ร้านครัวซองต์โลโก้หมาป่าสุดเท่ของ คุณมายด์-กีรติ อัศวเวชมงคล เปิดตัวครั้งแรกในปี 2019 ที่ลิโด้ สยาม ก่อนที่เทรนด์ครัวซองต์จะฮอตฮิตในบ้านเรา ต่อมาจึงขยับขยายมาเปิดสาขา 2 ที่ตลาดบองมาร์เช่พร้อมที่นั่งสบายๆ และล่าสุดกับสาขา 3 ซอยนาคนิวาส 37 พร้อมเมนูบรันช์ คุณมายด์เป็นศิษย์เก่า เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต ทั้งหลักสูตร The Professional Thai Cuisine และหลักสูตร The Art of Bakery ก่อนจะทำงานเป็นล่ามอยู่ที่ เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต นานร่วม 10 ปี ความรู้เรื่องอาหารและขนมของเธอจึงอัดแน่นเต็มกระเป๋า เห็นได้จากการครีเอตครัวซองต์ทั้งไส้คาวและไส้หวานกว่า 30 รสชาติ ความโดดเด่นของครัวซองต์ร้านนี้คือใช้เนยแท้นำเข้าจากฝรั่งเศสทั้งหมด ไม่ใช้มาร์การีน ไม่มีสารเสริม  และใช้เวลาในการขึ้นโดนานประมาณ 3 วัน ผิวนอกกรอบเนื้อในนุ่มอร่อย อย่าพลาด Tiger Prawn ใช้กุ้งลายเสือของไทยเนื้อสดหวาน ผัดกับมันกุ้งหอมนวลท็อปด้วยชีสและไข่กุ้ง อุ่นร้อนๆ ก่อนกินไส้ด้านในจะเยิ้มและหอมมาก Truffle Double Cheese ครัวซองต์ไส้ทรัฟเฟิลเพสต์หอมฟุ้ง เพิ่มความฟินด้วยชีส 2 ชนิด Smoked Salmon Croissant ไส้ครีมชีสที่ปรุงรสด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศ บนหน้าเป็นสโมกแซลมอนรสเค็มอ่อนๆ และผักชีลาวเพิ่มกลิ่นหอมสดชื่น และไส้หวานอย่าง Coffee Caramel Macadamia​ ​ เนื้อในซ่อนไส้กาแฟเอาไว้ ส่วนบนหน้าเป็นคาราเมลน้ำผึ้งหอมหวาน แล้วท็อปด้วยแมกคาเดเมีย กินด้วยกันแล้วจะได้รสขมเล็กๆ และกลิ่นหอมของกาแฟที่ทำให้ครัวซองต์ชิ้นนี้ไม่หวานจนเกินไป นอกจากนี้ยังมีโทสต์จากโชกุปังเหนียวนุ่ม เลือกจับคู่กับไอศกรีมหรือแยมโฮมเมดก็ดีไม่แพ้กัน คนรักเบเกอรี่พลาดไม่ได้แล้ว

นั่งอยู่ในดวงใจของสวีตเลิฟเวอร์มาหลายปี ก็ได้เวลาแล้วที่ Anri Bakery ร้านเบเกอรี่ชื่อดังจากเมืองโอซาก้าจะมี Flagship คาเฟ่กับเขาสักที งานนี้ทางร้านเลือกมาปักหมุดเซ็นทรัลเวิลด์ (ชั้น 3) เป็นที่แรกของทวีปเอเชียเลยนะ ดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นสไตล์ญี่ปุ่นที่ได้จากเฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลนวล สลับกับสีแดงสดของแอปเปิ้ล สีประจำแบรนด์ที่สายหวานต่างก็จำได้ ไปด้วยกันได้ดีกับผนังสีขาวแดงที่แกะสลักเป็นรูปภูเขา แถมยังมีต้นแอปเปิ้ลแซมเข้ามาเพื่อสื่อถึงสวนแอปเปิ้ลแห่งเมืองอาโอโมริ แหล่งวัตถุดิบที่สำคัญของร้าน ฟินกับ The Best Apple Pie From Japan ตามคอนเซ็ปต์ของ Anri Bakery เช่นเคย พายแอปเปิ้ลอาโอโมริทำสดใหม่ฝีมือเชฟญี่ปุ่น ตัวแป้งส่งตรงมาจากเมืองโอซาก้า รีดทับซ้อนกันถึง 48 ชั้น กัดส่วนไหนก็เจอแอปเปิ้ล 2 สายพันธุ์จากเมืองอาโอโมริอย่าง ฟูจิ (Fuji) รสเปรี้ยวนิดๆ สดกรอบ และ ซันทสึการุ (Sun Tsugaru) รสหวานฉ่ำ แป้งส่วนตรงกลางจะทาด้วยครีมคัสตาร์ดรสหวานหอม ก่อนทาด้วยแอปริคอตเกลซ รสหวานหอมอีกที ต้อนรับด้วยเมนูฤดูกาล Fresh Strawberry Pie แป้งพายสไตล์ญี่ปุ่นกรอบนอกนุ่มใน สอดไส้คัสตาร์ดรสหวานหอม ตัดด้วยรสเปรี้ยวอมหวานของสตรอว์เบอร์รีสดสัญชาติญี่ปุ่น ต่อด้วย Aomori Apple Pie เมนูซิกเนเจอร์ของร้าน พายสูตรพิเศษ 48 ชั้น ให้สัมผัสนุ่มและกรอบ เข้ากันได้ดีกับแอปเปิ้ลสายพันธุ์จากเมืองอาโอโมริ เพิ่มความฟินอีกขั้นด้วยครีมคัสตาร์ด ก่อนทาด้วยแอปริคอตเกลซ เอาใจคนเลิฟช็อกโกแลตด้วย Chocolate Aomori Apple Pie เปลี่ยนแป้งพายหอมกลิ่นเนยมาเป็นรสช็อกโกแลตก็เข้าที ภายในยังมีไส้แอปเปิ้ลชิ้นเต็มคำอยู่เช่นเคย Sweet Potato Pie โดดเด่นด้วยรสหวานธรรมชาติ ปราศจากน้ำตาลจากมันหวานแห่งเกาะชิโกะกุ เคล้าแป้งพายสูตรพิเศษที่หลายคนติดใจ สาวกมันม่วงต้องนี่ Purple Potato Pie พายสไตล์ญี่ปุ่น แป้งฉ่ำในแต่ภายนอกผิวกรอบเล็กๆ ภายในสอดไส้มันม่วงรสหวาน เนื้อแน่นที่นำเข้าจากเกาะคิวชู เด็กอ้วนถูกใจ Cornet Cream เมนูในตำนานที่ทางร้านนำกลับมาขายอีกครั้ง พายกรอบรูปกรวยโฮมเมด มิ๊กซ์กับครีมเนื้อเนียน รสหวานหอมลงตัวที่สุด ต่อด้วย Original Kouign ควินอามานสไตล์ญี่ปุ่น แป้งนุ่มฟู ได้รสหวานฉ่ำจากคาราเมลทำเอง Choco Banana Kouign ควินอามานเนื้อนิ่มได้รสเข้มของช็อกโกแลตชั้นดี เข้ากับกับกล้วยสดและซอสคาราเมลอย่างยิ่ง แฟนคลับครัวซองต์อย่าลืมสั่ง Mini Croissants มินิครัวซองต์แสนอร่อย ที่ทางร้านใช้แป้งพายซิกเนเจอร์มาครีเอท มีหลากหลายรสชาติให้ชวนชิม ทั้งรสดั้งเดิม ช็อกโกแลต แยมแอปปริคอต Almond Pie แป้งพายสูตรเด็ดกรอบๆ ได้รสหวานฉ่ำจากน้ำผึ้งแท้ ก่อนท็อปด้วยอัลมอนด์จุใจ Yuzu Pie รสหวานอมเปรี้ยวของแยมส้มยุสุแห่งเกาะชิโกะกุ สลับชั้นกับแป้งพายกรอบหอมกลิ่นเนย จิบคู่กับดริ้งก์ชื่นใจอย่าง Aomori Apple Juice น้ำแอปเปิ้ลอาโอโมริรสเปรี้ยวอมหวาน Aomori Apple Soda เติมความซาบซ่ากันอีกนิด จะเป็นมัตฉะหรือกาแฟที่นี่ก็มีนะ

Tag:

ยินดีต้อนรับสู่ Filsandfille (ฟีส แอนด์ ฟี) คาเฟ่ประตูสีแดงในซอยประดิษฐ์มนูธรรมที่แวะมากี่ครั้งก็ประทับใจ ที่นี่เป็นห้องครัวเบเกอรี่แสนสนุกของคุณนิ่ม-จิรนันท์ เอียดแก้ว ศิษย์เก่า เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต หลักสูตร Diplôme de Pâtisserie ที่เปิดคาเฟ่ตามความฝันของตัวเอง   คุณนิ่มเล่าย้อนไปอย่างอารมณ์ดีว่าสมัครเรียนแบบไม่มีพื้นฐานการทำขนมอบเลย แต่ด้วยความชอบและความท้าทายที่ต้องเจอในแต่ละวันทำให้เธอสนุกกับการเรียนมากเป็นพิเศษ ชื่อร้านเป็นภาษาฝรั่งเศสหมายถึงลูกชายและลูกสาว เพราะเริ่มต้นจากการรวมตัวของ 4 พี่น้องที่มีความถนัดแตกต่างกันทั้งขนม กาแฟ และคราฟต์เบียร์ ขนมของคุณนิ่มเป็นสไตล์ฝรั่งเศสที่มีเนื้อสัมผัสหลากหลายในหนึ่งชิ้น เต็มไปด้วยสีสันจากผลไม้ประจำฤดูกาลและดอกไม้กินได้ จัดเสิร์ฟในจานวินเทจที่ทำให้ดูน่ากินขึ้นมาก Vanilla Crème Brûlée แครมบรูเลตกแต่งด้วยเบอร์รีหลากชนิดและดอกไม้ ความสนุกอยู่ที่การใช้ช้อนกะเทาะคาราเมลกรอบๆ บนหน้าให้แตกแล้วตักกินพร้อมแครมบรูเลวานิลลา Opera Cake เค้กโอเปราที่ตั้งใจทำให้หน้าตาออกมาคลาสสิกที่สุด ชั้นล่างสุดเป็นอัลมอนด์สปันจ์เค้ก สลับชั้นด้วยคอฟฟี่บัตเตอร์ครีม ช็อกโกแลตกานาช เกลซช็อกโกแลต แล้วตกแต่งด้วยดาร์กช็อกโกแลต ต่อด้วย Classics Mille-Feuille เมนูที่ใช้เวลาเตรียม 3 วัน แป้งพัฟรีดด้วยมืออบกรอบสลับชั้นกับครีมรสละมุน และจะประกอบเป็นชิ้นเมื่อสั่งเท่านั้น ยังมีเมนูประจำฤดูกาล Marian Plum Sticky Rice ชั้นล่างเป็นทาร์ตผสมผิวเลมอน ข้าวเหนียวมูน ครีมมะยงชิด ท็อปด้วยเนื้อมะยงชิดสดรสหวานอมเปรี้ยวตามธรรมชาติ จบมื้อนี้ด้วย Cold Brew Yuzu กาแฟโคลด์บริวที่ใช้ไซรัปยูซุทำเองผสมผสานกับยูซุพูเร่ของเกาหลี แก้วนี้สดชื่นดีเชียวล่ะ

บนชั้น 2 ของ BK SALON สาธุประดิษฐ์เป็นที่ตั้งของ Ōre เชฟส์เทเบิลกับเคาน์เตอร์บาร์ยาว 8 ที่นั่งล้อมรอบครัวเปิดให้เราเห็นเชฟ Dimitrios Moudios และทีมง่วนอยู่กับเทสติงเมนูกว่า 20 เมนูที่เชฟบอกว่าไม่จำกัดสัญชาติ เหมือนโชว์สุดเจ๋งที่มีกลิ่นควันไฟหอมๆ ลอยประกอบ เชฟ Dimitrios เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากร้านดังมาแล้วหลายประเทศ Ōre จึงเป็นห้องทดลองครั้งใหม่ เชฟหยิบวัตถุดิบท้องถิ่นมานำเสนอผ่านการหมัก การย่าง พรีเซนต์หน้าตาอาหารแปลกตา (มองเผินๆ เหมือนมาร้านโอมากาเสะ แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว) แพริ่งกับชาที่เข้ากันอย่างราบรื่นตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้าย เพราะที่นี่ใช้น้ำแร่ธรรมชาติ Sai Yok Springs ในการทำอาหาร ค่ำนี้จึงเริ่มด้วยน้ำแร่ต้มที่เพิ่มกลิ่นหอมด้วยผิวมะกรูด ตามด้วยเทสติงเมนูที่ไล่รสชาติไปเรื่อยๆ กว่า 20 เมนู ให้สนุกกับรสเปรี้ยว รสหวาน ความกรอบ ความนุ่มที่ได้จากเนื้อ ปลา ผลไม้ และสารพันผัก อาทิ สตรอว์เบอร์รีมาพร้อมลาร์โด (Lardo) หมักด้วยมะแขว่น ข้าวโพดอ่อนย่างทาด้วยซอยซอส (Soy Sauce) รสเค็มนิดๆ และแยมมัลเบอร์รีเสิร์ฟในฝักข้าวโพดอีกที มันหวานต้มในน้ำแร่นุ่มหวาน สโมกแล้วเสิร์ฟร้อมเต้าหู้หมัก ปลากะพงแดงซาชิมิ ด้านในมีเม็ดมะละกอ จิ้มกับโชยุทำเองรสกลมกล่อม อีกเมนูที่เราชอบเนื้อสัมผัสคือถั่วหวานย่าง ใส่เนื้อปลาหมึกชิ้นเล็กๆ คาเวียร์ และมีฟิงเกอร์ไลม์ให้บีบชูรส ได้ทั้งความมันและกรุบกรอบในหนึ่งคำ ปูนิ่มเทมปุระห่อใบชิโซะเมนูนี้พรีเซนเทชันอู่ฟู่ เสิร์ฟพร้อมมะม่วงเบาให้บีบแทนเลมอน ลูกฟิกส์ย่างฉ่ำๆ กินกับซอสพริกแกงแดง บนหน้าเป็นดอกกุหลาบย่าง เนื้อเสือร้องไห้รมควัน เม็ดเล็กๆ บนหน้าคือน้ำพริกเผาเพิ่มรสเข้มข้น อีกจานที่ตื่นเต้นทั้งโต๊ะคือเนื้อทาร์ทาร์คลุมด้วยดอกแนสเตอร์เตียมแสนสวยให้กินได้ทั้งคำ ของหวานมีทั้งซอร์เบต์กีวีรสเปรี้ยวสดชื่นกับซอสที่ทำจากใบชะมวง ผักชีลาว และพาร์สลีย์ รวมถึงไอศกรีมมะพร้าว ราดด้วยชาเข้มๆ แบบอัฟโฟกาโต  เข้ากันดีเชียว

Tag:

รังสรรค์เมนูใหม่มาเปิดประสบการณ์สายฟู้ดอีกแล้วสำหรับ Saawaan ร้านอาหารไทยฟิวชั่นไฟน์ไดน์นิงในย่านสาทรใต้ดีกรีมิชลินหนึ่งดาว 3 ปีซ้อน นำทีมความอร่อยโดย เชฟเอิร์ธ - ศริตวรรธน์ วันวิชิตกูร เชฟอาหารไทยมากฝีมือจากเกาะภูเก็ต ศิษย์เก่า Le Gordon Bleu Dusit Culinary ที่เคยบรรเลงฝีมือในร้านอาหารชื่อดังอย่าง Mezzaluna และ Nitan มาแล้ว แทกทีมกับเชฟเปเปอร์ - อริสรา จงพาณิชกุล เชฟขนมหวานที่ศึกษาการทำขนมจากโรงเรียน Gastronomicom แห่งประเทศฝรั่งเศส สมศักดิ์ศรีผู้ร่วมก่อตั้งร้านขนมหวาน ICI ลิ้มลองเมนูใหม่ที่เชฟเอิร์ธใช้เทคนิคแก่นแท้ของอาหารไทยดั้งเดิมอย่าง การต้ม การนึ่ง การหมัก และการย่างบนเตาถ่าน จากการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นทั่วเมืองไทยบวกกับการปรุงรสจัดจ้านในแบบฉบับของอาหารใต้ เสิร์ฟมาในบรรยากาศโมเดิร์นที่ทางร้านใช้สีดำเป็นโทนหลักในการตกแต่ง เสมือนสวรรค์ในความมืดมิดที่ให้คุณเต็มอิ่มกับ Vibe แห่งความดิบเท่ทันสมัย ประเดิมด้วย Raw ปูม้าดองมะม่วงสด เชฟใช้ปูม้าเนื้อหวานจากจังหวัดระนอง หมักกับสาหร่ายและน้ำปลาโฮมเมด ห่อด้วยมะม่วงสดสามฤดูรสเปรี้ยวอมหวาน เคล้ารสเปรี้ยวสดชื่นจากเจลลี่มะเขือเทศ ราดซอสสูตรเฉพาะที่ทำจากน้ำมะม่วงและเม็ดมะม่วงหิมพานต์รสหอมมัน ตามด้วย Fermented หมูผัดเคย คอหมูเนื้อนุ่มจากจังหวัดราชบุรี ผัดพร้อมเคยที่ผ่านกระบวนการหมักด้วยเกลือและน้ำตาลมานานกว่า 3 วัน ตัดด้วยรสเปรี้ยวจากโฟมสับปะรด ที่เกิดจากสับปะรดหมักกับกระเจี๊ยบ เพิ่มสัมผัสกรุบกรอบด้วยมันแกว หลายคนชอบ Yum ยำไข่ดาว ฐานล่างเป็นไข่ขาวและไข่แดงอิ่มเอม เพิ่มรสเปรี้ยวด้วยน้ำมะอึก และความจัดจ้านจากน้ำยำไข่แดง ต่อกับ Boiled ต้มกะทิเนื้อเค็ม สูตรเด็ดของคุณยายของเชฟเอิร์ธ เอ็นจอยกับ French Charolais Beef Araignee ฉ่ำลิ้น สมญานามเนื้อที่ดีที่สุดแห่งประเทศฝรั่งเศส เข้ากันดีกับยอดมะพร้าวกรุบกรอบ หอมแดงดอง และรสกลมกล่อมของน้ำกะทิเคี่ยวกระดูกวัวอย่างดี หนึ่งในจานไฮไลต์ Steamed ปลาหมึกนึ่งมะนาว ปลาหมึกคุณภาพสัมผัสหนึบหนับจากจังหวัดระนอง มิ๊กซ์กับรสเปรี้ยวกลมกล่อมของผลไม้ตระกูลซิตรัสอย่าง  ส้มซ่า ส้มจี๊ด มะนาวและมะกรูด เสริมด้วยรสเค็มจากซอสสูตรเฉพาะที่ทำจากซีฟู้ดและกุ้งแห้ง Charcoal น้ำพริกใบทำมัง อาหารท้องถิ่นของภาคใต้ กั้งเนื้อหวานที่ส่งมาจากเกาะภูเก็ต มิ๊กซ์ซอสสูตรเด็ดเข้มข้น ก่อนนำไปย่างบนเตาถ่านให้หอม เสิร์ฟพร้อมน้ำพริกรสนุ่มนวลที่ทำจากใบทำมังและส่วนหัวของกั้ง ยังมี Curry แกงไก่หยวกกล้วย อร่อยกับไก่ตัวอ้วนอายุ 120 วัน (ส่วนอกและน่อง) ที่นำเข้าจากเทือกเขาพิเรนีสแห่งประเทศฝรั่งเศส จิ้มน้ำซอสรสเข้มข้น ที่ได้จากหยวกกล้วยผสมกับน้ำส้มจี๊ด ใบแว่นแก้ว สโมกกลิ่นขมิ้นหอมฟุ้ง กินกับ ข้าวมันปลีกล้วยรสละมุน ที่ภายในอัดแน่นไปด้วยเครื่องในไก่ฝรั่งเศส ของหวานเป็น ถั่วกรอบแก้ว ขนมโปรดของเชฟเปเปอร์ในสมัยเด็ก แผ่นงากรอบๆ และถั่วลิสง ไปด้วยกันได้ดีกับช็อกโกแลตกานาชรสเข้ม และครีมเนยถั่วโฮมเมดหวานมัน เสิร์ฟเคียงไอศกรีมวานิลลาชื่นใจจากฝักวานิลลาแห่งจังหวัดเชียงราย เข้ากันลงตัวอะไรอย่างนี้

ถึงทีของชาวนนทบุเรี่ยนที่จะได้ลิ้มลอง HaiDiLao Hot pot” ร้านชาบูหม้อไฟสไตล์จีนรสเด็ดใกล้ๆ บ้านกันบ้าง เพราะทางร้านมาบุกโลเคชั่นใหม่ ที่ Central Westgate (MRT สามแยกบางใหญ่ และ MRT ตลาดบางใหญ่) บริเวณชั้น G พร้อมให้คุณชิมชาบูหม้อไฟพรีเมี่ยมขวัญใจสายฟู้ด ที่เพียบพร้อมทั้งวัตถุดิบชั้นเลิศและการบริการที่ดีแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นั่งในร้านแล้วเลือกน้ำซุปกันก่อนเลย ครั้งนี้เราเลือกเป็น น้ำซุปคอลลาเจน รสหวานธรรมชาติจากกระดูกไก่ เคี่ยวอย่างดีกับสมุนไพรนานาชนิด ซุปเห็ด รสเค็มกลมกล่อม ซุปมะเขือเทศ รสเปรี้ยวนุ่มนวล ทางร้านใส่เนื้อมะเขือเทศมาให้ด้วยนะ และที่ขาดไม่ได้เลยคือ ซุปนมหม่าล่า น้ำแกงหม่าล่ารสร้อนแรง ซิกเนเจอร์ของทางร้าน ผสานกับน้ำนมข้าวโอ๊ตเข้ากัน จับคู่กับวัตถุดิบคุณภาพหลากชนิด ทั้ง เนื้อวากิว ที่ส่งตรงจากดินแดนอาทิตย์อุทัย ให้สัมผัสฉ่ำลิ้น สันคอหมูคุโรบุตะ เนื้อนุ่ม ชุ่มฉ่ำ หมูสามชั้น เคี้ยวเพลิน ขวัญใจเด็กอ้วน ตามด้วย หมูสามชั้นดอกกุหลาบ หมูสามชั้นที่เรารัก นำมาห่อเป็นรูปดอกกุหลาบสวยงาม เป็นทั้งอาหารตาและอาหารใจ อย่าลืมสั่ง ตับหมู เมนูดาวเด่นประจำร้าน ตับหมูหมักอย่างดี ไร้กลิ่นสาบ ลูกชิ้นโฮมเมดที่ครั้งนี้เราสั่งทั้ง ลูกชิ้นกุ้ง เนื้อเด้งๆ มีความหนึบเล็กๆ ลูกชิ้นแมงกะพรุน สีเขียวเพราะผสมป๋วยเล้ง และ ลูกชิ้นปลาหมึก หนึบหนับ เคี้ยวเพลินอย่าบอกใคร ใครชอบซีฟู้ดต้องชิม กุ้งแกะเปลือก เนื้อหวานสด เข้ากันดีกับน้ำจิ้มซีฟู้ดไต้หวัน ปลากะพงแดง เนื้อแน่น ให้รสหวานธรรมชาติ ปลาหมึก ที่ทางร้านหั่นมาแล้วอย่างดี ต่อด้วย หอยเชลล์ ตัวอวบอ้วน เต็มคำ กินผักเพิ่มวิตามินกันบ้าง รากบัว กรุบกรอบ มากประโยชน์ หลายคนชอบ ป๋วยเล้ง ลวกน้ำซุปให้นิ่ม มันฝรั่ง สไลด์แผ่นบางกำลังดี สาหร่ายวากาเมะ ก็เข้าที ดีต่อร่างกาย ปิดท้ายกันกับเครื่องดื่มสดชื่น ชาไทย รสหวานมัน ดับกระหายได้ดี และ มัตฉะมะพร้าว นมสดผสานน้ำมะพร้าวรสหวานหอม ท็อปด้วยมัตฉะเข้มข้น อิ่มอร่อยได้ใจสายฟู้ดตลอดมา

ใครกำลังมองหามุมฮีลใจในวันว้าวุ่นที่ทั้งเงียบสงบและผ่อนคลาย แนะนำ “เวฬาภิรมย์” ห้องอาหารในโรงแรมวิลล่าเทวา รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล กรุงเทพ ตกแต่งสไตล์ไทยโมเดิร์นล้อไปกับคอนเซ็ปต์ของโรงแรมคือ “สัมผัสแห่งไทย” ด้วยดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เสมือนภาพฉายในอดีตของสาทรที่หลายคนยังคงคิดถึง เวฬาภิรมย์เน้นปรุงอาหารไทยต้นตำรับในแบบฉบับไฟน์ไดนิง จากวัตถุดิบในท้องถิ่นที่เชฟเดินทางไปเสาะแสวงหาด้วยตัวเอง เพื่อให้ได้รสชาติเข้มข้นแบบต้นตำรับ อาทิ ยำส้มโอกุ้งสด เชฟเลือกใช้ส้มโอพันธุ์ทองดีจากนครปฐมที่มีรสหวานฉ่ำแซมเปรี้ยวนิดๆ ราดน้ำยำที่มีส่วนผสมของกะปิคั่วและน้ำมะขาม เสริมทัพด้วยกุ้งลวกและเครื่องสมุนไพร คลุกเคล้าจนเข้ากัน รสชาติจัดจ้านถึงใจ ไม่ว่าจะกินมื้อไหนก็ได้ความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ต่อด้วย แกงปูใบชะพลู เครื่องแกงโขลกใหม่ๆ ใส่ปลาเนื้ออ่อนตากแห้งที่ผ่านการย่างหอมๆ เพิ่มดีกรีความเข้มข้นให้น้ำแกงไปอีกขั้น ส่วนไฮไลท์เราขอเทใจให้เนื้อปูสดๆ จากเรือประมงเล็กของชาวบ้านซึ่งเชฟใจดีใส่ให้เต็มที่ไม่มีอั้น ถัดมาคือ ต้มข่าหอยเชลล์ญี่ปุ่นย่าง เมนูคู่ครัวไทยที่เซอร์ไพรส์สายกินด้วยหอยเชลล์ญี่ปุ่นตัวใหญ่ เนื้อแน่นเคี้ยวหนึบและซึมซับน้ำแกงที่หอมกรุ่นด้วยกลิ่นข่าและเครื่องสมุนไพร สายเนื้อต้องลอง สเต็กเนื้อวากิว เนื้อนุ่มฉ่ำที่เราสามารถเลือกระดับความสุกได้ตามชอบ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วรสแซ่บ ช่วยชูรสให้ว้าวขึ้นอีกเท่าตัว ปิดท้ายด้วยของหวาน กล้วยไข่เชื่อมทรงเครื่อง หากยังไม่รีบไปไหนอยากให้ลองชุดน้ำชายามบ่าย แล้วย้ายออกมานั่งรับลมริมสระว่ายน้ำจะเพลิดเพลินดีต่อใจยิ่งนัก หรือยังไม่มีโปรแกรมไปไหนจะสั่งชุดน้ำชายามบ่ายมานั่งละเลียดริมสระ  เก็บเป็นโมเมนต์สุดประทับใจก็ได้อีกเช่นเดียวกัน “เวฬาภิรมย์” มุมรื่นรมย์ที่ใครก็เข้าถึงได้จริงๆ

Tag:

ไม่ต้องเท้าความหลังเพราะห้องอาหารกรีนเฮ้าส์ โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ เป็นที่รู้จักกันดีของสายกินมานานกว่า 30 ปี จากฝีไม้ลายมือของเชฟมัก คิน ไฟ เชฟชาวฮ่องกงผู้อยู่เบื้องหลังเมนูเด็ดกว่าร้อยรายการ ช่วงนี้ห้องอาหารปิดรีโนเวทแต่ถ้าคิดถึงรสมือเชฟ แนะนำที่ The Greenhouse Congee & Noodles by The Landmark Bangkok พื้นที่ความอร่อยแห่งใหม่เอาใจชาวทองหล่อ ยกขบวนเมนูเด็ดมาแบบจัดเต็ม ฮอตตลอดกาลยกให้ โจ๊กลูกชิ้นหมูไข่เยี่ยวม้า เชฟใช้ปลายข้าวหอมมะลิ (ข้าวหัก) และข้าวเก่าผสมข้าวใหม่ เคี่ยวกับน้ำสต๊อกปลาแซลมอนนานกว่า 2-3 ชั่วโมง จนได้โจ๊กเนื้อเนียนข้น เหนียว นุ่ม ฟู ดับคาวด้วยขิงแก่ เคล็ดลับคือใส่น้ำเต้าหู้ไปด้วยช่วยเพิ่มกลิ่นหอมละมุนและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เสริมทัพด้วยลูกชิ้นหมูที่ทำจากเนื้อหมู 70% มันหมู 30% ใส่น้ำมันงาและแป้งมัน ทำให้เนื้อนุ่ม เด้ง กินกับไข่เยี่ยวม้า รสชาติมันๆ นัวๆ เข้ากันมาก เมนูคู่โต๊ะคือ เฉโป (หมูกรอบ, หมูแดง, เป็ดย่าง) หมูแดง สันคอหมูหมักด้วยเครื่องปรุงสูตรพิเศษนาน 4-5 ชั่วโมง จากนั้นนำมาย่าง 45 นาที เนื้อแน่นหนึบรสออกหวานนิดๆ หมูกรอบ นำหมูส่วนท้องมาต้มแล้วล้างด้วยเกลือ อบอีก 1 ชั่วโมง จึงนำมาตากแห้งก่อนย่างด้วยไฟอ่อนจนเนื้อนุ่ม หนังตึงกรอบ ก็พร้อมเสิร์ฟ และ เป็ด ที่มีกรรมวิธีการทำหลายขั้นตอน ทั้งลวกและขึ้นสีด้วยแบะแซ อบด้วยไฟอ่อนๆ 40 นาที ต่อด้วยตากและเป่าลม 2 ชั่วโมง ย่างอีก 2 ชั่วโมง ซึ่งเคล็ดลับขั้นตอนนี้จะเริ่มที่ไฟแรง 250 องศา แล้วค่อยๆ ลดไฟ ทำให้เนื้อนุ่ม หนังกรอบ อย่าลืมเพิ่มรสด้วยน้ำราดชุ่มๆ ก่อนส่งเข้าปาก อร่อยจนอยากสั่งเพิ่ม    บะหมี่เกี๊ยวกุ้งทรงเครื่อง เริ่มจากบะหมี่ไข่โฮมเมดที่เชฟใส่ใจทุกขั้นตอน ทั้งนวดและคลึงแป้งด้วยไม้ไผ่ นำมาลวกให้สุกพอดีๆ คลุกเคล้ากับซอสสูตรลับ สมทบด้วยเกี๊ยวไส้แน่นที่มีส่วนผสมของหน่อไม้ เห็ดหอม หมู กุ้ง และกุ้ยช่ายขาว ปรุงรสนิดหน่อยก็อร่อยจนลืมไม่ลง อีกเมนูห้ามพลาดคือ ข้าวอบทะเลหม้อดิน ข้าวผัดกับไข่หอมๆ ใส่ในหม้อดินที่วอร์มจนร้อน ท็อปด้วยเครื่องเคราซีฟู้ดกลิ่นหอมฟุ้ง ประกอบด้วยกุ้ง ปลากะพง เนื้อปู ปลาหมึก และหอยเชลล์ ปิดท้ายด้วย ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊วหมู หอมเส้นหอมหมูหมักที่ผัดด้วยกระทะเหล็ก ทีเด็ดคือซอสฮ่องกงรสชาติกลมกล่อม ถูกปากโดนใจแบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม กรีนเฮาส์ 30 ปี การันตีรสชาติจากรุ่นสู่รุ่น!

จากความหลงใหลในเมนูกุ้งอบวุ้นเส้นและข้าวไข่ข้นกุ้งผัดพริกขี้หนู สู่เส้นทางสายอาชีพในนามร้าน สืบกุ้งอบ ร้านสตรีทฟู้ดที่ยกทะเลมาเสิร์ฟกลางเมืองกรุง รับประกันเรื่องความสดใหม่ ส่วนรสชาติก็ไม่ต้องสืบ เพราะอร่อยคุ้มค่าแคลแน่นอน! ถนนพระอาทิตย์ อีกหนึ่งเส้นทางของนักชิมตัวยง โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวในเมืองกรุง เป็นต้องมาลิ้มลองรสมือของร้านสืบกุ้งอบ ที่มียอดรีวิวความอร่อยเต็มสิบเผยแพร่ในโลกโซเชียล ทำเอานักกินอย่างเราต้องตามไปลองสักครั้ง ภายในร้านอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ต้องการมาฝากท้องกับอาหารสตรีทฟู้ดรสเด็ด และด้วยความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค ทางร้านสืบกุ้งอบจึงให้ความสำคัญกับวัตถุดิบทุกชนิดที่นำมาปรุงอาหาร แถมยังใส่ใจเรื่องรสชาติ พร้อมทั้งพัฒนาสูตรอาหารไทยให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มรสความเป็นไทยผ่านจานอาหารของเขา เริ่มต้นที่ ต้มยำกุ้งน้ำข้น เมนูขายดีมีทุกโต๊ะ ได้รสเข้มข้นของน้ำแกง หอมกลิ่นสมุนไพร แต่ที่พิเศษสุดๆ คือยอดมะพร้าวอ่อนที่ช่วยเพิ่มความลงตัวให้หม้อนี้ได้ดีทีเดียว ต่อด้วย หอยแครงลวก เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรเด็ดและน้ำจิ้มหวานถั่วตัด กินผสมกันอร่อยครบรส ส่วนหอยก็ให้ตัวใหญ่ เนื้อแน่น มีความสดและสะอาด บ่งบอกถึงความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบได้เป็นอย่างดี (สามารถเลือกระดับความสุกของหอยได้) เพิ่มความอิ่มท้องด้วย ยกทะเลอบวุ้นเส้น เสิร์ฟหม้อใหญ่ ภายในอัดแน่นด้วยกุ้งตัวโต หมึกกระดอง และกรรเชียงปู ที่ทางร้านแกะเปลือกให้เรียบร้อยพร้อมทาน เนื้อหวานเด้ง กินคู่กับวุ้นเส้นเหนียวนุ่มที่ทำจากถั่วเขียว 100% เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นของเมนูนี้เลย แต่ที่ห้ามพลาดคือ ข้าวไข่ข้นกุ้งพริกขี้หนู เท็กซ์เจอร์ไข่ข้นที่เนียนนุ่ม เข้ากันได้ดีกับความจัดจ้านของกุ้งผัดพริกขี้หนู ยิ่งกินกับข้าวสวยร้อนๆ พูดได้เต็มปากว่าอร่อยมาก เบรกความแซ่บด้วยน้ำผลไม้ปั่นอย่าง น้ำแตงโม และ มะม่วงน้ำดอกไม้ปั่น เป็นเมนูสมูตตี้ที่ไม่ผสมไซรัป เพื่อให้ทุกคนได้ดื่มด่ำกับรสชาติของผลไม้แท้ๆ เป็นอีกหนึ่งร้านที่เหล่าฟู้ดดี้ห้ามพลาด

อีกหนึ่งร้านในเครือ “ซาว” ของอีฟ-ณัฐธิดา พละศักดิ์ ที่นอกจากเมนูอีสานและแจ่วฮ้อนสุดแซ่บอีหลีที่หลายคนต่างเคยได้มาลองแล้ว ล่าสุดกับการเสิร์ฟ All Day Breakfast รสชาติคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็น ไข่กระทะ ปากหม้อ ก๋วยจั๊บญวน ก็บอกเลยว่าอร่อยไม่แพ้ไปกินที่อุบลราชธานีเลยทีเดียว แม้ว่ารสชาติอาหารจะจัดจ้านขนาดไหนแต่การตกแต่งของร้านกลับอบอุ่นนั่งสบาย ตกแต่งในสไตล์บ้านไม้โทนน้ำตาลกลางสวนที่ล้อมรอบด้วยกระจกใส ชวนให้ได้มู้ดโลคอลแม้อยู่ใจกลางเมือง เริ่มที่จานอาหารเช้าเมนูใหม่อย่าง ซาวไข่กระทะร้อน (285.-) ประกอบด้วย ไข่ดาว ไข่นกกระทา หมูรวนภูพานสกลนคร ไส้กรอกหมูหนังกรอบ หมูยอหนังอุบล และขนมปังกรอบ จับคู่กับอเมริกาโน่ร้อน จากเมล็ดกาแฟภาคเหนือไทย เป็นเซ็ตอร่อยที่เริ่มต้นวันได้ดี ต่อที่เมนูรสแซ่บ ตำซั่วเส้นก๋วยจั๊บกากหมู (250.-) ตำซั่วรสเด็ดที่เปลี่ยนจากเส้นขนมจีนเป็นเส้นก๋วยจั๊บญวนเหนียวนุ่ม กินพร้อมเส้นมะระกอกรุบกรอบและกากหมูเจียว หลากหลายเท็กเจอร์ในคำเดียว จับคู่กับ คอหมูทอดปลาร้า (350.-) คอหมูที่ทอดจนหนังกรอบกำลังดีแต่เนื้อในยังนุ่มชุ่มฉ่ำ เคลือบด้วยน้ำปลาร้าสไตล์เกาหลี หวานเค็มเผ็ดครบรสลงตัว ปิดท้ายด้วย อ่อมแก้มวัว (320.-) น้ำแกงรสเค็มเผ็ดหอมสมุนไพรและผักชีลาว ซึมเข้าเนื้อส่วนแก้มวัวที่ตุ๋นจนนุ่มเปื่อยกว่า 5 ชั่วโมง ซดแล้วโล่งคอเป็นที่สุด

ฉัน – (CHUNN) ร้านข้าวหน้าเนื้อที่เกิดจากความชื่นชอบในการกินเนื้อของเจ้าของร้าน “คุณโจ๊ก” ตั้งแต่สมัยเรียน จนฝันอยากจะมีร้านข้าวหน้าเนื้อที่กินง่าย ในราคาสบายกระเป๋า เป็นร้านที่ตอบโจทย์คนชอบกินเนื้อคู่กับน้ำจิ้มรสไทยๆ อร่อยไม่พอ ยังได้นั่งเสพบรรยากาศวินเทจจากข้าวของ และรูปภาพงานศิลปะในร้าน เหมาะกับสายอาร์ตมากๆ สุดท้ายความฝันของเขาก็กลายเป็นจริง กลายมาเป็นร้านฉัน (CHUNN) ที่เปิดให้ผู้คนเข้าไปในโลกความฝันของคนชอบกินเนื้อเหมือนกัน ก่อนอื่น เมื่อเดินเข้าไปในร้าน จะเห็นงานศิลปะเรียงรายตลอดทาง เหมือนเข้ามาในหอศิลป์อย่างไรอย่างนั้น เมนูส่วนใหญ่ของร้าน จะเป็นเนื้อที่ถูกสร้างสรรค์ออกมาในแบบต่างๆ เช่น Beef BBQ บาร์บีคิวเนื้อเสียบไม้ กินง่าย ปรับให้เข้ากับคนไทยมากขึ้นโดยเสิร์ฟพร้อมปลาร้าบอง อร่อยนัว ถูกใจสายแซ่บแน่นอน Beef Tartare เมนูที่เหนือความคาดหมายมาก เพราะการนำเนื้อดิบมากินคู่กับผลไม้อย่างแอปเปิลและสาลี่ ฝานเป็นเส้นๆ ดันเกิดเป็นความลงตัวขึ้นมา จากกลิ่นของเนื้อที่ถูกเติมเต็มด้วยรสหวานของผลไม้ CHUNN Steak เนื้อเทนเดอร์ลอยน์ที่ถูกนำมาย่างจนได้กลิ่นหอม สไลด์เป็นชิ้นๆ มาให้เรียบร้อย เนื้อกินได้พอดีคำ เคี้ยวสนุก แต่มาร้านฉันทั้งที จะพลาดเมนูนี้ได้ไง CHUNN Beef Rice Bowl เมนูซิกเนเจอร์ที่ขาดไม่ได้เลยของร้านฉัน เสิร์ฟเนื้อย่างสไลด์โปะบนข้าวและโรยกระเทียมเจียว ตามด้วยไข่แดงของไข่เป็ดปิดท้ายไว้ข้างบนสุด เวลากิน คลุกเคล้าทุกอย่างให้อยู่ในคำเดียวกันจะยิ่งฟินอย่าบอกใคร   ส่วนถ้าใครอยากลองเปลี่ยนจากข้าวหน้าเนื้อย่าง เป็นข้าวหน้าหมูย่างบ้าง ที่นี่ก็มีให้เลือกเหมือนกัน CHUNN Pork Rice Bowl ข้าวหน้าหมูย่าง หมูย่างมาอย่างดี เคี้ยวไปแล้วไม่รู้สึกว่าเหนียวเลย ระหว่างนี้ก็ซดซุปกิมจิเต้าหู้ใส่เนื้อ รสชาติเข้มข้นไปด้วย อร่อยขึ้นไปอีกขั้น! เติมไฟเบอร์ให้ร่างกายด้วย CHUNN Salad สลัดของที่นี่ก็อร่อยสดชื่น และจานใหญ่ใส่ผักมาพูนๆ พร้อมราดน้ำสลัด Balsamic มา รสชาติจี๊ดจ๊าด กินเนื้อไปด้วย กินสลัดไปด้วย อร่อยและได้สารอาหารเต็มๆ แน่นอน การได้กินเนื้อในบรรยากาศร้านที่อบอุ่น และตกแต่งด้วยสไตล์วินเทจ มีงานศิลปะให้ดูเพลินๆ เคล้าคลอกับเสียงเพลง ยิ่งทำให้มื้ออาหารครั้งนี้เต็มไปด้วยความสุข   ร้าน "ฉัน" ใกล้ใคร แนะนำให้ไปที่ร้านนั้น สาขาเอกมัย (สุขุมวิท 61) สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว สาขาเมกาบางนา

หากใครเป็นคอมัตฉะ ต้องเคยได้ยินชื่อของ Grow tea.studio สโลว์บาร์ชาสุดฮอตที่ซ่อนตัวอยู่ซอยสุทธิสารมาบ้างอย่างแน่นอน ล่าสุดกับการเปิดบ้านหลังใหม่ย่านพร้อมพงษ์ก็ทำให้ประทับใจได้อีกเช่นเคย ทั้งพื้นที่ร้านที่กว้างขวางกว่าเดิม เพิ่มเติมด้วยหลากหลายเมนูใหม่น่าลิ้มลอง จุดเด่นของสาขานี้ยกให้การเลือกใช้โทนสีครีมและน้ำตาลอ่อนที่มาช่วยเสริมความอบอุ่นและความสงบได้มากกว่าสาขาแรก รวมถึงตัวเคาน์เตอร์บาร์ขนาดใหญ่กลางร้านที่นอกจากจะใช้ครีเอตเครื่องดื่มสุดพิเศษให้ทุกคนได้ชมลวดลายการชงชาแบบแก้วต่อแก้ว ยังสามารถนั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องชากับเจ้าของร้านได้อย่างเป็นกันเอง เริ่มด้วยเมนูใหม่อย่าง Collage Milk Matcha (185.-) แก้วที่รวมจุดเด่นของอูจิมัตฉะมา Collage ไว้ด้วยกัน หลากหลายเทสโน้ตในหนึ่งคำอูมามิกลมกล่อมลงตัว ต่อด้วย Frosty Oonlong (165.-) ชาอู่หลงสดจากไร่ภาคเหนือของไทย ที่ให้กลิ่นหอมของดอกไม้หลากชนิดรสเข้มแต่ไม่ขมเบาสบายดื่มง่าย แนะนำจับคู่กับ Dorayaki (85.-) โดรายากิซิกเนเจอร์ แป้งหนึบนอกนุ่มในสอดไส้ถั่วแดงกวนหวานพอเหมาะ หรือจะเลือกเป็นของหวานสุดพิเศษเฉพาะสาขาใหม่ Fruits Full Parfait (285.-) พาร์เฟ่ต์ที่เสิร์ฟคัสตาร์ดพุดดิ้งมากับผลไม้ตามฤดูกาล ไอศกรีมวานิลลา และมินิโดรายากิ หอมหวานฉ่ำกินแล้วสดชื่น

ต่อยอดจากแบรนด์ CPS CHAPS ไปได้อย่างสวยงามจนกลายเป็นหนึ่งในแลนด์มากของคนรักกาแฟไปแล้วจริงๆ สำหรับ “CPS Coffee” ร้านกาแฟสุดเท่ที่พร้อมเสิร์ฟคอฟฟี่ไฮต์ไลต์อย่างตัว Dirty 10 กว่ารสชาติ ไม่ว่าจะเป็น Matcha Espresso Dirty เพื่อคนรักมัตฉะและกาแฟ Caramel Dirty หวานมัน Hazelnut Dirty ได้กลิ่นถั่วครีมมีชัดเจน หรือตัว Dirty คลาสสิกที่โดดเด่นด้วยเอสเพรสโซช็อตคั่วกลาง ท็อปด้วยนมสดเย็นเจี๊ยบ นอกจากนี้ CPS Coffee ยังเอาใจคอฟฟี่เลิฟเวอร์ด้วยเมล็ดกาแฟ 2 ชนิด ได้แก่ Coppers Stout บอดี้เข้มสำหรับสายดาร์ก และ Amber Ale รสเปรี้ยวนิดๆ ผสมกับกลิ่นของผลไม้เมืองร้อน เข้าคู่กับขนมอบสไตล์โฮมเมด ซึ่งครั้งนี้เราแวะมาชิมสาขา Vivre Langsuan โลเคชั่นขวัญใจสายฟู้ดย่านชิดลม เอ็นจอยกับบรรยากาศโมเดิร์นผสมมินิมอลในแบบฉบับ CPS CHAPS ที่เน้นการใช้สีดำและขาว แม้จะแตกต่างแต่ก็เข้ากันได้อย่างลงตัว ขอประเดิมด้วยขนมหวานซิกเนเจอร์อย่าง คุกกี้ช็อกโกแลตชิพ ซอร์ฟคุกกี้หอมกลิ่นเนย เคล้าช็อกโกแลตชิพรสเข้มข้น ต่อด้วย มัฟฟินช็อโกแลต มัฟฟินช็อกโกแลตเนื้อนุ่มฟู อุ่นร้อนจี๋ โรยหน้าด้วยช็อกโกแลตชิพอีกที เครื่องดื่มเราสั่งเป็น Macchiato ให้คุณดื่มด่ำกับกาแฟคั่วกลางดื่มง่าย ผสมกับนมสดคุณภาพหอมมัน หรือใครไม่ดื่มกาแฟจะสั่ง White Tea Lemonade ชาเบรนด์สูตรของทางร้าน ที่ใช้ชาขาวชั้นดีเบลนด์กับพีชและเติมกลิ่นหอมๆ ด้วยดอกลาเวนเดอร์ และรสเปรี้ยวสดชื่นด้วยน้ำเลมอน ดับกระหายในวันร้อนระอุได้เป็นอย่างดี

สำหรับเรา Artlicious ไม่ได้เป็นเพียงร้านอาหารไฟน์ไดนิงสุดหรู แต่คือประสบการณ์มื้อพิเศษในแบบ Immersive Experience Dining ที่นำเทคโนโลยีแสง สี เสียงสุดล้ำมาเล่าเรื่องราวร้อยเรียงไปพร้อมกับมื้ออาหารตั้งแต่ต้นจนจบทั้ง 8 คอร์ส ชนิดที่เราไม่อาจละสายตาได้แม้เพียงเสี้ยวนาที คอนเซ็ปต์ของร้านคืออาหารไทยโบราณที่ตีโจทย์ใหม่ให้น่าสนใจและทันสมัยยิ่งขึ้น ผสมผสานวัตถุดิบของไทยและต่างประเทศ ร่วมด้วยเทคนิคอันแพรวพราวของเชฟ เสิร์ฟในภาชนะที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ คอร์สแรกเริ่มเปิดต่อมรับรสด้วย 3 นครา เมนูกินเล่น 3 อาณาจักรไทย ได้แก่ สุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วยม้าฮ้อ เมี่ยงบัว และหมูโสร่ง คอร์สถัดมาคือ พรานไพร หรือก้อยเนื้อชาละวัน รสชาติจัดจ้านแบบไทยแท้แต่ใช้วัตถุดิบจากญี่ปุ่น เพิ่มความสดชื่นด้วยว่านหางจรเข้ เสริมด้วยไข่แดงนกกระทาที่ช่วยเพิ่มมิติของรสชาติ ต่อด้วย อุดมธารา หรือต้มโคล้ง ซุปที่เคี่ยวรวมสมุนไพรหลายชนิดรวมกับกังป๋วย พระเอกคือหอยโฮตาเตะเนื้อแน่นหนึบ เชฟเพิ่มกิมมิกสนุกๆ ด้วยน้ำมะนาวในขวดใบจิ๋วให้เหยาะเพิ่มรสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดได้ตามชอบ ต่อด้วย ไกลบ้าน หรือข้าวซอยเป็ดกงฟี ข้าวซอยของไทยจับคู่กับน่องเป็ดกงฟีซึ่งเป็นเทคนิคแบบฝรั่งเศส ร่วมด้วยเส้นโซเมนจากญี่ปุ่น แม้จะรวมวัตถุดิบจากแดนไกล แต่กลมกล่อมแบบไทยไม่ผิดเพี้ยน ชื่นกลิ่น การรวมตัวของส้ม 2 สายพันธุ์ ได้แก่ ซันควิด และยูซุ ที่มีรสหวาน เปรี้ยว และกลิ่นหอมเฉพาะตัว กินแล้วสดชื่น การเดินทางใกล้ถึงบทสรุป เชฟจึงส่งเมนู นักเดินทาง มาให้เราลิ้มรส คอร์สนี้เป็นกุ้งเผาเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม 3 รสชาติ ได้แก่ น้ำจิ้มพริกเกลือ น้ำจิ้มน้ำปลาหวาน และน้ำจิ้มน้ำปลามะกอกป่า เสริมทัพด้วยข้าวหอมมะลิผัดกับกากหมู พริกขี้หนู หอมแดง และใบมะกรูด รสชาติของข้าวผัดนั้นจับใจ อยากให้ทุกคนได้ลิ้มลองจริงๆ จบของคาวแล้ว ล้างปากด้วย คำหวาน ขนมปังเสียบไม้กับสังขยาสายรุ้ง ตกแต่งงดงามราวงานศิลป์ สมดังคำว่า สวยรูป จูบหอม เราขอเพิ่มอีกหน่อยว่า อร่อย อีกด้วย และ ทุ่งอรุณ ของหวานที่มีองค์ประกอบหลากหลาย เริ่มจากข้าวโพดข้าวเหนียวที่เคี้ยวหนึบมากกว่าข้าวโพดชนิดอื่น เครปไส้ข้าวเหนียวและมะพร้าวขูด ไอศกรีมกะทิ และครัมเบิ้ลมะพร้าว   มากกว่ารสชาติที่ซึมซ่านผ่านลิ้น  คือสตอรี่ที่หลอมรวมอรรถรสไว้ครบจบที่ 8 คอร์ส

Tag:

ก่อนที่จะพาทุกคนมาร่วมดินเนอร์ในครั้งนี้ เราต้องขอร่วมแสดงความยินดีกับเชฟทั้ง 2 ที่พึ่งจะเข้าพีธีวิวาห์เมื่อไม่นานมานี้ หลายคนคงได้ยินชื่อเสียงของร้าน Mia (มีอา) มาไม่มากก็น้อย แต่เมื่อล่าสุดร้านแห่งนี้ได้ดาวมิชลินสตาร์มาไว้ครอบครองเป็นที่เรียบร้อยนำทีมโดยเชฟท็อป-พงศ์ชาญ รัสเซลดีกรีเชฟไทยคนแรกที่ได้มิชลินสตาร์ที่ทำอาหารเวสเทิร์น และแฟนของเชฟท็อปเชฟมิเชล โก เชฟหญิงมาเลเซียผู้รังสรรค์ขนมหวานที่ทำให้หลายคนติดใจในรสชาติกันแบบปากต่อปาก บ้านหลังสีฟ้าหลังใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพตั้งแต่หัวเรือใหญ่อย่างเชฟท็อปและเชฟมิเชล ไปจนถึงทีมงานทีซัพพอร์ตร่วมกัน เชฟท็อปได้เล่าเรื่องราวและความภาคภูมิใจให้เราได้ฟังว่า “เราค่อนข้างเข้มข้นกับการทำงานเป็นอย่างหนัก ผมเป็นคนที่บ้านชอบทำอะไรต้องทำให้มันไปถึงที่สุด เราต้อมงมีคุณภาพพร้อมทั้งรสชาติและการทำงาน เพื่อที่จะรังสรรค์รสชาติอาหารตะวันตกในแบบดั้งเดิมได้อย่างดีเยี่ยม แล้วจึงนำออกมาผสมผสานกับความสร้างสรรค์จนเกิดเป็นอาหารแนวโมเดิร์นยูโรเปียนได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเหตุที่คว้า 1 ดาวมาครอบครองได้ในปีนี้ และเราก็จะพยายามให้มากขึ้นอีกต่อๆ ไป” Mia Restaurant นำเสนอ Taste of Mia” เทสติ้งเมนูแรกหลังจากได้ดาวมา ซึ่งครั้งนี้เราได้ไปลิ้มลองทั้งหมด 8 คอร์ส พร้อมไวน์แพร์ริงโดยเริ่มจากคำแรก Chill Crab เเรงบันดาลใจจากแป้งทอดของสิงคโปร์ซึ่งเป็นที่แรกของเชฟทั้ง 2 ได้เจอกันนำมาดัดแปลงโดยใช้แป้งโมจิทอด สอดไส้ชีสกรูแย ท็อปด้วยสลัดเนื้อปู ต่อด้วย Cocollos Oyster เนื้อหอยนางรมเสิร์ฟแบบเย็นคู่กับกรานิตาเสาวรส และน้ำมันพริก ให้ความครีมมีและสดชื่น เบาๆ ต่อมา Duxelle Tarte ทาร์ตเห็ดเสิร์ฟกับซอสฮอลันเดสที่ทำเป็นโฟมด้านบน ท็อปด้วยทรัฟเฟิลสไลซ์แบบพูนๆ และ Mia Chicken Waldorf Salad สลัดไก่วอลดอร์ฟ และ Taramasalata ทาร์ตถั่วลูกไก่กับปลาเทาร์ตวึ่งซ่อนอยู่ด้านใน ท็อปด้วยเจลลีดาชิและไข่ปลาแซลมอน Sourdough Brioche หรือขนมปังบรียอชไฮบริด ขนมปังที่เกิดขึ้นจากเชฟทั้ง 2 พบกันที่ประเทศสิงคโปร์ ทำให้ขนมปังก้อนนี้เป็นมากว่าขนมปังธรรมดาเพราะเล่าถึงเรื่องราวที่ทำให้ได้พบกัน และเป็นสตาร์ตเตอร์ในการทำให้กับขนมปังก้อนนี้ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ‘’HOW IT STARTED WITH A STARTER’ ขนมปังเสิร์ฟมาพร้อมกับเนยหัวหอมเผา รสเข้มข้น นอกจากจะอร่อยเเล้วยังได้โปสการ์ดรูปคู่ของเชฟทั้ง 2 พร้อมกับเรื่องเล่าที่มาของขนมปังก้อนนี้ไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย สำหรับ Cold Starter เริ่มด้วย Hokkaido Scallop , Blue Fin Tuna , Truffle Ponzu และ Caviar N25 จานนี้บอกเลยว่าตกหลุมรัก เนื้อหอยเชลล์และเนื้อปลาทูน่าในจานเย็น เสิร์ฟในน้ำทรัฟเฟิลพอนซึ ด้านข้างเป็นหัวโคลราบิสไลซ์ดอง (Kohlrabi) ดัดเป็นรูปดอกไม้ ท็อปด้วยคาเวียร์แบบพูนๆ Cured Hamachi ปลาฮามิจิหมักเสิร์ฟกับหัวโคราบิสไลซ์ กินคู่กับวาซาบิซอเบ ให้ความสดชื่น ตกแต่งด้วยผักท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งเชฟเเนะนำให้ค่อยๆ กินกับผักเเต่ละชนิดจะได้รสชาติที่เเตกต่างกัน หลังจากจบ Cold Starter แล้วก็ต่อด้วย Hot Starter กันอย่างต่อเนื่อง Smokef Eel Chawanmushi | Bone Marrow | Ikura ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนผสมกับเนื้อปลาไหลสโมก เสิร์ฟมาในถ้วยเล็กแต่มากด้วยรสและสัมผัส เพราะว่าเชฟใส่ไขกระดูกวัวเพื่อเพิ่มความครีมมีไปอีกขั้น และสตาร์ตเตอร์อีกจาน Aged Stone Bass | Shell Fish | Thai Sweet Basil ปลาบาสเชฟนำไปเอจจิงจนเนื้อแน่ เสิร์ฟคู่กับซอสครีมและสลัดส้มโอ ตัดเลี่ยนด้วยเจลมะนาว จริงๆ แล้วทั้ง 2 จานนี้ก็มีกลิ่นอายของความเป็นไทยซ่อนเอาไว้อยู่ สำหรับจานหลักสามารเลือกได้ทั้งไก่และเนื้อวัว เราเลือกเป็น 48 Hours Braised Beef Short Rib เนื้อชอร์ตริบย่าง เนื้อนุ่ม เสิร์ฟคู่กับมะเขือเเละผักเคลทอด ราดด้วยจูว์รสเข้มข้น หรือสำหรับคนที่กินเนื้อก็เป็น Grain Fed Baby Chicken | Parsnip | Albufera Sauce ไก่ที่ถูกเลี้ยงด้วยัญพืชเนื้อนุ่ม ใต้หนังไก่สอดไส้ด้วยมูสเนื้อเนียน กินคู่กับซอสอัลบูเฟรา รสครีมมี โรยด้วยทรัฟเฟิลแบบจุใจ ปิดท้ายด้วยการเสิร์ฟคองซอมเมให้คลายท้อง พร้อมสำหรับของหวาน เดินทางมาสู่คอร์สสุดท้ายปิดท้ายด้วยขนมหวานจากเชฟมิเชล Shine Muscat Sorbet ซอร์เบองุ่นไซมัสคัตเสิร์ฟพร้อมกับไอศกรีมโยเกิร์ตและทารากอน และซิกเนเจอร์ Mia Cereal Bowl ซีเรียลอาหารเช้ารสชาติที่คุ้นเคยแต่มากด้วยเทคนิก และเสิร์ฟมาในหน้าตาพรีเมียม สำหรับคนที่ชื่นชอบชาเขียนต้องสั่ง! Matcha Ice Cream | Almond | Mascarpone ไอศกรีมชาเขียวรสเข้มข้น แพร์ริงกับเบียร์เมลอน หอมหวาน หน้าตาและรสชาติของอาหารสมกับ 1 ดาวมิชลินสตาร์ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่ดี และเราขอเป็นกำลังใจให้สำหรับดาวดวงต่อไป

ตั้งแต่รู้จักครั้งแรกเมื่อปลายปี 66 “Duck Donuts” ร้านดังจากอเมริการ้านนี้ก็รั้งตำแหน่งร้านโดนัทเบอร์หนึ่งในใจเราแบบไม่เคยหลุดโผ ไฮไลท์คือโดนัทชิ้นโต แป้งนุ่มนิ่ม เคี้ยวฉ่ำลิ้น ท็อปปิ้งมีวาไรตี้ให้เลือกมาก และบรรยากาศสดใสเหมือนอยู่ในสวนสนุกที่ทำให้เรารู้สึกกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง วันไหนอยากเติมความหวานชื่นก็มาได้ทุกวันแบบนันสต็อป เจ้าเป็ดเหลืองเซเลบตัวน้อยของร้านจะยืนคอยต้อนรับ พร้อมชูเมนูน่ารักชวนกินมาให้เราได้เลือกเพียบเหมือนเดิม เริ่มต้นกันที่ Donut Sandwiches Premium เต็มปากเต็มคำกับโดนัทพรีเมียมชิ้นโต เนื้อนุ่มแน่น สอดไส้เบคอน ไข่ และชีส และซอสสูตรลับฉ่ำๆ หวานกำลังดี ต่อด้วย Classic Donut Sundae โดนัทต้นตำรับที่มีเนื้อแน่นเป็นพิเศษ ท็อปด้วยไอศกรีมซันเดลูกโต หวานฉ่ำถูกปาก วันไหนร้อนจัด สั่งเมนูนี้ไปดับร้อนได้ ชิ้นนี้ยิ่งห้ามพลาด Strawberry Confitti โดนัทมีรูเคลือบน้ำตาลรสสตรอว์เบอร์รีกรอบๆ ที่โดนลิ้นก็แทบละลายหมดแล้ว ด้านบนโรยท็อปปิ้งเพิ่มกิมมิกกรุบกรับยามเคี้ยว Chocolate Caramel Crunch โดนัทมีรูเคลือบช็อกโกแลต โรยถั่วราดด้วยซอลต์คาราเมล หวานๆ เค็มจางๆ ที่ปลายลิ้น Coconut Island Bliss โดนัทเคลือบช็อกโกแลต ท็อปปิ้งด้วยถั่วและมะพร้าว อร่อยตีคู่มาแบบสูสี เครื่องดื่มแนะนำ Salted Caramel หวานสุดใจยกให้แก้วนี้ ใครไม่กินหวานบอกน้องพนักงานให้ลดระดับได้ อีกแก้วคือ Latte จะดื่มที่ร้านก็ได้ หรือซื้อติดมือกลับบ้านก็ดี หอมหวานกลมกล่อม จิบได้ทั้งวัน    ทางร้านมีโปรโมชั่นมาเอาใจคนรักโดนัทเรื่อยๆ อย่าลืมกดติดตามเพจจะได้ไม่พลาดความอร่อยนะคะ

เป็นข่าวดีของสายสุขภาพอีกครั้ง เพราะงานนี้เราจะพามาเช็คอิน “The Pantry” ร้านอาหารสุขภาพรสชาติดีในโรงแรมดับเบิ้ลยู กรุงเทพฯ เสิร์ฟพร้อมบรรยากาศโล่งกว้างแต่เต็มไปด้วยความคึกคัก พร้อมคอนเซ็ปต์ ‘ตลาดดอกไม้ ณ ปากคลองตลาด’ ผนังลายดอกไม้นานาพันธุ์งดงาม ไปด้วยกันได้ดีกับต้นไม้กระถางน้อยใหญ่ที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและเฟอร์นิเจอร์สีดำขลับ ชอบที่สุดคือผนังกระจกใสมองเห็นวิว The House on Sathorn จานแรกเป็น Teriyaki สลัดชามใหญ่ ประกอบด้วยข้าวบาร์เลย์ บล็อกโคลี่ แครอต แตงกวา หัวหอม เพิ่มโปรตีนด้วยไข่ต้มอิ่มเอม ก่อนคลุกเคล้าซอสเทอริยากิรสเค็มปนหวาน ต่อด้วย Summer Market อุดมไปด้วยประโยชน์จากผักต่างๆ อย่าง มะกอก มะเขือเทศ แตงกวา และผักสลัดกรุบกรอบ ขาดไม่ได้กับ Salad of Champions สลัดซิกเนเจอร์ประจำห้องอาหาร ที่ให้คุณเพลิดเพลินกับผักย่าง ได้แก่ เคล บล็อกโคลี แครอต นอกจากนั้นยังมีอะโวคาโดและผักสลัด เพิ่มพลังงานด้วยไข่ต้มและควินัว เข้ากันดีกับซอสบีตรูตสีสวย อีกจานที่เราชอบมากๆ คือ Green Curry โดดเด่นด้วยซอสเขียวหวานรสกลมกล่อม เข้ากันกับข้าวกล้อง กะหล่ำปลีม่วง บล็อกโคลี่ เห็ด มะเขือม่วง แครอตและบล็อกโคลี่ สายฟู้ดคนไหนกลัวไม่อิ่มเราแนะนำให้สั่งสโมกแซลมอน รสเค็มกลมกล่อม หรือแซลมอนย่าง เนื้อฉ่ำในมาเพิ่มได้ Greek Yogurt กรีกโยเกิร์ตโฮมเมดเนื้อแน่น กินพร้อมกราโนล่ากรุบกรอบ และผลไม้ตระกูลเบอร์รี เติมรสหวานด้วยน้ำผึ้งออร์แกนิก Acai ก็น่าชิม อาซาอิปั่นพร้อมผลไม้ตระกูลเบอร์รี กล้วย อัลมอนด์ โยเกิร์ต และเมล็ดเจีย มากประโยชน์ Hulk ชามนี้ทั้งอิ่มทั้งได้สุขภาพ เพราะทำจากควินัว วอลนัท กล้วย อัลมอนด์ มะพร้าวแห้ง โยเกิร์ต น้ำนมถั่วเหลืองและเต้าหู้ ส่วนเครื่องดื่มต้องนี่ Witty Watermelon รสหวานฉ่ำของแตงโม ผสมน้ำมะนาวและขิง และ Green Detox ดริ้งก์สุขภาพสีเขียวรสเปรี้ยวนิดๆ ที่มีส่วนผสมของผักโขม ขึ้นช่าย แตงกวา แอปเปิ้ลเขียวและขิง

คนรักอาฟเตอร์นูนทีน่าจะคุ้นเคยกันดีกับ “Lakorn European Brasserie” ห้องอาหารที่เปรียบเสมือนหัวใจของโรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ ดื่มด่ำกับบรรยากาศหรูหราสไตล์ยุโรปปนไทยงดงามด้วยเฟอร์นิเจอร์สีขาวสลับสีฟ้าอ่อนสบายตา ไปด้วยกันได้ดีกับพื้นหินอ่อนสีขาวลายคลาสสิก มีแสงแดดที่ส่องเข้ามาจากผนังกระจกใสทำให้บรรยากาศดูกว้างปลอดโปร่ง แถมยังมองเห็นวิวถนนเพลินจิตที่ไม่เคยหลับไหล พร้อมเสิร์ฟอาหารตะวันตกและไทยรสชาติดีเอาใจสายฟู้ดตลอดวัน เรียกน้ำย่อยด้วย ยำส้มโอ รสเปรี้ยวหวานอมหวาน ผสานกับความเผ็ดพอดีของพริกเผาโฮมเมด ท็อปด้วยกุ้งเนื้อหวานตัวโต ย่างอย่างดี ตามด้วย แกงปูใบชะพลู ของโปรดของฟู้ดดี้หลายคน ใบชะพลูกลิ่นหอม เคล้าปูก้อนลูกโตๆ อยู่ในน้ำแกงรสเข้มข้น ได้ความเผ็ดกำลังดี กินคู่เส้นหมี่เหนียวนุ่ม จบด้วยของหวานรับลมร้อนอย่าง ส้มฉุน ที่ประกอบด้วยผลไม้รสหวานอย่าง ลิ้นจี่ ส้ม แอปเปิ้ล ทับทิม ราดน้ำเชื่อมกลิ่นขิงหอม ๆ เติมน้ำแข็งสักหน่อยชื่นใจ ก่อนกลับจิบชา Marco Polo รสนุ่มสักแก้วก็ดีเหมือนกัน

โด่งดังในกรุงโตเกียวมานานกว่า 20 ปี (ตั้งแต่ 2010) ก็ถึงเวลาที่ “Shoutaian Shabu” จะแลนด์ดิ้งสู่เมืองไทยเสิร์ฟความอร่อยให้กับสาวกชาบูสักที โดยโลเคชั่นจะอยู่ที่โครงการ Vivre Langsuan (BTS ชิดลม) เจ้าของคือคุณเปิ้ลและคุณแมน คู่แม่ลูกชาบูเลิฟเวอร์ที่ไปลิ้มลองโชไตอัน ชาบูถึงเมืองโตเกียวจนติดใจ ก่อนซื้อแฟรนไชส์มาเปิดที่เมืองไทยอย่างเต็มตัว จุดเด่นของ Shoutaian Shabu ที่เลื่องลือคือทางร้านจะเสิร์ฟ ‘เนื้อเกรดประมูล’ ที่ส่งตรงมาจากเมืองโตเกียวเท่านั้น ทั้งเนื้อซากะวากิว เนื้อคุโรเกะ เนื้อฟูจิฮิเมะ นอกจากนี้ยังมีวัตถุดิบเลอค่าสำหรับคนไม่กินเนื้ออย่าง หมูโคจิบูตะ ปูหิมะ ล็อบสเตอร์และปลามาได เอ็นจอยกับบรรยากาศวาบิซาบิ ที่เน้นการใช้วัสดุจากธรรมชาติและตกแต่งด้วยโทนสีขาวนวลและสีน้ำตาลเพื่อสื่อถึงความเรียบง่ายของวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น ภายในร้านมีทั้งเคาน์เตอร์หม้อเดียว โต๊ะกลุ่ม และห้องไพรเวทสำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว เติมความร่มรื่นสบายตาด้วยสวนสไตล์เซน อันเป็นตัวแทนของความเรียบง่ายและสงบ เมนูแรกที่ต้องลองคือ Cheese Demi – Glace แฮมเบิร์กเลื่องชื่อของทางร้านที่ทำจากเนื้อคุโรเกะ วากิว วัวสายพันธุ์ขนดำเนื้อนุ่มชุ่มลิ้น ราดซอสเดมิกลาสรสกลมกล่อม ก่อนท็อปด้วยแผ่นชีสครีมมี เสิร์ฟมาในกระทะร้อนฉ่าน่าอร่อย ตามด้วย Ooja No Yukke ยำเนื้อดิบสไตล์ญี่ปุ่น ที่ทางร้านใช้เนื้อวากิว A5 ชั้นดี คลุกเคล้ากับไข่แดงออร์แกนิก งาขาว ต้นหอมซอย และซอสสูตรลับรสเข้มข้นอย่าบอกใคร และแล้วก็ได้เวลาชาบูพระเอกของเรานั่นเอง อย่างแรกที่ต้องทำคือสั่งน้ำซุปก่อนเลย เราเลือก น้ำซุปกระดูกหมู รสนุ่มนวล กินพร้อม Saga Wagyu A5 Shimofuri เนื้อซากะวากิว A5 ส่วนสันคอลายหินอ่อนนุ่มลิ้น มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เฉพาะตัว สมแล้วที่เป็นเนื้อชั้นเลิศที่ส่งตรงมาจากเมืองซากะ ตามมาติดๆ กับ Kuroge A5 Shimofuri หนึ่งในเนื้อยอดนิยมแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย เนื้อคุโรเกะ A5 ส่วนสันคอที่มีไขมันแทรกอย่างพอดิบพอดี ทำให้เนื้อมีรสหวานธรรมชาติ ผสานกับกลิ่นหอมอวลชวนลิ้มลอง จิ้มพอนสึรสเปรี้ยว หรือน้ำจิ้มงาก็เข้ากัน เติมน้ำมันพริกโฮมเมดยิ่งเพิ่มความอร่อยเข้าไปคูณสอง เอาใจคนรักเนื้อกันต่อเนื่องด้วย Matsusaka Wagyu เนื้อสุดปังที่ขึ้นว่าเป็นของดีแห่งประเทศญี่ปุ่น โดยเนื้อมัตสึกากะนี้ได้จากวัวญี่ปุ่นสายพันธุ์ขนสีดำ ซึ่งเป็นเพศเมียที่ไม่เคยผสมพันธุ์มาก่อน เลี้ยงด้วยธัญพืชและปล่อยในทุ่งโล่งกว้าง ให้เนื้อสัมผัสที่นุ่มนวลและมีรสหวานเล็กๆ คนรักซีฟู้ดอย่าลืมสั่ง Lobster ตัวโตเนื้อหวานสัญชาติแอฟริกาใต้ หลังจากลิ้มลองเนื้อเด้งๆ แล้วก็ตามด้วยข้าวต้มล็อบสเตอร์ร้อนๆ ที่ทำจากเปลือกล็อบสเตอร์ เคี่ยวกับน้ำซุปชาบูกลมกล่อม ใส่ข้าวญี่ปุ่น ใส่ไข่ ต้นหอมซอยและเพิ่มความหอมด้วยพริกไทย ไปต่อกับ Madai Fish ปลากระพงแดงญี่ปุ่นเนื้อเด้ง จุ่มน้ำซุปร้อนๆ ลวกสุกกำลังดี ล้างปากด้วยของหวานดาวเด่นอย่าง Jelly Coffee เจลลี่กาแฟรสเข้มพอเหมาะ ไปด้วยกันได้ดีกับไอศกรีมวานิลลาโฮมเมดรสหวานมัน ชื่นใจเสียจริงๆ

Myeongryun Jinsa Galbi (เมียง รยุน จินซา คาลบี) แฟรนไชส์บาร์บีคิวอันดับ 1 ในเกาหลีขยายสาขามาไทยแล้วที่บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า พระราม 4 เตรียมอิ่มจุกๆ กับเนื้อสไตล์เกาหลีทั้ง 9 อย่าง และอาหารเกาหลีกว่า 40 เมนู แบบไม่จำกัดในราคาสบายกระเป๋า เพียง 399 บาท/ท่าน โดยรสชาติของอาหารนั้น พูดได้เลยว่าอร่อยตามแบบต้นฉบับเป๊ะๆ ด้วยวัตถุดิบคุณภาพ เสิร์ฟชิ้นใหญ่แบบไม่หวง รวมถึงเรื่องซอสปรุงรสที่นำมาหมักก็เข้าเนื้อสุดๆ อย่าพลาด เนื้อซี่โครงหมูหมักซอสผลไม้ (ซิกเนเจอร์), เนื้อหมูเฟรนช์แลค, หมูสามชั้นแบบหนา, สันคอหมูแทรกมันน้อย และ ไก่หมักซอสต่างๆ ที่ย่างบนเตาถ่านไม้ขาวที่ไร้สารเคมีและไม่เป็นอันตราย ก่อนกินแนะนำให้ห่อด้วยผักสลัด แล้วตัดรสชาติด้วยกิมจิวางด้านบนก็ฟินไม่น้อย ที่เคาน์เตอร์บาร์ยังมีเมนูสไตล์เกาหลีให้ตักได้แบบจุใจ ไม่ว่าจะเป็น ผัดวุ้นเส้น ต๊อกบกกี ไก่ทอดกรอบ ไก่ทอดราดซอสเกาหลี คิมมารี เฟรนช์ฟรายส์ เบอร์เกอร์ กิมจิ และ กิมจิหัวหอม สำหรับเครื่องดื่มก็รวมอยู่ในราคานี้แล้ว นอกจากอาหารบนไลน์บุฟเฟต์แล้ว ทางร้านยังมี เมนูอะลาคาร์ต ให้สั่งแยกได้ด้วย แนะนำ เนื้อซี่โครงวัว เสิร์ฟชิ้นใหญ่, ซุปกิมจิ ซดร้อนๆ ช่วยตัดเลี่ยน, ซุปเต้าเจี้ยว รสชาติเข้มข้นถึงใจ, ไข่ตุ๋น เนื้อเนียนนุ่ม, บะหมี่เย็นแบบน้ำ รสเปรี้ยวสดชื่น และสุดท้าย บะหมี่เย็นแบบเผ็ด อร่อยครบรสทั้งเปรี้ยวเค็มเผ็ด ไม่ต้องไปถึงเกาหลีก็ได้กินบุฟเฟต์ที่ดีต่อใจ เหมือนนั่งกินที่แดนกิมจิเลย   ตามไปลิ้มลองกันได้ที่ 3 สาขา ทั้งบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า พระราม 4 โทร. 02 127 0779 สาขา บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ พระราม 2 โทร. 02061 5299 และพบกับสาขา 3 ที่ซีคอนบางแค ได้เร็วๆ นี้