ใครกำลังมองหาพิกัดเช็คอินไม่ซ้ำใคร แนะนำเซิร์ชกูเกิ้ลแมพชื่อ Tokizen Farm & Café แล้วขับตามมาได้เลย คาเฟ่เปิดใหม่แห่งนี้ทำเลค่อนข้างลึกลับ แต่คุ้มค่าต่อการมาเยือน เชื่อเถอะว่าจะตื่นเต้นตั้งแต่ทางเข้า พอถึงหน้าร้านแล้วยิ่งว้าวเข้าไปใหญ่ ฟีลเจแปนแบบไม่สนใจบ้านใกล้เรือนเคียง อารมณ์เหมือนบ้านคหบดีชาวญี่ปุ่นที่เงียบสงบ โดยปรับเรือนรับรองเดิมให้เป็นคาเฟ่ มีที่นั่งด้านในแต่วิวไฮไลท์จะอยู่บริเวณนอกชานที่จัดวางโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งชิลชมสวนสไตล์เซน ทั้งสงบและผ่อนคลาย มีต้นไม้ให้ร่มเงา อาทิ จามรี หางนกยูง ดอกปีบ ต้นใหญ่ๆ ดอกบานสะพรั่ง ทั้งสวยทั้งหอม ถ่ายรูปเพลิน นึกว่าอยู่เจแปนจริงๆ ส่วนเมนูฟูลออปชั่นเหมือนยกร้านขนมหวานมาจากโตเกียว ไปต้องไปที่ไหน มาที่เดียวครบจบเลย   Premium Fruit Roll โรลเค้กผลไม้ แป้งนุ่มเนียนลิ้น สอดไส้ครีมสดและผลไม้รสเปรี้ยวชิ้นเล็กๆ เสิร์ฟพร้อมวิปครีม ธัญพืช และผลไม้อบแห้ง Sakura Raindrop Cake โมจิหยดน้ำดอกซากุระ ราดซอสซากุระรสหวานละมุน ตกแต่งด้วยดอกซากุระแท้จากเมืองคานากาวะ Warabi Mochi Matcha วาราบิโมจิเนื้อนุ่มหนึบหนับ คลุกผงถั่วคินาโกะ แล้วราดด้วยซอสคุโรมิสึโฮมเมด รสหวานเย็นชื่นใจ ส่วนเครื่องดื่มประเดิมที่ Matcha Ususha มัตฉะพรีเมียมที่เราอยากบอกว่า “ลองเถอะ” รสนุ่มละมุนลิ้น กลืนลงคอไปแล้วแต่ยังทิ้งทวนความหอมหวานให้อบอวลอยู่ในปาก Matcha Latte มัตฉะพรีเมียม ราดบนนมสดเย็นจัด ใครไม่ถนัดชาเขียวแก้วนี้จะช่วยให้ดื่มง่ายยิ่งขึ้น ลองครั้งแรกรับรองต้องคิดใหม่เลยล่ะ Sakura Ume Soda เปิดประสบการณ์ความสดชื่นไม่เหมือนใคร จากส่วนผสมที่สุดแสนลงตัวของดอกซากุระแท้ๆ รสหวานอมเปรี้ยว เย็นซาบซ่า เพลินตั้งแต่จิบแรก ประสบการณ์ดีๆ แบบนี้ต้องไปสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้น!

หลังจากพา Chez Shibata ร้านขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศสจากเมืองทาจิมะ ประเทศญี่ปุ่น มาขโมยหัวใจคนรักเค้กในบ้านเราเมื่อหลายปีก่อนที่ Hotel Nikko Bangkok ทองหล่อในชื่อ Chez Shibata 365 ตอนนี้ถึงเวลาที่ เชฟทาเคชิ ชิบาตะ จะย้ายร้านไปสู่บ้านหลังใหม่ในซอยสุขุมวิท 38 โลเคชั่นใหม่ของร้านเป็นบ้านสีขาว 2 ชั้น ด้านในโปร่งสบาย น่านั่ง มีกระจกบานใหญ่รับแสงธรรมชาติ ให้เรานั่งละเลียดเค้กแล้วมองสวนสวยรอบๆ ไปด้วย ส่วนเมนูขนมหวานสุดประณีตที่เป็นซิกเนเจอร์ก็เรียกได้ว่ามารายงานตัวครบ เราอยากให้ลอง Mini Strawberry Summer ชีสเค้กสตรอว์เบอร์รี่ที่มาในรูปแบบของคริสตัลเจลลี่ มองเห็นผลสตรอว์เบอร์รี่สีแดงสวย ด้านล่างเป็นครัมเบิลที่ใช้เนยฝรั่งเศสแท้ กินด้วยกันทั้งคำแล้วรสชาตินุ่มนวลไม่เปรี้ยวโดด Matcha Queen เนื้อเค้กมัตฉะอัลมอนด์มาซิพาน ด้านในสอดไส้ด้วยเจลลี่ส้มและครีมเฮเซลนัท รสชาตินุ่มละมุนจนไม่อยากให้หมดชิ้น สั่งมาจับคู่กับ Thai Tea Latte เครื่องดื่มที่ถูกใจคนญี่ปุ่น ด้วยกลิ่นหอมๆ ของชาไทยและรสชาติเข้มข้นเฉพาะตัว (เชฟบอกว่าที่ญี่ปุ่นเชฟทำเมนูน้ำแข็งไสชาไทยด้วย) นอกจากขนมที่เป็นไฮไลต์ ที่ร้านมีเมนูคาวที่เชฟทำกินเองบ่อยๆ เสิร์ฟที่ร้านด้วย อาทิ Croque Madame แซนด์วิชแฮมชีสสไตล์ฝรั่งเศส ขนมปังกรอบราดด้วยไวต์ซอสโฮมเมด ชีส แล้วทอปด้วยไข่ดาว เสิร์ฟพร้อมสลัดและเฟรนช์ฟรายส์ รวมถึงเมนูที่เชฟถนัดอย่าง พาสตา ข้าวผัดเนยกระเทียม ครัวซองต์ ก็เลือกสั่งได้หลายเมนู และพลาดไม่ได้กับเซ็ตขนมสำหรับซื้อเป็นของฝากให้คนพิเศษ อาทิ Dark Chocolate Crispy Cookie, French Butter Cereal Cookie รวมถึงเค้กวันเกิดในแพคเกจสุดเก๋ตามแบบฉบับของ Chez Shibata 365 ที่เห็นแล้วรู้ทันทีว่ามาจากร้านไหน

“บ้านนอกเข้ากรุง” ร้านอาหารไทย-อีสาน น้องใหม่เครือ NARA Thai Cuisine เจ้าของคือคุณจอม - ภูมิพันธ์ เอี่ยมปรเมศวร์ อดีตหัวหน้าบัตเลอร์ประสบการณ์กว่า 10 ปีของโรงแรมเซนต์รีจิส นิวยอร์ก แทกทีมกับเพื่อนรักอย่างคุณยูกิ - นราวดี ศรีกาญจนา ร่วมกันสร้างร้านอาหารไทยตำรับบ้านสีจานแห่งจังหวัดโคราช ซึ่งเป็นสถานที่ที่คุณประจวบ (คุณแม่ของคุณจอม) เติบโต และสั่งสมประสบการณ์การทำอาหารมานานกว่า 70 ปี เอ็นจอยกับอาหารสูตรประจำบ้าน ที่เปี่ยมด้วยรสชาติมือแม่ในบรรยากาศสถานีรถไฟจำลอง ซึ่งเป็นสถานที่พบรักของคุณพ่อ-แม่ของคุณจอม พื้นไม้สีน้ำตาลเข้ากันกับผนังสีขาวและสีฟ้าน้ำทะเล เฟอร์นิเจอร์ไม้เครื่องสานสื่อถึงกลิ่นอายของภาคอีสาน  ด้านหลังมีชั้นวางสัมภาระที่เรียงร้านด้วยกระเป๋าใบโต ราวกับเรานั่งอยู่บนรถไฟอย่างไรอย่างนั้น ต้อนรับด้วย ตำหลวงพระบางสูตรแอร์โฮสเตส สูตรพี่สาวสุดที่รักของคุณจอม แผ่นมะละกอกรุบกรอบ คลุกเคล้าเครื่องเคราส้มตำ ใส่กะปิชั้นดี และปลาร้าโฮมเมดจนได้รสเค็มกลมกล่อม กินเพลินอย่าบอกใคร ตามด้วย ออร์เดิร์ฟบ้านนอก อาหารเรียกน้ำย่อยหอมฉุย ที่ให้คุณอร่อยกับปีกไก่ทอดน้ำปลาชิ้นโตๆ ไส้กรอกโคราชบ้านเองเนื้อแน่น ปอเปี๊ยะโคราชสอดไส้วุ้นเส้นและหมูสับ เสิร์ฟคู่ปลาร้าบองรสเค็มนัว และซอสสูตรเฉพาะรสหวาน น้ำพริกขี้กาผักต้ม เมนูโบราณหารับประทานยาก พริกเขียวตำหยาบๆ กับเนื้อปลาทูหอมๆ ได้รสเค็มเผ็ดจัดจ้าน กินคู่กับผักพื้นบ้านชนิดต่างๆ ลวกกำลังกิน และไข่ต้มยางมะตูมเยิ้ม ต่อด้วย พะโล้ยายสำเรียง พะโล้สูตรเด็ดของคุณยายเจ้าของร้าน ไข่อิ่มเอมและหมูสามชั้นนุ่มแทบละลายในปาก อยู่ในน้ำแกงรสหวานกลมกล่อม หอมกลิ่นสามเกลอ โรยหน้าด้วยข่า หมี่โคราชกุ้งแม่น้ำ เส้นหมี่เหนียวนุ่มผัดพร้อมซอสสูตรลับที่มีส่วนผสมของเต้าเจี้ยว ท็อปด้วยกุ้งแม่น้ำตัวโตเนื้อหวาน แกงอ่อมปลาย่างซี่โครงหมู น้ำแกงรสเค็มเผ็ด หอมกลิ่นปลาย่างและสมุนไพร อย่าลืมกินซี่โครงหมูเนื้อสู้ฟันด้วยนะ ของหวานเราแนะนำ วุ้นกาแฟโบราณ รสหวานเข้มกำลังดี สัมผัสกรอบเด้ง เข้ากันกับวิปครีมตีสด ฟักทองเชื่อมน้ำตาลคาราเมล ฟักทองหวานมันชิ้นใหญ่ๆ เชื่อมน้ำตาลคาราเมลรสหวานฉ่ำ กินคู่วิปครีมกะทิเค็มมัน หรือใครชอบ กล้วยน้ำว้าเชื่อมน้ำตาลคาราเมล ก็เข้าที กล้วยน้ำว้าสวนเคลือบน้ำตาลคาราเมล ตัดด้วยรสเค็มจากวิปครีมกะทิ ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มเร้าใจอย่าง เสียงกระซิบของข้าวคั่ว ที่ได้รสเปรี้ยวอมหวานจากน้ำแอปเปิ้ลเขียว น้ำมะนาวและน้ำส้มยูสุ ท็อปด้วยจิงเจอร์เอลและข้าวคั่ว ต่อด้วย Tam-Me-Lean ค็อกเทลที่มีส่วนผสมของน้ำกูสเบอร์รีรสเปรี้ยวสดชื่น น้ำมะขามแช่อิ่ม และเติมดีกรีร้อนแรงด้วยเหล้าสปิริต ใครอยากลิ้มลองแวะมาชั้น 2 ของโครงการ Vivre Langsuan ได้เลย

ใครเป็นแฟนคลับสแมชเบอร์เกอร์ของ Smizzle Burger ร้านเบอร์เกอร์สุดป๊อปซอยสุขุมวิท 26 ตอนนี้ทางร้านเปิดสาขาใหม่แล้วที่ Open House ชั้น 6 เซ็นทรัลเอมบาสซี่ จุดเด่นของเบอร์เกอร์ร้านนี้คือการกดเนื้อให้แบนราบไปกับกระทะที่ร้อนจัด แล้วรีดขอบเนื้อให้บางกรอบ เนื้อจะมีความเกรียมเป็นสีน้ำตาลเข้ม ช่วยดึงรสชาติให้เข้มข้นขึ้น ส่วนด้านในยังมีความฉ่ำ สั่งได้ทั้งหมด 9 เมนูที่ต่างกันทั้งผักและซอส (ใครไม่กินเนื้อเลือกเป็นหมูได้) เริ่มด้วย Uncle Sam เมนูขายดีที่สุดของทางร้าน เป็นชีสเบอร์เกอร์แบบดั้งเดิมที่อร่อยและกินง่าย ต่อ ด้วย Crusty Blondy เบอร์เกอร์ชีสกรอบหน้าตาเย้ายวนใจ ทางร้านนำเชดดาร์ชีสไปทอดจนกรอบเป็นแผ่นใหญ่ แล้วโปะลงบนเนื้ออีกที กินคู่กับซอสศรีราชามาโยเข้ากัน และพลาดไม่ได้กับ The Oklahoma นำซิกเนเจอร์เบอร์เกอร์เมืองโอคลาโฮมาของอเมริกามาทำในสไตล์ Smizzle ใช้หอมใหญ่สไลซ์บางโปะลงไปบนเนื้อแล้วบี้พร้อมกันบนกระทะ เพิ่มรสหวานตามธรรมชาติให้กับตัวเนื้อ จับคู่ซอส Garlic & Onion ช่วยเสริมรสกัน นอกจากเบอร์เกอร์แล้วยังมี Side Dish อย่าง Messy Fries เฟรนช์ฟรายส์ทอด ราดด้วยชีส ซอสซิกเนเจอร์ของทางร้าน โรยด้วยเบคอนทอดกรอบ ตบท้ายด้วย Milk Shake รสหอมหวานนุ่มนวลจากไอศกรีมที่ร้านบอกว่าใส่แบบจัดเต็ม

Twist Bistro ร้านอาหารยุโรปฟิวชัน ของ เชฟเทียน-เทียนชัย พีรพงศธร ที่เน้นเสิร์ฟเมนูอร่อยแบบ All Day Dining แนวผสมผสานหลายเชื้อชาติมาทวิสต์ให้ถูกปากคนไทย ภายในร้านนั่งสบายๆ ภายใต้บรรยากาศแสนสงบ มีกระจกบานใหญ่และต้นไม้ล้อมรอบทำให้ดูโปร่งโล่ง สบายตา อีกทั้งยังตกแต่งอย่างทันสมัยด้วยวัสดุโมเดิร์นตัดกับงานไม้สุดคลาสสิก เปิดต่อมรับรสด้วยจานซิกเนเจอร์อย่าง Ceasar Salad ผักคอสราดน้ำสลัดซีซาร์สูตรโฮมเมด ให้รสเค็มมัน เพิ่มเท็กซ์เจอร์ด้วยเบคอนกรุบกรอบ ต่อด้วย Pappardelle Truffle ปัปปาร์เดลเลเส้นสดคลุกเคล้าซอสครีมทรัฟเฟิล ได้รสนุ่มนวล หอมกลิ่นทรัฟเฟิลอบอวลในปาก แถมยังมีความครีมมี่เล็กน้อย กินคู่เห็ดนานาชนิดและเบคอนทอดกรอบ Cream Pesto เส้นเพนเน่ผัดกับซอสเพสโตรสกลมกล่อม เสิร์ฟคู่แซลมอนย่างจนหนังกรอบ แต่เนื้อข้างในยังฉ่ำ และ Pork Chop พอร์กชอปที่หมักจนเข้าเนื้อย่างจนสุก ก่อนเสิร์ฟพร้อมซอสสูตรพิเศษ ให้รสเข้มข้น ตัดด้วยความมันนัวจากมันบด อร่อยทีเดียว

เข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาวใครที่กำลังมองหาร้านชาบูสุกียากี้สไตล์ญี่ปุ่นหน้าใหม่ ขอแนะนำ Sesame Shabu Shabu ที่ตั้งอยู่ในโครงการ Bambini Villa โดยมาพร้อมกับมู้ดอบอุ่นละมุนใจจากเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเบจรับกับแสงธรรมชาติ ให้ความรู้สึกเรียบง่ายผ่อนคลายสไตล์วาบิซาบิ แม้จะโดดเด่นด้วยชาบูสุกียากี้ที่มีให้เลือกทั้งแบบ Set Menu และ A La Cart แต่ทางร้านยังมีข้าวหน้าด้งและของกินเล่นหลากหลายให้เลือกสั่งมาชิม โดยมาพร้อมกับบาร์เครื่องดื่มขนมหวานที่สามารถแวะมาเอนจอยแบบเบาๆ ได้เช่นกัน เริ่มด้วย Ankimo Ponzu (270.-) ตับปลาอังกิโมะนึ่ง ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นฟัวกราส์แห่งทะเล เนื้อสัมผัสครีมมี่นวลละมุนลิ้น กินกับซอสพอนสึ ต้นหอม หัวไชเท้าเผ็ดและพริกญี่ปุ่น ต่อด้วย A5 Wagyu Ichibo Shabu Set (1290.-) เนื้อวากิวโอมิส่วนสะโพกจากจังหวัดชิงะ ที่มาพร้อมกับลายหินอ่อนของมันแทรกสวยๆ สัมผัสนุ่มละมุน เสิร์ฟกับเซ็ตผักสด และเส้นอุด้ง หากใครไม่กินเนื้อทางร้านยังมี Red Grouper Fish ปลาเก๋าแดงไร้คาวเนื้อเด้งหวานฉ่ำ ที่กินคู่กับซิกเนเจอร์ซอสแล้วยิ่งอร่อยลงตัว หรือจะสั่งเป็น A5 Wagyu Chuckroll Sukiyaki Set (1290.-) เซ็ตสุกียากี้ที่ประกอบด้วยเนื้อชัคโรล เนื้อวากิวสันคอที่มีไขมันแทรกแบบพอดี นุ่มละลายในปาก ชุดผักสดและข้าวสวย เมนูข้าวแนะนำ Tempura Don (280.-) ข้าวด้งเทมปุระชามใหญ่ที่เรียงมาด้วยกุ้งเทมปุระชิ้นโต และโครเกต์ครีมปู ช่วยเสริมทัพความอิ่มท้องได้เป็นอย่างดี ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง Monaka Ice-cream (190.-) ขนมที่ทำจากแผ่นแป้งโมจิอบกรอบคล้ายเวเฟอร์ สอดไส้ไอศกรีมงาดำเข้มข้นหอมมันสูตรเฉพาะของร้าน จับคู่กับ Okumidori Clear (160.-) ชาเขียวสุดเข้มข้นไม่ใส่นม จากใบชาคุณภาพดี จบมื้อนี้ได้สมบูรณ์แบบ

Shersanctuary Tea House เป็นเสมือนบาร์น้ำชาลับของคุณ ‘เปียว-เฌอร์ลิน เหลืองประเสริฐ’ ที่ต้องการสร้างพื้นที่ปลอดภัยสุดสงบ ให้ทุกคนได้แวะมาผ่อนคลายจิตใจบนชั้น 4 ของอาคารพาณิชย์สไตล์ลอฟต์ย่านบางเขน ภายในตกแต่งแบบเรียบง่ายในคอนเซ็ปต์วาบิซาบิ ผสมผสานความดิบเท่ของผนังปูนเปลือยและความโฮมมี่จากเฟอร์นิเจอร์ไม้ได้อย่างลงตัว โดยร้านยังแชร์พื้นที่กับโชว์รูมเฟอร์นิเจอร์แบรนด์เชียงใหม่อย่าง 'นภากาด' ที่ออกแบบมาให้คล้ายกับห้องนั่งเล่น ซึ่งสามารถเข้าไปเลือกชมและช้อปสินค้ากลับบ้านกันได้   Shersanctuary Tea House มาพร้อมกับหมวดหมู่ชา 3 ประเภท คือ Japanese Tea, Chinese Tea และ Tea Blend ที่ผ่านการครีเอตรสชาติอย่างตั้งใจออกมาเป็นชาแก้วอร่อยที่ยิ่งจิบก็ยิ่งเพลิน อาทิ Hojicha Tea Pot (250.-) ชาโฮจิฉะจากชิซูโอกะ ที่เพียงแค่เริ่มชงก็ได้กลิ่นหอมของชาคั่วลอยฟุ้งทั่วบริเวณ ทางร้านเสิร์ฟพร้อมกับวาราบิโมจิโฮมเมดทำสดใหม่ นุ่มนวลลงตัว Sherlyn Tea Blend (250.-) ชาดำรสเข้มนิดๆ หอมกลิ่นชินนามอนและโรสแมรี่ เมื่อจิบแล้วจะได้ความซ่าเล็กน้อยจากขิง ใครชอบรสชาที่เข้มกำลังดีแถมได้ความแปลกใหม่ต้องลอง Wine Not (300.-) เมนูชาดอกไม้ในแก้วไวน์สีแดงสวยจากกุหลาบ ดอกหอมหมื่นลี้ กระเจี๊ยบ และอัญชัญ รสชาติเปรี้ยวนิดๆ กินคู่กับชีส 3 ชนิด เหมือนได้จิบไวน์ในรูปแบบชาแปลกใหม่น่าลิ้มลอง Shersance (250.-) เมนูเดียวที่ทางร้านเสิร์ฟแบบเย็น โดยใช้เป็นชาโฮจิฉะ ผสานกับโทนิก เมเปิ้ลไซรัปและผิวเลมอน ปิดท้ายด้วยการฉีดสเปย์วิสกี้เพื่อเพิ่มอโรม่า ดื่มแล้วเฟรชมากๆ

ขนมปังบันคุณภาพดีที่รังสรรค์ขึ้นด้วยความตั้งใจ ต้องยกให้เมนูใหม่จาก ‘The Sugar Gallery’ ร้านขนมโฮมเมดเดลิเวอรี่เจ้าดัง ซึ่งล่าสุดได้ครีเอตเมนูขนมปังเนื้อนุ่มราดซอสสังขยาใบเตยและชาไทยมาให้เหล่าแฟนคลับได้กดสั่งไปลิ้มลอง โดยยังคงใส่ใจกับการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพดี รวมถึงอบแบบสดใหม่ด้วยความพิถีพิถันก่อนถึงส่งถึงมือลูกค้าทุกออเดอร์ อร่อยเพลินๆ กับ 2 เมนูใหม่ล่าสุด Tropical Pandan Lava Bun มาพร้อมซอสสังขยาใบเตยที่รังสรรค์ขึ้นจากใบเตยแท้ หอมอร่อยสีสวยเข้ากับเนื้อขนมปังโฮมเมดนุ่มฟูเป็นที่สุด และ Royal Thai Tea Bun สังขยาชาไทยหอมมัน กินคู่กับน้ำกะทิเข้มข้นผสมเนื้อมะพร้าวให้เคี้ยวเพลินๆ นอกจากนี้ยังมีเมนู Mini Bomb Bun (ราคา 190 บาท) ขนมปังกระเทียมชีสอบสดใหม่วันต่อวัน ฉ่ำแน่นด้วยชีสและเนยหอมมัน เป็นเมนูขายดีที่ควรสั่งกดมาลอง ไม่แพ้กัน สอบถามและสั่งซื้อได้ที่ ราคา : 140-190 บาท Delivery : GRAB / ROBINHOOD / LINEMAN / LALAMOVE LINE ID : @ thesugargallery หรือ linktr.ee/thesugargallery

Birdies Bangkok ร้านแคชชวลไฟน์ไดนิงน้องใหม่ย่านสุขุมวิท ที่พร้อมมอบบรรยากาศของการกินดื่มแบบฟีลกู๊ด ให้ทุกคนที่เข้ามานั้นกลับบ้านไปพร้อมกับรอยยิ้มแบบเต็มอก ด้วยคอนเซ็ปต์ 'ความสนุกสนาน' ที่ทางคุณราตีสและคุณเจน (สองสามีภรรยาเจ้าของร้าน) อยากจะเน้นและต้องการให้แขกคนสำคัญรู้สึกถึงความครื้นเครง ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านงานดีไซน์ ปูเป็นเส้นทางให้เราสัมผัสได้ตั้งแต่ขั้นบันไดไปจนถึงโต๊ะอาหาร สำหรับเมนูในค่ำคืนนี้นำเสนออาหารจานเด็ดที่คิดค้นและรังสรรค์โดยเชฟ Jennifer Evans หรือคุณเจนเจ้าของร้าน เน้นไปทางอาหารแนวคอมฟอร์ตฟู้ดที่สามารถกินเพลินๆ ได้ตลอดคืน เปิดต่อมรับรสด้วยค็อกเทล Dopamine ให้รสนุ่มนวล หอมกลิ่นจินและสมุนไพร เรียกน้ำย่อยกันต่อกับ Parker House ขนมปังซาวร์โด กรอบนอกนุ่มใน กินคู่กับเนยรสหอมมัน ต่อด้วย Cabbage ผักกะหล่ำกรอบๆ ราดซอสทาฮีนี ได้รสเค็มมันอร่อยทีเดียว Burrata บูร์ราตาชีส เสิร์ฟคู่ขนมปังสอดไส้ต้นหอม แนะนำให้กินควบคู่กันไปพร้อมน้ำราดรสเผ็ดนิดๆ อร่อยลงตัว ถัดมาคือ Chicken Wings ปีกไก่ที่เชฟเอากระดูกออก พร้อมยัดไส้มูสกุ้งเข้าไป กินเพลินๆ ได้จนหมดจาน ตามด้วย Morels เป็นเห็ดที่ยัดไส้ไก่ ให้รสเค็มๆ มันๆ กินคู่กับไข่แดงที่เชฟนำไปสโมกมาก่อนเสิร์ฟ ไฮไลต์ห้ามพลาดได้แก่ Fried Chicken ไก่ทอดจานยักษ์ ทอดจนกรอบก่อนเคลือบด้วยน้ำผึ้ง เสิร์ฟคู่ซอสสูตรพิเศษ 4 รสชาติ สามารถไซด์ดิสได้ตามใจชอบ กินควบคู่ไปกับ Spring Sazerac ค็อกเทลที่ให้รสแบบหนักแน่น กินสลับกับไก่ทอดได้อย่างเพลิดเพลิน เป็นอีกหนึ่งมื้อที่เปรมปรีดิ์มาก

ภายในซอยสุขุมวิท 27 Enoteca Bangkok ร้านอาหารอิตาเลียนรุ่นบุกเบิกของเมืองกรุง การันตีความอร่อยด้วยดาวมิชลิน พร้อมต้อนรับเราอีกครั้งกับบรรยากาศโฮมมีๆ ในบ้านหลังเก่าสุดคลาสสิกที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมของความอร่อยอีกเช่นเคย และเพื่อยกระดับประสบการณ์การกินอาหารมื้อนี้ให้เพิ่มไปอีกขั้น แนะนำให้สั่งไวน์มาแพริงควบคู่ไปในแต่ละคอร์ส เนื่องจากคำว่า Enoteca มีความหมายว่า Wine Library หรือหอสมุดไวน์ ทำให้ที่นี่มีไวน์เลิศรสหลากสไตล์วางเรียงรายทั่วทุกมุมห้อง เพื่อรอรินให้ทุกคนได้ดื่มด่ำไปพร้อมอาหารค่ำได้ตลอดคืน การที่เข้ามานั่งในร้านนี้ทำให้เราลืมชีวิตที่วุ่นวายในเมืองด้วยการปล่อยให้ตัวเองประหลาดใจไปกับ 5 คอร์สเมนูสุดสร้างสรรค์จากเชฟ Stefano ที่มอบประสบการณ์การกินอาหารอิตาเลียนแท้ๆ แบบประทับใจไม่รู้จบ เริ่มมื้อนี้ด้วย Langustine กุ้งจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนย่างซอสสูตรพิเศษ หอมกลิ่นสโมก ท็อปด้วยปลาหมึกสไลด์บาง มะเขือเทศย่าง และใบยี่หร่า ต่อด้วย Trotelloni Macarpone ทอร์เทลลินีสอดไส้ชีสมาสคาร์โปเน แนะนำให้กินในคำเดียว จะได้ความครีมมี่ที่ระเบิดออกมาพร้อมความหอมมันจากชีส Ravioli Faraona e Foie Gras ราวิโอลีไส้ฟัวกราส์และไก่ต๊อกจากอิตาลี ราดด้วยซอสที่ทำจากชีสผสมทรัฟเฟิลดำ ให้รสเค็มนัว จานหลักห้ามพลาดคือ Wagyu Lamb Striploin แกะเนื้อนุ่มราดซอสรากูต์รสเข้มข้น จบท้ายด้วยของหวานอย่าง Coffee Crème Brûlée ได้รสหวานละมุนลิ้น หอมกลิ่นกาแฟ และ Fondenta al Cioccolato con Croccante alle Nocciole ช็อกโกแลตเข้มข้น ปิดมื้อนี้ได้อย่างประทับใจ

Løyrom ร้านแคชชวลไฟน์ไดนิงที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสกับรสชาติแห่ง New Nordic Philosophy ที่ขับกล่อมรสชาติอย่างสร้างสรรค์ด้วยศาสตร์และศิลป์ ประกอบกับกรรมวิธีสมัยใหม่ พรีเซ็นต์รสชาติแห่งการเดินทางด้วยความเรียบง่าย เรียงร้อยออกมาอย่างพิถีพิถันและสดใหม่ เพื่อคงความบริสุทธิ์ของรสชาติจากธรรมชาติเอาไว้ให้มากที่สุด โดยคำว่า Loyrom (ลอย-รอม) หมายถึง ‘ไข่ปลาเทราต์ป่า’ ในภาษาสวีเดน มีลักษณะเป็นเม็ดกลมเล็ก คล้ายคาเวียร์ ด้วยคุณลักษณะนี้จึงได้รับการยกย่องให้เป็น "ไข่ปลาคาเวียร์แห่งยุโรปเหนือ" ซึ่งวันนี้นำเสนอ 8 คอร์สเมนูใหม่ล่าสุดอย่าง "The Southrn Rain" เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมผจญภัยไปกับรสชาติของ "ฝนใต้" รังสรรค์จากวัตถุดิบหายากตามฤดูกาลแบบเฉพาะถิ่น เสาะแสวงหาจากแหล่งที่ดีที่สุดตามชุมชนทั้งในประเทศไทยและต่างแดน ระหว่างการรับประทานจะได้ฟังเรื่องราวความรู้ทางประวัติศาสตร์จากแหล่งกำเนิดของวัตถุดิบนั้นๆ ภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงบแสนไพรเวต เริ่มต้นที่สแน็ค 3 คำ ได้แก่ ขนมปังกรอบเห็ดเผาะ แป้งด้านนอกสีดำมีส่วนผสมของหมึกดำ ด้านในสอดไส้เห็ดเผาะ โรยด้วยผงชะคราม ได้รสนัวๆ มีความครีมมี และสัมผัสได้ถึงเท็กซ์เจอร์ความเผาะในปาก ต่อด้วย กุ้งหัวมันใบชิโสะ กุ้งวางบนใบชิโสะเทมปุระที่ราดด้วยวาซาบิมาโย มีความหอมมันเล็กน้อยจากมันหัวกุ้งตัดกับรสวาซาบิ และแคมเบอร์รีเจล คำสุดท้ายคือ แพนเค้กสลัดปู ออนท็อปด้วยไข่ปลาลอยรอมคาเวียร์ ฟิงเกอร์ราม และคิวคัมเบอร์เจล ให้รสเปรี้ยวสดชื่น เรียกน้ำย่อยได้ดี ตามด้วยเซ็ต Bread & Condiments ชิ้นแรกคือ Sourdough Brioche แนะนำให้กินคู่กับเนยกระเทียม และแตงกวาดอง ถัดมาคือ Black Sticky Rice Sourdough ขนมปังข้าวเหนียวดำจากเชียงราย กินกับเคียวร์ปลาซาร์ดีน (Seasonal Cured Fish) ข้างล่างเป็นพริกจินดาเขียว ราดด้วย Orange Dressing Vaneka และสุดท้าย Norwegian Waffle แป้งวัฟเฟิลรูปหัวใจ มีความบางและกรอบ กินคู่กับไข่ปลารอยลอมที่ท็อปมาบนเนยเนื้อเนียน คอร์สสุดประทับใจยกให้ ปลาเต๋าเต้ย วัตถุดิบจากภาคใต้บ้านเรา เชฟนำไปกริลจนหนังกรอบ ก่อนนำมานาบด้วยชาร์โคล กินกับน้ำซุปรสกลมกล่อม คล่องคอทีเดียว กุ้งก้ามกราม เสิร์ฟพร้อมโฟมมันกุ้งและข้าวบาร์เลย์ผสมแครนเบอร์รี เพิ่มรสชาติด้วยซอสมาโย เจลมะนาว และน้ำมันพริก ต่อด้วยจานหลักอย่าง เป็ดย่าง ที่ดรายเอจ 5 วัน ย่างจนหนังกรอบแต่เนื้อยังนุ่มและชุ่มฉ่ำ ด้านบนโรยงาขี้ม่อน ราดซอสไวน์แดง ให้รสเผ็ดเล็กน้อยจากพริกลาบ และเคียงด้วยบีตรูตรมควัน ก่อนจบมื้อนี้ทางร้านพรีเซ็นต์ Pre-Dessert อย่าง Calamansi Ice มีส่วนผสมของส้มจี๊ดหรือมะปิ๊ดของภาคใต้ ให้รสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด แนะนำให้กินควบคู่ไปกับ Orange Blossom Panna Cotta ที่มาช่วยเบรกความเปรี้ยวของส้มจี๊ดลง ส่วน Main Dessert เป็น Mangosteen Sherbet กินคู่ Lemon Verbena Panna Cotta ได้รสเปรี้ยวเล็กน้อยและเย็นชื่นใจ ปิดท้ายด้วย Fika ที่เชฟออกแบบมาเป็นขนม 3 สไตล์ คำแรกคือ Khanom La หรือเวเฟอร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากขนมลา ต่อด้วย Phuket Cjocolate Bonbon ช็อกโกแลตจากภูเก็ตสอดไส้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ คำสุดท้ายคือ Torch Ginger de Fruit เมื่อกินแล้วจะได้กลิ่นหอมของดอกดาหลาชัดเจน กินคู่ชาร้อนๆ ปิดท้ายมื้อนี้ได้อย่างสมบูรณ์ โดยคอร์สนี้ทุกท่านสามารถร่วมลิ้มรสได้ตั้งแต่วันนี้ - เดือนพฤศจิกายนเท่านั้น

จากข่าวคราวของการเปิดตัวร้านอาหารแห่งใหม่ใน ซ.หลังสวน เมื่อกลางปี 2566 ที่ผ่านมา Inddee ก็นับเป็นร้านที่น่าจับตามองไม่น้อย ตั้งแต่คอนเซปต์ของอาหารที่การออกแบบร้านที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะกับซุ้มประตูโค้งที่ต้อนรับอย่างตระการตาตั้งแต่หน้าร้าน Inddee นำเสนอเมนูอาหารอินเดียในรูปแบบไฟน์ไดนิ่ง ซึ่งทุกการรังสรรค์ในแต่ละเมนูในพื้นที่ครัวเปิดทั้ง 2 จุด เป็นคล้ายดั่งโชว์ให้ผู้มาเยือนได้นั่งชมการปรุงอาหารและประดับประดาแต่ละจานอย่างละเมียดละไมในทุกขั้นตอน ภายใต้การนำทีมของเชฟ Sachin Poojary ผู้มีประสบการณ์การทำอาหารญี่ปุ่นมาก่อน จึงไม่แปลกที่เขาจะหยิบจับแนวคิดการปรุงอาหารแบบญี่ปุ่นเข้ามาผสมผสานในเมนูคอร์สเหล่านี้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ จานก็ยังคงอัดแน่นไปด้วยเอกลักษณ์ตามแบบฉบับอาหารอินเดีย เริ่มต้นด้วย Supplement Courses ที่อยู่นอกเหนือจากคอร์สเมนูหลัก ซึ่งได้แก่ Oyster หอยนางรมสดราดด้วยซอสสีชมพูที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Sol Kadhi เครื่องดื่มจากฝั่งตะวันตกของอินเดียที่มีส่วนผสมมาจากผลโคคัม (Kokum) ที่ได้ชื่อว่าเป็นซูเปอร์ฟรุ๊ตในแถบเอเชีย ท็อปด้วยโคคัมคาร์เวียร์ ผงกะหรี่ ผักดอง และดอกผักชี สร้างความสดชื่นเพื่อเริ่มต้นมื้ออาหารได้ดีทีเดียว สำหรับคอร์สเมนูนั้นเริ่มต้นด้วย Bites Into Inddee จำนวน 4 คำ ประกอบไปด้วย Xec Xec เครื่องเทศดั้งเดิมจากรัฐกัว ที่นอกจากจะใส่ทั้งยี่หร่า พริกไทย เมล็ดผักชี กานพลู ขิง และพริกแล้ว ยังมีมะพร้าวและมะขามผสมอยู่จึงเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ไม่น้อย จับคู่มากับครีมเฟรชในทาร์ตบัควีท โดยผงเครื่องเทศที่ประดับจานมาข้าง ๆ กันนั้นสามารถใช้นิ้วแตะ ๆ กินได้ด้วย รับรองว่าจานจะได้สัมผัสกับรสชาติของเครื่องเทศอย่างเต็มที่แน่นอน คำต่อมาคือ Khari Chai ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการกินชาของคนอินเดียในมุมไบ Khari นั้นเป็นพัฟฟ์เพสตรี ที่มักมาในทรงสีเหลี่ยมผืนผ้า แต่ว่าที่นี่นำมาปรับเป็นพัฟฟ์ทรงกรวย สอดไส้เนื้อแพะสับ ข้าง ๆ กันนั้นเป็นซุปเนื้อแกะให้ซด ประหนึ่งว่ากินพัฟฟ์กับชาเลยทีเดียว คำที่ 3 ชื่อว่า Mirch Salan ที่นำอาหารท้องถิ่นจากนครไฮเดอราบาดทางตอนใต้ของอินเดียมาประยุกต์ ซึ่งดั้งเดิมนั้นเป็นน้ำเกรวี่ที่ใส่พริกหวานสเปนและถั่ว มีรสชาติเผ็ดร้อน นิยมกินกับข้าวหมกบริยานี แต่ที่นี่นำมาแปลงโฉมใหม่จนกลายเป็นพริกสีเขียว สอดไส้ด้วยส่วนผสมของเกรวี่แบบดั้งเดิมแต่กัดกินได้ในคำเดียว ส่วนคำสุดท้ายในส่วนของกินเล่นนั้นคือ Chaat อาหารที่ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศอินเดีย มีส่วนผสมของรสเปรี้ยว หวาน เค็ม และเผ็ด คล้ายกับการกินยำ Chaat ในเวอร์ชั่นของ Inddee นั้นประกอบไปด้วย ส้มโอ มะเขือเทศจากเชียงใหม่ มะม่วง ขนุน และมะระทอดกรอบ ได้สัมผัสที่หลากหลายในคำเดียว สำหรับคอร์สแรก Morel เชฟพาเดินทางไปยังดินแดนเหนือสุดของอินเดีย ฤดูใบไม้ผลิในแคชเมียร์ หิมะค่อย ๆ ละลาย ในเวลานั้นเองนับเป็นช่วงที่เหมาะที่สุดสำหรับการออกตามหา ‘เห็ดมอเรล’ หนึ่งในสายพันธุ์เห็ดที่ดีที่สุดในโลก นับว่าเอาใจคนชอบกินเห็ดไม่น้อย เพราะตรงฐานนั้นเชฟก็แทนข้าวพิลาฟด้วยเห็ดเข็มทองปรุงกับหญ้าฝรั่นสีเหลืองอร่าม ส่วนด้านบนนั้นเป็นเห็ดมอเรลยัดไส้ด้วยวัตถุดิบท้องถิ่นของแคชเมียร์หลาย ๆ อย่าง เช่น Khoya หรือไขมันนม แอปริคอท พิสตาชิโอ ท็อปด้วยโฟมอัลมอนด์ คอร์สต่อมา Scallop เป็นการนำวัฒนธรรมการเฉลิมฉลองเทศกาลโอนัมในช่วงปลายฤดูมรสุมของผู้คนในรัฐเกรละทางภาคใต้มาประยุกต์ใช้ ที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือ การรองอาหารหลาย ๆ อย่างไว้ด้วยใบตอง และที่ขาดไม่ได้คือชัทนีย์หรือแยมที่ทำจากมะขามและขิง รู้จักกันในชื่อว่า Inji Pulli ซึ่งเป็นตัวเอกหลักของจานนี้ที่เชฟเลือกจับคู่มากับหอยเชลล์จากฮอกไกโดหมักสาหร่ายทะเล พร้อมด้วยองค์ประกอบอื่น ๆ ได้แก่ เกลือมะพร้าว ข้าวพอง ใบกะหรี่เคลือบน้ำตาลโตนด และมัสตาร์ด จานต่อมา Cod มุ่งหน้าสู่ฝั่งตะวันออกในโกลกาตา รัฐเบงกอล กับการหยิบวัตถุดิบที่มีชื่อเสียงที่สุดของแถบนี้ ได้แก่ Gondhoraj Lemon มะนาวที่มีกลิ่นหอมมากจนได้รับการยกย่องให้เป็น King of Aromas มาจับคู่กับ Queen of Pickles อย่าง Kasundi มัสตาร์ดที่มากด้วยกฎเกณฑ์และความพิถีพิถันในการผลิต นำมาหมักปลาค็อดดำจากอลาสกาแล้วย่างเตาถ่าน ได้เนื้อปลาฉ่ำนุ่มพร้อมด้วยกลิ่นเครื่องเทศอย่างชัดเจน ข้าง ๆ กันนั้นมีขิงดองแบบญี่ปุ่นมาช่วยตัดเลี่ยนด้วย แทรกระหว่างคอร์สหลักด้วย Chicken จากเมนู Supplement Courses ไก่ย่างถ่านที่เชฟนำเมนู Malai Chicken Tikka และ Kali Mirch Chicken Tikka หรือไก่ย่างพริกไทยดำมารวมกัน ออกมาเป็นไก่ที่มีเนื้อนุ่มมาก แต่หนังกรอบ ราดด้วยซอสทับทิมและบาร์เบอร์รี่อิหร่าน กลับเข้ามาในคอร์สหลักของร้านอีกครั้งกับ Quail นกกระทาฝรั่งเศสย่างเตาถ่าน เคลือบด้วยเครื่องเทศ Saoji Masala แบบดั้งเดิมของเมืองนาคปุระหรือนักปูร์ ที่ว่ากันว่ามีความเผ็ดร้อนที่สุดในอินเดีย นอกจากนั้นนาคปุระยังมีชื่อเสียงในนามของเมืองแห่งส้ม จานนี้เลยเป็นการรวมของดีเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวทั้งเครื่องเทศและซอสส้ม จานคาวสุดท้าย Chicken จะเป็นการเดินทางสู่พระราชวังอินเดียโบราณ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเมนูคูร์ชาน (Khurchan) ในภาษาฮินดีนั้นหมายถึงการขูด เพราะประวัติศาสตร์ของอาหารจานนี้ มาจากคนครัวในพระราชวัง ที่มักจะขูดอาหารจากก้นหม้อมาปรุงต่อ และเพื่อสร้างความสมดุลให้กับรสชาติสุดเข้มข้นนี้ เชฟได้จับเอาคูร์ชานไก่มาผสมผสานกับสาลี่และครีมฟีนูกรีกหรือลูกชัดซึ่งปาดมาข้าง ๆ ภาชนะ คล้ายกับการขูดก้นหม้อ กินคู่กับแป้งนานอุ่น ๆ จากเตาทันดูร์ สำหรับของหวานจานแรก มานำเสนอมาอย่างอลังการทั้งภาพและกลิ่นหอมดอกกุหลาบตลบอบอวล ซึ่งเชฟได้นำเมนูหวานเย็นสีชมพูชื่อว่า Falooda สตรีทฟู้ดที่ได้อิทธิพลโดยตรงมาจากเปอร์เซีย ซึ่งมีวัตถุดิบหลัก ๆ คือ น้ำเชื่อมดอกกุหลาบ วุ้นเส้น และนม มาพลิกแพลงเป็นโยเกิร์ตอบ เม็ดแมงลัก และโรยด้วยกลีบกุหลาบบิชอปออร์แกนิกจากเชียงใหม่ ของหวานจานสุดท้าย Chocolate เป็นการนำของดีจากอินเดียมารวมไว้ในหนึ่งเดียว ด้านล่างสุดเป็นกาแฟจากจิกมากาลูร์ (Chikkamagalur) ท็อปด้วยช็อกโกแลต 65% จากปุฑุเจรี (Pondicherry) และกินคู่กับไอศกรีมวานิลลาจากอิดุกกิ (Idukki) ซึ่งตั้งอยู่ในเส้นศูนย์สูตรเดียวกับมาร์ดากัสการ์ จึงสามารถผลิตวานิลลามาตรฐานเดียวกันได้ ได้ความหวานละมุนกลมกล่อมสอดแทรกความขมเล็กน้อยอย่างลงตัว ปิดท้ายมื้ออาหารด้วย Petit Fours ของหวานขนาดกระทัดรัด ที่เริ่มต้นการเดินทางจากรัฐกัวด้วย Goan Perad ผิวฝรั่งสีชมพูกับมาร์ชเมลโลว์เนยกี ห่อด้วยเจลฝรั่งกับเกรปฟรุต ท็อปด้วยเม็ดพริกไทยดำ อีกคำคือ Mukhwas ซึ่งหมายถึง ที่ล้างปาก โดยแบบฉบับของ Inddee นี้จะเป็น Mukhwas ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Gianduiotto ช็อกโกแลตถั่วสไตล์อิตาเลียน เลือกใช้เม็ดมะม่วงหิมพานต์แทนฮาเซลนัท ผสมไปกับยี่หร่า กุหลาบ หมาก และเปปเปอร์มินต์ เป็นการล้างปากจริง ๆ สมชื่อ

San Rafael Cafe คาเฟ่ของสายฮอปเปอร์ที่ฮอตฮิตแห่งปี โดดเด่นด้วยงานสถาปัตยกรรมสุดบรรเจิด มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ เหมาะสำหรับการไปนั่งชิว พร้อมฝากท้องไว้กับเบเกอรี่แสนละมุนและชากาแฟรสเลิศ ทางร้านตั้งใจออกแบบให้คาเฟ่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมของคนทุกเพศทุกวัย ให้สามารถมานัดพบปะและสังสรรค์กันได้ การตกแต่งจึงเน้นไปในทางอบอุ่น มีความโฮมมีและปลอดโปร่งใกล้ชิดธรรมชาติ ไฮไลต์อยู่ที่ที่นั่งสุดไพรเวตทรงแก้วไวน์ด้านใน ส่วนด้านนอกจะเป็นที่นั่งแบบ Sunken เป็นพื้นที่ไล่ละดับ เหมือนนั่งจมอยู่ในน้ำ อย่าพลาด Macadamia Croissant ครัวซองต์มีความกรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นเนยสดแท้จากฝรั่งเศส กินคู่แมกคาเดเมียอบที่ให้มาแบบไม่หวง เพิ่มความหวานละมุนด้วยซอสคาราเมล ต่อด้วย Coconut Delight มูสมะพร้าวเคลือบช็อกโกแลต สีเหลืองตรงกลางคือเจลมะพร้าว ด้านในมีเนื้อเค้กชิฟฟอนซ่อนอยู่ ให้รสหอมมันและหวานกำลังดี ถัดมาเป็น Passionate เมนูใหม่ล่าสุดของร้านเป็นมาการองไส้ครีมเสาวรสและเจลลี่สตรอว์เบอร์รี ได้รสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด กินแล้วไม่เลี่ยนเลย และ Yuzu Tea Cheese เครื่องดื่มรสเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นชา Earl Grey ที่เข้ากันได้ดีกับความหอมของยูซุ เพิ่มความละมุนด้วยครีมชีสเนื้อเนียน

Tag:

จากร้านข้าวแกงขวัญใจชาวจตุจักรมานานกว่า 30 ปี บัดนี้ “พริกหยวก” ร้านอาหารไทยสไตล์ครอบครัว ย้ายโลเคชั่นมาอยู่ย่านประดิพัทธ์เป็นที่เรียบร้อย เจ้าของคือคุณแอน-ดารารัตน์ วิสัยจร หญิงสาวชาวชุมพรที่ได้เคล็ดลับความอร่อยมาจากคุณแม่ อิ่มเอมกับอาหารไทยคอมฟอร์ตฟู้ดกลิ่นอายอาหารใต้ ที่คงคอนเซ็ปต์ ‘ไม่ใส่ผงชูรส และน้ำมันหอย’ เสิร์ฟพร้อมบรรยากาศกว้างๆ และสวนร่มรื่นในแบบฉบับโรงเรียนเรวดี ที่แม้จะมีอายุกว่า 70 ปีแต่เมื่อผ่านการรีโนเวทก็ยังสวยงามเช่นเคย เอ็นจอยกับโซนต่างๆ ที่เต็มไปด้วยมู้ดแห่งความอบอุ่น ทั้ง Kitchen Bar คาเฟ่ของคุณออม - กาศิก พัจนโรจน์ ลูกชายเจ้าของร้าน Cuisine Club ลานกว้างนั่งเล่นสำหรับลูกค้า เมื่อตกเย็นจะเป็นบาร์แจ๊สฟังเพลิน และร้านขายของแฮนด์เมด ที่เต็มไปด้วยเครื่องใช้จักรสานน่าสะสม จานแรกเราสั่ง เซ็ตขนมจีน ที่ประกอบด้วยขนมจีนเส้นเล็กเหนียวนุ่ม กินคู่น้ำยาสูตรโบราณรสเค็มเผ็ดเข้มข้น และน้ำพริกรสหวานไม่เลี่ยน เข้ากันดีกับผักสดต่างๆ ไข่ต้มยางมะตูม และผักบุ้งทอดกรุบกรอบ ตามด้วย เซ็ตขนมจีนซาวน้ำ ให้คุณเพลิดเพลินกับซาวน้ำรสหวานอมเปรี้ยว  ที่ทำมาจากกุ้งแห้งป่น กระเทียม ขิง สับปะรด และพริกสด ผสานความหอมมันจากกะทิชั้นดี เพิ่มความฟินด้วยลูกชิ้นปลาโฮมเมด ลูกใหญ่เนื้อแน่น ของหวานเราสั่งเป็น กล้วยไข่เชื่อมราดกะทิ กล้วยไข่ที่ได้รสหวานฉ่ำจากน้ำเชื่อม ตัดกับน้ำกะทิรสเค็มนิดๆ เครื่องดื่มเราแนะ น้ำส้มเขียวหวาน คั้นสดๆ ไม่ผสมน้ำตาล รสเปรี้ยวอมหวานชื่นใจ มีอีกหลายเมนูเลยที่อยากลอง

ใครเป็นสายกินตัวจริงต้องรู้ว่า “Espresso” ห้องอาหารบุฟเฟต์นานาชาติแห่ง InterContinantal Bangkok กลับมาเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ลิ้มรสซีฟู้ดนำเข้าจากแหล่งคุณภาพ และอาหารนานาชาติ อาทิ อาหาอาหารอิตาเลียน อาหารญี่ปุ่น อาหารไทย อาหารจีน และขนมหวานโดยทีมพ่อครัวมากฝีมือ  พร้อมเพลิดเพลินกับบรรยากาศหรูหราโออ่า พื้นที่กว้างไม่แออัดแต่อย่างใด เริ่มต้นที่ ซีฟู้ดออนไอซ์ ละลานตาราวกับขนทะเลขึ้นบก เพราะมีทั้งแคนาเดียนล็อบสเตอร์ตัวโต ขาปูอลาสก้า เนื้อหวาน หอยนางรมตัวอวบอ้วน ที่ทางร้านนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส หรือใครชอบหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ก็มีนะ กุ้งแม่น้ำเนื้อสดเด้ง และปูม้ากินคู่น้ำจิ้มซีฟู้ดรสเผ็ดเปรี้ยวเข้ากัน ใครรักอาหารญี่ปุ่นต้องมาที่สเตชั่น ซูชิ อร่อยกับข้าวปั้นหน้าต่างๆ อาทิ ปลาไหล ซูชิโรล  และซาชิมิ เนื้อสดหวาน จิ้มโชยุ และวาซาบิรสเผ็ดซ่า มาทางฝั่งอาหารจีนก็น่าสนใจไม่น้อย มีทั้งติ่มซำโฮมเมดอย่าง ฮะเก๋า ลูกใหญ่ ขนมจีบ ไส้กุ้งและหมู เป็ดย่าง เนื้อแน่น ย่างหอมๆ ราดน้ำสต็อกเป็ดรสหวาน ตามด้วย หมูกรอบ ที่เรารัก เนื้อนุ่ม หนังกรอบเคี้ยวเพลิน เข้าคู่มัสตาร์ดรสเผ็ดนิดๆ กระเพาะปลา ร้อนๆ ที่อุดมไปด้วยปูเนื้อหวาน อย่าลืมชิมอาหารอิตาเลียนรสชาติดี ขาดไม่ได้คือ ราวิโอลี โฮมเมด สอดเนื้อปูเน้นๆ ผัดพร้อมซอสครีมทรัฟเฟิลสูตรเฉพาะรสหอมมัน เพนเน่เบคอนพริกแห้ง ได้รสเค็มเผ็ดกำลังดี ต่อด้วยชาร์คูเตอรีที่สเตชั่น ชีสนานาชาติ กินคู่ผลไม้อบแห้งและถั่วนานาพันธุ์ หรือจะลองบาร์บีคิ ก็มีให้คุณเลือกฟินทั้ง ขาแกะ ย่างร้อนๆ เนื้อ และซีฟู้ดสดใหม่วันต่อวัน ได้แก่ กุ้งลายเสือ ที่สายฟู้ดเลิฟ หรือ ปลาหิมะ เนื้อนุ่มแน่น ยังมี แซลมอนอบซอสครีม เนื้อฉ่ำใน ราดซอสครีมหอมมัน ซุปเห็ดทรัฟเฟิล รสเข้มข้น หอมฟุ้งกลิ่นทรัฟเฟิล และตบท้ายด้วยคาราวานของหวานอย่าง ทาร์ตสตรอว์เบอร์รี รสเปรี้ยวอมหวาน ผสานความครีมมีของคัสตาร์ด บราวนี่ เนื้อแน่น ได้รสช็อกโกแลตเต็มคำ ท็อปด้วยครีมช็อกโกแลต และผลไม้สด ชูซ์ครีมพิชตาชิโอ แป้งกรอบนอกนุ่มในรสช็อกโกแลต สอดไส้ครีมพิชตาชิโอ เครปซูเซตต์ ของชอบของคนรักของหวาน แป้งเครปโฮมเมดเนื้อนุ่มฉ่ำซอสส้ม เสิร์ฟเคียงไอศกรีมวานิลลารสสดชื่น ส่วนใครชอบขนมหวานนสไตล์ไทยต้องนี่เลย ข้าวเหนียวมะม่วง มะม่วงสุกน้ำดอกไม้รสหวานฉ่ำ กินพร้อมข้าวเหนียวมูนเนื้อนุ่ม ราดกะทิรสเค็มมัน สวรรค์ของสายกินเลยทีเดียว

เรียกว่ากลับไปเยือนกี่ครั้งก็สร้างความประทับใจไม่มีเปลี่ยนจริงๆ สำหรับ “B-Story Café” สาขาราชเทวี ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของโครงการ Coco Walk (BTS ราชเทวี) คาเฟ่สไตล์วินเทจที่โดดเด่นเรื่องบรรยากาศ โดยเขาจะแต่งร้านให้เข้ากับเทศกาลนั้นๆ ทำให้คาเฟ่ฮอปเปอร์เวียนมากี่ครั้งก็แชะรูปไม่มีเบื่อ ทั้งยังได้ลิ้มลองอาหารนานาชาติที่รสชาติไม่เป็นรองใคร ส่วนสายหวานอย่าลืมสั่งขนมโฮมเมดมาจิบคู่กับเครื่องดื่มหน้าตาดีนะ เรียกน้ำย่อยกันก่อนกับ Caesar Salad ซีซาร์สลัดชามโตๆ ประกอบด้วยผักสดกรุบกรอบ เบคอนรสเค็ม ขนมปังอบ คลุกเคล้าซอสครีมสูตรเฉพาะ และชีสพาเมซาน ตามด้วย ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ เอาใจคนรักอาหารไทยโดยเฉพาะ น้ำพริกลงเรือสูตรเด็ดของที่ร้าน รสหวานผสมเค็ม มีความเผ็ดนิดๆ ผัดพร้อมข้าวสวย เข้ากันดีกับไข่ต้มยางมะตูมเยิ้ม หมูหวาน และผักลวก Nero Pasta Tomyum โดดเด่นด้วยรสจัดจ้านกำลังดีของซอสต้มยำ ผสานความครีมมีของครีม เคล้าสปาเกตตีหมึกดำเหนียวนุ่ม ท็อปด้วยกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่น่าอร่อย Porkchop Pepper Gravy Sauce สเต๊กพอร์กช็อปเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ราดซอสพริกไทยดำรสเค็มเผ็ด เสิร์ฟเคียงมันฝรั่งทอดเนื้อแน่น และผักย่างนานาพันธุ์ ล้างปากด้วยของหวานอย่าง Strawberry Brownie บราวนี่เนื้อแน่นๆ ได้รสเข้มจากช็อกโกแลตชั้นดี ตัดกับมูสสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน Basque Burn Cheese Cake ชีสเค้กหน้าไหม้สไตล์โฮมเมด รสครีมมี มีนิดเปรี้ยวนิดๆ แต่งหน้าด้วยผลไม้สด จิบคู่ Yusu Coffee หรือที่หลายคนเรียกว่า ‘กาแฟส้ม’ เครื่องดื่มสุดป็อปในโลกโซเชียล น้ำส้มยุซุรสเปรี้ยวอมหวาน ท็อปด้วยเอสเปรสโซช็อกรสเข้ม เข้ากันสุดๆ และ B – Honey Coffee ได้รสเข้มและหอมมันอยู่ในกาแฟแก้วเดียว แถมยังมีฟองนมน้องหมีน่ารักไว้ละลายหัวใจคอกาแฟอีกด้วย

เมื่อพูดถึง Sousaku” แฟนคลับอาหารญี่ปุ่นยกนิ้วให้เลย เพราะเป็นร้านซูชิและสุกียากี้สไตล์คันไซที่ได้ใจสายฟู้ดมานานกว่า 10 ปี ด้วยการใช้วัตถุดิบคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก ผ่านฝีมือเชฟที่ถูกเทรนด์จากเชฟญี่ปุ่นโดยตรง ซึ่งครั้งนี้เราแวะมากินที่สาขาอารีย์ ตัวร้านจำลองเป็นบ้านญี่ปุ่นโบราณ 2 ชั้น ที่สร้างและตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ ทั้งปูนผสมหญ้า ผนังไม้ไผ่เงางามและเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น สบายๆ เหมือนกินมื้ออร่อยในบ้านเพื่อน สายเนื้อห้ามพลาด Gyu (Beef) Signature Set เซ็ตเนื้อสัญชาติออสเตรเลียสำหรับสุกียากี้ ที่ประกอบด้วย เนื้อริบอายชุ่มฉ่ำ เนื้อสันคอ ที่นำไปทำเมนูไหนก็อร่อย เนื้อบริเวณไหล่ อุดมไปด้วยไขมันเยอะ (เด็กอ้วนฟิน) เหมาะมากสำหรับปิ้งย่าง ชุดผัดสดและไข่ไก่ ส่วนใครไม่กินเนื้อจะสั่งเป็นเซ็ตหมู หรือจานอะลาคาร์ตอย่าง Pork belly หมูสามชั้นคูโรบุตะชิ้นใหญ่ๆ มีไขมันแทรกทำให้เนื้อสัมผัสนุ่ม กินอร่อย เข้าคู่น้ำจิ้มพอนซึรสเปรี้ยวพอเหมาะ   ตามด้วยเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Kanimiso Kamameshi ข้าวมันปูอบหม้อดิน ที่ฐานล่างเป็นไข่กุ้งกรุบๆ เคี้ยวเพลิน เคล้าข้าวญี่ปุ่น ก่อนท็อปด้วยปูหิมะเนื้อหวาน และไข่ปลาแซลมอนรสเค็มกลมกล่อม คนรักซูชิอย่าลืมสั่ง Sousaku Edomae Sushi Style ข้าวญี่ปุ่นหุงน้ำส้มสายชูหมักไวน์แดง ปั้นเป็นซูชิหน้าต่างๆ อาทิ แซลมอน ที่คุ้นเคย โอโทโร่ เนื้อนุ่ม ฮามาจิ ปลาหางเหลือง ทามาโกะ (ไข่หวานญี่ปุ่น) ปลาไหล อาคามิ ชิมา อาจิ หรือปลาทูญี่ปุ่นยักษ์ และอิคุระ

De Moon Bangkok หรือที่รู้จักกันในชื่อเก่าอย่าง “ร้านคุณทองบายนาคร” ของคุณเปิ้ล-นาคร ที่มีเวลาว่างเมื่อไร เป็นต้องแวะมาต้อนรับลูกค้าด้วยตัวเอง แม้จะเปลี่ยนชื่อร้านแต่รสชาติอาหาร ยังอร่อยเหมือนเดิม โดยเพิ่มเติมเมนูใหม่ให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น จะมากลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ก็เลือกเมนูที่ใช่ได้ในสไตล์ของตัวเอง เมนูของที่นี่จะเน้นแนวปิ้งย่างและกระทะร้อนเป็นหลัก ทีเด็ดคือเนื้อโคขุน ไทยเฟรนช์ จากฟาร์มของตัวเองที่สกลนคร โดยมีเนื้อให้เลือกถึง 12 ส่วน ด้วยระดับความนุ่มแตกต่างกัน เริ่มจากนุ่มแทบละลาย ในปาก เรื่อยไปจนถึงนุ่มแบบให้ออกแรงเคี้ยวนิดๆ รสชาติเนื้อชัดเจน ย่างแล้วหอมชวนนํ้าลายสอ เน้นปรุงรสชาติสไตล์ไทย จับคู่กับนํ้าจิ้มสูตรเด็ด ที่ช่วยชูรสชาติของเนื้อให้โดดเด่นอีกเท่าตัว ไม่เพียงเป็น Must Eat ของสายเนื้อ ตอนนี้ยังครองใจ สายแซ่บด้วยเมนูไทย-อีสานจัดจ้านถึงใจ เช่นเดียวกับ สายซีฟู้ดที่พร้อมกดเลิฟให้ อีกทั้งยังยืนหนึ่งเรื่องกุ้งแม่นํ้า มันกุ้งข้นๆ เยิ้มๆ เหยาะนํ้าจิ้มซีฟู้ดรสเผ็ดจัดจ้านสักนิดถือเป็นคู่ซี้ที่ควรสั่งมาประจำโต๊ะ ด้านของทอดก็ไม่น้อยหน้า โดยเฉพาะ กุ้งปาร์ตี้ กุ้งแม่นํ้าทอดตัวใหญ่ๆ เสิร์ฟมาในกระทะร้อนให้ล้อมวง แบ่งกัน จะมื้อไหนก็ไม่ธรรมดาถ้ามาที่ De Moon Bangkok

Tag:

พักเบรกจากความเครียด แล้วไปผ่อนคลายใจที่ รำไร คาเฟ่ริมน้ำย่านบางใหญ่ ที่มาพร้อมบรรยากาศสุดร่มรื่นรายล้อมด้วยธรรมชาติ เหมาะแก่การมานั่งจิบเครื่องดื่มแก้วโปรด ชมวิถีชีวิตชาวบ้านริมคลองอ้อมนนท์ ชวนให้อบอุ่นใจเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง จุดเด่นของร้านอยู่ที่บาร์ขนมและเครื่องดื่มภายในบ้านไม้หลังเก่าสุดคลาสสิกที่ใครเห็นเป็นต้องอยากแชะภาพกลับไป และสะพานไม้ที่สามารถเดินออกไปชมวิวริมน้ำได้แบบเต็มตา สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น เริ่มที่ Carrot Cake (125.-) เค้กแครอตเนื้อเนียนหนึบอัดแน่นด้วยธัญพืชหลากชนิด สลับชั้นมากับครีมชีสรสเปรี้ยวหวานอร่อยลงตัว ไปต่อกับ วุ้นกะทิใบเตย (45.-) เนื้อวุ้นนุ่มเด้งกินแล้วได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากใบเตย รสชาติเค็มตัดหวานกินเพลินมาก เครื่องดื่มแนะนำ Yuzu Soda (95.-) เครื่องดื่มสุดสดชื่นจากไซรัปยูซุที่นำไปมิกซ์กับน้ำโซดาซาบซ่า แก้วนี้คลายร้อนได้ดีสุดๆ หรือจะเลือกเป็น กาแฟโตนด (85.-) ความเข้มของกาแฟเมล็ดคั่วเข้มจากภาคเหนือของไทย ตัดด้วยความหอมหวานสไตล์ไทยของน้ำตาลโตนด เข้ากันดีกว่าที่คิด

Tag:

Tenko Omakase (เท็นโกะ โอมากาเสะ) ปรับเปลี่ยนสไตล์การนำเสนอโอมากาเสะแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม เป็นโฉมใหม่ในสไตล์ที่เรียกว่า คัปโปะ (Kappo) เพิ่มลูกเล่นของอาหารให้แปลกใหม่กว่าเดิมในปี 2023 นี้ ภายใต้หัวเรือคนใหม่ เชฟไดสุเกะ นิชิมูระ ผู้สั่งสมประสบการณ์ในการทำอาหารแนวคัปโปะและไคเซกิมากว่า 20 ปี คัปโปะโอมากาเสะแบบฉบับของเท็นโกะภายใต้การนำของเชฟไดสุเกะ นำเสนอรสชาติเข้มข้นในแบบที่คนไทยชื่นชอบ “คนไทยยังชื่นชอบการกินซูชิคำเล็ก ๆ ผมปรับขนาดซูชิให้เล็กลงแล้วทดแทนด้วยเมนูที่หลากหลายมากขึ้น” เชฟไดสุเกะบอก ส่วนที่สร้างความตื่นเต้นในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนและเป็นสิ่งที่เชฟไดสุเกะภูมิใจนำเสนอนั้นก็คือ จานเรียกน้ำย่อยแบบคัปโปะ ซึ่งจะประกอบไปด้วย ซุปสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม ซาชิมิ และเมนูเซ็ต ภายใต้รูปร่างหน้าตาแบบร่วมสมัย และมีส่วนประกอบของผักมากกว่าคอร์สโอมากาเสะที่เราคุ้นเคย เช่น Colinky Pumpkin with Soymilk Cold Soup ซุปฟักทองและนมถั่วเหลืองเย็น รสชาตินุ่มนวลกลมกล่อม Sesame tofu with Seaurchin, Caviar, Cucumber, Kinzanji miso โมจิงาดำเสิร์ฟพร้อมอูนิ คาร์เวียร์ และคินซันมิโสะ ได้เนื้อสัมผัสที่หลากหลาย และเป็นรสชาติที่ผสมผสานกันแล้วลงตัวอย่างน่าทึ่ง Ankimo Toast with Sibazuke pickles and Spring onion ตับปลาอังกิโมะ หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อปลามังค์ฟิช เชฟนำมาผสมผสานกับมิโสะจากเกียวโต ให้ทั้งความหอมมันและรสชาติที่เข้มข้น สมกับที่ได้ชื่อว่าฟัวกราส์แห่งท้องทะเล วางมาบนโทสต์และท็อปด้วยผักดอง Monaka with Smoked Stingray fin Tartar Japanese Tomato, Avocado, Red sorrel ขนมโมนากะ แป้งกรอบคล้ายเวเฟอร์ ทำมาจากแป้งโมจิมาในทรงคล้ายกับจานขนาดจิ๋ว ด้านในเป็นทาร์ทาร์มะเขือเทศ อะโวคาโด และครีบปลากระเบนรมควัน Chawanmushi with Foie gras ไข่ตุ๋นแบบญี่ปุ่นเนื้อเนียนนุ่ม มาพร้อมกับฟัวกราส์ในน้ำซุปโบนิโต และก่อนที่จะเข้าสู่คอร์สนิกิริซูชิ เชฟได้เสิร์ฟ Sashimi with Organic Vegetables Salad Zucchini, Water melon, Hasuimo, Mizunasu egg plant, Sour jelly , Sour egg yolk sauce ซาชิมิส่วนท้องทูน่า มาพร้อมซอสไข่แดง ซูกินีสด มะเขือม่วงสด ต้นบอน แตงโม และมันหวาน ท็อปด้วยเดรสซิ่งสีเหลืองในรูปแบบของเจลลี เป็นจานสลัดที่มอบความสดชื่นได้ดีทีเดียว สำหรับนิกิริซูชิของ Tenko Omakase ภายใต้การนำของเชฟไดสุเกะนั้น ประกอบไปด้วย Shime Saba ปลาซาบะดองน้ำส้มสายชู โดยระหว่างตัวข้าวและเนื้อปลานั้นได้สอดไส้ด้วยใบชิโสะ และท็อปด้วยต้นหอมจิ๋ว ขิง และพริกป่น รวมกันแล้วเป็นคำที่เต็มไปด้วยรสชาติอันหลากหลายและเข้ากันได้อย่างดี แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนเมนูไปไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ซูชิกับปลาแบบคลาสสิกก็ยังคงอยู่ เช่น Buri zuke ซูชิปลาฮามาจิ, Akamutsu ซูชิปลากะพง, Uni ซูชิไข่หอยเม่น, Ezo Awabi ซูชิหอยเป๋าฮื้อกับซอสตับ และ Kamasu ซูชิปลาบาราคูด้า การนำเสนอโอมากะเสะในรูปแบบใหม่ของเชฟไดสุเกะยังไปต่อกันที่ Deep fried Amadai, Gingko, Shaved dry seaweed, dry Plum ปลาอามะไดหรือปลาไท่หวานทอดจนเกร็ดกรอบ เสิร์ฟพร้อมแปะก๊วย สาหร่ายแห้ง และบ๊วยแห้ง โดยมีส้มจี๊ดวางคู่มาให้เราบีบเพิ่มรสชาติและความหอมแบบซีตรัส จากนั้นเป็นเมนูเส้นชื่อว่า Waterfall Somen Noodle ที่นำเสนอมาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ จับคู่มากับอกเป็ดซูวี เพิ่มความเผ็ดและหอมชื่นใจด้วยยูซุเปปเปอร์ ปิดท้ายด้วย Tamagoyaki เค้กไข่ทามาโกะยากิเนื้อนุ่มเด้ง ส่งกลิ่นหอมอบอวลในปาก และของหวาน Houjicha with Hokkaido milk pudding and Fig, Awayuki salt พุดดิ้งโฮจิฉะและนมฮอกไกโดราดซอสบราวน์ชูการ์ กินคู่กับผลฟิกสดและโรยด้วยเกลืออะวายูกิ (เกลือหิมะ) ของญี่ปุ่น “เราจะเปลี่ยนวัตถุดิบไปเรื่อย ๆ ตามวัฒนธรรมการกินของญี่ปุ่น ที่จะเปลี่ยนตลอด 4 ฤดูกาล เพราะฉะนั้นคนกินจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่และมีความสุขในทุก ๆ ครั้งที่มาหาเรา” เชฟไดสุเกะพูดทิ้งท้าย