เมื่อกระแสของร้าน All day dining ยังไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลง เราก็ขอเติมลิสต์ร้านใหม่ในดวงใจอย่าง Holy Belly (โฮลี เบลลี) ให้กับสาวกคอมฟอร์ตฟู้ดได้ตามไปลองชิมกัน ทางร้านนำเสนอเมนูคุ้นเคยหลากหลายเชื้อชาติในคอนเซ็ปต์ All-Day Roast หยิบเอาความอบอุ่นของรสชาติอาหารโฮมเมดแบบดั้งเดิมทั่วโลกมาปรุงด้วยเทคนิกสมัยใหม่ ซึ่งมีไฮไลต์เป็นเมนูย่างที่ผ่านการดูแลโดยเชฟ Jeriko Van Der Wolf เชฟใหญ่ประจำร้าน BIANCA Bangkok ในเครือเดียวกันนั่นเอง บรรยากาศภายในร้านมาพร้อมความอบอุ่นสดใสด้วยโทนสีส้มแดงและเฟอร์นิเจอร์ไม้ ที่ตกแต่งด้วยต้นไม้ประดับสีเขียวเสริมความสดชื่น เมนูแนะนำ Creamy Lobster Bisque ซุปล็อปสเตอร์รสครีมมีจากน้ำสต็อกสุดเข้มข้นที่เคี่ยวจนนัวและกลมกล่อม  Tuna Tarta & Avocado เนื้อทูน่าดิบหั่นเต๋าเสิร์ฟมาบนอะโวคาโดบด กินพร้อมซอสเสาวรสเลมอนและแตงกวาสไลซ์ ยกให้เป็นจานที่เรียกความเฟรชได้ดี Holy Triffle Pasta พาสต้าเส้นสดเหนียวนุ่มคลุกเคล้ามากับซอสครีมทรัฟเฟิล ออนท็อปด้วยชีสและไข่แดงเยิ้มๆ หอมละมุนอบอวลอยู่ในปาก Holy Whole Roasted Chicken ไก่หมักสูตรพิเศษของทางร้านที่ผ่านการย่างด้วยกรรมวิธีเฉพาะกว่า 24 ชั่วโมง สัมผัสนุ่มและแน่น กินพร้อมมันย่างและซอสเกรวี ของหวานต้องยกให้  Sticky Date Pudding เค้กอินทผาลัมหอมหวานฉ่ำมากับซอสคาราเมล ที่เมื่อกินกับไอศกรีมโยเกิร์ตแล้วเข้ากันอย่างลงตัว หรือจะเลือกเป็น Thai Tea Tiramisu ตัวดังสูตรเดียวกับร้าน BIANCA ก็ไม่ผิดหวัง

Tag:

LAWOI' - ละโวยจ โปรเจ็กต์ที่เกิดจากความรักในการกินอาหารทะเลของเชฟต้นและภรรยา สู่ร้านอาหารทะเลแบบแคชชวลไดนิง เสิร์ฟเมนูซีฟู้ดในสไตล์อิซากายะที่สามารถแพริงคู่กับสาเกพรีเมียมได้อย่างเข้ากัน ซึ่งแต่ละเมนูทางร้านเน้นใช้วัตถุดิบจากท้องทะเลไทย ตั้งใจเสาะแสวงหาตามท้องถิ่นต่างๆ จนได้วัตถุดิบที่สดใหม่จากชาวประมงโดยตรง ก่อนนำมารังสรรค์จานเด็ดด้วยเทคนิคสมัยใหม่แต่ก็ยังคงรสชาติที่แท้จริงจากทะเลไทยเอาไว้ได้อย่างน่าประทับใจ ส่วนร้านใหม่นี้ถ้าจะให้เข้าทีก็ต้องดีไซน์ออกมาให้เหมือนนั่งกินอยู่ในทะเล และใช่! เพราะภายในร้านได้ทำการตกแต่งทุกตารางนิ้วให้กลายเป็นบ้านชาวประมงที่ผสมผสานความโมเดิร์นเอาไว้ในทุกจุด มีการคุมมู้ดแอนด์โทนด้วยแสงไฟสลัวเหมือนนั่งกินข้าวริมทะเลยามค่ำคืน มีเพียงแสงสว่างกลางโต๊ะที่เป็นตัวแทนของแสงจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำ มีแหจับปลาวางไว้ตามโต๊ะและที่รองจาน รวมถึงเกลียวคลื่นที่ประดับไว้ตามมุมต่างๆ มาถึงไฮไลต์ของมื้อค่ำ ในแต่ละวันจะไม่มีเมนูหรือการขึ้นกระดานและการอัปเดตเมนูผ่านทางเพจ เพราะทางร้านจะเสิร์ฟปลาประจำวันเท่านั้นเพื่อความสดใหม่ แต่ก็มีบางเมนูที่เชฟจะนำปลาไปดรายเอจก่อนเพื่อเพิ่มรสชาติเข้มข้นให้กับเนื้อปลา แนะนำ ปลาช่อนทะเลย่างชิ้นใหญ่ เนื้อแน่นไม่มีกลิ่นคาว เสิร์ฟกับ ยำใบชา ให้รสเค็มเปรี้ยว อร่อย ต่อด้วย คลีบปลาทอดเหลืองกรอบเพิ่มรสชาติด้วยซอสลาบเหนือ และสมุนไพรนานาชนิด หรือจะเป็น พาสต้าผัดกับหอยลายคลุกเคล้าซอสพาร์สลีย์ ให้รสเปรี้ยวสดชื่นด้วยเลม่อนเผา กินกับมะเขือเทศเข้ากันมาก และ ปลาโอหรือทูน่าเวลลิงตันพันกับเห็ดดุ๊กเซลล์และแป้ง ได้กลิ่นหอมของพริกไทยดำ เพิ่มมิติให้รสชาติด้วยซอสส้ม อร่อยจนวางช้อนไม่ลง

ภายในซอยสมคิดย่านชิดลม ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในโอเอซิสใจกลางกรุงฯ มีร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์รัสติกเปิดใหม่ชื่อ “Tabula Rasa Italian Restaurant” คำว่า Tabula Rasa (ทาบูล่า ราซ่า) ในภาษาละตินหมายถึง ‘หินอ่อนขัดใหม่’ ปรัชญาคมๆ ของร้านที่อยากทดลองสร้างสรรค์เมนู และค่อยๆ ขัดเกลาจนเกิดเป็นจานอร่อยเปี่ยมคุณภาพ เสมือนกับหินอ่อนที่แข็งแกร่งและเล่อค่านั่นเอง  เชฟใหญ่ประจำร้านคือ เชฟปลื้ม เชฟหนุ่มไฟแรงฝีมือดีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเชฟชาลี กาเดอร์ มานำทีมความอร่อยในแบบฉบับอิตาเลียนสไตล์โฮมคุกที่สอดแทรกวัตถุดิบท้องถิ่นของดีของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นซีฟู้ดและพืชผักผลไม้นานาชนิด เสิร์ฟมาในไซส์ซิ่งที่จุใจเรียกได้ว่าคุ้มค่าแก่การลิ้มลอง นอกจากนี้ยังให้ไวบ์ดีๆ ด้วยบรรยากาศโล่งกว้าง อบอุ่นแต่ไม่ทิ้งความหรูหราเหมาะกับการฉลองโอกาสพิเศษ ด้วยการตกแต่งที่เน้นใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีดำตาลเข้มสลับกับสีฟ้าครามสบายตา และสีเขียวมะกอกตัวแทนแห่งสีของธรรมชาติ เพลิดเพลินกับครัวเปิดที่มองเห็นทีมเชฟทำงานอย่างขะมักเขม้น หรือใครชอบวิวสวนร่มรื่นที่ร้านก็มีแอเรียร้านนอก แถมยังมีสระว่ายน้ำเย็นฉ่ำระบบน้ำเกลือที่สามารถลงเล่น ปาร์ตี้ริมสระแบบฉ่ำๆ ได้อีกด้วย ต้อนรับด้วย Duck Prosciutto แซนด์วิชหน้าเปิดที่ใช้ตัวขนมปังซาวโดวจ์โฮมเมดเนื้อเหนียวนุ่ม สเปรดด้วยชีสแพะวิปครีมหอมมัน และแฮมเนื้อเป็ดรสเค็มกลมกล่อม ตัดด้วยความหวานจากเชอร์รี่เชื่อม ต่อกับเมนูขายดี Burrata Con Nduja ชีสบูราต้าโฮมเมดลูกอ้วนกลม ถูกใจเด็กอ้วนเป็นที่สุด ล้อมรอบด้วยซอสมะเขือเทศรสเปรี้ยวละมุน ผสมกับรสเค็มได้ของปลาแองโชวี่ เสิร์ฟคู่แฟรตแบรดกรอบนอกนุ่มในร้อนๆ ที่ส่งตรงมาจากเตาฝืน เมนูแสนรักของสายสุขภาพต้องนี่ Endive Salad ผักกรุบกรอบและผลไม้นานาพันธุ์ อย่าง อองดีฟ ผักโขม ทับทิม คลุกเคล้ากับชีสริคอตต้าที่เชฟสโมกกับผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ราดด้วยน้ำสลัดสูตรเฉพาะที่ได้รสหวานฉ่ำจากมะม่วง เสริมความเคี้ยวเพลินอีกนิดด้วยเมล็ดสน หลายคนกดไลค์ Melon and Coppa เมลอนดองเลมอนรสเปรี้ยวอมหวาน เข้ากันดีกับสเปรดชีสมาสคาโปน พาร์มาแฮม และน้ำส้มสายชูอิตาเลียนที่ทำเป็นรูปทรงคาเวีย อีกหนึ่งจานเด็ดที่ห้ามพลาด Fish Crudo ปลาช่อนทะเลจากชาวประมงพื้นบ้านเนื้อสดหวาน ราดด้วยรสเปรี้ยวจากเดรสซิ่งซิตรัส เพิ่มความหอมมันด้วยมูสอะโวคาโดและน้ำมันมะกอกอย่างดี Crab Pasta ก็เด็ดดวง สปาเก็ตตี้สี่เหลี่ยมนวดมือเหนียวนุ่ม ผัดพร้อมซอสเอ็กซ์โอสูตรเด็ดรสเผ็ดร้อนแรง แถมยังได้รสเปรี้ยวละมุนจากมะเขือเทศ ก่อนโรยด้วยใบเบซิล ปิดท้ายด้วยของหวานสุดเลิฟอย่าง Mille-feuille ที่เปลี่ยนจากแป้งเพสทรีมาเป็นแครกเกอร์ฮาเซลนัตรสหวานกรอบ สลับชั้นกับครีมสดหวานมัน และเชอร์รี่ดองชุ่มฉ่ำ เป็นการปิดจบที่สมบูรณ์แบบ

เป็นอีกหนึ่งร้านในปี 2025 ที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากกับร้าน I-Sang (อิ-ซัง) ร้านอาหารเกาหลีโมเดิร์นจากเชฟ Steve Sanggun Lee เชฟเกาหลีที่เคยทำร้าน Hansik Goo เปิดเป็นร้านไฟน์ไดนิงเกาหลีมิชลิน 1 ดาวที่ประเทศฮ่องกง ซึ่งเป็นร้านในเครือเดียวกับร้าน Migles มิชลิน 3 ดาว ในปี 2025 ของเชฟ Chef Kang Min-goo ที่ประเทศเกาหลี อีกทั้งเชฟลียังได้รับเลือกเป็นเจ้าของรางวัล Michelin Young Chef ปี 2023 อีกด้วย บรรยากาศภายในร้านเป็นโทนสีครีมดูสบายตา ตกแต่งแบบเรียบง่ายสไตล์มินิมอลให้ความรู้สึกที่เรียบหรู โดยใช้สถาปนิกคนเกาหลีเป็นคนออกแบบ เมื่อเดินเข้าไปในร้านจะพบกับครัวเปิดที่เราสามารถมองเป็นเชฟลีกำลังทำอาหารแบบจดจ่อ ผ่านรอยยิ้มที่คอยต้อนรับลูกค้า สำหรับเมนูเริ่มด้วย ซุปไก่โสมเกาหลี (Samgye Tang) เชฟนำไก่ไปต้มกับโสมและวัตถุดิบที่ส่งตรงมจากเกาหลี จนได้ซุปไก่ที่รสชาติเข้มข้น ทาร์ตผักด้านล่างเป็นฮอร์สแรดิช ท็อปด้วยไก่หยอง, ปลากระมงพร้าวดิบ (HWEH) ห่อด้วยใบฉะพลู ท็อปด้วยเม็ดพริกไทยเสฉวน ให้ความสดชื่น, ทาร์ทาร์เนื้อออสเตเรียเสียบไม้เสิร์ฟมาพร้อมกับพริกชิชิโตะ ท็อปด้วยไข่แดงเค็ม และจินปัง ด้านในเป็นไส้ขนุน ห่อด้วยแป้ง สัมผัสคล้ายซาลาเปา ต่อด้วย Muk เส้นทำจากถั่วเขียวเนื้อเด้งและหนึบ ด้านล่างเป็นผักที่เชฟบรรจงหั่นได้อย่างเท่ากันมี แตงกวา ลูกแพร และเนื้อมะเขือเทศอบแห้ง ทำให้เมื่อกินจานนี้แล้วรู้สึกสดชื่น เข้ากันได้ดีกับซอสโคชูจังรสเข้มข้น สำหรับไฮไลต์คอร์ส Perilla Oil Guksu เส้นบะหมี่ทำจากมูสกุ้งมีกลิ่นหอมมาก ด้านบนเป็นซูกีนีเกาหลีขูดเส้น จานนี้พระเอกคือ “งาขี้ม่อน” ทำให้หอมกลิ่นเมล็ดงาขี้ม่อนคั่ว กลิ่นน้ำมันงาขี้ม่อน กินคู่กับซอสงาขี้ม่อนรสนวลหอมกลิ่นซอสถั่วเหลืองเบาๆ เป็นการใช้งาขี้ม่อนที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก The Birth ในธรรมเนียมเกาหลีนิยมเสิร์ฟซุปสาหร่ายในวันเกิด คอร์สนี้เชฟลีเสิร์ฟปลาเก๋านึ่ง ข้าวเหนียวทอดกรอบนอกหนึบใน และหัวไชเท้าดองสลับกับสาหร่ายแล้วนำไปทอด ราดด้วยซุปสาหร่ายผสมสต็อกปลา เข้าสู่จานหลักที่เสิร์ฟแบบแชร์ริง The Fest คอหมูซูวีดย่างกับซอสซัมจัง และหมูสามชั้นหมักถั่วเหลืองเผ็ด มากินกับเครื่องเคียง สลัดกิมจิสด มะละกอดอง ใบบัวบกคลุกน้ำมันงา เสิร์ฟพร้อมกับข้าวสายพันธุ์เกาหลีที่ปลูกในเชียงราย ปิดท้ายมื้อนี้ด้วยขนมหวาน Ginger & Honeycomb พานาคอตตาน้ำผึ้ง ท็อปด้วยไอศกรีมขิงคาลาเมล ราดซอสลูกแพร และ Dagwa ชีสเค้กที่มีส่วนผสมเต้าเจี้ยวหมักและคาราเมลพริก เสิร์ฟพร้อมกับชาดอกดาหลาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน ทุกจานปรุงรสชาติเกาหลีที่คนไทยคุ้นเคย ผ่านการนำเสนอและใช้เทคนิคในแบบโมเดิร์น

ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นร้านอร่อยมีเมนูปูทาราบะเสิร์ฟตลอดปี แต่เพราะนี่คือ Tsubohachi Thailand ร้านอิซากายะนัมเบอร์วันของเกาะฮอกไกโด ที่เสิร์ฟความอร่อยมาแล้วกว่า 52 ปี (ในเมืองไทย 12 ปี) ด้วยจานอร่อยกว่า 200 เมนู โดนใจสายฟู้ดขี้เบื่อได้เป็นอย่างดี ซึ่งครั้งนี้พิเศษเพราะเขามากับ Tarabagani Festival เทศกาลปูทาราบะที่ให้คุณดื่มด่ำกับ 12 เมนูปูทาราบะสดเด้งจากเกาะฮอกไกโด บอกเลยว่าคนรักซีฟู้ดพลาดไม่ได้ มาเริ่มกันเลยดีกว่า เมนูแรกเป็น Gokai!! Mushi Tarabagani ขาปูทาระบะอวบๆ เนื้อแน่นหวาน นึ่งอย่างเร็ว (5 นาที) เพื่อให้เนื้อคงความชุ่มฉ่ำ ก่อนกินบีบมะนาวซีกเล็กน้อย หรือจะจับคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บก็ฟินไม่แพ้กัน เอาใจคนรักชาบูด้วย Tarabagani Shabu Shabu ชาบูปูทาราบะแบบจัดเต็ม ที่ให้คุณเพลิดเพลินกับเนื้อกล้ามปูทาราบะที่เรารัก น้ำซุปสูตรพิเศษรสกลมกล่อม และเซ็ตผักสดต่างๆ เติมความเผ็ดร้อนและหอมฟุ้งด้วยพริกไทยขาว และน้ำจิ้ม 3 สไตล์ ได้แก่ พอนซึ รสเปรี้ยว ซอสงาหอมมัน และวาซาบิสดรสเผ็ดได้ที่ ตามมาติดๆ กับ Tarabagani & Ebi Tempura Moriawase เซ็ตของทอดกรอบนอกนุ่มในถูกใจเด็กอ้วนเป็นที่สุด ประกอบด้วยเนื้อปูทาราบะทอดอย่างดีสีเหลือทอง และกุ้งลายเสือตัวใหญ่เนื้อหวาน จิ้มกับซอสเมนซึยุยิ่งเข้ากัน หลายคนชอบ Tarabagani & Kanimiso Donabe Gohan ข้าวอบหม้อดินหอมกรุ่นที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อปูทาราบะ คานิมิโสะ ไข่ปลาแซลมอน และข้าวญี่ปุ่นสายพันธุ์ดี หุงด้วยน้ำสต็อกรสหวานละมุน ก่อนกินให้สาหร่ายหั่นฝอย มิสึนะ และซอสเนงิ หรือใครสั่งลองราดน้ำจิ้มซีฟู้ดลงไปก็อร่อยไม่แพ้กัน ป.ล เมนูนี้ควรสั่งล่วงหน้าเพราะใช้เวลาอบ 1 ชั่วโมง ปิดท้ายด้วย Tarabagani & Zuwaigani Sushi Moriawase เซ็ตซูชิดชุดใหญ่จัดเต็มที่ให้คุณเอ็นจอยกับซูชิหน้าปูทาราบะ และซูชิปูซูไว จับคู่ไข่ปลาแซลมอน สาหร่าย ก่อนราดด้วยมันปูรสเข้มข้น อร่อยแบบนี้สิถึงโดนใจสายฟู้ด

แรกเริ่มเปิดตัวมาก็กลายเป็นหนึ่งในร้านโปรดของสายฟู้ดไปเสียแล้วสำหรับ ตั๋นโบข้าวมันไก่ ร้านข้าวมันไก่เปิดใหม่ป้ายแดงของคุณป่าน ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการอยากทำเมนูโปรดของแฟนอย่าง ‘ข้าวมันไก่’ ให้คนที่รักลิ้มลอง เริ่มจากการลงเรียนคอร์สต่างๆ บวกกับเคล็ดลับที่อาม่าให้เล็กๆ น้อย ใช้เวลาทดลองสูตรกว่า 4 เดือนจนมั่นใจในรสชาติก่อนตัดสินใจเปิดร้านในที่สุด จุดเด่นของตั๋นโบข้าวมันไก่คือ ทางร้านจะใช้ไก่จากฟาร์มไก่อารมณ์ดีนำไปดองเกลือและต้มในอุณหภูมิพอเหมาะจนได้เนื้อที่เด้งนุ่มฉ่ำ เนื้อที่เสิร์ฟจะใช้เฉพาะส่วนสะโพกและส่วนน่อง เพราะเป็นส่วนที่นักกินหลายคนโปรดปราณ เสิร์ฟคู่กับข้าวมันสูตรเด็ดสีน้ำตาลที่เกิดการข้าวหอมมะลิกลางปีผัดพร้อมสมุนไพร 7 ชนิด จนได้กลิ่นหอมฟุ้ง นอกจากนี้ยังมีน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวที่ใช้ความเปรี้ยวจากน้ำมะขามเปียกแทนมะนาว แถมให้คุณได้ฟินได้ในราคาที่น่ารัก (เริ่มต้นเพียง 60 บาทเท่านั้น) จานแรกต้องนี่ ข้าวมันไก่สิงค์โปร์ ให้คุณอิ่มอร่อยกับเนื้อไก่ส่วนน้องเด้งฉ่ำ มาพร้อมกับตับครีมมี ราดด้วยน้ำต้มไก่หอมกลิ่นน้ำมันงา ข้าวมันผัดสมุนไพรกว่า 6 ชนิด กินคู่กับน้ำจิ้มต้นหอมขิง กับพริกเหลิงขิง รสเผ็ดกำลังดี หลายคนชอบ ข้าวมันไก่ต้ม ไก่ต้มส่วนสะโพกและน่องเนื้อเด้งที่เรารัก เสิร์ฟเคียงข้าวมันสีน้ำตาลที่ได้จากสมุนไพร น้ำซุปรสนุ่มนวล กินกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวสูตรเด็ดที่เจ้าของร้านใช้น้ำมะขามเปียกแทนน้ำส้มสายชู รสเปรี้ยวกลมกล่อม ข้าวมันไก่ทอด เนื้อไก่ส่วนสะโพกชุบแป้งบางๆ ทอดร้อนจี๋จนได้เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน เข้าคู่น้ำจิ้มไก่รสหวานที่เราคุ้นใคร แล้วตัดเลี่ยนด้วยการซดน้ำซุปฟักแฟงร้อนๆ รสเค็มละมุน ห้ามพลาดกับ ตับต้ม จานอร่อยที่โด่งดังในโลกโซเชี่ยล ด้วยความนุ่มของตับไก้ชิ้นใหญ่ๆ บวกกับรสหอมมันยิ่งกินคู่น้ำจิ้มเต้าเจี้ยวรสเค็มเผ็ดยิ่งเข้ากัน ปิดท้าย ข้อไก่ต้ม ที่ทั้งนิ่มเด้ง และมีความกรุบในตัว กินกี่คำก็เพลิน ถือว่าเป็นหนึ่งในร้านอร่อยย่านสุทธิสารก็ย่อมได้

Tag:

ใน One Bangkok ยังมีร้านไฮไลต์รอนักกินอยู่อีกหลายร้าน เช่นเดียวกับ ซาคาเอะ (SAKAE) ชั้น 3 ฝั่ง The Storeys ที่รับรองว่าแฟนๆ ร้านซาคาเอะจะปลื้มยิ่งกว่าเดิม สำหรับสาขานี้ เราจะได้เห็นงานดีไซน์เรียบหรูด้วยโทนสีทองและลวดลายของไม้แบบญี่ปุ่น ด้านบนของเคาน์เตอร์บาร์ประดับด้วยกระจกรูปทรงคล้ายเมล็ดข้าวเรียงรายน่ามอง ส่วนวัตถุดิบก็ไม่ธรรมดา ทางร้านนำเข้าเนื้อวากิวลายสวยนำเข้าจากหลายพื้นที่ของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น Yonezawa Wagyu A5 จากจังหวัดยามางาตะที่เลี้ยงด้วยธัญพืชอย่างดีจนได้เนื้อลายหินอ่อน นุ่มละลายในปาก Oguma Wagyu A4 จากจังหวัดไซตามะเนื้อนุ่มแน่นและฉ่ำ มีไขมันแทรกที่พอดี Kuroge Wagyu A4 วากิวขนดำที่มีลายไขมันแทรกเป็นลายหินอ่อนและมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ รวมถึง Tokachi Herb Wagyu F1 จากฮอกไกโดที่เลี้ยงด้วยสมุนไพรและธัญพืช ปลามาไดจากหมู่บ้านประมงจังหวัดเอะฮิเมะ Cutie Oyster หอยนางรมจากทะเลฮาริมะนาดะจังหวัดเฮียวโงะ และวัตถุดิบตามฤดูกาล ให้เราเลือกสั่งได้ทั้งชาบูชาบูที่นอกจากน้ำซุปคอมบุรสชาติดั้งเดิมแล้ว ยังมี SAKAE Golden Dashi Soup ซุปสีเหลืองทอง รสกลมกล่อมจากดาชิที่ใส่ปลาแห้ง 2 ชนิด จับคู่กับซอสซาคาเอะซิกเนเจอร์หรือซอสโกมะดาเระ ก็เข้ากัน และสุกียากี้สไตล์คันโตที่น้ำซุปดำผ่านการเคี่ยวจนได้รสหวานหอมกลมกล่อม สายเนื้อแบบเต็มขั้น แนะนำ Prime Course : Mixed Yonezawa Wagyu A5 ที่เราจะได้ฟินไปกับเนื้อโยเนะซาวะ A5 ทั้งส่วนสตริปลอยด์และส่วนริบอาย ในคอร์สเลือก Appetizer ได้ระหว่างสลัดมะเขือเทศหรือเต้าหู้โกมะ แล้วเพิ่มความพรีเมียมด้วยปลามาไดซาชิมิ ทูน่าซาชิมิ และ Cutie Oyster เสิร์ฟพร้อมผักไม่อั้น กินกับข้าวญี่ปุ่นหรือเส้นอุด้ง จบด้วย Lemon Cake รสเปรี้ยวสดชื่นนำเข้าจากญี่ปุ่น ส่วนใครอยากลองเนื้อหลายแบบ Premium Course : SAKAE Selection Wagyu น่าจะตอบโจทย์ เพราะรวมไว้ทั้งโอกุมะวากิว A4 ส่วนริบอาย คุโรเกะวากิว A4 ส่วนสันคอ และโทคาชิ เฮิร์บวากิว F1 ที่ให้เนื้อสัมผัสที่แตกต่างกัน ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะที่ร้านมี IBerico Pork Set หมูไอเบริโกจากสเปนทั้งส่วนสันคอที่ให้นุ่มละมุน และส่วนสามชั้นที่มีเนื้อแดงและไขมันในสัดส่วนที่พอดี มา Add-on ได้อีกด้วย อย่าลืมตามไปลองให้ครบทุกคอร์ส

ใครเป็นนักชิมเจนเบบี้บูมต้องรู้จักร้านสามเสนวิลล่าซึ่งโด่งดังและเป็นตำนานเบียร์วุ้นแก้วแช่เจ้าแรกอย่างแน่นอน เบียร์วุ้นคือเบียร์ที่แช่เย็นจัด เทเสิร์ฟในแก้วที่แช่เย็นจัด น้ำที่รินออกมาจะดูเหมือนเป็นฟองเบียร์ แต่แท้จริงคือเกล็ดน้ำแข็งที่อร่อยมากโดยเฉพาะเมื่อดื่มทันทีที่รินเสร็จ สามเสนวิลล่าตั้งอยู่บนถนนเศรษฐศิริ ไม่ไกลจากสถานีรถไฟสามเสน และหากย้อนไปเมื่อ 47 ปีก่อน รูปแบบของร้านถือเป็นร้านอาหารแนวใหม่ของยุคที่ใช้บ้านที่อยู่อาศัยทำเป็นร้านอาหาร แขกทุกคนจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น เสมือนทานข้าวที่บ้าน คุณอัน– สุวิทัศท์ สุรสิงห์โตทอง ทายาทรุ่นที่ 2 เล่าถึงที่มาของเบียร์วุ้นอันโด่งดังว่ามาจากคุณปู่ซึ่งชอบดื่มเบียร์เย็นจัด จึงหาวิธีการจนได้เป็นเบียร์วุ้นที่ทุกคนรู้จักในวันนี้ คุณปู่เปิดร้านนามไชยเป็นร้านอาหารทั่วไปอยู่บริเวณเสาชิงช้า กระทั่งคุณพ่อคุณแม่แยกมาเปิดร้านสามเสนวิลล่าบนถนนเศรษฐศิริตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 ก็นำสูตรอาหารจากนามไชยมาเริ่มต้นที่นี่ โดยเฉพาะสูตรพริกแกงต่างๆ ที่ปรุงเองทั้งหมด ทั้งพริกแกงแดง พริกแกงเขียว พริกแกงเลียง เป็นต้น รวมทั้งเมนูหมูสะเต๊ะก็เป็นสูตรจากร้านคุณปู่ซึ่งสามเสนวิลล่าก็ใช้สูตรนี้มาตลอด 47 ปี รีแบรนด์เพิ่มความสดใหม่ขยายกลุ่มลูกค้า ตลอดระยะเวลา 47 ปี สามเสนวิลล่ายังคงรักษาฐานลูกค้าที่ชื่นชอบรสชาติอาหารของทางร้านได้ดี แต่ขณะเดียวกัน คุณอันก็มีความคิดที่จะรีแบรนด์สามเสนวิลล่าเพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้เติบโตขึ้น โดยการสร้างความสดใหม่ให้กับแบรนด์ เริ่มจากโลโก้หลักซึ่งอินสปายจากหน้าร้านในปัจจุบัน (สาขาพญาไท) ปรับเป็นตัวอาคารสีแดงสไตล์คลาสสิก มีประตูและหน้าต่างรูปทรงวินเทจซึ่งเป็นเสน่ห์ของคาเฟ่สไตล์ยุโรป ให้อารมณ์ของบ้านที่ปรับปรุงใหม่ภายในบ้านหลังเดิม ขณะที่มอตโต้ประจำร้านก็เปลี่ยนจาก “ตำนานที่สัมผัสได้” เป็น “รสชาติที่เชื่อมใจเรา” ซึ่งกว่าจะได้เป็นมอตโต้นี้ คุณอันเล่าว่า ทีมงานรีแบรนด์ต้องรวบรวมข้อมูลเยอะมาก ทั้งจากผู้บริหาร พนักงาน และกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก ตกผลึกเป็นจุดเด่นของร้านคืออาหารอร่อย และลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มครอบครัว องค์กร และเพื่อนฝูง ซึ่งเมื่อมาที่ร้านจะมีอารมณ์ของความสนุก เป็นอารมณ์ของความเป็นพวกพ้อง จึงเป็นที่มาของคำว่าเชื่อมใจ และกลายเป็น “รสชาติที่เชื่อมใจเรา”  (Savor The Moment) ความอร่อยอันเป็นตำนาน รสชาติความอร่อยที่ผูกใจลูกค้าไว้อย่างเหนียวแน่นและเป็นเมนูที่ลูกค้าสั่งกันทุกโต๊ะ ได้แก่ หมึกแดดเดียว เนื้อแน่นนุ่มที่คัดไซส์จากซัพพลายเออร์เจ้าประจำ หมักและปรุงรสก่อนนำไปทอด ได้ความสดกรอบและนุ่มไปพร้อมกัน หมูสะเต๊ะสามเสนวิลล่าตำรับดั้งเดิมสูตรร้านนามไชยที่สไลซ์เนื้อหมูชิ้นใหญ่ หมักรสชาติเข้าเนื้อ ย่างจนหอมและไม่ฉุนกลิ่นผงกะหรี่ น้ำจิ้มถั่วทำเอง เสิร์ฟพร้อมขนมปังชิ้นหนาที่ทำเองจากครัวเบเกอรี่ แค่ยกมาวางก็ส่งกลิ่นหอมฉุยชวนหิว จานนี้มีรางวัลเปิบพิสดารการันตีความอร่อย แกงคั่วหอยขมก็ทำพริกแกงเองได้รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม และเป็นจานที่คุณแม่คัดสรรหอยขมที่แกะเนื้อมาปรุงตั้งแต่เริ่มตั้งร้านเพื่อให้รับประทานสะดวก ไม่เลอะมือ ซึ่งก็เป็นความใส่ใจในการบริการมายาวนาน และจานนี้ยังคว้ารางวัลมิชลินเพลต 2 ปีซ้อนอีกด้วย ยำถั่วพูกุ้งสดรสชาติเปรี้ยวหวานกลมกล่อมมีความนัวของกะทิสดเบาๆ กินเพลิน ซี่โครงหมูอบถั่วลันเตา จานอร่อยตำรับดั้งเดิมที่หน้าตาดูธรรมดาแต่รสชาติชวนให้ติดใจ เมนูเอาใจซีฟู้ดเลิฟเวอร์ ยกให้กุ้งใหญ่เผา ขนาด 3 ตัวโล กุ้งแม่น้ำตัวโตย่างสุกกำลังดี มีมันกุ้งเยิ้มๆ หอมชวนหิว เสิร์ฟกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ ต่อด้วย ตำ 555 ที่รวมเอากุ้งสด แซลมอนสด หมึก และหอยแมลงภู่ คลุกเคล้าน้ำยำรสจัดจ้าน ถูกใจคออาหารรสแซ่บ เนื้อเกรดพรีเมี่ยมอย่างวากิวก็มีให้เลือกทั้ง Saga Wagyu Striploin หรือ Kagoshima Wagyu Striploin ซึ่งเป็น 1 ใน 5 เนื้อวัวที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น เลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ตามธรรมชาติ มีริ้วไขมันลายหินอ่อนสวยงาม รสนุ่มละมุนลิ้น ย่างสุกในระดับที่ต้องการ เสิร์ฟพร้อมน้ำเกรวี่และน้ำจิ้มแจ่วสไตล์ไทย เป็นสเต๊กเนื้อนุ่มที่ละลายในปากจริงๆ ยังมีเบเกอรี่หลายรายการไม่ควรพลาด อาทิ ซาลาปัง ซึ่งก็คือขนมปังใส่ไส้ซาลาเปานั่นเอง มีทั้งไส้หมูสับ หมูแดง ครีม เผือก ไส้ครีมทุเรียน เค้กชนิดต่างๆ และล่าสุด ครัวซองต์ทุเรียน ที่เกิดจากความช่างคิดและชอบประยุกต์ของคุณอันโดยเอาครัวซองต์มาใส่ไส้ครีมทุเรียน ผลปรากฎว่าอร่อยจึงพัฒนาต่อให้มีขนาดพอดีกิน กระทั่งได้รับการการันตีความอร่อยด้วยรางวัลเปิบพิสดาร ปัจจุบันนอกจากสามเสนวิลล่า สาขาพญาไท ยังมีสามเสนวิลล่า สาขาราชพฤกษ์ นนทบุรี และสามเสนวิลล่า สาขาริมปิง เชียงใหม่ ซึ่งทั้งสามแห่งต่างมี identity ที่ชัดเจน สาขาพญาไทจะเป็นอารมณ์บ้านเก่าที่รีโนเวตแล้ว แต่คงไว้ซึ่งกลิ่นอายความเก๋า  ขณะที่สาขาราชพฤกษ์จะเป็นสวนสไตล์อังกฤษบนพื้นที่ไร่เศษ มีโซนดนตรีสด ทั้งห้องแอร์ ห้องไพรเวท เบเกอรี่ พร้อมรองรับลูกค้าได้ในปริมาณมาก และสามเสนวิลล่า สาขาริมปิง เชียงใหม่ ซึ่งเป็นสไตล์สวนอาหารริมแม่น้ำปิง มีโซนเอาต์ดอร์ ถือเป็นร้านซิกเนเจอร์สำหรับคนเชียงใหม่ที่นิยมพาเพื่อนฝูงต่างชาติมารับรอง ขณะเดียวกันก็มีแบรนด์น้องที่ชื่อ สามเสนไลฟ์ สาขาริมน้ำ (สะพานพระนั่งเกล้า) ที่มีความแคชชวลกว่า เอ็นเตอร์เทนกว่า และได้วิวสวยริมแม่น้ำไปเต็มๆ   วันไหนอยากเปลี่ยนบรรยากาศการรับประทานอาหาร ลองแวะไปลิ้มความอร่อยระดับตำนานที่สามเสนวิลล่าได้ทั้ง 3 สาขา 3 สไตล์    สาขาพญาไท (ดั้งเดิม) โทร. 089-795-8801 สาขาราชพฤกษ์ นนทบุรี โทร. 089-040-1805 สาขาริมปิง เชียงใหม่ โทร. 081-951-4415

ใครมองหาบาร์ไวบ์โก้หรูไว้แฮงก์เอาต์สุดสัปดาห์ ที่ 1970 Bar บาร์ใหม่บนชั้น 39M ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ นอกจากวิวสวยระยิบระยับจากมุมสูงของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน ที่นี่ยังพาเราเดินทางย้อนเวลากลับไปสู่ปี 1970 ซึ่งเป็นปีที่โรงแรมแห่งเดิมเปิดให้บริการอีกด้วย แน่นอนว่า 1970 Bar เป็นผลงานการออกแบบของคุณอองเดร ฟู โดยนำความเฟื่องฟูในอดีตมาตีความใหม่ ด้านในแบ่งเป็น 3 ส่วน เมื่อเราก้าวเข้ามาจะเจอกับ ซาลอน หรือพื้นที่รับรองที่ประดับด้วยงานศิลปะ ถัดมาเป็นห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือ และด้านในสุดเป็น Bar Boudoir หรือบาร์ในห้องส่วนตัว ส่วนเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นที่ใช้ก็เป็นแนววินเทจทั้งหมด เหมือนเราได้เข้าไปนั่งอยู่ในเพนท์เฮาส์ขนาดใหญ่ในยุค 70 อีกความเพลิดเพลินเจริญใจของการมาที่นี่คือเรื่องเล่าเบื้องหลังไอเดียค็อกเทลแต่ละแก้ว ไม่ว่าจะเป็น Acid Queen แก้วนี้มาพร้อมรสเปรี้ยวสดชื่น เบสเป็นเหล้าจินผสมส้มแมนดาริน เลมอน มะเขือเทศ ไข่ขาว โดยได้แรงบันดาลใจจาก Tina Turner ราชินีร็อคแอนด์โรลขวัญใจผู้คนทั่วโลก Dark Victory ได้แรงบันดาลใจจากชีวิตของอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ซึ่งเคยแสดงภาพยนตร์เรื่อง Dark Victory ก่อนเบนเข็มลงสนามการเมือง แก้วนี้เข้มและหนักจากเตกิลาผสมมะละกอ ส้มแมนดาริน และพริกไทยชมพู Unscripted ใครเป็นแฟนทอม โจนส์ อย่าพลาดแก้วนี้ เบสเป็นวอดก้าผสมพีช วานิลลา โยเกิร์ต และแชมเปญ ทำเป็นค็อกเทลที่ให้อารมณ์สนุกสนานเชื่อมโยงถึงตอนที่ทอม โจนส์ ออกไปดื่มแชมเปญกับแดนนี่ นักร้องหนุ่ม เพื่อนต่างวัยจากวง The Script ที่สนิทสนมกันจากการเป็นพิธีกรรายการ The Voice Darker Side of the Moon ค็อกเทลที่สดุดีภารกิจการเดินทางสำรวจดวงจันทร์ของนักบินแห่งยานอะพอลโล 13 ที่แม้จะไม่สำเร็จแต่ก็เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ตีความออกมาเป็นค็อกเทลที่ผสมผสานระหว่างเฮนเนสซี่ วีเอสโอพี ใบเสจ แอปริคอท อัลมอนด์ และแชมเปญ ปิดท้ายด้วย The 1970 Martini มาร์ตินี่ที่มาพร้อมรถเข็นสุดคลาสสิก แก้วนี้คิดขึ้นเพื่อให้เกียรติ Elsa Peretti นักออกแบบเครื่องประดับหญิงระดับตำนานในยุค 70

ชวนแฟนคลับหมูกระทะมาเช็คอิน “Thai Moo Kata Premium Thai BBQ” ร้านหมูกระทะพรีเมียมเปิดใหม่ย่านทองหล่อของเชฟชุมพล แจ้งไพร เชฟอาหารไทยฝีมือขั้นเทพดีกรีมิชลิน 2 ดาว ที่ครั้งนี้ชวนสายฟู้ดมารื่นรมย์กับหมูกระทะพรีเมี่ยม ที่อัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบคับแก้วอย่าง หมูวากิวจากจังหวัดโคราช หมูอารมณ์ดี ซีฟู้ดสดเด้งจากทะเลไทย ผักออร์แกนิก เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มโฮมเมดสูตรเฉพาะรสจัดจ้านแซ่บเวอร์ นอกจากนี้ยังให้คุณอร่อยกับอาหารไทยจานอะลาคาร์ต ที่มีความพิเศษอยู่ตรงทุกจานเป็นสูตรลับประจำครอบครัวของเชฟที่เมืองโคราช รับรองว่ารสชาติเข้มข้นถึงใจคนรักอาหารไทย บวกกับบรรยากาศทันสมัยที่แฝงไปด้วยความหรูหรา ทั้งห้องแอร์เย็นฉ่ำ เฟอร์นิเจอร์สีเขียวน้ำทะเลสบายตา โต๊ะหินอ่อนสีดำขลับที่ตรงกลางมีเตาย่างและเครื่องดูดควันอย่างดี แถมยังมีงานศิลป์จากศิลปินไทยให้สายอาร์ตดื่มด่ำด้านหลังอีกด้วย เรียกน้ำย่อยกันก่อนกับคาราวานจานอะลาคาร์ต ก้อยเนื้อดิบ เนื้อวากิวจากโคราชหั่นเต๋าฉ่ำๆ คุลกเคล้ากับเครื่องเครารวมแล้วเป็นรสชาติที่จัดจ้าน เสริมความครีมมีด้วยไข่แดงสด และกลิ่นหอมจากข้าวคั่ว ต่อด้วย ตำลาวปลาร้าหอมบ้านดอน โดนเด่นด้วยรสเค็มนัวของปลาร้าสูตรครอบครัวเชฟชุมพล กินเพลินอย่าบอกใคร เช่นเดียวกับ ผัดหมี่โคราช เส้นหมี่โคราชเหนียวนุ่ม คลุกเคล้ากับซอสสูตรเด็ดประจำบ้านเชฟชุมพล ที่มีรสเค็มปนหวานปลายลิ้น กลมกล่อมกินอร่อย ทีเด็ดประจำร้านขอยกให้  ไข่ดอง เชฟใช้ไข่ออร์แกนิกจากฟาร์มชั้นนำของเมืองไทย ดองอย่างดีในน้ำซอสสูตรเฉพาะเข้าคู่ น้ำมันกากหมู หอมกรุ่น และ ข้าวผัดมันเนื้อ รสละมุนโดนใจ สายแซ่บเลิฟ ยำมาม่าหน้าโรงเรียน เมนูอร่อยที่ทำให้หวนคิดถึงวัยมัธยม เส้นมาม่านุ่มหนึบกำลังดี มิ๊กกับน้ำยำรสเด็ด ที่ทั้งเปรี้ยวและเผ็ดร้อนแรง ตามด้วย ข้าวผัดปลาส้ม ข้าวหอมมะลิคลุกเคล้ากับปลาส้มที่ทำจากปลากะพง เนื้อแน่น เพิ่มพริกสดและมะนาวซีกรสเปรี้ยวอีกแรง ในที่สุดก็มาถึงคิวหมูกระทะของเราสักที ครั้งนี้เราสั่ง ชุดรวมหมูและเนื้อ ที่ประกอบด้วย หมูอารมณ์ดี เนื้อวากิวจากจังหวัดโคราช หนังหมูซูวีอาบซอสบาบีคิวรสเผ็ดปนหวาน และชุดผักสดชุดใหญ่ ที่มีทั้งผักสด เส้นอุด้ง วุ้นเส้น และไข่ไก่ ส่วนน้ำซุปที่ร้านจะใช้ น้ำซุปไก่ รสหวานธรรมชาติ ที่ได้จากการเคี่ยวส่วนต่างๆ ของไก่มาเป็นเวลานาน เสริมความอร่อยด้วยน้ำจิ้มหลากสไตล์ ได้แก่ น้ำจิ้มสุกี้ รสกลมกล่อม หอมกลิ่นงา แจ่วปลาร้า ที่ทำจากปลาร้าสูตรครอบครัวของเชฟชุมพล ให้รสเค็มนัว เผ็ดพอเหมาะ น้ำจิ้มซีฟู้ด รสเปรี้ยวเผ็ดจี๊ดจาด นอกจากนี้ยังมี น้ำจิ้มพอนสึ สไตล์โฮมเมดที่ทำจากผลไม้ต่างๆ อาทิ กล้วย แอปเปิ้ล สับปะรด รวมแล้วเป็นรสหวานอมเปรี้ยวเล็กๆ อร่อยมากมาย ยังไม่อิ่มสั่ง สามชั้นก้อน มาเพิ่ม สามชั้นจากหมูอารมณ์ดี เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ กินกับน้ำจิ้มอะไรก็ติดใจ คนรักซีฟู้ดห้ามพลาด กุ้งแม่น้ำ เนื้อเด้งหวาน เพิ่มเติมด้วยมันกุ้งเยิ้มๆ ยังมี หอยเชลล์ฮอกไกโด ตัวอวบขาว เนื้อหวานแน่น เข้ากันดีกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด ส่วนของหวานจะเป็น ข้าวเหนียวมะม่วง มะม่วงสุกน้ำดอกไม้รสหวาน มีความเปรี้ยวแซมเล็กๆ เสิร์ฟเคียงข้าวเหนียวมูนโฮมเมดราดกะทิเค็มมัน และ ขนมนายปัง ฮันนี่โทสต์กรอบนอกนุ่มใน รสหวานฉ่ำ ท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลาหวานมัน และวิปครีม เครื่องดื่มเราแนะนำ น้ำแตงโม สีแดงรสใส รสหวานชื่นใจ อร่อยจริงจังนักกินกดเลิฟ

คนอบไม่ท้อ คนรอก็สู้ไม่ถอยเหมือนกัน นาทีนี้ต้องหลีกทางให้ YOLK ร้านทาร์ตไข่สไตล์ฮ่องกงบนถนนบรรทัดทองของคุณอิน-สาริน ที่ส่งกลิ่นหอมมาตั้งแต่ยังไม่ถึงหน้าร้าน ความเก๋ของทาร์ตไข่ร้านนี้คือตัวทาร์ตเป็นแป้งครัวซองต์ที่ใช้แป้งนำเข้าจากฝรั่งเศส อบแล้วได้เนื้อสัมผัสที่กรอบร่วน บาง และหอมกลิ่นเนยแท้ AOP ส่วนเนื้อคัสตาร์ดเนียนนุ่มก็มาจากไข่แดงแบบเน้นๆ จากฟาร์มแม่ไก่อารมณ์ดี ซึ่งเป็น 1 ในวัตถุดิบสำคัญเหมือนชื่อร้าน เมื่ออบแล้วจะได้สีทองสวยน่ากิน ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะด้านล่างสุดมีคาราเมลเยิ้มๆ ซ่อนอยู่ แนะนำให้กัดคำใหญ่ๆ จะได้กินครบทุกเลเยอร์ ทั้งความกรอบ ความนุ่ม และรสหวานละมุนตอนท้าย ตอนนี้ที่ร้านเปิดขายเป็นรอบๆ รอบละ 30 นาที เริ่มตั้งแต่ 15.00 น. เป็นต้นไป จะซื้อแบบ 1 ชิ้นกินหน้าร้านก็สะดวกดี หรือจะซื้อแบบ 1 กล่อง (6 ชิ้น) กลับไปฝากคนที่บ้าน ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอร่อยน้อยลง แค่นำไปอุ่นในเตาอบด้วยอุณหภูมิ 180 องศาฯ  2 -3 นาที ก็จะได้แป้งครัวซองต์กรอบๆ และคัสตาร์ดเนื้อเนียนถูกต้อง แน่นอนว่าคาราเมลเยิ้มเหมือนตอนอบใหม่ๆ เลยล่ะ

ลุยงานมาทั้งสัปดาห์อยากหาเวลาไปพักผ่อนฮีลใจต่างจังหวัดก็ติดขัดด้วยเวลา การได้พบคาเฟ่เปิดใหม่ใกล้กรุงฯ อย่าง Anyamanee Cafe and Roastery จึงเป็นเสมือนทางออกที่ตอบโจทย์ สถาปนิกถอดสมการจากความต้องการของเชฟโอ๊ค-พลสิน พลัสสินทร์เจ้าของร้านและภรรยา ที่ต้องการเนรมิตพื้นที่กว่า 6 ไร่ ให้เป็นมุมพักผ่อนของชาวบางนาและใกล้เคียง โดยนำกิจกรรมสุดโปรดทั้งการเข้าครัวและทำสวนมารวมไว้ด้วยกัน ทำให้เราได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศโฮมมี่ ผสมผสานความเป็นอิตาลีที่เน้นสีสันสดใสให้ความรู้สึกสนุกสนานและความหรูหราคลาสสิกในแบบฝรั่งเศสได้อย่างละเมียดละไม ในขณะเดียวกันก็สอดแทรกความทันสมัยให้ล้อไปด้วยกันอย่างลงตัว ส่วนพื้นที่ด้านนอกรายล้อมด้วยสวนสไตล์ยุโรป วางเก้าอี้สนามให้นั่งพักเป็นระยะใต้ร่มเงาของซุ้มไม้เลื้อย สลับด้วยพันธุ์ไม้หายากที่นำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ ต้นมะกอกหลายสายพันธุ์ ยังมีสระน้ำที่มีฝูงปลาแหวกว่าย รวมทั้งลำธารที่นอกจากเพิ่มความสวยงามแล้วยังเป็นทางระบายน้ำในยามที่ฝนตกหนัก นอกจากนี้ยังแบ่งพื้นที่เป็นสวนเลมอนกว่า 400 ต้นที่ออกดอกผลให้นำมาประกอบอาหารและเครื่องดื่มของร้านได้ตลอดทั้งปี   ใครเป็นอาร์ทติสหรือนักสะสมจะยิ่งถูกใจเพราะเชฟโอ๊คนำของสะสมแสนรักที่ได้จากการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ นำมาจัดวางให้ลูกค้าชื่นชม รวมถึงภาพวาดสีน้ำมันหลายขนาด เครื่องปั้นดินเผา และเซรามิกลวดลายประณีตงดงามที่นำมาอวดโฉมกว่าร้อยชิ้น จนดูราวกับที่นี่คือมิวเซียมอย่างไรอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ดีเทลการตกแต่งที่น่าสนใจ เพราะอาหาร ของหวาน และเครื่องดื่มยังถือเป็นลายเซ็นต์ของร้าน เชฟโอ๊คนำประสบการณ์จากการเป็นเชฟในสหรัฐอเมริกามารังสรรค์จานเด็ดในสไตล์คอมฟอร์ทฟู้ดที่อร่อยและเข้าถึงง่าย เน้นใช้วัตถุดิบอย่างดีและแน่นอนต้องมีเลมอนจากสวนของตนเอง เมนูแนะนำ ได้แก่ ปลาแซลมอนย่าง แซลมอนนอร์เวย์ย่างน้ำมันมะกอกกับมันฝรั่ง เห็ดแชมปิญอง และผักตามฤดูกาล เสิร์ฟกับซอสซีฟู้ดมายองเนส จานนี้อิ่มสบายท้องแล้วยังย่อยง่ายอีกด้วย ถัดมาคือสปาเก็ตตี้คาโบนารา เมนูที่ดูเหมือนเบสิก แต่เชฟปรับสูตรให้มีความโมเดิร์นขึ้น รสชาติเข้มข้นครีมมี่จากไข่แดงและพาร์มาซานชีส ก่อนท็อปด้วยเบคอนกรอบ อร่อยจนต้องยกนิ้ว สลับมาที่จานเด็ดสไตล์ไทย ยำวุ้นเส้นทะเลหมูสับ ยำวุ้นเส้นรสชาติจัดจ้าน เด่นที่เส้นเหนียวหนึบ กุ้ง ปลาหมึก โรยกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว ส่วนจานนี้กินเป็นกับข้าวก็ได้ กินเป็นกับแกล้มก็ดี ปอเปี๊ยะไส้หมูผัดวุ้นเส้นเห็ดหอม ทางร้านผัดไส้ที่มีส่วนผสมของหมูสับกับเห็ดหอม ปรุงรสชาติกลมกล่อมหอมกลิ่นเครื่องปรุงรส เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มรสเปรี้ยวอมหวานผสานกันได้อย่างลงตัว มาถึงของหวานล้างปากแนะนำ โชกุปังเนยสดโฮมเมด ซิกเนเจอร์เรียบง่ายแต่ขายดี ที่นี่มี Bake House ขนมอบและเบเกอรี่ทั้งหมดจึงอบสดใหม่ อย่างเมนูนี้นำขนมปังหอมกรุ่นมาปิ้งบนกระทะที่ละลายเนย เพื่อให้เนยซึมเข้าแผ่นขนมปังอย่างทั่วถึง รสชาติเค็มๆ มันๆ ดิปกับเนยละลายและแยมโฮมเมดยิ่งเพิ่มความฟินอีกเท่าตัว สำหรับเครื่องดื่ม แนะนำอเมริกาโนร้อน เมล็ดกาแฟพรีเมียมที่ทางร้านคัดสรรมาเป็นพิเศษ  หรือจะสั่งเป็น อัฟโฟกาโต้ ช็อตเอสเปรสโซเข้มข้น ท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด ก็ช่วยให้ดื่มง่ายยิ่งขึ้น และพระเอกของหมวดซอฟต์ดริงค์ น้ำผึ้งเลมอนอัญมณี ที่มีเลมอนของร้านเป็นตัวชูโรง ร่วมด้วยน้ำผึ้งป่าที่มีความหอมหวานเป็นพิเศษ วันไหนอากาศร้อนๆ ดื่มชื่นหัวใจยิ่งนัก การเช็คอินคาเฟ่สวยๆ คือของขวัญเรียบง่ายที่จะมอบให้ตัวเองเมื่อไหร่ก็ได้

เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานก็กลายเป็นหนึ่งในลิสต์ที่สายฟู้ด (โดยเฉพาะคนรักอาหารจีน) ต้องไปลิ้มลองกันให้ได้สำหรับ “K by Vicky Cheng” ร้านอาหารจีนเปิดใหม่ของเชฟวิกกี้ เชง หัวหน้าเชฟและเจ้าของร้าน VEA ร้านอาหารระดับมิชลิน 1 ดาวในเกาะฮ่องกง ที่ครั้งนี้จะพานักชิมเพลิดเพลินคอนเซ็ปต์ The Harvest of Kilin ด้วยแรงบรรดาลใจจาก ‘กิเลน’ สัตว์มงคงของเมืองจีนที่โดดเด่นเรื่องการเปลี่ยนสิ่งชั่วร้ายให้เป็นสิ่งที่ดีงาม คงความซื่อสัตย์ และอวยพรให้ผู้คนสุขภาพแข็งแรง เฉกเช่นเดียวกับตัวร้านที่ตั้งอยู่บนชั้น 56 ของ EA Rooftop at The Empire เน้นการตกแต่งด้วยสีทองหรูหราและเฟอร์นิเจอสีแดงเข้ม เสมือนกับสีเกล็ดแวววาวของกิเลนที่บินอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า เสิร์ฟพร้อมอาหารกวางตุ้งและแต้จิ๋วต้นตำรับ ซึ่งครั้งนี้เราได้มาชิม ‘Lunch Set Menu’ ที่ประกอบด้วย ออเดิร์ฟหรือติ่มซำ 2 ที่ จานหลักและของหวานอย่างละ 1 ที่ ในราคาเพียง 780++ บาทต่อท่าน หรือ 980++ บาทต่อท่าน (รวมซุป) ถือว่าเป็นเซ็ตอาหารเลอค่าสุดคุ้มแห่งยุคจริงๆ มาดูเมนูเรียกน้ำย่อยกันก่อน ไข่ลวกดองรมควัน ไข่ดองรสกลมกล่อม ด้านในมีไข่แดงเยิ้มๆ สุดฟิน ตามด้วย สลัดมะเขือเทศและมะเขือม่วง จานอร่อยสไตล์วีแกนที่ทำเราติดใจ มะเขือเทศรสเปรี้ยวและมะเขือยาวรสหวานธรรมชาติ คลุกเคล้าน้ำสลัดรสเปรี้ยวสดชื่น เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี หรือจะเป็นติ่มซำโฮมเมดสูตรของเชฟ Vicky Cheng ได้แก่ ขนมจีบเป๋าฮื้อ ลูกโตๆ แป้งบางๆ ไส้แน่นเต็มคำ แถมด้านบนยังท็อปด้วยเป๋าฮื้อเนื้อหวานและหนึบ พายไส้หมูแดง สไตล์ฮ่องกงที่แป้งข้างนอกกรอบ ข้างในนุ่มชุ่มฉ่ำ สอดไส้หมูแดงรสหวานละมุน กินเพลินสุดๆ ต้อด้วย เผือกทอดไส้เป็ด เผือกทอดรสหวานเนื้อแน่นฟู เข้ากันดีกับไส้อกเป็ดรมควันเนื้อนุ่ม รสเค็มได้ที่ สุดท้ายเป็น ฮั่มสุยก๊อเนื้อพริกไทยดำ หนึ่งในติ่มซำที่หลายคนชอบ ข้าวเหนียวทอดผิวกรอบหนึบ เคล้าไส้เนื้อฉ่ำๆ รสเค็มพอเหมาะ หอมกลิ่นพริกไทยดำ ก่อนไปบรรจบกับคาราวานจานหลักอย่าง หมูดำไอเบริโกย่างซอสฮ่องกงเสิร์ฟพร้อมไข่ดาว หนึ่งในจานดาวเด่นประจำห้องอาหาร หมูดำสเปนเนื้อนุ่มอาบน้ำซอสสไตล์ฮ่องกงรสหวานฉ่ำ (ไม่เลี่ยน) เสิร์ฟเคียงไข่ดาวเยิ้มๆ อิ่มเอม คนรักเนื้อต้องลอง ซี่โครงเนื้อตุ๋นซอสจูโห่ว ซี่โครงเนื้อไทยชิ้นอวบๆ ตุ๋นกับซอสสูตรลับรสชาติเค็มละมุนจนเนื้อนุ่มร่อน กุ้งแม่น้ำผัดพริกเสฉวน เหมาะมากสำหรับคนรักซีฟู้ด กุ้งแม่น้ำเนื้อหวานเด้ง ได้รสเผ็ดจัดจ้านของพริกเสฉวนร้อนแรง กินคู่ข้าวสวยร้อนๆ เข้ากัน ซดน้ำซุปกันบ้างดีกว่า ซุปปูสไตล์ฮ่องกง ปูเนื้อหวานกินอร่อย อยู่ในน้ำแกงรสเปรี้ยวสไตล์ฮ่องกงร้อนๆ ใครชอบรสเชงเชงต้องสั่ง ซุปปูไข่ขาว รสนุ่มละมุน ซดเพลินๆ ใครยังไม่อิ่มจะสั่งจานอะลาคาร์ตมาเสริมด้วยก็ไม่เกี่ยง เราเลือกเป็น K’s Singanature Crab with Chinese Black Olive and Galice หนึ่งในจานเด็ดของเชฟ Vicky Cheng ปูตัวใหญ่ผัดสไตล์ฮ่องกงที่ใส่ทั้งกระเทียม ใบหนำเลี้ยบ เพิ่มรสเค็มกลมกล่อมด้วยเต้าเจี้ยว บอกเลยอร่อยลืม ล้างปากด้วยของหวานฟินๆ ไอศกรีมมะพร้าวราดซอสมะม่วง ไอศกรีมมะพร้ามโฮมเมดรสหวานมัน เพิ่มรสหวานฉ่ำด้วยซอสมะม่วง ตัดด้วยรสเปรี้ยวของส้มโอ ยังมีสาคูเนื้อนุ่มกินไม่เบื่อ และ บัวลอยเผือก เสิร์ฟมาร้อนๆ แป้งบัวลอยเผือกเนื้อหนึบนุ่มรสหวาน ไปด้วยกันได้ดีกับน้ำกะทิรสครีมมี ที่มีความเค็มเล็กๆ จิบคู่ชาดีๆ อย่าง Four Season Taiwan Oolong ชาอู่หลงที่ปลูกจากเมืองเชียงราย รสนุ่มดื่มง่าย หรือใครชอบเครื่องดื่มเย็นๆ ต้องนี่ Peach Oolong Fizz น้ำลูกพีชรสหวานหอม มิ๊กซ์กับชาอู่หลงรสนุ่ม และน้ำโซดาซาบซ่า กินมื้ออร่อยแล้วมีแรงกลับไปทำงาน

ข้าวสารเสก คือร้านอาหารไทยชื่อสะดุดหูในตึกเก่าย่านทรงวาดของเชฟแพม-พิชญา สุนทรญาณกิจ เชฟบอกกับเราว่าแม้คาแรกเตอร์ของร้านนี้จะสนุก เข้าถึงง่าย สบาย และไม่เกร็ง แต่เรื่องอาหารนั้นจริงจัง ทั้งรสชาติที่ไม่ออมมือและวัตถุดิบอันเป็นหัวใจหลัก เสิร์ฟทั้งอะลาคาร์ตและ House Menu หรือที่เรียกว่า ‘วงข้าว’ ซึ่งช่วงแรกทดลองรับจองวันละ 20 ที่ก่อนและตอนนี้คิวจองยาวไป 2 เดือนแล้ว “อยากให้เป็นร้านอาหารที่คนไม่เล่นมือถือ อยากให้คุยกันมากกว่าเพราะอาหารเราเป็นแบบแชร์ริ่ง”   ตัวอาคารมีเสน่ห์แบบอาคารเก่าเคล้าด้วยความขลัง ส่วนอาหารมีกิมมิกเป็น 5 วัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ น้ำปลา ข้าว น้ำตาลโตนด พริก มะพร้าว ซึ่งเชฟนิยามว่าเป็นวัตถุดิบที่ทำให้อาหารไทยเป็นอาหารไทย และกลายมาเป็นชื่อเมนูทั้ง 5 หมวดคือ หอม กรุ่น ละมุน ร้อน และนัว มีทั้งเมนูหากินยากและเมนูไทยทวิสต์นำทีมโดยเชฟเกรซ แถมยังมีข้าวประจำวันที่เสิร์ฟฟรีไม่อั้น ระหว่างรออย่าลืมสังเกตลายบนจานและมองหาวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ซ่อนอยู่ตามมุมร้าน อาทิ ผนังที่ตกแต่งด้วยกะลามะพร้าว หรือไหเก็บน้ำปลา 100 ปีที่ได้จากโรงน้ำปลาเทพมงคล (ตั้งกิมฮวด) ครั้งนี้เราได้ลอง เนื้อริบกระดูกหมักกะทิ แกงเขียวไข่ครอบ เสิร์ฟจานใหญ่สำหรับแชร์ริ่ง กลิ่นหอมยั่วน้ำลายมาแต่ไกล เนื้อวากิวมาหมักกะทิและพริกแกงก่อนแล้วสโลว์คุ้กในเตาอบจนนุ่ม นำน้ำที่ได้มาทำแกงเขียวหวานแบบน้ำข้นขลุกขลิก รสจัดจ้านจากพริกแกงโขลกเองที่ซึมเข้าไปในเนื้อ กินคู่กับไข่ครอบมันๆ และข้าวเล็บนก ซุปมะเขือ บ้านเชฟแพม ซุปมะเขือที่คุณแม่เชฟทำทำให้กินตั้งแต่เด็กๆ ก็มาโชว์โฉมในร้านด้วย  วัตถุดิบหลักคือมะเขือเปาะ กระเทียม น้ำปลาร้า เกลือนิดหน่อย และพริก รสเผ็ดเบาๆ กลมกล่อม เสิร์ฟเป็นคำเล็กๆ ด้านล่างซ่อนข้าวเหนียวเอาไว้ และอีกเมนูที่รับจองแค่ 6 ออร์เดอร์ต่อวันคือ หมูหัน ข้าวสารเสก ซึ่งทำออกมารสชาติดีมาก หนังกรอบ และได้เนื้อไม่แห้งและไม่หนาเกินไป กินกับซอสรสหวานๆ เค็มๆ ที่สำคัญอย่าลืมจับคู่อาหารกับสาโทของทางร้านที่มีทั้งข้าวเหนียวแดงและข้าวเหนียวขาว เป็นการเพิ่มอรรถรสในวงข้าวที่ข้าวสารเสก

สำหรับชาวบรีฟเลิฟเวอร์คงต้องจดคติ NO MEAT NO LIFE! เอาไว้ในใจแล้วชวนกันไปลิ้มรสเนื้อระดับพรีเมียมที่ Kazama Yakiniku ร้านเนื้อย่าง "สไตล์คันไซ" เป็นร้านดังจากไต้หวันที่เพิ่งอิมพอตมาเปิดสาขาแรกในไทยบนชั้น 3 ของศูนย์การค้า Central World ตัวร้านบรรยากาศโล่งกว้างสัมผัสได้ถึงความพรีเมียมตั้งแต่ก้าวขาเข้าร้าน ในสมุดรายการอาหารมีเมนูหลากหลายให้เลือก ประกอบด้วยชุดเซ็ตเนื้อ เนื้อหมู และอาหารทะเล รวมถึงเมนูอะลาคาร์ตมากมายไม่ว่าจะเป็นจานผัด ต้มซุป ของทอด และข้าว ที่จะมาช่วยเสริมสร้างความอิ่ม ส่วนความพิเศษของเนื้อก็ยืนหนึ่งด้วยคุณภาพที่น่าประทับใจตั้งแต่การคัดสรรไปจนถึงการคัตเนื้ออย่าง "Kazama Cutting Technique" ซึ่งเป็นเทคนิคการตัดเนื้อแบบเฉพาะ ช่วยให้เนื้อมีความสมบูรณ์แบบในทุกคำที่เสิร์ฟ อย่าพลาดชุดเนื้อไฮไลต์ ประกอบด้วย Beef Tongue Core ลิ้นวัวหั่นหนา Australian Wagyu Finger Meat เนื้อวากิวส่วนติดซี่โครง Japanese Wagyu Karubii วากิวญี่ปุ่นคารูบิ Premium Meat Australian Wagyu ออสเตรเลียนวากิวพรีเมียม Australian Wagyu Kazama Cut ออสเตรเลียนวากิวสไตล์คาซามะ Australian Wagyu Oyster Blade Steak ออสเตรเลียนวากิวใบพายหั่นสเต๊ก ย่างฉ่ำๆ กินกับน้ำจิ้มสูตรเฉพาะของคาซามะอร่อยเลิศ ต่อด้วย Australian Wagyu Tsukimi Akami ออสเตรเลียนวากิวอาคามิ Wagyu Patty with Caramelized Onion วากิวแฮมเบิร์ก Chicken Neck Fillet สันคอไก่ ในชุดยังมีบัตเตอร์เบียร์ รูทเบียร์ และของหวานประจำวัน หากยังไม่หนำใจแนะนำให้สั่ง Kazama Salad สลัดน้ำส้มยูซุ กับ Wagyu Egg Rice ข้าวหน้าเนื้อวากิวใส่ไข่ จานอะลาคาร์ตมาเพิ่มความอิ่มท้อง

เป็นขวัญใจของคนรักบุฟเฟต์อยู่แล้วสำหรับ Espresso ห้องอาหารบุฟเฟต์นานาชาติแห่ง InterContinental Bangkok ที่ครั้งนี้กลับมาเติมความปลื้มปลิ่มให้นักชิมด้วย Premium Seafood Dinner Buffet โปรโมชั่นบุฟเฟต์ซีฟู้ดที่ราวกับขนทะเลขึ้นบก มาพร้อมกับขบวนจานอร่อยซิกเนเจอร์ประจำห้องอาหารฯ พร้อมเสิร์ฟทุกค่ำคืนวันศุกร์ – เสาร์ ให้สายฟู้ดเอ็นจอยกันถ้วนหน้า ขอเริ่มที่ ซาซิมิ คาราวานปลาดิบเนื้อสด ที่ประกอบด้วย แซลมอน มากุโระ นอกจากนี้ยังมี ซูชิ ไว้เอาใจคนรักอาหารญี่ปุ่น ได้แก่ ซูชิแซลมอน ซูชิทูน่า ซูชิปลาหมึกยักษ์ และโรลไข่กุ้งกรุบๆ ตามด้วยอาหารจีนน่าอร่อยอย่าง เป็ดปักกิ่ง เนื้อแน่นรสหวาน หมูกรอบ ชิ้นอวบกรอบนอกนุ่มใน ต่อด้วย ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊ว ปลาหิมะเนื้อสด ราดซอสสูตรเด็ดรสเค็มกลมกล่อม หรือใครชอบจานอร่อยนานาชาติ เราแนะนำ หมูอบ เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ มีตเลิฟเวอร์ต้องนี่เลย เนื้ออบซอสไวน์แดง เนื้อสัญชาติออสเตรเลียชั้นดี เคล้าซอสไวน์แดงรสเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมมันบดเนื้อเนียน ล็อบสเตอร์เทอร์มิดอร์ ก็น่าสนใจ ราชาแห่งกุ้งเนื้อหวานให้สัมผัสเด้ง มิ๊กซ์กับซอสสูตรเด็ดรสหอมมัน สเตชั่นสเต็กก็ดีงาม เพราะมีทั้ง เนื้อวากิว เนื้อออสเตรเลีย นุ่มฉ่ำ ขาแกะ ปราศจากกลิ่นคาว ราดซอสพริกไทยดำรสเค็มเผ็ด ซีฟู้ดเลิฟเวอร์ห้ามพลาด ปลาทูน่าเซีย เนื้อนุ่ม หอมกลิ่นเตาถ่าน กุ้งแม่น้ำ ตัวใหญ่เนื้อเด้ง กินคู่น้ำจิ้มซีฟู้ด กั้ง เนื้อแน่นก็เข้าที มาถึงแล้วอย่างไรก็ต้องลอง กุ้งแม่น้ำย่างตะไคร้ หนึ่งในเมนูซิกเนเจอร์ประจำห้องอาหารฯ กุ้งแม่น้ำตัวโต ย่างบนเตาถ่านจนส่งกลิ่นหอม ยัดไส้ด้วยเครื่องแกงสูตรเด็ดที่เต็มไปด้วยกลิ่นละมุนของตะไคร้ คนรักอาหารไทยถูกใจมากมาย ในที่สุดก็มาถึงคิว ซีฟู้ดออนไอซ์สักที งานนี้สายฟู้ดเต็มเหนี่ยวไปเลยเพราะ Espresso เขาขนมาทั้งทะเล ไม่ว่าจะเป็น ขาปูยักษ์สีทอง เนื้อหวานอย่าบอกใคร กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเผ็ดเปรี้ยว แคนาเดียนล็อบสเตอร์ เนื้อแน่นเด้ง กุ้งแม่น้ำและกุ้งขาวลวก ถูกใจสาวกซีฟู้ดมากมาย หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ ตัวใหญ่บิ๊กเบิ้ม และปูม้านึ่ง ของโปรดใครหลายคน นอกจากนี้ยังมีไข่ปลาต่างๆ ให้คุณได้ลิ้มลอง ทั้ง คาเวียร์ อาวูรูกา คาเวียร์สีดำ รสเค็มพอเหมาะ ไข่ปลาแซลมอน ที่เราคุ้นเคย ไข่ปลาลัมพิชสีดำ และไข่ปลาลัมพิชสีแดง ก่อนจบด้วยขบวนขนมหวานสุดฟินอย่าง สตรอว์เบอร์รีช็อตเค้ก เค้กเนื้อนุ่ม ท็อปด้วยครีมสดหอมมัน และสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน ทาร์ตช็อกโกแลต รสเข้มข้น เครปซูเซ็ตต์ เครปสไตล์ฝรั่งเศสโฮมเมด ที่ชุ่มไปด้วยซอสส้มรสเปรี้ยวสดชื่น หรือจะเป็น ช็อกโกแลตฟองดู จับคู่กับผลไม้ตามฤดูกาล ใครยังไปไปต่อกับข้าวเหนียวมะม่วงได้เลย

WYND ไม่ใช่แค่คาเฟ่ที่เสิร์ฟกาแฟและขนมอร่อย แต่ยังเป็นร้านอาหารแคชชวลไดนิ่งไวป์ดีที่มาในคอนเซ็ปต์ Post Modern British Cuisine โดดเด่นสะดุดตาด้วยตัวร้านสีน้ำตาลไม้ทรง Arch ที่เน้นเรื่องส่วนเว้าโค้งดูสวยงามเรียบหรู ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปด้านในจะเจอกับบาร์น้ำและครัวเปิดที่มีกลิ่นหอมจางๆ ของกาแฟและอาหารลอยออกมาทักทายกัน ทางร้านจะเสิร์ฟอาหารสไตล์โมเดิร์นบริติชที่มีกลิ่นอายของเอเชียผสมอยู่ โดยปรุงขึ้นจากมือเชฟไทยที่เคยประจำอยู่ร้านมิชลินทั้ง 2 และ 3 ดาว อย่าง Cuttlefish Somen ปลาหมึกหอมสดจากประมงพื้นบ้านใสรูปแบบเส้นโซเมงที่คลุกมากับผงเฮิร์บและวาซาบิ กินพร้อมบัตเตอร์มิลค์ซอส และ Dill Oil ทางร้านเสิร์ฟมาแบบเย็น เปรี้ยว ซ่าสดชื่น Prawn Dumpling เกี๊ยวในรูปแบบพาสต้าสอดไส้กุ้ง ปลาหมึก และสมุนไพรต่างๆ ราดด้วยซอสปลาแห้งที่มีส่วนผสมของไข่กุ้ง ไข่ปลาแซลมอนและเทราต์ ให้เท็กเจอร์กรุบนิดๆ ต่อด้วยเมนคอร์สสุดว้าว Chicken Be-Khla Sausage เชฟเลือกใช้ไก่พันธุ์เบขลา (ไก่เบตง+ไก่สงขลา) เนื้อนุ่มกำลังดี มาสอดไส้สะโพกไก่สับและขาเห็ด เสิร์ฟพร้อมครีมฟักทองบัตเตอร์นัต และบราวน์ซอสสูตรพิเศษของร้าน อร่อยกลมกล่อมลงตัว ปิดท้ายด้วย Chocolate Royaltine ของหวานที่ใช้ทั้งดาร์คและมิลค์ช็อกโกแลตมาทำให้มีเนื้อสัมผัส 4 แบบ เป็นเมนูที่ช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ห้ามพลาด

ใครเคยลิ้มลองเพสตรีตำรับฝรั่งเศสที่ Blue by Alain Ducasse ร้านอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยดีกรีมิชลินสตาร์ 5 ปีซ้อนที่ไอคอนสยาม โดยเชฟชื่อดังระดับโลก เชฟอลัง ดูคาส ต้องติดใจรสชาติความอร่อยที่รังสรรค์จากวัตถุดิบชั้นเลิศและเทคนิคขั้นสูง มาตอนนี้เราจะได้ลิ้มลองหลากหลายเมนูเพสตรีและเบเกอรี่แสนอร่อยได้มากกว่าเดิมและได้ทุกวันที่ Blue Café by Alain Ducasse คาเฟ่แห่งแรกโดย Blue by Alain Ducasse พร้อมเสิร์ฟความอร่อยแล้วที่สยามพารากอน ชั้น G ฝั่งนอร์ธ ขนมอบที่ทั้งสวยและอร่อยในคาเฟ่แห่งนี้ ดูแลโดย เชฟคริสตอฟ กรีโล (Christophe Grilo) Executive Pastry Chef & Artisan Baker แห่งร้าน Blue by Alain Ducasse ผู้เชี่ยวชาญการทำขนมอบกว่า20 ปี มาพร้อมหลากหลายเมนูที่โดดเด่นทั้งด้านรสชาติ เนื้อสัมผัส และหน้าตา ทำด้วยความพิถีพิถันแบบอาร์ติซานให้เราได้ลิ้มลอง เมนูไฮไลต์ ได้แก่ ขนมอบขึ้นชื่อของฝรั่งเศส “Madeleine” (มาเดอแลง) ที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงและทางร้านจะอบแบบ “á la minute” หรืออบใหม่เมื่อได้รับออเดอร์เท่านั้น โดยรอเพียง 8 นาทีก็จะได้ลิ้มรสมาเดอแลงสดใหม่จากเตา เป็นประสบการณ์ความอร่อยสุดพรีเมียม มีหลากลายรสชาติทั้งซิกเนเจอร์และคลาสสิก อาทิ มาเดอแลงพิสตาชิโอ มาเดอแลงบลูเบอร์รี มาเดอแลงช็อกโกแลต มาเดอแลงวานิลลา มาเดอแลงเลมอน เนื้อนุ่มฟูหอมมาก ตามด้วยครัวซองต์รสชาติต่างๆ ที่อบอย่างพิถีพิถัน อาทิ Classic Croissant ครัวซองต์ผิวนอกกรอบบางเนื้อเบาฟู Pain Chocolat ครัวซองต์สอดไส้ช็อกโกแลตเข้มข้น Bow Tie Croissant ครัวซองต์รูปโบว์เมนูแนวใหม่สอดไส้ช็อกโกแลตและพราลีเน่ นอกจากนี้ยังมีขนมอบหน้าต่างๆ ที่ใช้วัตถุดิบชั้นดีจากทั่วโลก อาทิ Strawberry Danish ใช้สตรอว์เบอร์รีสดหวานจากยามะดะฟาร์มที่ประเทศญี่ปุ่น Phuket Pineapple Danish ใช้สับปะรดภูเก็ตของไทย Flan Vanilla ทาร์ตไข่สไตล์ฝรั่งเศสที่หรูหรา กรอบนอกเนื้อในละมุนหอมวานิลลา จับคู่กับเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลตทั้งแบบร้อนและเย็น ใช้โกโก้จาก Le Chocolat Alain Ducasse รสเข้มข้นกลมกล่อม ทอปด้วยครีมเนื้อเนียนสไตล์ฝรั่งเศส ชาร้อนและเย็นหลากรสชาติ รวมทั้งชาเบลนด์พิเศษตำรับของร้าน Blue by Alain Ducasse และกาแฟคัดพิเศษจากโรงงานของอลังดูคาส ในช่วงเปิดตัวนี้ ทางร้านชวนร่วมสนุกกับแคมเปญ Blue Café’s Dipping Culture” กินขนมอบแบบคนฝรั่งเศสด้วยการจุ่มลงในช็อกโกแลตหรือกาแฟ พร้อมติดแฮชแท็ก #DipwithBlue #Bluecafebangkok #bluecafebyalainducasse หรือทำ Google Review รับฟรีมาเดอลีน 1 ชิ้นต่อโพสต์ต่อท่าน ตั้งแต่ 11 กุมภาพันธ์ถึง 31 มีนาคมนี้ Blue Café by Alain Ducasse เปิดให้บริการทุกวันที่สยามพารากอน ชั้น G ฝั่งนอร์ธ สั่งซื้อสินค้าหรือสอบถามเพิ่มเติมโทร 06-1267-2775 หรือไลน์ ID @blue.cafe

ตะลุยเปิดสาขาให้สายฟู้ดใจเต้นระรัวไม่หยุดในที่สุด Eat Am Are ร้านสเต็กขวัญใจนักกินจากรุ่นสู่รุ่น ก็ขยายความอร่อยมาสู่ใจกลางกรุงฯ ณ Central World (ชั้น 7 โซน Living House) จนได้ ความพิเศษของโลเคชั่นนี้คือเป็น Eat Am Are สาขาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย พร้อมเอาใจนักกินทั่วทุกสารทิศด้วยพื้นที่กว้างๆ กับมู้ดแห่งความอบอุ่นจากเฟอร์นิเจอร์ไม้ เสิร์ฟพร้อมสเต็กโฮมคุกร้อนๆ จานใหญ่อิ่มเอมรสชาติดี และจ่ายในราคาที่น่ารัก เรียกน้ำย่อยด้วย ซีซ่าร์สลัด ชามโตๆ ที่ประกอบด้วยผักสดกรุบกรอบ ราดด้วยน้ำสลัดครีมหอมมัน ตัดด้วยรสเค็มละมุนของเบคอนทอด และชีสพาร์เมซานชั้นดี ต่อด้วย ซุปครีมเห็ด เห็ดแชมปิญองกินง่าย อยู่ในซุปครีมเนื้อเนียนรสหอมมัน เติมรสเค็มและความเผ็ดร้อนอีกนิดด้วยเกลือและพริกไทย คนรักเส้นต้องสั่ง สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล เส้นสปาเก็ตตี้เหนียวนุ่ม เคล้าเครื่องเคราสมุนไพร และซีฟู้ดสดเด้งอย่าง กุ้งตัวอวบ และปลาหมึกเนื้อหนึบ มาถึงคิวสเต็กสักที จานแรกต้องนี่เลย สเต็กไก่ย่างสไปซี่ และสเต็กปลาทอด จัดเต็มทั้งสเต็กไก่ชิ้นใหญ่เนื้อฉ่ำใน ได้รสเผ็ดพอเหมาะของซอสสไปซี่ ยังมีรสเต็กปลาทอดสีเหลืองทองน่าอร่อย ก่อนกินบีบมะนาวซีกเล็กน้อย เครื่องเคียงเราเลือกเป็น ขนมปังชีส กรอบนอกนุ่มใน และหอมทอด กินเพลิน ตามด้วย สเต็กหมูพอร์คชอป หมูส่วนเนื้อสันนอกติดกระดูกย่างร้อนฉ่า เข้ากันดีกับซอสกระเทียมพริกไทยรสเข้มข้น เสิร์ฟเคียงข้าวผัดหอมกลิ่นกระทะ คนรักเบอร์เกอร์ต้องลอง ดับเบิ้ลเบคอนชีสเบอร์เกอร์ ขนมปังบันโฮมเมดนุ่มฟู ประกบเนื้อวากิวชุ่มฉ่ำ  เบคอนที่หลายคนชอบ และเพิ่มความครีมมีด้วยชีส เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอดเนื้อแน่น อย่าเพิ่งรีบอิ่มเพราะยังมี ซี่โครงหมูบาร์บีคิวและไส้กรอกหมูรมควัน ซี่โครงหมูชิ้นใหญ่ อาบน้ำบาร์บีคิวรสหวานปนเผ็ดโดนใจ เค้าคู่ไส้กรอกหมูรมควันเนื้อแน่นๆ หอมๆ มันบดเนื้อเนียนและขนมปังชีส เป็นอีกหนึ่งเมนูฮิตเหมือนกันสำหรับ สเต็กปลากะพง ปลากระพงเนื้อสด ย่างบนเตาถ่านจนส่งกลิ่นหอม กินพร้อมซอสครีม และมะนาวซีก เพิ่มพลังงานให้ร่างกายด้วยมันอบราดซีส คนรักอาหารไทยต้องเลิฟ ขาหมูเยอรมัน ทอดร้อนจี๋ น่าอร่อยเป็นที่สุด เข้าคู่น้ำจิ้มซีฟู้ดรสเผ็ดเปรี้ยว ผักดอง และเฟรนช์ฟรายส์ ถูกใจเด็กอ้วน ก่อนปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง เค้กช็อกโกแลต ขนมหวานเมนูแรกของ Eat Am Are เค้กเนื้อฟองน้ำรสช็อกโกแลตนุ่มฟู สลับชั้นกับมูสช็อกโกแลตรสเข้มข้น ท็อปด้วยดาร์กช็อกโกแลตอีกที อร่อยแบบนี้ไม่ให้เป็นขวัญใจนักชิมได้อย่างไร

Tag:

ชาวบางนาที่กำลังมองหาร้านนั่งกินดื่มแบบเทสดี ขอให้จดลิสต์ A Whale Restaurant ไว้เลย ร้านอาหารที่เลือกแต่วัตถุดิบคุณภาพดีทั้งจากแหล่งโลคอล และต่างประเทศมาครีเอตเป็นเมนูสุดพิเศษสไตล์ยูโรเปียนผสมผสานนอร์ดิก โดยเน้นชูรสธรรมชาติของวัตถุดิบผ่านเทคนิคการปรุงและถนอมอาหารอย่างสร้างสรรค์ ด้วยฝีมือของเชฟ Nikolaj Lenz เชฟชาวเดนมาร์กและเชฟ Mel Rujimora ที่ต่างก็คร่ำหวอดในวงการอาหารมานานกว่า 10 ปี ทางร้านมาในคอนเซ็ปต์ Affordable luxury เน้นเรื่องบรรยากาศสบายๆ ที่ยังคงเข้าถึงง่ายเป็นกันเอง แบ่งเป็นโซนรับประทานอาหารที่ตกแต่งแบบเรียบง่ายโปร่งโล่งไม่อึดอัด ประดับด้วยแสงไฟสีส้มชวนอบอุ่น และโซนบาร์ที่อยู่ติดกับครัวเปิด ให้ได้เอนจอยกับเครื่องดื่มพร้อมวิวการรังสรรค์อาหารของเหล่าเชฟและผู้ช่วยแบบเพลินๆ เริ่มด้วย House Baked Breads ขนมปังสูตรโคเปนฮาเกนอบมาในแม่พิมพ์ไม้จนขึ้นฟูเนื้อเหนียวนุ่ม เสิร์ฟพร้อมโอลีฟออย น้ำส้มสายชูหมักกระเทียมดำและเนย ต่อที่ Chiang Mai Tomato Salad สลัดมะเขือเทศไร้เปลือกฉ่ำมาด้วยน้ำสลัดที่ทำจากน้ำมันมะกอกและน้ำมะเขือเทศหมัก กินพร้อมเพสโตสูตรพิเศษและชีสนมควาย ด้านบนเป็นชิปแผ่นยักษ์กรุบกรอบจากข้าวโอ๊ตและพาร์เมซานชีล กินแล้วสดชื่นมาก จานต่อมาเป็น Beef Tatar ทางร้านเลือกใช้เนื้อโลคอลมาคลุกเคล้ามากับซอสเอ็กซ์โอและมายองเนส ท้อปด้วยไข่แดงออร์แกนิก เสิร์ฟพร้อมขนมปังโทสต์เข้ากันสุดๆ และจานเด็ดยกให้ Dry Aged Duck Breast อกเป็ดจากฟาร์มไทยท้องถิ่นที่ผ่านการดรายเอจ 5-7 วันก่อนจะนำไปกริลล์ให้หนังกรอบและมีสีสวยประมาณมีเดียมแรร์ เสิรฟ์คู่ซอสมัลเบอร์รี และผักดอง ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง MAG-NUM Icecream ด้านในเป็นไอศกรีมวานิลลาเคลือบด้วยช็อกโกแลตเข้มข้นและถั่วกรุบกรอบ อิ่มครบจบทั้งคาวหวานเลย