25 Degrees ร้านเบอร์เกอร์ต้นตำรับจากลอสแอนเจลิส ที่ถอดเอาบรรยากาศของร้านเบอร์เกอร์สไตล์อเมริกันมาใส่ไว้อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้ชายคาของโรงแรมพูลแมน กรุงเทพฯ จี (Pullman Bangkok Hotel G) บนถนนสีลม ใจกลางกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะหิวท้องร้องตอนไหนก็มาเยือนได้ตลอด 24 ชั่วโมง NUMBER TWO เป็นหนึ่งในเมนูเบอร์เกอร์ซิกเนเจอร์ของร้าน ซึ่งประกอบไปด้วยเนื้อแพตตี้ชิ้นหนากำลังดี ประกบกับมะเขือเทศย่าง บูราต้าชีส โปรชุตโต้แฮม และราดด้วยเพสโตซอส นอกจากจะนำเสนอเบอร์เกอร์หลากหลายเมนูไม่มีน้อยหน้าใครแล้ว ที่ 25 Degrees ยังพร้อมเสิร์ฟเมนู All Day Breakfast สไตล์อเมริกันเติมพลังงานได้ตลอดทั้งวันด้วยเช่นกัน อย่างเช่น SMASHED AVOCADO & TOAST อะโวคาโดโทสต์สุดคลาสสิก ที่ชวนประทับใจตั้งแต่ขนมปังซาวร์โดเนื้อเหนียวนุ่ม ผิวกรอบเคี้ยวสนุก ท็อปด้วยอะโวคาโดบดละเอียด เม็ดทับทิม และเฟต้าชีสช่วยเพิ่มความเค็มนิด ๆ จับคู่มากับไข่ดาวซันนี่ไซด์อัพ มันฝรั่ง และมะเขือเทศ ส่วนของกินเล่นที่เพลินจนต้องยกนิ้วให้ก็คือ CORN RIBS WITH CHIPOTLE SAUCE ข้าวโพดหวานย่างโรยผงปาปริก้า มาพร้อมกับซอสชิโปตเลที่มีส่วนผสมของพริกฆาลาเปญโญ เป็นจานที่มีทั้งความหวานหอมของข้าวโพดตัดกับรสชาติของพริกได้อย่างลงตัว ส่วนของหวานนั้นรับรองว่าคนรักช็อกโกแลตจะต้องถูกใจกับความเข้มข้นของ Warm Melt Chocolate Cake ที่เสิร์ฟอุ่น ๆ ด้านในหนึบเป็นลาวา กินคู่กับไอศกรีมวานิลลา ทวีคูณความหอมหวานปิดท้ายมื้ออาหารได้ดีทีเดียว ที่นี่มีส่วนของบาร์เครื่องดื่มที่สามารถรังสรรค์ได้หลากหลายไม่ว่าจะมีแอลกอฮอล์หรือนอนแอลกอฮอล์ แต่สำหรับหนึ่งอย่างที่เป็นไฮไลต์ของร้านต้องยกให้กับ Homemade Ginger Beer จิงเจอร์เบียร์ไร้แอลกอฮอล์ที่ให้รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ซาบซ่า เพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี นอกเหนือไปจากเมนูประจำร้านแล้ว ที่ 25 Degrees ยังมีโปรโมชันพิเศษทุก ๆ 2 เดือนกับเมนูที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่โดยเฉพาะ อย่างเช่นในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ปี 2566 นี้ ทางร้านได้นำเสนอ ‘รูเบนแซนด์วิช’ แซนด์วิชอเมริกันสุดคลาสสิกจากนิวยอร์ ที่มาพร้อมกับเนื้อคอร์นบีฟอาร์ติซาน จับคู่กับซาร์วเคราต์ (กะหล่ำปลีดอง) ชีสกูร์แยร์ เติมเต็มรสชาติด้วยซอส Russian Dressing ที่มีทั้งความครีมมี่และความเผ็ดฉุนอยู่ในตัว ประกบด้วยขนมปังข้าวไรย์ (Rye bread) ลายหินอ่อน และมิลก์เชคที่ได้แรงบันดาลใจมาจากขนม Snickers และ Peanut Milkshake ที่โดดเด่นด้วยรสชาติหวาน มัน และเค็ม เข้มข้น นอกจากนี้ยังมีเมนูกาแฟอย่าง ‘Naughty’ ไอริชวิสกี้คอฟฟี่มิลก์เชค ที่ให้ทั้งรสชาติและกลิ่นหอม ๆ ของกาแฟ สอดแทรกไปกับเจมสันวิสกี้ (Jameson) ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชาวิสกี้เบอร์หนึ่งของโลก ถ้าอยากลิ้มลองมื้ออาหารที่มอบประสบการณ์และกลิ่นอายแบบอเมริกันอย่างแท้จริง แวะมาที่นี่ได้เลย

หลังจากที่เฝ้ารอมาสักพักใหญ่ ในที่สุด Shake Shack (เชค แช็ค) เบอร์เกอร์สัญชาติอเมริกันจากนิวยอร์กก็เดินทางมาเปิดตัวสาขาแรกในประเทศไทย และพร้อมให้บริการวันแรก 30 มีนาคม 2566 นี้ เราเลยขอมาลองเมนูเด็ดส่งตรงสูตรต้นตำรับที่ว่ากันว่า ‘พลาดไม่ได้’ กับ 6 เมนูซิกเนเจอร์ของร้านอย่าง แช็คเบอร์เกอร์ (ShackBurger®), ไส้กรอกเนื้อบนบันมันฝรั่ง (Flat-Top Dogs), ชิคเก้นแช็ค (Chick’n Shack) และฮอตชิคเก้นแซนด์วิช (Hot Chicken) พร้อมด้วยตัวเลือกแบบมังสวิรัติอย่าง ชรูมเบอร์เกอร์ (Shroom Burger) จากเห็ดพอร์โทเบลโลทอดกรอบ นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มยกพลมาให้เลือกอีกเต็มพิกัด ไม่ว่าจะเป็นเบียร์แช็คไมส์เตอร์ (ShackMeister® Ale) คราฟต์เบียร์กลั่นสดส่งตรงจากโรงกลั่นเบียร์ Brooklyn Brewery ไวน์แช็คเรด (Shack Red®) และไวน์แช็คไวท์ (Shack White®) ไวน์แดงและไวน์ขาวที่เหมาะสำหรับกินคู่กับเบอร์เกอร์เนื้อวัวและเบอร์เกอร์เนื้อไก่ พร้อมกันนี้ยังมีเครื่องดื่มที่จับมือกับร่วมมือกับ Microbrewery ผู้ผลิตคราฟต์เบียร์ไทยในย่านสุขุมวิท คัดสรรรคราฟต์เบียร์ฝีมือคนไทยมาให้ลิ้มลองถึง 2 รสชาติ ได้แก่ ‘ตรัย ฮอปปี้ ลาร์เกอร์’ เบียร์ลาร์เกอร์รสนุ่มละมุน และ ‘ยู ลิตเติ้ล ทาร์ต’  Sour Beer รสชาติมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครให้สัมผัสสดชื่นอมเปรี้ยวนิด ๆ จากกระเจี๊บบแดง และที่พิเศษกว่านั้นคือเมนูที่รังสรรค์มาเฉพาะสำหรับสาขาในประเทศไทย! กับเมนู Pandan Sticky Rice  Shake (มิลค์เชคข้าวเหนียวเจลลีใบเตย) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากข้าวเหนียวแก้วใบเตย โดยผสมผสานระหว่างวานิลลา โฟรเซ่น คัสตาร์ด ซึ่งเป็นไอศกรีมพรีเมียมสูตรพิเศษของเชค แช็ค น้ำนมข้าว ข้าวเหนียว และน้ำตาลโตนด ได้กลิ่นอายขนมไทยในแบบที่สาขาประเทศอื่นไม่มีให้ลิ้มลอง ยิ่งไปกว่านี้ ยังมีของหวานเมนูคอนกรีต (Concretes) อีก 3 รสชาติที่สอดแทรกรสชาติแบบไทย ๆ เข้าไปด้วย นั่นก็คือ ‘CentralSwirled’  ทำจากจากวานิลลา โฟรเซ่น คัสตาร์ด ผสมคาราเมลน้ำปลาหวาน  ตกแต่งด้วยขนมผิงและมะพร้าวกรอบ ‘Coconuts About You’ คอนกรีตที่มีส่วนผสมของวานิลลา โฟรเซ่น คัสตาร์ด ผสมกับเนื้อมะพร้าวกะทิ น้ำกะทิ ท็อปด้วยคุ้กกี้ชอร์ตเบรด ทับทิมกรอบ และถั่วทอง กับอีกเมนูซิกเนเจอร์ ‘ Shake Attack™’ ช็อกโกแลตคอนกรีต ที่ได้ After You มาช่วยรังสรรค์บราวน์นี่มาเสริมความเข้มข้นให้กับเมนูนี้ แอบกระซิบว่าใครไปเหยียบร้านเป็นคนแรกของวัน นับตั้งแต่ร้านเปิดวันแรกจนถึง 31 ธันวาคม 2566 ก็เตรียมตัวรับเบอร์เกอร์เซ็ตไปกินเลยแบบฟรี ๆ ทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 เซ็ต ยังไม่หมด! ใครที่เป็น 100 คนแรกของร้านจะได้รับของที่ระลึกที่ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อฉลองเชค แช็ค สาขาแรกในไทยด้วย

Cheonman “ชอนมัน” ร้านแฮงก์เอาท์แนวสตรีทเกาหลี ขวัญใจหนุ่มสาวนิสิตนักศึกษาและคนทำงานในย่านบรรทัดทอง ตัวร้านน่ารักไซส์มินิ ด้านหน้าตั้งแสตนดี้หนุ่มหล่อกงยูที่ยืนส่งยิ้มเชื้อเชิญให้เราเข้ามาดื่มกิน แต่ถ้ามาช่วงปลายปีเลือกนั่งหน้าร้านรับลมหนาวชิลๆ ไปพร้อมกับจิบเครื่องดื่มเย็นๆ แล้วจินตนาการไปว่านั่งอยู่ริมทางกลางย่านฮงแด แหม...มันช่างดีต่อใจ ส่วนด้านในร้านก็คูลไปอีกแบบกับวอลล์เปเปอร์ภาพยามค่ำคืนในกรุงโซลที่เต็มไปด้วยแสงสี ยิ่งดึกยิ่งคึกคัก แทบไม่อยากลุกกลับบ้าน แนะนำเมนูคู่จิ้นที่คนเกาหลีนิยมกินแกล้มเบียร์เย็นๆ อย่าง Cheonman Chicken ไก่ทอดเกาหลีที่เลือกเฉพาะเนื้อๆ ไม่มีกระดูกกวนใจ นำมาหมักซอสแล้วทอดร้อนๆ ได้รสเข้มข้นจากซอสผสานรสเค็มมันจากชีสเยิ้มๆ ด้านบน ต่อด้วย Jjukkumi จุกกุมิหรือปลาหมึกมาพร้อมหอยเชลล์นำเข้าจากเกาหลีผัดด้วยซอสชอนมันสูตรพิเศษ สมทบด้วยหมูสไลซ์และต๊อกปกกี ผัดแยกแล้วลองชิมรสชาติ ก่อนใส่ข้าวและสาหร่ายผัดต่อจนเข้ากัน โรยไข่กุ้ง เป็นอันจบกระบวนการ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง กิมจิและผักสด รสชาติเดียวกับที่กินในเกาหลีเป๊ะ Original Jajangmyeon บะหมี่ผัดซอสดำ เส้นเหนียวนุ่มฉ่ำน้ำซอสเยิ้มๆ ปากเลอะแค่ไหนก็ยอม (มโนเอาว่าเป็นนางเอกซีรีส์ที่กินเลอะแค่ไหนก็น่ารัก) ถ้าไม่จุใจสั่ง ออมุกหรือโอเด้งเกาหลี กับซุปกิมจิหมูสามชั้น ที่เรายกให้เป็นเมนูเข้ากับฤดูหนาวมากที่สุด ก่อนจบด้วยแอปเปิ้ลโซดา เครื่องดื่มซาบซ่าล้างปากได้แบบสดชื่น อย่ารอช้า หยิบโทรศัพท์นัดเพื่อนมารวมตัวได้เลย!

แฮงก์เอาท์ชิคๆ แบบสตรีทฟู้ดเกาหลีต้องที่ Jinjjayo (ชินจาโย) ที่ยกเอาคอนเซ็ปต์ Korean Street Food มาให้สายตี้ได้กินดื่มสนุกๆ เคล้าเสียงเพลงกระหึ่มสไตล์ K-Pop และ Cover Dance ของเหล่าไอดอลที่ชื่นชอบ ไม่ต้องไปเกาหลีก็ได้ฟีลเดียวกัน เมนูจานเด็ดคัดมาเป็นพิเศษ อาทิ หม้อไฟบุเดจิเก รวมมิตรหม้อยักษ์ เอาตะเกียบคีบตรงไหนก็พบแต่ความอร่อย โดยเฉพาะน้ำซุปที่ปรุงรสเผ็ดร้อนนิดๆ ซดแล้วจี๊ดคล่องคอ เหมาะกับอากาศเย็นๆ ช่วงปลายปี หมูสามชั้นย่าง จากกรุงโซลถึงโซนลาดกระบัง อร่อยเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ทางร้านจะแล่หมูสามชั้นชิ้นพอดีคำ(โตๆ)แล้วย่างมาให้เสร็จสรรพ เนื้อนุ่มฉ่ำมีส่วนมันพอประมาณ คีบวางบนผักแล้วตามด้วยซอสปรุงรสที่มีให้เลือก 3 ชนิด แนะนำให้ลองทุกรสเพื่อค้นพบรสชาติที่ชอบ ส่วนเมนูหน้าตาเรียบๆ แต่ซ่อนความพิเศษไว้เพียบยกให้ ข้าวมันปูเกาหลี ข้าวนุ่มๆ ท็อปด้วยมันปูเนียนละมุน โรยงาขาวและต้นหอมซอย รสชาติกลมกล่อมหอมมัน แนะนำให้ห่อสาหร่ายก่อนส่งเข้าปาก จะเพิ่มรสเข้มข้นเค็มมันอีกเท่าตัว คิมบับไข่ แปลกใหม่ไม่เหมือนใครกับคิมบับไร้ข้าว ทางร้านนำสาหร่ายมาห่อไข่คำใหญ่ๆ เคี้ยวนุ่มไม่ต้องออกแรง ถูกปากจนอยากสั่งเพิ่มเรื่อยๆ ต่อด้วยเมนูสุดป๊อป กุ้งดองซีอิ้วเกาหลี กุ้งสดไร้กลิ่นคาว ได้รสเค็มหวานจากซีอิ๊วและรสเผ็ดจี๊ดจากพริกขี้หนู ถ้ายังไม่สะใจก็มีน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบไทยแท้มาให้เพิ่มรส อีกเมนูห้ามพลาดได้แก่หอยนางรมเกาหลี เสิร์ฟ 3 ตัวใหญ่ๆ ระดับความสดเหมือนเพิ่งยกขึ้นจากทะเล บีบเลมอนนิดแล้วราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ แนะนำให้เคี้ยวช้าๆ เพื่อให้ความสดชื่นอบอวลอยู่ในปากนานๆ ก่อนปิดจ๊อบด้วย ไก่ทอด 3 in 1 เสิร์ฟครบ 3 รสในจานเดียว ฟีลแบบนี้เหมือนนั่งอยู่ในเต๊นท์ที่เกาหลีจริงๆ

อาหารเวียดนามเริ่มได้รับความนิยมขึ้นอย่างไม่มีใครฉุดอยู่ ด้วยรสชาติที่เข้ากับรสนิยมคนไทย และเป็นมิตรกับชาวต่างชาติ อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยผักและสมุนไพรที่เหมาะสำหรับผู้คนที่มองหาอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งที่ร้าน Muine (มุยเน่) ณ บริเวณชั้น 2 ของ Habito Mall (ฮาบิโตะ มอลล์) คอมมูนิตี้ในซอยสุขุมวิท 77 ย่านอ่อนนุช ก็เป็นอีกพิกัดร้านอาหารเวียดนามที่ภูมิใจนำเสนออาหารสตรีทฟู้ดต้นตำรับ ในแบบฉบับที่มานั่งกินคนเดียวก็ได้ หรือพากลุ่มเพื่อน ครอบครัวมากินด้วยกันก็ดี   Muine (มุยเน่) ได้แรงบันดาลใจตรง ๆ มาจากเมืองมุยเน่ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนามที่มีแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่างทะเลทรายแดงเป็นไฮไลต์ประจำเมือง ซึ่งที่ร้านก็ได้นำจุดเด่นนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของร้านอย่างที่เห็นได้ชัดเจนจากผนังสีแดง ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ที่ประดับประดาอยู่ทั่วทั้งร้าน เป็นตัวแทนของโอเอซิสกลางทะเลทราย เปรียบกับการมาเยือนสถานที่แห่งนี้ ที่จะเป็นดั่งโอเอซิสด้วยบรรยากาศและเมนูสตรีทฟู้ดสูตรส่งตรงมาจากภาคใต้ของเวียดนาม     เริ่มต้นด้วยเมนู ขนมจีนแนมเนื้อง ที่ดัดแปลงมาจากแนมเนื้องหรือแหนมเนืองที่คนไทยคุ้นเคย โดยเปลี่ยนจากแผ่นแป้งเป็นเส้นขนมจีน เสิร์ฟพร้อมผักสด สมุนไพร ผักดองสไตล์เวียดนาม คลุกเคล้าด้วยน้ำยำเวียดนามรสชาติเปรี้ยวอมหวาน คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วกินพร้อมกับหมูปั้นรสชาติกลมกล่อมเสียบไม้ตามแบบฉบับแนมเนื้องแบบเวียดนามแท้ ๆ     ต่อมาก็เป็นเมนูที่มีเส้นขนมจีนเช่นกันคือ ขนมจีนเนื้อออสเตรเลียผัดซอสฮอยซิน ขนมจีนแห้งมาพร้อมเนื้อออสเตรเลียส่วนสันคอผัดกับซอสฮอยซิน ซึ่งเป็นซอสสไตล์เวียดนามที่นิยมกินกับเฝอ พร้อมกับหอมใหญ่ กระเทียม โรยหน้าด้วยน้ำจิ้มผักดองสไตล์เวียดนาม ที่ประกอบไปด้วยแครอทและหัวไชเท้าหั่นเป็นเส้น เลยมีชื่อเรียกเล่น ๆ กันว่า ‘จิ้มเส้น’ จานนี้เลือกกินคู่กับปอเปี๊ยะทอดไส้หมูสูตรเด็ดของทางร้านหรือไม่ก็ได้ แต่แนะนำว่ามาแล้วต้องลองให้ครบ     ต่อด้วยอีกเมนูสตรีทฟู้ดที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้จักอย่าง บั๋นหมี่หมูย่าง ขนมปังบาแกตต์เนื้อกรอบนอกนุ่มในตามสไตล์ขนมปังเวียดนามแท้ ๆ สอดไส้ด้วยผักสด ผักดอง และไฮไลต์อย่างหมูหมัก ที่ร้านใช้เวลาหมักข้ามคืนจนรสชาติเข้าเนื้อ แล้วนำไปย่างบนเตาถ่านลาวาจนได้กลิ่นหอมกรุ่น     ในเมนูเฝอเนื้อทั้งหมดที่มีในร้าน นอกจากเมนูเนื้อสไลด์ที่มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อโคขุน เนื้อริบอาย และเนื้อแองกัส ยังมี เฝอเนื้อวากิว ที่พกพาเอาความพิเศษมาด้วย เพราะเป็นเนื้อตุ๋นสูตรพิเศษที่ร้านลงมือตุ๋นหลายชั่วโมงจนเนื้อนุ่ม พ่นไฟเพิ่มความหอมอีดนิดก่อนเสิร์ฟ ทำให้เฝอชามนี้มีรสชาติของน้ำตุ๋นเนื้อกลมกล่อมผสมผสานอยู่ด้วย     ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ Vietnamese Drip กาแฟดริปเวียดนาม มีให้เลือกทั้งแบบร้อนและเย็น ผสมผสานไปด้วยเมล็ดกาแฟคั่ว 4 สายพันธุ์ ส่งตรงจากเวียดนาม หอมกลิ่นคั่วเข้มข้นเป็นเอกลักษณ์ที่เข้ากันได้ดีมาก ๆ กับนมข้น ในแบบที่จิบแล้วคิดถึงประเทศเวียดนามอย่างแน่นอน     ส่วนเครื่องดื่มอีกแก้วหนึ่งคือ Trà Sen ชาดอกบัว เป็นตัวแทนสัญลักษณ์ดอกไม้ประจำประเทศเวียดนาม ให้รสชาติหวานหอมเบา ๆ เพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี     นอกจากจะได้อิ่มเอมไปกับอาหารสตรีทฟู้ดเวียดนามอย่างจุใจแล้ว ที่นี่ยังเปิดประตูต้อนรับเพื่อนรักสี่ขา ให้เข้าไปใช้ช่วงเวลาผ่อนคลายอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา อย่าลืมแวะทักทายเจ้าของร้านด้วยนะ    

มาอุดหนุนครั้งไหนก็ไม่ผิดหวัง ลูกชิ้นหมูแพร่งนรา ร้านลูกชิ้นใกล้ศาลเจ้าพ่อเสือของคุณปุ้ย เจ้าของร้านคนสวย (สวยจนได้ฉายา “ลูกชิ้นนางฟ้า” ) ความอร่อยของลูกชิ้นร้านนี้คือลูกชิ้นหมู 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ผสมแป้ง ไม่ใส่สารบอแรกซ์ ลูกเล็ก และมีเนื้อสัมผัสเฉพาะตัว เมื่อปิ้งแล้วผิวด้านนอกจะย่นนิดๆ แต่กัดแล้วจะเจอความชุ่มฉ่ำด้านใน คุณปุ้ย เล่าอย่างอารมณ์ดีว่าช่วยคุณแม่ขายลูกชิ้นมาตั้งแต่อายุ 14 จนถึงตอนนี้ร้านเปิดมาได้ 20 ปีพอดิบพอดี ที่ร้านขายเฉพาะลูกชิ้นหมู ราคาไม้ละ 10 บาท (มีแบบจัดชุด ชุดละ 10 ไม้เพื่อความรวดเร็ว) ปิ้งกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำและมีลูกค้าประจำแวะมาไม่ขาด ส่วนน้ำจิ้มของที่ร้านบอกเด็ดไม่แพ้กัน ด้วยความที่คุณแม่ของคุณปุ้ยเป็นคน “มือหนัก” และ “จัดเต็ม” พริกและกระเทียมที่ใช้ทำน้ำจิ้มจึงใส่แบบไม่อั้น รสชาติเข้มข้นถูกใจจนลูกค้าทั้งใกล้-ไกลเรียกร้องให้ทำขายแบบขวดเผื่อซื้อขึ้นเครื่องไปต่างจังหวัด (ขวดละ 50 บาทเท่านั้น) นอกจากนี้ที่ร้านยังรับออกบูธตามงานต่างๆ อีกด้วย ลูกชิ้นอร่อยแบบนี้ต้องอุดหนุนกันไปยาวๆ     

เป็นอีกหนึ่งร้านเด็ดเมืองนนท์ ร้านลุงลูกชิ้น ตลาดประชานิเวศน์ 3 แค่ฟังชื่อร้านก็รู้แล้วว่าคุณลุงจง เป็นมือปิ้งลูกชิ้นไร้เทียมทาน ทุกเย็นเราจะเห็นคุณลุงสวมผ้ากันเปื้อนตัวเก่ง เตรียมจุดเตาถ่าน ก่อนเปิดร้านต้อนรับคนหิวตอน 5 โมงเย็น คุณลุงจงเล่าว่า เริ่มขายปลาหมึกย่างตั้งแต่ พศ.2524 จากนั้นเสริมด้วยลูกชิ้นและไส้กรอกให้ทุกคนกินได้จนถึงปัจจุบัน ลูกชิ้นในร้านของคุณลุงรับมาจากโรงงานเจ้าประจำที่ซื้อขายกันมาตั้งแต่ 40 ปี ทั้งลูกชิ้นกุ้ง ลูกชิ้นไก่ ไส้กรอกไก่ ลูกชิ้นปลา ไข่ปลาหมึก ฯลฯ เริ่มต้นไม้ละ 8 บาทที่ลุงจงบรรจงปิ้งอย่างใจเย็นทุกไม้ และที่มัดใจลูกค้าแบบอยู่หมัดคือน้ำจิ้มลูกชิ้นสูตรลับ (หลอกถามอย่างไรก็ไม่สำเร็จ) เด็ดที่รสเผ็ดเปรี้ยวหวานเค็ม จนต้องทำใส่ขวดขายต่างหาก แถมรสชาติยังคงที่เพราะไม่เคยลดวัตถุดิบที่ใช้เลย นอกจากนี้ยังมีน้ำจิ้มซีฟู้ดรสจี๊ดจ๊าดที่เข้ากับไข่ปลาหมึกสุดๆ ยิ่งผสมกันยิ่งทวีความเด็ดดวง ใครชอบหิวตอนดึกๆ ฝากท้องไว้ที่คุณลุงได้เลย

เป็น 1 ในร้านลูกชิ้นปิ้งขวัญใจคนบางลำพูมาอย่างยาวนาน สำหรับ ลูกชิ้นปิ้งธงชัย ของพี่ธงชัยและพี่วาสนาที่ประจำการหน้าร้านสเวนเซน ถนนรามบุตรี มานานกว่า 40 ปี น่าเสียดายที่ร้านนี้จะเปิดขายถึงแค่เดือนเมษายนปี 2566 เพราะถึงเวลาที่พี่ทั้ง 2 จะหยุดพักบ้างแล้ว สิ่งที่ทำให้ลูกชิ้นปิ้งธงชัยเป็นที่โปรดปรานคือ ลูกชิ้นแป้งน้อยที่ญาติๆ ทำกันเอง เลือกได้ทั้งลูกชิ้นเนื้อ ลูกชิ้นเอ็นเนื้อ ลูกชิ้นหมู และลูกชิ้นเอ็นหมู ลูกเล็กกำลังเคี้ยวเพลิน ขายไม้ละ 10 บาทเท่านั้น เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่วิธีปิ้งให้สุกด้วยเตาถ่าน สลับกับการชุบน้ำจิ้มไปด้วย (ปิ้งไปชุบไป) รอให้น้ำจิ้มค่อยๆ ซึมเข้าไปในลูกชิ้นทีละน้อย บอกเลยว่าเด็ดจริง ลูกชิ้นหมูว่าอร่อยแล้ว ลูกชิ้นเนื้ออร่อยยิ่งกว่า รสเค็มอ่อนๆ ตัดกับรสเผ็ดหวานของน้ำจิ้มได้พอดิบพอดี เอาเป็นว่า 5 ไม้ก็กินไม่พอ ขอ 10 ไม้ไปเลย

เมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่ฮอตสุดตอนนี้ คงต้องยกให้จังหวัดชลบุรี เพราะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ขับรถเดี๋ยวเดียวก็ถึง ไม่เพียงมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ยังมีสถานที่ฮิปๆ ให้ไปเช็คอินจำนวนมาก รวมถึงร้านอาหารและคาเฟ่เปิดใหม่ดีไซน์สวยที่ดึงดูดให้เหล่าคาเฟ่ฮอปปิ้งไปปักหมุดได้ไม่ซ้ำ แต่ถ้าถามหาสตรีทฟู้ดที่เป็นตำนานเบอร์ต้นๆ ของจังหวัด ต้องมีชื่อป้าอ่อนซอยก๊วนเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน ร้านป้าอ่อนเป็นบ้านไม้เก่า 2 ชั้น อยู่ตรงข้ามซอยท่าเรือพลี ขายอาหารตามสั่งโดยเน้นซีฟู้ดสดๆ ที่ยกให้เป็นพระเอกของทุกจาน ขึ้นชื่อว่าร้านดังคิวจึงยาวเหยียด แต่ก็ไม่น่าเบื่อเสียทีเดียว เพราะคุณพี่ในร้านจะเอาเมนูมาให้เลือกพลางๆ พอโต๊ะว่างนั่งไม่ทันหายเมื่อย อาหารที่สั่งไว้ก็ทยอยออกมาจนเต็มโต๊ะ เมนูที่เราจับจองไว้ในใจก่อนออกจากกรุงเทพฯ คือ กั้งกระเทียม ยอดขายนัมเบอร์วัน การันตีด้วยรีรีวิวเยอะมากจนอยากมาพิสูจน์รสชาติด้วยตัวเอง ทางร้านใช้กั้งแก้วตัวใหญ่ ผัดกับกระเทียมด้วยไฟแรง ผัดไม่นานก็ยกขึ้น กั้งเนื้อแน่นหนึบ เคี้ยวสู้ฟัน ปรุงออกรสเค็มนิดๆ และมีกลิ่นหอมของพริกไทยขึ้นจมูก ทีเด็ดยังอยู่ที่น้ำมันกระเทียมเจียวก้นจาน ตักมาคลุกเคล้ากับข้าวสวย เพื่อให้รสเค็มมันกระจายทั่วถึง เคี้ยวเพลินจนคำสุดท้าย ต่อด้วย กระเพราปู ผัดกระเพรารุ่นเก๋าที่ใส่ทั้งใบกระเพราและเนื้อปูมาให้จุใจ เอาช้อนตักตรงไหนก็เจอ  ปรุงรสชาติเผ็ดร้อนหอมกลิ่นกระทะ อีกจานคือผัดฉ่ารวมมิตร ยกขบวนซีฟู้ดมาครบครันทั้งกุ้ง หมึก กั้ง ปู หอยเชลล์ รสเผ็ดเค็มกำลังดี นอกจาก 3 เมนูสุดฮอตนี้ ยังมีจานเด็ดตามสั่ง อาทิ ผัดพริก ต้มยำ แกงจืด และข้าวผัดนานาชนิด  สั่งจานไหนก็ฟิน อิ่มพุงกางค่อยกลับบ้าน!

เยือนถิ่นพาหุรัด Little India ของกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้มีดีแค่อาหารอินเดีย เพราะคราวนี้เรามาลอง ‘ก๋วยเตี๋ยวพม่า’ สตรีทฟู้ดเจ้าเด็ดที่บอกได้เลยว่าหาไม่ยาก เพียงแค่เดินทะลุห้างอินเดียเอ็มโพเรียม เลี้ยวมาทางขวามือ ก็จะเห็นป้ายร้านก๋วยเตี๋ยวพม่าสีเหลืองเด่น เขียนเป็นภาษาไทยอย่างชัดเจนจากภาพคนที่นั่งอยู่เต็มร้าน ก็พอจะการันตีถึงรสชาติได้คร่าว ๆ ว่าต้องมีอะไรดีอย่างแน่นอน ก๋วยเตี๋ยวพม่า อาจจะไม่ใช่เมนูก๋วยเตี๋ยวที่คุ้นหน้าคุ้นตาคนไทยเท่าไร แต่หลาย ๆ เมนูก็มีความคล้ายคลึงกับ ‘ข้าวแรมฟืน’ อาหารท้องถิ่นของชาวไทใหญ่และไทลื๊อทางภาคเหนือของประเทศไทยอยู่หลายส่วนเลยทีเดียว เมนูแนะนำของร้านนั้นเริ่มต้นด้วย อั๊ปเปรี้ยว (Tohu Pyaw) ก๋วยเตี๋ยวที่มีจุดเด่นตรงแกงข้นหนืดเป็นแป้งสีเหลืองนุ่มนวลทำมาจากถั่วเหลือง ปรุงรสด้วยซีอิ๊ว น้ำมันพริก โรยถั่วลิสง งา และผักชีตบท้าย หากเรียกให้ดูไทย เมนูนี้จะมีชื่อว่า ‘ข้าวแรมฟืนอุ่น’ วันดาบู้ (Wantohu) เนื้อแป้งของวันดาบู้นั้นมีสีเหลืองแบบเดียวกับเนื้อแป้งของอั๊ปเปรี้ยว ทำจากถั่วเช่นเดียวกัน แต่มาในรูปแบบที่แข็งแล้วตัดแบ่งเป็นเส้น ที่ไม่ใช่เส้นก๋วยเตี๋ยวยาว ๆ แต่มีลักษณะเป็นก้อนสี่เหลี่ยม มาพร้อมน้ำขลุกขลิกรสเค็มและหวานผสมผสานกันเป็นอย่างดี ปรุงรสด้วยซีอิ๊ว น้ำมันพริก ถั่วลิสง งา และผักชีโรยหน้าคล้าย ๆ กับอั๊ปเปรี้ยว แต่ให้รสชาติที่จัดจ้านชัดเจนกว่า จานสุดท้ายคือ ข้าวซอยแห้ง ที่ไม่ใช่ข้าวซอยที่คนไทยคุ้นเคยแต่อย่างใด ข้าวซอยแห้งในรูปแบบของก๋วยเตี๋ยวพม่าพาหุรัดนั้น มาพร้อมเส้นข้าวซอยที่ดูคล้ายเส้นเล็ก เสิร์ฟพร้อมแกงสไตล์พม่าเข้มข้นหอมกลิ่นสมุนไพร และกุ้งแห้ง เป็นอีกพิกัดของอร่อยในย่านพาหุรัดที่ต้องไปลองสักครั้งหนึ่ง