ขึ้นชื่อว่าสายเกาตัวจริงต้องไม่พลาด Gamsa aree ร้านปิ้งย่างเกาหลีระดับพรีเมียมที่เพิ่งเปิดใหม่ในซอยอารีย์ ความปังของร้านคือเลือกใช้แต่วัตถุดิบพรีเมียม คัดจากแหล่งที่ดีที่สุดนำมาครีเอทเป็นเมนูสไตล์ปูซานที่รสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทย โดยเชฟหนุ่มชาวปูซานที่หลายคนติดใจในฝีมือจากร้าน Joha มาแล้ว         เชฟอยากให้คนไทยได้กินอาหารเกาหลีแท้ๆ ในบรรยากาศที่ล้อไปด้วยกัน ในร้านจึงแบ่งโซนด้วยผนังอิฐที่ดูราวกับกำแพงวังในซีรีส์ซากึกเรื่องโปรด ถ้าในครัวไม่ยุ่งเกินไปเราอาจได้กินเนื้อย่างหอมๆ ที่เชฟเดินมาย่างให้ถึงโต๊ะก็เป็นได้       จานแรกแนะนำ สลัดมะเขือเทศ มะเขือเทศดองทั้งลูกด้วยสูตรลับ ดรอปด้วยน้ำมันมะกอก วางบนริคอตต้าชีสและซอสเพสโตที่ปรุงเองทุกขั้นตอน     ฮอตฮิตติดลมบนต้องจานนี้ ปูดองซีอิ๊วเกาหลี ปูใหญ่เนื้อเยอะดองในซอสรสเค็มหวานกลมกล่อม เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดและสาหร่ายแผ่น     พิซซ่าเกาหลีทะเล พิซซ่าหน้าซีฟู้ดและใบกุยช่าย มีน้ำจิ้มพิซซ่าให้เพิ่มระดับความเข้มข้น เชฟทำแบบแผ่นบาง ทำให้กินได้เรื่อยๆ ไม่หนักท้อง กุยช่ายยังดีต่อสุขภาพ กินอร่อยและไม่ต้องห่วงเรื่องรอบเอว     ข้าวยำไข่ปลา ข้าวปรุงรสท็อปด้วยหัวไชเท้าดอง กิมจิผัด รากผักเกาหลี ต้นหอมซอย  และไข่ปลา ก่อนกินคลุกเคล้าให้เข้ากัน รสเค็มๆ มันๆ ได้ความกรุบจากไข่ปลา     คนกินเส้นห้ามพลาด บะหมี่เย็นเกาหลี ทีเด็ดอยู่ที่เส้นบะหมี่นุ่มเหนียว เคี้ยวลื่นคอ ด้านบนวางเนื้อสไลซ์ชิ้นใหญ่และไข่ต้ม เสิร์ฟพร้อมวินิก้าและมัสตาร์ด ให้เพิ่มรสเปรี้ยวเผ็ดตามชอบ     หมูสามชั้นขนาด 350 กรัม เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง ได้แก่ กิมจิผักกาดขาวหั่นชิ้น กิมจิต้นหอม กิมจิหัวไชเท้าดอง กิมจิสด และใบกระเทียมดอง จะกินเมนูนี้ให้อร่อยต้องกินแบบซัม เริ่มจากหยิบผักที่มีให้เลือกทั้งผักกาดหอม ใบงา ผักเคล จากนั้นคีบหมูย่างวาง ตามด้วยซอสที่มีให้เลือกถึง 5 ชนิด วันนี้เราพกแต้มบุญมาด้วยเพราะมีเชฟมาช่วยย่างหมูให้ เพิ่มความสุขในการละเลียดอาหารอีกเท่าตัว         อย่าลืม ชิกคเย เครื่องดื่มทำจากข้าว รสชาติหวานละมุน กลิ่นหอม คนเกาหลีนิยมดื่มเป็นของหวานปิดท้ายมื้อได้อย่างลงตัว     ฟีลเกาหลีที่แท้ต้องครบทั้งรสชาติ บรรยากาศ และโอปป้าแบบนี้แหละ

เป็นร้านที่มีแฟนประจำหนาแน่นจริงๆ สำหรับยอดลาบเป็ดอุดร ร้านอาหารอีสานแห่งพระราม 9 ซอย 49 ของคุณพ่อยอดยิ่งที่เปิดมานาน 34 ปีแล้ว โดยยกสุดยอดเมนูขึ้นชื่อจากจังหวัดอุดรธานีอย่าง “ลาบเป็ด” มาให้กินกันถึงกรุงเทพ       ความพิเศษของเมนูลาบเป็ดอุดรคือรสเค็มนำแต่กลมกล่อม ไม่เปรี้ยวนำเหมือนลาบของจังหวัดอื่น วิธีสับเนื้อเป็ดก็ต้องสับให้มีชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ไม่ละเอียดมากให้เคี้ยวสนุก เสิร์ฟพร้อมกระเทียมโทนดองและผักแนม     นอกจากนี้ที่ร้านยังมีเมนูขายดีอย่างไก่ย่างหนังกรอบ เนื้อไก่หมักเครื่องสูตรลับจนเข้าเนื้อ ย่างด้วยเตาถ่านให้หนังกรอบกินกับน้ำจิ้มแจ่วเด็ดนัก (ทีร้านมีน้ำจิ้มแจ่วแมงดาด้วย ใครชอบอย่าลืมถามหา) ส่วนส้มตำหอยดองก็ห้ามพลาดครบรสเปรี้ยวเผ็ดเค็ม แถมหอยดองที่ใช้ก็ตัวอวบถูกใจ       ต่อด้วยแกงอ่อมปลาคังร้อนๆ ที่ซดนำแกงแล้วตาสว่าง เข้ากับเนื้อปลานุ่มและแน่น ปิดท้ายด้วยไส้กรอกอีสานสูตรหนองคายสักไม้สองไม้ นอกจากรสชาติจะพอดี ไม่เปรี้ยวเกินไปแล้ว       ยังปลอดภัยไร้สารอีกด้วย

ฟู้ดดี้คนไหนแวะเวียนมาแถวม.ธรรมศาสตร์ รังสิต ให้ลองไปเช็คอินที่ Khaw Café (ขาว คาเฟ่)  ร้านอาหารรสเด็ดหลากสไตล์ที่อยู่ใต้ตึก Common TU ที่ตั้งตามชื่อของ ‘ขาว’ น้องเหมียวสีดำของคุณปอนด์เจ้าของร้าน ซึ่งเสิร์ฟเมนูรสชาติดีหลากหลายอย่าง ทั้งอาหารไทย อาหารนานาชาติ ขนมหวาน เบเกอรี่ และเครื่องดื่ม พร้อมให้คุณเอ็นจอยไปกับบรรยากาศสบายๆ ผนังสีขาวสะอาดแซมด้วยต้นไม้แขวนนานาพันธุ์แลดูมีชีวิตชีวา           ตามชั้นถูกวางด้วยพืชพันธุ์ต้นเล็กๆ น่ารัก เข้ากันดีกับโต๊ะลายหินอ่อนหรูหรา และโซฟาสีสันสดใส นั่งชิลไปก็เหลือบไปเห็นถุงเมล็ดกาแฟสีแดงเด่นของ Segafredo Zanetti (เซกาเฟรโด ซาเนตติ) คอฟฟี่สัญชาติอิตาลี แบรนด์โปรดของใครหลายคนนี่นา ตอนนี้เห็นว่าเขามีกาแฟพร้อมดื่ม 2 รสชาติ ได้แก่ อเมริกาโน่ และลาเต้ด้วยนะ น่าลิ้มลองเป็นอย่างยิ่ง     ท้องร้องเต็มที่แล้วก็เริ่มตะลุยชิมกันดีกว่า เบบี้โปเตโต้ฟราย มันฝรั่งคุณภาพเนื้อแน่น คลุกเคล้ากับสมุนไพรหอมๆ ได้ความเผ็ดเล็กๆ จากพริกปาปริก้า คุ้กอย่างดี เสิร์ฟพร้อมซอสชีสสไตล์โฮมเมดรสหอมมัน     ชามนี้อร่อยเหอะ ซุปทรัฟเฟิล ได้รสครีมมีเข้มข้นของครีมชั้นดี หอมกลิ่นทรัฟเฟิลมากมาย กินคู่กับขนมปังกระเทียมเนื้อนุ่ม     สั่ง พาสต้าคาโบนาราเบคอน มาสาวเส้นเพลินๆ ดีกว่า เส้นพาสต้าสดเนื้อนุ่มหนึบ กินอร่อย คลุกเคล้ากับซอสคาโบนารารสเข้มข้น ไม่เลี่ยนแต่อย่างได้ ได้รสเค็มกลมกล่อมจากเบคอนที่เรารัก ท็อปด้วยเบคอนทอดกรุบกรอบ     ลองอาหารไทยสักเมนูดีกว่า ข้าวกระเพราแซลมอน ก็ฟังดูดี สเต็กแซลมอนคุณภาพ เนื้อกรอบนอกฉ่ำใน ไปด้วยกันได้ดีกับซอสกระเพรารสเผ็ดร้อน เค็มละมุน เข้าคู่ไปกับไข่เจียวอิ่มเอม     กุ้งสะดุ้งผัดพริกไข่นุ่ม เป็นการรวมตัวกันระหว่างกุ้งเนื้อเด้ง ผัดพริกขี้หนูสวนรสเผ็ดร้อน หอมกลิ่นกระเทียม เข้าปากพร้อมไข่ข้นฟินๆ     ของหวานต้องนี่ ไอศกรีมมิกซ์เบอร์รี ไอศกรีมสไตล์โฮมเมดรสมิกซ์เบอร์รี มีเนื้อเบอร์รีต่างๆ ใส่ลงมาด้วย รสเปรี้ยวอมหวานชื่นใจ     จบด้วยเครื่องดื่มขายดีอย่าง Orange Coffee เอสเปรสโซ่รสเข้มจากบอนกาแฟ มิ๊กซ์ไปกับน้ำส้มสดชื่น และน้ำโซดาซาบซ่า จิบคลายร้อนได้ดี  

ได้ข่าวมาสักพักแล้วว่า Chester's Grill ร้านไก่ทอดที่เราคุ้นเคยกว่า 30 ปี รีแบรนด์เป็น Chester’s Fast Café ร้านอาหารฟิวชั่นสไตล์ไทยญี่ปุ่น ที่มีคอนเซ็ปต์ดีๆ ว่า “Good Food Good Mood” ให้คุณเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศสไตล์คาเฟ่ญี่ปุ่น ไม้สีน้ำตาลอ่อนช่วยสร้างมู้ดแอนด์โทนให้ผ่อนคลาย ด้านในมีโซนที่เรียกว่า Power Pause Area เป็นมุมสีเขียวสบายตา ตกแต่งด้วยต้นไม้สร้างความสดชื่น สามารถแชะรูปสวยๆ ลงโซเชียลรัวๆ       เคล้าไปกับเสียงเพลงสบายๆ เพราะๆ เหมาะกับการหม่ำอาหารสไตล์ฟิวชั่น ที่ผสมผสานระหว่างอาหารไทยรสชาติเด็ดดวง เข้มข้นชัดเจน ผ่านกรรมวิธีละเมียดละไมและพิถีพิถันในแบบฉบับของประเทศญี่ปุ่น ปรุงโดยฝีมือเชฟเทพๆ ที่มีประสบการณ์ระดับร้านมิชลิน มาครีเอทเมนูรสชาติดีที่เสิร์ฟอย่างรวดเร็วตามแบบฉบับร้านเชสเตอร์ กริลล์เช่นเคย ใครอยากมาตามรอยความอร่อยก็แวะมาที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว บริเวณชั้น G ได้เลย       ต้อนรับด้วยของกินเล่นที่ได้ใจทุกคน เฟรนช์ฟรายส์ชีส มันฝรั่งแท่งที่หลายคนเลิฟ โรยผงชีสหอมมัน ดับเบิ้ลความครีมมีด้วยซอสชีสอีกที     ขอลอง ไก่กริลล์หนังกรอบ เมนูซิกเนเจอร์ก่อนเลย ไก่เนื้อแน่น ทางร้านทอดมาอย่างดี สุกพอเหมาะ เนื้อฉ่ำใน หนังกรอบถูกใจเรามาก ได้รสเผ็ดเล็กๆ กินคู่กับซอสเบอร์เบิลสูตรพิเศษ รสหวานละมุน โรยด้วยหอมเจียวมากมาย     ต่อกันที่ ข้าวไก่ย่างหนังกรอบมัสมั่นเคอร์รี่ ดูภายนอกก็แสนจะอิ่มเอม สะโพกไก่ชิ้นโตๆ กรอบนอกนุ่มใน ตักกินพร้อมซอสมัสมั่นรสเข้มข้น     ยังไม่อิ่มสั่ง  ข้าวไก่ย่างหนังกรอบ  สูตรเด็ดสไตล์เชสเตอร์ สะโพกไก่เนื้อแน่นกินอร่อย ได้รสเผ็ดที่เรารัก ตักเข้าปากพร้อมข้าวสวย ราดซอสสวีตโชยุรสกลมกล่อม ยังมีไข่ออนเซนละมุน  ซุปมิโซะต้มยำรสเปรี้ยว สลัดผักกรุบกรอบ     ล้างปากด้วยของหวานอย่าง สตรอว์เบอร์รี โมจิวาฟเฟิล วาฟเฟิลสไตล์โฮมเมด แป้งนุ่มๆ กินร้อนๆ อร่อย ภายในสอดไส้โมจิหนึบๆ เข้ากันดีกับซอสสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน และแอปเปิ้ลสด  

The White House ในที่นี้ไม่ใช่ทำเนียบขาว แต่เป็นบ้านสีขาวที่ตั้งอยู่ใน ซ.สุขุมวิท 16 ซึ่งเบื้องหน้านั้นต้อนรับด้วยฝั่งของคาเฟ่ และอีกฝั่งหนึ่งก็เป็นห้องครัวที่มองทะลุกระจกใสเข้าไปได้ โดยมีช็อกโกแลตเรียงรายอวดโฉมน่าลิ้มลองอยู่เต็มไปหมด     ช็อกโกแลตเป็นของหวานทีเด็ดของร้าน แต่ก่อนที่เราจะได้พิสูจน์ ต้องผ่านเมนูอาหารแบบโมเดิร์นลัตเวียนของที่นี่ไปเสียก่อน เชฟ Aleksandrs Nasikailovs ผู้มีประสบการณ์จาก Vincent Restaurant ในริกา เมืองหลวงของลัตเวีย ได้เริ่มต้นการเดินทางในแวดวงร้านอาหารในประเทศไทยที่ร้าน Baltic Blunos มาร่วม 2 ปีเต็ม ที่นี่ The White House คือร้านอาหารในประเทศไทยที่เขาริเริ่มและลงมือรังสรรค์ในทุกจานอาหารออกมาอย่างโลดโผนและน่าตื่นตาตื่นใจในทุก ๆ การนำเสนอ โดยจับมือกับหัวหน้าบาร์เทนเดอร์ชาวญี่ปุ่น Kei Sawada มาร่วมกับสร้างค็อกเทลจากวัตถุดิบโฮมเมด (เป็นส่วนใหญ่!) เพื่อจับคู่เข้ากับอาหารแต่ละจานได้อย่างสมบูรณ์แบบ       แม้จะบอกว่าอาหารของ The White House เป็นอาหารสไตล์โมเดิร์นลัตเวียน แต่จริง ๆ แล้วในแต่ละจานก็ผสมผสานเทคนิคการทำอาหารยุโรปไว้อย่างหลากหลาย อาจจะเรียกว่าเป็นการสร้างสรรค์ที่ไร้กรอบจำกัดอย่างแท้จริง และมีทั้งอาหารแบบจานเดียวและแบบเมนูคอร์ส เพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่เต็มอิ่มที่สุด แน่นอนว่าเมนูคอร์สพร้อมค็อกเทลแพร์ริ่งคือตัวเลือกชั้นยอด       ก่อนจะเริ่มมื้ออาหารต้นไม้ต้นจิ๋วมาพร้อมใบไม้หลากสีสันที่งดงามด้วยโครงร่างลายเส้นก็ยกมาเสิร์ฟก่อนให้วอร์มการเคี้ยวก่อนเพลิน ๆ แต่ละสีก็มีรสชาติที่ต่างกัน เช่น สีดำจากสีของหมึกดำจากปลาหมึก สีเหลืองจากพริก และสีแดงจากบีทรูท     เริ่มต้นคอร์สด้วยเมนูชิ้นพอดีคำ ที่ขนมา 4 อย่างในคราวเดียว จัดมาทั้งหอย ปู ปลา ประกอบไปด้วย Blue Crab Doughnuts, Pickled Cucumber โดนัททรงกลมอัดแน่นด้วยเนื้อปู เสิร์ฟมาบนกระดองปู ถัดมาคือ Beetroot Cracker, Salmon Mousse, Salmon Roe แครกเกอร์สีแดงจากบีทรูต ทำเป็นรูปทรงแผนที่ประเทศลัตเวีย ท็อปด้วยไข่ปลาแซลมอน รองมาด้วยธงชาติของลัตเวียสีแดงเข้มมีขีดขาวตรงกลาง ต่อด้วย Iberico Secreto Rillette, Wheat Pillow, Chipotle Sauce มาในกระบอกไม้ ภายในอัดแน่นด้วยผักสีเขียว วางทับมาด้วยหมอนสีดำกินได้ เสริมรสชาติด้วยซอสเผ็ดชิโปตเล สุดท้ายคือ Black Mussels, Smoked Mussel Sauce, Seaweed ที่รูปร่างหน้าตาอลังการด้วยเปลือกหอยแมลงภู่จัดเรียงมาราวกับประติมากรรม     เมนูต่อมา White House Sourdough Bread, Birch Husk ขนมปังซาร์วโดสูตรเฉพาะของร้านเนื้อเหนียวหนึบ เสิร์ฟมาพร้อมกับเนยเกลือทะเล และมันหมูผสมหัวหอมกรอบ  โดยทั้งเมนูเริ่มต้นทั้ง 4 รวมถึงขนมปังนี้จับคู่กับค็อกเทล Japanese Shochu Shiso Mojito     ถัดมาคือ Gillardeau Oyster เสิร์ฟมาในลูกบอลทรงกลม ที่จะค่อย ๆ ละลายแล้วปรากฏเป็นหอยนางรมอยู่กลางดอกไม้สีสันสดใส จานนี้เลือกใช้หอยนางรมจากฝรั่งเศส เพิ่มรสชาติด้วยโฮมเมดราสป์เบอร์รี่วินิเกรตต์ ฟิงเกอร์ไลม์ (มะนาวนิ้วมือ) และไข่มุกโยเกิร์ต วางมาบนเปลือกหอยกินได้ที่เสมือนจริงสุด ๆ แพร์ริ่งกับค็อกเทล Adonis Spritzer ที่ช่วยดึงรสชาติของหอยนางรมให้อบอวลในปากอีกครั้ง     Grilled Mackerel เป็นจานต่อมาที่โดดเด่นไม่แพ้กัน ด้วยปลาแมคเคอเรลจากทะเลอันดามันเอจด์จนได้รสชาติของเนื้อปลาที่เข้มข้นชัดเจน เสริมอรรถรสด้วยมูสแมคเคอเรลรมควันและเจลทำจากซีบัคธอร์น โดยมีค็อกเทล Black Lamon+Wasabi Fizz ที่ได้รสเผ็ดขึ้นจมูกนิด ๆ จากวาซาบิมาเสริมรสชาติ     กลับมาที่เมนูหอยอีกรอบกับ Hand-dive deep-sea Scallops ที่ใช้หอยเชลล์จากประเทศญี่ปุ่น ให้รสชาติที่กลมกล่อมมากขึ้นด้วยซอสฮอลันเดส โฟมทะเล และสเตอร์เจียนคาเวียร์ ที่ขอแนะนำว่ากินเนื้อแล้วให้ยกเปลือกหอยซดน้ำซุปที่เหลือตามให้หมด แล้วตามด้วยค็อกเทล Yuzu Pepper+Japanese Lime “CABOS” Fizz     ต่อมาเป็นเมนูที่มีชื่อว่า Duck Liver Tortellini พาสตาทอร์เทลลินี สอดไส้ตับเป็ดและเห็ดแตรสีดำ ความพิเศษของจานนี้คือต้องเหยาะไซรัปที่ได้จากต้นเบิร์ช ซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าขึ้นชื่อของลัตเวียลงไปด้วย แพร์ริ่งกับค็อกเทล Blue Cheese Sake Moscato ที่ให้กลิ่นเอกลักษณ์ของบลูชีส     One-Eyed-Fish เป็นอีกหนึ่งจานที่เชฟเลือกใช้วัตถุดิบจากแหล่งในประเทศไทย ปลาชิ้นหนาราดด้วยซอสจากไข่ปลาลัมป์ฟิช เคียงมากับหอยแมลงภู่ หน่อไม้น้ำ และดอกกะหล่ำ โดยมี Snow Crab Bloody Mary มาจิบเคียงคู่กัน     ปิดท้ายด้วยเมนคอร์ส กับเมนู Roasted Wild Rabbit โดยในหนึ่งจานนี้ประกอบไปด้วยส่วนขา ส่วนซี่โครง และเนื้อของกระต่ายทั้งหมด เสริมรสชาติด้วยซอสมาร์ซาลาและเห็ดแตรสีดำ จับคู่มากับ Fake Carrot แป้งห่อที่รูปทรงเหมือนแครอท ด้านในสอดไส้ไปด้วยเนื้อกระต่าย สลับกับจิบค็อกเทลที่มาคู่กันอย่าง The Grape Cocktail     สำหรับของหวานนั้นก็คงความอลังการและความสร้างสรรค์ไร้ขีดจำกัดไว้ไม่ต่างจากของคาวทุกจานก่อนหน้าที่ผ่านมาในชื่อว่า Snowball เป็นเกล็ดน้ำแข็งสีชมพูรสแก้วมังกรกรานิต้า ท็อปด้วยไอศกรีมและโฟม ด้านล่างสุดคือพีนัตบัตเตอร์ที่กินแล้วสดชื่นแถมยังเข้ากันได้เป็นอย่างดี     จากนั้นก็ได้เวลาเลือกช็อกโกแลตที่เป็นไฮไลต์ประจำร้าน มาในรถเข็นไม้ที่แกะสลักลวดลายที่มีความหมายสำหรับชาวลัตเวีย ในรถเข็นนี้มีช็อกโกแลตหลากหลายรสชาติ มีทั้งรสชาติคลาสสิคอย่างเช่น กาแฟ แมคคาเดเมีย เชอร์รี่ และน้ำผึ้ง ไปจนถึงรสชาติแปลกใหม่ เช่น ต้มข่า วาซาบิ พริก มังคุด และนมแพะ เป็นต้น โดยมีค็อกเทลที่มาเสริมรสชาติให้กันและกัน ได้แก่ Café Apricot และ Maccha Tropicana ที่ปิดท้ายมื้ออาหารได้อย่างน่าประทับใจ     **เมนูต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบในแต่ละฤดูกาล

เหมือนยกประเทศฮ่องกงมาไว้ที่ใจกลางสุขุมวิท สำหรับ Wah! Char Siu (วา ซา ซิว) ร้านอาหารฮ่องกงรสชาติต้นตำรับ โดยตั้งใจนำเสนอเมนู หมูแดงชาซิว และหมูกรอบซิวหยก ให้ทุกคนได้ลิ้มลองความอร่อย ด้วยสูตรลับเฉพาะของร้านที่มีมายาวนานกว่า 40 ปี       ตัวร้านโดดเด่นด้วยการเลือกใช้โทนสีจัดจ้าน เขียว-แดง และมีการเพ้นท์ผนังร้านเป็นรูปรถรางที่บอกเล่าวิถีชีวิตของคนฮ่องกงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สามารถถ่ายรูปกันได้อย่างเพลิดเพลิน       ทุกเมนูรังสรรค์ขึ้นจากวัตถุดิบคุณภาพดี ที่นำเข้าจากฮ่องกงเกือบ 100% เริ่มด้วยเมนูซิกเนเจอร์ ซิวหยก หมูกรอบสูตรฮ่องกงแท้ๆ ที่พิถีพิถันในการหมัก หมักทิ้งไว้ 1 คืน ก่อนนำไปอบจนหนังกรอบฟู พร้อมเนื้อนุ่มหนึบ จิ้มกินกับซอสมัสตาร์ด อร่อยเพลินลิ้น     ตามด้วย ชาซิวกระทะร้อน หมูแดงจากส่วนต้นของสันคอ โดยหมักทิ้งไว้ 2 คืน ด้วยซอสสูตรพิเศษที่มีน้ำผึ้งเป็นส่วนผสมหลัก แล้วนำไปย่างบนเตาถ่านด้วยไฟอ่อนให้เนื้อมีความเกรียมคล้ายหมูย่าง ได้ทั้งความฉ่ำ นุ่ม และหอมกลิ่นเตาถ่าน จัดเสิร์ฟมาในจานเหล็กแบบร้อนฉ่า และราดซอสซอสหมูแดงซ้ำอีกครั้ง เพิ่มความกลมกล่อม     ถัดมาเป็นเมนู เคราหยก หมูสามชั้นที่ผ่านการตุ๋นด้วยซอสเข้มข้น จนได้เนื้อหมูเปื่อยนุ่มชุ่มลิ้น เสิร์ฟพร้อมข้าว 1 ถ้วย โดยที่ร้านจะให้เราเลือกว่าจะรับเป็นข้าวสวย ข้าวผัด หรือข้าวคลุกผัก อย่างใดอย่างหนึ่ง     อีกเมนูไฮไลท์ ได้แก่ บะหมี่ฮ่องกง 2 สไตล์ เมนูที่รวมหมูแดงชาซิวและหมูกรอบซิวหยกไว้ในชามเดียวกัน กินคู่ไปกับเส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม เสริมรสด้วยน้ำจิ้มหม่าล่า รสออริจินอลจากฮ่องกง เผ็ดชาลิ้น และมีซุปปลาร้อนๆ ให้ซดคล่องคอ     เพิ่มความหนักท้องกับเมนูอาหารจานเดียวอย่าง ข้าวผัดไข่เงินไข่ทองและชาซิวย่างถ่าน ข้าวร่วนกำลังดีผัดเคล้ากับหมูแดงชาซิว และไข่ รสนัวกลมกล่อม สี่-โป๋ว-ฟ่าน ข้าวหน้าถ่านย่างชาซิว ชาซิวโทโร่ กุนเชียง และไข่เค็ม วางเคียงด้วยผักกวางตุ้งฮ่องเต้ วัตถุดิบทั้งหมดในชามนี้ผสานกันได้อย่างลงตัว รับรสหวาน เค็ม มันในคราวเดียว ข้าวซาซิวโทโร่ย่างถ่าน หมูแดงเนื้อเด้งนุ่มลิ้นจากเนื้อส่วนสามชั้น ย่างถ่านตามแบบฉบับฮ่องกง ให้ผิวด้านนอกเกรียมและนุ่มได้ที่ กินคู่กับน้ำจิ้มสูตรฮ่องกงรสเข้มข้น หรือไม่จิ้มเลยก็ยังอร่อย         สำหรับใครไม่ใช่สายเนื้อ แต่เน้นทานผัก ที่ร้านยังมีเมนู ผักบุ้งราดซอสเต้าหู้ยี้ ผักบุ้งเคี้ยวกรุบ ๆ รสเค็มหวานหอมกลิ่นของเต้าหู้ยี้ และผักกว้างตุ้งราดน้ำมันหอย ให้ลิ้มลองกันอีกด้วย         แค่ได้ลองชิม ก็เหมือนนั่งเครื่องบินไปฮ่องกงแล้ว

ขอต้อนรับสู่สวรรค์ของคนรักช็อกโกแลต โคโค่ เอ็กซ์โอ (COCOA XO) รูฟท็อปบาร์แห่งใหม่ชั้น 57 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ฯ เซ็นทรัลเวิลด์ที่ร่วมกับ Martell Cognac เนรมิตถ้ำช็อกโกแลตที่แรกและที่เดียวในไทยในคอนเซ็ปต์ Sky-High Cognac and Chocolate       เมื่อมุดถ้ำเข้าไปด้านในเราจะได้เจอกับดินแดนช็อกโกแลตรสชาติแปลกใหม่ อาทิ Cognac Truffle ช็อกโกแลตทรงกลมคล้ายทรัฟเฟิลสอดไส้คอนยัค กัดแล้วจะเจอกับเนื้อสัมผัสหนึบหนับ อีกชิ้นน่าลองคือ Dark Chardon ซ่อนไส้ฉ่ำๆ ไว้ด้านใน นอกจากนี้ยังมีไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟรส Dark Chocolate ที่มีคอนยัคเป็นส่วนผสมด้วย       ใครไม่ปลื้มแอลกอฮอล์ แนะนำ Duchess Bar ได้ความมันจากพิสตาชิโอและกลิ่นหอมอ่อนๆ จากส้ม และรสที่โดดเด่นด้วยผลไม้อย่าง Apricot Praline, Strawberry Chocolate รวมถึง Macadamia Milk Chocolate, Crunchy Granola Yoghurt Chocolate และ Popping Almond Dark Chocolate ที่กินเพลินไม่แพ้กัน         ชมถ้ำช็อกโกแลตจนหนำใจแล้ว ถึงเวลาออกมาชมวิวพระอาทิตย์ตกด้านนอก พร้อมจิบค็อกเทลซิกเนเจอร์อย่าง Cocoa XO และ More Than A Tea ที่มีช็อกโกแลตเป็นส่วนประกอบ หรือจะลอง Je T’Aime ก็เก๋ไก๋ตรงที่สามารถนำรูปไปพิมพ์บนโฟมนุ่มๆ ได้ตามใจ         ปิดท้ายด้วยเมนูที่หนักท้องขึ้นอีกนิดอย่าง Crackling Pork Belly หมูกรอบเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม 3 แบบทั้งซอสโชยุ น้ำจิ้มบ๊วย และมัสตาร์ด Hitachi Wagyu Beef Skewer เนื้อวากิวย่างนุ่มหอม และเมนูอื่นที่รออยู่อีกมากมาย         เป็นประสบการณ์ที่คนรักช็อกโกแลตไม่ควรพลาด

‘กุ๊กช็อป’ วัฒนธรรมการกินที่มีประวัติยาวนาน Since สมัยรัชกาลที่ 4 เชฟชาวจีนรังสรรค์อาหารตะวันตกโดยใช้วัตถุดิบที่พอหาได้ในบ้านเรา จนเกิดเมนูอร่อยอันเป็นการรวมตัวกันของอาหารไทย จีน ฝรั่งเข้าไว้ด้วยกัน ผสานไปกับวัตถุดิบและกรรมวิธีสมัยใหม่ นี่แหละคือคอนเซ็ปต์เก๋ไก๋ของ “ANG MORR” ร้านอาหารจีนลูกครึ่งฝรั่ง ที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 38 (Bts ทองหล่อ) เจ้าของคือ คุณยูกิ ศรีกาญจนา เจ้าของร้านอร่อยมากมาย อาทิ นารา ไทย คูซีน และโค ลิมิเต็ด เป็นต้น         อั้งม้อ เป็นคำที่ชาวจีนใช้เรียกฝรั่งหัวแดง ถูกนำมาใช้เป็นชื่อร้านเพื่อบ่งบอกถึงเมนูกุ๊กช็อปสมัยใหม่รสชาติดี เคล้าไปกับบรรยากาศสไตล์ Casual Dining แสนผ่อนคลาย บ้านสีขาวที่รายล้อมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ เมื่อผลักประตูเข้าไปจะเจอกับผนังสีเขียวแก่ตัดด้วยสีชมพูหวานของดอกโบตั๋น ด้านหลังเป็นสวนสวยร่มรื่นให้อารมณ์เหมือนกินข้าวในสวนหลังบ้าน หากแขกเยอะไม่ต้องกลัวเพราะชั้นบนก็ขึ้นไปเอ็นจอยอีตติ้ง แชะรูปรัวๆ ได้อย่างสบายๆ         ขอเปิดด้วยเมนูสุดคิวท์อย่าง Har Gow Truffle ปลาทองตัวอวบอ้วนน่ารักนี้คือ ฮะเก๋าไส้กุ้งเนื้อหวาน ผสานไปกับครีมเห็ดทรัฟเฟิลกลิ่นหอม มีรสครีมมีเล็กๆ ไม่เลี่ยนแต่อย่างใด ใครอยากลองชิมจานนี้ต้องสั่งล่วงหน้านะ     ยังคงอยู่ในช่วงของติ่มซำ ลองมาชิม Foie Gras Shui Mai ขนมจีบที่เรารัก ภายในเป็นเนื้อเป็ดแน่นๆ ท็อปด้วยตับห่านเลอค่า กินคู่กับ จิ๊กโฉ่วหรือซอส XO ก็รสชาติดี     Ang Morr’ bread ขนมปังสไตล์โฮมเมดเนื้อนุ่มฟู อบสดใหม่วันต่อวัน เสิร์ฟพร้อมเนยเค็ม Cook-Shop Steak Salad เนื้อสันคุณภาพ ทอดอย่างพิถีพิถัน ไม่อมน้ำมันแต่อย่างใด กินพร้อมผักสดกรุบกรอบต่างๆ อาทิ มะเขือเทศ ผักกาดแก้ว แตงกวา และหอมหัวใหญ่ ราดน้ำสลัดรสเปรี้ยวพอดี หอมกลิ่นน้ำมันงา       ใครอยากซดน้ำซุปร้อนๆ เราแนะนำ Ox-tail Consomme ซุปหางวัวรสต้นตำรับ รสนุ่มนวลนี้ผ่านการเคี่ยวนานกว่า 6 ชั่วโมง พร้อมเพลิดเพลินไปกับเส้นมักกะโรนีอิ่มเอมอีกด้วย     จานนี้เป็นดาวเด่น Fried Pork Chop พอร์กชอปทอดสีเหลืองทองน่าอร่อย ผิวนอกกรอบ ภายในเนื้อหมูยังคงนุ่มชุ่มฉ่ำ ราดน้ำเกรวีสูตรเฉพาะของทางร้าน รสเค็มกลมกล่อม เข้ากันดีกับถั่วลันเตาหอมมัน     ปิดท้ายด้วยของหวานฟินๆ อย่าง Frozen Egg Ice-cream ที่ทางร้านมีรถเข็นไอศกรีมเล็กๆ ปรุงสดให้เราได้ตื่นตาตื่นใจ ไอศกรีมวานิลลาทำเองรสหอมมัน ตักกินพร้อมขนมปังเนื้อนุ่ม และซอสข้าวโพดหวาน (อร่อยมาก) โรยหน้าด้วยป็อปคอร์นอีกที     เจอร้านโปรดอีกร้านสักที

แม้ส่วนตัวจะชอบอาหารอิตาเลียน แต่เมื่อได้ทำเลดีในไอคอนสยาม คุณซูซี่ – หทัยเทพ ธีระธาดา กลับเลือกที่จะเปิดร้านอาหารไทย เพราะอยากให้มีอาหารไทยรสชาติดี ปรุงตามสูตรต้นตำรับไทยแท้ ไว้เสิร์ฟลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ       “Meals Me Thai Cuisine” จึงมีแต่อาหารไทยล้วนๆ ซึ่งรวมถึงอาหารไทยโบราณ และอาหารไทยที่หากินได้ยากในปัจจุบัน โดยคัดสรรวัตถุดิบอย่างดี ปลอดสารปนเปื้อน และมีความสดใหม่ มาใช้เป็นวัตถุดิบพื้นฐาน ขณะที่งานในครัวก็ได้เชฟซึ่งรู้จักกันมานาน มีประสบการณ์จากโรงแรมระดับ 5 ดาว และทำอาหารไทยมานานกว่า 20 ปีมาร่วมทีม และยังมีช่างแกะสลักผักเพื่อเสริมความเป็นไทยให้ตรงคอนเซ็ปต์ร้านอีกด้วย     เริ่มต้นมื้อด้วยเมนูไทยๆ อย่างเมี่ยงกลีบบัวที่คัดสรรกลีบบัวอย่างดีไม่ให้มีรสขม กุ้งแห้งปลอดสาร และใช้เม็ดมะม่วงหิมพานต์แทนถั่วลิสงเพื่อเพิ่มความอร่อย เป็นเมนูสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ ตามด้วยออร์เดิร์ฟร้อนๆ ที่ประกอบด้วยมันม่วงไส้ชีสแนะนำให้กินทันที ไส้ชีสจะเยิ้มๆ กัดพร้อมมันม่วงเนื้อเนียนหวาน ถุงทองทอดกรอบไม่อมน้ำมัน ปอเปี๊ยะเผือกแป้งบางกรอบ ใช้เผือกหอมกวนกับน้ำตาลโตนดเนียนละมุน และปูจ๋าไส้แน่นๆ หรือถ้าอยากฟินกับเนื้อปูต้องจานนี้ จ๊อปูที่อัดแน่นด้วยเนื้อปูเต็มๆ คำ กลิ่นหอมเนื้อหวานอยู่ภายใน         ต้มยำกุ้ง เมนูยอดฮิตขาดไม่ได้สำหรับร้านอาหารไทย คุณซูซี่ย้ำว่าเป็นต้มยำแบบไทยแท้ที่ไม่ใส่นม ได้ความข้นจากเครื่องแกงและกะทิคั้นสด รสชาติต้มยำนัวๆ ซดได้คล่องคอ     เมนูเครื่องจิ้มอย่างปูหลนก็ไม่ธรรมดา มาพร้อมกรรเชียงปูชิ้นโตๆ เพิ่มเติมความเป็นไทยด้วยการเสิร์ฟในผลฟักทองแกะสลักสวยงาม รสชาติเปรี้ยวนิด หวานหน่อย อุดมด้วยเนื้อปู ผสมกุ้งและหมูสับ มาพร้อมผักเคียงสดกรอบสลักเสลาสวยงาม ทั้งมะเขือม่วง มะเขือเปราะ มะเขือเทศ ใบบัวบก แครอต ผักชี ต้นหอม ถั่วฝักยาวลวก แตงกวา และขมิ้นขาว     แกงเขียวหวานเนื้อ ปลาสลิดทอด อีกจานอร่อยที่ต้องสั่ง คุณซูซี่เล่าว่าไม่อยากเสิร์ฟแกงเขียวหวานกับโรตีเหมือนร้านทั่วไป จึงเลือกเป็นปลาสลิดในแบบไทยๆ ที่เข้ากันได้ดีกว่า รับรองว่าได้ชิมต้องติดใจในความเข้มข้นของพริกแกงที่โขลกเอง กะทิคั้นสด เนื้อวัวสไลซ์บางกำลังดี นุ่ม อร่อย ปลาสลิดทอดฟู กินคู่กันได้ลงตัวจริงๆ         เมนูไก่ต้องลองไก่ผัดเม็ดมะม่วง ปรุงรสได้เข้มข้นกลมกล่อมหอมกลิ่นมะขามเปียก  กุ้งซอสมะขามก็เป็นอีกจานที่พลาดไม่ได้ กุ้งแม่น้ำอยุธยาตัวใหญ่เนื้อแน่นที่สั่งมาวันต่อวัน ทอดสุกกำลังกินราดซอสมะขามรสเปรี้ยวๆ หวานๆ ใครชอบปลา แนะนำปลากะพงนึ่งมะนาว ปลาสดได้รสเปรี้ยวจากน้ำมะนาวแท้ หรือจะลองหอยเชลล์ผัดซอสโหระพา หอยเชลล์ตัวใหญ่เนื้อเด้งสดอร่อยผัดซอสโหระพาหอมฉุย เมนูโบราณหากินได้ยากอย่างแกงรัญจวน ก็มีให้ลิ้มลอง รสชาตินุ่มนวลรัญจวนใจสมชื่อ         ปิดท้ายด้วยของหวานอย่างทับทิมกรอบ หม้อแกง วุ้นกะทิหน้าต่างๆ หรือไอศกรีมทุเรียน มีให้เลือกตามความชอบ รับรองอร่อยฟิน       ตามไปลิ้มลองรสชาติไทยต้นตำรับที่ Meals Me Thai Cuisine ชั้น G  โซน Veranda ไอคอนสยาม ถนนเจริญนคร โทร. 1338 เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 22.00 น.

สำหรับสายเนื้อ เราขอแนะนำอีกพิกัดที่มาพร้อมกับเมนูเนื้อหลากหลายเมนู GYUเด้อ เป็นร้านอาหารสไตล์เปิดโล่ง ตั้งอยู่ใน ซ.ปรีดี พนมยงค์ 42 ให้บรรยากาศเป็นกันเอง ชูจุดเด่นด้วยเนื้อโคขุนโพนยางคำ ที่มาพร้อมแนวคิดของการใช้เนื้อวัวในทุก ๆ ส่วนให้คุ้มค่ามากที่สุด       ชื่อของ GYUเด้อ ก็เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นญี่ปุ่นและความอีสาน ซึ่งก็ถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจนผ่านเมนูของร้าน ที่มียากินิคุ ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นพร้อมเมนูเนื้อให้เลือกลิ้มลองถึง 3 เช็ตด้วยกัน ได้แก่ SET A ประกอบไปด้วย เนื้อฝาสันคอ เนื้อหนอก เนื้อซี่โครง เนื้อแฟรงค์ เนื้อพิคันย่า และเนื้อรวม ในราคา 610 บาท SET B มีทั้งลิ้น เนื้อสันคอ เนื้อเสือร้องไห้ เนื้อเซอร์ลอยน์ เนื้อน่องลาย และเนื้อใบพาย ส่วน SET C ประกอบไปด้วยเนื้อคารุบิ เนื้อหางตะเข้ เนื้อน่องแก้ว เนื้อตะพาบ เนื้อริปแคป เนื้อร่องซี่โครง เนื้อสันใน เนื้อสันกลาง เนื้อสันนอก เนื้อพื้นท้อง และเนื้อหางว่าว       อีกส่วนที่เด็ดไม่แพ้กันคืออาหารอีสาน เริ่มต้นด้วยจานเรียกน้ำย่อย กากเนื้อทรงเครื่อง ซึ่งเป็นการนำกากเนื้อมาผัดจนน้ำมันออกหมดแล้วคั่วกับสมุนไพร ส่วนน้ำมันเนื้อที่ได้จากกากมัน ก็นำไปผัดกับข้าวสวย เป็น ข้าวผัดมันเนื้อ กลิ่นหอมเย้ายวน กินกับเมนูไหนก็เข้ากัน       ต่อด้วย ต้มแซ่บเนื้อน่องลาย ที่เข้มข้นหอมเป็นเอกลักษณ์ด้วยน้ำซุปที่ได้จากการเคี่ยวกระดูกวัวอย่างพิถีพิถัน ซดคล่องคอ แทรกซึมเข้าไปในเนื้อน่องลายที่เปื่อยยุ่ย หอมกลิ่นข้าวคั่วและสมุนไพร     ต่อด้วย ส้มตำปูปลาร้า ที่ต้องถูกใจสายส้มตำแน่นอนด้วยมะละกอสับ ได้สัมผัสกรุบกรอบจากมะละกอชิ้นเล็กบ้างใหญ่บ้าง รสชาติกลมกล่อมหอมปลาร้า ไม่เผ็ดจนเกินไป     โคนลิ้นย่าง เป็นอีกหนึ่งเมนูเด็ดที่พลาดไม่ได้ ด้วยความนุ่มเด้งเคี้ยวสนุก จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วมะขาม หรือน้ำจิ้ม GYUเด้อ สูตรเฉพาะที่ได้จากเนื้อตุ๋นกับสมุนไพร ให้อีกรสชาติที่แตกต่างออกไป         แน่นอนว่ามาที่ร้านเนื้อโคขุนทั้งที จะพลาดเมนูสเต๊กไปไม่ได้ ที่ GYUเด้อ มีเนื้อส่วนต่าง ๆ ให้เลือกมากมาย และที่สำคัญคือทุกชิ้นนั้นมีความหนามากกว่า 1 นิ้ว สามารถเลือกเกรวี่ได้ 3 รสชาติ ได้แก่ ไวน์แดง ซอสเห็ด และซอสพริกไทยดำ เสิร์ฟมาพร้อมมันบดจัดเต็ม     ถึงแม้ว่า GYUเด้อ จะเป็นร้านเปิดโล่ง ก็ไม่ต้องกลัวเรื่องฝนฟ้าคะนอง เพราะทำหลังคาครอบคลุมไว้เป็นอย่างดี ส่วนที่จอดรถนั้นมี 3 จุดด้วยกันคือ ริมกำแพงตรงข้ามหน้าร้าน ที่จอดด้านหลังร้าน และลานจอดรถที่อยู่ติดร้าน ราคา 20 บาทต่อวันเท่านั้น     นอกจากนีี้ ถ้าอยากลงมือทำอาหารเอง ที่ GYU เด้อ ก็มีเนื้อโคขุนไทยส่วนต่าง ๆ จำหน่ายด้วยเช่นกัน

สำหรับใครที่มองหาพิกัดคาเฟ่ใหม่ ๆ มีเมนูอาหารและเครื่องดื่มที่น่าลอง Polli’s ก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจ ภายในบ้านหลังใหญ่ในซอยปรีดี พนมยงค์ 26 แห่งนี้ผ่านการเนรมิตเสียใหม่จนกลายเป็นคาเฟ่ที่ให้บรรยากาศแสนอบอุ่นและเคลือบไปด้วยความสดใส           เมนู Brunch ที่มาพร้อมคอนเซปต์ดีต่อสุขภาพ รังสรรค์ออกมาให้ไม่จำเจ ลืมภาพอาหารเพื่อสุขภาพที่มีแต่สีเขียวและรสชาติบางเบาไปเลย เริ่มต้นด้วยกาแฟ Iced Cinnamon Oat Latte ลาเต้ที่ได้กลิ่นหอมจากซินนามอนผสมผสานไปกับความหวานธรรมชาติจากนมโอ๊ต เพิ่มพลังพร้อมความสดชื่นในยามสายของวันได้เป็นอย่างดี     จากนั้นเรียกน้ำย่อยด้วย Sourdough with Chiajam and Almond Butter ซาวร์โดเนื้อธัญพืชโทสต์จนกรอบนอกเหนียวนุ่มใน ดิปกับอัลมอนด์บัตเตอร์ก็ได้รสชาติหอมมันนุ่มนวล หรือเลือกเพิ่มรสชาติเปรี้ยวนิดหวานหน่อยด้วยเชียแจมก็ดีเหมือนกัน     เข้าสู่จานหลักกับ Butter Milk Fried Chicken Whole Wheat Waffle with Kale Slaw ไก่ทอดชิ้นใหญ่เสิร์ฟมาบนวาฟเฟิลโฮลวีตเนื้อนุ่ม เติมเต็มรสชาติด้วย “เคลสลอว์” หรือสลัดเคลที่เป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน     ปิดท้ายด้วยของหวานรสชาติเบา ๆ กินง่าย Dark Chocolate Raspberry Chia Pudding ให้รสชาติเปรี้ยวจากราสป์เบอร์รี่ หวานปนขมจากดาร์กช็อกโกแลต พร้อมสัมผัสกรุบกรอบจากอัลมอนด์และธัญพืชอื่น ๆ รวมมาในแก้วเดียว     แค่นี้ก็มีช่วงสายของวันที่อิ่มท้องและอิ่มอกอิ่มใจได้ไม่ยาก

“เจ๊แดงสามย่าน” ร้านส้มตำ – คอหมูย่างในตำนาน (30 กว่าปี) ตั้งแต่สมัยเปิดร้านในปี 1990 ที่ตั้งอยู่ข้างริมรั้วคณะนิติศาสตร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยรสชาติอร่อยอันเป็นเอกลักษณ์บวกกับได้รับการแนะนำจากหนังสือ Michelin Guide Bangkok จนบูมกลายเป็นขวัญใจฟู้ดดี้ทุกกลุ่ม       ซึ่งตอนนี้ได้ตอกย้ำอีกความสำเร็จโดยการบุกมาเปิดสาขาใหม่ที่ People Park คอมมูนิตี้มอลล์สุดป๊อปของชาวอ่อนนุช (Bts อ่อนนุช ทางออก 3) ให้สายฟู้ดได้เพลิดเพลินกับเมนูรสแซ่บอย่างส้มตำ ยำสไตล์ต่างๆ และทีเด็ดที่ห้ามพลาดเลยคือ คอหมูย่างเนื้อนุ่มในตำนาน ที่ถูกชี้เป้าโดยมิชลินไกด์นั่นเอง       ขอประเดิมด้วยเมนูแซ่บๆ อย่าง ยำยอไข่เค็มครกแตก หมูยอคุณภาพ เนื้อแน่น คลุกเคล้ากับไข่แดงเค็มที่เราเลิฟ รสชาติเค็วนัว และน้ำยำสูตรพิเศษเฉพาะของทางร้าน หอมกลิ่นปลาร้ายั่วน้ำลาย     ยำยั่วไหลบัวกุ้งสด ไหลบัวกรุบกรอบ เข้าปากพร้อมกุ้งตัวโตเนื้อสดหวาน และน้ำยำแซ่บๆ รสจัดจ้านที่ผสานไปกับความกลมกล่อมของน้ำปลาร้า     ซั่วหมูยอครกแตก ขนมจีนเส้นยาวนุ่ม ผสมกับหมูยออย่างดี ความเผ็ดกำลังได้ที่ โรยด้วยน้ำพริกกากหมูแสนอร่อย เคี้ยวเพลิน จิ้มกับข้าวเหนียวก็อิ่มเอมแล้ว     มาต่อกันที่ ตำข้าวโพดไข่เค็ม กันบ้าง ตำไทยรสหวานละมุน ที่ประกอบไปด้วยข้าวโพดหวานกรอบๆ และไข่เค็มชั้นดี ใครสายปลาร้าต้องสั่ง ตำปูปลาร้า เส้นมะละกอยาวๆ มิกซ์ไปกับน้ำปลาร้ากลมกล่อม เผ็ดใช้ได้เลยทีเดียว       อย่าลืมสั่งเมนูซิกเนเจอร์อย่าง คอหมูถาด ที่เสิร์ฟมาอย่างอลังการ คอหมูหมักให้หอม สัมผัสนุ่ม มีมันแทรกเล็กๆ ปรุงรสด้วยด้วยข้าวคั่วกรุบๆ และพริกป่นเผ็ดร้อน รวมเป็นรสชาติหวานเค็มลงตัว จิ้มกับแจ่วต้นตำรับ ที่หลายคนชื่นชอบ หรือแจ่วจัดจ้าน ที่เพิ่มความแซ่บขึ้นมาอีกดีกรี ยังมีความเหนียวนุ่มนิ่มให้คุณกินคู่กับคอหมูย่างอีกด้วย     ส่วนใครที่เป็นสาวกเมนูไก่ต้องนี่เลย ไก่ย่างข้าวคั่ว ไก่ย่างเนื้อแน่น นุ่มชุ่มฉ่ำ ได้กลิ่นหอมของข้าวคั่วเบาๆ กินคู่กับแจ่วต้นตำรับรสเผ็ดเปรี้ยว     ใครขี้เกียจเดินทางกดสั่งเดลิเวอรี่ได้นะ

ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างในหมู่ฟู้ดดี้มานานแล้วสำหรับ “Spaghetti Factory” ร้านอาหารยูโร-ฟิวชั่นที่เสิร์ฟความอร่อยมากว่า 20 ปี เมนูดาวเด่นสุดป็อปคือ ‘พาสตาเส้นสด’ ที่มีให้คุณเลือกซู้ดทั้งเส้นสปาเกตตี แองเจิลแฮร์ ลิงกวีเน เพนเน และ เปบปาร์เดลลา นอกจากนี้ทางร้านยังใช้วัตถุดิบคุณภาพจากเกษตรกร อาทิ ผักสดปลอดสารพิษและการปลูกแบบอินทรีย์  กาแฟ ไข่ไก่ เนื้อสัตว์ต่างๆ และน้ำมันมะกอก       ภายใต้โครงการดีๆ อย่าง โครงการ Central Tham และ โครงการผักปลอดภัย Good Agricultural Practiced แถมทางร้านยังอนุรักษ์การรักษาสิ่งแวดล้อมโดยการใช้หลอดกระดาษ และมีบริการ Infuse Water เพื่อลดขยะพลาสติกอีกด้วย สายอาหารคนไหนอยากมาลิ้มลองร้านอร่อยที่มีคอนเซ็ปต์ดีๆ แบบนี้ขอเชิญที่ Spaghetti Factory ได้ทุกสาขา แต่ครั้งนี้เรามาที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 6 นี่เอง       ประเดิมด้วยเมนูสุขภาพอย่าง Rocket Salad with Shrimp Cherry Tomatoes and Lime Balsamic Vinaigrette Dressing สลัดผักปลอดสารรสสดชื่นที่ประกอบไปด้วย ใบร็อคเก็ตรสเผ็ดซ่า มะเขือเทศเชอร์รี กุ้งเนื้อเด้ง ราดน้ำสลัดสูตรเฉพาะที่โดดเด่นด้วยรสเปรี้ยวของบัลซามิก ผสานไปกับน้ำสลัดงา     ตามมาด้วย Cold Capellini with Truffle Oil Yuzu Ponzu and Prawn เส้นแองเจิลแฮร์สไตล์โฮมเมดในแบบฉบับเย็น ให้สัมผัสเหนียวนุ่ม มีความกรุบเล็กๆ คลุกเคล้ากับน้ำมันทรัฟเฟิลหอมๆ ซอสยูสุ พอนสึรสเปรี้ยวสดชื่น และกุ้งตัวโต     พลาดไม่ได้กับ Wheel Cheese Pasta Truffle Oil Cacio e Pipi with Shrimp เมนูซิกเนเจอร์ที่เอาใจสาวกชีสโดยเฉพาะ เฟตตูชินีซู้ดเพลินในแบบฉบับโฮมเมด ผสานไปกับชีสพาเมซานหอมมัน กุ้งกรอบเด้งๆ และน้ำมันทรัฟเฟิลหอมฟุ้ง เพิ่มความครีมมีอีกระดับด้วยการนำไปคลุกเคล้าใน Wheel Cheese ก้อนโต       ยังเอาใจชีสเลิฟเวอร์ต่อเนื่องไปกับเมนู Cheese Bowl Fettuccine with Vodka Cream Sauce  and Prawn เฟตตูชินีเส้นสดผสานไปกับซอสครีมหอมมัน (แต่ไม่เลี่ยนนะ) มีกุ้งแก้วกรอบๆ ที่หลายคนชอบด้วย เสิร์ฟในจานที่ทำจากชีสทอดกรอบครีมมี ป.ล จานนี้กินร้อนๆ ฟินมาก     ของหวานเราสั่ง Black Volcano Lava ซอฟต์คุกกี้ทำเองอุ่นๆ ภายในสอดไส้ซอสไข่เค็มนัวฟิน กินกับไอศกรีมทำเองรสชีสเค้กเบอร์รีแสนอร่อย ราดด้วยซอสสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน และครัมเบิ้ลกรุบกรอบอีกที     จิบคู่ไปกับเครื่องดื่มชื่นใจอย่าง Yuzu Soda น้ำส้มยูซุรสเปรี้ยว มิกซ์ไปกับน้ำโซดาซาบซ่า และ Mixed Berry Soda น้ำเบอร์รีรสหวานอมเปรี้ยว ผสมกับโซดา       รสชาติดีทุกเมนูจริงๆ นะ

เดี๋ยวนี้อาหารไทยโบราณที่เหมือนจะหารับประทานได้ยาก ก็ไม่ได้หายากอย่างที่คิด ด้วยร้านอาหารเกิดใหม่มากมายที่ขนเอาตำรับตำราอาหารเก่าแก่มานำเสนอให้ลิ้มลองกันถึงย่านใจกลางเมือง “วิเสทสรร” นั้นเป็นร้านน้องใหม่ล่าสุด ตั้งอยู่ภายใต้ชายคาบ้านหลังใหญ่ในซอยสุขุมวิท 32 (ซอยบ้านไทย) ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟทองหล่อเท่าไร       คำว่า “วิเสท” นั้น หมายถึง ผู้ทำกับข้าวของหลวง ส่วน “สรร” ก็มาจากการสรรหาและรังสรรค์อาหารจานอร่อยนั่นเอง ดังที่จะเห็นได้จากเมนูอาหารไทยโบราณสุดหลากหลายบนเมนูของวิเสทสรร ที่ล้วนปราณีตตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากต้นกำเนิดมาสู่กรรมวิธีการปรุงอาหารตามขั้นตอนแบบโบราณ ให้ได้รสชาติที่ดั้งเดิมอย่างแท้จริง         เริ่มต้นด้วย กุ้งซอสมะขาม ไซส์ 3 ตัวโล จานซิกเนเจอร์ของร้านที่ชวนตื่นตาตื่นใจตั้งแต่ขนาดของกุ้งแม่น้ำตัวโตนำเข้าจากพม่า ทอดให้หัวมันยังคงอยู่และเนื้อยังนุ่มเด้ง ราดด้วยซอสมะขามเคี่ยวที่ได้ความหวานธรรมชาติของมะขามเพชรบูรณ์และน้ำตาลโตนด โรยด้วยหอมเจียว หากกินไปเรื่อย ๆ แล้วรู้สึกเลี่ยนก็สามารถหยิบน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรพิเศษของร้านมาเสริมเพื่อตัดเลี่ยนได้อย่างพอดิบพอดี     ข้าวผัดแมวยายพิกุล เป็นอีกหนึ่งจานซิกเนเจอร์ที่พลาดไม่ได้  มาในรูปแบบของข้าวสวยร่วน ๆ ผัดเข้ากับเนื้อปลาทูแม่กลองแกะเอาแต่เนื้อจนเข้ากัน โรยด้วยกระเทียมเจียว หอมเจียว ยกมาพร้อมเครื่องเคียงที่เราสามารถคลุกเองได้ตามใจชอบ ได้แก่ หอมซอย มะนาวหั่นชิ้นเล็ก พริกซอย ขิงหั่นชิ้นเล็ก และพริกน้ำปลา     ยำส้มโอคุณยายสะอาด จานนี้ประกอบไปด้วยส้มโอขาวน้ำผึ้งจากนครปฐมมาคลุกกับน้ำยำและน้ำพริกเผาตามแบบฉบับสูตรโบราณ เสริมด้วยกุ้งแชบ๊วยสด โรยหอมเจียวและมะพร้าวคั่ว กินแล้วได้ความหอมมันและความกรุบเข้ากันอย่างดี     ปิดท้ายด้วย แกงคั่วใบชะพลูเนื้อปูก้อนยักษ์ เสิร์ฟพร้อมเส้นขนมจีน โดดเด่นด้วยน้ำแกงที่เคี่ยวด้วยกะทิสดหอมหวานมัน เคี่ยวอย่างดีไม่ให้กะทิแตก ใส่เนื้อปูก้อนส่งตรงจากสุราษฎร์ธานี เคี้ยวเต็มปากเต็มคำ     สำหรับใครที่อยากดื่มด่ำกับอาหารจานโบราณราวกับหลุดช่วงเวลาไปสู่วันวาน วิเสทสรร ตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน

เดินทางกันมาถึงสาขาที่ 2 กันแล้วสำหรับ โค-ลิมิเต็ด ร้านอาหารอีสาน เนื้อย่าง สตรีทฟู้ด ที่อัดแน่นไปด้วยความอร่อยของ คุณหมู-พลพัฒน์ อัศวะประภา เจ้าของแบรนด์ห้องเสื้อ Asava ซึ่งครั้งนี้ทางร้านได้มาปักธงขยายสาขาที่ ‘สยามพารากอน’ (บริเวณชั้น G) ด้วยการแต่งร้านโดดเด่นสะดุดตา พื้นสามสีเข้ากันดีกับผนังไม้สีน้ำตาลจำแลงเป็นเรือหางยาวของคนสมัยก่อน มีนางกวักสีทองประจำร้านตั้งอยู่ด้านหน้า มาพร้อมกับผ้ายันต์สีสันคัลเลอร์ฟูล ที่เห็นแล้วรู้สึกสนุกชวนให้อยากชิมอาหารเร็วๆ       คอนเซ็ปต์ของร้าน Co Limited คือ การเสิร์ฟอาหารอีสานและสตรีทฟู้ดที่ครีเอทจากวัตถุดิบชั้นดี อาทิ เนื้อจากประเทศออสเตรเลีย ซีฟู้ดสดเด้งจากภาคใต้ของเมืองไทย ปลาร้าทำเอง ผ่านกรรมวิธีดั้งเดิมผสมผสานกับความทันสมัย ปรุงรสให้จัดจ้านโดนใจคนไทย แถมยังเอาใจสายดื่มด้วยค็อกเทลจิบเพลินอีกด้วย (จัดโปรฯ บ่อยด้วยนะ)       เรียกน้ำย่อยกันกับ ยำขนมจีนโคลิมิเต็ด เครื่องเคราต่างๆ เช่น แหนมรสเปรี้ยว หมูยออย่างดี หมูกรอบที่เรารัก ไข่ต้มอิ่มเอม ผักต่างๆ และขนมจีนเส้นยาวๆ คลุกเคล้าไปกับน้ำปลาร้าสไตล์โฮมเมด และน้ำซอสรสเด็ด     บังเอิญรวยช่วยไม่ได้ ซิกเนเจอร์ประจำร้านที่สายเนื้อห้ามพลาด สเต็กเนื้อโทมาฮอว์กชั้นดี ความสุกระดับมีเดียมแรร์ ให้สัมผัสนุ่มชุ่มฉ่ำ เข้ากันดีกับน้ำจิ้ม 3 สไตล์ ได้แก่ น้ำจิ้มแจ่วรสเปรี้ยวเผ็ด แจ่วบองรสนัว และน้ำจิ้มสูตรเฉพาะของทางร้าน เสิร์ฟพร้อมข้าวผัดมันเนื้อที่เราเลิฟมาก ข้าวสวยผัดพร้อมเนื้อสับ โรยด้วยพริกแห้งทอดหอมๆ     อย่าลืมเมนูดาวเด่นอย่าง ไก่สาวดาวยั่ว ไก่บ้านตัวโตเนื้อแน่น หมักด้วยเบียร์และอบกัญชาในโอ่งดินเผา ได้กลิ่นหอมๆ ยั่วชวนน้ำลายสอ เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียวน้ำจิ้มแจ่วเนื้อนุ่ม ข้าวโพดหวานย่าง และน้ำจิ้มรสอร่อย 3 สไตล์     ซดน้ำซุปร้อนๆ กันบ้างกับ ต้มแซ่บลูกทุ่งรวมมิตรเนื้อ เนื้อน่องลายคุณภาพหั่นชิ้นพอดีคำ ลูกชิ้นเนื้อเด้งเคี้ยวอร่อย เอ็นแก้วกรุบๆ เนื้อสไลซ์แผ่นบาง และลิ้นวัว อยู่ในน้ำแกงต้มแซ่บเข้มข้น (ละม้ายคล้ายก๋วยเตี๋ยวน้ำตก) ได้รสกลมกล่อม แต่แฝงไปด้วยความเผ็ดเป่าปาก เสิร์ฟมาในหม้อไฟร้อนๆ     ตบท้ายด้วย ขนมมะพร้าวปั่นทับทิมกรอบ ของหวานชื่นใจรับฤดูร้อน น้ำแข็งใสเกล็ดหิมะรสมะพร้าว ได้ความครีมมีของกะทิ เข้าปากพร้อมขนมปังเนื้อนุ่ม ทับทิมกรอบสีสวย และข้าวเม่า เสิร์ฟคู่กับท็อปปิง 4 อย่าง ได้แก่ ข้าวเม่ากรุบกรอบ (เราชอบมาก) มะพร้าวอ่อน ทับทิมกรอบ และคาราเมลสไตล์ไทยรสหวานหอม     คราวหน้าจะลองสั่งขนมโคมากิน

นึกถึงเมืองริมทะเลที่อยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ มากที่สุด แน่นอนว่าคำตอบก็หนีไม่พ้นชลบุรี เมืองที่เรียงรายไปด้วยโรงแรม รีสอร์ต และร้านอาหารนับร้อยนับพันกับวิวท้องทะเลที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม The Sky Gallery ร้านอาหารริมทะเลในบางละมุงก็เป็นหนึ่งในสถานที่สุดป๊อบปูลาร์เบอร์ต้น ๆ ของชลบุรีเลยก็ว่าได้         เมื่อได้สัมผัสความร่มรื่นภายใต้ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขามาจรดกับหน้าผาสูง โดยเบื้องหน้าเป็นท้องทะเลสีฟ้าสดใสกลมกลืนไปกับสีของท้องฟ้า ก็ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยว่าทำไมที่นี่จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวต้องการมาเยือน       อาหารของ The Sky Gallery  นั้นมีให้เลือกชิมทั้งอาหารไทย ต่างชาติ และเมนูฟิวชั่นที่ออกแบบมาให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของร้าน ตอบโจทย์กับผู้มาเยือนในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยที่ชื่นชอบอาหารรสจัดหรือต่างชาติที่ยังไม่คุ้นเคยกับความจัดจ้าน หากมาเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีคนหลากหลายวัยก็สามารถเลือกเมนูที่ชื่นชอบและเอ็นจอยไปพร้อม ๆ กันได้อย่างไม่มีสะดุด และแน่นอนว่าไม่ให้เสียชื่อเมืองติดทะเล เมนูซีฟู้ดของ The Sky Gallery ก็มีให้เลือกมากหน้าหลายตาเช่นกัน       เริ่มต้นด้วยเมนูซีฟู้ดซิกเนเจอร์ของร้าน ผัดทะเลรวมเรือโป๊ะ ที่ชื่อก็บอกอยู่แล้วมาขนมาทั้งทะเล ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา ผัดกับพริกและกระเทียมได้รสชาติจัดจ้าน เหมาะจะกินกับข้าวสวยร้อน ๆ สักจาน รวมถึงเมนู แกงคั่วปูใบชะพลู รสชาติเข้มข้นด้วยพริกแกงสูตรพิเศษของทางร้านคู่มากับเนื้อปูก้อนแน่น ๆ เต็มปากเต็มคำ และ ใบเหลียงผัดไข่ ใบเหลียงรสชาติหวานมันผัดจนได้กลิ่นหอม ๆ ของกระทะตั้งแต่คำแรกที่กิน         ต่อด้วยอาหารต่างชาติกันบ้างกับ ปิอาดินาผักโขมย่าง ขนมปังแผ่นแบนสไตล์อิตาเลียนสอดไส้ผักโขม ชีส และเบคอน รสชาติกลมกล่อมที่ใคร ๆ ก็กินได้ ต่อด้วยเมนูเส้น เดอะ สกาย พาสตา ที่ถือเป็นหนึ่งในซิกเนเจอร์เมนูของ The Sky Gallery มาในรูปแบบของเส้นสปาเกตตีคลุกเคล้าซอสรสชาติกลมกล่อมแซมความเผ็ดนิด ๆ หน่อย ๆ เสิร์ฟมาคู่กับแซลมอน สแกลลอป โรยหน้าด้วยไข่กุ้ง       นอกเหนือจากนี้ The Sky Gallery ก็พร้อมเสิร์ฟทั้งเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ สมูตตี ม็อกเทล และของหวานหน้าตาสีสันสดใสอีกหลากหลายเมนูให้ลิ้มลองเพื่อเพิ่มความสดชื่นระหว่างมื้ออาหาร รวมถึงเมนูขนมเค้กเป็นจานปิดท้ายอย่างอิ่มท้องและอิ่มอกอิ่มใจ            

อาหารไทยโบราณก็เหมือนกับไทม์แมชชีนที่จะพาเราย้อนหลับไปสัมผัสกับรากเหง้าวัฒนธรรมอาหารการกินของคนรุ่นก่อน และในทุกวันนี้ก็มีร้านอาหารไทยโบราณเกิดขึ้นมากมายหลากหลายตำรับ สำหรับร้าน คุณเอียดชาววัง & ANYA Cafe นั้นได้กลายเป็นหนึ่งในพิกัดใหม่ของร้านอาหารไทยโบราณที่สืบทอดตำรับความอร่อยกันมารุ่นสู่รุ่น จับคู่กับบรรดาขนมหวานและเครื่องดื่มแนวคาเฟ่สมัยใหม่ ให้ประสบการณ์ของอาหารที่ครบครันทั้งคาวและหวานไม่มีพร่อง       บรรยากาศโดยรอบของร้านคุณเอียดชาววัง & ANYA Cafe นั้นเปี่ยมด้วยความโมเดิร์น โล่งโปร่งด้วยหน้าต่างบนกระจกขนาดใหญ่ที่อนุญาตให้แสงจากด้านนอกส่องเข้ามาอย่างเต็มที่ มอบความรู้สึกสบายคล้ายกับกินอาหารที่บ้าน ดื่มด่ำกับอาหารไทยรสมือคุณแม่ที่ไม่ว่าจะกินกี่ครั้งก็ถูกปากถูกใจอยู่เสมอ       สำหรับของคาวนั้นเริ่มต้นด้วย ล่าเตียง ของว่างไทยโบราณชื่อดังที่ปรากฏบนกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน รสชาติกลมกล่อมด้วยไส้ที่ผัดมาอย่างครบเครื่องเข้ากัน ห่อด้วยตาข่ายไข่สีเหลืองทองน่ารับประทาน เสิร์ฟมาคู่กับอาจาดที่เพิ่มสีสันให้กับรสชาติโดยรวมได้เป็นอย่างดี     ต่อด้วยอาหารถิ่นชาวเหนือกับ ลาบเหนือ สูตรเฉพาะของครอบครัว ให้กลิ่นหอมฉุนเป็นเอกลักษณ์จากสมุนไพร เผ็ดกลาง ๆ รับประทานง่าย จัดเต็มทั้งเนื้อหมูสับ เครื่องในชิ้นเล็กพอดีคำ และหนังหมู โรยหน้าด้วยหอมเจียว เคียงมากับผักสดหลากชนิด     ปิดท้ายของคาวจานสุดท้ายด้วยหนึ่งในซิกเนเจอร์ที่มีขายเฉพาะเมนูนั่งกินในร้านเท่านั้นอย่าง หมูกรอบคั่วพริกเกลือ ที่ส่งกลิ่นชวนน้ำลายสอทันทีที่วางจาน สีสันน่ารับประทานจากหมูกรอบที่น้ำตาลทอง ตัดกับสีเขียวและแดงจากพริกสด สำหรับรสชาตินั้นแสนจะกลมกล่อมด้วยความเค็มนิด ๆ ผสานไปกับกลิ่นหอมของกระเทียม และที่สำคัญคือความกรอบจากหมูกรอบชวนเคี้ยวเพลิน ยิ่งได้กินคู่กับข้าวผัดกระเทียมสูตรเฉพาะของร้านก็ยิ่งเสริมความอร่อยเข้ากันอย่างน่าประทับใจ     สำหรับของหวานสไตล์ไทย ๆ ที่ร้านก็มีขนมไทยอีกหลากหลายเมนูที่ทำสดแบบถ้วยต่อถ้วย เช่น ดาวล้อมเดือน ขนมไทยแป้งหลากสีสอดไส้ด้วยถั่วและพริกไทยให้ความหอมแซมเผ็ดร้อนนิด ๆ หน่อย ๆ เบรกด้วยความหอมหวานจากน้ำกะทิและโรยด้วยงาขาว อีกเมนูหนึ่งคือ บัวลอยเผือกมะพร้าวอ่อน เนื้ออ่อนนุ่มเคี้ยวเพลิน ได้สัมผัสความหอมมันจากเนื้อบัวลอยเข้ากับเนื้อมะพร้าวอ่อนเป็นอย่างดี       นอกจากของคาวหวานแบบไทย ในส่วนของ ANYA Cafe ก็มาพร้อมกับขนมเค้กโฮมเมดหลากหลายรสชาติ เช่น ชีสเค้กหน้าไหม้ เค้กเผือก และเค้กมะพร้าวอ่อน พร้อมกับเครื่องดื่มชากาแฟเพิ่มความสดชื่นระหว่างมื้ออาหาร โดยมีซิกเนเจอร์อย่างเช่น Black Coffee Honey Lemon กาแฟช็อตเข้มข้นผสมผสานรสชาติหวานอมเปรี้ยวจากเลม่อนดองน้ำผึ้งโฮมเมด และ Black Orange กาแฟช็อตผสมน้ำส้ม ที่เป็นหนึ่งในเมนูกาแฟเย็นสดชื่นยอดฮิตในปัจจุบัน       หากจะบอกว่ามาเยือนคุณเอียดชาววัง & ANYA Cafe ก็เหมือนมีทุกอย่างครบจบในที่เดียว ก็คงจะไม่เกินจริงนัก เพราะนอกจากอาหารและขนมหวานไทยที่เป็นตัวชูโรง มีเครื่องดื่มและขนมเค้กในคาเฟ่ที่มาเสริมความหลากหลาย ก็ยังมีเมนูอาหารตะวันตกอย่างพาสตาสไตล์ฟิวชั่นและสลัดให้เลือกชิมด้วยเช่นกัน

ยังบินไปเวียดนามไม่ได้ ก็มาชิมอาหารเวียดนามให้หายคิดถึงกันก่อนที่ Morning Glory (มอร์นิ่งกลอรี่) ร้านอาหารเวียดนามรสชาติแบบต้นตำรับ เหมือนยกกรุงฮานอยมาไว้ใจกลางกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ภายในโรงแรม Ramada Plaza by Wyndham Bangkok Sukhumvit บนถนนสุขุมวิท 48 ย่านที่เนืองแน่นไปด้วยรถราและผู้คนตลอดวัน     คำว่า Morning Glory นอกจากจะหมายถึง ผักบุ้ง ซึ่งเป็นพืชประจำถิ่นที่นิยมทานคู่กับหลากหลายเมนูอาหารของเวียดนามแล้ว ยังหมายรวมถึงแสงยามเช้าอันโชติช่วง ด้วยความเชื่อว่าการได้รับประทานอาหารที่ดี ย่อมก่อให้เกิดความสดใสเบิกบานต้อนรับชีวิตแรกตื่นในยามเช้า     เชฟบัง วาลิต เลิศปัญญา เชฟมากประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญในการทำอาหารทั้งไทย จีน และเวียดนาม ได้หยิบเอาอาหารเวียดนามมานำเสนอในรูปแบบดั้งเดิมและประยุกต์ โดยใช้วัตถุดิบและเครื่องปรุงที่ส่งตรงจากเวียดนามเกือบ 100% ทั้งยังให้ความสำคัญกับวัตถุดิบสดใหม่ ผักออร์แกนิกจากสวนเกษตรกร เนื้อสัตว์จากฟาร์มที่สะอาดและปลอดภัย รังสรรค์เป็นเมนูอาหารกว่า 30 รายการ อาทิ   บั้นแบ่ว ขนมถ้วยเวียดนาม หน้าตาแอบคล้ายขนมถ้วยบ้านเราแต่เป็นอาหารคาวไม่ใช่ของหวาน แป้งหนึบๆ นุ่มๆ ทำจากแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวจ้าว โรยหน้าด้วยหมูสับที่ผัดกับซอสเวียดนาม กระเทียม และรากผักชี     จ่าก่อย เปาะเปี๊ยะทอดแป้งตาข่ายเส้นทะเล กรอบตั้งแต่แผ่นแป้งด้านนอกถึงแผ่นแป้งด้านใน เมื่อกัดเข้าไปจะเจอกับไส้ทะเลล้วนทั้งหมึก กุ้ง ปลา รสชาติกลมกล่อม     มาร้านอาหารเวียดนามทั้งทีจะขาดเมนู แหนมเนือง ไปไม่ได้ จัดใส่จานชุดใหญ่ไล่เรียงตั้งแต่หมูหมักเสียบไม้ แผ่นแป้งที่ไม่ต้องชุบน้ำ ผักสดออร์แกนิก และเครื่องเคียงครบครัน ทีเด็ดอยู่ตรงน้ำจิ้มสูตรเด็ดของร้าน รสหวานนำ ตักน้ำจิ้มราดปิดท้ายหลังห่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน อร่อยลงตัว     บั่นแซ่ว ขนมเบื้องญวน ไส้แน่นเต็มแผ่นทั้งเนื้อกุ้ง เนื้อหมู ถั่วลิสงคั่วบด และถั่วงอก จานนี้เชฟกระซิบว่าสไตล์เวียดนามแท้แป้งต้องกรอบเฉพาะบริเวณขอบๆ ส่วนแป้งที่รองไส้จะยังคงนุ่ม     บั่นก้วน ปากหม้อญวน และปากหม้อญวนใส่ไข่ แป้งบางเหนียวนุ่ม โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวและต้นหอม เสิร์ฟเคียงหมูยอ ถ้าเป็นแบบใส่ไข่ เวลาตัดไข่แดงด้านในจะไหลเยิ้มชวนน้ำลายสอ       ใครชอบความจัดจ้าน ต้องสั่งเมนูนี้เลย บุ่นปอเฮ ขนมจีนซุปเนื้อ คล้ายกับเฝอแต่ใส่เป็นเส้นขนมจีนแทน พร้อมเนื้อและหมูยอที่ให้มาแบบล้นชาม     จาก๋า ปลาเก๋าขมิ้นกระทะร้อน เสิร์ฟมาในหม้อไฟพร้อมผักชีลาว เนื้อปลาไร้กลิ่นคาว ผัดเข้ากันกับขมิ้นที่ส่งกลิ่นหอม กินคู่กับน้ำจิ้มกะปิเวียดนามที่มีรสชาติเผ็ดนิด หวานหน่อย และมีน้ำจิ้มซีฟู้ดเพิ่มเป็นทางเลือกสำหรับผู้ไม่ชอบรสชาติกะปิอีกด้วย     เนื้อย่างใบชะพลู ทานคู่กับหมี่ขาวลวก และน้ำจิ้มใสสไตล์เวียดนาม แกล้มด้วยผักสดให้เคี้ยวตัดเลี่ยน     ตบท้ายมื้อนี้ด้วยของหวานล้างปากอย่าง สาคูแคนตาลูป และ โอนีแปะก๊วย       สำหรับคอกาแฟที่หลงใหลในกลิ่นและรสชาติของกาแฟคั่ว เราแนะนำ กาแฟเวียดนาม เสิร์ฟมาพร้อมกับอุปกรณ์ดริป โดยใช้น้ำร้อนเทผ่านถ้วยกรองที่มีผงกาแฟอยู่ด้านใน กาแฟจะค่อยๆ หยดจากถ้วยกรองลงในแก้วที่รองพื้นด้วยนมข้นหวาน และเมื่อคนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน จะได้ลิ้มรสกับความเข้มข้น หวานมัน กลมกล่อม ตามแบบฉบับกาแฟเวียดนามท้องถิ่นแท้ๆ     นอกจากเมนูอะลาคาร์ท ร้าน Morning Glory ยังโดดเด่นด้วยการให้บริการ ชาบูบุฟเฟ่ต์ ราคาเซตละ 799 บาท ชาบูสไตล์เวียดนาม ที่มีให้กินอิ่มครบจัดเต็มทั้งของว่าง เนื้อและหมู สารพัดผักนานาชาติ ให้คุณเพลิดเพลินไม่อั้นในเวลา 2 ชั่วโมง     อีกหนึ่งรูปแบบการให้บริการคือ Chef’s Table ซึ่งเมนูอาหารจะเป็นเมนูที่เชฟกำหนด และมี Surprised Menu แตกต่างกันในแต่ละไตรมาส จำนวน 15 รายการ ครบครันทั้งจานหลัก ของหวาน ในราคา 1,000 บาท (net ต่อท่าน)  โดยต้องสำรองที่ล่วงหน้า 2 วัน จำกัดจำนวน 4-12 ท่านต่อครั้ง

ถ้าพูดถึงร้านอาหารเช้าเก่าแก่ของเมืองไทย ร้านไหนจะเก่า (แต่เก๋า) ไปกว่า On Lok Yun - ออน ล๊อก หยุ่น ร้าน All day American Breakfast ที่เสิร์ฟความอร่อยตั้งแต่ 1933 กว่า 90 ปี จนเดี๋ยวนี้ก็ยังได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลายทั้งจากคนรุ่นเก่า วัยทีนส์ และนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน อาจเป็นเพราะความคลาสสิกของอาหารและมู้ดแอนด์โทนของร้านที่ให้อารมณ์เสมือนได้ย้อนเวลากลับไปนั่งกินมื้อเช้าจุใจ จิบกาแฟชิลๆ ในวันสบายๆ อันเป็นวิถีสโลว์ไลฟ์ของคนสมัยก่อน         ตัวร้านตั้งอยู่ ณ ถนนเจริญกรุง หรือจะนั่ง Mrt มาลงสถานีสามยอด (ทางออก 3) ก็ได้เหมือนกัน บรรยากาศยังคงเหมือนสมัยโก๋วังหลัง เฟอร์นิเจอร์ของเก่าทำให้นึกย้อนไปถึงวันวาน อาทิ โต๊ะกลมโบราณ ตู้เก่าที่ภายในเต็มไปด้วยของตกแต่งหาดูยาก เข้ากับมื้อเช้าง่ายๆ แต่อร่อยซึ่งเป็นเมนูซิกเนอร์ประจำร้าน ไม่ว่าจะเป็น 3 Toppings (Large) ชุดอาหารเช้าน่าหม่ำที่ประกอบไปด้วยแฮมรสเค็มละมุน ไส้กรอกชิ้นพอดีคำ และเบคอนทอดกรอบแต่ไม่อมน้ำมัน จิ้มกับซอส 3 อย่าง ฉบับของทางร้านอร่อยลงตัว     ต่อด้วย 2 Eggs + 4 Topping ไข่กวนสองฟองสุดอิ่มเอม ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของพริกไทย เข้าคู่ไปกับกุนเชียงเนื้อแน่นรสหวาน แฮมแผ่นใหญ่ ไส้กรอก และเบคอนรสเค็มกลมกล่อม     มาแล้วห้ามพลาด Signature French Toast ขนมปังชุบไข่ เมนูดาวเด่นประจำร้าน ขนมปังเนื้อนุ่มชุบไข่จนเข้าเนื้อ จากนั้นนำไปทอดตามแบบฉบับร้าน กินคู่กับซอสพริกรสเปรี้ยวเผ็ดเล็กๆ     Steamed Bread with Kaya ขนมปังเนื้อนุ่มฟูที่ตัดขอบมาอย่างดี เสิร์ฟพร้อมสังขยาสไตล์โฮมเมด รสหวานมัน เทนมสดครีมมีลงไปด้วย จิบคู่กับชาจีนร้อนๆ สุดฟิน     Milo Toast เมนูน้องใหม่ ขนมปังเนื้อหนาฟู ปิ้งจนหอม ได้รสหวานผสมเข้มกลมกล่อมของผงไมโลที่หลายคนเลิฟ ราดด้วยนมข้นเพื่อทวีความฟินอีกที     หรือใครชอบแบบดั้งเดิมจะสั่ง Toast with Butter ก็ได้นะ เขามีให้เลือกทั้งทาน้ำตาล แยม และนมข้น (เราเลือกอันนี้) ขนมปังเนื้อซอฟต์ๆ ที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยเนยและนมข้นรสหวานมัน ถือเป็นสวรรค์ของสายหวาน     ส่วนเครื่องดื่มเราสั่ง Ice Milk Tea ชาเย็นที่เรารัก รสหวานกำลังพอดี ได้กลิ่นหอมเล็กๆ ของใบชา และ Ice Lemon Tea รสเปรี้ยวอมหวาน ดื่มแล้วชื่นใจ     พร้อมเริ่มวันใหม่กับคุณทุกวันก็ “ออน ล๊อก หยุ่น” นี่แหละ

Yuenan (เยี่ยหนาน) ร้านอาหารเวียดนามสุดโมเดิร์น ภายในตึกเก่าตรงข้ามวัดโสมนัสราชวรวิหาร ย่านหลานหลวง ที่เน้นเสิร์ฟอาหารเวียดนามรสเข้มข้นสไตล์โฮมเมด โดยทางร้านนำวัตถุดิบคุณภาพดี มาปรุงจนได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เติมแต่งความสร้างสรรค์ลงไป กลายเป็นเมนูสุดน่ารับประทาน     ตัวร้านตกแต่งด้วยโทนสีดำและแดงเป็นหลัก เปี่ยมไปด้วยความดิบเท่ห์ โดยคุณแนน - ปิยมน บันทัดทอง และคุณแนท - ดลฤดี บันทัดทอง สองพี่น้องเจ้าของร้าน ต้องการรีโนเวตตึกแถวขายอะไหล่รถยนต์เก่า ให้กลายเป็นร้านอาหารเวียดนาม ที่ผสมผสานความเป็นจีนจากสีแดง และความเป็นฝรั่งเศสจากมุมที่นั่งเก้าอี้โค้ง ชวนให้เราสะดุดตาตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปเยือน       เริ่มด้วยเมนูที่ใครมาเป็นต้องลอง แนม เนื้อง (300.-) แหนมเนืองแป้งกรอบบาง ไม่ผ่านการแช่น้ำ เสิร์ฟมาพร้อมหมูย่างไม้ลำไยหอมกลิ่นเตาถ่าน สัปปะรดภูแลฉ่ำหวานจากเชียงราย พริกกะเหรี่ยงและผักสด โดยทางร้านมีสอนวิธีการห่อ แนมเนื้องสไตล์เยี่ยหนาน ที่จะได้สัมผัสของทุกวัตถุดิบ และเครื่องเคียงภายในคำเดียว       ต่อด้วยเมนูซิกเนเจอร์ บั๊น แบ่ว (180.-) ขนมถ้วยหน้าหมูสไตล์เวียดนาม ด้านล่างทำจากแป้งข้าวเจ้านึ่ง ท็อปด้วยหมูสับปรุงรส หมูยอ หมูฝอย ราดน้ำปลาพริกส้มจี๊ด อร่อยครบรส       บั๊น แส่ว  (220.-) ขนมเบื้องญวน แป้งบางสีเหลืองสวย สอดไส้ กุ้งตัวโต หมูสับ เต้าหู้ และถั่วงอก ผัดมาด้วยไฟแรงหอมกลิ่นกระทะ เสิร์ฟพร้อมผักดองและน้ำปลาพริกส้มจี๊ด หรือจะเลือกเป็น ก่อย ก๋วน (220.-) เปาะเปี๊ยะสดกินคู่กับน้ำจิ้มเนยถั่ว ประกอบไปด้วย ไส้กุ้งสดกรอบ ไส้ไข่ที่สอดแทรกหมูยอ กุนเชียง ขนมจีน ผักสด และไส้แตงกวาที่อัดแน่นหมูสามชั้นต้มน้ำปลามาแบบเต็มคำ       ปิดท้ายด้วย จ่าย เนื้อง (290.-) หอยแมลภู่ปรุงรสเข้มข้นอบจนสุกกำลังดี เนื้อฉ่ำหวาน จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดสไตล์เวียดนาม ประกอบไปด้วย เกลือ พริกบดสด พริกไทย และผงชูรส บีบมะนาวเพิ่มความจี๊ดจ๊าด เป็นเมนูสตรีทฟู้ดของเวียดนามที่ห้ามพลาด