นี่คือหนึ่งในร้านโอมากาเสะที่มีลายเซ็นเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน ด้วยวัตถุดิบหลักที่นำมาใช้อย่าง "เห็ด" ซึ่งส่วนมากเราจะเห็นว่าเห็ดเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ประกอบอยู่ในจานอาหาร เป็นเหมือนองค์ประกอบที่ช่วยชูรสให้วัตถุดิบอื่นเด่นและอร่อยขึ้น แต่สำหรับที่ OmakaHed ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะจริงๆ แล้ว "เห็ดทุกชนิด" มีความพิเศษในตัวเองและที่นี่ดึงเสน่ห์เหล่านั้นออกมาใช้ได้อย่างน่าประทับใจ ทาง ลุงรีย์ หัวหน้าพ่อครัวและเจ้าของร้านโอมากาเห็ดหรือผู้บุกเบิกฟาร์มลุงรีย์ได้ร้อยเรียงเรื่องราวพร้อมเล่าออกมาเป็นฉากๆ จนเราเห็นภาพว่าเห็ดเพียงดอกเดียวก็สามารถตัดแต่งออกมาได้หลายรูปแบบและให้หลากรสสัมผัส เชฟนำเห็ดหนึ่งดอกมาตัดแต่งให้ดูเป็นตัวอย่างว่าเราสามารถนำเห็ดไปประกอบอาหารได้หลายแบบ เรียกว่าเป็นการเลียนแบบรูปลักษณ์หรือรสสัมผัสของวัตถุดิบนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น หางปลาวาฬ คางกุ้ง เต้าหู้ สแกลลอป เนื้อปูก้อน ปูอัดหรือไก่ฉีก ปลาเส้น และสเต๊ก ซึ่งเห็ดชนิดนี้มีชื่อว่า Milky Mushroom หรือเห็ดหิมาลัย ที่ฟาร์มนี้ปลูกเอง ที่เชฟต้องดึงเสน่ห์ของเห็ดชนิดนี้มาใช้ให้ได้มากที่สุดก็เพื่อลดขยะอาหาร หรือ Food Waste คือการใช้ทุกส่วนของวัตถุดิบโดยไม่ให้เหลือทิ้ง หากนึกภาพตามสิ่งที่เราเล่ามาได้ไม่หมด ทุกคนสามารถเข้าไปสัมผัสได้ด้วยตัวเองผ่าน 7 คอร์สเมนูโอมากาเห็ดที่จะเปลี่ยนเห็ดให้เป็นพระเอกของจาน ซึ่งแต่ละวันเมนูจะไม่ซ้ำกันและร้านจะเปลี่ยนเห็ดไปตามฤดูกาลนั้นๆ บอกเลยว่านี่เป็นความสนุกสุดท้าทายของนักกินเพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าไฮไลต์ประจำมื้อนี้จะเป็นเมนูอะไร สำหรับ 7 คอร์สโอมากาเห็ด ประกอบด้วย แจ่วเห็ดโคนย่างไฟเสิร์ฟคู่เห็ดภูฐานนึ่ง, บะหมี่ต้นอ่อนกับเห็ดโคนน้อยพอนสึ, เต้าหู้ไทยใหญ่ กิมจิ ก้านเห็ดหิมาลัยย่างล้อหอยเชลล์, แหนมเห็ดนามรม ซอสกระเทียม, เห็ดหูหนูดำแสร้งว่ากระพรุนน้ำมันงา, สลัดขาเห็ดภูฐานเฮิร์บออย และ ข้าวสองสี ปาลาชอง เสริมด้วยซุปมิโซะก้านเห็ดเข็มทอง ยังมีจานพิเศษประจำวันอย่าง Mushroom Confit & Fish of the Day เป็นเห็ดกงฟีกับปลาอินทรีย์ย่างทาซอสขิง นอกจาก 7 คอร์สแล้ว ทางร้านยังมีเมนูอะลาคาร์ตที่สามารถสั่งเพิ่มได้ ไม่ว่าจะเป็น Steak Milky Queen Mushroon เห็ดมิลกี้เต็มดอกย่างจนหอมกลิ่นสโมก เสิร์ฟคู่ซาวเคราท์ ผักชีลาวซอย เกลือพีระมิดน่าน และน้ำจิ้มซีฟู้ดพริกดอง ช่วยเสริมรสกันได้ดีต่อด้วย Steak Milky Way จัดวางอย่างสวยงามตามแบบ Galaxy ทางช้างเผือก มีเห็ดสองเท็กซ์เจอร์ทั้งแบบย่างเกลือและเฮิร์บออย ราดด้วยบัลซามิก มีมัสตาร์ดและเกลือช่วยเสริมรสชาติ ถัดมาเป็น Pizza Tom Yum Thai Milky Mushroom พิซซารสต้มยำ เชฟนำดอกเห็ดมาตัดแต่งเลียนแบบสแกลลอป ให้สัมผัสกรึบๆ สู้ฟันเข้ากันได้ดีกับรสชาติของพิซซา ตามด้วย เห็ดลมพะโล้ ซึ่งเป็นเห็ดของฤดูกาลนี้เชฟนำมาแทนไส้เป็ดกินกับน้ำพะโล้ ต่อด้วย ทาโกะวาซาบิ ที่ทำจากเห็ดระโงก เชฟเลือกใช้เมือกเห็ดมาทำเพื่อเลียนแบบปลาหมึกเนื้อหนึบๆ ถัดมาเป็น เห็ด แอนด์ ชิปส์ เห็ดชุบแป้งทอดกรอบกินกับมายองเนส สุดท้ายคือเห็ดซอยนำไปทอดจนกรอบ ไม่ได้ปรุงอะไรเลย เป็นจานกินเล่นให้เคี้ยวเพลินคล้ายปลาทาโร่กรอบๆ เห็ดโคนป่าย่างน้ำปลาดีและกุ้งแชบ๊วย คนทะเล ประจวบฯ เห็ดย่างและกุ้งย่างจนได้ที่ ไม่แห้งจนเกินไป เสิร์ฟมาพร้อมเลมอน เกลือปลา และเกลือภูเขา ให้ฟีลคล้ายกินอิซากายะไปในตัว หรือใครอยากจะสั่งเป็น Hamburg Arigaton Pork (Nan) ข้าวแฮมเบิร์กหมูดำน่าน แกล้มด้วยไข่ดอง เห็ดหิมาลัยหั่นเต๋าคลุกเคล้าโซยุ ตัดเลี่ยนด้วยกิมจิโฮมเมด และสลัดกระเทียมมัสตาร์ด ปิดท้ายด้วย ไอศกรีมเห็ด เนื้อไอศกรีมเป็นโกโก้สดผสมกับเงาะและเห็ด ข้างๆ เป็นเห็ดตาโล่จากภาคเหนือแทนเท็กซ์เจอร์ของทับทิมกรอบ ท็อปด้วยขนุนอบแห้ง รสชาติหอมหวานอร่อย

ไม่น่าเชื่อว่าวุ้นผงจะทำเมนูได้หลากหลายขนาดนี้ ที่ AGAR RAGA (อาการากา) ร้านอาหารและคาเฟ่เปิดใหม่ย่านทรงวาด ได้นำ วุ้นผงตราโทรศัพท์ มาเป็นวัตถุดิบหลักในการรังสรรค์เมนูที่เราคุ้นชินกันดีหรืออาจจะเคยผ่านตากันมาบ้างให้กลายเป็นเมนูน่าลองสุดครีเอตที่มีไฮไลต์คือ วุ้น โดย คุณพาริ–สิตาภา สกุลดีเลิศ ทายาทรุ่นที่ 3 ของวุ้นผงตราโทรศัพท์ แบรนด์วุ้นผงคู่ครัวไทย ต้องการพรีเซ็นต์เรื่องวุ้น เพราะวุ้นสามารถนำไปสร้างสรรค์และต่อยอดในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอุตสาหกรรมอาหาร ร้านนี้จึงเกิดขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงวุ้นได้ง่ายกว่าที่เคย ทางร้านจึงนำเสนอวุ้นผ่านรสชาติและรสสัมผัสในอาหารคาว-หวาน และเครื่องดื่ม เน้นเสิร์ฟเป็นเมนูสไตล์ไทย จีน และยุโรป พร้อมปรุงร่วมกับวัตถุดิบรองอื่นๆ เช่น เครื่องเทศและสมุนไพรอบแห้งซึ่งเป็นสินค้าเก่าแก่ของย่านทรงวาด ตัวร้านออกแบบตกแต่งให้มีกลิ่นอายของทรงวาด มีความคลาสสิกของกระเบื้องที่ใช้ผนวกกับเฟอร์นิเจอร์ไม้และของประดับตามมุมต่างๆ ที่เสริมให้บรรยากาศน่านั่งรับประทานอาหาร หรือใครกำลังหาที่ทำงานบอกเลยว่าที่นี่เหมาะเจาะสุดๆ ส่วนเมนูอาหารที่โดดเด่นไม่เหมือนใครก็มีทั้ง ผัดไทยเส้นวุ้นกุ้งสด เส้นวุ้นกรึบ ทำจากวุ้นกวนกับแป้งถั่วลันเตา เคลือบอย่างทั่วถึงด้วยซอสผัดไทยรสเข้มข้น มีรสหวานเค็มกำลังพอดี หอมกลิ่นกระทะ เป็นอีกมิติของรสชาติที่ลงตัวมาก ตามด้วย มะเขือทอดคานาเป้ มะเขือยาวชุบแป้งทอดจิ้มกับซอสเจลวุ้นสูตรเฉพาะ ให้รสเข้มข้นหอมกลิ่นซีอิ๊วชัดเจน ท็อปด้วยคาเวียร์ซอสพริกศรีราชา อร่อยมาก MAPO ALMOND TOFU หรือ เต้าหู้วุ้นทำจากนมอัลมอนด์ให้รสจืดและสัมผัสนิ่ม เพิ่มรสชาติและเคี้ยวสนุกขึ้นด้วยเห็ดหอมกับหมูสับผัดซอสเสฉวนที่เคียงมา ได้รสเค็มนำและเผ็ดชาลิ้นจากหม่าล่า ต่อด้วย LIANG FEN กิมมิกของจานนี้อยู่ที่การตัดแผ่นวุ้นด้วยกระบอก Tensuki กินกับถั่วแระ ไก่ฉีก สาหร่าย และแตงกวาซอย ราดน้ำยำสไตล์จีน ได้รสเปรี้ยวเผ็ดเล็กน้อยให้ความสดชื่น ถัดมาเป็น จุ๊ยก๊วยเคลือบวุ้น แป้งสูตรพิเศษของร้านที่มีความหนึบกว่าร้านทั่วไป เคลือบด้วยซอสที่ทำเป็นวุ้น ด้านบนมีไชโป๊และเห็ดหอม ให้รสเค็มๆ หวานๆ แนะนำให้กินภายในคำเดียว อร่อยจนอยากสั่งเพิ่ม มาถึงของหวานกันบ้าง ซิกเนเจอร์อยู่ที่เมนู อิสปาออง ขนมหวานเนื้อวุ้น มีความหวานอมเปรี้ยวจากลิ้นจี่ ราสป์เบอร์รีเพียวเร่ เพิ่มความละมุนด้วยวิปครีมวีแกนลิ้นจี่ ผงกระเจี๊ยบ และกลีบกุหลาบมอญออร์แกนิก น้ำแข็งไสวุ้นบอล ยกนิ้วให้กับวุ้นบอลที่สอดไส้ผลไม้ต่างๆ มีให้เลือกถึง 11 รส ไฮไลต์อยู่ที่แต่ละชิ้นมีเท็กซ์เจอร์ที่แตกต่างกัน กินเพลินมาก ปิดท้ายด้วย AGARJELLY DRINKS เราสั่งเป็น น้ำเก๊กฮวย ที่ต้องเขย่าก่อนดื่ม กิมมิกอยู่ที่เนื้อเจลลี่รสนวลๆ หอมกลิ่นดอกเก๊กฮวย

เมื่อตัวจริงอย่าง Ngua Doi Station (สถานีงัวดอย) ศูนย์เพาะพันธุ์เนื้อวากิวเลือดเต็มชั้นนำแห่งหนึ่งของโลกและยังเน้นนำมาผสมพันธุ์กับแม่วัวไทยสายพันธุ์พื้นเมืองเพื่อยกระดับมาตรฐานเนื้อวัวไทยให้ทัดเทียมเนื้อวัวนำเข้า ตัดสินใจขยายไลน์ธุรกิจจากฟาร์มสู่ร้านอาหาร ก็มั่นใจได้ว่ามีทเลิฟเวอร์จะได้ลิ้มรสชาติเมนูเนื้อที่ดีที่สุดจากแหล่งผลิตโดยตรง ท่ามกลางบรรยากาศฟาร์มสไตล์ญี่ปุ่นที่สามารถเดินชมทิวทัศน์ได้โดยรอบ เมนูไฮไลท์ Nguadoi Tomahawk Steak สเต๊กชิ้นใหญ่ติดกระดูก เสิร์ฟบนเขียงไม้พร้อมผักย่าง เกลือสีชมพู และพริกไทย ทางร้านจะย่างให้ผิวเกรียมเล็กน้อย แต่เนื้อในเป็นสีแดงอมชมพูในความสุกระดับมีเดียมแรร์ที่ยังคงความฉ่ำนุ่มเคี้ยวง่าย กลิ่นเนื้อย่างร้อนๆ ผสานกลิ่นหอมของโรสแมรี่ ช่วยเพิ่มดีกรีความอยากอาหารแบบทวีคูณ ถัดมาเป็น Nguadoi Striplion Steak สเต๊กเนื้อสันติดมัน รสเข้มข้น ดีกรีความนุ่มละมุนละลายในปากไม่แพ้เมนูแรก ทางร้านเสิร์ฟชิ้นใหญ่ให้เราได้ถ่ายรูปสวยๆ ก่อนนำไปแล่เป็นชิ้นให้กินสะดวก อย่าลืมแตะเกลือและพริกไทยเบาๆ จะช่วยดึงรสชาติที่แท้จริงของเนื้อ สุดท้ายคือ Nguadoi Picanha Steak แม้จะถูกจัดเป็นสเต๊กเนื้อนอกสายตา เพราะมีไขมันแทรกน้อยกว่าเพื่อน แต่ถ้าลองเปิดใจพิคานย่าจานนี้ก็มีดีไม่น้อยหน้า แม้จะไม่ละลายในปากแต่รสสัมผัสเข้มข้นฉ่ำลิ้น เคี้ยวสู้ฟันนิดๆ ใครชอบเนื้อมันน้อยเมนูนี้คือคำตอบ เพราะเป็นตัวจริงเรื่องวากิว จะสั่งเมนูไหนก็ไม่ผิดหวัง!

เข้าสู่ปลายฝนต้นหนาว ใครมีแพลนเที่ยวเชียงใหม่อย่าลืมใส่ Mix Beef Club & Restaurant ไว้ในลิสต์ นอกจากบรรยากาศที่เหมาะกับการกินดื่มอย่างออกรส ทางร้านยังยึดคอนเซ็ปต์ “เพื่อเสิร์ฟเนื้อในอุดมคติเราใช้เตาอบถ่านมาตรฐานยุโรป” โดยยืนยันว่าเทคนิคการปรุงและอุปกรณ์ที่ดีจะยิ่งชูรสชาติให้กับทุกจานแบบทวีคูณ นอกจากนี้ยังพิถีพิถันในการสรรหาเนื้อจากทั่วทุกมุมโลก รวมถึงเนื้อไทยที่รสชาติไม่แพ้ชาติใดในโลก ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเคยหลงใหลเนื้อพรีเมียมที่อิมพอร์ตจากแหล่งไหนมาก่อน แต่ถ้าได้ลิ้มลองเนื้อไทยจะต้องเปลี่ยนใจทันที เพราะทางร้านคัดสรรเนื้อไทยพันธุ์ดีที่มีรสเข้มข้น ดีกรีความนุ่มนวลฉ่ำลิ้นไม่เป็นรองเนื้อนำเข้า และเพื่อให้เข้าถึงซิกเนเจอร์ของร้าน แนะนำ Thai Waguy Ribeye สเต๊กเนื้อวากิวไทย วัตถุดิบดีเป็นทุนเดิม เพิ่มเติมด้วยการควบคุมไฟในเตาถ่าน ซึ่งเราสามารถเลือกระดับความสุกได้ตามชอบ แต่ดีที่สุดต้องมีเดียมแรร์ เพราะเนื้อจะยังคงชุ่มฉ่ำและมีรสหวานตามธรรมชาติ ก่อนเพิ่มดีกรีความแซ่บจี๊ดด้วยน้ำจิ้มแจ่ว แล้วอย่าลืมสั่งไวน์แดงมาจิบคู่จะยิ่งชูรสชาติ ถัดมา Thai Waguy BBQ เนื้อวากิวไทยหมักกับเครื่องเทศแบบอิสลาม เสิร์ฟในควันโรสแมรี เนื้อนุ่มฉ่ำลิ้น กลืนลงคอแล้วยังทิ้งกลิ่นหอมกรุ่นในปาก ถือเป็นหนึ่งในเมนูคลาสสิกของร้านที่ควรมีติดโต๊ะ ต่อด้วย Grilled Spanish Octopus with Béarnaise Sauce & Thai Seafood Sauceหมึกสเปนย่างเนย เสิร์ฟพร้อมซอสต้นตำรับและน้ำจิ้มซีฟู้ด เมนูคู่โต๊ะที่พลาดไม่ได้ยกให้ Cold Cut Platter ชีสบอร์ดที่มีแฮม ซาลามี เบคอน ผลไม้แห้ง ธัญพืช และบิสกิต กินแกล้มเครื่องดื่มเพลินๆ ได้ทั้งคืน ปิดท้ายด้วย Banana Garden ช็อกโกแลตรูปทรงคล้ายกล้วยน้ำว้าสอดไส้มูสเหล้าแม่โขงและกล้วยหอมอบคาราเมล เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมกล้วยบวชชีที่มีรสชาติหอมหวานกำลังดี อากาศเย็นสบาย นั่งจิบไวน์แกล้มเนื้อย่าง อะไรจะเปอร์เฟ็คท์ไปกว่านี้

ใครกำลังมองหาร้านอาหารไวบ์ดีที่เสิร์ฟของอร่อยตลอดวัน บอกเลยว่าห้ามพลาด Copine (โคปีน) ร้าน All Day Dining น้องใหม่ใจกลางย่านสาทร ที่ตั้งแต่เปิดตัวก็ติดเทรนด์อย่างรวดเร็ว ร้านนี้เป็นอีกร้านหนึ่งของ เชฟเจย์ - สายนิสา แสงสิงแก้ว ผู้คร่ำหวอดในแวดวงอาหารไฟน์ไดนิงมาอย่างยาวนาน และโอนเนอร์เชฟร้านอาหารแคชชวลไฟน์ไดนิงสุดครีเอต STAGE (ซึ่งกำลังจะย้ายโลกชั่นมาเปิดในบริเวณเดียวกัน) ที่ร้าน Copine แห่งนี้ เชฟเจย์มาพร้อมเมนูที่หลากหลายขึ้น แคชชวลขึ้น และพอร์ชั่นใหญ่จุใจ พร้อมให้อร่อยฉ่ำกันได้ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 5 ทุ่มเลย!! Copine คำภาษาฝรั่งเศสนี้แปลว่า “แฟน” หรือ “เพื่อน” ตัวร้านรีโนเวตจากบ้านเก่าอายุกว่า 100 ปี ดีไซน์โดย Tastespace.co ให้มีความชิคแบบอาร์เคดในยุโรป ด้านในเน้นโทนสีเขียวและครีมกับม่านโปร่งดูอบอุ่น มีที่นั่งหลายมุมรวมทั้งห้องส่วนตัว ให้อารมณ์ Neighborhood Restaurant ซึ่งเป็นความตั้งใจของเชฟเจย์ที่อยากให้คนกินรู้สึกสบายใจเหมือนมาบ้านคนสนิท อาหารที่ร้านจะเป็น Western Cuisine ที่กินง่ายและไร้พรมแดน มีเมนูผสมผสานทั้งจานอร่อยสไตล์ฝรั่งเศส อิตาเลียน อังกฤษ หรืออเมริกัน แม้ต่างสัญชาติแต่สิ่งที่เหมือนกันคือความอร่อยแบบไม่ยั้ง โดยในช่วงเช้าจะให้บริการอาหารเช้าและกาแฟ ไม่ว่าจะเป็น English Breakfast หรือ Pancake with Fried Chicken และหลัง 11.30 น. จะเปลี่ยนเป็นเมนูมื้อกลางวันและเย็น ครั้งนี้เราได้มาลิ้มลองเมนูอาหารเย็น ซึ่งมีทั้งจานเรียกน้ำย่อยหลากหลาย อาทิ Courgette Fritter ซุกกินีชุบแป้งทอดบางกรอบดิปกับสโมคมาโย เป็นของกินเล่นที่ชวนเพลินมาก Duck & Liver Parfait โทสต์พาร์เฟต์ตับเนื้อครีมมี ตัดรสซ่าด้วยพริกไทยสีชมพูให้กินสนุกขึ้น Wagyu Beef Tatare with Caviar เนื้อวากิวสับแบบหยาบให้เคี้ยวมัน ทอปด้วยคาเวียร์และไข่แดง ให้รสชาติอร่อยเข้มข้นในทุกคำ Burrata Salad ชีสบูร์ราตาเนื้อนุ่มหอมมันใส่มะเขือเทศจิ๋วหลากสีและบัลซามิก เป็นจานที่ชวนสดชื่น และอีกจานเบาๆ Moules Frites หอยแมลงภู่อบแบบฝรั่งเศส มีซอสให้เลือกอร่อยได้ 2 แบบ ทั้งซอสไวน์ขาว และซอสมะเขือเทศรสสไปซีจัดจ้าน Gambas Garlic served with Riso Bisque กัมบัสกุ้งเนื้อแน่นผัดในน้ำมันกระเทียม เสอร์กับพาสตาเมล็ดข้าวผัดในซอสบิสก์กลมกล่อมอูมามิ และมีทั้งจานหลักที่เหมสะสำหรับแชร์ริ่ง ที่นี่มีทั้งเมนูซีฟู้ดคลาสสิกที่โดดเด่นด้วยวัตถุดิบชั้นยอด Langoustine with Butter กุ้งแลงกุสทีนเนื้อสดหวานอบเนยแบบฉ่ำๆ เวลากินบีบมะนาวลงไปเท่านี้ก็ได้ลิ้มรสความอร่อยของกุ้งอย่างเต็มที่ Fish of the Day เราได้ปลาไทยจับสดใหม่ นำมาปรุงด้วยวิธีทอดซอสเมอนิแยร์หรือซอสเนยแบบฝรั่งเศส โรยด้วยเคเปอร์เค็มๆ มันๆ อร่อยเข้ากันมาก สายแป้งต้องถูกใจสิ่งนี้ Crab Tagliatelle / Crab Bisque พาสตาเส้นแบนผัดซอสบิสก์กุ้งและปูรสเข้มข้นอร่อยมากๆ ใส่เนื้อปูก้อนแบบเน้นๆ และทอปด้วยปูม้าครึ่งตัวให้ลิ้มรสสดหวานกันได้อย่างจุใจ ตามด้วย Black Chicken ไก่ดำเนื้อแน่นหนังบางอบได้นุ่มและจุ๊ยซี่ มีน้ำจิ้มให้ 3 อย่าง เคียงด้วยกล้วยย่าง เสิร์ฟกับข้าวหอมมะลินครสวรรค์ที่หุงด้วยมันเป็ดและมันไก่ ตัวข้าวนี้เราถูกใจมาก เชฟเจย์แนะให้เหยาะแม๊กกี้หน่อยๆ ตามสูตรโบราณ ทวีความหอมอร่อย Pork Chop ที่นี่ก็ไม่เหมือนที่ไหน สเต็กหมูเนื้อนุ่มราดซอสแอปเปิลอละคอนยัค เสิร์ฟกับซาวร์เคราต์กะหล่ำม่วง มันฝรั่งอบ และมะเขือเทศย่าง ปิดท้ายด้วย Steak au Poivre เอาใจสายเนื้อเต็มที่กับเสต็กเนื้อวากิวเทนเดอร์ลอยน์ มาร์เบิลสกอร์ระดับ 3 ในซอสพริกไทยดำและคอนยัคที่ปรุงออกมาได้หอมอร่อยจัดๆ เสิร์ฟคู่กับเฟรนช์ฟรายส์ แม้อาหารที่นี่จะน่ากินไปหมด แต่ก็ขอร้องว่าให้เผื่อที่ไว้ให้ของหวานหน่อย เพราะเมนูแพสตรีและของหวานที่นี่จัดว่าเด็ดมาก และทำขึ้นโดยเหล่า Pastry Chef มากฝีมือในทีมของเชฟเจย์ ตัวทอปต้องยกให้ Pain Perdu ความอร่อยที่ก่อร่างจากเฟรนช์โทสต์กรอบนอกนุ่มในและหอมเนย ทอปด้วยไอศกรีมบราวน์บัตเตอร์ คาราเมล แยมนม และนมแผ่น หวานมันชุ่มฉ่ำสุดๆ นอกจากนี้ยังมี Sticky Fig Pudding พุดดิงมะเดื่อเนื้อแน่น เสิร์ฟกับไอศกรีมและซอสบัตเตอร์สก็อตหอมมันกินเพลิน ส่วนใครที่ชอบความหวานแบบละมุนและสดชื่น ขอแนะนำ Pannacotta ขนมหวานจานสวยที่มากับเหล่าเบอร์รีสดและซอสเบอร์รีแดงสดใส เป็นขบวนความอร่อยที่มาแบบต่อเนื่องไม่มีเวลาให้พัก จนเราชักอยากมาลองความอร่อยของเมนูมื้อเช้าอีกสักทีแล้วสิ

ช่วงนี้กระแสร้านอาหารแบบเชฟส์เทเบิลกำลังมาแรง ที่แต่ละรานจะเน้นเสิร์ฟอาหารเข้าใจง่ายและกินได้ทุกเวลา ครั้งนี้เราได้มีดอกาสไปลิ้มลองร้าน เพลิน ร้านอาหารไทยเเห่งใหม่ของ เชฟอ้อม-สุจิรา พงษ์มอญ ที่เกิดขึ้นภายในห้องทดลองเมนูของร้าน Khaan ร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิงซึ่งตั้งอยู่ในโครงการ YOLO Forest Community ทั้งคู่เดินเพียงไม่กี่ก้าวจาก Khaan ก็ถึงกัน สำหรับคอนเซ็ปต์ของร้านเป็นเชฟส์เทเบิลอาหารไทยที่เปิดรับเพียงวันละ 1 โต๊ะ ทำอาหารสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ด จะเน้นเสิร์ฟสำรับสไตล์เชฟอ้อม ซึ่งสำรับละประมาณ 13 เมนู จะเปลี่ยนเมนูทุกๆ 3 เดือนจึงเป็นร้านที่เหมาะแก่การมาร่วมนั่งโต๊ะกินข้าวกับเพื่อนๆ และครอบครัวได้ 10 คน มื้อนี้เป็นเมนูที่คุ้นทั้งรสชาติและการจัดเสิร์ฟ ครบทั้งต้ม ผัด แกง ทอด ยำ และย่าง เริ่มที่ ยำชะอมทอดกรอบกุ้งสด กุ้งแชบ๊วยตัวใหญ่นำไปยำรสจัดจ้าน กินคู่กับชะอมทอดกรอบที่วางอยู่บนหน้า น้ำพริกถั่วมัน น้ำพริกบ้านๆ รสเข้มข้นทั้งมันและเผ็ด เสิร์ฟกับผักสดต่างๆ ยิ่งกินคู่กับไข่เจียวกากหมู บอกเลยระวังข้าวจะหมดจาน และแน่นอนว่าบ้านไหนก็ต้องมีเมนูนี้ ไข่เป็ดลูกเขย เมนูอาหารบ้านๆ แต่ซ่อนเทคนิคเชฟนำไข่เป็ดไปต้มให้ให้ไข่แดงสุกกำลังดี จากนั้นนำไปทอดให้ผิวด้านนอกกรอบส่วนไขแดงด้านในสุกเยิ้ม ราดกินคู่กับซอสมะขามรสกลมกล่อม  แกงเขียวหวานแก้มหมู เนื้อแก้มหมูเคี่ยวจนเนื้อนุ่มเด้ง แล้วนำไปแกงในน้ำแกงเขียวหวานจนนุ่มปรุงรสชาติ เค็มหวานกำลังดี เผ็ดอ่อนๆ เป็นแกงเขียวหวานที่รสกลมกล่อมมาก จานต่อมา เป็ดตุ๋นมะนาวดอง มะนาวที่เชฟดองเอง มีขวดโหลตั้งอยู่ชั้นในร้าน ต้มกับเป็ดจนเนื้อนุ่มหอมกลิ่นมะนาวดอง รสชาตินี้บอกเลยว่าหากินได้ยากในเมืองกรุงฯ และหมึกหอมคั่วกะปิ หมึกตัวใหญ่ผัดให้เนื้อนุ่มพอดี หอมกลิ่นกะปิคั่ว กัดลูกโดดแล้วเพิ่มความแซ่บให้อร่อยยิ่งขึ้น! พระเอกของเรื่องนนี้คงต้องยกให้กับ ลิ้นวัวย่าง เชฟนำลิ้นวัวไปซูวีดจนเนื้อนุ่มแล้วย่างจนหอม จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่ว ปิดท้ายด้วยโรตีกล้วยและโรตีมะพร้าวอ่อน แป้งโรตีกรอบๆ เสิร์ฟพร้อมกับนมข้นหวานและคาราเมลสูตรเฉพาะของทางร้าน เซ็ตนี้หมดไปแล้ว แต่ก็ตั้งตารอคอยว่าเซ็ตใหม่จะเป็นเมนูอะไร เพราะจะกลับไปกินอีก!

ในกรุงเทพที่เต็มไปด้วยร้านไก่ทอดหลากหลายสไตล์ แต่หลายคนอาจจะยังไม่เคยลองไก่ทอดสไตล์ไต้หวันร้าน Chu Chu Chicken Club ที่จะมาขโมยใจทุกคนด้วยเมนูรสชาติเข้มข้น และบรรยากาศร้านน่ารักๆ จากการตกแต่งร้านโทนสีครีมน้ำตาลชวนอบอุ่น โดยช่วงเย็นบนชั้น 2 ของบ้านยังเปิดเป็นค็อกเทลบาร์ ให้นักดื่มได้มานั่งชิลได้อีกด้วย ความพิเศษที่ไม่เหมือนใครของทางร้าน คือเมนูซิกเนเจอร์ไก่ทอดโฮมเมดชิ้นใหญ่ ที่เนื้อไก่ด้านในนุ่มชุ่มฉ่ำและภายนอกหอมกรอบอร่อยนาน เคลือบมาด้วยผงหม่าล่าเหมือนทีเด็ดจากไต้หวันแต่ยังได้กลิ่นอายของความเป็นอเมริกันเบาๆ อยู่นั่นเอง เริ่มด้วย Chu Chu Fried Chicken (S) (450.-) ไก่ทอดแบบเซตที่สามารถเลือกทั้งขนาด ระดับความเผ็ด ซอสดิปคาร์โบไฮเดรตและเครื่องเคียงได้ตามความชอบ โดยเราเลือกเป็นไซซ์ Small ที่ระดับความเผ็ด 3 รสชาติเค็มเผ็ดแบบสายเข้มข้นถูกใจ กินกับดิปเลมอนครีม พร้อมเฟรนช์ฟรายส์ และเคียงด้วยกานาฉ่าย หลากหลายรสสัมผัสแต่อร่อยลงตัว ต่อที่ Chu Chu Sando (350.-) แซนด์วิชไก่ทอด ไข่ดาว ผักสลัด ที่ประกบมาด้วยขนมปังกรอบนอกนุ่มในเสิร์ฟพร้อมดิปโฮมเมด อร่อยเต็มปากเต็มคำ อีกหนึ่งเมนูฟิวชั่นห้ามพลาด Mapo Pasta (350.-) เส้นพาสต้าเหนียวนุ่มผัดคลุกเคล้ามากับซอสมาโป หรือซอสสไตล์หม่าล่าเค็มนัวและหมูสับ ได้ความชาเบาๆ ติดลิ้นปลายลิ้น นอกจากนี้ทางร้านยังมีเมนูกินเล่นอย่าง Steamed Wontons (180.-) เกี๊ยวหมูแป้งบางไส้แน่นสไตล์ไต้หวันราดด้วยซอสหมาล่าสูตรเฉพาะของร้านและเครื่องดื่มทั้ง มิลค์เชก ชานม กาแฟ มาตอบโจทย์สายคาเฟ่ จะแวะมากินหนักกินเบา ก็ดีไม่แพ้กันเลย

ในยุคที่ใครหลายคนอาจจะไม่เก็ตกับการกินอาหารแบบไหนถึงจะดีกับโลก ร้าน Et1.5 คือหนึ่งในร้านอาหารยุคใหม่ที่จะทำให้เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่าย ไม่ว่าเราจะอยู่เจนเนอเรชั่นไหนก็สามารถใส่ใจกับเรื่องนี้ได้มากขึ้น ทางร้านจะเน้นเสิร์ฟอาหารแบบ 'Low Carbon' ปรุงขึ้นด้วยผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบท้องถิ่น ซึ่งมีส่วนในการลดต้นทุนการขนส่งจากต่างประเทศ และใส่ใจกับการลดปริมาณ 'Food  Waste' ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูป ถนอมอาหารและยืดอายุวัตถุดิบหลักๆ ก่อนจะนำมารังสรรค์เป็นเมนูต่างๆ รวมถึงทางร้านยังมีบางเมนูที่เลือกใช้ 'Alternative Protein' โปรตีนทางเลือกจากแมลงหรือสาหร่าย ที่หน้าตาและรสชาตินั้นว้าวกว่าที่คิด แม้ว่าคอนเซ็ปต์ของเมนูจะอิงกับสถานการ์ณของโลกในยุคปัจจุบัน แต่หน้าตาการตกแต่งร้านนั้นกลับสวนทาง ทั้งการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจรวมถึงตัวร้านสีเอิร์ธโทน ที่ใครได้เห็นก็น่าจะชื่นชอบและอยากเปิดใจเข้ามาลิ้มลอง เมนูแรก Turkish Eggs (290.-) มื้อเช้าแบบตุรกี ไข่อบจากแม่ไก่ที่ทางร้านเลี้ยงอยู่หน้าร้าน มาพร้อมกับผักโขมและครีมโยเกิร์ต ที่สร้างสีสันด้วยมะเขือเทศตากแห้งราดน้ำมันพริก จิ้มกินกับโฮมเมดซาวโดวจ์ที่กริลล์จนหอมกรอบ ต่อด้วย Smoked Cheese Sourdough (280.-) โฮมเมดซาวร์โดออนท็อปด้วยชีสชั้นดีจากหัวหิน ราดด้วยน้ำผึ้ง เสิร์ฟคู่กับแจมเปลือกผลไม้และผักดอง เมนูที่กินง่ายไม่แพ้กัน Spinach, Pea Pancake with Fish Filet (320.-) แพนเค้กเนื้อนุ่มฟูที่มีส่วนผสมของถั่วท็อปด้วยผักโขมและปลาโฉมงามจากภูเก็ต ที่ทำไปทอดจนเหลืองกรอบน่ากิน ราดด้วยไซรัปดอกไม้ เป็นจานที่รสชาตินุ่มนวลหลากหลายเท็กเจอร์ สุดท้าย Gnocchi Black Garlic เมนูญ็อกกีสไตล์วีแกน โดยตัวแป้งพาสต้านั้นทำจากแป้งจิ้งหรีดที่นำกับไปผัดกับกระเทียมดำ และเครื่องเทศ สัมผัสจะนุ่มหนึบแปลกใหม่ดีเลย

ร้านในเครือ Indus ที่คนรักอาหารอินเดียควรค่าแก่การไปลิ้มลอง นำเสนออาหารอินเดียทางตอนเหนือในรสชาติที่เข้าใจง่าย ใช้เครื่องเทศหลากหลายมาผสมผสานกับเทคนิคต่างๆ เสิร์ฟในรูปแบบไฟน์ไดนิงดูหรูหราและสวยงาม ผลงานของ Chef Sanket Hoskote Executive Chef ที่เคยร่วมงานกับ Hari Nayak เชฟชาวอินเดียชื่อดังระดับตำนานในโลกของอาหารอินเดีย Jharokha ในภาษาอินเดียมีความหมายว่า “หน้าต่าง” เป็นหน้าต่างลวดลายสวยงามเห็นได้ตามพระราชวัง สอดคล้องกับการตกแต่งของร้านสังเกตได้จากโทนสีที่ใช้น้ำเงินตัดกับสีทองดูหรูหราผสมกับเครื่องเงินต่างๆ  ตกแต่งสไตล์โปโล มีผนังและเฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้มะฮอกกานีบุด้วยหนังทำให้ดูสะอาดตา สำหรับ Jharokha by Indus อาหารของร้านจะเน้นการอบและย่างด้วยถ่านโดยใช้เตาอบ Kopa และเตาทันดูรีควบคู่กัน ทำให้หอมกลิ่นสโมก มื้อนี้เริ่มด้วย Chutney Set ชัตนีย์ชุดใหญ่เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสและชัตนีย์ 5 ชนิด ที่สร้างความสนุกและความอร่อยเป็นอย่างมากเพราะแต่ละดิปส์จะมีรสชาติ เปรี้ยว เผ็ด หวาน มัน ที่แตกต่างกัน ยิ่งจิ้มกินคู่กับแป้งนานและรากบัวทอดกรอบ ยิ่งอร่อยมากยิ่งขึ้น Bhuna Kaleji ตับไก่บดเนื้อเนียนผสมกับเครื่องเทศอินเดีย บีบเสิร์ฟในคุกกี้รูปทรงกุหลาบที่นำไปทอดชื่อว่าอาชัปปัม (Achappam) กินคู่กับซอสสูตรเด็ดของทางร้านช่วยเพิ่มรสชาติไม่ให้เลี่ยนจนเกินไป Bheja Bav สมองแพะ เนื้อสัมผัสเด้งผัดกับเครื่องเทศรสเข้มข้น เสิร์ฟบนขนมปังเฟรนช์โทสต์ Himalayan Gucchi & Khumb เห็ดนางรมหลวงหมักกับบัตเตอร์ครีมผักชีแล้วซูวีดนานกว่า 4 ชั่วโมง กินคู่กับเห็ดมอเรลสอดไส้ครีมนม และไวต์ซอสยัคณี (Morel Yakhni) เข้าสู่จานหลัก Champaran Gosht แพะอบหม้อดินเผาหรือฮันดี (Handi) เนื้อแพะหมักกับน้ำมันมัสตาร์ดและสมุนไพร เวาลาอบต้องคลุมปากหม้อด้วยแผ่นแป้งแล้วนำไปตุ๋นนาน 6 ชั่วโมงจนเนื้อนุ่ม เสิร์ฟพร้อมกับหอมแดงคลุกมาซาลาช่วยตัดเลี่ยน และ Mewar Malai Biryani ถั่วเลนทิลสีดำตุ๋นจนเนื้อนุ่มเคี่ยวกับเครื่องเทศ เสิร์ฟกับข้าวบาสมาติหุงหญ้าฝรั่นและเครื่องเทศสูตรพิเศษ เคียงด้วยแป้งนานชีสและแป้งปาราตาโฮลวีตร้อนๆ ที่เพิ่งอบออกมาจากเตาทันดูรี สำหรับมื้อนี้ยังปิดท้ายด้วยขนมหวานอย่าง KESAR FALOODA ไอศกรีมรูปดอกกุหลาบผสมกับซัฟฟรอน ท็อปบนพุดดิงครีม และ SHAAN-E-AAM ไอศกรัมมะพร้าวเนื้อเนียนหอมนมและกะทิ เสิร์ฟบนพุดดิงครีม ทำให้ปิดท้ายมื้อนี้แบบฟินๆ อาหารอินเดียจัดเสิร์ฟสวยงาม หอมกลิ่นเครื่องเทศบางๆ ที่เข้าถึงได้ง่าย

Cat & Fish - Fat Kid Eatery BKK ร้านที่คนรักแมวน่าจะเลิฟ เพราะของตกแต่งรูปแมวเยอะมาก หันไปทางไหนก็เจอ นอกจากแมวก็มีของสะสมจากทั้งของเจ้าของร้านเอง และของฝากจากเพื่อนๆ รวมๆ กันทำให้ร้านดูอบอุ่นไม่เบา ที่มาของชื่อร้านเริ่มต้นจากการตั้งใจทำ Fish and Chips แต่ชื่อนี้มีคนใช้แล้ว เลยเปลี่ยนเป็น Cat and Fish เพราะคนน่าจะเข้าถึงง่าย ถ้าเป็นสัตว์เลี้ยง เด็กๆ น่าจะชอบด้วย แต่ก็เคยมีเรื่องขำๆ คือเมื่อก่อนมีคนคิดว่าร้านนี้เป็นร้านขายอาหารสัตว์ ไม่ก็คาเฟ่แมวด้วย (แต่เจ้าของเขาก็เลี้ยงแมวจริงๆ นะ) จุดเด่นนอกจากการตกแต่งแล้ว ยังมีเรื่องอาหารอย่างการเลือกใช้ปลาตกเบ็ดแทนปลาติดอวน และเป็นปลาในทะเลไทยเช่น ปลาอังเกย ปลากระบอก ปลาโอดำ ปลากุเลา ปลาอีโต้มอญ ฯลฯ ทั้งอร่อยและได้ช่วยเหลือชาวประมงไทยด้วย   อร่อยกับข้าวผัดอเมริกัน เมนูวัยเด็กของใครหลายๆ คน รอบข้าวผัดที่โปะไข่ดาวประกอบด้วยไส้กรอกหมูรมควัน แฮม และไก่ทอดซึ่งอยากบอกว่าดีมากก กัดแล้วได้ยินเสียงกรุบกรอบ ฟินสุดๆ ทางร้านบอกว่าใช้ไก่ออร์แกนิกจากแทนคุณฟาร์ม เนื้อจะนุ่ม มัน และที่นี่ไม่ใส่ลูกเกดกับถั่วลันเตาเพราะคนไม่ชอบกินกันเยอะ Fish & Chips ใช้ปลาไทยคือปลาเก๋าลายตุ๊กแก เนื้อขาว หนึบ กรอบนอกนุ่มใน ชิ้นใหญ่สะใจ ถือว่าเป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่กำเนิดร้านนี้ขึ้นมาเลย (ต้องลอง!) สปาเกตตีเพสโต ไข่แดงหมักน้ำตาลเกลือ รสเผ็ดนิดๆ ตัวหมึกสดสุดๆ Ceviche ปลาอังเกยตกเบ็ด ทางร้านอยากทำให้กินง่าย ถูกปากคนไทยมากขึ้นด้วยการทำน้ำยำแซ่บๆ ใส่ผลไม้รสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดลงไปด้วย สปาเก็ตตีไส้อั่วน้ำพริกหนุ่ม เมนูครีเอทีฟที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่นพี่ ผสมผสานความเป็นไทยกับต่างชาติได้ลงตัว เพิ่มความนัวแต่ยังไม่ทิ้งความหอมมัน ใครนึกภาพน้ำพริกหนุ่มในสปาเกตตีไม่ออก ต้องมาลองชิม! เครื่องดื่มแนะนำ เช่น Milky Whisky แต่งกลิ่นด้วยรัม สตรอว์เบอร์รีชีสพายช็อกโกแลต (ลูกค้าแนะนำร้านมา) Fun Fact : โลโก้แมวได้แรงบันดาลใจมาจากแมวเจ้าของร้าน ซึ่งจริงๆ มีแมวสีลิดอีกตัวที่แพลนไว้ว่าจะนำไปสกรีนลงเสื้อแทน ส่วนเด็กน้อยข้างๆ คือการเล่นคำ Cat Fish เป็น Fat Kid เก๋ๆ เข้ากับร้านที่ขายอาหารแบบเน้นอิ่มหมีพีแมว (มัน) อีกต่างหาก

Panna Sourdough ร้านบรันช์ที่คุณผึ้งและเชฟเนตร ช่วยกันพัฒนาคอนเซปต์ “Everything Sourdough” และคิดค้นสูตรขนมปังเพื่อลบภาพซาวร์โดแข็งๆ ตามภาพจำ ทำไปทำมาจนลงเอยกับขนมปังลูกผสมที่มีทั้งความนุ่มและความหนึบ “ซาวร์โด + โชกุปัง” เจ้าแรกเลยก็ว่าได้ จากนั้นก็ใช้ซาวร์โดโชกุปังที่เลี้ยงเองมาต่อยอดอีกหลายเมนูที่น่าลิ้มลอง แน่นอนว่าซิกเนเจอร์ต้องเป็นบรรดาซาวร์โดโชกุปัง ทั้งรสกระเทียม เนยสด ธัญพืช เม็กซิกัน ซุปมะเขือเทศย่าง นำมะเขือเทศย่างพร้อมกระเทียม และหัวหอมให้เกรียมเล็กน้อย ต้มกับนมและซาวร์โด Burrata Gremolata บูร์ราตาราดเกรโมลาตา (เครื่องปรุงอิตาลี คล้ายๆ รากผักชีกระเทียมพริกไทยของไทย แต่ทำจากพาสลีย์ กระเทียม ผิวมะนาว) และเบคอนผัดปาปริกา กินคู่ขนมปังกรอบ กุ้งผัดน้ำมันมะกอกและกระเทียมสไตล์สเปน ใส่มะเขือเทศและโรยพาสลีย์ตบท้าย เอาซาวร์โดโชกุปังจิ้มน้ำมันกินฟินสุดๆ แซนด์วิชเป็ดกงฟี เมนูแรกๆ ของร้านซึ่งใช้ซาวร์โดโชกุปัง ปกติแซนด์วิชจะเสิร์ฟคู่เฟรนฟรายส์ แต่ที่นี่เปลี่ยนเป็นแตงโมราดน้ำสลัดซาวด์ครีมสดชื่น (เชฟว่าคาร์โบไฮเดรตเยอะแล้ว) Shrimp Panzanella Salad สลัดกุ้งชามโต กรูตองคลุกน้ำสลัดก่อนจึงใส่กุ้งย่าง Chicken Quessadilla จับคู่ซัลซาโฮมเมด และเลมอนซาวด์ครีม German Pancake มีทอปปิ้ง 3 แบบให้เลือก เบคอนและไข่ บรีและแอปเปิ้ล เบอร์รีและเบอร์รี Strawberry French Toast ซาวร์โดโชกุปังชิ้นหนานุ่มทอดเนยฉ่ำ ตัดรสด้วยซอสสตรอว์เบอร์รี เครื่องดื่มขายดีต้องยกให้ Espresso Orange (กาแฟร้อนก็มี) สำหรับคนไม่กินกาแฟสั่งเป็น Sourdough lemonade โยเกิร์ตเบอร์รี หรือน้ำส้มก็ได้ ใครว่างอย่าลืมแวะมากันนะ รับรองว่าจะสบายตาสบายใจกับบรรยากาศ ที่เก๋มากคือตรงเคาน์เตอร์ตกแต่งด้วยกระสอบแป้ง น่ารักสุดๆ

คนรักมื้อสายมีเฮกันแน่นอน เพราะครั้งนี้เราจะพามาลอง “Everyday - Brunch & Roast” ร้านบรันช์ (All-Day) รสชาติดีในโครงการ The Office Thonglor ที่ให้คุณลิ้มลองมื้อสายหลากสไตล์ ทั้ง พิซซาโฮมเมด พาสต้าเส้นสด อาหารไทย นอกจากนี้ยังมีเมนูซิกเนเจอร์ (ข้าวอบสเปน และโทสต์) จากร้านดังในเครืออย่าง Vaso และ Petits Plats อีกด้วย เอมใจกับอาหารแล้วก็อย่าลืมเอ็นจอยกับบรรยากาศแสนสบาย ที่คุณสามารถพาโบโบ้มาเช็คอินด้วยได้ เฟอร์นิเจอร์ไม้อบอุ่น เข้ากันดีกับเบาะสีขาวหนานุ่ม เพิ่มความมีชีวิตชีวาด้วยน้ำพุงดงาม และต้นไม้กระถางเขียวขจี จานแรกต้องนี่ Thick Juicy Bacon & Silky Egg ขนมปังซาวโดว์โฮมเมดปิ้งเกรียมๆ ท็อปด้วยไข่ข้นครีมมี และเบคอนชิ้นโต เนื้อหนาๆ (โดนใจเด็กอ้วนยิ่งนัก) ต่อด้วย Salmon Pesto เฟตตูชินีเส้นสดที่ให้สัมผัสเหนียวนุ่ม เคล้าซอสเพสโต้รสกลมกล่อม หอมกลิ่นใบโหระพาเป็นที่สุด เพิ่มโปรตีนดีๆ ด้วยแซลมอนชิ้นใหญ่ย่างเนื้อฉ่ำใน ทีเด็ดที่ห้ามพลาด Truffle Pizza พิซซาโฮมเมดสไตล์อิตาเลียนที่เรารัก ทาด้วยซอสทรัฟเฟิลหอมๆ รสเข้มข้น (กินเพลินมากมาย) มาถึงแล้วต้องสั่ง Thai Prawn Rice จานอร่อยขวัญใจสายโซเชียลของแท้ ข้าวกุ้งแกะที่ให้คุณอร่อยกับกุ้งแม่น้ำตัวอวบๆ เนื้อหวาน มิ๊กซ์กับมันกุ้งหยาดเยิ้มครีมมี ตัดด้วยรสเผ็ดเปรี้ยวของน้ำจิ้มซีฟู้ด (แซ่บซี๊ด) ก่อนตบท้ายมื้อนี้ด้วย Strawberry Bingsu บิงซูสตรอว์เบอร์รีอลังการงานสร้าง ฟินกับน้ำแข็งใสสไตล์เกาหลีรสนมหอมมัน ราดซอสสตรอว์เบอร์รีโฮมเมดรสเปรี้ยวอมหวาน ก่อนตกแต่งด้วยสตรอว์เบอร์รีสดอีกที มีอะไรบ้างที่ The Office ทองหล่อไม่อร่อย

อารีย์ ย่านอร่อยสุดฮอตของชาวกรุงเทพ มีร้านคุณภาพมาอีกแล้วกับร้าน ‘Fameal’ บรันช์แอนด์บาร์มู้ดดีฟีลกู้ด ที่เสิร์ฟ All Day Brunch สไตล์ฟิวชั่นให้ไปอร่อยได้ตลอดวัน โดยมาพร้อมกับบรรยากาศอบอุ่นแบบโฮมมี่ในบ้านหลังใหญ่ที่แฝงความน่ารักด้วยรูปภาพงานอาร์ตและแผ่นเสียง ช่วยสร้างสุนทรีย์ระหว่างมื้ออาหารได้เป็นอย่างดี เริ่มด้วยเมนูเบาๆ Petit Salad สลัดหน้าตากิ๊บเก๋ที่เนรมิตเฟต้าชีส แตงโม แตงกวาและแอปเปิลให้เป็นทรงลูกเต๋าเรียงต่อกัน ราดด้วยน้ำสลัดเลมอนน้ำผึ้ง กินแล้วสดชื่นมาก ต่อด้วย Muchroom Pâté Toast โทสต์เนื้อนุ่มที่กริลมาอย่างพอเหมาะ ออนท็อปด้วยทรัฟเฟิลบด หอมๆ พาร์เมซานชีสและหัวหอม อีกเมนูที่ไม่อยากให้พลาด American Fameal Rice ข้าวผัดอเมริกันเครื่องแน่นเนื้อข้าวร่วนซุยรสชาติกลมกล่อมไม่โดด กินพร้อมไก่ทอดชิ้นโต แฮม ไส้กรอก เบคอนกรอบและไข่ดาว จบด้วยของหวานอย่าง Fantasy Rainbow Pancake แพนเค้กนุ่มฟูที่สามารถ DIY หน้าตาความสวยงามได้ตามต้องการ สนุกก่อนกินด้วยท็อปปิ้งหลากหลายทั้งวิปครีม คอนเฟลกและซีเรียลสีรุ้ง ถูกใจคนทุกเพศทุกวัยแน่นอน และสำหรับสายดื่มสายดริ้งก์ช่วงกลางคืนทางร้านยังเปลี่ยนมู้ดเป็นบาร์ให้แวะมานั่งชิลกินอาหารกรุบกริบได้จนถึงเที่ยงคืนเลย ที่สำคัญคือทางร้านเป็น Pet Friendly ให้เจ้าของพาสัตว์เลี้ยงแสนรักมาพักผ่อนได้เช่นกัน

เอนจอยกับมื้ออร่อยท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ ที่ ‘Bimbo Restaurant’ ร้านอาหารย่านหัวลำโพง โดยคุณอู้ - นพปฎล หลโยธิน นักออกแบบชาวไทยซึ่งพ่วงด้วยตำแหน่งเจ้าของร้าน Concento, Lucky Duck และ Horsamut ชื่อดัง ที่ครั้งนี้เลือกมาถ่ายทอดความอร่อยในสไตล์เมดิเตอเรเนียน สำหรับร้านล่าสุดในเครืออย่าง Bimbo Restaurant ทางทีมงานตั้งใจสร้างสรรค์สไตล์ให้แตกต่างออกไปจากร้านอื่น ในคอนเซ็ปต์ที่เปรียบเหมือน ลูกสาวคนเล็กนำเสนอความธรรมชาติของวัตถุดิบ ปรุงน้อย และใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งยังได้นำสกิลนักออกแบบมาใส่ในการตกแต่งร้านให้โดดเด่นใกล้เคียงความเป็นเมดิเตอร์เรเนียนมากที่สุด ทั้งตัวผนังที่ใช้ปูนผสมทรายฉาบให้พื้นผิวเป็นสีเบจธรรมชาติ ประดับด้วยภาพวาดจากอิตาลี รวมถึงการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ ยิ่งช่วยเสริมมู้ดให้ดูรีแลกซ์ผ่อนคลายเหมือนไม่ได้นั่งอยู่ที่กรุงเทพ โดยหากขึ้นไปชั้นสองจะพบกับโคลต์คัตบาร์มู้ดเข้มครึ่ม ชั้น 3 ที่เว้นไว้เป็นครัวกลาง และชั้นบนสุดคือรูฟท็อปบาร์สำหรับใครที่อยากนั่งชิลนั่งดื่ม แนะนำ Tuna Taco เมนูเรียกน้ำย่อยที่มาพร้อมทาโก้แป้งกรอบสอดไส้ทูน่าและอะโวคาโดบด เสิร์ฟมาบนขอนไม้เพิ่มความอลังการ ได้หลากหลายเท็กซ์เจอร์ในคำเดียว  ต่อด้วย Puccia Pillow Bread ซาวโดจว์รูปร่างพองฟูคล้ายหมอนรสชาติเค็มนิดๆ กินกับดิปมะเขือม่วงเนื้อเนียนเพลินๆ Wagyu Outside Skirt สเต็กเนื้อวากิวย่างแบบมีเดียมแรร์ สัมผัสนุ่มละลายในปากเสิร์ฟพร้อมซอสชิมิชูรี พริกย่าง และผักดองโฮมเมด และห้ามพลาด เมนูห้ามพลาด Guanciale Pizza พิซซ่าแป้งบางกรอบที่กัดแ ล้วยังได้ความเหนียวนุ่ม อบมาด้วยเตาแบรนด์ท็อปจากอิตาลี ด้านบนประกอบด้วย เบคอนกรอบ ซอสอาราเบียตต้า และมะเขือเทศกงฟี ปิดท้ายด้วย Blood Orange Polenta Cake จานของหวานจากซอร์เบต์ส้ม ที่ออนท็อปอยู่บนเค้กธัญพืช เปรี้ยวหวานฉ่ำกินแล้วสดชื่น

เบียร์ รีพับบลิค ร้านอาหารสไตล์อินดัสเทรียลยุค 1920 ที่ตกแต่งด้วยอิฐและปูนเปลือยแห่งนี้ ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางกรุง บนชั้น G โรงแรม ฮอลิเดย์ อินน์ กรุงเทพฯ ซึ่งติดรถไฟฟ้าสถานีชิดลม ด้วยทำเลอันเหมาะสมแก่การพบปะสังสรรค์ BEER REPUBLIC จึงเป็นพื้นที่สำหรับการแฮงเอ้าต์หลังเลิกงานอย่างเป็นกันเอง ภายในโถงกลางห้องอาหาร มีทั้งมุมพักผ่อนแบบส่วนตัว โต๊ะไม้ขนาดใหญ่สำหรับการกินดื่มแบบกลุ่มใหญ่ หรือโซนริมกระจกติดถนนเพลินจิตมองความพลุกพล่านบนท้องถนนขณะชิลกับอาหารและเครื่องดื่ม เบียร์ รีพับบลิค มีเบียร์ชั้นเยี่ยมจากทั่วโลกให้ลิ้มลองกว่า 60 ชนิด รวมทั้งเครื่องดื่มอีกมากมายรอต้อนรับนักดื่มหน้าใหม่และคอเบียร์ที่ต้องการลิ้มลองเบียร์รสชาติใหม่ๆ อาทิ เบียร์เพลเอล (Pale Ales) เบียร์พิลส์เนอร์ (Pilsners)  เป็นต้น พร้อมบริการและให้คำแนะนำด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านเบียร์ของเบียร์ รีพับบลิค เพื่อให้เลือกดื่มด่ำได้อย่างมีอรรถรสและถูกใจยิ่งขึ้น ไม่เพียงความหลากหลายของชนิดเบียร์เท่านั้น ในเรื่องอาหาร เบียร์ รีพับบลิคก็ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี ทั้งอาหารยุโรปขึ้นชื่อรสชาติอร่อย อาหารไทยรสดั้งเดิมที่คนไทยกินแล้วไม่ผิดหวัง เสิร์ฟในขนาดที่สามารถแบ่งกันรับประทานได้  เรียกน้ำย่อยกันเบาๆ กับ Nachos นาโชส์รสมันกลมกล่อมผสานกับความเปรี้ยวหวานของมะเขือเทศสด ต่อด้วย Calamari ปลาหมึกชุปแป้งทอดเสิร์ฟกับซอสครีมมะนาว จิบเบียร์ตาม อร่อยลื่นคอ ต่อด้วย Beer Battered Fish and Chips ฟิชแอนด์ชิปส์เสิร์ฟพร้อมซอสทาร์ทาร์และมันฝรั่งทอด บีบเลมอนเพิ่มรสชาติ จานนี้ทอดได้ดีไม่อมน้ำมัน กินร้อนๆ เนื้อในควันยังฉุยหอมกลิ่นปลาทอดสดสะอาด ไร้ความคาว กับแกล้มคู่เบียร์ห้ามพลาดแนะนำ Beer Republic Crispy Pork Knuckle ขาหมูทอดกรอบพร้อมมันบดในน้ำเกรวี น้ำจิ้มซีฟู้ด ซาวร์เคราต์ และผักดอง ขาหมูหนังกรอบเนื้อในยังฉ่ำ ถ้าชอบรสแซบให้กินพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด ตัดเลี่ยนด้วยซาวร์เคราต์รสชาติดี นาทีนี้ไม่ต้องกังวัลเรื่องน้ำหนัก     Beer Roasted Chicken ไก่อบเบียร์เสิร์ฟกับกระเทียมหอม ไก่อบจนหนังตึงสีสวย เนื้อในนุ่มร่อน กินพร้อมกระเทียมย่างหอมๆ สั่ง Tandoori Spiced Roasted Cauliflower ดอกกะหล่ำอบเสิร์ฟกับซอสโยเกิร์ตมากินด้วยกันกับ Tennessee BBQ Pork Ribs ซี่โครงหมูย่างซอสเทนเนสซีที่เนื้อนุ่มล่อนหลุดจากซี่โครง จิบตามด้วยเบียร์รสชาติที่ชื่นชอบ สร้างช่วงเวลารื่นรมย์ที่น่าประทับใจ ไม่เพียงอาหารและเบียร์เท่านั้น ที่นี่ยังเอาใจคนรักของหวานด้วยเมนูขนมหลายรายการ อาทิ Banana Fritters Black Sesame Ice Cream กล้วยหอมทอดเสิร์ฟกับไอศกรีมงาดำ หรือจะลอง Waffles Whipped Cream, Chocolate Sauce, Strawberry Ice Cream, Green Tea Ice Cream, Salted Caramel Nuts and Banana วาฟเฟิลอุ่นๆ เสิร์ฟกับท็อปปิงถูกใจอย่างวิปครีม ซอสช็อกโกแลต ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี ไอศกรีมรสชาเขียว ถั่วคาราเมลรสเค็ม และกล้วยหอม เป็นสองขนมหวานที่ปิดมื้อแห่งความอร่อยได้อย่างน่าจดจำ ร้านเปิดบริการทุกวัน วันอาทิตย์-พฤหัสบดี เวลา 11.30-24.00 น.วันศุกร์-เสาร์ เวลา 11.30-01.00 น. พร้อมการแสดงดนตรีสดทุกวัน เวลา 19.30-22.30 น. เฉพาะวันศุกร์-เสาร์ เวลา 19.30-23.30 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02 656 0080

Bay Fish Pattaya ร้าน Fish & Chips ขนาดกะทัดรัดแห่งเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้หน้าตาร้านจะให้ความรู้สึกฝรั่งจ๋าแต่เมนูที่เสิร์ฟภายในร้านนั้นล้วนมาจากวัตถุดิบท้องถิ่น ทั้งปลาจากทะเลไทยที่ชาวประมงจับได้ในแต่ละวัน ผักจากฟาร์มออร์แกนิก รวมถึงผักที่ปลูกในสวนของครอบครัวด้วย เดาไม่ยากว่าเมนูเด่นของร้านนี้คือ Fish & Chips ในแต่ละวันทางร้านจะเขียนชื่อปลาที่มีไว้บนบอร์ดบนเคาน์เตอร์ให้เราได้เลือกสั่ง อาทิ ปลาอินทรีย์ ปลาช่อนทะเล ปลาอังเกย ฯลฯ ซึ่งจะให้ประสบการณ์การกินที่ต่างกัน อย่างวันนี้เราสั่งปลากะมงพร้าว ปลาทะเลท้องถิ่นตัวใหญ่ เนื้อแน่นกินง่ายไม่มันเลี่ยน ไม่เละ ส่วนแป้งเชฟก็ทอดจนกรอบและเบาดี จับคู่มันฝรั่งทอดและซอสทาร์ทาร์โฮมเมดสูตรเฉพาะของทางร้าน อีกเมนูเป็น Grilled fish salad สลัดปลาย่างเลือกประเภทของปลาได้เช่นกัน เราเลือกเป็นปลาอินทรีย์ เนื้อแน่น ย่างมาสุกกำลังดี ส่วนจานสุดท้ายที่อร่อยไม่แพ้กัน และยังคงความเป็นชลบุรีเอาไว้คือ Spaghetti Squid ink สปาเกตตีหมึกดำที่ใช้ปลาหมึกไทยหนึบหนับสู้ฟัน ผัดใส่พริกแห้งลงไปด้วย รสเผ็ดนิดเค็มหน่อย ชวนให้เจริญอาหารเป็นพิเศษ นอกจากนี้ที่ร้านยังจัดพื้นที่ให้ช้อปของที่ระลึกกลับบ้าน ทั้งเสื้อยืด โปสการ์ด กระเป๋าผ้า ซอส ผักดอง ฯลฯ ส่วนใครไม่ว่างขับรถไปชลบุรีไม่ต้องเสียใจ เพราะทางร้านโปรเจ็กต์คอลแลบกับแบรนด์อื่นบ่อยครั้ง  ก่อนหน้านี้มีทำ Fish & Doughnut ร่วมกับร้านโดนัทสุดป๊อปอย่าง Drop by Dough ด้วย แว่วว่ากำลังจะเปิดตัวโปรเจ็กต์ใหม่เร็วๆ นี้ เห็นไหมว่าปลาไทยอร่อยไม่แพ้ที่ไหนเลย

PARI- พื้นที่สังสรรค์ยอดฮิตกลางเมืองเชียงใหม่ที่ต้องบอกก่อนเลยว่า..หากไม่โทรจองโต๊ะก่อนอดกินแน่ เพราะร้านนี้คิวยาวข้ามอาทิตย์! ด้วยความที่เป็นร้านกินดื่มที่ให้ฟีลคล้ายอิซากายะ ภายในแบ่งเป็น 2 โซนคือโซนโต๊ะแบบปกติ และโซนที่นั่งตรงบาร์ สามารถนั่งชมวิธีการรังสรรค์แต่ละเมนูอย่างใกล้ชิด ส่วนอาหารจะเน้นไปที่วัตถุดิบท้องถิ่นของไทยประมาณ 90% นำมาปรุงอย่างเบามือและเรียบง่ายแต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความใส่ใจอย่างพิถีพิถัน เพราะหัวใจสำคัญของร้านคือการดึงเอกลักษณ์ของวัตถุดิบออกมาให้มากที่สุด เมนูเด่ดห้ามพลาด ได้แก่ มะเขือเทศยูจังกับดอกเกลือน่าน มะเขือเทศออร์แกนิกจากฟาร์มยูจังอำเภอแม่ออน จ.เชียงใหม่ สัมผัสกรอบ ฉ่ำน้ำ มีรสหวานนิดๆ เพิ่มรสด้วยดอกเกลือน่านเค็มๆ อร่อยลงตัว ไก่ออร์แกนิกย่างถ่าน ไก่จากแทนคุณออร์แกนิกฟาร์ม เป็นไก่เนื้อนุ่มย่างจนหนังกรอบ กินกับยูซุโคโชเข้ากันได้ดี และ ข้าวผัดข้าวสาลีโรยแฮมยูนนาน เชฟนำข้าวญี่ปุ่นไปผสมกับข้าวสาลีดอยผัดกับซอสรสเค็มหวาน ท็อปด้วยแฮมยูนนานตัดรสกันได้ดี

Earth Ekamai หนึ่งในโครงการที่เต็มไปด้วยร้านอร่อยน่าเช็คอิน วันนี้ทำเอาสายฟู้ดใจละลายอีกแล้วเพราะมีร้านใหม่แกะกล่องมาเปิดชื่อว่า “Rosemary Everyday Brasserie” ร้านอาหารโมเดิร์นทวิสต์ในบรรยากาศแสนสบาย ที่ให้คุณเพลิดเพลินกับอาหารตามช่วงเวลาต่างๆ ทั้งมื้อเช้า บรันช์ และดินเนอร์ เสิร์ฟพร้อมมู้ดแอนด์โทนโปร่งและกว้าง ด้วยแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาจากผนังกระจกใส ไปด้วยกันได้ดีกับพื้นไม้สีน้ำตาลและเฟอร์นิเจอร์โทนสีครีมหนานุ่ม ด้านบนไวบ์จะแตกต่างออกไป เพราะผนังตกแต่งด้วยผนังสีแดงสดร้อนแรง ที่สื่อถึงความฮ็อตของค็อกเทลแก้วโปรดอันตรงดิ่งมาจากบาร์ด้านล่าง แซมกับรูปภาพหลากสไตล์เก๋ไก๋น่าแชะรูปเป็นที่สุด จึงไม่แปลกที่โซนนี้จะป็อปพอๆ กับด้านล่าง เพราะผู้คนนิยมมาจัดไพรเวทปาร์ตี้เรียงคิวกันมาแบบไม่หยุดหย่อน จานแรกเราสั่ง Kale Salad สลัดเคลแสนอร่อยที่ประกอบด้วย ผักเคลมากประโยชน์ คลุกเคล้าน้ำส้มสายชูอิตาเลียน แอปเปิ้ล อัลมอนด์ เข้าคู่ซอสบัตเตอร์นัตรสหวานมัน ต่อด้วย Smoked Norwegian Salmon on Toasted Baguette แซนด์วิชหน้าเปิดชิ้นใหญ่ ที่ให้คุณอิ่มเอมกับขนมปังฝรั่งเศสปิ้งเกรียมๆ ท็อปด้วยครีมชีส สโมกแซลมอนทำเองรสเค็มได้ที่ และคาเวียร์ หลายคนชอบ Rosemary Spice Crab Cake เค้กปูเนื้อแน่นทอดร้อนจี๋ หอมกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ เสิร์ฟพร้อมซอนเคจันโฮมเมด Warm Chicken Pot Pie ซุปเห็ดรสครีมมีผสมไก่เนื้อนุ่ม จับคู่กับแป้งพายชิ้นโตนุ่มนิ่ม หอมกลิ่นเนยสดแท้ Egg Benedict ไข่ดาวน้ำอิ่มเอม ราดซอสฮอลลันเดสรสกลมกล่อม เข้ากันดีกับมัฟฟินสไตล์อังกฤษและเบคอน เสิร์ฟคู่สลัดผัก สายเส้นห้ามพลาด Tagliatelle Beef Cheek Ragu เส้นตัลยาเตลเลความสุกกำลังดี มิ๊กซ์กับซอสรากูสูตรเฉพาะ ที่ได้รสเข้มข้นจากเนื้อบดและซอสมะเขือเทศเข้มข้น Spaghetti Carbonara ซอสคาโบนาร่ารสหอมมัน ผสานกับสปาเก็ตตี้อาเดนเต้ เส้นยาวๆ สาวเพลินๆ กินพร้อมเบคอนชิ้นหนา ถูกใจเด็กอ้วน ของหวานเราแนะนำ Banoffee ฐานล่างเป็นครัมเบิ้ลกรุบกรอบเคล้ากลิ่นเนย ตักกินพร้อมกล้วยสด ซอสคาราเมลรสหวานฉ่ำ ช็อกโกแลต รสตัดด้วยวิปครีมนุ่มปุกปุย S’more Warm Cooking คุกกี้กระทะร้อนเนื้อกรอบนอกนุ่มใน สอดไส้ช็อกโกแลตรสเข้ม และมาร์ชเมลโลว์รสหวาน กินกับไอศกรีมวานิลลาชื่นใจ จิบคู่อิตาเลียนโซดาสีสวยอย่าง Yuzu Honey Comb Soda รสเปรี้ยวอมหวานนี้ได้มาจากน้ำส้มยุซุ และน้ำผึ้ง เติมความซาบซ่าด้วยน้ำโซดาอีกแรง และ Wild Barries & Tea Soda ชาเขียวรสนุ่ม ผสมกับน้ำผลไม้ตระกูลเบอร์รี่สดชื่น ได้รสเปรี้ยวกำลังดี หรือใครเป็นคอกาแฟจะสั่ง Dirty มาลองก็ได้

เชฟเทเบิลนอกจากจะเป็นมื้ออาหารที่เชฟปรุงให้พิเศษแล้ว ยังเหมือนได้ไปกินข้าวบ้านเพื่อนด้วย และนี่เป็นคอนเซปต์ของคุณน็อง-นีลัญชนา และคุณรุจ บูรณฤกษ์ สามีภรรยาเจ้าของบ้านที่เป็นเชฟด้วย ผู้ที่รักการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สะสมถ้วยชาม ของสวยๆ งามๆ จากทุกที่ที่ไป และสะสมเมนูอร่อยนำมาปรุงอย่างสร้างสรรค์ บรรยากาศภายในบ้านก่อนถึงโต๊ะอาหารจึงมีสิ่งละอันพันละน้อยจากประเทศต่างๆ ให้ดูอย่างเพลิดเพลิน และยังมีมุม Nong Closet ที่คุณน็องสะสมเลือกซื้อผ้าพื้นเมืองจากประเทศต่างๆ เช่น ผ้าปาเต๊ะจากมาเลเซีย อินโดนีเซีย ผ้าลวดลายพื้นเมืองของอาฟริกาใต้ โมแซมบิก ที่เจ้าของบ้านดีไซน์เสื้อผ้าเอง หรือถ้าชอบชิ้นไหนคุณน็องจะช่วยดีไซด์ให้ ทุกมุมของบ้านตกแต่งด้วยของเก่า ของใหม่ ของสะสมจากประเทศต่างๆ ที่ไปท่องเที่ยวมา ทั้งขนนก ถ้วยชาม งานไม้ เหมือนพาเราไปท่องเที่ยวก่อนที่จะไปถึงโต๊ะอาหาร  ซึ่งจัดอย่าง Mix & Match มีต้นไม้ดอกไม้ใส่แจกันสวยจัดเรียงไว้ให้ดูสดชื่น ทุกชิ้นมีเรื่องราวที่เจ้าของบ้านเล่าคุยได้อย่างสนุกสนานบนโต๊ะอาหารมีถ้วยชามซึ่งมีทั้งของเก่าของใหม่ที่เจ้าของบ้านสะสม และจานชามเก่าโบราณจากครอบครัวที่เจ้าของบ้านบอกว่าไม่ได้มีไว้โชว์เฉพาะในตู้ แต่สามารถนำมาใส่อาหารเลี้ยงเพื่อนตามแต่เมนูที่เหมาะสม ชุดนี้เป็นอาหารมาเลเซียฟิวชั่นในแนวเปรานากันเพราะคุณรุจเคยทำงานที่มาเลเซียและชื่นชอบเปอรานากันคือกลุ่มลูกครึ่งจีน-มลายูที่มีวัฒนธรรมเฉพาะโดดเด่น ภาชนะและของตกแต่งประดับโต๊ะของมื้อนี้จึงเป็นเปอรานากันที่เจ้าของเล่าเรื่องได้สนุกสนาน อาหารเรียกน้ำย่อยเสิร์ฟมาในปิ่นโตกระเบื้องเปอรานากันสีสันลวดลายสดใส Crispy seaweed, Budu Mayo , Belacan batter ข้าวเกรียบรูปดอกไม้ดิปกับมาโยผสมกับน้ำบูดู ดูแปลกแต่รสเข้ากันอย่างอร่อย และข้อไก่ชุปแป้งที่ผสมผงกะปิของมาเลเซีย กลิ่นหอม รสเข้มนิดๆ อร่อยกินเพลินมาก จานต่อมา Bak Kut Teh ( Kurobuta spare rib, Ipoh soya)  ไป่กุดเต๋สไตล์มาเลเซีย หอมกลิ่นเครื่องยาจีน น้ำซุปรสชาติกลมกล่อมลุ่มลึกเพราะต้องเคี่ยวกระดูกหมูแยกก่อนแล้วจึงต้มกับซี่โครงหมู ซูรสด้วยซีอิ๊วท้องถิ่นจากเมือง Ipoh เค็มหอมกลมกล่อมอร่อยอย่างที่ไม่เคยชิมมาก่อน ตามด้วย Phuket Crab Curry Pasta น้ำยาปูเนื้อปูหวานอร่อย หอมกรุ่นกลิ่นสมุนไพร รสครีมมีนิดๆ เมนูหลัก Tomahawk with Rendang (Dry-aged Angus Tomahawk, stripped shank beef Rendang, coconut rice) แกงเรนดังแกงที่ว่ากันว่าเป็นปฐมบทของแกงมัสมั่น พะแนง ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากอินโดนีเซีย แกงแห้งที่เคี่ยวจนเคลือบเนื้อสัตว์ แต่เมนูทำเป็นแกงราดเนื้อแองกัสนุ่มๆ รสแกงอร่อยเข้มข้นทั้งจากเครื่องแกงและมะพร้าวคั่วที่ใส่รวมไปด้วย กินกับข้าวหุงกะทิ ของหวานปิดท้ายด้วย Gula Melaka Ice Cream with Condiments ไอศกรีจากน้ำตาลมะพร้าวกุลามะละกะของมาเลเซียรสหวานหอม ตักใส่บนลอดช่องกับข้าวพอง ไอศกรีมรสหวานเย็นชื่นใจกับลอดช่องเนื้อนุ่มๆ รสชาติและหน้าตาดูเป็นญาติสนิทกับลอดช่องไทย เชฟเทเบิลบ้านเพื่อนของ Your Licious มื้อนี้เรียกว่าพาเราไปท่องเที่ยวรู้จักเพื่อนบ้านผ่านอาหารในจานผสมผสานได้อย่างอร่อยและน่าประทับใจ

สานฝันให้ชาวสาทรดีใจกันยกใหญ่เพราะ “Al Saray (อัล ซาราย) ร้านอาหารสไตล์เลบานอน – อินเดียรสชาติดีแห่งเครือบางกอกแอร์เวย์ส ได้ขยายสาขาใหม่มาปักหลักที่สาทรซอย 6 เรียบร้อย เอ็นจอยกับจานอร่อยในแบบฉบับเลบานอนและอินเดียรสดั้งเดิมจากฝีมือเชฟมาดี้ หนุ่มชาวเลบานอนไฟแรงมากประสบการณ์การทำอาหาร และเชฟแซม เชฟชาวอินเดียที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์เช่นเคย เพิ่มเติมด้วยบรรยากาศร่มรื่นของสวนสวยเขียวขจี แถมยามเย็นยังมีดนตรีสดให้คุณเพลิดเพลินทุกค่ำคืน เรียกน้ำย่อยด้วย Hummus ถั่วลูกไก่บดเนื้อเนียน รสครีมมีเป็นที่สุด Mutable Batenjan มะเขือยาวเผารสหวานธรรมชาติ ผสมงาบด น้ำเลมอนและน้ำมันมะกอก กินคู่ขนมปังนานโฮมเมดเนื้อเหนียวนุ่ม หรือขนมปังพิต้าร้อนจี๋ Walnut Muhammara รสจัดจ้านที่ทำจากพริก วอลนัต เกล็ดขนมปัง น้ำมันมะกอก เติมรสเปรี้ยวสดชื่นด้วยน้ำเลมอน ตามด้วย Lentil Salad สลัดถั่วเลนทิลกินง่าย ออนท็อปด้วยส้มโอรสหวานอมเปรี้ยว ฟักทอง และทับทิม Fattouch สลัดผักตามฤดูกาล ที่โดดเด่นด้วยรสเปรี้ยวชื่นใจของน้ำเลมอน เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี ตามด้วย Burrata Salad สลัดมะเขือเทศรสเปรี้ยวกลมกล่อม คลุกเคล้ากับขนมปังกรอบและน้ำมันมะกอก กินกับเนยแข็งสไตล์อิตาเลียนลูกโต ต่อด้วย Cherry Kebab เคบับที่ทำจากแกะเนื้อแน่น และเชอร์รี่รสหอมหวาน Octopus Provencal สตูปลาหมึกสไตล์โพรวองซ์เนื้อนุ่มหนึบ รสจัดจ้าน เพิ่มความเปรี้ยวเล็กน้อยด้วยเลมอนซีก หลายคนชอบ Batata Harra จานอร่อยสไตล์เลบานอน มันฝรั่งอบเนื้อแน่น มิ๊กซ์กับพริกแดง ผักชี กระเทียม และน้ำมันมะกอก Manti เกี๊ยวโฮมเมดสไตล์ตุรกีกินเพลินๆ เข้าคู่ซอสมะเขือเทศรสเปรี้ยวพอเหมาะ และซอสโยเกิร์ตรสเข้มข้น ก่อนตามด้วยจานหลักอย่าง Lamb Ouzi ข้าวหน้าแกะสไตล์อาหรับชามโต ที่ให้คุณอร่อยกับข้าวผัดสมุนไพรหอมฟุ้ง ท็อปด้วยเนื้อแกะสัมผัสนุ่มนวลแทบละลายในปาก ก่อนกินราดน้ำซอสสูตรลับรสเค็มกลมกล่อมเพิ่มเข้าไป Grilled Fish เชฟใช้ปลากระพงตัวใหญ่เนื้อสดแน่น ราดซอสสูตรเฉพาะที่โดดเด่นด้วยรสเปรี้ยวจากมะเขือเทศ ยังมี Butter Chicken ไก่เนื้อแน่น มิ๊กซ์กับซอสรสเผ็ดได้ที่ ผสมกับความครีมมีของเนย จานนี้เพื่อชาววีแกนโดยเฉพาะ Bhindi Masala กระเจี๊ยบผัดมัสล่ารสเข้มข้น ที่ได้จากกระเจี๊ยบเขียว หอมหัวใหญ่ มะเขือเทศ พริกหยวก และผงมัสล่า กินคู่ Biryani Rice ข้าวหมกสไตล์อินเดีย ปิดท้ายด้วยของหวานน่าลิ้มลองอย่าง Othmaliyeh bil Ashta แป้งโคนาฟากรุบกรอบ สลับชั้นกับครีมรสหอมมัน เพิ่มความเคี้ยวเพลินด้วยพิตตาชิโอ ก่อนเสิร์ฟราดด้วยน้ำเชื่อมดอกไม้รสหวานฉ่ำ ขาดไม่ได้กับ Baklava บาคลาวา ขนมหวานเลื่องชื่อของประเทศตุรกี ที่เปี่ยมไปด้วยรสชาติครีมมีของถั่วเปลือกแข็งและรสหวานจากน้ำผึ้ง Mouhalabieh พุดดิงนมสไตล์อาหรับเนื้อเด้งดึ๋ง หอมกลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์ จิบคู่ Lemon Mint รสเปรี้ยวละมุนโดนใจ