนึ่งในย่านศาลายา       เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกันด้วย สลัดไก่อบซอสบาร์บีคิว ไก่เนื้อนุ่มหมักซอสบาบีคิว กินคู่กับน้ำสลัดงาขาวรสเปรี้ยวหวาน และผักสดที่ช่วยลดทนความเลี่ยน เป็นเมนูที่อิ่มอร่อยเบาๆ     สปาเก็ตตี้ข้าวซอยไก่ เมนูขวัญใจของเด็กมหาลัยฯ ที่เปลี่ยนจากเส้นข้าวซอยเป็นเส้นสปาเก็ตตี้เหนียวนุ่ม แต่ยังคงความอร่อยเข้มข้นเหมือนต้นฉบับคนเหนือ และอีกเมนูที่ขาดไม่ได้เลย      ซี่โครงหมูย่างซอสแจ่ว ความพิเศษของเมนูนี้อยู่ที่ ตัวซี่โครงหมูที่ถูกนำไปตุ๋นก่อนอบ จนได้เนื้อหมูนุ่มร่อนจากซี่โครง หอมอบอวลด้วยเครื่องเทศ ยิ่งกินคู่กับน้ำจิ้มแจ่วเข้มข้นถึงเครื่องยิ่งดีเข้าไปใหญ่     สำหรับของหวานล้างปากแนะนำ โทสต์ชาไทย ขนมปังกรอบนอกนุ่มในเสิร์ฟพร้อมซอสครีมชาไทย วิปปิงครีม ไอศกรีมวานิลลา และเบอร์รีสด ส่วนรสชาตินั้นสร้างความประหลาดใจให้กับเราเลยทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่า เบอร์รีกับชาไทยจะไปด้วยกันได้ เรียกว่าคนรักชาไทยต้องฟินอย่างแน่นอน     ส่วนเครื่องดื่มต้องลอง เมนูฮิตยอดนิยม Coconut Coffee กาแฟน้ำกะทิเสิร์ฟพร้อมไอศกรีมกะทิ จุดเด่นของแก้วนี้อยู่ที่ความหอมมัน เข้มข้น คนที่ไม่ดื่มกาแฟสามารถดื่มได้สบาย บอกเลยเลยแก้วนี้ดีงาม      ปิดท้ายด้วย ชาเอิร์ลเกรย์ผลไม้ เพิ่มความสดชื่น ชาเอิร์ลเกรย์ผสมด้วยเบอร์รีสด และเลมอน ได้กลิ่นหอมหอมหวานของชา และความเปรี้ยวจากผลไม้ รสชาติหวานพอดี ยิ่งดื่มยิ่งสดชื่น  

ตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักตึกคิงพาวเวอร์ มหานคร แลนด์มาร์คสุดหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่ได้ชื่อว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งตอนนี้ได้เปิดตัวห้องอาหารสุดหรูหราทันสมัย ภายใต้ชื่อ “Mahanakhon Bangkok Skybar” เป็นที่เรียบร้อย     “มหานคร แบงค็อก สกายบาร์” ตั้งอยู่บนชั้น 76 และ 77 ได้รับการออกแบบโดยคุณ Tristan Auer แห่ง Wilson Associates โดยหยิบแรงบันดาลใจจากสายน้ำเจ้าพระยา ผสานเรื่องราวแห่งการเดินทาง พร้อมให้ทุกท่านได้หลีกหนีความวุ่นวายของกรุงเทพ     ก้าวแรกจากลิฟต์สู่โค้งประตูไม้บริเวณโถงด้านหน้า เราสัมผัสได้ถึงความหรูหราสง่างามสไตล์ฝรั่งเศสผสมผสานความวิจิตรแบบไทย ภายในรายล้อมไปด้วยโคมไฟและหน้าต่างกระจกบานใหญ่ สูงจากพื้นจรดเพดาน ทำให้เห็นวิวมหานครได้อย่างเต็มตา อีกทั้งเนรมิตพื้นที่เอาท์ดอร์ให้ได้บรรยากาศป่าดงดิบ เปรียบเสมือนนั่งอยู่ในป่าบนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น       นอกจาก “มหานคร แบงค็อก สกายบาร์” จะเป็นร้านอาหารและบาร์ที่สูงที่สุดในประเทศไทยที่โดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมแล้ว เมนูอาหารที่ผสมผสานระหว่างตะวันตกและเอเชียก็โดดเด่นไม่แพ้กัน  โดยได้เชฟ Joshua Cameron เชฟผู้คร่ำหวอดในวงการและเคยสร้างสรรค์เมนูระดับมิชลินสตาร์ในนิวยอร์ค รับหน้าที่เชฟใหญ่ประจำห้องอาหารนี้     เมนูที่เชฟ Joshua Cameron รังสรรค์ให้กลายมาเป็นเมนูเด่นของร้านเริ่มจาก พานาคอตต้าไข่หอยเม่น (Uni Panna Cotta) ที่เกิดจากการผสมผสานกันของวัตถุดิบจากญี่ปุ่น และเทคนิคการทำอาหารของประเทศฝรั่งเศส ทำให้เป็นเมนูซิกเนเจอร์เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี หรือจะเป็น หอยนางรม จากแคว้นนอร์มังดี (Mr.Jean-Paul, Normandy Oysters) ที่มีให้เลือกทั้งแบบเสิร์ฟร้อน และเสิร์ฟเย็น เพิ่มความสดชื่นพร้อมเปิดต่อมรับรสได้อย่างเต็มที่       เชฟไม่รอช้า เสิร์ฟต่อกันที่เมนคอร์สอย่าง เนื้อซี่โครงออสเตรเลียตุ๋น 48 ชั่วโมง เสิร์ฟพร้อม คูสคูส องุ่น และมะเขือม่วง (48-Hours Australian Short Ribs) เนื้อออสเตรเลียแบบมีเดียมแรร์ที่ตุ๋นได้นุ่มละมุนลิ้น ทานคู่กับซอสและเครื่องเคียงภายในจาน รสชาติกลมกล่อม ตามมาด้วย ลาบเป็ด เสิร์ฟพร้อมกะหล่ำปลีดอง และข้าวเกรียบ (Larb Ped – Spicy Grilled Duck Salad) ความพิเศษของจานนี้อยู่ที่การแยกเนื้อเป็ด เครื่องยำรสแซ่บสไตล์ไทย และข้าวเกรียบบางกรอบ เป็นคำๆ แล้วห่อทานคล้ายเมี่ยงคำ อร่อยและสนุกแบบไทยๆ       นอกจากนี้ เชฟยังมีเมนคอร์สทางเลือกใหม่ที่มาในรูปแบบ Charcoal Grilled สูตรเฉพาะของร้าน ที่นำอาหารไปอบ หรือย่างด้วยกลิ่นหอมจากเตาถ่าน ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะของร้านอีกด้วย อาทิเช่น ปลากะพงพร้อมน้ำจิ้มสูตรเข้มข้น (Andaman Sea Bass*) เนื้อปลากะพงสดห่อใบตองกริลล์ด้วยเตาถ่าน เคียงคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสชาติเข้มข้นแต่ไม่จัดจ้านเกินไป เด็กๆ สามารถทานได้ ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูเมนคอร์สสำหรับครอบครัวเลยทีเดียว     ส่งท้ายความอร่อยด้วยเมนูของหวานที่แม้ทางร้านจะมีให้เลือกไม่มาก แต่กลับครบทุกรสชาติ เริ่มกันที่ฝั่งสดชื่นอย่าง ชีสเค้กใบมะกรูด เสาวรส มะม่วง และมังคุด (Kaffir Lime Cheese Cake) ชีสเค้กรสนุ่มหอมกลิ่นใบมะกรูดของไทย ทานคู่กับซอสเสาวรสและซอสมะม่วงเพิ่มความสดชื่น ปิดท้ายคำด้วยมังคุดสดรสชาติหอมหวาน      ในส่วนของฝั่งเข้มข้น ร้านเลือกเสิร์ฟ ช็อคโกแลตทาร์ต คอฟฟี่กานาช และคาปูชิโนเจล (Chocolate Tart) ช็อคโกแลตแท้รสเข้มข้นทานคู่กับคอฟฟี่กานาชและคาปูชิโนเจลหอมกรุ่น ดึงรสชาติกลับด้วยไอศกรีมช็อคโกแลตรสหวานกลมกล่อม  ช็อกโกแลตเลิฟเวอร์และเด็กๆ น่าจะหลงรักจานนี้ได้ไม่ยาก     ปิดท้ายมื้ออร่อยแสนหรูบนห้องอาหารวิวสวยที่สุดในประเทศไทยอย่างสมบูรณ์แบบ

ร้านอาหารจีนน้องใหม่ใจกลางอารีย์ที่นำเอาความอร่อยตำรับจีนกวางตุ้งมาให้ทุกคนได้เข้าถึงกันง่ายยิ่งขึ้น ชูโรงด้วยคอนเซปต์อาหารจีนสไตล์ทาปาสที่จะลดขนาดของอาหารจีนแบบครอบครัวใหญ่ให้เล็กลงมาอีกนิด แต่คงความอิ่มอร่อยไม่แพ้ต้นตำรับ     เช่นเดียวกับชื่อ “ไต่โหล” (Dai Lou) ที่แม้จะมีนิยามความหมายว่า “เจ้าพ่อ” และสะท้อนความเป็นจีนอย่างเต็มพิกัด แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนถูกนำมาตีความใหม่ เริ่มตั้งแต่การใช้โทนสีฟ้าครามอบอุ่นแทนการใช้สีแดงที่เรามักเห็นกันจนชินตา แล้วเติมรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ลงไปแทนอย่างแผงลูกคิดบนกำแพง ป้ายไฟนีออน เรื่อยไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้ จนเรียกได้ว่าฉีกกฏของร้านอาหารจีนที่หลายคนเคยเจอ       นอกจากนี้ ชื่ออาหารแต่ละจานยังมีกิมมิคน่ารักๆ ด้วยการนำเอาชื่อของสถานที่สำคัญๆ มาใส่เพื่อแสดงว่าความอร่อยฉบับฮ่องกงได้บรรจุอยู่ที่นี่อย่างเป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็น หมูกรอบวานไฉ ของอร่อยจากย่านศิลปะที่นำหมูส่วนท้องมาย่างหอมๆ ก่อนจะนำมาอบอีกครั้ง จนได้หนังหมูที่คงความกรุบกรอบยาวนาน ส่วนเนื้อก็ชุ่มฉ่ำแทรกด้วยมันชั้นบางๆ เคี้ยวเพลินไม่เหมือนใคร เสิร์ฟพร้อมมัสตาร์ดรสเผ็ดปลายลิ้นและน้ำจิ้มรสหวานหอมทำจากน้ำผึ้งมาตัดรส     ตามด้วย สลัดเป็ดย่างเซ็นทรัล ที่ตั้งชื่อให้อิงกับย่านเก่าแก่ของฮ่องกง เพื่อแสดงความอร่อยแบบดั้งเดิมของเป็ดย่างหนังกรอบเนื้อนุ่มแสนอร่อย แต่จานนี้จะเสิร์ฟในรูปแบบของสลัดอกเป็ดย่างรมควันที่เข้าคู่กับน้ำสลัดนูเทลล่าผสมไซรัปเมเปิ้ลรสหวานหอม     หรือลอง ปลาเก๋าเช็กแลปก๊อก เนื้อปลาเก๋าส่วนคัดพิเศษนึ่งซีอิ๊วกินคู่เส้นกรอบ มาพร้อมซอสที่มีส่วนผสมของซีอิ๊วและขิงแก่ที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นในทุกๆ คำ แล้วมาต่อด้วย เนื้อผัดเสฉวน เนื้อสันในติดมันชิ้นพอดีคำมาผัดร้อนๆ บนกระทะกับซอสเสฉวนสูตรเด็ด จนได้เนื้อนุ่มๆ ที่ผสมผสานรสชาติความร้อนแรงหอมมันและเข้มข้น ยิ่งเคี้ยวพร้อมกระเทียมทอดด้วยแล้ว ยิ่งได้กลิ่นหอมขึ้นจมูก     ส่วนของหวานก็ห้ามพลาด เผือกหิมะไดนาสตี้ ขนมหวานจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ชูโรงความอร่อยของเผือกเนื้อนุ่มเคลือบด้วยเกล็ดน้ำตาลสีขาวและอัลมอนด์ยิ่งได้ชาดอกไม้มาจิบคู่ด้วยกันแล้ว     รับรองความละมุนจนลืมไม่ลง!  

ใครที่ตามหารสชาติแซ่บนัวแบบครัวลาวแท้ เรามีพิกัดความแซ่บมาให้สายกินได้ลิ้มรสอาหารลาวที่คนลาวตัวจริงบินตรงจากสุวรรณเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเปิดครัวกลางกรุงเทพฯ ปรุงอาหารลาวรสเด็ดให้คนไทยได้ลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการปรุงและส่วนผสมจากท้องถิ่นเพื่อให้มีกลิ่นรสแบบลาวแท้ โดยเฉพาะที่ขาดไม่ได้คือน้ำปลาร้าต้มซึ่งคนลาวนิยมใช้แทนน้ำปลา ใครไม่ปลื้มปลาร้าอย่ากังวล เพราะปรับระดับลงเหลือเพียงความกลมกล่อมที่นำมาปรุงเมนูอะไรก็ถึงอกถึงใจทั้งนั้น         ซิกเนเจอร์ของร้านยกให้ตำสุวรรณเขต จุดเด่นคือเส้นมะละกอสดกรอบสไลซ์เป็นแผ่นบางเคลือบน้ำส้มตำฉ่ำๆ แนะนำให้ตักเส้นมะละกอแล้วหยิบขนมจีนวางก่อนส่งเข้าปาก สัมผัสความเข้มข้นนัวเค็มเต็มอัตราจากส่วนผสมของน้ำปลาร้าต้มผสานรสเปรี้ยวจากน้ำมะนาวและมะกอกลาวได้อย่างลงตัว     ยำโต่ง ทางร้านนำเนื้อหมูกับกะปิคลุกเคล้าจนเข้าเนื้อเข้าหนัง ปรุงกับสมุนไพรลาวหลายชนิด เสิร์ฟร้อนๆ หอมกลิ่นกระชายนำ ตามด้วยกลิ่นกะปิอ่อนๆ รสชาติเผ็ดร้อนพอประมาณ     ต่อด้วยไส้กรอกน้ำตกหมู ไส้กรอกหมูเนื้อแน่นหนังตึงกรอบ รสชาติเค็มนำเจือเผ็ดร้อนพอกระชุ่มกระชวยจากเครื่องเทศลาว ตัดเลี่ยนด้วยส้มผักดองทำจากต้นหอมและกะหล่ำปลี     เป็ดต้มน้ำยาเส้นข้าวเปียก เส้นข้าวเปียกหนึบๆ ราดน้ำยาเป็ดเข้มข้น โรยหอมเจียว เคียงด้วยไข่ต้มยางมะตูมช่วยลดดีกรีความร้อนแรงของพริกแกงลาว     อ่อมเป็ดพริกไทยสด เป็ดเนื้อแน่นเคี้ยวหนึบในน้ำแกงรสเผ็ดร้อนขึ้นจมูก ปรุงด้วยน้ำปลาร้าผสมข้าวเบือ น้ำย่านาง และผักแพว ทางร้านยังมีเครื่องดื่มเย็นชื่นใจอย่างน้ำกระเจี๊ยบ รสชาติไม่หวานมากเพื่อให้เข้ากับอาหารส่วนใหญ่ที่มีรสชาติจัดจ้าน ดื่มแล้วสดชื่นเข้ากัน     ที่นี่ยังเหมาะเป็นร้านนั่งดื่มเพราะมีค็อกเทลเก๋ๆ ให้จับคู่ได้กับทุกเมนู ดื่มแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สั่งมานั่งชิลเอาท์เมาท์มอยกันได้อย่างเพลิดเพลิน  

คงต้องบอกว่าภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นอย่าง Hou Yuu โตมาพร้อมๆ กับ Gourmet&Cuisine เลยก็ว่าได้ เพราะตอนนี้ “โฮวยู” หรือ “บ้านเพื่อน”  หลังนี้จะมีอายุครบ 20 ขวบปีไม่ขาดไม่เกิน แน่นอนว่าเมื่อเลขสวยกำลังดีแบบนี้ ที่นี่จึงไม่พลาดเสริมพลังความอร่อยด้วยการยกขบวนหลากหลายเมนูที่จะทำให้ทุกคนได้อิ่มอร่อยตามตำรับญี่ปุ่นขนานแท้ได้ทุกวัน พร้อมชูโรงความอร่อยของวัตถุดิบที่คัดสรรมาตามฤดูกาลและปรุงรสชาติให้น้อยที่สุด         เริ่มกันด้วยพระเอกอย่าง Sashimi Moriawase Tokubetsu เช็ตซาชิมิรวมชุดใหญ่ยักษ์ที่รวมความสดฉ่ำของวัตถุดิบจากท้องทะเลมาไว้ด้วยกัน อาทิ โอโทโรเนื้อส่วนท้องปลาทูน่าสไลซ์มาชิ้นหนาๆ หอยเชลล์เนื้อเด้งๆ ปลาฮามาจิเนื้อแน่นชิ้นโต ไปจนถึงหอยแครงญี่ปุ่นตัวใหญ่ที่ถูกสไลซ์เป็นคำๆ ให้คีบกินอย่างสนุก     ต่อด้วย Nigiri Moriawase Matsu เซ็ตซูชิที่คนรักข้าวปั้นต้องหลงรักด้วยหน้าที่หลากหลายให้เลือกลอง ไม่ว่าจะเป็นโอโทโร ฮามาจิ ชิมาฮาจิ หอยแครงญี่ปุ่น กุ้งหวาน ปลาไหล ไข่หอยเม่น และไข่หวานย่าง แต่ถ้าอยากได้เมนูร้อนๆ ก็ต้อง Sukiyaki ชุดหม้อไฟที่จะทำให้เราได้ดื่มด่ำไปกับน้ำซุปสีดำรสหวานหอมเคียงคู่กับเนื้อที่ชอบ ซึ่งเราได้ลองสุกี้เนื้อวากิวนุ่มๆ ละลายในปาก       สำหรับคนรักข้าวก็ห้ามพลาด Una Ju ข้าวหน้าปลาไหลย่างเนื้อนุ่มหอมมันเสิร์ฟในกล่องข้าวสี่เหลี่ยมใบใหญ่ ส่วนคนรักเส้นก็อย่าลืมลอง TenZaru Udon อุด้งเย็นที่เหมาะกับอากาศบ้านเราอย่างที่สุด ที่สำคัญยังเสิร์ฟพร้อมชุดกุ้งและปลากะพงเทมปุระเคี้ยวกรุบกรอบเต็มคำอีกด้วย       แล้วอย่าลืมปิดท้ายมื้อด้วยชีสเค้กกันสักชิ้นสองชิ้น