แดดร่มลมเย็นริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เรือของโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ พาเราเทียบท่าหน้าเรือนไม้หลังงาม ยินดีต้อนรับสู่ “บ้านพระยา” (Baan Phraya) ห้องอาหารไทยแห่งใหม่ของโรงแรม เดิมทีบ้านพระยาเป็นบ้านของพระยามไหสวรรย์ (กอ สมบัติศิริ) และคุณหญิงเลื่อน มไหสวรรย์ ที่สร้างขึ้นราวพ.ศ.2440-2450 ในอดีตบ้านไม้หลังนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เพราะทั้ง 2 ท่านได้เปิดบ้านหลังนี้เพื่อจัดเลี้ยงอาหารค่ำต้อนรับบุคคลสำคัญทั้งในประเทศและต่างประเทศอยู่หลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งสูตรอาหารของคุณหญิงเลื่อนยังเป็นที่เลื่องลือว่าหาใครเปรียบโดยเฉพาะขนมไทย ถึงขนาดเคยมีบันทึกไว้ว่า ยากที่หาใครทำขนมหวานได้อร่อยเช่นนี้ นี่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ทางโรงแรมอยากเปิดครัวอันครึกครื้นให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยมีเชฟป้อม พัชรา พิระภาค เชฟผู้เชี่ยวชาญอาหารไทยมาเป็นผู้ถ่ายทอด โดยมีโจทย์ว่าหากงานเลี้ยงโก้หรูในยุคสมัยนั้นเกิดขึ้น ณ ขณะนี้ หน้าตาอาหารและรสชาติจะเป็นอย่างไร เวลคัมดริงก์ของบ้านพระยาเป็นคอมบูชาที่มีส่วนผสมของมะตูมและน้ำผึ้งมัลเบอร์รี่ออร์แกนิก จิบแล้วชื่นใจ แล้วเรียกน้ำย่อยด้วยม้าฮ่อ ที่ปรับโฉมให้หน้าตาทันสมัยโดยเปลี่ยนจากชิ้นสับปะรดเป็นเจลแผ่นสีทองที่ทำจากน้ำสับปะรด กระตุ้นต่อมรับรสได้ดี ในส่วนอาหารทั้งค่ำ 8 คอร์สที่เชฟป้อมนำเสนอเริ่มด้วย ขนมดอกจอกไข่ปู ที่เชฟทำเป็นของว่างแบบคาว โดยหยอดไข่ปูลงไประหว่างช่องของดอกจอก ออนท็อปด้วยผงไข่ปู ส้มซ่าเจล โรยผิวส้มซ่าด้านบน เมื่อกินพร้อมกันแล้วจะได้ทั้งความกรอบ รสมัน และกลิ่นของส้มซ่าในคำเดียว คอร์สถัดมายำถั่วพูหอยเชลล์ หอยเชลล์ฮอกไกโดหมักกับหัวน้ำปลา 100 ปี (จากโรงน้ำปลาทั่งง่วนฮะ) ข้างๆ กันคือไข่นกกระทาลวดลายหินอ่อนที่ดองในน้ำกระเจี๊ยบ ได้รสเผ็ดจากน้ำพริกเผาสูตรคุณยายของเชฟป้อม ด้านบนโรยไข่เค็มฝอย ใบเปราะหอม และดอกรวงทอง ต่อด้วยแกงร้อน หรือที่เรียกว่าวุ้นเส้นแกงร้อน เมนูโบราณหากินยาก เชฟเพิ่มความหรูหราด้วยการนำปลาหมึกมาหั่นเป็นเส้นขนาดเล็กแทนวุ้นเส้น เคี้ยวสนุกสู้ฟัน เคียงด้วยไข่ปลาหมึกสโมค ส่วนน้ำแกงกะทิรสเผ็ดร้อนจากพริกไทย 4 ชนิดคือพริกไทยกัมปอด พริกไทยอ่อน พริกไทยชมพู และพริกไทยขาว สำหรับคอร์สที่ 4 เป็นคอร์สที่เรารอคอย หลามปลาบู่และแจ่วมะเขือเผา เนื้อปลาบู่ติดหนังประกบกับเนื้อปลาบู่สับ นำไปใส่ในกระบอกไม้ไผ่แล้วย่างด้วยเตาถ่านจนสุกหอม เสิร์ฟกับแจ่วมะเขือเผารสเผ็ดเล็กน้อย กินพร้อมข้าวสวยและผักสด แล้วล้างปากด้วยด้วยยำผลไม้ เราชอบน้ำยำรสสดชื่นทำจากน้ำส้มซ่า น้ำมะกรูด น้ำมะนาว ผิวส้มซ่า ใส่กุ้งแห้งฝอย และหัวน้ำปลา เข้าสู่จานหลัก กุ้งแม่น้ำย่างซอสน้ำพริกมะขามและหลนมันกุ้ง กุ้งแม่น้ำตัวโตจากสุราษฎร์ธานี ย่างด้วยเตาถ่าน เนื้อนุ่มแน่น ส่วนมันกุ้งเชฟนำมาทำเป็นหลนกะทิรสนุ่มนวล อีกฝั่งเป็นน้ำพริกมะขามตัดรสกัน เสิร์ฟพร้อมข้าวกล้องจากสกลนคร อีกจานคือพะแนงเนื้อวากิวยอดมะพร้าวอ่อน ความอร่อยอยู่ที่น้ำแกงของพะแนงรสเข้มข้นซึ่งได้จากเครื่องแกงโขลกเองผสานกับน้ำที่ได้จากเนื้อวากิว ปิดท้ายด้วยรถเข็นขนมหวานที่มีขนมให้เลือกมากกว่า 10 ชนิด โดยมี 4 นางเอกหลักคือไอศกรีมมะพร้าว ที่ทำให้เหมือนมะพร้าวในกะลาขนาดจิ๋ว ตรงกลางเป็นเนื้อมะพร้าวปั่นเป็นมูส ส่วนผิวกะลาทำจากช็อกโกแลต ส้มฉุน ผลไม้ตามฤดูกาลลอยแก้วเสิร์ฟในผลส้มซ่ารสเปรี้ยวหวานสดชื่น ส่วนน้อยหน่าน้ำกะทิ ใช้น้อยหน่าเพชรปากช่องเสิร์ฟกับน้ำกะทิกรานิต้า และพลาดไม่ได้กับฝรั่งพริกเกลือ ฝรั่งจิ้มพริกเกลือแบบโบราณที่ได้จากการนำเกลือไปคั่วกับมะพร้าวคั่วจนหอม ใส่กุ้งแห้งป่น ปลาหมึกบด เกลือ น้ำตาล รสชาติกลมกล่อมนัก เป็นความสุนทรีย์ในการกินที่หาได้ที่นี่เท่านั้น...ที่บ้านพระยา

เคยลิ้มลองเมื่อนานมาแล้วแต่ยังจำได้ดีถึงความอร่อยของ Akira Back Restaurant and Bar ร้านอาหารสไตล์เอเชียร่วมสมัย ที่ตั้งอยู่บนชั้น 37 ของโรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค ครั้งนี้มีโอกาสแวะเวียนเข้ามาชิมเมนูใหม่ๆ สักหน่อย พูดถึงความเป็นมาของห้องอาหารกันเล็กน้อย ผู้ก่อตั้งคือ เชฟ อาคีรา แบค เชฟมิชลินสตาร์ชาวเกาหลีที่เติบโตในประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเขามีร้านอาหารหลายสาขาทั่วโลก อาคีรา เเบค เรสเตอรองท์ แอนด์ บาร์ ยังมีกำลังสำคัญอย่าง เชฟซองฮยอน ยุน เชฟใหญ่ประจำห้องอาหาร ซึ่งเป็นชาวเกาหลีใต้ที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ คอยครีเอทจานอร่อยสไตล์อีสมีทเวสท์โดยผสมผสานระหว่างอาหารญี่ปุ่นและเกาหลี ที่มีทั้งแบบอะลาคาร์ต โอมากาเสะและซูชิบาร์ จิบคู่ไปกับสาเกชั้นดีจากจังหวัดอิวะเตะ ประเทศญี่ปุ่น หรือจะลิ้มรสพร้อมไวน์และคราฟเบียร์นานาชนิด จานแรกเราสั่งเป็น Toro Tartare ทาร์ทาร์ปลาเนื้อหวาน ที่ทางร้านปรุงสดๆ ด้วยครีมวาซาบิ ใบไชส์ หอมแดง ไข่ขาว ไข่แดง วาซาบิดอง พริกจาลาปิโน ใบต้นกระเทียมญี่ปุ่น กระเทียมซอยทอด ผสมด้วยซอสถั่วเหลือง และวาซาบิ กินพร้อมขนมปังโฮมเมด Eringi Pizza พิซซาแป้งบางกรอบหน้าเห็ดออรินจิ ทีเด็ดอยู่ที่การทาซอสสูตรลับฉบับของทางร้านบนแป้งพิซซา ได้รสเค็มพอดีและหอมกลิ่นน้ำมันทรัฟเฟิล Lamb Chops จานนี้เป็นเมนูดาวเด่น ขาแกะชิ้นโตๆ สัญชาติออสเตรเลีย ย่างระดับมีเดียมแรร์เข้าคู่กับซอส Chipotle Anticucho สไตล์ทวีปอเมริกาใต้ รสเปรี้ยวผสมเผ็ด เคียงมันฝรั่งฝอยทอด   ซูชิเลิฟเวอร์ต้องปลื้ม Perfect Storm เป็นซูชิโรลดาวเด่นประจำร้าน ข้าวญี่ปุ่นเนื้อหนึบห่อกุ้งชุบแป้งทอด ทูน่าสไปซี่ แซลมอนย่างไฟและซอสมาโยรสครีมมี จานต่อไปคือ Hamachikama แก้มปลาหางเหลืองชิ้นโต ชุบซอสกิมจิรสหวานกลมกล่อม ย่างบนเตาถ่าน เสิร์ฟคู่สลัดผักกรุบกรอบ ปิดท้ายกันกับของหวานซิกเนเจอร์อย่าง Valrhona Lava Souffle ขนมหวานลูกครึ่งเค้กช็อกโกแลตลาวา ที่ทำจากช็อกโกแลต Valrhona จากเกาะมาดากัสการ์ และซูเฟลเนื้อฟู เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมรสวานิลลาโฮมเมด รสหวานมันชื่นใจนี้ครีเอทมาจากฝักวานิลลาแห่งเกาะมาดากัสการ์ และ Honey Yogurt Panna Cotta พานนาคอตตาโยเกิร์ต ก่อนกินให้เคาะแผ่นน้ำตาลราสป์เบอร์รีลงไป ตักกินพร้อมซอร์เบท์มะพร้าว เบอร์รีต่างๆ และครัมเบิ้ลกรุบกรอบยิ่งอร่อย  

สิ้นสุดการรอคอยที่จะได้ลิ้มรสความอร่อยของอาหารอิตาเลียนสไตล์ไฟน์ คอนเทมโพรารีของร้าน Acqua Restaurant Bangkok ร้านอาหารแห่งที่ 2 ของเชฟ Alessandro Frau เชฟชาวอิตาเลียนผู้สร้างตำนานให้กับร้าน Acqua Phuket ร้านอาหารอิตาเลียนในภูเก็ตที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติมากว่า 13 ปี และได้รับการแนะนำบนคู่มือร้านอาหารมากมาย ทั้ง Michelin Guide Thailand, Tatler Best Restaurant Guide และ Miele Asia Finest Restaurant Guide ร้าน Acqua Restaurant Bangkok ดูสวยสง่าตั้งแต่ทางเข้า ทางเดินกระจกผ่านสวนร่มรื่นนำไปสู่ภายในร้านที่ตกแต่งด้วยโทนสีขาวทองดูหรูหราแต่ก็แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น ผนังและเพดานแต่งลวดลายของเกลียวคลื่นและฟองน้ำสื่อถึงชื่อร้านที่แปลว่า “น้ำ” เราชอบเก้าอี้ที่ออกแบบมาให้นั่งสบายเพื่อที่แขกจะได้ค่อยๆ ละเลียดความอร่อยของอาหารแบบลืมเวลา และหากต้องการความเป็นส่วนตัวทางร้านก็มีห้องไพรเวตขนาด 4 และ 8 ที่นั่งไว้รองรับ ที่สำคัญคือมีที่จอดรถกว้างขวางสะดวกสบายอีกด้วย “We bring a breeze of sea from Phuket and Sardinia to Bangkok” คือความตั้งใจของเชฟ Alessandro ในการทำร้านแห่งนี้ ขณะที่รักษาความเรียบง่ายที่จะทำให้ลูกค้าเอร็ดอร่อยไปกับรสชาติของอาหารได้อย่างเต็มที่ ก็สอดแทรกแนวคิดแบบ Innovative ใส่ความสนุกสนานอ่อนเยาว์และสีสันของเมืองลงไปในอาหาร รวมทั้งเลือกสรรวัตถุดิบจากทั่วโลก ผสมผสานออกมาเป็นเมนูซีฟู้ด เนื้อสัตว์ รวมทั้งพาสต้าเส้นสด และที่แน่ๆ เมนูที่ลูกค้าหลงรักจากร้าน Acqua Phuket จะมีให้ลิ้มลองที่นี่อย่างแน่นอน เมนูที่เชฟแนะนำเริ่มจาก Sardinian Smoked Eel served with pickled vegetable (750 บาท) จานเรียกน้ำย่อยที่ดูเหมือนแปลงดอกไม้สุดน่ารัก ตัวเอกของจานคือปลาไหลเนื้อนุ่มอุดมไขมันจากเกาะซาร์ดีเนียในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งเป็นบ้านเกิดของเชฟเอง ซึ่งมักเอามาทำเป็นบาร์บีคิวกัน แต่เชฟเลือกนำมารมควันให้กลิ่นหอมและเสิร์ฟแบบเย็นกับผักดองรสหวานและเปรี้ยวในซอสน้ำสมสายชูขาว (white balsamic vinegar) เป็นจานเบาๆ ที่ให้สัมผัสสดชื่น จานนี้เป็นจานที่เชฟปรุงขึ้นจากอาหารในความทรงจำคือเอ็นตุ๋นซึ่งนุ่มและอร่อยมากใส่ในสลัดกับใส่ผักดองและน้ำส้มสายชูที่มีรสสดชื่น รสชาตินั้นนำมาซึ่งแรงบันดาลใจให้กับอาหารจานนี้ จานต่อมาเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่เชฟรักมากนั่นคือ Raw Sicilian Red Prawns Rosso di Mazara (1,250 บาท) หรือกุ้งแดงจากแคว้นซิชิลี เสิร์ฟแบบเฟรชให้ผู้ที่ลิ้มลองได้อิ่มเอมกับเนื้อหวานนุ่มละมุนเปี่ยมด้วยความอูมามิ เพื่อคงรสชาติสดชื่นไว้จึงปรุงรสด้วยน้ำเลมอน น้ำมันมะกอก และทอปด้วยครีมชีสมอสซาเรลลารมควันและไข่ปลาไซบีเรียนคาเวียร์ เรียบง่ายทว่าขับเน้นรสชาติได้อย่างดีเยี่ยม เชฟมั่นใจในความสดใหม่ของกุ้งแดงซิชิลีนี้มากเพราะรู้จักกับคุณ Paolo Giacalone แห่งตระกูลประมง Rosso di Mazara ตระกูลประมงจากซิชิลี แหล่งจับกุ้งแดงที่ดีที่สุด ที่เป็นผู้ส่งออกกุ้งแดงที่ทางร้านใช้อยู่ด้วย จานหลักเป็นพาสต้าเส้นสดที่ทางร้านทำเอง Burrata stuffed Tortelli with Wagyu Beef Cheeks ragout and black truffle (1,500 บาท) แต่เดิมจานนี้เป็นเมนูใหม่ประจำฤดูกาล เริ่มจากเชฟได้เนื้อวากิวมาก่อนแล้วอยากทำให้นุ่มอร่อยขึ้นอีกจึงนำมาสโลว์คุกนาน 3 วัน จากนั้นจึงนำมาทำเป็นรากูต์ (ragout) เพื่อให้รสชาติเข้มข้นขึ้น ด้วยรสชาติที่เป็นเหมือนลูกระเบิดแห่งความอร่อยในปากทำให้เมนูนี้ได้รับความนิยมอย่างมากทันทีที่เปิดตัวที่ภูเก็ตจนต้องบรรจุเป็นเมนูประจำในที่สุด และนำเอาความอร่อยนี้มาถึงกรุงเทพฯ ด้วย   อาหารอร่อยย่อมคู่กับเครื่องดื่มดีๆ ถัดจากโซน Open Kitchen เข้าไปจะเป็นโซนบาร์ขนาดใหญ่เชื่อมสู่สวนด้านนอกให้เราได้เพลิดเพลินกับเครื่องดื่มในบรรยากาศสุดชิล ลองสั่ง Romeo & Juliet (350 บาท) เครื่องดื่มสีแดงสวยที่มีส่วนผสมของ Rose syrup, ginger ale, Chardonnay wine, Hendrick’s Gin และ aperol ให้รสหวานนิดๆ สดชื่นกำลังดี เพิ่มดีกรีความเพลิดเพลินให้กับมื้ออาหาร นอกจากบาร์ผสมเครื่องดื่มแล้ว ทางร้านยังมีห้องเก็บไวน์ซึ่งคัดสรรไวน์โดย Sacha Di Silvestre ผู้เป็น Manager and Sommelier ประจำร้าน เขาเคยร่วมงานกับเชฟ Massimo Bottura เชฟมิชลินสตาร์ 3 ดาวที่ Casa Maria Luigia และร้านอาหาร Osteria Francesana ร้านอาหารซึ่งเคยได้อันดับหนึ่งจากการจัดอันดับ World’s 5o Best Restaurants มาแล้ว ประสบการณ์เรื่องไวน์จึงแน่นปึ้ก คุณซาช่ากำลังอยู่ระหว่างการคัดสรรชีสชั้นยอดจากทั่วโลกสำหรับห้องเก็บชีสในร้านเพื่อให้ผู้ที่รักชีสได้มาลิ้มลองเร็วๆ นี้ด้วย เรียกว่าเป็นร้านอาหารอิตาเลียนในกลางกรุงที่ครบเครื่องทั้งเรื่องกินและดื่มในบรรยากาศดีๆ เหมาะสำหรับเป็นจุดแฮงค์เอาต์ของผู้ที่ชอบอาหารอร่อยและวัตถุดิบสดใหม่ เชฟยังแอบหยอดความหวังให้คอกาแฟด้วยว่าเขากำลังวางแผนจะเปิดร้านคาเฟ่สไตล์อิตาเลียนตอนใต้ไว้เสิร์ฟอาหารง่ายๆ และกาแฟอิตาเลียนแท้ๆ ในบริเวณใกล้เคียงกันอีกด้วย อดใจรอได้เลย

หลังจากเปิดขายออนไลน์จนลูกค้าติดอกติดใจ ก็ถึงเวลาที่ร้าน คนละหม้อ จะเปิดหน้าร้านให้เราได้ตามไปชิม กุ้งอบวุ้นเส้นรสชาติเยี่ยม ภายในตึกแถว 3 ชั้น ย่านทองหล่อที่ตกแต่งร้านในสไตล์ Modern Street Chinese ตัวร้านแบ่งเป็นชั้นลอย มีที่นั่ง 1-2 โต๊ะสามารถมองเห็นครัวเปิดได้อย่างชัดเจน ส่วนชั้นสองเป็นชั้นที่ชวนให้รู้สึกสบายตา ด้วยแสงไฟสีส้มและเฟอร์นิเจอร์ไม้ ซึ่งมีบันไดวนเชื่อมขึ้นไปถึงชั้น 3 ที่เปิดเป็นห้องไพรเวตไว้บริการ นอกจากเมนูกุ้งอบวุ้นเส้นอันเลื่องชื่อ ตัวอาหารทะเลของทางร้านก็สดใหม่ ส่งตรงจากตำบลมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร นำมาปรุงอย่างพิถีพิถัน จนได้อาหารรสเข้มข้นไม่เหมือนใคร เริ่มด้วย กุ้งลายเสืออบวุ้นเส้น (350.-) กุ้งลายเสือไซส์ใหญ่เนื้อหวานเด้ง อบมากับวุ้นเส้นเหนียวนุ่ม ที่ทำจากถั่วเขียว 100% คลุกเคล้าน้ำซอสสูตรพิเศษหอมเครื่องเทศ กลมกล่อม ต่อด้วย ปลากะพงนึ่งบ๊วย (269.-) ปลากะพงชิ้นโต เนื้อสดหวาน ไร้คาว เสิร์ฟในหม้ออบร้อนๆ ราดซอสบ๊วยรสเปรี้ยวหวานเค็ม กินพร้อมข้าวสวยเข้าคู่กันอย่างลงตัว หรือจะเลือกเป็น ทะเลถัง (499.-) ที่ประกอบไปด้วยกุ้ง หมึกกระดอง และหอยแมลงภู่ คลุกเคล้ากับน้ำซอสสูตรเด็ดรสชาติเข้มข้น สามารถเลือกเทกินบนโต๊ะ หรือใส่ถุงมือกินในหม้อก็ฟินไม่แพ้กัน เมนูของหวานยกให้ คัสตาร์ดบลูเบอร์รีโฮมเมด (99.-) เนื้อเนียน รสหอมหวานคาราเมล ราดซอสเบอร์รีรสเปรี้ยวหวาน วุ้นเก็กฮวย ทำจากน้ำเก็กฮวย เสิร์ฟพร้อมน้ำเชื่อมเก็กฮวย รสหวานน้อยและ วุ้นจับเลี้ยง (69.-) ราดไซรัปบราวน์ชูก้า หวานอร่อยกินเพลิน ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ น้ำแจ่มจำรัส (89.-) ที่ผสานน้ำมะนาว น้ำผึ้ง และโคล่าเอาไว้ด้วยกัน รสเปรี้ยวหวานซ่า ดื่มแล้วชื่นใจ  

กลายเป็นว่ากระแสที่มาแรงแห่งปี 2565 นี้ต้องยกให้กับอินเดีย จากภาพยนตร์คังคุไบที่ฮิตกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง และถ้าพูดถึงพิกัดกินอาหารอินเดียในกรุงเทพฯ แล้วล่ะก็ ถนนคนเดินริมคลองโอ่งอ่างที่คาบเกี่ยวระหว่างย่านการค้าสำเพ็งและพาหุรัดคือสวรรค์ที่แท้จริง!     Mama Restaurant โดดเด่นด้วยสีน้ำเงินสว่าง ใครเดินผ่านไปผ่านมาก็ต้องสะดุดตาอย่างแน่นอน แต่ใช่ว่ามีแค่ความสะดุดตา เพราะที่นี่เปิดให้บริการอาหารอินเดียมาแล้วนานกว่า 20 ปี จนเป็นที่รู้จักทั้งในกลุ่มคนละแวกนี้รวมถึงนักท่องเที่ยว เห็นได้จากคนที่เดินทางเข้ามารอลิ้มลองกันอย่างไม่ขาดสาย     เริ่มต้นด้วยเมนูดังที่ขึ้นชื่อว่าพลาดไม่ได้อย่าง ปานิปูริ แป้งทรงกลม ข้างในกลวงเป็นโพรงเพื่อใส่เครื่องนานาชนิด เช่น มันฝรั่ง ถั่วชิกพี ผักชี ราดซอสมะขามและซอสผักชีให้ชุ่ม กัดกินในคำเดียว ได้รสชาติอร่อยกลมกล่อมครบรส     จานกินเล่นถัดมาคือ โมโม่นึ่งไส้ไก่ ที่รูปร่างหน้าตาดูคล้ายกับเกี๊ยวนึ่งตัวอวบอ้วน คาดว่าได้อิทธิพลมาจากอาหารจีนและเนปาล ที่มีเมนูโมโม่ในรูปแบบเดียวกันนี้ เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสเผ็ด เพิ่มรสชาติให้จัดจ้านกินเพลิน     ต่อมาเป็นอีกเมนูขายดีของร้าน ชิกเก้น ติ๊กก้า มาซาล่า หรือ แกงไก่ทิกก้ามาซาล่า แกงไก่อินเดียขนานแท้ น้ำแกงสีส้มหอมกลิ่นเครื่องเทศเข้มข้น เข้ากับเนื้อไก่นุ่ม ๆ กินคู่กับแผ่นแป้งนาน ที่ทางร้านก็มีให้เลือกหลากหลายรสชาติ     และที่เราเลือกมาลองในคราวนี้เป็นรสชาติยอดนิยม ได้แก่ นานมันฝรั่ง และอีกชนิดหนึ่งที่น่าลองไม่แพ้กันคือ นานหัวหอม จิ้มกินกับน้ำแกงก็ดี หรือจะลองกินเปล่า ๆ ก็ได้อีกรสชาติของแป้งนานที่เหนือไปกว่าแป้งเปล่า ๆ     หากไปเยือนในช่วงกลางวัน อย่าลืมสั่งเครื่องดื่มสไตล์อินเดียอย่าง ลาสซี่หวาน หรือ ลาสซี่มะม่วง มาดับร้อนจากแสงแดด รับรองว่าหวานเย็นชื่นใจแน่นอน  

หากใครอยากเปิดประสบการณ์กินสตรีทฟู้ดอินเดียให้ตรงมาที่ Mr. Jogg’s ในโครงการ Block 28 ย่านจุฬา ที่มาในคอนเซ็ปต์ร้านอาหารอินเดียสไตล์ฟาสต์ฟู้ด เสิร์ฟไว รับประทานง่าย รังสรรค์ความอร่อยโดยเชฟชาวอินเดียที่มีประสบการณ์นานกว่า 10 ปี       ตัวร้านเลือกใช้เป็นโทนสีฟ้าเหลืองสดใสสะดุดตา เสริมบรรยากาศอบอุ่นด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ และแสงธรรมชาติที่ส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่เข้ามาภายในทำให้ร้านสว่างไสวตลอดวัน เหมาะแก่การนัดพบปะเพื่อนฝูง เพื่อมารับประทานอาหารรสอร่อย นั่งพูดคุยกันยาว ๆ       เริ่มด้วย Wok Fried เมนูกินเล่นผัดซอสสไตล์อินเดีย โดยมีซอสให้เลือกถึง 6 แบบ อาทิ Manchurian Sauce รสชาติเผ็ดหวานมันเค็ม Honey Spicy หอมหวานน้ำผึ้งเผ็ดปลายลิ้น และ Tomato Mustard เปรี้ยวหอมโยเกิร์ต และมะเขือเทศ     หรือจะเลือกเป็น Signature 65 Fries เมนูไก่ทอดหมักเครื่องเทศสูตร 65 สูตรเฉพาะของทางร้าน จุดเด่นอยู่ที่แป้งหอมกรอบ จากเครื่องเทศมากกว่า 10 ชนิด ซึ่งหากใครไม่รับประทานเนื้อสัตว์ก็สามารถเลือกเป็น ชีส เห็ด หรือกระเจี๊ยบ ก็ดีไม่แพ้กัน     ต่อด้วย Chicken Biriyani (125.-) ข้าวหอมบาสมาติผัดเครื่องเทศรสกลมกล่อม เสิรฟ์พร้อมเนื้อไก่และไข่ต้ม ราดด้วยซอสราอิตา (Raita) ซอสโยเกิรต์ซิกเนเจอร์ รสเปรี้ยวหวาน เข้าคู่กับตัวข้าวอย่างลงตัว     Naan with Indian Curry แป้งนานตัดมาขนาดพอเหมาะ กินพร้อมแกงอินเดีย Butter Chicken Curry รสนุ่มนวลกลมกล่อม หอมเนย และ Southern Curry รสเผ็ดมันเค็มจัดจ้าน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของอินเดียฝั่งใต้โดยเฉพาะ     ปิดท้ายด้วย Mango Lassi Shake (120.-) เครื่องดื่มสมูทตี้สไตล์อินเดีย ที่มีส่วนผสมของนม โยเกิร์ตและผลไม้ เราเลือกเป็นรสมะม่วง รสหวานละมุนมีกลิ่นหอม ดื่มแล้วสดชื่น    

เต้าฮวย อะพอลโล ร้านเปิดใหม่ในซอยพิพัฒน์ (สีลม ซ.3) ที่คุณเค้กและคุณอาของคุณเค้ก นำเต้าฮวยสูตรอาม่ากลับมาอีกครั้งในชื่อเดิม    คุณเค้กเล่าว่าเมื่อ 50 ปีก่อน อาม่าขายเต้าฮวยน้ำขิงแบบรถเข็นแถวท่าพระในชื่อ “เต้าฮวย อะพอลโล” เพราะเป็นปีที่อะพอลโล 11 ไปเยือนดวงจันทร์สำเร็จ เมื่อมีโอกาสเปิดร้านจึงนำชื่อเดิมกลับมาใช้อีกครั้ง   นอกจากเต้าฮวยแสนอร่อย เมนูของร้านนี้ยังโดดเด่นไม่ซ้ำใคร โดยเฉพาะเมนูอาหารคาวที่คุณอาของคุณเค้กได้ไอเดียเมื่อครั้งไปใช้ชีวิตที่ปักกิ่งนาน 8 ปี จึงนำเต้าฮวยมาเสิร์ฟเป็นเมนูคาวสไตล์จีน อย่าง เต้าฮวยหมี่เสี้ยน ก๋วยเตี๋ยวแห้งสไตล์จีนยูนนาน เส้นกลมเคี้ยวสนุกมาพร้อมเต้าฮวยเนื้อเนียนนุ่ม ได้กลิ่นหอมของถั่วเหลือง เคียงด้วยหมูสับปรุงรส คีบเส้นหนึ่งคำ ตามด้วยเต้าฮวยอีกคำ เข้ากันดี     ชามต่อมา บะหมี่เสฉวนหมูแดง บะหมี่เส้นแบนคลุกเคล้ากับซอสเสฉวนครบทั้งรสเผ็ด เค็ม และรสเปรี้ยวจากจิ๊กโฉ่วนิดหน่อย กินคู่กับหมูแดงสูตรฮ่องกง     อีกเมนูห้ามพลาด บะหมี่มะเขือเทศ ชามนี้เราชอบเป็นพิเศษ แต่คุณเค้กนำมะเขือเทศนำเข้าเนื้อนุ่มหวานผัดกับไข่จนกลมกล่อม วางบนเส้นแล้วราดน้ำซุปรสชาติกลมกล่อม กินแล้วสดชื่น     นอกจากนี้ยังมีน้ำเต้าหู้ทำจากถั่วเหลืองแท้ กลิ่นหอม เข้มข้นกำลังดี รวมถึงขนมหวานไม่ว่าจะเป็นเต้าฮวยน้ำขิง บัวลอย 4 รสนมสด เต้าทึงน้ำลำไย ให้กินปิดท้าย     เป็นร้านที่ไม่อยากให้พลาดเลยจริงๆ

มาเที่ยวอุดรฯ ทั้งทีอย่าพลาดร้านอาหารเช้าขวัญใจคนท้องถิ่นอย่างมาดาม พาเท่ห์ 2515 (Madam Patehh 2515) ร้านสวยบนถนนประจักษ์ฯ ที่ผสมผสานอาหารไทย เวียดนาม ฝรั่งเศส จีน และลาวเอาไว้ด้วยกัน       ตัวร้านเป็นเรือนไม้ให้อารมณ์เหมือนโรงเตี๊ยมโบราณ ภายในตกแต่งแบบย้อนยุคทั้งโต๊ะไม้ ภาพถ่าย โคมไฟ ของสะสมวินเทจ มองมุมไหนก็น่ายกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป รวมถึงมุมไฮไลต์อย่างมุมขนมปังกลางร้านให้เราได้ยืนดูการทำเมนูโปรดแบบใกล้ชิด     มาถึงแล้วขอเริ่มด้วยโอยัวะเข้มๆ สักแก้ว ที่ร้านน่ารักตรงที่เสิร์ฟโรตีกรอบมาให้กินคู่กันด้วยเพลินๆ ต่อด้วยเมนูขนมปังอันโด่งดัง มีทั้งปัตเต้ ครัวซองต์ และโรตี โดยเฉพาะโรตีติดพัน แป้งกรอบอร่อย ไส้แน่นจากหมูยอ กุนเชียง ปูอัด ผักสลัด และซอสที่เข้ากันสุดๆ หรือใครอยากลองให้ครบ 3 แบบก็สั่งขนมปังสามสหายได้เลย       ปิดท้ายด้วยทีเด็ด เฝอเนื้อโคขุน เราได้ชิมแล้วชอบมาก นอกจากจะเสิร์ฟชามใหญ่ น้ำซุปยังหอมกรุ่นมาแต่ไกล รสชาติกลมกล่อม มีเค็มมีหวาน เส้นนุ่มดีแต่เนื้อนุ่มกว่า เคียงด้วยกะปิ พริกย่าง มะนาว และผักแนมชุดใหญ่      บอกเลยว่าชามเดียวไม่พอ

ชบาบาร์น ครัวอีสานวินเทจ ร้านเด็ดแห่งอุดรธานีที่อยากให้มาลองความแซ่บถึงทรวงดูสักมื้อ ตัวร้านซ่อนตัวอยู่ในสวนร่มรื่น ภายในตกแต่งแบบวินเทจสมชื่อ มีโคมไฟจากเครื่องจักสานประดับอยู่ทั่วร้าน       ที่ชบาบาร์นขึ้นชื่อเรื่องอาหารอีสานพื้นบ้านทั้งเมนูทั่วไปและเมนูหากินยาก แต่ละจานบอกเลยว่ารสเด็ด โดยเฉพาะเมนูขายดีประจำร้าน ตำลาวกะด้อใส่ต่อนปลาร้า ไม่ใช่แค่กลิ่นปลาร้าจะหอมฟุ้งเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมต่อนปลาแดกเพิ่มความนัว ได้รสเผ็ดถึงใจเพราะใส่ทั้งพริกแห้งและพริกสด กินแล้วหูตาสว่าง     ต่อด้วยห่อผักหอยแครงลวก หอยแครงตัวอวบ ลวกมาสุกกำลังดี แถมแกะออกจากเปลือกแล้วเรียบร้อย เสิร์ฟพร้อมเส้นขนมจีน (ข้าวปุ้น) น้ำจิ้มถั่วตำรสเด็ด น้ำจิ้มซีฟู้ด และผักพื้นบ้านอีกชุดใหญ่ วิธีกินก็ง่าย ตักหอยวางบนผัก ตามด้วยข้าวปุ้น ราดน้ำจิ้มลงไปแล้วห่อเป็นคำ อร่อยสมเป็นเมนูขึ้นชื่อ     ปิดท้ายด้วยเมนูคลาสสิกของชาวอุดรธานีอย่างลาบเป็ด ลาบเป็ดของร้านนี้เป็นลาบเป็ดหนังกรอบ เนื้อเป็ดสับเป็นชิ้นเล็กๆ ให้เคี้ยวสนุก โรยหนังเป็ดทอดกรอบ รสเค็มนำแต่กลมกล่อม กินกับพริกทอดและใบมะกรูดทอดรอบ       มื้อนี้แซ่บหลาย

“เหมือนได้กลับไปนั่งกินข้าวแซ่บๆ ที่บ้านนอก” คือคำนิยามของร้านครกไม้ไทยลาว ร้านอาหารอีสานที่เปิดมานานกว่า 30 ปีของคุณสุชาติ ผาธรรม เจ้าของสูตรเด็ดจากเมืองอุบลราชธานีที่นำเมนูบ้านๆ แต่อร่อยล้ำมาให้คนอีสานในเมืองกรุงได้แวะมากินทุกครั้งที่หัวใจเรียกร้อง         ไฮไลต์ของร้านนี้ต้องยกให้วัตถุดิบหลากหลายส่งตรงจากแดนอีสาน (คนกรุงเทพหลายคนอาจไม่คุ้นมาก่อน แต่ลองเถอะ รับประกันว่าติดใจ) ทั้งผักพื้นบ้าน เห็ดตามฤดูกาล ไข่มดแดง หอยหอม หอยโข่ง ไข่ผำ แมงมัน ปลาน้ำจืด ฯลฯ มาทำเป็นเมนูแซ่บๆ ที่เห็นแล้วน้ำลายสอ อาทิ หมกรังผึ้งอ่อน ที่ร้านคัดเฉพาะรังผึ้งอ่อนมาห่อด้วยใบตองแล้วย่าง รสชาติออกนมๆ มันๆ จิ้มกินกับเกลือแล้วเข้ากันมาก     ต่อด้วยมันปูนานึ่งที่ใครมาก็ต้องถามถึง หอมกลิ่นปูนา ปั้นข้าวเหนียวเป็นคำแล้วจิ้มตามด้วยผักแกล้มสักหน่อย ชวนให้เจริญอาหาร และขาดไม่ได้กับตำมั่วซั่วครกไม้ ทั้งแซ่บทั้งนัว มาครบทั้งขนมจีน ปูนา หมูยอ หอมกลิ่นน้ำปลาร้าต้มเอง         แล้วปิดท้ายด้วยแกงเห็ดโคนใส่ไข่มดแดง น้ำแกงข้นคลั่กด้วยปลาป่นและน้ำปลาร้า ตักแล้วเจอทั้งเห็ดโคน แซมด้วยไข่มดแดงที่ใส่แบบไม่ยั้ง     สมเป็นร้านขวัญใจลูกอีสาน

กาลเวลาไม่สามารถทำลายบรรยากาศสุดคลาสสิกของหัวหินไปได้ ล่าสุดนี้เมืองพักตากอากาศที่ขึ้นชื่อที่สุดในประจวบคีรีขันธ์ ก็มีพิกัดใหม่สำหรับการดื่มด่ำกับช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนไปกับมื้ออาหารตั้งแต่เช้าจรดเย็น ภายใต้ชายคาบ้านหลังโบราณสีขาว ที่หันหน้าไปสู่ชายหาดหัวหินอันเงียบสงบ     111 Social House เป็นร้านอาหารที่เปิดโล่ง มีพื้นที่สีเขียวทอดยาวไปจนดหาดทราย หากนั่งกินในร้านก็จะได้ซึมซับกับบรรยากาศวินเทจ แต่ถ้าอยากออกไปนั่งกลางแจ้งก็ให้อีกอารมณ์ที่สดชื่นรับลมทะเลและเสียงคลื่นกระทบฝั่ง       สำหรับเมนูอาหารของ 111 Social House นั้นอยู่ภายใต้การรังสรรค์ของเชฟซาบรินา โมลเลอร์ส (Sabrina Mollers) ชาวแอฟริกาใต้ ที่หยิบจับเอาวัตถุดิบท้องถิ่นมาทำเป็นเมนูที่น่าสนใจ โดยคำนึงถึงความสนุกสนานของเมนูและใส่ใจสุขภาพไปในเวลาเดียวกัน       สำหรับมื้อเช้าเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารหลากหลายสัญชาติ ทั้งเมนูตะวันตกคลาสสิกอย่างไข่และไส้กรอก ไปจนถึงเมนูไทย ๆ อย่างข้าวเหนียวหมูปิ้ง ไปจนถึงเมนูเพื่อสุขภาพอย่างสมูตตี้โบลว์ และเมนูหวาน ๆ ทั้งครัวซองต์และโทสต์           ส่วนมื้อกลางวันและก็แตกต่างไปจากมื้อเช้าอีก กับเมนูที่จัดเต็มไม่ต่างกัน มีให้เลือกตั้งแต่สลัด ส้มตำไปจนถึงสเต๊ก และที่ขอแนะนำก็คือ Social Coffee Rubbed Grain-Fed Beef Ribeye สเต๊กเนื้อริบอายที่เปลือกนอกหุ้มด้วยกาแฟบดละเอียด ย่างระดับมีเดียมแรร์จนเนื้อฉ่ำได้กลิ่นหอมฉุย กินคู่กับซอสไวน์แดงและผักย่าง               แน่นอนว่ามีอาหารแบบจัดเต็มแล้ว ที่ขาดไม่ได้ก็คือเครื่องดื่มมาจิบคู่กัน ที่นี่มีทั้งคราฟต์เบียร์ ไวน์ โปรเซคโก้ และเครื่องดื่มโฮมเมดอีกหลายชนิดมาเติมเต็มประสบการณ์แห่งการพักผ่อน ณ ริมชายทะเลหัวหินให้ไม่มีคำว่าผิดหวัง

ขึ้นชื่อว่าอยู่บนชั้น 76 ของตึกระฟ้าที่โด่งดังที่สุดในกรุงเทพมหานคร แน่นอนว่าวิวของร้าน Ojo (โอโฮ) ของโรงแรม The Standard, Bangkok Mahanakhon จะต้องสร้างความประทับใจได้ตลอดมื้ออาหารอย่างแน่นอน         Ojo (โอโฮ) นั้นมาจากภาษาสเปนที่หมายถึงดวงตา เมื่อก้าวออกจากลิฟต์ความเร็วสูงที่พาเราขึ้นมาสู่ชั้น 76 ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว ร้านอาหารแห่งนี้ก็ต้อนรับเราด้วยอุโมงค์ประตูโค้งที่เรียงรายด้วยดวงตาสีทองอร่าม สร้างบรรยากาศที่หรูหรา โมเดิร์น ด้วยการจับคู่สีทองและชมพูไว้ด้วยกันอย่างลงตัว แฝงด้วยกลิ่นอายของหลากหลายวัฒนธรรมทั้งเม็กซิกันเอง ผสมผสานไปกับอเมริกัน รวมทั้งเอเชีย ที่น่าประทับใจคือโคมไฟที่ได้แรงบันดาลใจจากต้น  Yucca brevifolia ซึ่งเป็นพืชทะเลทรายที่มีรูปร่างแปลกตา       เมนูอาหารเม็กซิกันของ Ojo (โอโฮ) รังสรรค์ภายใต้แนวคิดของความเป็นต้นตำรับแท้ ๆ คงวัฒนธรรมการกินอาหารจานใหญ่ กินแบบแชร์กันบนโต๊ะอาหาร แต่ก็มีการปรับให้หน้าตาโมเดิร์นขึ้นกว่าเดิมด้วยฝีมือของเชฟฟรานซิสโก ปาโก รูอาโน (Francisco Paco Ruano) ชาวเม็กซิกันขนานแท้         เริ่มต้นด้วยอาหารเรียกน้ำย่อยแบบเย็นจานแรก Ojo Guacamole กัวคาโมเล่แบบฉบับของโอโฮ แผ่นแป้งทอสทาด้าเสิร์ฟคู่กับกัวคาโมเล่ผสมเนื้อปูเน้น ๆ โปะหน้าด้วยไข่แซลมอน     ต่อด้วยอีกเมนูเพิ่มความสดชื่นกับ Coconut Ceviche จากที่มักจะคุ้นเคยกับเซบิเชที่ทำจากเนื้อปลา แต่เมนูนี้เลือกใช้เป็นเนื้อมะพร้าวอ่อนขูดชิ้นพอดีคำมาทดแทน ซึ่งแปลกใหม่และเข้ากับรสเปรี้ยวของน้ำยำตามแบบฉบับของเซบิเชเป็นอย่างดี และยังเหมาะกับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติอีกด้วย     อีกจานที่สดชื่นไม่ต่างกันต้องยกให้กับ Aguachile กุ้งลายเสือในซอสแตงกวา เสิร์ฟพร้อมกับมะเขือเทศสีเขียว ผักชี พริก และแอปเปิ้ลเขียว     Chiang Mai Tomato Salad เป็นอีกจานที่ไม่ควรพลาดกับสลัดผักสีสันสดใส เพิ่มรสชาติเข้าไปด้วยชิลลี่มายองเนสและซอล์ทเต็ดเลม่อน     Esquites เป็นจานเรียกน้ำย่อยแบบร้อน มาในรูปแบบของข้าวโพดอ่อนย่างเสริมรสด้วยฆาลาเปญโญมายองเนส ท็อปด้วยเปโกรีโนชีส โดยมีแมคคาเดเมียและฟิงเกอร์ไลม์ซ่อนอยู่ใต้นี้ด้วย     อย่างที่บอกไปว่าแนวคิดของที่นี่คือการคงเอกลักษณ์วัฒนธรรมการกินแบบเม็กซิกันเอาไว้อย่างเหนียวแน่น อาหารจานหลักจึงเสิร์ฟมาในรูปแบบจานใหญ่ เหมาะสำหรับแบ่งกันกิน เริ่มด้วย Pescado Zarandeado ปลากะพงจากฝรั่งเศสย่างเตาถ่าน ในจานเดียวกันนั้นมาคู่กับสลัด ผักดอง และอโวคาโด วิธีการกินเริ่มต้นจากการบีบเลมอนลงไปที่เนื้อปลาก่อน จากนั้นห่อด้วยแป้งตอร์ติญาพร้อมเครื่องเคียงอย่างถั่วบดละเอียด ราดด้วยซัลซ่า 3 รสชาติพิเศษของทางร้าน และสามารถเพิ่มความเผ็ดได้ด้วยพริกคั่วแห้ง หรือถ้าอยากได้กลิ่นอายบ้านเราก็มีข้าวเหนียวเป็นอีกตัวเลือกให้ลิ้มลองคู่กันได้ด้วย     อีกหนึ่งจานหลักที่ควรค่าแก่การลองไม่แพ้กันก็คือ Carnitas ซี่โครงหมูอบจนเนื้อเปื่อยนุ่ม ที่สามารถกินแบบเดียว Pescado Zarandeado ได้เลย     ปิดท้ายด้วยของหวาน 2 เมนู ได้แก่ Arroz Con Leche ข้าวในครีมวานิลลาเสิร์ฟคู่กับไอศกรีมซินนามอน ท็อปด้วยแผ่นนมถั่วเหลืองกรอบและข้าวพอง และ Mexican Dark Chocolate Tamal แป้งข้าวโพดนึ่งกับดาร์กช็อกโกแลตและไวต์ช็อกโกแลต เสิร์ฟคู่ไอศกรีมใบเตย ท็อปด้วยใบเมี่ยงทอดกรอบและแผ่นดาร์กช็อกโกแลตกรอบ       มาถึงร้านอาหารที่วิวอลังการขนาดนี้ทั้งที อย่าลืมสั่งเครื่องดื่มมาเพิ่มบรรยากาศให้ดื่มด่ำกว่าเดิม สำหรับเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ที่เป็นไฮไลต์ของที่นี่ก็มีทั้ง Pineapple & Chili ม็อกเทลที่ได้รสชาติหวานและเปรี้ยวจสกสับปะรดเคล้ามากับรสเผ็ดนิด ๆ จากพริก Tangerine & Yuzu ก็ให้อีกมุมของความสดชื่นจากส้มเข้าคู่กับรสชาติและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของยูซุ แต่ถ้าอยากลองเครื่องดื่มพื้นเมืองเม็กซิกัน Horchata น้ำนมข้าวหอมซินนามอนและวานิลลานับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด      

หากพูดถึง Tango แบรนด์เครื่องหนังของคนไทย ที่ครองใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาอย่างยาวนานนั้น ตอนนี้แบรนด์ได้เนรมิต House of Tango ร้านอาหารอิตาเลียนที่รังสรรค์เมนูจากหลายสัญชาติเข้าไว้ด้วยกัน โดยเน้นสีสันและรสชาติเพื่อเอาใจเหล่าสาวกให้เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ของ Tango อย่างแท้จริง           ภายในร้านตกแต่งด้วยของที่ระลึกจากแต่ละประเทศที่เจ้าของร้านเคยไปมาวางไว้ตามมุมต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำของครอบครัว และยังให้ความสำคัญการรับประทานอาหารร่วมกันแบบชาวไทย ชาวอิตาเลียนและอีกหลายประเทศที่มีวัฒนธรรมคล้ายกันนี้ จึงกลายมาเป็นเมนูอาหารที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ราวกับได้เดินทางไปเที่ยวไปกินอาหารรอบโลกพร้อม House of Tango         อาหารที่แนะนำเป็นซิกเนเจอร์ของร้านทั้งหมด เริ่มต้นด้วย Mixed Tomatoes Salad สลัดมะเขือเทศซึ่งเพิ่มเติมรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้นด้วยแตงโม และทับทิม ปรุงรสเปรี้ยวๆ เค็มๆ กำลังดี จุดเด่นอยู่ที่มะเขือเทศซึ่งนำสายพันธุ์ดั้งเดิมจากอิตาลีมาปลูกในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ต่อด้วย Blue Mussel หอยแมลงภู่จากชิลีนึ่งซอสไวน์ขาว อร่อยกลมกล่อม       Sweet Pumpkin Ravioli, Truffle Cream Sauce ราวิโอลีแป้งสดทำเอง เพิ่มสีสันชวนกินให้เส้นพาสตาด้วยลวดลายที่ได้แรงบันดาลใจจากแพตเทิร์น แพทเวิร์ค โดยใช้สีจากผัก อย่างสีแดงนี้สกัดจากบีตรูตกับมะเขือเทศ เสิร์ฟพร้อมซอสทรัฟเฟิล ได้รสหวานเล็กน้อยจากไส้ฟักทอง     จานต่อมา Thai River Prawn สปาเกตตีกุ้งแม่น้ำ ได้กลิ่นรสจากกระเทียม น้ำมันมะกอก ไวน์ขาว เส้นหมึกดำจากแป้งซีโมลินานำเข้าจากอิตาลีตอนใต้     Wild Mushroom Risotto with Bone Marrow ริซอตโตซอสไวน์แดง เสิร์ฟคู่กับไขกระดูกวัว รสชาติเข้มข้น ได้ความเปรี้ยวจากไวน์แดงและความหอมมันจากเนย     สุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุดกับ Beef Wellington เนื้อสันในจากออสเตรเลีย ห่อด้วยสมุนไพรและแป้งพัฟ หั่นโชว์เนื้อนุ่มในระดับ Medium Rare ชุ่มฉ่ำด้วยซอสไวน์แดง ปิดท้ายด้วย Milles Feuilles มิลเฟยของหวานสัญชาติฝรั่งเศส หวานกำลังดีเลย       ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไลฟ์สไตล์สำหรับลูกค้าของ Tango โดยเฉพาะ

ในที่สุดก็ได้เวลาที่ Tasty Congee & Noodle Wantun Shop ร้านคอมฟอร์ดฟู้ดสไตล์ฮ่องกงในตำนาน มาบุกตลาดเปิดที่ย่านฝั่งธนสักที ฟู้ดดี้ที่อยากลิ้มลองของอร่อยแต่ขี้เกียจเข้าเมืองให้ปักหมุดห้างฯ ดังอย่าง ไอคอนสยาม ได้เลย ร้านจะอยู่โซน The VERANDA ชั้น G หาไม่ยาก       เท้าความเป็นมาของร้านกันสักเล็กน้อยดีกว่า Tasty Congee & Noodle Wantun Shop มีจุดเริ่มต้นจากการเสิร์ฟอาหารว่างแสนอร่อยของชาวมณฑลหูหนานตั้งแต่ปี 1996 มีเมนูดาวเด่นคือ “โจ๊ก” และ “บะหมี่เกี๊ยว” เป็นระยะเวลายาวนานที่ร้านเทสตี้ฯ รักษามาตรฐานรสชาติ ผสานไปกับกรรมวิธีการทำสไตล์ดั้งเดิมจนได้รางวัลมิชลิน บิบ กูร์มองด์ ในฐานะร้านอาหารรสชาติดีแต่ราคาสบายกระเป๋า     สำหรับสาขาไอคอนสยามนี้ แฟนคลับร้านเทสตี้ฯ ก็จะได้อร่อยกับคอมฟอร์ตฟู้ดในแบบฉบับฮ่องกงแท้เหมือนเดิม ซึ่งทุกเมนูรังสรรค์มาจากเชฟฮ่องกงมากฝีมือ ครีเอทโดยใช้วัตถุดิบคุณภาพที่นำเข้าจากฮ่องกง ผ่านกรรมวิธีสูตรลับ อาทิ น้ำซุป ที่ครีเอททำมาจากปลาลิ้นหมาตากแห้ง กระดูกหมู และไข่กุ้ง โจ๊กที่ผ่านการเคี่ยวกว่า 6 ชั่วโมง เส้นบะหมี่สไตล์โฮมเมด ที่มีความกรุบซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นต้น     ประเดิมกันที่จานเรียกน้ำย่อยขายดีอย่าง ก๋วยเตี๋ยวหลอดปาท่องโก๋ สัมผัสนุ่มนวลของเส้นก๋วยเตี๋ยวหลอด ไปด้วยกันได้ดีกับความกรอบของปาท่องโก๋ ราดน้ำจิ้มสูตรพิเศษของทางร้าน     หลายคนชอบ ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง กุ้งเนื้อเด้งกัดพร้อมแป้งก๋วยเตี๋ยวหลอดเนื้อนุ่ม ราดซอสสูตรลับรสหวาน ฮะเก๋า ลูกอวบอ้วนน่าหม่ำ ภายในสอดไส้กุ้งแม่น้ำเนื้อหวาน ซาลาเปาทอดไส้ครีม ก็น่าสนใจ ตัวแป้งให้ความกรอบนอกนุ่มใน ได้ความหวานมันของไส้ครีม         พลาดไม่ได้กับ บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง เส้นบะหมี่ทำเองเหนียวนุ่ม สุกกำลังลังดีมีความกรุบเล็กๆ อยู่ในน้ำแกงรสเค็มกลมกล่อม หอมกลิ่นน้ำมันงา พร้อมฟินไปกับเกี๊ยวกุ้งตัวใหญ่เต็มคำ หมูกรอบ ร้านนี้อร่อยมาก ทอดได้กรอบนอกนุ่มใน ไม่อมน้ำมัน กินเปล่าๆ ว่ารสชาติดีแล้ว จิ้มกับมัสตาร์ดรสเผ็ดยิ่งเข้ากัน       หมูแดงอบซอสน้ำผึ้ง หมูแดงเนื้อนุ่ม ไม่เหนียวเพราะผ่านการหมักมาอย่างเข้าเนื้อ อบให้สุกพอดี กินคู่กับซอสสูตรเด็ดที่มีรสหวาน หอมกลิ่นน้ำผึ้งอ่อนๆ เป็ดย่าง นี่เราชอบมาก เป็ดคุณภาพเนื้อแน่น ความสุกพอเหมาะ รสหวานหอมกลมกล่อม กินกี่ชิ้นก็ติดใจ       โจ๊กหมูและเครื่องใน ก็เด็ดดวง ข้าวเนื้อเนียนที่ผ่านการเคี่ยวมาอย่างพิถีพิถัน กินพร้อมเครื่องในชิ้นโตๆ อาทิ ตับ หมู ไส้ รสนุ่มนวล กินได้อย่างเพลินๆ ล้างปากกับของหวานรสชาติดีกันดีกว่า ถั่วแดงเม็ดบัว เสิร์ฟมาร้อนๆ ซุปถั่วแดงหอมมัน เนื้อละเอียด เข้ากันดีกับเม็ดบัว หนึ่งสมุนไพรจีนเลอค่า       งาดำ ชามนี้เราชี้เป้าเลย เพราะรสชาติหวานมันพอดี เข้มข้นได้ใจ และ สาลี่ตุ๋นกับเมล็ดแอปริคอต ผลไม้ที่เราคุ้นเคยอย่าง สาลี่ นำไปตุ๋นกับเมล็ดแอปริคอตจนนุ่ม ได้รสหวานละมุนชื่นใจ       อร่อยทุกอย่างเลยนะร้านนี้

หากถามถึงร้านเค้กในดวงใจ แน่นอนว่าชื่อ Coffee Beans by Dao คงอยู่ในลิสต์ของสายหวานหลาย คน แต่นอกจากขนมที่ชวนฟินแล้ว ทางร้านเขายังมีอาหารหลากสไตล์ในแบบฉบับสูตรประจำบ้าน ที่เสิร์ฟความอร่อยมาตั้งแต่ปี 1997 อาทิ อาหารไทย อาหารนานาชาติ อาหารสุขภาพ และต้องยอมรับเลยว่ารสชาติไม่เป็นสองรองใครจริงๆ       ครั้งนี้เราได้แวะมาชิมที่สาขาไอคอนสยาม (บริเวณชั้น G) เอาใจชาวฝั่งธนฯ กันสักหน่อย ตัวร้านกว้างขวาง เพราะมีแอเรียรองรับลูกค้าถึง 2 ชั้น เพลินไปกับการตกแต่งหรูหราผสมผสานความวินเทจ ทั้งสีทองที่เข้ากันได้ดีกับสีเขียวเข้ม สำหรับใครที่ชอบวิวแม่น้ำแสนสงบ ทางร้านก็มีโซนเอาต์ดอร์ให้นั่งเอ็นจอย       ชวนมาชิม สเต๊กแซลมอนโซบะสลัด เมนูเบาๆ แต่อิ่มท้องอย่างมีคุณค่า แซลมอนคุณภาพชิ้นโต กริลล์อย่างดีจนได้ที่ เนื้อกรอบนอกฉ่ำใน เสิร์ฟเคียงสลัดโซบะรสสดชื่น มีความกรุบเคี้ยวเพลินของไข่กุ้งด้วย     พาสตาสไปซี่ปู พาสตาเส้นหมึกดำสัมผัสเหนียวนุ่ม ผัดพร้อมพริกแห้งเผ็ดร้อน กระเทียมหอมๆ พริกหวานหลากสี และมะเขือเทศรสเปรี้ยว พระเอกของจานคือเนื้อปูก้อนโตๆ รสหวานนี่แหละ     ลองอาหารไทยบ้างดีกว่า ราดหน้าปลากะพง เส้นใหญ่ทอด กินพร้อมน้ำราดหน้ารสเค็มกลมกล่อม หอมกลิ่นพริกไทยอ่อนๆ มีปลากะพงเนื้อสด และผักโขมรสหวานอยู่ด้วย     ข้าวกล้องควินัวผัดกะเพราอกไก่ จานนี้เหมาะกับสายสุขภาพสุดๆ เพราะใช้ทั้งข้าวกล้อง ควินัวเคี้ยวอร่อย และอกไก่เนื้อแน่นหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ คลุกเคล้ากับพริก กระเทียม และใบกะเพราที่เรารัก กินคู่กับไข่ขาวได้สุขภาพ     ของหวานเราแนะนำเป็นเค้กตัวดังอย่าง เค้กมะม่วงโยเกิร์ต เนื้อเค้กนุ่มฟูสลับชั้นกับครีมโยเกิร์ตรสครีมมีและเนื้อมะม่วงสุกหวานฉ่ำ โดนัทครีมนมสดฮอกไกโด เมนูขนมหวานสุดป๊อป โดนัทสไตล์โฮมเมดเนื้อนุ่มนิ่ม มีความหนึบเล็กๆ จิ้มกับครีมนมสดฮอกไกโดรสหวานมัน  โรยด้วยนมผงฮอกไกโดภูเขาไฟ นี่แหละใช่เลย       ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มเย็นชื่นใจอย่าง สตรอว์เบอร์รีโยเกิร์ตปั่น รสเปรี้ยวอมหวาน ได้ความหอมมันจากโยเกิร์ตคุณภาพ ดูดพร้อมวิปเนื้อนุ่มละมุน     คราวหน้าจะพาคุณแม่มาหม่ำด้วย

ไม่ไกลจากแยกอโศกที่การจราจรคับคั่งเข้ามาในซอยสุขุมวิท 10 เพียงนิดเดียว เราจะพบกับร้านอาหารบรรยากาศดีที่เปรียบเสมือนโอเอซิสที่รวมอาหารไทยและยุโรปไว้มากมายให้เราละเลียดเพลินๆ ในบรรยากาศอบอุ่นของบ้านที่คุมโทนด้วยสีขาวทั้งด้านในและด้านนอก ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และของสะสมแนววินเทจ นั่งนานแค่ไหนก็เพลินหรือจะลุกออกไปเดินเล่นในสวนสไตล์อังกฤษก็ฮีลใจดีทีเดียว           อาหารของร้านนอกจากให้ความสำคัญกับการคัดสรรวัตถุดิบและการปรุงอย่างพิถีพิถันแล้ว ยังเน้นตกแต่งอย่างสวยงามด้วยผักหลากสีสัน เพราะอิ่มท้องต้องอิ่มใจด้วย เรียกว่าฮีลใจได้ตั้งแต่แรกเห็น เริ่มต้นชาร์จพลังด้วย สลัดตำรับฉันท์ & ยุพา รวมมิตรสายเฮลท์ตี้ที่มีผักหลากสี ควินัว ปารีสแฮม ไข่ออนเซ็น ราดด้วยน้ำสลัดงาโฮมเมด จัดเสิร์ฟสวยงามแค่เห็นก็ชวนให้เจริญอาหาร     แองเจิ้ลแฮร์ซอสเพสโต สเต๊กแซลมอน พาสต้าเส้นเหนียวนุ่มผัดกับซอสเพสโตเข้มข้น หอมกลิ่นน้ำมันมะกอกเเละโหระพา วางคู่แซลมอนกริลล์ชิ้นโตผิวกรอบฉ่ำใน โรยอิคุระเพิ่มกิมมิกและความสดชื่น     จานหลักห้ามพลาด สเต๊กเนื้อวากิวเทนเดอลอยด์ย่าง เสิร์ฟเนื้อวากิวออสเตรเลียย่างสุกระดับกลาง เพื่อให้เนื้อในยังคงเป็นสีชมพูอมแดง เคี้ยวนุ่มฉ่ำลิ้น ด้านล่างเป็นมันฝรั่งบดเนื้อเนียน ราดด้วยน้ำเกรวี่ที่มีส่วนผสมของไวน์แดง เสิร์ฟพร้อมโครเกต์กรอบนอกหนึบใน และผักย่างช่วยตัดเลี่ยน     อาหารไทยแนะนำ มัสมั่นไก่ เสิร์ฟพร้อมแผ่นครัวซองต์ ไก่ตุ๋นจนเปื่อยนุ่มซึมซับน้ำแกงอย่างเต็มที่ ทุกคำที่ตักเข้าปากยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเครื่องเทศช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร กินกับแผ่นครัวซองต์ที่กัดแล้วหนึบหนับเข้ากันที่สุด นอกจากนี้ยังมีชุดน้ำชา Chan & Yupa Afternoon Tea ที่มีทั้งแบบเซ็ต 1 คน และ 2 คน มีของว่างครบครันทั้งคาวหวาน รวมถึงเครื่องดื่มชาหรือกาแฟเบลนด์พิเศษให้เราเลือกได้ตามชอบ     ยกให้เป็นโอเอซิสที่เหมาะมาฮีลใจจริงๆ  

ไม่ต้องขับรถไประยองก็ได้ลิ้มลองรสชาติเมนูเด็ดจากซีฟู้ดร้านดัง “กั้งบ้านเพ” ที่มิชลินไกด์ปี 2019 แนะนำ วันนี้ยกครัวมาเปิดตัวในซอยทองหล่อซึ่งทันทีที่เราเปิดประตูเข้าไปก็ได้เซอร์ไพรส์กับไอส์แลนด์ขนาดใหญ่กลางห้อง ล้อมรอบด้วยเก้าอี้ให้ลูกค้านั่งละเลียดอาหารและเครื่องดื่ม การตกแต่งฉีกแนวจากสาขาระยองเพิ่มสีสันและความสดใสสไตล์โมเดิร์น ประดับผนังด้วยโมเสกสีเขียวอมฟ้าให้กลิ่นอายความสดชื่นแบบท้องทะเล         เมนูสุดฮอตที่สร้างชื่อให้ร้านและเราไม่ควรพลาด ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำน้ำข้น มันกุ้ง กั้ง ทะเล เนื้อปู ชูเอกลักษณ์เฉพาะของ “ก๋วยเตี๋ยวกั้งบ้านเพ” ทีเด็ดอยู่ที่เบสของน้ำซุปสูตรพิเศษ เคี่ยวข้ามคืนจนเข้มข้นถึงรส รอใส่เครื่องต้มยำสดใหม่ในยามเช้า พร้อมกับซอสมันกุ้งสูตรลับที่เพิ่มดีกรีความเข้มข้นแบบดับเบิ้ล รวมถึงความหอมมันชนิดที่ไม่ต้องปรุงเพิ่มแม้แต่น้อย เท่านั้นไม่พอยังเสริมรสชาติให้หนักแน่นยิ่งขึ้นด้วยซีฟู้ดสดๆ จากชาวประมงท้องถิ่น นำโดยกั้งแก้วตัวอวบเนื้อแน่น ตามด้วยเนื้อปู กุ้ง หมึก เกี๊ยวปลา และลูกชิ้นปลา       จานต่อมาปอเปี๊ยะกั้ง ปอเปี๊ยะกั้งที่ใส่กั้งแก้วทั้งตัว พันกับเครื่องปอเปี๊ยะสูตรเฉพาะ หอมกลิ่นซีอิ๊วจีนและเห็ดหอม ทอดร้อนๆ กินกับน้ำจิ้มบ๊วย จานนี้วางทิ้งไว้ก็ยังกรอบอร่อยเหมือนเพิ่งยกขึ้นจากเตาใหม่ๆ     หอยจ๊อปู หอยจ๊อปูที่อัดแน่นด้วยกรรเชียงปูเน้นๆ รสชาติกลมกล่อม เจือกลิ่นหอมอ่อนๆ ของพริกไทย เสิร์ฟกับน้ำจิ้มบ๊วยช่วยตัดเลี่ยน     ถ้าอยากเติมความแซ่บแนะนำส้มตำกะปิกั้งดอง เมนูยอดนิยมของคนภาคตะวันออกที่ใช้ “กะปิเคย” ชั้นดีจากระยองที่ทั้งหอมและนัว กับ “น้ำมันปู” สกัดจากกระดองปู กินกับกั้งดองแล้วเข้ากันมาก     ห่อหมกบ้านเพ ห่อหมกสูตรเด็ดที่ใช้ปลาอินทรีย์ของดีบ้านเพมาขูดเนื้อผสมกับเครื่องแกงสูตรลับที่ปรับจนจัดจ้านถึงเครื่อง รสชาติเผ็ดนำ แต่ยังมีความหวานแซมปลายลิ้น     ปิดท้ายด้วยผัดไท กั้ง กุ้ง ปู หัวใจของจานนี้คือซอสผัดไทเคี่ยวนาน 8 ชั่วโมงจนได้รสชาติกลมกล่อม หอมมัน นำไปผัดกับเส้นผัดไทให้ซอสซึมเข้าเส้น ท็อปปิ้งด้วยกั้ง กุ้ง เนื้อปูแบบพูนชาม แค่เห็นก็น้ำลายสอ     ช่วงหลัง 5 โมงเย็นเป็นต้นไป ถ้ายังไม่ไปไหนก็นั่งชิลต่อได้ยาวๆ เพราะร้านกั้งบ้านเพจะเปลี่ยนคอนเซ็ปต์เป็น Thaipas นำเสนอเมนูทาปาส อาหารสเปนที่ปรุงจากซีฟู้ดสดๆ ของไทย จับคู่กับไวน์หรือเครื่องดื่มรสเลิศอื่นๆ ได้อย่างลงตัว       ชิลครบเดย์แอนด์ไนท์ไม่ต้องลุกย้ายร้าน 

หากใครมีโอกาสได้ไปแถวท่าอิฐ เราอยากแนะนำร้าน I’m Bar & Bistro ร้านที่อยู่คู่นนทบุรีถึง 9 ปี โดยเชฟท็อปที่คิดค้นเมนูจากความชอบบวกกับอาหารที่คุ้นเคย เมื่อตอนทำงานอยู่ร้านอาหารในประเทศออสเตรเลีย จึงกลายมาเป็นเมนูอาหารสไตล์อิตาเลียนมิกซ์กับออสเตรเลียน     ซึ่งภายในร้านตกแต่งตามแฟชั่นที่เชฟชอบ ทั้งกางเกงยีนส์ เสื้อหมวกและโปสเตอร์ต่างๆ พูดง่ายๆ ก็คือแต่งตามใจฉัน มีความเท่ผสมผสานกับความดิบไว้ให้ถ่ายรูปชิกๆ อวดเพื่อน เหมือนได้เข้าไปนั่งในบาร์ตามภาพยนตร์ที่เคยดูมา เพียงขับรถเข้าไปหมู่บ้านมณียา จะเจอร้านอยู่ซ้ายมือ         เติมพลังด้วยแก้วนี้ก่อน I’m Coffee เป็นกาแฟสูตรพิเศษ มีเท็กซ์เจอร์เม็ดกาแฟปั่นหยาบๆ รสชาตินุ่มนวล หวานกำลังดี     ได้กลิ่นลอยมาแต่ไกล BBQ Ribs ซี่โครงอบราดบาร์บีคิวซอสเข้มข้น รสออกหวานละมุน ส่วนเนื้อติดกระดูกอ่อน เนื้อนุ่มเคี้ยวสนุก เผลอแป๊บเดียวหมดจานเสียแล้ว     กินยังไม่หนำใจขอต่อด้วย The Breaking Bad เบอร์เกอร์ชิ้นโตเคียงคู่เฟรนช์ฟรายส์ แป้งหนานุ่มสูตรลับของร้าน ข้างในเป็นเนื้อ ผัก น้ำสลัดเทาซันไอส์แลนด์และมอสซาเรลลาชีส     Beef Gulash สตูเนื้อสไตล์ฮังการี ที่ตุ๋นนานกว่า 1 ชม. เนื้อนุ่มมาก เข้ากันได้ดีกับความกรอบของขนมปังกระเทียม รสกลมกล่อม หอมกลิ่นเครื่องเทศ เมนูนี้เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน     แอบกระซิบที่ร้านมี Beef Lasagna ลาซานญาเนื้อ ชิ้นใหญ่มาก รสออกเค็มนิดๆ แต่ละมุน เป็นเมนูสเปเชียลไม่มีอยู่ในรายการอาหาร เผื่อใครอยากกินต้องลองถามดูนะ นานๆ ทีจะมีมา     ปิดท้ายความประทับใจด้วย Honey Lime Soda น้ำยอดฮิต ช่วยดับกระหาย รสเปรี้ยวๆ หวานๆ ดื่มแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที  

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง อร่อยกับผองเพื่อนต้อง Benjamin and Friends ร้านที่จัดหนักจัดเต็มเรื่องซีฟู้ด เรียกเพื่อนไปรวมตัวกันได้เพราะเดินทางง่ายมาก ร้านอยู่ติดถนนพระราม 4 สามย่าน จอดรถได้ที่ Block28 เข้าทางซอยจุฬา 5 หรือ ซอยจุฬา 9       ภายในร้านกว้างขวางมากมีทั้งหมด 3 ชั้น ตกแต่งในสไตล์สตรีท ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากรถไฟฟ้า โดยเน้นโทนสีแดงกับน้ำเงิน ทั้งนี้แต่ละสาขาจะตกแต่งร้านแตกต่างกันไปตามอินสปายที่อยู่ใกล้ตัว รอลุ้นกันต่อว่าทางร้านจะนำจุดเด่นอะไรมาแต่งร้านสาขาต่อไป         ขอประเดิมด้วยซุปต้มยำมันกุ้ง Shrimp Paste Tom Yum Soup (75 บาท) หอมกลิ่นเครื่องต้มยำ รสกลมกล่อม อัดแน่นทั้งมันกุ้งและเห็ดออรินจิ ได้ซดน้ำร้อนๆแบบนี้ช่วยเปิดทางสู่เมนูถัดไปได้ดีเลย Benjamin on The Rock (120 บาท) หมึกชุบแป้งทอดกรอบกำลังดี เลือกผงโรยได้ด้วย มี 3 รส ชีส ปาปริก้า หม่าล่า โรยผงพร้อมจุ่มน้ำจิ้มยิ่งแซ่บซี้ดสะใจ         Seafood Tom Yum Fried Rice (150 บาท) ข้าวผัดต้มยำท็อปหน้าแน่นด้วยหอยหมึกกุ้ง ไม่รอช้าขอต่อด้วยเมนูซิกเนเจอร์ Spaghetti Salmon Thai Fresh Chilli Sauce (150 บาท) สปาเกตตีแซลมอนซอสพริกขี้หนูสด อร่อยมากมีความครีมมี่หน่อยๆ รสเผ็ดกำลังดี ใครไม่ได้ลองถือว่าพลาดมาก       เสริมทัพต่อด้วย Grilled Squid หมึกย่างสูตรลับอีกหนึ่งเมนูซิกเนเจอร์ เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดและ Plum Coke โค้กบ๊วยสูตรพิเศษจากไซรับที่ร้านทำเอง หมึกออกเค็มน้ำจิ้มออกหวานและชื่นใจกับโค้กบ๊วยกินยังไงก็เข้ากัน เป็นบล็อกเซ็ตที่น่ารักจะถือไปกินที่ไหนก็ได้ (ราคาขึ้นอยู่กับขนาด)       ใส่ถุงมือพร้อมลุยต่อ Reunion Seafood (299 บาท) ซีฟู้ดถังคลุกเคล้าซอสสูตรเฉพาะ หอมกลิ่นเครื่องเทศ แย่งกันกินกับเพื่อนก็สนุกแถมอร่อย และใครชอบรสจัดจ้านต้องลอง Benjamin & Friends Onsen (150 บาท) มาม่าหม้อไฟ ครบเครื่องต้มยำอัดแน่นด้วยไข่ลวก กุ้ง ปลาหมึก หอยและหมูเด้ง ล้างปากด้วยมันบด Mashed Potatoes (65 บาท) เนียนนุ่มละมุนในปาก         จะชวนแก๊งมาปาร์ตี้อีกแน่นอน

สาวกแบรนด์สัญชาติฟินนิชที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่าง Marimekko (มารีเมกโกะ) ต้องไม่พลาดมาสัมผัส Marimekko pop-up café ไลฟ์สไตล์คาเฟ่ครั้งแรกในเมืองไทยของแบรนด์ Marimekko ที่ชั้น 1 เซ็นทรัล เอ็มบาสซี พร้อมเสิร์ฟอาหารจานอร่อยท่ามกลางบรรยากาศโฮมมีสบายตาตกแต่งในสไตล์สแกนดิเนเวียน รายล้อมไปด้วยภาชนะและของแต่งบ้านจากแบรนด์ Marimekko ที่น่ารักเกินห้ามใจ     แน่นอนว่าอาหารแต่ละจานจะถูกเสิร์ฟมาในจานชามจากคอลเล็คชั่นต่างๆ ของแบรนด์ Marimekko ที่ชวนให้หลงรักไปทุกลวดลาย โดยเฉพาะลายที่เป็นไอคอนของแบรนด์อย่าง Unikko ดอกไม้ดอกโตเป็นเอกลักษณ์ แต่ไม่เพียงแค่นั้น ตัวเมนูอาหารก็จะพาให้เราสัมผัสกับไลฟ์สไตล์นอร์ดิกด้วย โดยทีมเชฟได้เลือกสรรวัตถุดิบเด่นในแต่ละฤดูกาลของประเทศแถบสแกนดิเนเวียนมาครีเอตเมนูต่างๆ และจะมีการปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละฤดูกาลด้วย เมนูครั้งนี้อยู่ใน Spring Season ประกอบด้วยหมวดของสลัดและอาหารเรียกน้ำย่อย พาสตาและแพนเค้ก จานหลักและเนื้อสัตว์ ตามด้วยขนมหวานและเครื่องดื่ม     เริ่มต้นด้วยจานเบาๆ อย่าง Green Pea & Strawberry Salad (390 บาท) สลัดถั่วและสตรอว์เบอร์รี ใส่หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศ ท็อปด้วยแซลมอนกราฟลักซ์และซอสฮอร์สแรดิช ราดด้วยน้ำสลัดบิลเบอร์รีออร์แกนิก วัตถุดิบพิเศษส่งตรงจากฟินแลนด์ ให้รสเปรี้ยวอมหวานสดชื่น รู้สึกได้ถึงความเฮลตี้ในทุกคำ     สำหรับพาสตามีหลายเมนูที่น่าลิ้มลอง ส่วนใหญ่เป็นการจับคู่กับซีฟู้ด อาทิ Rigatoni Pink Sauce with Prawns & Caviar (390 บาท) พาสตาทรงหลอดขนาดใหญ่ในพิงค์ครีมซอสรสเข้มข้น ท็อปด้วยกุ้งย่าง คาเวียร์ และผักชีฝรั่ง     ส่วนจานหลักมีทั้งจานเบาๆ อย่าง Open Sandwich with Egg & Prawns (380 บาท) แซนด์วิชหน้าเปิดที่ใช้ขนมปังฟอคคาเซียเนื้อนุ่มหนึบ ด้านบนท็อปด้วยไข่ต้มเนื้อนุ่มและเนื้อกุ้ง ราดซอสเรมูลาร์ดศรีราชาที่มีความครีมมี่แต่ให้รสชาติเข้มข้นจัดจ้านถูกปากคนไทยแน่นอน ส่วนใครที่ชอบเนื้อเน้นๆ จะเลือกสั่งเป็นแซนวิชเนื้อย่างที่ท็อปด้วยชีสก็เข้าที นอกจากนี้ยังมีจานเนื้ออย่างไก่ย่างเครื่องเทศและเนื้ออบอีกด้วย     เครื่องดื่มต่างๆ เสิร์ฟมาในแก้ว Take-Away พิมพ์ลาย Unikko และลาย Kivet (stones) ลวดลายที่เป็นไอคอนของแบรนด์น่ารักน่าสะสม ขอแนะนำ Bilberry Spritzer (180 บาท) ทำจากน้ำผล Bilberry ออร์แกนิกเข้มข้นส่งตรงจากฟินแลนด์ รสเปรี้ยวนำตามด้วยหวานกลมกล่อมดื่มแล้วชื่นใจมาก ส่วนใครชอบดื่มชาแนะนำ Earl Grey Lavender Milk Tea (140 บาท) ชาเอิร์ลเกรย์เย็นแต่งกลิ่นลาเวนเดอร์รสกลมกล่อมหอมหวานชื่นใจมากๆ และอย่าลืมเลือกขนมเค้กและเบเกอรีอบสดใหม่วันต่อวันจากเคาน์เตอร์มากินคู่กัน       ถ้าได้ลิ้มรสอาหารอร่อยๆ จากจานชามใบสวยพลางอิงแอบหมอนอิง Unikko จนติดใจ อยากพากลับบ้านด้วย ก็สามารถไปช้อปปิ้งกันต่อที่ช็อป Marimekko สาขาเซ็นทรัล เอ็มบาสซีที่อยู่ข้างๆ กันได้เลย