คนรักอาหารญี่ปุ่นเตรียมพบกับ Karamenya Masumoto” ร้านราเมนรุ่นเก๋าแห่งจังหวัดมิยาซากิ  ประเทศญี่ปุ่น ที่เสิร์ฟความอร่อยมาตั้งแต่ปี 1987 และมีเมนูซิกเนเจอร์ที่สายฟู้ดพลาดไม่ได้คือ ‘ราเมนเผ็ด’ สูตรเด็ดประจำร้านซึ่งสามารถเลือกระดับความเผ็ดได้ตามชอบ นอกจากนี้ยังมีน้ำซุปอีกหลายชนิดที่รสชาติดีไม่แพ้กัน อาทิ ซุปโชยุ ซุปมะเขือเทศ และซุปขาว พร้อมเสิร์ฟแล้วที่ เซ็นทรัล พระราม 9 สาขาแรกในเมืองไทย เรียกน้ำย่อยกันด้วย เกี๊ยวซ่า แป้งบางกริบ ห่อไส้หมูเนื้อแน่น ได้กลิ่นหอมของพริกไทยเล็กน้อย ราดน้ำจิ้มรสเค็มผสานเปรี้ยว ต่อด้วย กระดูกอ่อนหมูตุ๋นมาซึโมโตะ ชิ้นใหญ่ๆ น่ากินเป็นที่สุด ให้เนื้อสัมผัสนุ่มเปื่อยแทบละลายในปาก เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มสูตรเฉพาะที่ให้รสเค็มเผ็ดกำลังดี มาถึงราเมนกันบ้าง ชามแรกเราลองชิม คาระเม็งซุปโชยุ เส้นเล็กโฮมเมดเหนียวนุ่ม อยู่ในน้ำแกงโชยุรสกลมกล่อม ซึ่งปรุงจากโชยุชั้นดี ผสานกับพริกสัญชาติญี่ปุ่นในระดับความเผ็ดพอเหมาะ แต่หากใครชอบรสเผ็ดร้อนมากขึ้นก็สามารถเพิ่มความเผ็ดได้เช่นกัน คาระเมงซุปขาว ก็น่าสนใจ ตัวน้ำซุปเบสมาจากน้ำนมถั่วเหลือง ได้รสเค็มเล็กๆ จากเกลือโกจิชั้นดี ซู้ดพร้อมเส้นราเมนต้นตำรับ ซึ่งทำจากแป้งสาลีและแป้งโซบะ ให้สัมผัสเหนียวนุ่มกินอร่อย พร้อมหมูชาชูชิ้นใหญ่ๆ คาระเมงซุปมะเขือเทศ ให้รสเปรี้ยวนุ่มนวล ใครชิมเป็นต้องติดใจ ท็อปด้วยชีสครีมมียืดๆ และหมูสับ มหาศาล

Pecann ร้านเค้กฟีลเกาหลี ธุรกิจสุดคิวท์ของครอบครัวคุณวิว ผู้ที่มีใจรักของหวานเป็นชีวิตจิตใจ ได้ไปฝึกฝนรำเรียนการทำเบเกอรี่ ก่อนนำความรู้ความสามารถบวกกับใจรักมาเปิดเป็นโปรเจ็กต์ร้านในฝันจนประสบความสำเร็จ กลายที่รู้จักในนามแบรนด์เค้กวันเกิด "Creative bake with finest ingredient" คือคติประจำใจของ Pecann เพราะเค้กทุกก้อนเกิดจากแพสชัน เลือกใช้วัตถุดิบชั้นเลิศ ตั้งใจคิดค้นและทดลองสูตร เพื่อให้ได้เค้กคุณภาพ เพราะคุณวิวเชื่อว่าทุกคนที่ได้รับเค้กจาก Pecann จะอิ่มเอมใจไปกับของขวัญชิ้นพิเศษนี้ ใครเห็นก็ต้องร้องว้าว! ด้วยหน้าตาที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความเก๋ไก๋ของรสชาติและรสสัมผัสที่แตกต่างจากเค้กทั่วไป ด้วยความหนึบของเนื้อเค้กที่เหมือนบราวนี่ แต่มีเท็กซ์เจอร์กรุบกรอบแบบคุกกี้ คุณวิวจึงได้ไอเดียรังสรรค์ Brookie Cake (Brownie + Cookie) เค้กลูกผสมระหว่างบราวนี่กับคุกกี้ เลเยอร์ของเค้กจะมีครีมนมสดสลับกับช็อกโกแลต ทุกชั้นเรียบเนียนแบ่งเท่ากันทุกส่วน แสดงถึงความพิถีพิถันในการทำ อีกทั้งกลิ่นและรสมีความหอมมันจากเนย AOP นำเข้าจากฝรั่งเศส เข้ากันได้ดีกับครีมนมสดแท้ 100% ที่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์เป็นที่เรียบร้อย เพิ่มความเข้มข้นด้วย Couverture Chocolate 70% สาวกช็อกโกแลตอย่างเราขอยกนิ้วให้เลย (Brookie Cake ขนาด 1.5lb ราคา 1,650 บาท) ยังมี Renn Collection เค้กดอกไม้สุดคิวท์ คุณวิวได้แรงบันดาลใจมาจากคำว่า Rain หรือ ฝน เค้กในคอลเล็กชันนี้จึงมาพร้อมคอนเซ็ปต์ ‘ดอกไม้ที่ผลิบานในยามฝนตก’ ชั้นของเกสรตรงกลางเป็นเจลลีเนื้อหนึบ ได้รสเปรี้ยวๆ หวานๆ เคี้ยวสนุก กลีบดอกไม้ทำจากครีมชีสสูตรลับ มีความหอมมันอบอวลในปาก ส่วนฐานของดอกไม้จะเป็นครัมเบิล ช่วยเพิ่มความกรอบให้เค้ก และด้านในสอดไส้ด้วยซอสสูตรโฮมเมด Renn Collection มีให้เลือก 4 รสชาติ ได้แก่ Daisy-Yuzu Cheesecake (ขนาด 1lb ราคา 1,950 บาท) เค้กสีเหลืองสดใส ครีเอตจากดอกเดซี่ มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย หอมกลิ่นยูซุชัดเจน Margaret - Blueberry Cheesecake (ขนาด 1lb ราคา 1,750 บาท) ได้แรงบันดาลใจมาจากสีม่วงของดอกมาร์กาเร็ต ได้รสชาติเปรี้ยวอมหวานจากบลูเบอร์รี Camellia - Strawberry Cheesecake (ขนาด 1lb ราคา 1,750 บาท) เค้กสตรอว์เบอร์รีชิ้นนี้รังสรรค์ให้เป็นตัวแทนของดอกคามิลเลีย มีรสเปรี้ยวสดชื่น และสุดท้าย Calla Lily - Oreo Cheesecake (ขนาด 1lb ราคา 1,750 บาท) เค้กรสละมุนที่ได้ไอเดียมาจากดอกคาลล่า ลิลลี่ แสนสวย ผสมผสานรส Oreo ที่เข้ากันได้ดีกับครีมชีส ให้รสหวานกำลังดี อร่อยไม่แพ้รสชาติอื่นเลย หากใครสนใจสามารถเดินเข้าไปเลือกของขวัญชิ้นพิเศษได้ด้วยตัวเองที่ (หน้าร้าน) ซอย นราธิวาส 24 แขวง ช่องนนทรี เขต ยานนาวา กทม. หรือสะดวกสั่งทางออนไลน์ เขาก็มีจัดส่งผ่านเดลิเวอรีด้วยนะ   สอบถาม/สั่งซื้อ Line : @pecann IG : @pecannbkk โทร. 064 647 4541

การออกแบบร้านด้วยโทนสีดำ-แดง ยังไม่สามารถสู้ความร้อนแรงของไฟที่ลุกโชนจากห้องครัวของ LAVA Asian Fire Grill ได้ เพราะที่นี่ได้ยกเอาเทคนิคการย่างอาหารแบบเอเชียมาปรุงอาหารในแต่ละจานให้มีความพิเศษไม่เหมือนที่ใดจริง ๆ LAVA Asian Fire Grill เกิดจากการร่วมมือกันระหว่าง เชฟเจริโก แวน เดอ วูฟ (Jeriko Van der Wolf) ,ลูคัส โมลินา (Lucas Molina) และ เอเดรียน อัสตังโย (Adrien Astagneau) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการย่างอาหารด้วยฟางแบบญี่ปุ่น แต่นำมาปรับเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ การย่างฟางจึงกลายเป็นการย่างไฟแบบ “โคโคยากิ (Kokoyaki)” หรือการย่างด้วยกาบมะพร้าวนั่นเอง ไม่ใช่แค่อาหารย่างเท่านั้นที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอาหารเอเชีย ส่วนของจานเรียกน้ำย่อยก็ล้วนมีกลิ่นอายของความเอเชียสอดแทรกเข้ามาด้วย เช่น Ponzu Truffle Sashimi ซาชิมิที่เลือกได้ระหว่างแซลมอนดองกับหอยเชลล์ มาในซอสพอนสึที่ผสมผสานกับน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิล ได้ทั้งความเค็มเปรี้ยวสดชื่นแบบญี่ปุ่น พร้อมกับกลิ่นหอมจากเห็ดทรัฟเฟิล ท็อปด้วยใบชิโสะเพิ่มกลิ่นฉุนที่เข้ากันอย่างน่าประหลาดใจ Crab Avocado Salad ก็เป็นอีกจานเรียกน้ำย่อยที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับใครที่มองหารสชาติสดชื่นและละมุนในคำเดียว เพราะจานนี้เป็นการรวมตัวกันของความมันและความสดชื่นจากอะโวคาโดซัลซา มะม่วง และเนื้อปูแน่น ๆ เมื่อเรียกน้ำย่อยแล้ว มาอุ่นเครื่องกันต่อกับ Truffle Liver Toast ขนมปังบริออชชิ้นพอดีคำ ท็อปด้วยตับไก่บด และชีสทรัฟเฟิลพาร์เมซาน ที่ความกลมกล่อมของส่วนผสมนั้นช่างลงตัวกับขนมปังบริออชที่โทสต์มาอย่างดีจนได้เนื้อที่เหนียวนุ่มและมีความกรอบตรงผิวด้านนอก หรือถ้าใครชื่นชอบอูนิ หรือไข่หอยเม่น ก็มีอีกตัวเลือกในเมนู Hokkaido Uni Toast ให้ลิ้มลองด้วยเช่นกัน ส่วน Wagyu Katsu Sando จะเป็นเมนูอุ่นท้องที่ถูกใจสายเนื้ออย่างแน่นอน ด้วยเนื้อวากิวชิ้นหนาพอดีคำ ในความสุกแบบมีเดียมแรร์ ประกบด้วยขนมปังเป็นเหมือนแซนด์วิช มาพร้อมมัสตาร์ดและวาซาบิดองให้เพิ่มรสชาติได้ตามใจชอบ จานซิกเนเจอร์ของร้านที่พลาดไม่ได้ ต้องยกให้กับ Truffle Risotto & Ox Tongue รีซอตโตสไตล์อิตาเลียน แต่ที่นี่เลือกใช้ข้าวญี่ปุ่นมาปรุง จับคู่กับลิ้นวัวตุ๋น แล้วท็อปด้วยทรัฟเฟิลสดแบบแน่น ๆ ต่อด้วย Beef Tartar & Bone Marrow ที่น่าสนใจด้วยการหยิบทาร์ทาร์เนื้อเทนเดอร์ลอยน์กับไขกระดูกมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน พร้อมด้วยเครื่องปรุงรสสไตล์เอเชียและพาร์เมซาน กลายเป็นมิติใหม่ของเมนูทาร์ทาร์เนื้อที่มีความกลมกล่อมแฝงรสชาติของอาหารเอเชียเข้ามาด้วย เมื่อที่นี่ชูจุดเด่นเป็นอาหารย่าง LAVA Asian Fire Grill จึงนำเสนอทั้งเนื้อวากิวและเนื้อแบล็กแองกัส โดยมีตัวเลือกที่โดดเด่นในเมนูคือ Australian Wagyu Tomahawk เนื้อออสเตรเลียนวากิวโทมาฮอว์กที่มีความกรอบเกรียมจากพริกไทยบนผิวด้านนอก รวมถึงเมนู Chef’s Omakase Board สเต๊กบอร์ดไซส์ยักษ์จัดเต็มกับเนื้อแบล็กแองกัสแฮงเกอร์ เนื้อแบล็กแองกัสริบอาย เนื้อวากิวเทนเดอร์ลอยน์ และเนื้อวากิวสเกิร์ต ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานที่ยังคงได้รับแรงบันดาลใจมาจากขนมสไตล์เอเชียเช่นกันกับเมนู Fortune Cookies คุกกี้เสี่ยงทายชิ้นใหญ่อลังการ มาพร้อมกับกล้วยหอม อัลมอนด์สไลด์ ครัมเบิล ราดซอสช็อกโกแลต และขาดไม่ได้คือ คำทำนาย! ที่มาช่วยสร้างความสนุกสนานระหว่างมื้ออาหาร สำหรับเครื่องดื่ม ที่ LAVA Asian Fire Grill มีบริการตั้งแต่ไวน์คลาสสิกไปจนถึงไวน์หายาก รวมถึงค็อกเทลที่ผสมผสานความเป็นเอเชียเข้าไปด้วย โดยมีซิกเนเจอร์ยอดนิยมอย่างโคโค่นัท 2.0 (Coconut 2.0), อันเดล (Andale!), ซูชิ มี (Sushi me) และ พิงค์ สวอน (Pink Swan) สำหรับการเดินทางบทใหม่ของ LAVA Asian Fire Grill ในปี 2566 นี้ จะมีกิจกรรมพิเศษในแต่ละเดือน ไม่ว่าจะเป็น การร่วมมือกันกันระหว่างเชฟจากต่างร้าน ธีมอาหารในแต่ละสัปดาห์ และมื้อดินเนอร์ไวน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่งในเดือนมิถุนายนนี้ ร้าน LAVA ภูมิใจนำเสนอ “LAVA x TEPPEN Fusion of Flavors” การรวมตัวกันของสุดยอดเชฟทาคาโอะ (Chef Takao) จากร้านเท็ปเป็น (Teppen) และเชฟเจริโก (Chef Jeriko) จากร้าน LAVA มาร่วมกันปรุงเมนูอาหารระดับมาสเตอร์พีชด้วยการใช้เทคนิคการย่างไฟร่วมกับเทคนิคการทำอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ขณะที่เดือนกรกฎาคม ร้าน LAVA จะจัดงาน Sunday Brunch Edition เป็นครั้งแรก

จะมีสักกี่คนที่นำของรักของหวงมาอวดโฉมให้คนแปลกหน้าได้เชยชม แต่ไม่ใช่สำหรับ Frame Cafe & Restaurant ร้านอาหารไทย-อิตาเลียน ที่เป็นดั่ง 'มินิมิวเซียม' ให้เหล่าคนรักงานศิลป์ได้เข้าไปเสพงานอาร์ตระดับแรร์ไอเท็ม ซึ่งเป็นของสะสมของคุณแบงค์กับคุณอร สองสามีภรรยาเจ้าของร้าน Frame และโรงแรม Frame Hotel ที่ตั้งอยู่ย่านงามวงศ์วาน 47 แม้ว่าตัวโรงแรมจะยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ แต่ทุกคนที่มีความสนใจในงานศิลปะสามารถเข้ามานั่งรับประทานอาหารพร้อมแลกเปลี่ยนความสนใจกันได้ที่ร้าน Frame เพราะที่นี่เป็นพื้นที่คอมมูนิตีสำหรับคนรักงานศิลป์ตัวยง ภายใต้บรรยากาศโมเดิร์นลักซ์ชัวรี ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีดำตัดสลับสีทองให้ดูหรูแต่ยังเข้าถึงง่ายด้วยการซ่อนวัสดุที่ทำจากไม้เพื่อคงความอบอุ่น ภายในร้านยังมีงานศิลปะหลายแขนงตั้งตระหง่านเป็นอาหารตาทั้งภาพวาด ภาพถ่าย ตุ๊กตา Bearbrick และของเล่น ที่ล้วนเป็นงานชิ้นเอกสุดลิมิเต็ดจากศิลปินชื่อดังระดับโลก ในส่วนของเมนูอาหารจะเน้นเสิร์ฟสไตล์ฟิวชัน ไทย-อิตาเลียน รังสรรค์ขึ้นจากความชอบเช่นเดียวกับงานอาร์ตทั้งหลาย ด้วยศิลปะการปรุงที่ผสมผสานรสชาติอย่างพิถีพิถัน ถูกปากทั้งชาวไทยและต่างชาติอย่างแน่นอน เปิดต่อมรับรสด้วย Latte สูตรเฉพาะของร้านที่ใช้เมล็ดกาแฟไทย-บราซิล คั่วกลางค่อนไปทางเข้ม ไม่ใส่ไซรัป (แต่สามารถขอเพิ่มได้) ให้รสเข้มข้นตัดด้วยรสละมุน มีความหอมมันจากนมสด แก้วนี้ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้เป็นอย่างดี ส่วนเมนูคาวจานแรกเป็นของ แกงเผ็ดเป็ด The Frame เพียงวางลงบนโต๊ะก็ได้กลิ่นหอมของเครื่องแกงที่ร้านโขลกเอง น้ำแกงให้รสจัดจ้าน กินคู่เป็ดซูวีด ย่างจนหนังกรอบ แต่เนื้อในยังฉ่ำและนุ่ม อร่อยครบรสทั้งเปรี้ยว หวาน และเผ็ด เมนูถัดมาคือ ปลาช่อนเกยตื้น ปลาช่อนทอดกรอบนอนเกยอยู่บนผัดมะเขือยาว ได้รสเค็มๆ หวานๆ ตัดรสชาติด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ ต่อด้วย ต้มข่าไก่ย่าง น้ำแกงรสนุ่มนวล หอมกลิ่นสมุนไพรหลากชนิด มีรสเปรี้ยว เค็ม และได้ความหอมมันจากกะทิ จับคู่กับไก่ย่างหนังกรอบหอมกลิ่นสโมก กินคู่ข้าวสวยร้อนๆ อร่อยกลมกล่อม นอกเหนือไปจากเมนูอาหารไทยแล้ว Frame ยังมีเมนูอาหารอิตาเลียนอย่าง เบอร์เกอร์ปูนิ่ม ขนมปังกรอบนอกนุ่มใน สอดไส้ผักสดกับปูนิ่มตัวโต ไฮไลท์อยู่ที่ซอสพริก เป็นซอสพริกผสมมายองเนส ให้รสเผ็ดเล็กน้อย ชูรสชาติได้ดี และ Pink Sauce สปาเกตตีเส้นสุกกำลังดี คลุกเคล้าซอสครีมที่ผสมกับซอสมะเขือเทศ มีความครีมมี่ๆ ให้รสเปรี้ยวเล็กน้อย กินคู่กุ้งเนื้อเด้ง โรยด้วยผงปาปริกา ชีส และพาร์สลีย์ ปิดท้ายมื้อนี้ด้วย Honey Toast เมนูขนมหวานยอดฮิต เสิร์ฟคู่ไอศกรีมที่สั่งเป็นคุกกี้แอนด์ครีม รสชาติหวานเล็กน้อย เพิ่มรสหวานด้วยน้ำผึ้งแท้ ด้านข้างเคียงมาด้วยกล้วยฝานและสตรอว์เบอร์รีหั่นเต๋า กินคู่โทสต์หอมนุ่มชุ่มเนย แถมเมนูเครื่องดื่มที่ควรค่าแก่การสั่งให้อีกหนึ่งเมนูคือ Strawberry Smoothies สมูทตีสตรอว์เบอร์รีโยเกิร์ต รสหวานเปรี้ยวกำลังดี ปั่นจนเนื้อเนียนละเอียด ท็อปด้วยเนื้อสตรอว์เบอร์รีสดให้เคี้ยวเพลิน สำหรับโรงแรม Frame Hotel จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในเดือนสิงหาคม แอบกระซิบว่านอกจากร้าน Frame แล้ว ทางโรงแรมจะเปิดห้องอาหารใหม่ และมีรูฟท็อปในบรรยากาศสบายๆ รอติดตามกันได้เลย

หนึ่งในร้านเก่าแก่ย่านบางแคที่ฟู้ดดี้มองข้ามไม่ได้ อย่างไรเสียต้องมีชื่อ “สิงห์ทองเบเกอรี” ร้านเบเกอร์รีในตำนานที่ขายมานานกว่า 60 ปีร่วมด้วย เมนูตัวตึงที่พลาดไม่ได้เลยคือ ‘ท๊อฟฟี่เค้ก’ หน้าแน่นๆ แป้งนุ่ม เรียกได้ว่าใครที่อยากลิ้มลองต้องรีบมาจับจองกันตั้งแต่ร้านเปิด ส่วนขนมอื่นๆ ก็ได้คะแนนความนิยมไปไม่น้อยเหมือนกัน ด้วยความที่รสชาติคุ้นลิ้นและราคาที่น่ารัก (มากมาย) ครั้งนี้เราแวะมาชิมที่สาขาท่ารถเมล์ ใกล้ๆ MRT บางแค (ทางออกที่ 3) เริ่มต้นจากเมนูในตำนานอย่าง ท๊อฟฟี่เค้ก ตัวแป้งเค้กแน่นนุ่มกำลังดี ท็อปด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์กรุบกรอบ เคล้าคาราเมลรสเค็มหวาน ตามด้วย โรลวานิลลา ทำสดใหม่วันต่อวัน แป้งนุ่มฟู หอมกลิ่นวานิลลาเล็กๆ กินพร้อมครีมรสหอมมัน หรือใครชอบ โรลกาแฟ ที่นี่ก็มีนะ ตัวแป้งยังคงนิ่มเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือกลิ่นกาแฟรสเข้มพอเหมาะ ขนมปังเนยสด ชิ้นใหญ่จุใจ ตัวเนื้อแป้งเหนียวนุ่ม ท็อปด้วยเนยสดและน้ำตาลทราย ขนมปังไส้ไก่ ก็มี ชิ้นมินิน่ารัก ได้รสชาติไก่เต็มคำ พายข้าวโพด ก็ขายดี ได้ความกรุบกรอบจากแป้งพายอย่างเต็มพิกัด เข้ากันดีกับซอสข้าวโพดรสหวานมัน ต่อด้วย เนยแท่ง สำหรับใครที่ชอบความหวานมันเป็นพิเศษ ยังมี ครีมฮอร์น ที่เนื้อแป้งเหนียวนุ่ม สอดไส้ครีมรสหวานมันไว้อย่างมหาศาล จบด้วย เค้กกาแฟ รสหวานพอดี ตัวครีมหอมมันเคล้าเนื้อเค้กกาแฟฟูๆ นุ่มนิ่ม ตกแต่งหน้าด้วยลูกกวาดหลากสีสัน

มีเรื่องให้สายฟู้ดชาวฝั่งธนฯ ได้ดีอกดีใจกันอีกแล้ว เพราะคราวนี้ “After Yum” ร้านยำในตำนานประจำเมืองพัทยาได้มาบุกโลเคชั่นใหม่ที่ ‘The Sense’ ศูนย์การค้าชื่อดังแห่งย่านปิ่นเกล้าเรียบร้อย ตัวร้านทั้งการตกแต่งและเมนู ยกคอนเซ็ปมาจากสาขาดั้งเดิมทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งการใช้สีแดงสดที่เปรียบเสมือนความเผ็ดร้อนของยำ และจานอร่อยซิกเนเจอร์ที่คุณสามารถเลือกระดับความเผ็ดได้ เรียกน้ำย่อยกันด้วย สามชั้นทอด ของกินเล่นสุดป็อปที่ขายดีตั้งแต่สาขาแรก ตัวสามชั้นกรอบนอกนุ่มใน ไม่อมน้ำมัน หอมกลิ่นกระเทียมฟุ้ง กินกับข้าวเหนียวอิ่มเอม ต่อด้วย ยำหมูยอไข่แดง หนึ่งในเมนูดาวเด่นประจำร้าน หมูยอคุณภาพเนื้อแน่น หอมกลิ่นพริกไทยอ่อนๆ คลุกเคล้ากับไข่แดงครีมมี และน้ำยำรสจัดจ้านกำลังดี ยำแซลมอน ที่หลายคนเลิฟ แซลมอนเนื้อแน่น แล่ชิ้นบางพอดี มิ๊กซ์น้ำยำรสเปรี้ยวเผ็ด ที่ผสานความนัวของน้ำปลาร้าชั้นดีเอาไว้ ปิดท้ายด้วย กุ้งแก้วแช่น้ำปลา เมนูใหม่ไฟแรงที่สายฟู้ดสั่งกันรัวๆ กุ้งแก้วตัวโตๆ แช่น้ำปลาจนเนื้อสดกรอบเด้ง เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ กระเทียมดอง และใบโหระพา สาขานี้ไม่ต้องต่อคิวยาวเลย

Meakin Pastry ร้านขนมอบโฮมเมดที่มาในคอนเซ็ปต์ Homie & Simple แม้หน้าตาจะไม่หวือหวา แต่รับประกันเรื่องรสชาติที่ยืนหนึ่งครองใจเหล่าฟู้ดดี้ โดยมีทีเด็ดอยู่ที่ขนมสุดคลาสสิกสัญชาติฝรั่งเศสอย่าง เอแคลร์ ถูกใจตั้งแต่แพ็กเกจสีเหลืองสะดุดตา เน้นความเรียบง่ายด้วยฟอนต์ภาษาอังกฤษสีดำ สลักไว้ว่า ‘Hella Sweet! By Meakin Pastry’ ซึ่งคำว่า “เมคิน” ได้มาจากสองพยางค์สุดท้ายของนามสกุลเจ้าของร้านนั่นเอง แต่สิ่งที่ทำให้เร้าใจไม่ได้มีเพียงแค่สีสันของแพ็กเกจเท่านั้น เพราะกลิ่นหอมๆ ของขนมอบภายในต่างหาก ที่ช่วยกระตุ้นให้นักกินอย่างเราอยากแกะกล่องออกมาลิ้มลอง Signature Eclair แม้หน้าตาจะไม่ได้ต่างจากร้านอื่นมากนัก แต่ทางร้านได้เน้นหนักไปที่รสชาติของตัวเอแคลร์ ที่เกิดจากการเอาชนะข้อจำกัดของตัว(เจ้าของร้าน)เอง เมื่อครั้งยังเรียนอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย เพราะเอแคลร์คือขนมที่ฝังใจที่สุดในขณะนั้น จนเกิดเป็นแรงผลักดันให้ทางเจ้าของเปิดร้าน Meakin Pastry ขึ้นมา แล้วดันตัวเอแคลร์ให้กลายเป็นซิกเนเจอร์ ด้วยการปรับปรุงสูตรจนได้แป้งที่มีกลิ่นหอมเนยแท้จากฝรั่งเศส และไส้แน่นๆ ที่สอดแทรกความหวานละมุน มีให้เลือกทั้งรสนม สตรอว์เบอร์รี และช็อกโกแลต เมนูชูโรงอีกอย่างหนึ่งของร้านคือ Sandwich Cookies แซนด์วิชคุกกี้สูตรพิเศษ จากวัตถุดิบเกรดพรีเมี่ยม มีเนื้อสัมผัสที่กรอบนอกและหนึบในด้วยไส้ครีมชีสฟรอสติง รสหวานมันกำลังดี ได้กลิ่นหอมของเนยตลบอบอวลในปาก Signature Eclair กล่อง 3 ชิ้น ราคา 250 บาท Sandwich cookies กล่อง 3 ชิ้น ราคา 230 บาท สอบถาม/สั่งซื้อ ได้ที่ Line : @meakin.pastry IG : meakin.pastry   จัดส่งทั่วไทยผ่านทางเดลิเวอรี่ กรุงเทพ : Delivery by Rider Express ต่างจังหวัด : ขนส่งแบบรถควบคุมอุณหภูมิ (2-3 วัน)

ภายในซอยทองหล่อ 13 เป็นโลเคชั่นของ “Thaipas” บาร์ทาปาสสไตล์ไทยที่มีจุดเด่นในการใช้ซีฟู้ดสดเด้งจากชาวเลจังหวัดระยอง มาครีเอทเป็นอาหารสเปนรสดั้งเดิม ผู้รังสรรค์คือ เชฟเจมส์ พ่อครัวใหญ่ที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์จากร้านอาหารสเปนชื่อดังมากมาย พร้อมเอ็นจอยกับบรรยากาศหรูหราฟีลดี ที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องสีฟ้าอมเขียว เปรียบเสมือนสีของน้ำทะเล ด้านหน้ามีรูปปั้นนางผีเสื้อสมุทร ประดับไว้ตระการตา ประติมากรรมซิกเนเจอร์ของชาวระยอง ที่นักท่องเที่ยวเห็นแล้วต้องรู้กัน        เริ่มมื้อนี้ด้วย Cured Fjord Trout with Gravlax on Toast ปลาฟยอร์ดเทราต์ที่ส่งตรงจากประเทศนิวซีแลนด์ หมักอย่างดีกับสมุนไพรอย่างผักชีลาว และจูนิเปอร์ จนได้เนื้อสัมผัสนุ่มนวล เสิร์ฟคู่ขนมปังกรอบโฮมเมด ราดซอสไอโอลีทำเองรสครีมมี กับซอสผักชีลาวหอมฟุ้ง ต่อด้วย Thai Seabass & Fresh Prawn Ceviche จานนี้ได้ใจฟู้ดดี้หลายคน เพราะโดดเด่นด้วยปลากระพงเนื้อขาวที่ทางร้านนำไป Dry Aged เป็นเวลากว่า 14 วัน คลุกเคล้ากับกุ้งเนื้อหวานหั่นชิ้นพอดีคำ และน้ำซอสผลไม้ตระกูลซิตรัต ที่ให้รสเปรี้ยวสดชื่น เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี ขาดเมนูนี้ไปไม่ได้เลย Gambas al Ajillo กุ้งกระเทียมในแบบฉบับอาหารสเปน ให้คุณอร่อยกับกุ้งตัวโตๆ จากทะเลแปซิฟิก อบพร้อมกระเทียมและน้ำมันมะกอกชั้นดี เพิ่มความเผ็ดร้อนด้วยพริกแห้ง Pan-Seared Rayong's Baby Squids with Fried Eggs หมึกกระตอยจากชาวเลแห่งจังหวัดระยอง ผัดกับน้ำมันมะกอกและกระเทียม กินพร้อมไข่ดาวอิ่มเอม ชาววีแกนถูกสิ่งนี้ Escalivada จานวีแกนหนึ่งเดียวในร้าน ที่เชฟได้แรงบันดาลใจมากจากแคว้นคาตาลุนญ่า โดยการนำผักนานาชนิดอย่าง มะเขือยาว พริกหวาน มะเขือเทศ หัวหอม นำไปย่างไฟร้อนๆ ท็อปด้วยซอสโรเมสโก (Romesco) รสเข้มข้นที่ทำมาจากมะเขือเทศ กระเทียม และอัลมอนด์ อย่าลืมสั่ง Paella de Marisco ข้าวอบสเปนที่หุงด้วยน้ำซีฟู้ดรสกลมกล่อม ที่เชฟใช้เวลาเคี่ยวกว่า 8 ชั่วโมง พร้อมตกแต่งด้วยซีฟู้ดสดเด้งจากทะเลไทยอย่าง กุ้งตัวอ้วบ ปลาเนื้อแน่น หมึกกล้วยหนึบๆ และหอยตลับ ก่อนเสิร์ฟเชฟราดน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตราเวอร์จิน และบีบเลมอนเพิ่มรสเปรี้ยวลงตัว ปิดท้ายด้วยของหวานคลาสสิกอย่าง Caramel Flan คาราเมลคัสตาร์ดเนื้อนุ่มเด้ง ได้รสหวานมันจากครีมสด ครีมชีส และนมคุณภาพ ตัดรสด้วยความเค็มจากเกลือทะเลมาล์ดอนเล็กน้อย จิบคู่ไวน์ดีๆ สักแก้วนี่แหละเหมาะ  

หลังจากหยุดรีโนเวตไปร่วมปี โรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ (InterContinental Bangkok) กลับมาเปิดตัวอีกครั้งพร้อมด้วยรูปโฉมใหม่อันทันสมัยและสวยงาม พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัวห้องอาหารน้องใหม่ในคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจของ “California Cuisine” ที่ห้องอาหาร SoCal (โซแคล) พร้อมแล้วที่จะพัดพาความอร่อยใหม่และความสดใสสไตล์แคลิฟอร์เนียมาสู่ใจกลางกรุงเทพฯ “โซแคล” เป็นคำที่ใช้เรียกผู้คนที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย อาหารในแบบฉบับของแคลิฟอร์เนียได้รับอิทธิพลมาจากหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส อิตาเลียน อเมริกัน แม็กซิกัน จีน ญี่ปุ่น และมักอุดมไปด้วยผักและผลไม้สด เนื้อสัตว์ และซีฟู้ดสดๆ จากมหาสมุทรแปซิฟิก เชฟ โดมินิค ฮอง (Chef Dominic Hong) หัวหน้าพ่อครัวประจำห้องอาหารโซแคล นำประสบการณ์ในระดับนานาชาติมารังสรรค์อาหารจานพิเศษที่แปลกใหม่และหลากหลายในสไตล์แคลิฟอร์เนียให้เราได้ลิ้มลองกัน ไม่ว่าจะเป็นแบบจานเดียวง่ายๆ และรวดเร็ว หรือจานแชร์ริ่งสำหรับแบ่งปันกับคนรักและเพื่อนฝูง จานแนะนำเริ่มจากของกินเล่นรสชาติชวนสดชื่น อาทิ Avocado Toast โทสต์อะโวคาโดบด ใส่ชีสริคอตตาและหอมแดงดอง Lobster Tostada ล็อบสเตอร์บนแป้งตอร์ติญาบางกรอบ ปรุงรสด้วยพลัมและเดรสซิ่งยูสุ ราดซอสซัลซ่าโรจาเผ็ดนิดๆ ชวนให้ตื่นตัว และ Salted Roasted Beets บีตรูตย่างบนซอสโรเมสโกใส่ถั่วเฮเซลนัทและโกตชีส จานนี้เป็นมังสวิรัติที่กินเพลินเลยล่ะ จากนั้นเขยิบมาจานหลักที่สามารถกินแบบแชร์ริ่งได้ เริ่มจากจานสลัด The Chunky Venice Beach “Green” Salad จานสลัดอุดมผักเขียว อาทิ ถั่วแวกซ์บีน อะโวคาโด ถั่วพิสตาชิโอ แตงกวา ผักร็อกเกต และซิตรัส เป็นสลัดที่กินง่ายเพลินๆ นัวๆ Grilled Octopus หมึกยักษ์ย่างจนเนื้อนุ่มเคียงมากับมันฝรั่งทอดสไตล์สเปน “Bravas” และซอสพริกจาราปิโนไอโอลี ใครที่เป็นสายแป้งต้องเลิฟ Pork Belly Tacos ทาโก้แป้งบางสอดไส้ด้วยหมูสามชั้นเนื้อนุ่มๆ เสิร์ฟกับซัลซ่าสับปะรดย่างรสเปรี้ยวหวานตัดกันชวนสดชื่น และ Kabosha Squash Pizza พิซซ่าหนานุ่มที่มาในลุคเก๋ด้วยหน้าฟักทองฝานบางให้รสหวานๆ มันๆ และเปปเปอโรนีเค็มๆ โรยหน้าด้วยชีสริคอตตาและเมล็ดฟักทอง เป็นอีกจานที่เพลิดเพลินมากๆ ส่วนจานหลักต้องยกให้ Cioppino Seafood Stew ซีฟู้ดสตูว์สไตล์ซานฟรานซิสโกที่เข้มข้นด้วยน้ำซุปมะเขือเทศที่อุดมไปด้วยความอูมามิจากกุ้งลายเสือ หอยตลับ หอยแมลงภู่ และปลาฮาลิบัต ตามด้วย Slow Cooked Lamb Neck คอแกะตุ๋น 48 ชั่วโมงกับบาร์บาโกอาเกลซฉ่ำๆ เพิ่มความอ่รอยให้กับเนื้อแกะ เคียงกับเฟนเนลและซิตรัสดองน้ำส้ม เสิร์ฟกับแป้งตอร์ติญ่า นอกจากนี้ยังมีโซนบาร์ที่ให้บริการเครื่องดื่มสไตล์แคลิฟอร์เนียหลากหลายชนิด เริ่มต้นด้วยซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่ชวนสดชื่นเหมือนอยู่ริมชายหาดอย่าง Lavender Scroppio ที่มีส่วนผสมของวอดก้า เลมอนเชอร์เบต โปรเซกโก และลาเวนเดอร์ เอสเซนซ์ บับเบิ้ล รสหอมหวานกลิ่นมะนาว หรือ Citrus & Bubbles ที่มีส่วนผสมของพิงค์จิน เบอร์กามอต ลิเคียวร์ พิงค์เกรปฟรุต คาโมมายล์ คอร์เดียล และโปรเซกโก รสชาติเปรี้ยวชวนสดชื่น ทางร้านยังมีรายการไวน์อีกกว่า 300 ลาเบลและแน่นอนว่าต้องมีไวน์แคลิฟอร์เนียให้เลือกลิ้มลองอย่างจุใจกว่า 47 ลาเบล ซึ่งสามารถใช้แอปพลิเคชั่น Vinu ช่วยในการจับคู่ไวน์เข้ากับอาหารมื้ออร่อยเพื่อยกระดับประสบการณ์ไดนิ่งขึ้นไปอีกระดับ

25 Degrees ร้านเบอร์เกอร์ต้นตำรับจากลอสแอนเจลิส ที่ถอดเอาบรรยากาศของร้านเบอร์เกอร์สไตล์อเมริกันมาใส่ไว้อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้ชายคาของโรงแรมพูลแมน กรุงเทพฯ จี (Pullman Bangkok Hotel G) บนถนนสีลม ใจกลางกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะหิวท้องร้องตอนไหนก็มาเยือนได้ตลอด 24 ชั่วโมง NUMBER TWO เป็นหนึ่งในเมนูเบอร์เกอร์ซิกเนเจอร์ของร้าน ซึ่งประกอบไปด้วยเนื้อแพตตี้ชิ้นหนากำลังดี ประกบกับมะเขือเทศย่าง บูราต้าชีส โปรชุตโต้แฮม และราดด้วยเพสโตซอส นอกจากจะนำเสนอเบอร์เกอร์หลากหลายเมนูไม่มีน้อยหน้าใครแล้ว ที่ 25 Degrees ยังพร้อมเสิร์ฟเมนู All Day Breakfast สไตล์อเมริกันเติมพลังงานได้ตลอดทั้งวันด้วยเช่นกัน อย่างเช่น SMASHED AVOCADO & TOAST อะโวคาโดโทสต์สุดคลาสสิก ที่ชวนประทับใจตั้งแต่ขนมปังซาวร์โดเนื้อเหนียวนุ่ม ผิวกรอบเคี้ยวสนุก ท็อปด้วยอะโวคาโดบดละเอียด เม็ดทับทิม และเฟต้าชีสช่วยเพิ่มความเค็มนิด ๆ จับคู่มากับไข่ดาวซันนี่ไซด์อัพ มันฝรั่ง และมะเขือเทศ ส่วนของกินเล่นที่เพลินจนต้องยกนิ้วให้ก็คือ CORN RIBS WITH CHIPOTLE SAUCE ข้าวโพดหวานย่างโรยผงปาปริก้า มาพร้อมกับซอสชิโปตเลที่มีส่วนผสมของพริกฆาลาเปญโญ เป็นจานที่มีทั้งความหวานหอมของข้าวโพดตัดกับรสชาติของพริกได้อย่างลงตัว ส่วนของหวานนั้นรับรองว่าคนรักช็อกโกแลตจะต้องถูกใจกับความเข้มข้นของ Warm Melt Chocolate Cake ที่เสิร์ฟอุ่น ๆ ด้านในหนึบเป็นลาวา กินคู่กับไอศกรีมวานิลลา ทวีคูณความหอมหวานปิดท้ายมื้ออาหารได้ดีทีเดียว ที่นี่มีส่วนของบาร์เครื่องดื่มที่สามารถรังสรรค์ได้หลากหลายไม่ว่าจะมีแอลกอฮอล์หรือนอนแอลกอฮอล์ แต่สำหรับหนึ่งอย่างที่เป็นไฮไลต์ของร้านต้องยกให้กับ Homemade Ginger Beer จิงเจอร์เบียร์ไร้แอลกอฮอล์ที่ให้รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ซาบซ่า เพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี นอกเหนือไปจากเมนูประจำร้านแล้ว ที่ 25 Degrees ยังมีโปรโมชันพิเศษทุก ๆ 2 เดือนกับเมนูที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่โดยเฉพาะ อย่างเช่นในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ปี 2566 นี้ ทางร้านได้นำเสนอ ‘รูเบนแซนด์วิช’ แซนด์วิชอเมริกันสุดคลาสสิกจากนิวยอร์ ที่มาพร้อมกับเนื้อคอร์นบีฟอาร์ติซาน จับคู่กับซาร์วเคราต์ (กะหล่ำปลีดอง) ชีสกูร์แยร์ เติมเต็มรสชาติด้วยซอส Russian Dressing ที่มีทั้งความครีมมี่และความเผ็ดฉุนอยู่ในตัว ประกบด้วยขนมปังข้าวไรย์ (Rye bread) ลายหินอ่อน และมิลก์เชคที่ได้แรงบันดาลใจมาจากขนม Snickers และ Peanut Milkshake ที่โดดเด่นด้วยรสชาติหวาน มัน และเค็ม เข้มข้น นอกจากนี้ยังมีเมนูกาแฟอย่าง ‘Naughty’ ไอริชวิสกี้คอฟฟี่มิลก์เชค ที่ให้ทั้งรสชาติและกลิ่นหอม ๆ ของกาแฟ สอดแทรกไปกับเจมสันวิสกี้ (Jameson) ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชาวิสกี้เบอร์หนึ่งของโลก ถ้าอยากลิ้มลองมื้ออาหารที่มอบประสบการณ์และกลิ่นอายแบบอเมริกันอย่างแท้จริง แวะมาที่นี่ได้เลย

ใครเป็นแฟนคลับร้านชีสบอร์ดเจ้าดังในโลกออนไลน์ อย่าง ‘Nokky's Charcuterie’ อย่าลืมตามไปเช็คอินความอร่อยกันที่ DATE by Nokky's Charcuterie ซึ่งเริ่มเปิดหน้าร้านในรูปแบบคาเฟ่และไวน์บาร์ได้ไม่นานนี้ พร้อมต้อนรับให้ทุกคนมาเอ็นจอยกับสารพัดเมนูชีสเกรดพรีเมียม ภายในร้านสุดน่ารักขนาดกะทัดรัดที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความอบอุ่น ตัวร้านด้านนอกตกแต่งออกมาได้สดใสจากโทนสีส้มชวนสะดุดตา ด้านในแบ่งออกเป็นชั้นลอยที่จัดวางเฟอร์นิเจอร์ไว้ได้อย่างเป็นสัดส่วน  ส่วนชั้นล่างเป็นโต๊ะไม้ยาวตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่อยากนั่งแฮงค์เอาต์ จิบไวน์ชิลๆ พูดคุยกันได้สะดวกเลยล่ะ มาแล้วห้ามพลาด Charcuterie Set เราเลือกเป็น Original Set ไซส์ S ประกอบด้วยชีส 3 ชนิด คือ เชดดาร์ชีส บรีชีส และสโมกกูวดาชีส มาพร้อมตัวโคลด์คัตอย่างซาลามีและโชริโซ รวมถึงองุ่น แครนเบอร์รี อัลมอนด์ วอลนัต น้ำผึ้ง และแครกเกอร์ ต่อด้วย Signature Baked Brie (350.-) ชีสบรีอบร้อนชิ้นโต มีเนื้อสัมผัสคล้ายครีมราดมาด้วยซอสราส์ปเบอร์รีสูตรของร้าน กินคู่กับแครกเกอร์โรสแมรี่เข้ากันได้อยากลงตัว เครื่องดื่มแนะนำ Apple date (109.-) น้ำแอปเปิลหอมหวานที่นำไปต้มกับเครื่องเทศ 5 ชนิดเพื่อเพิ่มกลิ่นและรสชาติ ดื่มแล้วได้ความสดชื่นตัดเลี่ยนได้เป็นอย่างดี

ในมุมทางขวามือของตึกโบราณอันงดงามของมิวเซียมสยามตอนนี้กลายเป็นที่ตั้งของร้านอาหารไทยแห่งใหม่ในย่านเมืองเก่าของกรุงเทพมหานคร ที่ไม่ใช่แค่นำเสนออาหารไทยที่ใครต่อใครต่างคุ้นตาเท่านั้น แต่ยังชู ‘โพรไบโอติกส์’ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้กระบวนการหมักและดองจากภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนไทยมานำเสนอบนโต๊ะอาหาร อาหารไทยทั้งคาว-หวานทุกเมนูในร้าน ผ่านการรังสรรค์โดย เชฟไก่-ธนัญญา ไข่แก้ว ที่หยิบเอาปลาร้า ผักดอง ข้าวแรมฟืน ข้าวหมาก และอีกสารพัดวัตถุดิบที่ร้อยเรียงออกมาจนเป็นเมนูอาหารไทยเพื่อสุขภาพ ท่วงทันต่อกระแส ‘Thai Taste Therapy’ ที่ว่ากันว่าอาหารไทยนั้นเป็นยาที่อร่อยที่สุดในโลก เริ่มต้นด้วยเมนูกินเล่น ยำส้มโอปลาร้าหอม ที่เลือกใช้ส้มโอพันธุ์ทองดีจากนครปฐม มาจับคู่กับน้ำปลาร้าหอม ของหมักดองเสริมโพรไบโอติกส์สุดขึ้นชื่อจากสิงห์บุรี ซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่มีมาตรฐานและได้รับการยอมรับในระดับสากล ส่งกลิ่นหอมกระตุ้นต่อมเจริญอาหารทันทีที่วางบนโต๊ะ คลุกเคล้าเข้ากับสมุนไพร เช่น สะระแหน่ ใบมะกรูดซอย ผักชีใบเลื่อย และหอมแดง อีกทั้งยังได้พริกแห้งเข้ามาเสริมความเผ็ดและกลิ่นหอมในทุก ๆ คำด้วย ตำบ่าหนุน เป็นอีกเมนูกินเล่นที่น่าสนใจและหากินได้ยาก จากตำรับอาหารท้องถิ่นของชาวเหนือที่นิยมกินในเทศกาลปี๋ใหม่เมืองหรือเทศกาลสงกรานต์ เพราะขนุนที่เป็นวัตถุดิบหลักของจานนี้ไปพ้องเสียงกับคำว่าอุดหนุนค้ำชู โชคดีตลอดปีนั่นเอง โดยตำบ่าหนุนนี้คือการนำขนุนอ่อนมาโขลกกับเครื่องแกงและใส่น้ำปลาร้าหอมจากสิงห์บุรีเพื่อเพิ่มรสชาติและเพิ่มโพรไบโอติกส์ นอกจากจะเป็นเมนูกินเล่นเพลิน ๆ แล้ว ก็ยังสามารถกินเป็นน้ำพริกได้ด้วยเช่นกัน อีกหนึ่งเมนูที่หากินได้ยากไม่แพ้กันก็คือ ข้าวแรมฟืนเย็น ซึ่งเป็นหนึ่งในอาหารท้องถิ่นของชาวไทลื้อทางภาคเหนือของไทย สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็หนีไม่พ้นตัวของข้าวแรมฟืน ซึ่งทำมาจากแป้งถั่วลันเตาต้มค้างคืนจนคงตัวเป็นก้อนที่ดูไปดูมาก็คล้ายกับเต้าหู้ไม่น้อย โดยเมนูอาหารจานนี้จะเสิร์ฟมาในน้ำต้มมะเขือส้มแช่เย็นรสออกเปรี้ยวพร้อมด้วยกะหล่ำปลีสด และมาคู่กับถาดเครื่องเคียงที่ประกอบไปด้วยน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวผสมน้ำส้มสายชูหมัก น้ำตาลอ้อยกวนเพื่อเพิ่มความหวาน น้ำดองผักเพิ่มความเปรี้ยว ถั่วลิสง กระเทียมเจียว และเมล็ดงา เมื่อผสมผสานทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วนับเป็นเมนูที่ให้ความสดชื่นได้ดีทีเดียว อีกเมนูอาหารของภาคเหนือที่ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติก็รู้จัก ข้าวซอยไก่ นอกจากจะโดดเด่นด้วยน้ำซุปเข้มข้นจาก ‘เครื่องเทศ’ เต็มเปี่ยมด้วยสรรพคุณทางยากับ ‘กะทิ’ ที่เป็นแหล่งพลังงานที่ดีต่อร่างกายและสมอง ยังมีเครื่องเคียงอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในเมนูข้าวซอยก็คือ ‘ผักกาดดอง’ ที่เป็นแหล่งโพรไบโอติกส์สำคัญของเมนูนี้เลยก็ว่าได้ ยิ่งมาพร้อมกับเส้นบะหมี่ไข่ที่ให้ทั้งสัมผัสนุ่มลิ้นและกรุบกรอบในชามเดียวกัน รวมทั้งน่องไก่ที่ผ่านการตุ๋นมาจนเปื่อยยุ่ย ยิ่งตอกย้ำว่าอาหารไทยนั้นเป็นยาที่อร่อยที่สุดในโลกจริง ๆ ซาวโดวจ์ย่างน้ำพริกอ่อง จานนี้มาในรูปแบบของการผสมผสานอาหารหลากหลายเชื้อชาติ โดยเลือกหยิบเอาขนมปังซาวโดวจ์กรอบนอกนุ่มใน ซึ่งเป็นขนมปังที่ได้ชื่อว่าดีต่อสุขภาพที่สุดเพราะผ่านการหมักโดยใช้ยีสต์ธรรมชาติมาจับคู่กับท็อปปิ้งสไตล์ไทย ๆ ซึ่งในเมนูนี้คือการนำน้ำพริกอ่องจากภาคเหนือ ที่ให้รสชาติกลมกล่อมครบรสเปรี้ยว เค็ม หวาน และเผ็ดเล็กน้อย เคียงมากับสลัดผัก แนวคิดในการเติมโพรไอโอติกส์ให้ร่างกายยังนำเสนอผ่านเมนูของหวานด้วยอย่างเช่นเมนู ข้าวหมากเปียกลำไย ที่ให้กลิ่นและรสของข้าวที่ผ่านการหมักโดยวิธีธรรมชาติอย่างชัดเจน ตามมาด้วยความหวานนุ่มนวลเข้ากับลำไยเนื้อหวานกรอบ ไม่ใช่แค่อาหารไทยและขนมหวานแบบไทยเท่านั้นที่น่าลิ้มลอง ที่นี่ยังมีเมนูเครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่นทั้งชา กาแฟ น้ำผลไม้ อิตาเลียนโซดา ม็อกเทล รวมถึงคอมบูชะ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มชาหมักเพื่อสุขภาพที่กำลังมาแรง พร้อมทั้งเมนูเค้กที่รังสรรค์โดยเชฟไก่อีก 3 เมนู ได้แก่ บลูเบอร์รี่ชีสพาย ชีสเค้กหน้าไหม้ และพายแอปเปิ้ลครัมเบิ้ล นับเป็นพิกัดใหม่ที่ทำให้พื้นที่ของมิวเซียมสยามมีชีวิตชีวามากขึ้นจริง ๆ

สัมผัสความน่ารักอบอุ่นละมุนใจที่ Daisie May's Home Cafe ในซอยเอกมัย 22 ที่คุณแยม ธัญญกัญญ์ เจ้าของร้าน ได้เนรมิตพื้นที่ชั้นล่างของบ้านให้กลายเป็นคาเฟ่บรรยากาศสบายๆ เรียบง่ายเป็นกันเอง พร้อมเสิร์ฟเมนู  All day breakfast สไตล์โฮมเมด ที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้ทานอาหารจากฝีมือคนในครอบครัว ภายในตกแต่งมาด้วยโทนสีเหลืองครีมชวนให้รู้สึกสดใสสบายตา เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนที่วางประดับไว้อยู่ทั่วทุกมุมร้าน โดยมีกิมมิกน่ารักๆ อย่างโซนเอาท์ดอร์หลังบ้าน ที่ทางร้านจัดเป็นสวนสไตล์อังกฤษ ซึ่งมาพร้อมกับน้ำพุ ชิงช้า และกระบะทรายสนามเด็กเล่นขนาดย่อม ตอบโจทย์กลุ่มครอบครัวใหญ่ ที่อยากพาน้องๆหนูๆ มานั่งชิล เล่นผ่อนคลายได้ตลอดวัน เมนูแรก Egg Benedict Easter Ham (245.-) ไข่เบเนดิกต์และแฮมชิ้นโตท็อปมาบนขนมปังซาวโดวจ์ ที่นำไปกริลล์และปรุงรสตามสูตรของร้าน ราดด้วยซอสฮอลันเดสโฮมเมด รสเข้มข้นกลมกล่อม ต่อด้วย Fried Seabass Soft Taco (250.-) แป้งทาโก้นิ่มอัดแน่นมาด้วยปลากระพงทะเลชุปแป้งทอดกรอบ ผักกะหล่ำม่วงซอย ผักชี และมะเขือเทศ เสิร์ฟพร้อมซอสดิปสไปซี่มาโย และครีมมีอะโวคาโดโฮมเมด Creamy Lemon Fettucine (295.-) เส้นพาสต้าเหนียวนุ่มคลุกเคล้ามากับซอสครีมเลมอนรสเปรี้ยวนิด เค็มหน่อย ท็อปด้วยแซลมอนชิ้นโตที่กริลล์มาได้สุกกำลังกิน แนะนำให้บีบมะนาวลงไปก่อนรับประทานเพื่อเพิ่มความสดชื่น ปิดท้ายด้วยเมนูของหวาน Apple Pie (250.-) แป้งพายเนื้อร่วนสอดไส้แอปเปิลพายหอมกลิ่นชินนามอนมาแบบฉ่ำๆ กินพร้อมไอศกรีมวานิลลา รสเปรี้ยวหวานตัดกันได้อย่างลงตัว

ใครชอบกินกุยช่ายแป้งนุ่มๆ ไส้แน่นๆ รับรองว่าถูกใจร้านนี้ “กุยช่ายคุณปู่” ร้านกุยช่ายเดลิเวอรี่ที่ทำใหม่แบบวันต่อวัน หลังจากผ่านการผ่าตัดเนื้องอกในสมอง คุณชุบ อดีตเชฟโรงแรมดังก็มาพร้อมแรงใจสู้ต่อ นำสูตรกุยช่ายเก่าแก่ 40 ปีของบ้านอากงเพื่อนสนิท (กุยช่าย สบายท้อง) กลับมาให้ทุกคนหายคิดถึงอีกครั้งในชื่อ กุยช่ายคุณปู่ พร้อมสโลแกนร้าน “ขอโทษที่ทำให้อิ่ม ขอให้ร่ำรวยและปลอดภัย” กุยช่ายของที่ร้านยังมาพร้อมจุดเด่นคือแป้งที่ทั้งบางและนุ่ม ปั้นเป็นก้อนกลมขนาดกำลังดี เมื่อกัดไปแล้วจะเจอไส้แน่นๆ ให้เคี้ยวได้เต็มคำ เลือกได้ทั้ง ไส้กุยช่าย ที่เลือกใช้กุยช่ายอย่างดี นึ่งแล้วกลิ่นหอมและสีเขียวน่ากิน ราดน้ำจิ้มสูตรลับรสเปรี้ยวนิดหวานหน่อยที่คุณชุบตั้งใจทำให้รสไม่เข้มข้นเกินและไม่เผ็ดไป กินได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โรยกระเทียมเจียวปิดท้ายเข้ากันดี ส่วนใครไม่ชอบกลิ่นของกุยช่าย ทางร้านก็มีไส้ หน่อไม้ รสกลมกล่อม หอมกลิ่นกุ้งแห้ง และ ไส้เผือก นุ่มๆ ที่อร่อยไม่แพ้กัน (อยากชิมทุกไส้ก็สั่งแบบรวมไส้ได้เลย) กระซิบไว้ก่อนว่ากุยช่ายของที่ร้านทำใหม่ทุกวันและขับรถจัดส่งด้วยตัวเอง ถ้าอยากลองชิม โทร.จองล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วันนะ How to order : โทร.สั่งโดยตรงได้ที่ 08-0559-9553 ราคากล่องละ 50 บาท คิดค่าส่งตามระยะทาง

งานนี้เอาใจคนรักของหวานอย่างเต็มพิกัด เพราะเราจะพาไปชิมขนมโฮมเมดที่ The Lobby Lounge ในโรงแรม Hyatt Regency Bangkok Sukhumvit ลิ้มลองของหวานต่างๆ ทั้งซิกเนเจอร์และเมนูฤดูกาล ที่เพียบพร้อมไปด้วยรสชาติฟินๆ และดีไซน์สวยเก๋ เหมาะแก่การซื้อเป็นของขวัญให้คนพิเศษ พร้อมเสพบรรยากาศฟิลดีโฮมมี่ปนหรูหราในแบบฉบับล็อบบี้เลาจ์ ชิ้นแรกเราสั่ง Blueberry Cheese Mousse Cake ตัวฐานเป็นครัมเบิ้ลกรุบกรอบที่เราคุ้นเคย ตามด้วยมูสบลูเบอร์รีเนื้อนุ่ม รสหวานหอม แซมด้วยรสเปรี้ยวของบลูเบอร์รีนิดๆ ท็อปด้วยบลูเบอร์รีสดมหาศาล ต่อด้วย Strawberry Tart ทาร์ตสตรอว์เบอร์รีในดวงใจสายหวาน ได้รสหอมมันจากครีมสูตรเฉพาะ ผสานกับผลสตรอว์เบอร์รีลูกโตฉ่ำ เข้ากันดีกับเนื้อทาร์ตกรุบกรอบที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นเนย Green Tea Cake เค้กรูปโดมสีเขียวน่าลิ้มลองนี้คือ เค้กชาเขียวสไตล์โฮมเมดที่หลายคนเลิฟ เนื้อเค้กนุ่มฟู เข้ากันดีกับครีมมัตฉะรสหวานพอดี และถั่วแดงกวนเนื้อเนียน จิบพร้อม Mango Milli มิลเชกมะม่วงสายพันธุ์น้ำดอกไม้ รสหวานฉ่ำกำลังดี ท็อปด้วยวิปครีมพูนๆ Matcha Cookies เครื่องดื่มที่ครีเอทจากคุกกี้มัตฉะ หนึ่งในขนมอบประจำโรงแรม ปั่นพร้อมนมสดคุณภาพ และ Unicorn Bubble Gum ที่ล่อใจเราด้วยสีสันสดใส โดดเด่นด้วยรสหวานหอมของไอศกรีมเรนโบว์ ดูดพร้อมวิปครีมปุกปุยและมาร์ชแมลโล ก่อนกลับอย่างลืมซื้อคุกกี้ไว้ไปจิบกับชาที่บ้านด้วย

Jhol ร้านอาหารอินเดียบรรยากาศดีที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยสุขุมวิท 18 ภายในบ้านหลังสีขาวดูสะอาดตาแห่งนี้นำเสนออาหารอินเดียสไตล์ไฟน์ไดน์นิง ซึ่งได้รับการการันตีความอร่อยจากคู่มือ Michellin Guide ทั้งในเรื่องของรสชาติและวัตถุดิบที่สดใหม่รวมไปถึงเครื่องเทศที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี ผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอน JHOL ได้ชื่อว่าเป็น Coastal Indian Cuisine หรืออาหารชายฝั่งกลิ่นอายอินเดียทางตอนใต้ แน่นอนว่าด้วยความที่ติดกับทะเล เราจึงเห็นเมนูอาหารส่วนใหญ่เป็นซีฟู้ด ผสมผสานกับเครื่องเทศให้รสชาติเข้มข้น ซึ่งรับรองว่าคนไทยต้องติดใจ และที่มากไปกว่านั้นคือวิธีการจัดจานในสไตล์โมเดิร์นที่ยังคงกลิ่นอายความดั้งเดิมไว้บ้าง ซึ่งก็ทำให้ลืมภาพจำของอาหารอินเดียที่เคยเห็นมาก่อน เริ่มความอร่อยมื้อนี้ด้วย Masala Maska Bun with Pav Bhaji Butter ขนมปังมาซาลาเนื้อนุ่มฟู ด้านในมีไส้เครื่องเทศผัดจนส่งกลิ่นหอม เสิร์ฟมาพร้อมกับเนยสูตรโฮมเมดที่เชฟนำเนยมาปั่นผสมรวมกับแกงผัก จนเป็นเนื้อเดียวกัน รสชาตินวลๆ ตักปาดบนขนมปังอุ่นๆ เป็นเมนูที่ทุกโต๊ะสั่ง(บอกเลยว่าห้ามพลาด!) Injipuri Pork Ribs จานนี้คนไทยต้องชอบเพราะรสชาติที่คุ้นลิ้นคล้ายกับเมนูของไทย เนื้อซี่โครงตุ๋นจนเปื่อยนุ่มล่อนออกจากกระดูกเคลือบด้วยซอสมะขามรสหวานอมเปรี้ยว โรยขิงซอยทอดกรอบๆ บอกเลยว่าฟิน! Prawn Koliwada เนื้อกุ้งตัวโตผัดกับเครื่องเทศและพริกรสจัดจ้าน เสิร์ฟคู่กับข้าวคลุกโยเกิร์ตเนื้อครีมมี่ หรือ Curd Rice กลิ่นหอมมันรสซ่อนเปรี้ยวนิดๆ ปาดลงในจานเป็นชั้นบางๆ โรยขนมกรอบ ตัดรสด้วยแตงกวาดองทั้งกรอบและละมุนในจานเดียว Chettinad Lamb Shank จานนี้บอกเลยว่าจุกๆ ขาแกะตุ๋นในเครื่องแกง หอมกลิ่นเครื่องเทศแทรกอยู่ในทุกอนูเนื้อ เสิร์ฟพร้อมแป้งนานอุ่นๆ ปิดท้ายด้วย Mango Kulfi ไอศกรีมขึ้นชื่อของประเทศอินเดีย เสิร์ฟมาเป็นทรงกรวย ให้ทั้งความสดชื่นและความหอมจากเนื้อมะม่วง จัดจานสวยงามดูโมเดิร์น หรือจะเลือกเป็น Coconut payasam ไอศกรีมมะพร้าวผสมกับนม เสิร์ฟกับเจลลีมะม่วงรสหวานซ่อนเปรี้ยว ตัดความเลี่ยนและช่วยเพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี หรือจะสั่งเครื่องดื่มเก๋มานั่งจิบ ก็ถือได้ว่าเป็นการจบมื้อค่ำที่เต็มอิ่มนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ที่สำคัญยังมีโซนเคาเตอร์บาร์ มีเครื่องดื่มเก๋ๆ ไว้ให้เลือกอีกด้วย

Jam Jam Eatery & Bar ห้องอาหารสไตล์นีโอ ไทย ไชนีส แห่งใหม่ของ โรงแรมอาศัย กรุงเทพฯ ไชน่าทาวน์ (Asai Bangkok Chinatown) โรงแรมเก๋ใจกลางเยาวราช กับการตกแต่งแบบจีนร่วมสมัย ส่วนด้านนอกเป็นพื้นที่โล่งสบายที่มองเห็นสวนผักปลูกเองของโรงแรมไปด้วยในตัว เชฟนุ วิษณุ เตียวตระกูล ได้แรงบันดาลใจในการรังสรรค์เมนจากความรุ่มรวยแห่งรสชาติของอาหารไทยและอาหารจีน ล้อไปกับคอนเซ็ปต์ของโรงแรม แล้วเพิ่มความสนุกด้วยการนำเสนอแบบแชร์ริ่งให้แบ่งปันความอร่อยร่วมกัน เริ่มด้วย Salted Egg Pumpkin ฟักทองทอดซอสไข่เค็ม เมนูเรียกน้ำย่อยที่เราได้ลองแล้วชอบมาก เชฟนำฟักทองญี่ปุ่นหั่นเป็นชิ้นไม่หนาเกินไป แล้วชุบแป้งทอด จากนั้นเคล้ากับซอสไข่เค็มที่ใช้ไข่เป็ดดองน้ำเกลือจนได้รสกลมกล่อม ต่อด้วยเมนูเด่นอย่าง Sichuan Shrimp Wontons เกี๊ยวกุ้งชิ้นอวบสอดไส้เนื้อกุ้งและหมูแบบเต็มคำ ทีเด็ดอยู่ที่ซอสเซี่ยงไฮ้รสเผ็ดเล็กน้อยสูตรเชฟนุที่ผสมเต้าซี่ลงไปด้วย พลาดไม่ได้กับ Combo Sets เซ็ตเมนูปิ้งย่างเสียบไม้ที่ให้อารมณ์เดียวกับเมนูในร้านอิซากายะของญี่ปุ่น แต่เชฟเติมรสชาติแบบจีนลงไป ไม่ว่าจะเป็นเนื้อแองกัสย่างเตาถ่านทาซอสที่มีส่วนผสมของวาซาบิและมัสตาร์ด ไก่ส่วนสะโพกย่างซอสต้นหอม หมูแดงสไตล์ฮ่องกงที่ใช้หมูสามชั้นหมักซอสหมูแดงแล้วย่างด้วยเตาถ่าน รวมถึงหมูสามชั้นซอสเซี่ยงไฮ้และท้องแซลมอนย่างทาด้วยซอสเอ็กซ์โอ หากยังไม่จุใจ ลองสั่ง Steak & Garlic Fried Rice ข้าวผัดมันเนื้อหน้าเนื้อย่าง เชฟใช้ข้าวออร์แกนิกผัดกับน้ำมันเนื้อจนหอม เสิร์ฟพร้อมเนื้อแองกัสย่างแบบพอดี เนื้อด้านในยังมีความชุ่มฉ่ำ แล้วตัดเลี่ยนด้วย Garden Salad with Yuzu Dressing สลัดรวมซอสยูซุ ที่ได้รสเปรี้ยวสดชื่นจากเดรสซิ่งยูซุ อย่าพลาดของหวาน Banana Toffee Rolls หรือปอเปี๊ยะกล้วย กัดแล้วเจอเนื้อกล้วยหวานๆ และซอสคาราเมล เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลา รวมถึงเมนูกาแฟอย่าง La Rose ช็อตเอสเปรสโซอาข่าอาม่า จับคู่กับไซรัปกุหลาบ น้ำมะนาว โซดา และ Blue Jean Latte ลาเต้สีสวยจากน้ำอัญชัน หรือจะมานั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ สักแก้วช่วงค่ำคืนก็เพลินหัวใจไปอีกแบบ

เพียงไม่กี่ก้าวจากปากซอยราชครู จะพบ Kenny's ร้านพิซซาสีส้มสุดชิคที่เน้นเสิร์ฟพิซซาโฮมเมดตำรับเนเปิล และอาหารสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ด ให้ทุกคนดื่มด่ำกับเมนูอาหารที่กินง่าย ไม่ซับซ้อน พร้อมเสิร์ฟพอร์ชันใหญ่ให้สั่งมาแชร์กันได้ทั่วทั้งโต๊ะ ภายใต้บรรยากาศแสนอบอุ่นปนความสนุกสนาน ตัวร้านรีโนเวตใหม่ในสไตล์ลอฟต์ เน้นโชว์โครงเหล็ก กำแพงอิฐ และปูนเปลือย ซึ่งเป็นโครงสร้างเดิมของอาคาร ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีส้มตัดสลับกับสีดำ มีเพดานสูงและกระจกบานใหญ่คอยเปิดรับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ เหมาะกับการชวนชาวแก๊งไปนั่งรับประทานอาหารตลอดวันหรือจะจิบน้ำเก๊กฮวยมีฟองฟินๆ ตั้งแต่หัวค่ำไปจนถึงตี 3 (ร้านปิด) ก็ได้เช่นกัน (หากอยากเพิ่มความไพรเวตแนะนำให้ขึ้นไปยังชั้นลอยของร้าน) รับรองถูกใจทั้งสายกินมื้อดึกและนักดื่มตัวจริงแน่นอน เสพบรรยากาศกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาเสพความอร่อยกันต่อกับ Kenny’s Signature Pizza แป้งพิซซาที่มีโพรงอากาศมาก จึงให้เนื้อสัมผัสเบา ฟู ไม่หนักท้อง รังสรรค์จากกรรมวิธีการหมักที่ใช้ยีสต์สด และสตาร์ทเตอร์อย่าง Biga มาทำเป็นแป้งโดตามแบบฉบับของเนเปิลแท้ๆ ทำให้พิซซาของ Kenny’s พิเศษกว่าร้านอื่นทั่วไป อย่าง SMOKED IT EVERY DAY พิซซาสโมกเบคอนและชีส แต่งหน้าด้วยเบคอนหั่นชิ้นพอดีคำ ได้รสเค็ม มัน นัว จากชีสและไข่แดง มีกลิ่นหอมของการสโมกชัดเจน ตามด้วย NDUJA เมนูพิซซาแสนอร่อยที่ทาง LARDER BKK คอลลาบอเรตกับ KENNY’S ออกมาเป็นพิซซารสชาติเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ ด้วย San Marzano ซอสมะเขือเทศรสเปรี้ยวสดชื่นจากอิตาลี ได้กลิ่นหอมของเครื่องแกง น้ำมันกระเทียม และท็อปหน้าด้วยไส้กรอกอิตาเลียนกับมะเขือเทศตากแห้ง   มาต่อกันที่ SAY CHEESEEEE เมนูสไตล์เนเปิลทวิสต์สำหรับคนรักชีส ที่รวมชีสมาให้ทั้ง Mozzarella, Smoked Fior Di Latte, Ricotta และ Grana Padano เคี้ยวคู่กับแป้งขอบหนานุ่ม ได้รสละมุน หอมกลิ่นชีสอบอวลในปาก แม้ขอบจะหนาแต่ไม่หนักท้องเลย นอกจากพิซซาแล้วทางร้านยังมีเมนูเด็ดอีกมากมายที่ทวิสต์ให้เข้ากับปากคนไทย ไม่ว่าจะเป็นเมนูขายดีอย่าง Corn Ribs with Spicy Marinara แกนข้าวโพดสีเหลืองทองรูปร่างคล้ายโครงกระดูก ให้รสหวานละมุน โรยชีสกรานา พาดาโนขูด ให้รสเค็มมัน และตัดรสด้วยซอสเผ็ดมารีนารา เคี้ยวกรึบๆ กรอบอร่อย กินเล่นได้เพลินๆ Salt and Pepper Grilled Calamari คาลามารีย่างแทนการชุบแป้งทอด ปรุงรสอย่างเบามือด้วยเกลือและพริกไทย ให้เนื้อสัมผัสกรุบๆ บีบเลมอนเล็กน้อยก็อร่อยแล้ว จานถัดมาคือ Baked Meatball and Cheese with Spicy Marinara เนื้อบดปั้นเป็นก้อนใหญ่ ปรุงรสเข้มข้นเข้าเนื้อ หอมกลิ่นชีส รสกลมกล่อมอร่อยมาก Tomatoes Burrata Salad with Pesto ชีสบูร์ราตาที่รายล้อมด้วยมะเขือเทศหั่นชิ้นพอดีคำหลากสีสัน ก่อนรับประทานแนะนำให้ผ่าชีสก้อนกลมให้เยิ้มออกมา กินคู่มะเขือเทศหลากชนิด ที่ให้รสชาติต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งเปรี้ยวและหวาน เข้ากันได้ดีกับสลัดร็อกเก็ตราดด้วยบัลซามิกโอลีฟออยและซอสเพสโต ปิดท้ายด้วยเมนูที่นักดื่มต้องสั่งได้แก่ Melon Prosciutto เมนูแกล้มเครื่องดื่มชั้นเลิศ ด้วยรสชาติที่หวานหอมของเมลอนตัดกับความเค็มของเบคอนสไลซ์บาง อร่อยลงตัวทีเดียว

Shaloba ร้านกาแฟร่วมสมัยสไตล์ตุรกี ที่ผสมผสานวัฒนธรรมของเอเชียเข้ากับวิถีชีวิตสมัยใหม่ ด้วยวิธีการชงแบบ Turkish Sand Coffee ซ่อนตัวอยู่บนชั้น 2 ของล็อบบี้โรงแรม เดอะ สลิล ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ คาเฟ่ขนาดกะทัดรัดแห่งนี้ 'เน้นเสิร์ฟกาแฟกลิ่นหอมๆ ที่มาพร้อมรสชาติแห่งความสุข' จากการคัดสรรเมล็ดกาแฟชั้นเลิศ ผ่านวิธีการชงกาแฟที่มีให้เลือก 3 แบบด้วยกันทั้ง French Press, Drip และ Sand Coffee ทุกแก้วชงอย่างพิถีพิถัน เพื่อดึงรสชาติและรสสัมผัสของกาแฟอาราบิกาออกมาให้เหล่าคอกาแฟลิ้มรสความอร่อยได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เราเลือก Sweet Apricot Colombia เมล็ดกาแฟคั่วอ่อนถึงปานกลาง ได้กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ช่วยเติมพลังให้วันนี้ได้เป็นอย่างดี กินคู่ขนมโฮมเมดคุณภาพดี อบสดใหม่ทุกวันอย่าง Red Velvet Soft Cookie คุกกี้เนื้อนุ่มชุ่มเนย ท็อปหน้าด้วยไวต์ช็อกโกแลต มีรสหวานหอม และ Bael Fruit Cake เค้กมะตูมเนื้อแน่น ให้รสเปรี้ยวๆ หวานๆ กำลังดี กินตัดรสกับกาแฟอร่อยลงตัว นอกจากเมนูกาแฟตัวชูโรงแล้ว ทางร้านยังมีเครื่องดื่มแสนอร่อยสำหรับคนไม่ดื่มกาแฟอีกด้วยนะ

Jim’s Terrace คาเฟ่สไตล์ไทยปาทาสแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพ ที่แปลงโฉมริมระเบียงใน Jim Thompson Heritage Quarter ให้กลายเป็นคาเฟ่แบบเปิดโล่ง มองเห็นวิวร่มรื่นในรั้วบ้านเรือนไทยหลังงามที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เมนูของทางร้านเป็นเมนูเบาๆ สไตล์ไทยทาปาสเหมาะสำหรับจับคู่กับเครื่องดื่มในวันที่อากาศไม่ร้อนแรงเกินไปนัก เชฟคัดสรรวัตถุดิบท้องถิ่นจากหลายแห่งเพื่อสนับสนุนเกษตรกรไทย อีกส่วนหนึ่งส่งตรงจากโครงการหลวง แล้วนำมาทำเป็นเมนูได้อย่างน่าสนใจ อาทิ Crispy Mushroom Chips from the Royal Project น้ำตกกุ้งและเห็ดรสชาติจัดจ้านแบบไทย วางบนข้าวเกรียบเห็ดทอดกรอบจากโครงการหลวง เพิ่มรสเปรี้ยวด้วยเจลมะนาว โรยหอมเจียวและกระเทียมเจียว วางใบสะระแหน่ปิดท้าย Thai Eggplant Salad ยำมะเขือม่วงที่มาพร้อมกลิ่นหอมจากการย่างด้วยเตาถ่าน ราดด้วยน้ำยำรสจี๊ดจ๊าด ใส่เนื้อหมูและเนื้อกุ้งสับ แล้วตัดรสเผ็ดด้วยไข่นกกระทาออร์แกนิกแบบยางมะตูม Thai Fried Squid เชฟนำปลาหมึกมาชุบกับข้าวเกรียบกุ้งบดและไข่แล้วนำไปทอดจนกรอบ กลายเป็นปลาหมึกชุบแป้งทอดแบบไทย เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มมาโยซีฟู้ดที่เข้ากันดี พลาดไม่ได้กับ Isan Style Beef Tongue ลิ้นวัวย่างสไตล์อีสาน ลิ้นวัวที่นำไปซูวีดแล้วย่างจนหอม โรยเกลือจากจังหวัดเพชรบุรีเพื่อดึงรสชาติ โรยด้วยหอมเจียว กระเทียมเจียว เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ด ปิดท้ายด้วย Jim’s Nachos นาโชส์แกงเผ็ดหมูสูตรบ้านจิมที่มาพร้อมจาร์ติซานชีส ชีสไทยจากเชียงใหม่ และแตงกวาดองแบบโฮมเมด กินเพลินแบบหยุดยากจริงๆ