วิลาศ VILAS โลกคู่ขนานของอาหารไทยแนวใหม่ โดยเชฟปริญญ์ ผลสุข ที่ยังคงคอนเซ็ปร้านอาหารไทยโบราณ แต่นำเสนอในรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานความสมัยใหม่เข้าไปสอดแทรกในอาหาร ตามความหมายของชื่อร้าน วิลาศ หมายถึง ที่เป็นของยุโรป ซึ่งเป็นคำที่ชาวอินเดียในสมัยก่อนเรียกชาวตะวันตกโดยเฉพาะชาวอังกฤษ และวิลาส ที่แปลว่า งามอย่างมีเสน่ห์ ร้านตั้งอยู่ในตึกมหานครคิวบ์ เดสติเนชั่นแห่งใหม่ของร้านอาหารชื่อดังกลางเมืองหลวง ภายในร้านตกแต่งคลุมโทนสีแบบมินิมอล เฟอร์นิเจอร์จักสานสไตล์ญี่ปุ่น มีเคาเตอร์บาร์สำหรับนั่งกินและได้พูดคุยกับเชฟอย่างใกล้ชิด รวมถึงห้องอาหารแบบไพรเวทโซนอีกด้วย เมนูของร้านแม้จะเป็นชื่อไทยตามตำราโบราณแต่วัตถุดิบที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นของญี่ปุ่น ตามแนวคิดของเชฟที่ต้องการนำอาหารต่างประเทศซึ่งคนสมัยนี้นิยมมาสอดแทรก และให้ความรู้สึกเสียดสีประชดประชันพร้อมกันไปด้วย เมนูเรียกน้ำย่อย ขนมเบื้องวิลาศ แผ่นแป้งขนมเบื้องวางเสิร์ฟอยู่บนเครื่องปั้นดินเผารูปทรงคล้ายขนมบาแก๊ตของฝรั่งเศส เสิร์ฟพร้อมตับปลาต้มเค็มที่นำไปซูวีดจนเนื้อนุ่ม กินคู่กับเมล็ดทองหยอดจิ๋วเหมือนไส้หวาน และกระฉีกมะพร้าวอ่อนแทนไส้เค็ม เมนูที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน เมี่ยงไข่หอยเม่น ล้อเลียนมาจากเมี่ยงคำ เสิร์ฟบนกลีบบัวหลวงสีม่วงที่มีใบโอบะใช้ห่อมะพร้าวคั่วหอมและเครื่องสมุนไพรต่างๆ  มีไข่หอยเม่นญี่ปุ่นหรืออุนิของชื่นชอบยอดนิยมราคาแพงของคนสมัยนี้วางอยู่บนหน้า เมื่อเคี้ยวรวมกันแล้วจะสดชื่นจากกลิ่นน้ำส้มซ่า เมนูนี้วางเสิร์ฟอยู่บนแผ่นสแตนเลสที่มีร่องคล้ายแผ่นสังกะสี ชวนให้คนกินคิดว่าเชฟอยากจะล้อเลียนหรือเสียดสีอะไรอยู่ ฉู่ฉี่ปลาไหลย่าง ปลาไหลญี่ปุ่นตั้งชื่อตามการย่างปลาที่มีมีเสียงฉู่ฉี่ แต่เคลือบเนื้อปลาด้วยซอสน้ำปลาหวานที่ทำจากน้ำส้มมะขาม น้ำตาลปี๊บของไทย โรยหอมเจียว มะกรูดซอย และพริกชี้ฟ้าซอยทอดกรอบ   และยังมีแกงกะหรี่ไทข้าวมัน (ไท แปลว่า อิสระ) แกงกะหรี่ที่ไม่ใส่ผงกะรี่ แกงกับแก้มวัวตุ๋น กินกับข้าวมันกะทิที่หุงด้วยข้าวญี่ปุ่น ผักดองเกสรแชมพูมะเหมี่ยวและมะเฟือง ของหวานที่พลาดไม่ได้ ไอศกรีมขนมครก ผิวนอกเป็นแป้งขนมครกกรอบนอกสอดไส้ด้วยไอศกรีมกะทิหอมมัน เมนูอาหารไทยแนวใหม่ที่นักกินไม่ควรพลาดโดยเฉพาะแฟนคลับเชฟปริญญ์  

ใครที่ต้องเผชิญฝนตก รถติด เพลียจิตมาทั้งสัปดาห์ ไปหาที่ฮีลใจใกล้ๆ กรุงเทพฯ กันดีกว่า Rain Forest Café Pattaya เป็นร้านที่จำลองบรรยากาศสวนป่าขนาดย่อม บริเวณกลางร้านมีสระน้ำใสมองเห็นฝูงปลาคราฟแหวกว่ายให้ได้ชมเพลินๆ เปรียบดังโอเอซิสของเหล่านักเดินทาง และยังเป็นศูนย์รวมอาหารไทย ญี่ปุ่น ยุโรป รวมถึงอาหารพื้นบ้านอย่างลาบ น้ำตก ส้มตำ อร่อยนัวเหมือนยกครัวมาจากอีสาน เมนูแนะนำ อาทิ ซาชิมิ ปลุกน้ำย่อยให้ตื่นตัว ด้วยเมนูชูความสดฉ่ำจากธรรมชาติ เสิร์ฟพอหอมปากหอมคอ แล้วต่อด้วย ขาหมูเยอรมัน ขาหมูไซส์ใหญ่ หนังตึงกรอบ เนื้อเยอะมันน้อย แล่เป็นชิ้นให้กินสะดวก เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มหลากรส มันบด และเฟรนช์ฟราย ตำปูม้าแซลมอน ตำรสแซ่บ ใส่ทั้งปูม้าและแซลมอนที่อิมพอร์ตมาจากนอร์เวย์ รับประกันความจี๊ดชนิดให้คะแนนแทบไม่ทัน สลัดไก่ทอด ใครถวิลหาผักสดกรอบ ปลอดสาร คลุกเคล้าด้วยน้ำสลัดโฮมเมดทำใหม่ๆ ใส่ไก่ทอดกรอบๆ สั่งเลยไม่ผิดหวัง แซลมอนซอสพะแนง แซลมอนเนื้อนุ่มแน่นชิ้นโต ฉ่ำซอสพะแนงเข้มข้น เผ็ดปลายลิ้น กินแล้วกระชุ่มกระชวยดีต่อใจ ของหวานที่ถูกใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ได้แก่ Rain Forest Bear โดมรูปหมีที่ด้านในเป็นเค้กช็อกโกแลตเนื้อชิฟฟ่อนที่ซ่อนช็อกโกแลตมูสรสขมปลายลิ้นไว้อีกที เดอร์ตี้ x ป็อปคอร์น เอสเปรสโซช็อตเข้มข้นผสมไซรัปป็อปคอร์น รสหวานกำลังดี เคียงข้างมาด้วยป็อปคอร์นถ้วยน้อย ให้หยิบกินเล่นเพลินๆ หรือจะลองกาแฟลาเต้ ชูกลิ่นหอมและรสหวานจากน้ำมะพร้าวผสมใบเตย ที่ยิ่งจิบก็ยิ่งชื่นใจ เมนูอย่างเยอะ อิ่มพุงแตกแต่ก็อยากสั่งต่อ

อิ่มเอมกับหลากหลายเมนูอาหารเช้าที่ WH Cafe คาเฟ่น้องใหม่ในเครือร้านอาหารไทยไฟน์ไดน์นิ่ง Wang Hinghoi (วังหิ่งห้อย) ที่เน้นเสิร์ฟเมนูสไตล์ All Day Breakfast เป็นหลัก การันตีความอร่อยด้วยรสมือเชฟจากวังหิ่งห้อย โดยเน้นการใช้วัตถุดิบที่สดใหม่ผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี บรรยากาศภายในร้านเต็มไปด้วยความสดชื่นจากต้นไม้น้อยใหญ่ซึ่งมาจากคอนเซ็ปต์ Delicious By Nature เปรียบเสมือนการจำลองป่าขนาดย่อมมาไว้ที่แห่งนี้ เมื่อบวกกับแสงธรรมชาติที่ทะลุผ่านเพดานกระจกฝ้าบานใหญ่ลงมาสู่ตัวร้าน ยิ่งชวนให้รู้สึกอบอุ่น ร่มรื่นสบายตา เริ่มด้วย Cloudy Egg Benedict (420.-) เมนูอาหารเช้าซิกเนเจอร์ที่ประกอบไปด้วย ไข่เบเนดิกต์ที่นำไข่ขาวไปตีจนขึ้นฟูสวยงามคล้ายก้อนเมฆ ท็อปมาบนอิงลิชมัฟฟินสัมผัสนุ่มหนึบ เสิร์ฟพร้อมไส้กรอกหมู เบคอนกรอบ ถั่วขาวในซอสมะเขือเทศ ผักย่าง และผักสลัด ต่อที่ Tomatoes Ricotta Toast (300.-) ขนมปังซาวร์โดทาสเปรดด้วยริคอตต้าชีส กินพร้อมมะเขือเทศหลากสีราดบัลซามิก หรือจะเลือกเป็น Quesadilla Ham & Cheese (280.-) เกซาดิยาแป้งบางกรอบ อัดแน่นมาด้วยแฮมชีสและเบคอนไข่ กินพร้อมซอสมะเขือ และสลัดอะโวคาโด   ในส่วนของเครื่องดื่มแนะนำ Avocado Peanut Butter (120.-) สมูทตีสำหรับสายสุขภาพที่นำอะโวคาโดไปปั่นรวมกับเนยถั่ว ท็อปด้วยครัมเบิ้ลพอให้เคี้ยวกรุบๆ หอมมันกลมกล่อม Strawberry Soda (120.-) เครื่องดื่มรสหวานสดชื่น จากน้ำสตรอว์เบอร์รี โดยนำเสนอมาในรูปแบบไอศกรีมแท่ง จุ่มลงในน้ำโซดาสุดซ่า รอละลายแล้วดื่มพร้อมกัน ชื่นใจเป็นที่สุด

เสิร์ฟความอร่อยที่สาขาลิ้นจี่ได้สักพัก คราวนี้ “A Bowl of Pasta” ร้านพาสต้าเส้นสดขวัญใจสายฟู้ดก็เลือกมาปักหมุดที่โลเคชั่นในตัวเมืองย่าน ‘เอกมัย’ เอาใจชาวกรุงฯ กันบ้าง พื้นที่กว้างๆ สามารถเลือกที่จอดรถได้อย่างตามใจ ตัวร้านเป็นบ้านไม้สีขาวที่ภายนอกตกแต่งด้วยต้นไม้กระถางน้อยใหญ่ร่มรื่น กระจกใสบานใหญ่ทำให้เห็นบรรยากาศสบายๆ และอบอุ่นด้านใน ผนังสีขาวครีมไปด้วยกันได้ดีกับพื้น เฟอร์นิเจอร์ไม้ และโซฟาหนังหนานุ่มสีน้ำตาลเข้ม เจ้าของร้านคือ “เชฟผึ้ง - ณฐิณี จีระลักษณกุล ศิษย์เก่าคนเก่งแห่งสถาบันเลอ กอร์ดอง เบลอ ประเทศอังกฤษ ด้วยความที่เลิฟเมนูพาสตามากเธอจึงครีเอทร้านนี้ขึ้นมา แถมยังได้เชฟเมย์-พัทธนันท์ ธงทอง เชฟฝีมือขั้นเทพดีกรีรองแชมป์จากรายการ Top Chef Thailand Season 1 และเจ้าของร้าน Maze Dining มาช่วยคิดค้นเมนูรสชาติดีที่มาในคอนเซ็ปต์ “Pick Your Bowl of Happiness” เลือกชามอร่อยแห่งความสุขด้วยตัวของคุณเอง A Bowl of Pasta โดดเด่นด้วยเมนูพาสตาเส้นสดถึง 20 แบบ แบ่งออกเป็น 2 สไตล์ อาทิ แบบคลาสสิคที่หลายคนชอบ ได้แก่ พาสตาซอสมะเขือเทศ พาสตาคาโบนารา และแบบที่ทางร้านคิดสูตรเอง เช่น ซอสวอดก้า ซอสปูผัดพริกเหลืองไวน์ขาว เป็นต้น ยังมีจานหลักต่างๆ รวมไปถึงพิซซาสไตล์โฮมเมด ที่เสิร์ฟเฉพาะสาขาเอกมัยเท่านั้นด้วยนะ (ขอบอก) ต้อนรับด้วย แป้งพิซซาอบ เรียกน้ำย่อยกันก่อน แป้งพิซซาอบกรอบร้อนๆ กินคู่กับน้ำมันมะกอกชั้นดีผสมบัลซามิกเข้ากัน ก่อนเริ่มมื้ออร่อยด้วย Rocket Strawberry Bacon Almond Salad สลัดผักชามโตที่ประกอบไปด้วย ผักร็อคเก็ตรสเผ็ดซ่า สตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน เบคอนทอดกรอบเค็มๆ อัลมอนด์กรุบกรอบเคลือบช็อกโกแลต และชีสพาร์มีซานหอมมัน ราดบัลซามิกโฮมเมดรสเปรี้ยวสดชื่น ต่อด้วย Cured Sea Bass Herb Salad & Colatura Di Alici Vinaigrette ปลากะพงชาชิมิเนื้อสดหวาน ราดน้ำยำสมุนไพรครบรส ได้รสเค็มกลมกล่อมจากน้ำปลาอิตาเลียนที่ทางร้านทำเอง Spanish Iberico Pork & Truffle Ragu เมนูดาวเด่นของร้าน พาสตาเส้นสดให้สัมผัสหนึบๆ กินเพลิน คลุกเคล้ากับซอสหมูดำไอบีเรียสไตล์สเปน หอมฟุ้งกลิ่นทรัฟเฟิล หลายคนชอบ Brown Butter Scallop Yuzu White Wine Risotto รีซอตโตหุงสุกำลังดี ผัดพร้อมซอสครีมและผิวเลมอนเชื่อมในแบบฉบับโฮมเมด ท็อปด้วยหอยเชลล์เนื้อหวานตัวอ้วน ต่อด้วย Jumbo Grilled Tiger Prawn with Strawberry Salsa กุ้งลายเสือตัวใหญ่น่ากิน ย่างเนยและกระเทียมให้หอม เนื้อสุกพอเหมาะ เสิร์ฟพร้อมกับซัลซ่าสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวสดชื่น ปิดท้ายด้วยขนมที่เราโปรดปรานนั่นคือ Caramel Custard คัสตาร์ดเนื้อนุ่มเด้ง รสหอมมัน ไปด้วยกันได้ดีกับน้ำกาแฟรสเข้ม วิปครีมตีสด และเบอร์รีต่างๆ และ Peach Melba & Crumble ไอศกรีมวานิลลาที่ทำจากฝักวานิลลาจากเกาะมาดากัสการ์ ผสมเนื้อพีชฉ่ำๆ ที่ส่งตรงมาจากโครงการหลวงแห่งเมืองเชียงใหม่ เข้ากันกับครัมเบิ้ลโฮมเมด สัมผัสกรุบกรอบหอมกลิ่นเนยสด ใครอยากมาลิ้มลองต้องจองก่อนนะ

เมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่ฮอตสุดตอนนี้ คงต้องยกให้จังหวัดชลบุรี เพราะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ขับรถเดี๋ยวเดียวก็ถึง ไม่เพียงมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ยังมีสถานที่ฮิปๆ ให้ไปเช็คอินจำนวนมาก รวมถึงร้านอาหารและคาเฟ่เปิดใหม่ดีไซน์สวยที่ดึงดูดให้เหล่าคาเฟ่ฮอปปิ้งไปปักหมุดได้ไม่ซ้ำ แต่ถ้าถามหาสตรีทฟู้ดที่เป็นตำนานเบอร์ต้นๆ ของจังหวัด ต้องมีชื่อป้าอ่อนซอยก๊วนเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน ร้านป้าอ่อนเป็นบ้านไม้เก่า 2 ชั้น อยู่ตรงข้ามซอยท่าเรือพลี ขายอาหารตามสั่งโดยเน้นซีฟู้ดสดๆ ที่ยกให้เป็นพระเอกของทุกจาน ขึ้นชื่อว่าร้านดังคิวจึงยาวเหยียด แต่ก็ไม่น่าเบื่อเสียทีเดียว เพราะคุณพี่ในร้านจะเอาเมนูมาให้เลือกพลางๆ พอโต๊ะว่างนั่งไม่ทันหายเมื่อย อาหารที่สั่งไว้ก็ทยอยออกมาจนเต็มโต๊ะ เมนูที่เราจับจองไว้ในใจก่อนออกจากกรุงเทพฯ คือ กั้งกระเทียม ยอดขายนัมเบอร์วัน การันตีด้วยรีรีวิวเยอะมากจนอยากมาพิสูจน์รสชาติด้วยตัวเอง ทางร้านใช้กั้งแก้วตัวใหญ่ ผัดกับกระเทียมด้วยไฟแรง ผัดไม่นานก็ยกขึ้น กั้งเนื้อแน่นหนึบ เคี้ยวสู้ฟัน ปรุงออกรสเค็มนิดๆ และมีกลิ่นหอมของพริกไทยขึ้นจมูก ทีเด็ดยังอยู่ที่น้ำมันกระเทียมเจียวก้นจาน ตักมาคลุกเคล้ากับข้าวสวย เพื่อให้รสเค็มมันกระจายทั่วถึง เคี้ยวเพลินจนคำสุดท้าย ต่อด้วย กระเพราปู ผัดกระเพรารุ่นเก๋าที่ใส่ทั้งใบกระเพราและเนื้อปูมาให้จุใจ เอาช้อนตักตรงไหนก็เจอ  ปรุงรสชาติเผ็ดร้อนหอมกลิ่นกระทะ อีกจานคือผัดฉ่ารวมมิตร ยกขบวนซีฟู้ดมาครบครันทั้งกุ้ง หมึก กั้ง ปู หอยเชลล์ รสเผ็ดเค็มกำลังดี นอกจาก 3 เมนูสุดฮอตนี้ ยังมีจานเด็ดตามสั่ง อาทิ ผัดพริก ต้มยำ แกงจืด และข้าวผัดนานาชนิด  สั่งจานไหนก็ฟิน อิ่มพุงกางค่อยกลับบ้าน!

เสน่ห์เกินห้ามใจยกให้ร้านนี้ที่สร้างสรรค์บรรยากาศของชนเผ่า โดยยกเอาทุ่งหญ้าสะวันนามาไว้ที่ชลบุรี ร้านอยู่ริมถนนบางแสน-อ่างศิลา พื้นที่กว้างขวางสามารถจอดรถด้านหน้าร้านได้เลย ส่วนด้านในตกแต่งในธีมสีเอิร์ธโทน สื่อถึงทุ่งหญ้าและผืนทราย รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ที่ทำจากท่อนไม้ ไม้ไผ่ และหญ้าแห้ง ช่วงบ่ายร่มลมตกใครอยากเปลี่ยนอารมณ์แบบคนละขั้ว ลุกมานั่งรับลม ชมป่าชายเลน พร้อมสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ มาจิบสักแก้วก็เพลินไปอีกแบบ เมนูเด่นๆ ท้าให้ลอง อาทิ พิซซาซองต์ หยิบครัวซองต์มาครีเอทคล้ายพิซซา ท็อปด้วยแฮมและชีส อบร้อนๆ กลิ่นหอมจรุงใจ จะกินเป็นของว่างก่อนจานหลัก หรือจะกินให้อยู่ท้องจับคู่กับเครื่องดื่มสักแก้วก็เข้าที เค้กยูสุ เอาใจสวีทเลิฟเวอร์ด้วยเค้กส้มยูสุ แต่งหน้าด้วยส้มฝานบางๆ และดอกไม้จิ๋ว รสหวานนิดเปรี้ยวหน่อย กินอร่อยแบบลืมอ้วน ส่วนเครื่องดื่มแนะนำ อเมริกาโนยูสุ สนุกกับการเทช็อตอเมริกาโนเข้มข้นลงในแก้วน้ำส้มยูสุ กลิ่นหอมทั้งของกาแฟและน้ำส้มจะอบอวลขึ้นมา ประทับใจตั้งแต่ยังไม่ได้จิบ บางแสนแค่ปากซอย ขับรถเดี๋ยวเดียวก็ถึง

เป็นที่น่าดีใจสำหรับสายฟู้ดเสียจริงๆ ที่ “Mott 32” ร้านอาหารจีนกวางตุ้งสไตล์โมเดิร์น มาเสิร์ฟความอร่อยที่เมืองไทย โดยโลเคชั่นตั้งอยู่ที่บริเวณชั้น 2 ของโรงแรมน้องใหม่มาแรงอย่าง The Standard Bangkok Mahanakhon (Bts ช่องนนทรี) สายฟู้ดคนไหนอยากมาชิมต้องรีบจอง เพราะตอนนี้คิวเขายาวนำไป 2 เดือนแล้ว มาทำความรู้จักกับร้านกันก่อนดีกว่า Mott 32 ชื่อนี้มาจากถนนเส้นหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านสะดวกซื้อสัญชาติจีนแห่งแรกของเมืองนิวยอร์ก Mott 32 ยังเป็นร้านอาหารจีนในตำนานที่สามารถขยายสาขาจากฝั่งตะวันออกมายังฝั่งตะวันตก (ปัจจุบันมีสาขาที่แวนคูเวอร์ ลาสเวกัส โซล สิงคโปร์ กรุงเทพฯ และเซบู) ให้คุณอร่อยกับเมนูจีนกวางตุ้งสไตล์โมเดิร์นที่เชฟได้แรงบันดาลใจมาจากกรุงปักกิ่งและเสฉวน ซึ่งรังสรรค์มาจากวัตถุดิบระดับพรีเมี่ยมจากทั่วโลก โดยสาขาที่กรุงเทพฯ นี้ได้เชฟฮานหลงฮัว เชฟชาวฮ่องกงมากฝีมือมาเป็น Executive Chef นำทีมจานอร่อยใน Mot 32 Bangkok ทุกเมนู ขอเริ่มความฟินด้วย เจลลี่กระเพาะปลา เจลลี่ทรงสีเหลี่ยมเด้งดึ๋งที่ทำจากน้ำซุปสมุนไพรจีนรสนุ่มนวล ชิ้นพอดีคำ ภายในสอดไส้กระเพาะปลาที่เรารัก จิ้มจิ๊กโฉ่วรสเปรี้ยวเข้ากัน ใครอยากกินต้องจองล่วงหน้านะสำหรับ หมูแดงบาร์บีคิวไอเบอริโก้ หนึ่งในเมนูดาวเด่นประจำร้านที่เสิร์ฟแค่วันละ 10 จานเท่านั้น หมูไอเบอริโก้คุณภาพจากประเทศสเปน หมักกับน้ำผึ้งหอมหวาน ผ่านกรรมวิธีสูตรเฉพาะของเชฟ จนได้เนื้อสัมผัสนุ่มกินเพลิน ขนมจีบหมูไส้ไข่นกกระทาและทรัฟเฟิล ก็อร่อย ขนมจีบหมูลูกโตๆ สอดไส้ไข่นกกระทาอิ่มเอม หอมกลิ่นทรัฟเฟิลอ่อนๆ เสี่ยวหลงเปาซุปเสฉวน เสี่ยวหลงเปาสีส้มสดใส แป้งนุ่มๆ ที่ชุ่มไปด้วยซุปเสฉวนรสเผ็ดร้อนพอดี หลายคนเลิฟ ซาลาเปาหมูแดง เพราะที่นี่เขาทำไม่เหมือนใคร ผิวนอกให้สัมผัสกรอบนิดๆ กัดพร้อมไส้หมูแดงรสหวานเค็มที่ทำจากหมูไอเบอริโก้ มาถึงอย่างไรก็ต้องสั่ง หอยเป๋าฮื้อทอดกรอบ หอยเป๋าฮื้อตัวอวบๆ เนื้อเด้ง ชุบแป้งทอดร้อนจี๋ ส่งกลิ่นหอมชวนชิม ปลาหมึกคั่วพริกเกลือ ปลาหมึกชุบแป้งทอดสีเหลืองทอง เนื้อหนึบๆ เคี้ยวเพลิน คลุกเคล้ากับกระเทียม ต้นหอม และพริกต่างๆ รสชาติเผ็ดร้อนโดนใจ เดินทางมาถึงจานหลักกันแล้ว ปลาคอดรมควัน นี่แหละถูกใจสายฟู้ด ปลาคอดดำเนื้อแน่น ทาซอสสูตรลับของทางร้าน รสเค็มหวาน รมควันให้หอมฟุ้ง ซุปเสฉวน เนื้อปลาชั้นดี และเส้นมันซู้ดอร่อยอยู่ในน้ำซุปรสนุ่มนวลลื่นคอ ที่เคี่ยวกระดูกปลาจนได้ที่ รสชาติแฝงไปด้วยความเผ็ดร้อนของพริกเสฉวน ซดกี่ทีก็เพลิน ปูอบวุ้นเส้น เมนูป็อปของทางร้าน วุ้นเส้นเหนียวนุ่ม ไปด้วยกันได้ดีกับปูเนื้อหวานที่ทางร้านให้มาในปริมาณมหาศาล เสิร์ฟมาในหม้อดินเก็บความร้อน ถึงตาพระเอกออกโรงแล้วสำหรับ เป็ดปักกิ่ง ที่เชฟมาหั่นเป็ดตัวอ้วนสดๆ โชว์ให้สายฟู้ดแชะรูปลงโซเชียล ตัวเป็ดผ่านกรรมวิธีดรายเอจ 42 วัน ก่อนนำไปรมควันด้วยไม้แอปเปิ้ลหอมๆ หนังเป็ดกรอบๆ เชฟแนะนำให้จิ้มกับน้ำทรายแดงรสหวานละมุน ส่วนตัวหนังติดเนื้อกินคู่กับแผ่นแป้งโฮมเมด ผักสด และซอสรสหวาน คนชอบกินผักถูกใจ ผัดมะเขือ มะเขือยาวรสหวาน หั่นเป็นชิ้นพอเหมาะ ผัดพร้อมหมูสับและพริกสด รสเค็มเผ็ดจัดจ้าน และ ข้าวผัดล็อบสเตอร์ ข้าวเรียงเม็ดสวย มิ๊กซ์ไปกับล็อบสเตอร์เนื้อแน่นหวาน และซอสสีส้มรสเค็มพอเหมาะ ล้างปากกับของหวานอย่าง ทาร์ตช็อกโกแลตงา รสหวานหอมของไวต์ช็อกโกแล็ตและงาดำ ภายในสอดไส้เจลลี่มะนาวรสเปรี้ยว ท็อปด้วยถั่วทอดกรุบกรอบ และ นมสดฝรั่งชมพู นมสดครีมมีผสมกับฝรั่งสีชมพู ส้มโอรสเปรี้ยวอมหวาน สาคูเคี้ยวเพลิน ใส่น้ำแข็งเย็นฉ่ำ กินแล้วชื่นใจ

“Meet26” ร้านนั่งชิลอาหารอร่อยเหมาะจะแฮงค์เอ้าท์กับเพื่อนฝูง ตั้งอยู่ในโครงการ Warehouse 26 (Bts พร้อมพงษ์) ตัวร้านภายนอกเป็นสีขาวสะอาด บรรยากาศข้างในเน้นความเรียบง่าย หน้าต่างกระจกบานกว้างและหลังคาสูงทำให้ร้านโปร่งสบายไม่แออัด เคล้าไปกับอาหารนานาชาติพิถีพิถันรสเข้มข้น ที่รังสรรค์จากวัตถุดิบคุณภาพ อาทิ มะเขือเทศปลูกเอง ยีสต์ธรรมชาติที่มีหัวเชื้ออายุถึง 100 ปี แถมยังมีค็อกเทลดีกรีร้อนแรงเสิร์ฟตลอดคืน พร้อมให้คุณเอ็นจอยกับเสียงเพลงดนตรีสดจากนักร้องมืออาชีพยามค่ำคืน เมนูแรกที่เสิร์ฟเป็น Yamato Tomato Caprese มะเขือเทศสายพันธุ์ยามาโตะที่ทางร้านปลูกเอง ให้รสหวานธรรมชาติ ท็อปด้วยชีมอซซาเรลลาสด ราดบัลซามิกรสเปรี้ยวสดชื่น ต่อกันด้วย Spicy Wagyu Salad เนื้อวากิวย่างระดับมีเดียม สีชมพูฉ่ำลิ้น ราดซอสสูตรเฉพาะรสเผ็ดเปรี้ยว แซ่บมากมาย ขาดไม่ได้เลยกับ Crispy Pork จานดาวเด่นประจำร้าน หมูกรอบสูตรพิเศษที่ทางร้านใช้กรรมวิธีการอบอย่างดี ทำให้ได้สัมผัสที่กรอบนอกนุ่มใน เข้ากันดีกับน้ำจิ้มหวาน หรือน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด เอาใจคนรักอาหารเกาหลีด้วย Korean Glazed Crispy Pork หมูกรอบอบแสนอร่อย คลุกเคล้ากับแป้งต๊อกทอดร้อนจี๋ และซอสรสหวานสไตล์เกาหลี Quesadilla Crispy Pork เกซาดิยาเสิร์ฟมาแบบร้อนๆ ภายในประกอบไปด้วยหมูกรอบอบชิ้นพอเหมาะ และชีสครีมมีเยิ้มๆ เสิร์ฟคู่ซัลซามะเขือเทศสูตรลับ ที่ทางร้านใช้การผัดทำให้ได้รสชาติเข้มข้น เราประทับใจมากมายกับ Pizza Sai Oua พิซซาแป้งบางกรอบกลิ่นหอมฟุ้ง ที่ทำจากยีสต์ธรรมชาติ ด้านบนโรยด้วยไส้อั่วเนื้อแน่นที่ส่งตรงมาจากเมืองเชียงใหม่ ชีสคุณภาพ และพริกสดเพิ่มความเผ็ดร้อน Pasta Yamato Tomatoes and Italian Sausage พาสตาเหนียวนุ่ม ผัดพร้อมซอสมะเขือเทศสายพันธุ์ยามาโตะแห่งจังหวัดเชียงใหม่ และไส้กรอกอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด คนรักเส้นต้องปลื้ม Pasta Sai Oua ไส้อั่วขึ้นชื่อจากเมืองเชียงใหม่ รสเค็มเผ็ดกำลังดี เคล้าไปกับเส้นพาสตายาวๆ กินเพลิน เครื่องดื่มเราสั่ง Mohito ได้ความเปรี้ยวของมะนาวสดชื่น หอมกลิ่นใบมินต์เต็มพิกัด และ Margarita ค็อกเทลชวัญใจนักดื่มตลอดกาล

ไม่ว่าจะเป็นสายกิน สายชิล หรือสายแฮงก์เอาต์ยามค่ำคืน ร้าน Donna Cafe & Bistro ก็เป็นจุดนัดพบที่ตอบโจทย์ ด้วยตัวร้านบรรยากาศสบายๆ ตกแต่งออกมาได้สวยงามเรียบง่ายสไตล์สแกนดิเนเวียน และเมนูอาหารเครื่องดื่มที่เสิร์ฟกันตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน รับรองว่าถูกใจนักกินนักดื่มอย่างแน่นอน ตัวร้านแบ่งเป็นโซน Indoor ที่เลือกใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้  เก้าอี้หวาย เน้นโทนสีน้ำตาลและครีมชวนอบอุ่น โดยมีไฮไลต์เป็นมุมเรือนกระจกรับแสงธรรมชาติ ทำให้ร้านดูโปร่งโล่ง สบายตา และโซน Outdoor ล้อมรอบด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ช่วยเพิ่มความสดชื่นและสีสันให้กับร้านได้ดีทีเดียว เรียกน้ำย่อยด้วย Fried Pineapple (79.-) ที่นำแป้งกล้วยทอด มาคลุกเคล้ากับสับปะรดคัดพิเศษ ทอดจนเป็นสีน้ำตาลสวย กรอบนอกหวานฉ่ำด้านใน กินแล้วสดชื่น แนะนำให้จับคู่กับ Caramel Latte (80-.) เครื่องดื่มรสนวลละมุนลิ้น จากเมล็ดกาแฟ House Blend คั่วกลาง ผสมผสานความหวานจากคาราเมล กลมกล่อมลงตัว ต่อด้วย Chef Burger (149.-) เบอร์เกอร์แป้งหนานุ่ม ที่ฉ่ำไปด้วยซอสบาร์บีคิวสูตรพิเศษของทางร้าน เข้ากันดีกับเนื้อหมูบดชิ้นโต ชีส และเห็ดแชมปิญอง เคียงมากับมันฝรั่งอบ กินเพลิน หรือจะเลือกเป็น Spaghetti Sweet Sauce with Shrimp (149.-) เส้นสปาเก็ตตี้เหนียวนุ่มผัดคลุกเคล้ามากับซอสพริกหวานที่ผสมมากับเครื่องเทศหลากชนิด ท็อปด้วยกุ้งเนื้อสดเด้ง รสเข้มข้นกลมกล่อม

โรมา เขาใหญ่ (Roma Khaoyai) ร้านอาหารสำหรับครอบครัวริมถนนธนะรัชต์ที่คุณโรม – ชูพงษ์ ชาญชยศึก เจ้าของร้านตั้งใจนำเสนอรสชาติความอร่อยแบบเต็มพิกัด พร้อมบริการที่ดี และดนตรีคุณภาพให้ลูกค้าที่แวะมาเยือนได้เต็มอิ่มกับทุกโมเม้นต์ดีๆ ที่ Roma มอบให้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารและบรรยากาศร้านที่กว้างขวางดูโอ่โถง จัดแบ่งโซนให้เลือกนั่งได้ทั้งโซนเอาต์ดอร์ อินดอร์ หรือบนชั้น 2 ที่มีห้องไพรเวตและโซนริมระเบียงชิลๆ ด้วย  คุณโรมเล่าว่า “Roma เปิดมานาน 12 ปี แต่ร้านปัจจุบันเพิ่งรีโนเวตได้เพียง 3 ปี อาหารในร้านมีทั้งครัวไทย และครัวนานาชาติ ซึ่งรับประกันรสชาติในแบบ Full Flavor โดยเฉพาะอาหารไทยที่ได้แม่ครัวซึ่งอยู่กันมานานกว่า 40 ปีตั้งแต่บ้านคุณยายและดึงมาดูแลครัวไทยตั้งแต่เปิดร้าน เป็นแม่ครัวที่มีรสมือดีมาก ส่วนครัวนานาชาติจะมีเชฟอีกคนดูแล เมนูส่วนใหญ่เป็นเมนูที่คุณโรมครีเอตเอง เลือกวัตถุดิบเอง ซื้อจากซัพพลายเออร์ และให้เชฟลองทำแล้วปรับกันจนลงตัว” อย่างเมนูที่ได้ชิมในวันนี้ ผักแพวบอล เป็นเกล็ดขนมปังทอดกรอบ สอดไส้ครีมซอสผักแพวและสลัดกุ้งข้าวโพดหวานเขาใหญ่ ซอสผักแพวเข้มข้นได้รสหวานๆ เปรี้ยวๆ กลมกล่อม เป็นเมนูกินเล่นยอดนิยมของร้านที่ใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นอย่างข้าวโพดและผักพื้นบ้านอย่างผักแพวมาเพิ่มมูลค่าและทำให้ผักพื้นบ้านเป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติด้วย Roma Smoked Platter หรือ จานรวมโรมา ซึ่งมีทั้งอกเป็ดรมควัน ปีกไก่รมควัน แฮมพอร์กชอปเสิร์ฟพร้อมสับปะรด และไส้กรอกโฮมเมดที่เป็นตัวเด่นๆ ของร้าน 3 ชิ้น ได้แก่ ไส้กรอกอมยิ้ม หนึ่งในเมนูซิกเนเจอร์ เป็นไส้กรอกหุ้มกระดูกซี่โครงแห่งเดียวในประเทศไทย มีรูปโค้งเหมือนรอยยิ้มจึงได้ชื่อว่าไส้กรอกอมยิ้ม ทางร้านจะฉีดน้ำเกลือลงไปใกล้ๆ กับกระดูกทำให้ได้รสชาติของแฮมด้วย กินไส้กรอกแล้วต้องกัดเนื้อส่วนที่ติดกระดูกเพื่อชิมรสชาติแฮมจึงจะเรียกว่าครบถ้วน อีกชิ้นเป็นไส้กรอกโรมาซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ตัวแรกของร้าน ให้รสชาตินัวๆ กลมกล่อม ได้สีสวยจากปาปริก้า และไส้กรอกบุรีรัมย์เด้อ ที่ทำส่งโรงแรมอมารีบุรีรัมย์ มีกลิ่นอายอีสานเล็กน้อย และมีรสกระเทียมค่อนข้างเยอะ ทั้งหมดเสิร์ฟมาพร้อมมันบด ซาวเออเคราต์กะหล่ำแดง ฮันนี่มัสตาร์ด ซอสมะเขือเทศและมายองเนส โดยเมนูแฮมและสโมกของ Roma จะใช้ไม้บีชเป็นตัวหลักในการรมควัน และใช้เวลาค่อนข้างนาน จึงได้ทั้งความนุ่มและความหอม มีการสนับสนุนท้องถิ่นด้วยการใช้วัตถุดิบธรรมชาติอย่างชานอ้อยและซังข้าวโพดบ้างเล็กน้อย ฟิเลมิยอง (Filet Mignon) สเต็กเนื้อสันในพันด้วยเบคอน เสิร์ฟพร้อมมันบด เห็ดผัดเนย ซอสตับห่านพริกแกงเผ็ด ความพิเศษอยู่ที่ซอสพริกแกงที่ใส่ตับห่านซึ่งคุณโรมได้ไอเดียจากที่เคยกินสมัยอยู่แคนาดาและให้เชฟปรุงเป็นซอสพิเศษสำหรับจานนี้ สปาเก็ตตีหมึกดำสเปน ทางร้านใช้หนวดปลาหมึกและหมึกดำนำเข้าจากสเปน ซึ่งหนวดปลาหมึกจะมีความนุ่มมาก นำไปซูวีดจึงได้ความนุ่มจนแทบจะละลายในปาก ส้มตำแก่นตะวันกุ้ง เป็นเมนูจากผักพื้นบ้านมากประโยชน์อย่างแก่นตะวัน รสชาติเข้มข้นสไตล์ส้มตำไทย เพิ่มความอร่อยยิ่งขึ้นด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ จานนี้กินเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยหรือเมนูกินเล่นก็ล้วนดีงาม ปลาส้มแซลมอน ทางร้านต้องการทำเมนูที่ไม่เหมือนใคร จึงใช้แซลมอนทำเป็นปลาส้ม เป็นไอเดียของคุณโรมที่คิดว่าแซลมอนไม่จำเป็นต้องกินแบบฝรั่ง หรือแบบญี่ปุ่นเท่านั้น ลองทำเมนูในแบบไทยๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Roma ก็ได้เช่นกัน ลาบหมูกรอบ เป็นจานที่ให้รสจัดจ้านถึงใจ ขณะเดียวกันก็ยังคงความกรอบอร่อยแม้จะคลุกเคล้าเครื่องลาบไว้ก็ตาม เป็นจานที่การันตีฝีมือแม่ครัวได้อย่างยอดเยี่ยม สลัดอะโวคาโดและหอยเชลล์เสิร์ฟพร้อมซัลซ่าผลไม้และอะโวคาโดซอส เมนูนี้ครีเอตขึ้นเพราะทางร้านมีสวนอะโวคาโด จึงทำเป็นสลัดอะโวคาโด และซอสก็ทำจากอะโวคาโดเช่นกัน กินกับหอยเชลล์และซัลซ่าผลไม้ให้รสชาติที่เข้ากันดี สลัดเนื้อย่าง เนื้อวากิวเทนเดอร์ลอยน์ย่างเสิร์ฟพร้อมผักสลัด มะเขือเทศ มะกอกดำและมะกอกเขียว เบบี้พีชดอง แตงกวาดอง และน้ำสลัดสไปซี่พอนสึทรัฟเฟิล บอกเลยว่าใครชอบวากิวต้องสั่ง เที่ยวเขาใหญ่ครั้งหน้า ต้องไม่พลาดแวะไปกินอาหารไทยรสจัดจ้าน อาหารนานาชาติรสชาติถูกปากที่ Roma Khaoyai

หลังจาก Garret Fish & Chips ร้านอาหารสไตล์อังกฤษและยุโรป ที่สาขาพัฒนาการประสบความสำเร็จได้ไม่นาน ก็ถึงเวลาขยายสาขาใหม่ให้ชาวพหลโยธินได้ลิ้มรสเมนูขึ้นชื่ออย่างฟิชแอนด์ชิปส์สไตล์อังกฤษแท้ ที่รสชาติและตัวแป้งกรอบนุ่มและเบา ทำเอาติดใจชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างมาก เจ้าของร้าน Garret Fish & Chips เป็นนักเรียนออสเตรเลียที่อาศัยอยู่กับโฮสต์ชาวอังกฤษ หนึ่งในวิชาที่ร่ำเรียนมานั้น เป็นสูตรอาหารหลายเมนูจากครอบครัวโฮสต์ด้วย เมื่อกลับไทยจึงเปิดร้านตามความชอบและความถนัดของตัวเอง แล้วพัฒนาสูตรอาหารร่วมกับหุ้นส่วนชาวออสเตรเลีย ซึ่งเมนูโดดเด่นคือฟิชแอนด์ชิปส์ ตัวแป้งเป็นสูตรเฉพาะของร้าน โดยใช้ “เบียร์” เป็นของเหลวสำหรับผสมแป้งเพื่อการทอด อย่าง “IPA” (India Pale Ale) ซึ่งเป็นเบียร์ที่ให้รสหวานจากมอลต์ มีกลิ่นหอมของดอกฮอปส์ (Hops) แป้งของ Garret Fish & Chips จึงไม่ได้เป็นแค่ Beer-Battered Fish & Chips แต่เป็น “IPA-Battered Fish & Chips” เจ้าแรกของประเทศไทย ถือเป็นเอกลักษณ์ที่ต่างจากร้านอื่น นอกเหนือจากเมนูฟิชแอนด์ชิปส์ยังมีอาหารสไตล์อังกฤษ ยุโรปและซีฟู้ดอีกหลายเมนูรอให้ทุกคนได้ลิ้มลอง การตกแต่งร้านเป็นแนวบ้านริมหาดที่มีกลิ่นอายของทะเล สร้างมู้ดแอนด์โทนด้วยรถทรักและเก้าอี้ชายหาดทาสีสันต่างๆ หลังร้านมีสนามวอลเลย์บอลชายหาด ยังมีโซนห้องแอร์และที่จอดรถบริการด้วย และทางร้านมีเครื่องดื่ม IPA เตรียมเสิร์ฟ สามารถนั่งชิวเอาท์กับเพื่อนๆได้ ทั้งบรรยากาศและอาหารทำให้รู้สึกไม่ได้อยู่กลางพหลโยธิน เหมือนได้ไปเที่ยวทะเลจริงๆ เริ่มที่จานแรก Sausage Roll, Beans & Chips ซอสเซจโรลไส้หมูสับ รสชาติเข้มข้น เสิร์ฟคู่บีนส์และชิปส์ เข้ากันสุดๆ จานที่ 2 เป็น The Full Monty มีไส้กรอกเลือดและเบคอนทรงกลมที่อร่อยมากๆ เป็นอาหารเช้าสไตล์อังกฤษแท้ๆ เลย เมนูขายดีอย่าง Angus Steak Mince & Onion Pie, Chips, Peas & Gravy พายสเต๊กเนื้อแองกัสสับและหัวหอม เสิร์ฟคู่เฟรนช์ฟรายส์กับซอสเกรวี อร่อยกลมกล่อม มาต่อที่เมนูซิกเนเจอร์ IPA-Battered Cod & Chips ปลาค้อดเนื้อขาวจั๊ว แถมยังฉ่ำ แป้งมีสัมผัสที่กรอบและบางมาก เพราะสูตรการนำเบียร์ IPA มาผสมแป้งแทนน้ำ แอลกอฮอล์จะระเหยได้ดีกว่า ใช้เวลาทอดไม่นาน ทำให้แป้งสุกเร็วขึ้นและเนื้อปลาด้านในสุกกำลังดี ก่อนกินลองเยาะมอลเวเนการ์ตามสไตล์อังกฤษให้มีรสเปรี้ยวนิดๆ อร่อยลงตัวมาก IPA-Battered Seafood Platter ซีฟู้ดรวมจานใหญ่ เชฟแอบใส่หอยนางรมจากญี่ปุ่น 1ชิ้นให้ลองเสี่ยงดวง ใครได้ถือว่าโชคดี กินคู่เฟรนช์ฟรายส์ ซอสทาร์ทาร์และถั่วลันเตาบด กระดาษซับมันที่รองมาเป็น Food Grade ร้านออกแบบและใส่เรื่องราวไว้ในนั้นเป็น Easter Egg ให้อ่านไปกินไป กินจนหมดจานแป้งยังกรอบอยู่เลยเพลินสุดๆ ใครชอบเนื้อเน้นๆไม่อยากกินของทอดต้องสั่ง Bangers & Mash ไส้กรอกย่างสูตรลับของร้าน เสิร์ฟพร้อมมันบดสไตล์อังกฤษ และปิดท้ายด้วย Apple Pie And Custard แอปเปิลพายกับคัสตาร์ด จุดเด่นคือความหอมของตัวแป้งพัฟเพสตรี ตัดด้วยรสชาติแอปเปิลที่เปรี้ยวหวานกำลังดี ใครอยากตามรอยมากิน ต้องจองล่วงหน้าทาง Line : @garretfishandchips (มี@) หรือสั่งผ่าน Delivery ได้เช่นกัน

ลึกเข้าไปในถนนสายเล็กในอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ใช้เวลาขับรถจากกรุงเทพฯ เพียงชั่วโมงกว่า ๆ เท่านั้น ก็จะได้สัมผัสอีกบรรยากาศหนึ่งราวกับหลุดพ้นจากความวุ่นวายทั้งปวง ด้วยตัวอาคารสีขาวสะอาดท่ามกลางลานหญ้าสีเขียว มีเทือกเขาพระพุทธบาทน้อยตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง พิมพิมาน นั้น เป็นห้องอาหารแนว East meet West ภายในร้านประดับประดาด้วยข้าวของสไตล์ตะวันออก พร้อมโทนสีที่จัดจ้าน ด้วยแนวคิด Color Therapy ส่วนเมนูอาหารไทยโบราณของที่นี่จะปราศจากเนื้อสัตว์ใหญ่ สัตว์ป่า รวมถึงสัตว์อายุยืนทั้งหมด สอดคล้องไปกับแนวคิดแห่งการผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ สำหรับอาหารไทยโบราณที่ขึ้นชื่อของพิมพิมาน เริ่มต้นด้วยจานเรียกน้ำย่อย มังกรคาบแก้ว หรือม้าฮ่อ ไส้ผัดส่วนผสมข้าด้วยกันจนเหนียวปั้นเป็นก้อนกลม ยัดเป็นไส้ในส้มผ่าซีก รสชาติหวานเค็มตัดกับความเปรี้ยวของผลไม้อย่างลงตัว ต่อด้วย ปลาแห้งแตงอุลิต หรือ แตงโมปลาแห้ง อีกหนึ่งของว่างชาววังโบราณ เหมาะสำหรับกินยามบ่ายคลายร้อน ด้วยความเย็นชุ่มฉ่ำของแตงโม ผสานกับกลิ่นหอม ๆ จากปลาแห้งที่คั่วกับหอมเจียวและน้ำตาลทราย เข้าสู่อาหารจานหลัก เมนูแรกเปิดด้วย ห่อหมกปู พริกแกงไทยจัดจ้าน หอมกลิ่นสมุนไพร อัดแน่นด้วยเนื้อปูเน้น ๆ เช่นเดียวกับ หลนปู เมนูน้ำพริกเค็มมันจากกะทิที่มาพร้อมเนื้อปูเต็มปากเต็มคำเสริมความเค็ม ๆ มัน ๆ เข้าไปอีกด้วยไข่ปูแบบไม่มีหวง เคียงกับผักสดหลากชนิดที่เสิร์ฟมาพร้อมกัน ปิดท้ายด้วย แกงรัญจวนไก่ อีกหนึ่งแกงโบราณที่หากินได้ยากในปัจจุบัน ความโดดเด่นอยู่ที่น้ำซุปกลมกล่อม หอมรัญจวนจากเครื่องแกงกะปิ ใบโหระพา และตะไคร้ซอย ไม่มีอะไรจะดีไปกว่ากินคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ สักจาน สำหรับของหวานนั้น ก็ยังคงความเป็นไทยไว้อย่างเหนียวแน่น เริ่มต้นด้วย ขนมโคกะทิสด มีทั้งไส้กระฉีกหอมหวานและไส้ถั่วมาในถ้วยเดียว หอมทั้งกลิ่นกะทิและงาในหนึ่งคำ แล้วจบด้วย ข้าวเหนียวมะม่วง เมนูของหวานสุดคลาสสิก ข้าวเหนียวมูนหวานนุ่มชุ่มฉ่ำ ราดกะทิหวานมัน กินคู่กับมะม่วงที่ฉ่ำไม่แพ้กัน โรยหน้าด้วยถั่วทองทอดเพิ่มความกรุบกรอบเคี้ยวเพลิน เครื่องดื่มที่เป็นความพิเศษเฉพาะของร้าน เริ่มด้วย พิมพิมาน มาในสีเหลืองทองจากน้ำสับปะรด น้ำเก๊กฮวย และไซรัปวานิลลาที่ผสมผสานกันในแก้วเดียว ท็อปด้วยโฟมนุ่มสีขาวจากไข่ขาวและแปะทองคำเปลวดูหรูหรา รพีจรัส น้ำมะตูมและน้ำกระเจี๊ยบ เพิ่มความหวานหอมด้วยไซรัปกลิ่นเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ พฤกษาขจี เครื่องดื่มสีเขียวสด มีส่วนผสมของตระไคร้ ใบเตย และน้ำแอปเปิ้ล เพิ่มความซ่าด้วยเลมอนเนด สุดท้ายคือ ช่ออำพัน ที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมตะไคร้ น้ำส้มยูซุ และน้ำอัญชัน นอกจากจะโดดเด่นเรื่องเมนูไทยโบราณ ที่นี่ยังมีเมนูตะวันตกอีกหลากหลายเป็นอีกตัวเลือกด้วยเช่นกัน เริ่มต้นจาก Salmon Passion Ceviche สลัดแซลมอนสดหั่นเต๋า คลุกเคล้าในซอสเสาวรสที่รสชาติเปรี้ยวจัดจ้าน ให้ความสดชื่นเหมาะกับการเป็นจานเรียกน้ำย่อย จานต่อมา Duck a’ L’Orange เป็ดอบซอสส้ม ที่ทางร้านเลือกใช้น่องเป็ดติดสะโพก นำไปเซียจนหนังเป็นสีทอง แล้วอบไฟอ่อน ๆ กับซอสส้มและเฮิร์บต่าง ๆ อีกประมาณ 4 ชั่วโมงจนเนื้อเปื่อยยุ่ยกินง่าย เข้ากับซอสส้มที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน ปิดท้ายด้วยพาสตา Spaghetti Aglio e Olio with Carbmeat สปาเก็ตตีเส้นหมึกดำกับปูซอสกระเทียมพริกแห้ง ผัดกับ Olive oil มะเขือเทศอบแห้ง มะเขือเทศเชอรี่ และพาสลีย์ ส่วน เดอะ ฮาร์โมนี่ ไลบรารี่ แอนด์ ทีรูม ห้องชายามบ่ายที่อยู่ภายในโครงการเดียวกัน ภายในดูอบอุ่นสบายตา เหมาะกับการมานั่งจิบชาอย่างไม่เร่งรีบ แน่นอนว่าภายในยังคงการตกแต่งด้วยสไตล์ตะวันออก พร้อมกับสะท้อนองค์ประกอบการใช้สีทั้ง 7 สีเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว (Symphony of Color)  ผ่านการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ชุดชายามบ่ายของ เดอะ ฮาร์โมนี่ ไลบรารี่ แอนด์ ทีรูม นั้นบอกเล่าแนวคิดของการเดินทางบนเส้นทางสายไหม ผ่านเมนูของว่างมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะคาวหรือหวาน เช่น มาการอง ที่มีช็อกโกแลตรูปขนนกติดด้านบน สื่อถึงการบันทึกเรื่องราวการเดินทาง โอเปร่าเค้ก ที่ห่อด้วยแผ่นน้ำตาลลายผ้าไหม เป็นตัวแทนสินค้าที่นิยมขายบนเส้นทางสายไหม ช็อกโกแลต ทรงกลมที่สื่อถึงลูกโลก การโคจรมาเจอกันระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตก และ ตำลึงทอง ที่ทำจากไวต์ช็อกโกแลต ที่หมายถึงเงินตราในสมัยก่อน ของหวานเซ็ตใหญ่นี้จะมาคู่กับสโคนอุ่น ๆ กับชา TWG หลากหลายรสชาติ รวมถึงเมนูชาผลไม้แบบเย็น เช่นเมนูซิกเนเจอร์ชื่อ เดอะ ฮาร์โมนี่ ที่มีส่วนประกอบของชาเขียว ลูกพีช น้ำใบเตย คาโมมายด์ มะลิ และดอกลิลลี่ และอีกแก้วหนึ่งที่สีสันสวยสดงดงามไม่แพ้กันคือ ลิ้นจี่ ลา โรส ซึ่งเป็นชาอู่หลง ผสมน้ำลิ้นจี่ และกุหลาบ นอกเหนือไปจากห้องอาหารพิมพิมาน และ เดอะ ฮาร์โมนี่ ไลบรารี่ แอนด์ ทีรูม ที่นี่ยังเปิดให้บริการห้องพักวิวเทือกเขาพระพุทธบาทน้อยของ เดอะ โซล รีสอร์ต (The Soul Resort) (อ่านรีวิว : https://www.gourmetandcuisine.com/stories/detail/1818) เพื่อการพักผ่อนท่ามกลางอ้อมกอดของธรรมชาติ และปล่อยใจเป็นอิสระจากความวุ่นวายทั้งปวง

“โกปี๊เฮี้ยะไถ่กี่” ร้านอาหารเช้าเก่าแก่ที่เริ่มเสิร์ฟความอร่อยตั้งแต่ พ.ศ.2495 (นานกว่า 60 ปี) เดิมทีเป็นร้านโชห่วยที่มีมุมกาแฟเล็กๆ แต่ด้วยกาลเวลาแปรเปลี่ยนไปทำให้ธุรกิจกาแฟได้กระแสตอบรับที่ดีตลอดมา เจ้าของจึงเปิดเป็นร้านคอฟฟี่เสียเลย โดยชื่อนี้มีที่มาจากคำว่า ‘โกปี๊’ แปลว่า กาแฟ รวมกับคำว่า ‘เฮี้ยะ’ ซึ่งเป็นแซ่ของเจ้าของร้าน ‘ไถ่’ หมายถึงประเทศไทย และ ‘กี่’ คือ ธุรกิจ ทั้งหมดรวมกันเป็น ‘ธุรกิจร้านกาแฟของคนตระกูลเฮี้ยะในเมืองไทย’ ปัจจุบันร้านโกปี๊เฮี้ยะไถ่กี่ ขยายสาขาไปแล้วกว่า 5 ที่ แต่วันนี้เราแวะมาชิมที่เสาชิงช้า ซึ่งเป็นโลเคชั่นดั้งเดิมที่ตั้งอยู่ถนนศิริพงษ์ ใกล้ๆ ศาลาว่าการกรุงเทพฯ ตึกอาคารพาณิชย์หัวมุมกว้างขวาง ภายในร้านให้ฟีลคลาสสิกของร้านกาแฟสมัยก่อน ตั้งแต่โต๊ะกลมหินอ่อนเข้าคู่กับเก้าอี้ไม้ทรงกลมยุคโบราณ ผนังของร้านทำจากไม้ที่แซมด้วยภาพเมนูน่ากินต่างๆ นอกจากมีมื้อเช้าเสิร์ฟแล้วยังมีคอมฟอร์ตฟู้ดอาหารจานเดียวเสิร์ฟอีกด้วย มาถึงร้านแล้วเราสั่ง ไข่กระทะ เมนูสุดป็อปประจำร้าน อิ่มเอมไปกับไก่ไข่ 2 ฟอง หมูสับ กุนเชียงรสหวาน เสิร์ฟพร้อมขนมปังสไตล์ฝรั่งเศสอบ ท็อปด้วยหมูยอและกุนเชียง ตามด้วย ขนมปังอบเนยนม ขนมปังกรอบนอกนุ่มใน สอดไส้เนยนมรสหวานมัน เสิร์ฟคู่นมข้นหวาน และน้ำตาลเผื่อนักชิมคนไหนอยากได้ความหวานเพิ่มเติม เครื่องดื่มเราสั่ง นมเย็น น้ำหวานแดงผสานไปกับนมสดหอมมัน ได้รสหวานเข้มข้น และที่แนะนำเลยคือ ชาเข้มนมข้น ชาลีลอนนำเข้า ผสมกับนมข้นหวาน และนมสด ได้รสชาติหอมหวาน กลมกล่อม จิบกี่ครั้งก็ชื่นใจ

“ร้านข้าวต้มเป็ด เป็ดอ้วน เจ้าเก่า (ประตูผี)” ร้านในตำนานที่เสิร์ฟความอร่อยมา 60 ปี ตั้งแต่สมัยรุ่นอากง ให้พลพรรคนักชิมได้ฟินไปกับเมนูที่ครีเอทจากส่วนต่างๆ ของเป็ด อาทิ ไส้ น่อง ปาก ขา ปีก เลือด เนื้อล้วน ที่ทางร้านคัดสรรมาจากเป็ดคุณภาพตัวอ้วนๆ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ร้านข้าวต้มเป็ด เป็ดอ้วน นั่นเอง ฟู้ดดี้คนไหนอยากลิ้มลองให้ปักหมุดซอยสำราญราษฎร์ได้เลย สามารถจอดรถวัดเทพธิดาราม หรือใครจะนั่ง Mrt มาลงสถานีสามยอด (ออกประตู 3) ก็สะดวกไม่แพ้กัน เมนูแรกที่เราสั่งคือ ข้าวต้มเป็ดเนื้อล้วน ข้าวต้มหม้อดินหอมกลิ่นใบเตยอ่อนๆ ราดน้ำซุปรสเค็มนุ่มนวล ที่เคล้าไปด้วยเนื้อเป็ดล้วนแน่นๆ โรยด้วยกระเทียมเจียวทำเอง เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มสูตรเฉพาะของทางร้าน รสออกเปรี้ยวเล็กๆ เผ็ดหน่อยๆ กินกับข้าวต้มลงตัวสุดๆ และ ผัดกระเพราเป็ด เป็ดเนื้อแน่นชิ้นพอดีคำ ผัดพร้อมเครื่องกระเพรา เพิ่มความเผ็ดร้อนด้วยพริกเผา ใครที่ชอบรสแซ่บต้องเลิฟมากจานนี้ เป็นร้านในตำนานที่เรียกได้ว่าอร่อยของจริง

หลังจากเปิดประตูบ้านให้บริการอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ชื่อของ Villa Frantzén ก็กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของเหล่าฟู้ดดี้ในกรุงเทพมหานครทันที พร้อมกับสร้างสีสันให้แวดวงร้านอาหารในเมืองไทยขึ้นไปอีกขั้น  ด้วยชื่อเสียงของร้านอาหารนอร์ดิกจากสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เจ้าของดีกรีมิชลิน ไกด์ 3 ดาว และท็อป 25 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลกจากรายชื่อ The World’s 50 Best Restaurants ประจำปี 2022 ที่ผ่านมา สำหรับสาขาใหม่ภายใต้นามว่า Villa Frantzén นั้น ได้เนรมิตบ้านหลังใหญ่ในย่านที่อยู่อาศัยมุมหนึ่งในกรุงเทพมหานครให้กลายเป็นร้านอาหารในวิลล่าสุดหรู พร้อมครัวเปิดโล่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ กระจกบานใหญ่เปิดโล่งให้เห็นสวนสีเขียวด้านนอก และเมื่อฟ้ามืด แสงไฟด้านนอกก็จะเปล่งประกายระยิบระยับสร้างบรรยากาศให้มื้ออาหารเย็น ณ ที่แห่งนี้มีความพิเศษมากกว่าเดิม ส่วนวิลล่าอีกหลังที่อยู่ติดกัน เปิดเป็น Villa Frantzén Cocktail Bar ค็อกเทลบาร์สไตล์นอร์ดิกที่นำกลิ่นอายเอเชียมาผสมผสานอย่างลงตัว คอยทำหน้าที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยจากการรังสรรค์ของ Gabriel Valdés ผู้จัดการบาร์และทีมของเขา ก่อนการเดินทางไปสู่มื้ออาหาร 5 คอร์ส Villa Frantzén Cocktail Bar ต้อนรับเราด้วยค็อกเทลซิกเนเจอร์ Plum & Miso ที่ได้กลิ่นอายญี่ปุ่นจากบ๊วยและมิโซะ กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับรสชาติของอัลมอนด์และคาโมมายด์ เบสด้วยดรายจิน คอนยัค และเวอร์มุธ อีกแก้วหนึ่งคือ Caramel, Coffee & Banana ค็อกเทลรสกาแฟ หอมหวานด้วยซอลท์เต็ดคาราเมล  และไซรัปกล้วย แน่นอนว่าในเรื่องของอาหาร ที่นี่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็น Frantzén ของเชฟ Björn Frantzén ไว้อย่างเหนียวแน่น พร้อมกันนั้นยังสอดแทรกไปด้วยแรงบันดาลใจที่ได้จากอาหารเอเชีย ภายใต้การดูแลของ Martin Enstrom เฮดเชฟของร้าน สำหรับอาหารทั้ง 5 คอร์ส สามารถเลือกแพร์ริ่งกับไวน์หรือเครื่องดื่ม Non-Alcoholic ก็ได้ จากการให้ความสำคัญในการหมักดองอาหาร เครื่องดื่ม Non-Alcoholic ก็ล้วนนำเอากรรมวิธีดังกล่าวนี้มาใช้ด้วยเช่นกัน อย่างเช่นแก้วแรก ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ทำจากสตรอว์เบอร์รี่หมักรสหวานอมเปรี้ยว เพิ่มกลิ่นและความสดชื่นด้วยมิ้นต์ พร้อมเริ่มต้นคอร์สด้วย Oyster หอยนางรมจากนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ให้รสชาติเค็มอ่อน ๆ ออกครีมมี่จากครีมรมควัน แทรกด้วยความสดชื่นจากน้ำมะนาว น้ำมันซีบัคธอร์น และให้รสเผ็ดเจือมานิด ๆ จากเครื่องปรุงรสฟักทองสไปซี่ ถัดมาคือ Kavring ขนมปังทำจากข้าวไรย์ เป็นหนึ่งในอาหารท้องถิ่นของสวีเดน เสิรฟ์มาพร้อมเนย Bordier จากฝรั่งเศส จากนั้นก็พร้อมแล้วที่จะเข้าสู่อาหารมื้อหลัก โดยทั้ง 5 คอร์สเมนูนี้ผู้กินสามารถเลือกเมนูได้ตามใจชอบคนละ 1 จานต่อ 1 คอร์ส สามารถกินจานใครจานมันหรือกินแบบแชร์กันเพื่อให้ลิ้มลองได้หลากหลายเมนูก็ได้ เริ่มต้นด้วยคอร์สแรกที่เราเลือกเป็น Veal tartare & smoked parsley ทาร์ทาร์เนื้อลูกวัวและผักชีฝรั่งรมควัน คลุกเคล้ากับซาวครีมแบบฝรั่งเศสและมะนาวดอง ให้รสชาติกลมกล่อม มาพร้อมกับไข่ปลาเวนเดซและหัวไชเท้าแตงโม ท็อปด้วยต้นหอมซอยและหอมเจียวสีทอง อีกจานคือ Cold poached lobster & rhubarb ล็อบสเตอร์ชิ้นใหญ่ เนื้อเด้ง และรูบาร์บ ในน้ำซอสรสออกเปรี้ยวจากการผสมผสานของมะเขือเทศ วานิลลา พริกไทยดำ น้ำมันมะกอก และมะนาวเวอร์บีน่า ให้ความรู้สึกคล้ายกินน้ำยำรสชาติเบา ๆ เพิ่มสัมผัสกรุบ ๆ เคี้ยวมันด้วยผลอ่อนอัลมอนด์สีขาว คอร์สที่สอง Grilled scallops & fermented parsnips หอยเชลล์เนื้อนุ่มหอมกลิ่นย่างเตะจมูกทันทีที่เข้าปาก เพิ่มรสชาติด้วยพาร์สนิปหมักหั่นเต๋าขนาดเล็ก พร้อมด้วยเห็ดทรัฟเฟิลดาชิ หัวหอมใหญ่ และน้ำมันอัลมอนด์ อีกจานหนึ่งคือ Jerusalem artichokes & vendace roe ที่จัดมาให้ลิ้มลองทั้งอาร์ติโช้คแบบสดและแบบทอดกรอบ มาคู่กับไข่ปลาเวนเดซในครีมสด เหยาะน้ำมันเรพซีดสกัดเย็น โรยต้นหอมและดิลล์ ได้อโรม่าในทุก ๆ คำ โดยคอร์สนี้จับคู่กับเครื่องดื่มรสเปรี้ยวที่ได้จากรูบาร์บ แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลิ่นของเมล็ดกาแฟหอม ๆ เข้ามาเสริมให้ดื่มได้อย่างเพลิดเพลิน สำหรับคอร์สถัดมาจับคู่กับเครื่องดื่มสีชมพูขุ่นที่ได้จากข้าวสีแดงผสมน้ำแครนเบอร์รี่ รสชาติกลาง ๆ ดื่มง่าย จับคู่จานอาหารในคอร์ส ได้แก่ Pumpkin & frozen truffle butter เนื้อฟักทองบดละเอียด ท็อปด้วยบรอกโคลี ชีสเวสเตอร์บอตเทน น้ำมันเมล็ดฟักทอง และผักโขม จานนี้ให้รสชาติออกเค็มจากเนยทรัฟเฟิล ผสานกับความหวานธรรมชาติของเนื้อฟักทองได้อย่างลงตัว แถมยังได้สัมผัสกรุบ ๆ ของมูสลี่ถั่วเข้ามาเสริมด้วย อีกจานคือ Baked turbot & green asparagus เนื้อปลาตาเดียวอบราดด้วยซอสหน่อไม้ฝรั่งขาวหมัก ที่มาพร้อมในชามเดียวกันคือหน่อไม้และถั่ว ปรุงรสด้วยสมุนไพรซีตรัสและเพิ่มความหอมสดชื่นด้วยใบมิ้นต์ เข้าสู่เมนคอร์สด้วยเมนู Ox cheeks & caramelized onion velouté เนื้อแก้มวัวตุ๋นจนเปื่อยยุ่ย ราดซอสเวลูเต ที่ได้จากการเคี่ยวหัวหอมคาราเมล เสิร์ฟพร้อมกะหล่ำดาว ผักชีฝรั่ง และชะเอม ส่วนอีกเมนูนั้นคือ Chicken »pôche-grillé« & scrambled eggs เนื้อไก่ย่างที่เลือกซื้อไก่ท้องถิ่นจากตลาดคลองเตยจับคู่กับไข่คน มาในน้ำซุปไก่สีเข้ม เห็ดทรัฟเฟิล และน้ำมันกระเทียมย่าง ค่อย ๆ ใช้มีด Morakniv สุดพิเศษด้วยด้ามที่มีสีสันและลวดลายพื้นเมืองของสวีเดนที่เรียกว่า Kurbits ละเลียดหั่นเนื้อสัตว์มห้ได้ชิ้นพอดีคำ แพร์ริ่งไปกับน้ำเชอร์รี่หมักกับเกาลัดคั่ว ปิดท้ายด้วยคอร์สของหวานแพร์ริ่งกับเครื่องดื่มแก้วสุดท้ายที่มาจากน้ำชาแดงและเลมอน โดยเลือกที่จะล้างปากด้วยรสชาติออกเปรี้ยวของ Blood orange sorbet ซอร์เบต์รสส้มสีเลือด กินคู่กับมูสอูหลง ส้มโอ และเฮเซลนัทอบ หรือจะดื่มด่ำกับความรสชาติอันหนักแน่นของ Smoked ice cream »2.0« ที่มาพร้อมกับถั่วพีแคนโทสต์จนกลิ่นมีกลิ่นหอม คาเคานิบส์ ทาร์ไซรัป ซอล์ทเต็ดฟัดจ์ นำเสนอในรูปแบบของไอศกรีมซ็อกโกแลตภายใต้โดมช็อกโกแลตที่ค่อย ๆ ละลาย ได้กลิ่นของถ่านที่เผาไหม้อย่างชัดเจนเจือไปกับกลิ่นเครื่องเทศที่ได้จากกานพลู หลังจากดื่มด่ำกับมื้ออาหารเรียบร้อยแล้ว ยังกลับไปนั่งจิบเครื่องดื่มที่ Villa Frantzén Cocktail Bar เพื่อเป็นการปิดท้ายได้เช่นกัน สำหรับซิกเนเจอร์ LICORICE & AIR ส่วนผสมระหว่างวอดก้าอัลมอนด์ ชะเอม บัตเตอร์สก็อต เกลือ และกลิ่นหอมของซีตรัส และโฟมนุ่มบางเบาท็อปด้านบน เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับช่วงเวลาที่ท้องอิ่ม ส่งท้ายช่วงเวลาสุดพิเศษที Villa Frantzén ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เด็กอ้วนคนไหนชอบกินเฟรนช์ฟรายส์เป็นชีวิตจิตใจ เราแนะนำให้ไปลองที่ Toro Fries Signature เลย ร้านเฟรนช์ฟรายส์สไตล์โฮมเมดที่โดดเด่นด้วยความยาวกว่า 1 ฟุต ทำสดๆ ทอดร้อนๆ ให้คุณลิ้มลอง หัวใจหลักแห่งความอร่อยคือ ‘มันฝรั่ง’ ที่เจ้าของร้านเลือกสรรมันฝรั่งคุณภาพจากรัฐไอดาโฮ ประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านกระบวการทอดที่ความร้อน 190 องศา เป็นเวลา 2 นาที ราดซอสชีสรสต่างๆ หรือแม้กระทั่งกินเปล่าๆ ก็ยังฟินได้ ทางร้านบอกว่าจะต้องกินภายในระยะเวลา 6 นาทีเท่านั้นเพราะเฟรนช์ฟรายส์จะให้รสชาติลงตัวที่สุด ครั้งนี้เราแวะมาชิมที่ห้างไอคอนสยาม (บริเวณชั้น 6)  ซึ่งเป็นสาขาแรกของฝั่งธนฯ พิเศษด้วยมีซอสชีสดิปกว่า 10 รส มีทั้งซอสตามฤดูกาล และซอสรสทรัฟเฟิล เมนูขายดีที่มีเสิร์ฟเฉพาะสาขานี้เท่านั้น ว่าแล้วก็ไปลองกันเลย เมนูแรกที่ต้องสั่งคือ Truffle Cheese มันฝรั่งแท่งทอดกรอบร้อนๆ ราดซอสชีสทรัฟเฟิลหอมๆ ได้รสครีมมีกินอร่อย ตามด้วยเมนูดาวเด่นอย่าง รส Signature Mix ซอสชีสต่างๆ อาทิ ชีสรสดั้งเดิม ชีสรสสไปซี่ และชีสรสหัวหอม เข้ากันดีกับเฟรนช์ฟรายส์ทำสดใหม่ รส Purple Sweet Potato Cheese ได้รสหวานธรรมชาติของผงมันม่วง กินคู่กับมันฝั่งแท่งทอดหอมๆ  คนรักรสเผ็ดต้องชอบ รส Nori Wasabi Cheese ตัวซอสครีเอทมาจากสาหร่ายโนริ วาซาบิรสเผ็ดซ่า และชีสหอมมัน หรือใครอยากชิม 2 รสในหนึ่งกล่องทางร้านก็ไม่ติด เอาสั่ง รส Pizza Cheese มันฝรั่งแท่งรังสรรค์จากมันฝรั่งนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ราดซอสพิซซ่ารสกลมกล่อม และ รส Corn Cheese ซอสรสข้าวโพสได้รสหวานมันพอดี

ไม่ว่าจะอยู่ตรงมุมไหน ทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครในยามค่ำคืนนั้นก็ยังเป็นภาพที่ชวนประทับใจเสมอ อย่างเช่นที่ SOL and LUNA ร้านอาหารแนวเอเชียร่วมสมัย พิกัดน้องใหม่ล่าสุดบนชั้น 15 ของโรงแรม GLOW Sukhumvit 71 (โกลว์ สุขุมวิท 71) นับเป็นข้อได้เปรียบของทำเลที่ตั้ง เพราะรอบ ๆ ดาดฟ้าแห่งนี้ไม่มีตึกสูงใกล้เคียงมาบดบังวิวเลยแม้แต่น้อย ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นมุมชั้นดีสำหรับการชมอาทิตย์ตกดิน จวบจนแสงสุดท้ายตัดไปกับเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพมหานครที่อยู่ไกลสุดสายตา ก่อนที่ท้องฟ้าจะค่อย ๆ มืดลง ที่นี่มีทั้งที่นั่งในร่มและที่นั่งรับลมด้านนอก ภายในร้านอบอุ่นด้วยโทนสีน้ำตาลสว่างและสีส้มจากสีสันของดวงอาทิตย์ เมื่อต้องแสงไฟในยามค่ำคืนแล้วกลายเป็นสีทองอร่าม สำหรับอาหารสไตล์เอเชียร่วมสมัยของ SOL and LUNA นั้น เริ่มต้นด้วยจานเรียกน้ำย่อย Duck Liver Pate ปาเตสไตล์ฝรั่งเศสจากตับเป็ดบดละเอียด จากที่นิยมกินคู่กับบาแกตต์ ปาเตของ SOL and LUNA นั้นกลับท็อปมาด้วยบ๊วยเชื่อมโฮมเมดและจับมากินคู่มากับแป้งปอเปี๊ยะเวียดนามทอดกรอบแทน ต่อด้วย Grilled Squid มาพร้อมจุดเด่นที่ตัว ‘ซอสสามแผ่นดิน’ ได้แก่ ซอสสไตล์จีนทำจากน้ำมันผัดกับกระเทียมและต้นหอม ตัวหมึกสายหั่นพอดีคำคลุกเคล้าด้วยซอสทาเระแบบญี่ปุ่นให้รสหวานเค็ม แล้วราดด้วยน้ำส้มสายชูหมักบัลซามิกเพื่อให้ได้กลิ่นอายอาหารอิตาเลียน โรยหน้าด้วยปลาโอแห้ง Caesar Salad ของที่นี่เพิ่มความแตกต่างเข้าไปด้วยไวท์แองโชวี่ที่ให้รสเปรี้ยวและสดชื่นแทนแบล็กแองโชวี่ที่ให้รสเค็ม ท็อปด้วยไข่เป็ดชุบแป้งทอด ผ่าออกให้ยางมะตูมไหลเยิ้ม แล้วจิ้มกินพร้อมกับผัก ชีส ครีมสลัด และไวท์แองโชวี่ เพื่อให้ได้รสชาติของทุกวัตถุดิบรวมกันอย่างลงตัวในคำเดียว Duck Confit เป็นเมนคอร์สที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอ ด้วยเป็ดกงฟีหนังกรอบเนื้อนุ่มรสออกเค็ม เข้ากันเป็นอย่างดีเมื่อกินคู่กับซอสเบอร์รี่รวมรสเปรี้ยวและซอส Sweet Chili สูตรเฉพาะของร้าน เสิร์ฟพร้อมผักย่างหลากชนิด Australian Wagyu Rice Pot ข้าวหน้าเนื้อวากิวจากออสเตรเลีย เสิร์ฟด้วยเทคนิคที่เรียกว่า ‘ทาทากิ’ แบบญี่ปุ่น ที่ปรุงสุกแค่ผิวด้านนอกส่วนด้านในยังมีความดิบ จึงได้รสชาติเนื้อวากิวฉ่ำนุ่ม มาพร้อมข้าวผัดสไตล์ญี่ปุ่น โปะหน้าด้วยไข่ดิบ โรยหอมซอย กระเทียม และปลาโอแห้ง ได้กลิ่นหอมคละคลุ้งเวลากิน สำหรับพาสตาจานซิกเนเจอร์ ต้องยกให้กับ Soft Shell Crab Spaghetti สปาเกตตีท็อปด้วยปูนิ่มชุบแป้งทอดทั้งตัว เส้นผัดกับซอส XO มีรสเผ็ดร้อนแทรกมานิด ๆ ในทุกคำ ตามแบบฉบับอาหารเสฉวน สำหรับเครื่องดื่มซิกเนเจอร์คู่กับมื้ออาหาร เริ่มต้นด้วย The Moon Over Bangkok ที่มีส่วนผสมหลักจากแอปเปิ้ลเขียวคั้นสดและบรั่นดีไทย Honolulu มาในแก้วทรงสับปะรดดูตระการตา มีส่วนผสมของวอดก้า น้ำสับปะรดคั้นสด เปิดฝาแล้วจะได้กลิ่นหอมกลิ่นโรสแมรี่เตะจมูกเป็นอย่างแรก ด้านบนท็อปด้วยแผ่นน้ำตาลทรายแดงเผา แต่ถ้านิยมเครื่องดื่มรสชาติเบา ๆ ต้องเป็นแก้วที่ชื่อว่า Soulmate ให้รสชาติรัมเพียงเบา ๆ ในขณะเดียวกันก็หวานสดชื่นด้วยน้ำลิ้นจี่และเจลลี่ลิ้นจี่สีม่วงเพิ่มความสนุกให้กับเครื่องดื่มแก้วนี้ สำหรับของหวาน Mango Granita เกล็ดน้ำแข็งสไตล์อิตาเลียนรสมะม่วงซอร์เบต์ สอดแทรกความเปรี้ยวนิด  ๆ ด้วยไอศกรีมโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่มาในแก้วเดียวกัน อีกเมนูคือ Caramel Banana กล้วยเชื่อมคาราเมล เสิร์ฟพร้อมช็อกโกแลตและไอศกรีมวานิลลา หอมหวานในทุก ๆ คำ ปิดท้ายมื้ออาหารได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกพื้นที่ใหม่ของรูฟท็อปกำลังจะเปิดเป็นบาร์เปิดโล่งเห็นวิวกรุงเทพมหานครแบบ 360 องศา สำหรับสายดื่มที่อยากดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่แสนพิเศษ ก็คงอีกไม่นานเกินรอ อย่างไรก็ตาม แนะนำว่าให้โทรหรือแอดไลน์ https://lin.ee/cUnZ9Mh สำรองที่นั่งก่อนเพื่อให้ได้มุมที่ดีที่สุดในร้าน!

จุดรวมพลแห่งใหม่ย่านอารีย์ ตกแต่งสไตล์คาเฟ่ที่เหมาะนั่งชิลเอาท์และเอนจอยกับอาหารจานเด็ด โดยเฉพาะยำรสแซ่บที่เป็นไฮไลท์ของร้าน ครีเอทโดยเชฟมากฝีมือที่ไม่เพียงเชี่ยวชาญการปรุง ยังมุ่งให้ความสำคัญกับการตกแต่งจานให้สวยทุกองศาด้วยดอกไม้และผลไม้ เพิ่มสีสันกระตุ้นความหิวตามคอนเซ็ปต์ Fruity Juicy หรือความชุ่มฉ่ำของผลไม้ ซึ่งมาจากความหมายในภาษาสเปนของชื่อร้าน Zumoso เริ่มด้วย ยำสตรอว์เบอร์รีกะปิ สตรอว์เบอร์รี่สดหวานอมเปรี้ยวนิดๆ  ราดด้วยน้ำยำกะปิสูตรลับที่ปรับจนได้รสชาตินัวเค็ม มีกลิ่นหอมนวลชวนรับประทาน ต่อด้วย ยำเนื้อย่างองุ่นหวาน หนักท้องยิ่งขึ้นด้วยเนื้อวากิวริบอายออสเตรเลีย ย่างสุกปานกลาง เพิ่มความสดชื่นด้วยองุ่นแดงไร้เมล็ด หวานกรอบ โรยตะไคร้ซอยดับกลิ่นและช่วยชูรสให้ทุกคำที่เข้าปาก ลาบปลากระพงมะแขว่น จานนี้เปรี้ยวเค็มเผ็ด ทีเด็ดคือใส่มะแขว่นที่ขึ้นชื่อว่าราชาเครื่องเทศเมืองเหนือมาเสริมรส ขอยกให้เป็นหมัดเด็ดพิชิตใจลูกค้า หน้าตาเรียบๆ แต่ซ่อนความอร่อยไว้เพียบ ยกให้ หนังไก่ทอดสมุนไพร หนังไก่ขูดไขมันจนสะอาดหมดจด ทอดร้อนๆ กับสมุนไพรไทย ได้รสสัมผัสกรุบกรอบเคี้ยวเพลิน หากมาลำพังแนะนำข้าวผัดยำกุนเชียง อิ่มครบจบในหนึ่งจาน ข้าวผัดกับน้ำยำรสแซ่บที่เบื้องหลังมีกระเทียมโทนดองช่วยชูรสชาติและกลิ่นหอมเฉพาะตัว เคียงด้วยกุนเชียงทอดไร้มันที่ใส่มาให้แบบไม่หวง หรือจะเป็นจานนี้ผัดมาม่าเบคอนพริกแห้ง เส้นมาม่าลวกพอสุก ผัดต่อด้วยไฟแรงซึ่งต้องใช้เทคนิคควบคุมไฟให้พอเหมาะพอดีเพื่อให้เส้นแห้ง นุ่มหนึบ หอมกระทะ ยังมีเบคอนทอดมาเพิ่มความกรุบกรอบเค็มมัน เปลี่ยนเมนูบ้านๆ ให้เป็นเมนูเงินล้านในพริบตา ก่อนปิดจ๊อบด้วยอ่อมหอยลาย เชฟบอกอยากให้กินง่ายเหมือนซุปจึงใส่หอยลายที่กินแล้วสดชื่นสบายท้อง เราลองแล้วประทับใจจนลืมอ่อมหมูหรืออ่อมไก่ที่คุ้นเคยไปเลย ใครผ่านมาแถวอารีย์แล้วอยากหามุมหย่อนใจได้อิ่มท้องด้วย แนะนำ Zumoso

Tag: ยำ

มุมแฮงก์เอาท์ใหม่ชั้นล่างของโรงแรม สยามแอ็ทสยาม ดีไซน์ โฮเต็ล พัทยา ที่มาพร้อมความเชื่อที่ว่า “ไม่มีถนนสายไหนยาวเกินไปถ้ามีเพื่อนร่วมทางที่ดี” จึงเนรมิตพื้นที่ให้เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวชวนประทับใจระหว่างการเดินทาง ที่หากใครได้ผ่านมาสักครั้งจะต้องปักหมุดเป็นจุดหมายสำหรับทริปต่อไปอย่างแน่นอน พื้นที่ร้านกว้างขวางเน้นสีสันจัดจ้านผ่านลวดลายสไตล์ยุค 70s ล้อไปกับเฟอร์นิเจอร์หลากสีที่ช่วยกระตุ้นดีกรีความหิว อาหารของที่นี่เสิร์ฟสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ด อาทิ Banh Mi Bowl สตรีทฟู้ดยอดฮิตของเวียดนามที่นำมาตีโจทย์ใหม่ให้ชวนกินยิ่งขึ้น ทั้งยังรวมไว้แต่วัตถุดิบสุดเฮลท์ตี้ไม่ว่าจะเป็นควินัว แครอต พีนัท ผักสด ราดด้วยซอสสไปซี่มาโยเผ็ดซ่าติดปลายลิ้น Crab Roll ขนมปังไส้ทะลักที่มีส่วนผสมของเนื้อปู หอมใหญ่ เซเลอรี่ แครอต ผักกาดหอม และซอสสไตล์นิวอิงแลนด์สุดครีมมี่ ต่อด้วยเมนูอิ่มอร่อยและย่อยง่าย Salmon BBQ แซลมอนหมักซอสย่างหอมๆ วางบนผักสดหลากชนิด โรยถั่วลูกไก่อบกรอบแล้วเพิ่มรสเปรี้ยวสดชื่นด้วยกรีกโยเกิร์ต เอาใจมีทเลิฟเวอร์กับเมนู Beef Roasted เนื้อนุ่มฉ่ำ เคี้ยวง่าย ชูรสด้วยซอสชิมิชูรีแบบอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นซอสที่เข้ากับเนื้อได้ดี วางเรียงบนชีสที่ด้านล่างรองด้วยขนมปังอีกที ปิดท้ายด้วย Lemon Pie การผสมผสานของ 3 รสชาติในคำเดียว เริ่มจากรสเปรี้ยวจี๊ดของเลมอน ตัดด้วยรสเค็มมันและความกรุบกรอบจากฐานบิสกิต ด้านบนเป็นเมอแรงรสหวานจับใจที่พอแตะลิ้นก็แทบละลายหมดแล้ว เครื่องดื่มก็เด็ดไม่แพ้กัน คอฟฟี่เลิฟเวอร์จะได้ลิ้มรสกาแฟแก้วพิเศษที่คัดสรรโดย Roots ผู้บุกเบิกการผลิตกาแฟอาร์ติซานชั้นนำของไทย ส่วนทีเลิฟเวอร์มีชาหอมกรุ่นจาก Monsoon Tea ผู้ผลิตชาจากภาคเหนือของไทยไว้รองรับ แต่สำหรับสวีทเลิฟเวอร์อย่างเรา ขอปันใจให้ Over Sweet Limit ดรีมทีมที่นำโดยไอศกรีมวานิลลา นมสด ท็อปด้วยป็อปคอร์น พีนัทบัตเตอร์ คุ้กกี้ ราดคาราเมลฉ่ำๆ หอมหวานเกินห้ามใจ ไกลแค่ไหนไม่ใช่ปัญหา ถ้าระหว่างทางจะมีแต่ของอร่อยแบบนี้

อะไรจะดีไปกว่าการได้รับประทานอาหารท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ Hinghoy Harmony ร้านอาหารและคาเฟ่ย่านปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ที่นอกจากตัวร้านจะกว้างขวาง โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติแล้ว ยังมีไฮไลต์เป็นจุดชมหิ่งห้อยยามค่ำคืนอันสวยงาม ที่ไม่ต้องรอให้ถึงฤดูกาลก็สามารถแวะมารับชมกันได้แบบทั้งปี โดยแบ่งเป็นโซนอินดอร์ ห้องแอร์เย็นฉ่ำ สไตล์กลาสเฮ้าส์เปิดรับแสงธรรมชาติ และโซนเอ้าท์ดอร์ ริมน้ำ ลมพัดเย็นสบาย ซึ่งแบ่งเป็นพื้นที่แบบ Pet Friendly ที่สามารถพาสัตว์เลี้ยงของคุณมาร่วมพักผ่อนได้อีกด้วย เรียกน้ำย่อยด้วย ป๊อเปี๊ยะผักโขมสอดไส้ชีส (150.-) แป้งปอเปี๊ยะทอดหอมกรอบ สอดไส้ผักโขมรสเค็มมันนัว จิ้มกับซอสมายองเนส กินเพลิน ต่อกันที่ ผัดหิ่งห้อย (250-) เมนูซิกเนเจอร์ของร้าน ที่ประกอบไปด้วย เนื้อปลากระพง  หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ และกุ้ง ทอดจนหอมกรอบก่อนจะนำไปผัดกับพริกเผารสหวานเผ็ดเข้มข้น โรยด้วยใบกะเพราทอดกรอบและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ กรุบกรอบเคี้ยวเพลิน หรือจะเลือกเป็น ซี่โครงหมูบาร์บีคิว (320.-) ซี่โครงหมูเนื้อนุ่มราดซอสบาร์บีคิวเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมเฟรนส์ฟรายส์ชิ้นใหญ่ ข้าวโพดย่างและผักสลัด ตบท้ายของหวานอย่าง บราวนี่นูเทลลา (120.-) เนื้อบราวนี่รสเข้มข้นนุ่มหนึบฉ่ำอยู่ในปาก กินคู่กับไอศกรีมนมฮอกไกโด วิปครีมและผลไม้สด เข้ากันอย่างลงตัว