สร้างความประทับใจให้ชาวโอซาก้าจนหนำใจแล้ว ก็ถึงคราวที่นักกินชาวไทยจะได้ฟินกันบ้างกับ “Kuma no Yakitori Bangkok” ร้านยากิโทริฉบับโอมากาเสะสุดปังจากเมืองโอซาก้า ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น No. 1 ของประเทศญี่ปุ่น โดยทางร้านจะให้บริการเฉพาะสมาชิกเท่านั้น  (ค่าสมาชิกประมาณ 3 แสนเยน) แต่ที่สาขาเมืองไทย ณ โครงการ Rain Hill ย่านเอกมัย ฟู้ดดี้สามารถจองแล้วรอรับพาสเวิร์ดเข้าประตูได้เลย (ฟิลร้านลับ) เข้ามาในร้านจะพบกับเคาน์เตอร์บาร์ใหญ่กว้างพร้อมสำหรับนักชิม 12 ที่นั่ง ที่ล้อมรอบเตาย่างยากิโทริร้อนฉ่า ผนังด้านหลังเป็นปูนเปลือยลายนกกระเรียนสง่างาม ที่บินสยายปีกท่ามกลางขุนเขาท้าแรงลมเย็น และหมู่มวลเมฆบนท้องฟ้ากว้าง ไปได้ด้วยดีกับเฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลอบุอุ่น เข้าคอนเซปต์เรียบง่ายแต่มีเรื่องราวสไตล์ Wabi – Sabi เสิร์ฟพร้อมจานอร่อยของเชฟโยชินาริ ทาคากิ เชฟชาวญี่ปุ่นซึ่งอดีตเคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพมือฉมัง ก่อนค้นพบความสุขที่แท้จริงนั่นก็คือ ‘การทำอาหาร’ เขาฝึกฝนเทคนิคการทำยากิโทริที่โอซาก้ามาหลายปี ก่อนเปิด Kuma no Yakitori ที่มีจุดเด่นตรงการเลือกใช้วัตถุดิบหลักอย่าง ‘ไก่’ ที่เชฟใช้ทุกส่วน (Ultimate Chicken Experience) มารังสรรค์เป็นยากิโทริรสชาติดี จิบคู่สาเกในแบบฉบับนักดื่ม เรียกน้ำย่อยกับ Sliced Duck Loin อกเป็ดเนื้อนุ่มฉ่ำรสเค็มกลมกล่อม เสิร์ฟเคียงมันบดเนื้อเนียนผสมเบคอนทอดกรอบที่เรารัก Towa Toro Tofu เต้าหู้โฮมเมดเนื้อนิ่มเด้ง ที่ส่งตรงมาจากดินแดนอาทิตย์อุทัย ท็อปด้วยอูนิคำโตจากเกาะฮอกไกโด ไข่ปลาแซลมอนรสเค็มได้ที่ และวาซาบิ เติมโชยุโฮมเมดเพื่อเพิ่มรสเค็มพอเหมาะ ตามด้วย Seared Chicken Sashimi ซาชิมิไก่เทอริยากิเนื้อหวาน ความสุกกำลังดี ที่ชูรสชาติด้วยเกลือชั้นเยี่ยมจากญี่ปุ่น Chicken Leg with Scallion เนื้อส่วนขาของไก่ย่างร้อนฉ่า กินกับต้นหอมญี่ปุ่นที่หลายคนชอบ Chicken Heart นี่แหละของโปรด หัวใจไก่ชิ้นอวบ ย่างเตาถ่านหอมๆ เพิ่มรสเผ็ดพอเหมาะด้วยพริกซันโช Chicken Gizzard กึ๋นไก่เนื้อหนึบ รสเข้มข้น ก่อนล้างปากด้วย Vinegared Seaweed สาหร่ายดองน้ำส้มสายชู รสเปรี้ยวสดชื่น Chicken Tenderloin อกไก่เนื้อฉ่ำใน ไม่ฝืดคออย่างที่คิด จิ้มเกลือก็รสชาติดี จิ้มวาซาบิก็ซาบซ่าโดนใจ ขาดไม่ได้กับ Steamed Egg Custard with Uni ไข่ตุ๋นเนื้อเด้งนุ่ม ผสมซอสครีมสูตรเด็ดที่ทำจากอูนิแห่งเกาะฮอกไกโด ก่อนท็อปด้วยอูนิคำใหญ่ยักษ์อีกที พร้อมแต่งหน้าด้วยทองคำเลอค่า Chicken Meatball ลูกชิ้นไก่โฮมเมดเนื้อแน่น อาบซอสไวน์แดงสูตรเฉพาะรสหวานปนเค็ม เสริมความครีมมีด้วยชีสพาเมซาน Chicken Shin ที่เชฟใช้เทคนิคการย่างด้วยไฟอ่อนๆ กว่า 20 นาทีจนได้เนื้อนุ่มหนึบ แต่หนังเกรียมกรอบ ได้ใจเด็กอ้วน ตัดเลี่ยนด้วย Manganji Chili Pepper พริกหวานจากเมืองโตเกียวย่างหอมๆ Chicken Wings ปีกไก่ชิ้นโตที่เชฟสโมกควันอย่างพิถีพิถันกว่า 45 นาที ก่อนนำไปย่างบนเตาถ่าน บีบเลมอนซีกเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเปรี้ยว หลายคนรอ Premium Raw Egg on Rise เมนูดาวเด่นของทางร้านที่เสิร์ฟเพียง 10 ชามต่อวันเท่านั้น ข้าวด้งชามใหญ่ที่ให้คุณอร่อยกับไข่หอยเม่นล้นๆ ไข่ปลาแซลมอน และไข่ข้าวสดรสครีมมี ก่อนชิมให้เจาะไข่แดงแล้วโรยรอบๆ เข้าคู่ Chicken Broth Soup น้ำซุปไก่ ที่ตุ๋นจากกระดูกไก่หลายชั่วโมงจนได้รสนุ่มนวล จบด้วยของหวานประจำวันอย่าง Mango Pudding พุดดิ้งมะม่วงรสหวาน เสิร์ฟคู่ผลไม้ตระกูลเบอร์รีและวิปครีม

ร้านอาหารสแตนด์อโลนในโซนบ้านพักอาศัย แม้โลเกชั่นดูคล้ายร้านลับแต่กลับเป็นที่รู้จักในแวดวงคนรักอาหารญี่ปุ่น ทีเด็ดคือวัตถุดิบพรีเมียมนำเข้าที่เจ้าของร้านบอกว่า “เรามีเชฟมือดีที่สุด เราจึงต้องมอบอาวุธที่ดีที่สุด เพื่อให้เชฟของเราได้โชว์ฝีมืออย่างเต็มที่ และนี่คือที่มาของอาหารในร้าน ที่ ทุกจานคือความพิเศษ” ประเดิมความสดจากทะเลญี่ปุ่นด้วย Omakase Set  ชุดปลาดิบคำโตที่รวมของพรีเมียมไว้ในที่เดียว ประกอบด้วย ทูน่า แซลมอน ฮามาจิ โฮตาเตะ และอะมาเอบิ ต่อด้วย Foie Gras ซูชิฟรัวกราส์ที่หวานฉ่ำละมุนทั้งคำ เริ่มจากข้าวปั้นที่ตั้งใจปรุงให้มีรสหวานปลายลิ้น ท็อปด้วยฟรัวกราส์ที่กริลล์ให้มีกลิ่นหอมเบาๆ แล้วราดด้วยซอสเทริยากิที่มีรสหวานกลมกล่อม Rakuzen Sushi Roll เมนูที่เชฟภูมิใจนำเสนอ เริ่มจากนำหัวไชเท้ามาดองกับสาเก เพิ่มรสหวานด้วยมิริน แล้วฝานบางๆ นำมาม้วนแทนสาหร่าย ช่วยชูรสชาติให้โรลอีกเท่าตัว Special Roll โรลซิกเนเจอร์ที่รวมวัตถุดิบไฮไลท์ไม่ว่าจะเป็นแซลมอน ทูน่า ฮามาจิ ท็อปด้วยโฮตาเตะ ราดด้วยซอสสไปซี่เอาใจฟู้ดดี้ที่นิยมความเผ็ดซ่าติดปลายลิ้น ว้าวสุดยกให้ Salmon Mango Roll โรลแซลมอนมะม่วง เมนูเอาใจคนไทยแต่ก็พร้อมโขมยหัวใจคนต่างชาติไปด้วย เป็นเมนูที่ชูแซลมอนเป็นพระเอก ส่วนนางเอกยกให้มะม่วงน้ำดอกไม้สุกรสหวานอมเปรี้ยว ที่ช่วยตัดรสและเพิ่มมิติของรสชาติ แซมด้วยรสเผ็ดซ่าของซอสสไปซี่ที่แทรกซึมเต็มคำ ปิดท้ายด้วย Salmon Head Soy Sauce-Soup หัวปลาแซลมอนต้มซีอิ๊ว เมนูขายดีที่อาจต้องโทรจอง เพราะแซลมอนหนึ่งตัวมีหัวเดียว รสชาติเข้มข้นเค็มหวานอีกระดับเพราะเชฟปรับให้เข้ากับลิ้นคนไทย เนื้อปลานุ่มนวลไม่ยุ่ยเละ ปรุงพร้อมผักที่อัดแน่นเต็มชามไม่ว่าจะเป็นเห็ดหอม เห็ดเข็มทอง แครอท น้ำซีอิ๊วคือไฮไลท์(ของเรา) คลุกกับข้าวสวยแล้วยิ่งช่วยเจริญอาหาร รสชาติเหมือนเพื่อนชาวญี่ปุ่นบินมาทำให้กินถึงที่บ้าน!

คนกินเส้นไม่ควรพลาด Soba Lab (หรือโซบะราโบะ) ร้านโซบะฟีลญี่ปุ่นสไตล์โลคอลแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในซอยประสานมิตรใจกลางย่านธุรกิจที่เต็มไปด้วยหนุ่มสาวชาวออฟฟิศ และนักเรียน นักศึกษา ที่นิยมชวนก๊วนแก๊งค์แวะมาฝากท้อง บรรยากาศในร้านเรียบง่าย เช่นเดียวกับเมนูที่เรียบง่ายไม่แพ้กัน เพราะมีเพียง 3 เซ็ตให้เลือก จุดเด่นของร้านคือเส้นโซบะเหนียวนุ่มกำลังดี กินกับซุปน้ำมันพริกรสชาติกลมกล่อม หอมมัน และเผ็ดร้อนนิดๆ   เมนูแรก Chill Pork Dipping Soba โซบะเสิร์ฟพร้อมซุปหมูน้ำมันพริก เพิ่มความกลมกล่อมนัวลิ้นด้วยการเติมไข่ออนเซ็นลงไป วิธีกินที่เพิ่มความฟินยิ่งขึ้นให้ใช้ตะเกียบคีบเส้นโซบะจุ่มวนในน้ำซุป แล้วชิมรสชาติต้นตำรับ ขั้นตอนต่อไปเทไข่ออนเซ็นลงในน้ำซุป แล้วคีบเส้นโซบะจุ่มให้ชุ่มฉ่ำจะช่วยเพิ่มความละมุนแบบคูณสอง กินต่อไปเรื่อยๆ จนเส้นหมด ขั้นตอนสุดท้ายให้เติมน้ำโซบะยุ หรือน้ำซุปต้มโซบะ ลงในน้ำซุปก้นถ้วย แล้วยกดื่มจนหมด เป็นรสชาติที่กินซ้ำได้ทุกวันไม่มีเบื่อ ถัดมาคือ Sesame Sauce Dipping Soba โซบะจุ่มซอสงา คนไม่ชอบรสชาติเผ็ดๆ มันๆ เซ็ตนี้คือทางเลือกที่ตอบโจทย์ น้ำซุปเข้มข้น หอมกลิ่นน้ำมันงา รสชาติดีไม่แพ้เมนูแรก สามารถสั่งไข่ออนเซ็นมาเพิ่มความฟินได้ เมนูสุดท้าย Chili Pork Mixed Soba โซบะหน้าหมูน้ำมันพริก เครื่องแน่นแทบมองไม่เห็นเส้นด้านล่าง ก่อนกินคลุกเคล้าให้เข้ากัน อร่อยครบจบในชามเดียว สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ ราคาที่ถือว่าเป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์ เริ่มต้นที่ 119 บาท – 159 บาท อยากสั่งไข่ออนเซ็นเพิ่มก็จ่ายแค่ 25 บาท สำหรับคนกินจุจะสั่งเส้นโซบะเพิ่มก็จ่ายเพียง 59 บาท เท่านั้น   รสชาติและบรรยากาศเหมือนนั่งอยู่ในญี่ปุ่นจริงๆ

Modan Japanese Restaurant ร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมียมย่านบางนาที่ต่อยอดความสำเร็จจากสาขาแรกที่เมืองทองธานี โดยยกขบวนน้ำซุปรสเลิศที่มีให้เลือกมากถึง 7 ชนิด ท็อปปิ้งอีกกว่า 10 ชนิด รวมถึงเส้นสดโฮมเมดที่เหนียวนุ่มสาวเพลิน ความพิเศษของสาขานี้คือมีครัวเปิดให้เราได้ชมเชฟปั้นซูชิกันแบบใกล้ชิดอีกด้วย     เมนูอาหารนำเสนอทั้งสไตล์อะลาคาร์ต ชาบูสุกียากี้ และโอมากาเสะ ล่าสุดไม่ต้องรักพี่เสียดายน้องอีกต่อไป เพราะทางร้านจัดโปรโมชั่น ชาบูสุกี้ยากี้ x โอมากาเสะ ให้สนุกกับการคีบๆ จุ่มๆ ในชุดเดียว สำหรับชาบูสุกียากี้ มีให้เลือก 2 ชุด คือ Wagyu Set เอาใจคนรักเนื้อโดยเสิร์ฟให้มากถึง 200 กรัม ไฮไลท์คือเนื้อวากิวพิคานย่า MB4/5 และเนื้อวากิวใบพาย MB6/7 ลายหินอ่อนสวยงาม เนื้อนุ่มนวลได้รสสัมผัสฉ่ำๆเต็มปากเต็มคำ Buta Set หรือชุดหมูคุโรบูตะที่ให้น้ำหนักมากถึง 200 กรัมเช่นเดียวกัน ในแต่ละชุดเราสามารถเลือกน้ำซุปสุกียากี้น้ำดำ หรือน้ำซุปดาชิหรือน้ำซุปใสก็ได้ เสิร์ฟมาพร้อมเครื่องเคียง ได้แก่ ข้าวญี่ปุ่น ราเมน อุด้ง ผักสด และซอฟท์ดริงค์เติมได้ไม่อั้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่า น้ำอัดลม หรือชาเขียวเย็น นอกจากนี้ยังมีโมดันโอมากาเสะที่ทุกคนรอคอย เลือกได้ 3 คอร์ส จาก 11 คอร์ส อาทิ ซุปกุ้งเมนไทโกะอุด้งหอยเชลล์ น้ำซุปเคี่ยวจากตัวกุ้งและหัวกุ้ง ใส่อุด้งเส้นสด โรยอิคุระ ท็อปด้วยโฮตาเตะ วาซาบิดอง รสชาติเข้มข้นและครีมมี่ ทรัฟเฟิลโอชาสึเกะยุกเกะกุ้งหวาน ข้าวผัดกับทรัฟเฟิล ท็อปด้วยกุ้งดองและหอยปีกนก คล้ายข้าวต้มแห้ง เวลารับประทานให้เทน้ำซุปทรัฟเฟิลเพิ่มความกลมกล่อมนัวลิ้น บีทรูทมิโซะฮามาจิคาเวียร์ ราเมงเส้นสดในน้ำซุปบีทรูท ข้างบนเป็นปลาฮามาจิและวาซาบิดอง ตกแต่งด้วยคาเวียร์ เป็นเมนูที่สีสันคัลเลอร์ฟูล แค่เห็นก็น้ำลายสอแล้ว และนินจินซาชิมิอุด้ง ทูน่าและฮามาจิในซุปทำจากแครอทบด เสริมรสสดชื่นด้วยสับปะรด อิ่มอร่อย สบายท้อง หรือเลือกเป็นของหวานก็ดีต่อใจ แนะนำไฮไลท์ มัทฉะโฮจิฉะบราวนี่และไอศกรีม ปิดท้ายมื้อได้แบบเปอร์เฟ็คท์  ถ้ามาลำพังจะสั่งเป็นเมนูอะลาคาร์ตก็ได้นะ!    

เดินแค่ไม่กี่นาทีจาก BTS พร้อมพงษ์ เราจะเจอกับ Onigiri Lab ร้านโอนิกิริเล็กๆ เปิดใหม่ในซอยเมธีนิเวศม์ที่เราอยากให้คนรักโอนิกิริได้ลองมาชิมฝีมือการปั้นข้าวของเชฟ Shiba ซึ่งเคยเป็นเชฟร้านโอนิกิริที่ฮอกไกโดบ้านเกิดมาก่อน โอนิกิริของที่ร้านชิ้นใหญ่จุใจ ข้าวนุ่มเรียงเมล็ดสวยเพราะใช้ข้าวจากจังหวัดนีงาตะ ส่วนไส้โอนิกิริมีให้เลือกเยอะแบบตาลาย มีทั้งปรุงด้วยเกลือและโชยุ ที่ขายดีคือ Mentaiko Butter ข้าวปั้นไส้เมนไทโกะรสเผ็ดนิดเค็มหน่อย มาเจอกับความหอมมันจากเนยและข้าวแล้วเข้ากันจนอยากสั่งอีกชิ้น รวมถึงรสขวัญใจลูกค้าอย่าง Grilled Salmon & Ikura ที่นอกจากจะได้อร่อยไปกับแซลมอนย่างแล้ว เชฟยังซ่อนอิคุระไว้ในข้าวอีกเพียบ นอกจากโอนิกิริแบบชิ้น ที่ร้านยังมีเซ็ทเมนูที่ตอบโจทย์ เราสั่งเป็น Onigiri Set มาพร้อมซุปและเครื่องเคียงที่จะสลับหมุนเวียนไปในแต่ละวัน หรือจะลองเมนูอื่นๆ อย่าง Oden Set เซ็ทโอเด้ง Pork Miso Soup Set เซ็ทซุปมิโซะหมู หรือจะลอง Grilled Salmon & Ikura Rice Roll Set ก็น่าสนุก เพราะเราจะได้ห่อข้าวกินด้วยตัวเอง ใครรักข้าวปั้น ตามไปอุดหนุนเชฟกันได้เลย

Yotsuha Sushi (โยทสึฮะ ซูชิ) เป็นร้านโอมากาเสะเปิดใหม่ที่ตัวร้านเรียกว่าเกือบจะลับ เพราะซ่อนตัวอยู่ใต้คอนโด 168 ในซอยสุขุมวิท 36 แต่สำหรับ เชฟคุมะ เชฟหลักของร้านนั้นเรียกว่าคลุกคลีอยู่ในแวดวงร้านอาหารญี่ปุ่นในบ้านเรามากว่า 15 ปี จึงมีความรู้เรื่องวัตถุดิบต่างๆ อย่างดีมาก รวมถึงวิธีได้มาซึ่งวัตถุดิบชั้นยอดอีกด้วย เชฟยังพูดภาษาไทยเก่งอีกต่างหาก ใครอยากคุยเรื่องซูชิกับเชฟก็จัดไปได้เลย คอร์สโอมากาเสะของ Yotsuha Sushi ให้บริการมื้อเย็น จำนวน 19 คอร์ส เริ่มตั้งแต่จานเรียกน้ำย่อย ซูชิ อาหารจานร้อน และของหวาน เมนูหมุนเวียนไปแต่ละวันตามวัตถุดิบที่คัดสรรและส่งตรงมาจากตลาดปลาที่ญี่ปุ่น เชฟคุมะจะนำวัตถุดิบที่ได้มาออกแบบคอร์สเมนูตั้งแต่ต้นจนจบให้ลงตัว วัตถุดิบหลายอย่างที่นี่ไม่ค่อยเจอที่อื่น จึงอยากให้มาลองกัน ซูชิของเชฟคุมะเป็นแบบดั้งเดิมที่เน้นความประณีตและความอร่อยสดใหม่ของวัตถุดิบ เชฟใช้ข้าวญี่ปุ่นที่ปลูกในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นข้าวใหม่ส่งตรงถึงร้านจึงให้รสชาติและสัมผัสที่ดีกว่า หุงด้วยน้ำส้มสายชูขาวสูตรของทางร้านให้รสกลมกล่อมไม่เปรี้ยว ภายใต้หน้าตาเรียบง่ายนั้นเชฟบรรจงซ่อนองค์ประกอบต่างๆ ไว้ระหว่างชั้นของข้าวที่ปั้นขนาดพอดีคำและเนื้อปลาที่บรรจงแล่ให้ความหนาได้สัดส่วนกับข้าว แต่ละคำจึงมีรสชาติลึกล้ำซ่อนอยู่ คอร์สโอมากาเสะเริ่มด้วยจานเรียกนำย่อย Iso Tsubugai Fukumeni หรือลูกหอยสังข์จากฮอกไกโดต้มไฟอ่อนในซุปดะชิ เนื้อหอยหวานเด้งเคี้ยวหนุบปลุกประสาทรับรสให้ตื่นตัว ตามด้วย Kamaage Hotaru Ika หรือหมึกหิ่งห้อยจากจังหวัดโทะยะมะตัวอ้วนเนื้อหวานมันมาก ใครที่อ่านรีวิวแล้วตามมาคงไม่เจอเมนูนี้เพราะหมดฤดูกาลของหมึกหิ่งห้อยพอดี จานต่อมาเป็นจานเรียกน้ำย่อยที่ทำจากปลาฮอนมากุโระ หรือปลาทูน่าครีบน้ำเงิน เนื้อส่วนหัวซึ่งมีสีชมพูอ่อนจะหวานมันยิ่งกว่าส่วนท้อง ในหนึ่งตัวมีไม่มากจึงเป็นส่วนที่หายาก โดยเฉพาะแบบสด (ไม่แช่แข็ง) อย่างที่ทางร้านใช้ เบิร์นไฟราดซอสพอนสึเป็น Honmakuro Nouten Tataki โรยด้วยพริกป่นจากนะกะโนะเพิ่มรสชาติ ทอปด้วยมะกุโระบุชิ หรือเนื้อปลามากุโระตากแห้งขูด หอมอร่อยมาก ปิดท้ายชุดเรียกน้ำย่อยด้วย Chawanmushi ใส่เอ็นหอยปีกนกให้ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนนุ่มเคี้ยวสนุกขึ้น เข้าสู่คอร์สซูชิ เชฟเริ่มด้วย Naruto Tennen Madai ปลามะไดที่จับตามธรรมชาติจากช่องแคบอะกะชิ ช่องแคบเล็กๆ ที่คั่นระหว่างเกาะฮนชูและเกาะอะวะจิ เชฟเล่าว่าปลามะไดธรรมชาติมีสัดส่วนเพียง  30% จากทั้งหมดในท้องตลาดเท่านั้นจึงอยากให้ลิ้มลองดู ตามด้วย Hokkigai หรือหอยปีกนก ส่วนเนื้อจากจานไข่ตุ๋น เนื้อเด้งหนึบเคี้ยวเพลิน จากนั้นเป็น Nodoguro หรือปลาคอดำเนื้อหวานมัน นำมาเบิร์นไฟให้ยิ่งชุ่มฉ่ำละลายในปาก เป็นคำที่เราชอบมาก แล้วเบรคความมันด้วยเท็กซ์เจอร์กรุบกรอบของ Sawa Kani ปูแม่น้ำตัวจิ๋วทอดกรอบกินได้ทั้งตัว เสิร์ฟกับสลัดมันหวานญี่ปุ่น คำต่อมาเป็นเนื้อปลาที่ได้ชื่อว่าเป็นราชาของปลาตาเดียว Matsukawa Karei จากฮอกไกโด นำมาหมักในสาหร่ายคอมบุ (คอมบุจิเมะ) จนมีความอูมามิ ตามด้วย Sumi Ika ที่มีสัมผัสหนึบเด้ง โรยเกลือเพื่อดึงรสหวานธรรมชาติให้ยิ่งโดดเด่น จากนั้นเป็น Tobiuo หรือปลาบิน ซึ่งช่วงนี้กำลังเข้าฤดูกาลพอดี เนื้อนุ่มเนียนละเอียดรสชาติดีมาก คั่นด้วยของทอดอย่าง Amadai Matsukasa Yaki ปลาอะมะไดย่าง ที่นำเฉพาะส่วนหนังไปราดน้ำมันร้อนๆ จนเกล็ดฟูกรอบก่อน แล้วจึงนำไปย่างให้เนื้อด้านในนุ่มและชุ่มฉ่ำ เคียงด้วยไชเท้าแดงดอง (Koshin Daikon) จานต่อมา Honmaguro Akami Zuke เนื้อปลาฮอนมากุโระส่วนด้านบนของอะกะมิที่นุ่มเนียนที่สุด ดองในโชยุ 3 ชั่วโมงจนผิวด้านนอกเปลี่ยนสี ขับเน้นความอูมามิ ตามด้วย Kasugodai หรือลูกปลามะไดตัวเล็ก ชื่อนี้เขียนเป็นคันจิได้ว่าเด็กที่เกิดในฤดูใบไม้ผลิ นำมาดองน้ำส้มให้มีรสเปรี้ยวอ่อนๆ ชวนสดชื่น จากนั้นเชฟยกหม้อดินออกมาเปิดให้เราชม ข้าวอบหอยเป๋าฮื้อ (Awabi Donabe Gohan) ร้อนๆ ซึ่งเป็นเมนูพิเศษที่ต้องสั่งเพิ่ม (600-800 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของอะวะบิ) แต่คุ้มเอาการ ก่อนเสิร์ฟเชฟเอาซอสตับเป๋าฮื้อมาคลุกเคล้ากับข้าวจนหอมชวนกิน เวลาเสิร์ฟก็ท็อปด้วยเป๋าฮื้อและไข่ปลาอิคุระ กลมกล่อมมาก และอีกหนึ่งคำพิเศษที่ต้องสั่งเพิ่มเช่นกัน Awaji Yura Murasaki Uni หรืออุนิพันธุ์มุราซากิหน้าคว่ำ ที่มีความบริสุทธิ์เพราะไม่ใส่สารเมียวบัง (สารคงรูป) แพคมาแบบคว่ำหน้าเป็นเอกลักษณ์ เนื้อสัมผัสหวานฉ่ำ รสชาติอวลอยู่ในปาก อร่อยเป็นที่สุด กลับเข้าสู่คอร์สปกติด้วย Kohada Garishiso Maki ข้าวห่อสาหร่ายไส้ปลาปลาโคะฮะดะ ขิงดอง และใบชิโสะ เป็นคำส่งท้ายที่ให้รสเบาและสดชื่น เสิร์ฟพร้อม Shijimi Misoshiru ซุปมิโสะที่ใช้ชินชูมิโสะ หรือมิโสะสีเหลืองที่มีรสเค็มและเข้มข้น ตัดด้วยรสหวานละมุนจากหอยชิมิจิ ปิดท้ายด้วย Ebo Tamagoyaki ไข่หวานที่ใส่เนื้อปลาบดผสมแทนเนื้อกุ้งให้รสนวลเนียน คนแพ้กุ้งก็กินได้ และของหวานล้างปากที่เริ่มจากผลไม้ Apple Ourin แอปเปิลเนื้อหวานกรอบจากจังหวัดอะโอะโมะริปอกให้กินแบบสดๆ และ Warabimochi วะระบิโมจิราดน้ำเชื่อมคุโระมิตสึและผงคินะโกะ ปิดท้ายมื้ออย่างแฮปปี้ คอร์สโอมากาเสะที่ Yotsuha Sushi ราคา 4,500 บาท ++ ตัวร้านมีเพียง 8 ที่นั่ง เพื่อที่เชฟคุมะจะได้ปั้นซูชิให้ลูกค้าทุกคนอย่างใส่ใจ อยากลิ้มลองซูชิแบบดั้งเดิมที่ชูรสชาติของวัตถุดิบอย่างประณีต ไม่ปรุงแต่งมากเกินไป และมีวัตถุดิบหลากหลายให้ลิ้มลอง ที่นี่น่าจะถูกใจเลยล่ะ

จากร้านยากิโทริในบรรยากาศบ้านโบราณของญี่ปุ่นแห่งเอกมัยที่ Michelin Guide แนะนำ ตอนนี้เชฟ Kenichi Nagata เปิดบ้านหลังใหม่ย่านอโศกในพื้นที่ของโรงแรม Sotetsu Grand Fresa Bangkok Hotel พร้อมยกเมนูซิกเนเจอร์มาให้ได้ลิ้มลองกันใกล้ขึ้น แต่พิเศษยิ่งกว่าเดิมตรงที่เสิร์ฟมื้อเช้าสไตล์ญี่ปุ่น และมีมื้อกลางวันสำหรับชาวออฟฟิศด้วย เพราะเสน่ห์ของ Gen คือเมนูย่างถ่าน ภายในร้านจึงมีโซนกระจกใสล้อมรอบด้วยเคาน์เตอร์บาร์ให้เห็นเชฟบรรจงย่างแต่ละเมนูอย่างพิถีพิถัน ถ่านที่ใช้ในร้านเป็นถ่านขาว (Bincho Tan) สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมอวลให้วัตถุดิบแต่ละชนิด ควันน้อย และคุมอุณหภูมิได้ง่าย มาถึงที่นี่แล้วอย่าพลาด Hitachi Wagyu Striploin Steak เนื้อจากบ้านเกิดของเชฟที่จังหวัดอิบารากิ รสเข้มข้นแต่ไม่มันมากเกินไป สั่งได้ทั้ง A4 และ A5 เสิร์ฟพร้อมกระเทียมย่าง พริกญี่ปุ่นหรือกระเจี๊ยบย่างเกลือ วาซาบิ และพริกไทยดำที่เชฟนำไปดองเกลือ Jidori kushi Yaki 8 ไก่ของที่ร้านส่งตรงจากฟาร์มที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เชฟนำมาทำเป็นยากิโทริ 8 ไม้ ทั้งส่วนเนื้อและเครื่องในที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติแตกต่างกัน ไฮไลต์อยู่ที่ลูกชิ้นไก่โฮมเมดรสชาติกลมกล่อมจับคู่กับไข่แดงดิบ Unajyu ข้าวหน้าปลาไหลที่ใช้ปลาไหลสดจากญี่ปุ่นเท่านั้น นำมาย่างบนเตาถ่าน ราดด้วยซอสสูตรเฉพาะที่เมื่อกินด้วยกันแล้วอร่อยมาก เสิร์ฟพร้อมซุปและผักดอง รวมถึง Salmon and Ikura Donabe Gohan ข้าวอบหม้อดินเสิร์ฟร้อนแบบควันฉุย อัดแน่นด้วยแซลมอน อิคุระ เห็ด และหัวไชเท้าหั่นเต๋า กลิ่นหอมและรสชาติดีมาก ปิดท้ายด้วยของหวานขึ้นชื่อ Matcha Fondue ที่ใช้มัตฉะพรีเมียมจากเกียวโต จับคู่กับกล้วย สตรอว์เบอร์รี ช็อกโกแลตมาร์ชแมลโลว์โฮมเมด สปันจ์เค้กโฮมเมด และโมจิโฮมเมด ส่วนสายกินดื่มที่ร้านเสิร์ฟสาเกเซ็ตที่เลือกได้หลายแบรนด์ รวมถึงค็อกเทลอย่าง Spicy Ginger Ale ไฮไลต์อยู่ที่จินเจอร์เอลรสสดชื่นที่เชฟ Kenichi  ทำเอง เอาเป็นว่าบ้านหลังใหม่ดีงามไม่แพ้ที่เอกมัยเลย

ความแตกต่างที่แสนพิเศษของ 海味 Umi ที่ทำให้แฟนโอมากาเสะซูชิอย่างเราปฏิเสธไม่ได้เลยก็คงเป็นเรื่องของรสชาติที่ไม่ว่าจะขยายไปกี่สาขาเราก็อยากตามไปลิ้มรสทุกที่ เพราะด้วยความตั้งใจของบรรดาหุ้นส่วนที่ต้องการให้อิสระกับเชฟเพื่อเป็นเวทีสำหรับการบรรเลงฝีมือ ปรุงแต่งรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับสาขานั้นๆ จนสุดท้ายกลับกลายเป็นจุดขายที่ชูโรงให้เมนูจาก Umi กลายเป็นงานศิลปะชิ้นเอกที่สามารถตกถึงท้องได้ จะบอกว่ากลยุทธ์นี้ใช้ได้ผลจริงๆ เพราะ G&C ก็ไม่เคยพลาดสักสาขาตั้งแต่สุขุมวิท 49 และเกษรวิลเลจ ล่าสุดทางแบรนด์ Umi เปิดบ้านใหม่ในโครงการ Velaa Sindhorn มาพร้อมคาแรกเตอร์ของรสชาติที่เข้มข้นกว่าที่เคยเสิร์ฟ แต่ก่อนที่จะไปพูดถึงรสชาติ ทางคุณณัฐ-พงศ์ธนากร หนึ่งในหุ้นส่วนของร้านได้เล่าให้ฟังว่า Umi @Velaa เปรียบเสมือนยกร้านโอมากาเสะจากญี่ปุ่นมาไว้ที่ไทย เพราะทุกคนจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นในทุกอณูผ่านงานอินทีเรียที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดังชาวญี่ปุ่น โดยวัสดุที่ใช้ก็ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่นเช่นกัน หากมองด้วยตาเนื้อจะเห็นงานไม้ที่ดีไซน์อย่างเรียบง่ายตามศิลปะการตกแต่งแบบญี่ปุ่น แต่ถ้าลองสูดลมหายใจลึกๆ จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นไม้ที่หอมเย้ายวนผนวกกับกลิ่นหอมๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากครัว ถ้าโอมากาเสะคือความไว้วางใจให้เชฟเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ ที่ Umi ก็ได้ใจเราไปเต็มๆ ด้วยวัตถุดิบที่เสาะหามาอย่างดีรับประกันความพรีเมียมวางมากับข้าวปั้นซึ่งเชฟมีกรรมวิธีการหุงที่แตกต่างจากสาขาอื่นๆ บวกกับน้ำส้มสายชูและโชยุ ที่ช่วยดึงรสชาติของวัตถุดิบออกมาได้อย่างประณีต โดยมีคอร์สสุดประทับใจได้แก่ Kuruma Ebi กุ้งลายเสือตัวโตที่เชฟนำไปปรุงสุกท็อปมาบนข้าวปั้น ให้รสสัมผัสเด้งเคี้ยวสนุก Wild Caught Hon Maguro – Chutoro เนื้อสีชมพูมีลายไขมันแทรกเล็กน้อย ให้รสหวานมัน ต่อด้วย Wild Caught Hon Maguro – Akami ส่วนเนื้อแดงของทูน่าที่ให้รสเข้มข้น ยิ่งเคี้ยวยิ่งอร่อย และ Zuwaikani (Snow crab) Uni Shari with Caviar ปูหิมะเนื้อหวานประกบคู่ด้วยคาเวียร์รสเค็มเล็กน้อย ซึ่งตัดรสกันได้เป็นอย่างดี เมื่อจิบชาเซนฉะควบคู่ไปด้วยความอูมามิในชายิ่งช่วยชูรสชาติของวัตถุดิบแต่ละชนิดให้เด่นขึ้นเป็นกอง

ยินดีต้อนรับสู่ “Kokugura Ramen” ร้านคราฟท์ราเมน และบาร์สาเก (ในยามเย็น) เปิดใหม่ของเชฟแอ๋-กุลพล สามเสน ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความชอบราเมนเป็นการส่วนตัว บวกกับการตะลุยชิมราเมนที่ดินแดนอาทิตย์อุทัยกว่า 23 ร้านภายใน 7 วัน และความมุ่งมั่นที่เชฟแอ๋เชื่อว่า ‘คนเราไม่มีทางทำอาหารได้อร่อยกว่าสิ่งที่ตัวเองเคยกิน’ ก่อนกลับมาพัฒนาสูตรกว่า 6 เดือน จนได้ราเมนรสเด็ดที่สายฟู้ดสามารถกินได้ไม่มีเบื่อ   คำว่า Kokugura (โคคุกุระ) ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ‘ยุ้งฉาง’ ซึ่งเชื่อมโยงกับร้านอาหารจีนยุ้งฉาง โปรเจกต์แรกของเชฟแอ๋ ที่ตั้งอยู่ในย่านอารีย์เช่นเดียวกับ Kokugura Ramen เพียงกดลิฟต์ไปชั้น 7 ของของตึก White Cloud แห่งซอยอารีย์ 5 (ฝั่งเหนือ) ก็จะเจอกับร้านคราฟท์ราเมนบรรยากาศสแกนดิเนเวียน ที่สร้างความผ่อนคลายให้คุณด้วยโทนสีขาวสบายตา แสงแดดอุ่นๆ สาดส่องเข้ามาผ่านม่านสีขาวทำให้ร้านสว่างน่านั่ง เดินเข้ามาจะพบกับเคาน์เตอร์บาร์ไม้สำหรับคนที่มาซู้ดราเมนคนเดียว ส่วนโต๊ะสำหรับกลุ่มเพื่อนก็มีให้เลือกนั่งเช่นกัน จานแรกเป็น Deep Fried Iwachi with Mentaiko Aioli ปลาฮิวาชิเนื้อสด ห่อโอบะทอดอย่างดีจนเป็นสีเหลืองทอง กินคู่ซอสเอโอลี่เมนไทโกะรสเข้มข้น ตามด้วย Aburi Shime ปลาซาบะดองสาเกอย่างดีจนไร้กลิ่นสาบ ก่อนนำไปเบิร์นไฟให้หอม เสิร์ฟพร้อมไชเท้าดองโฮมเมด พร้อมรสเปรี้ยวเล็กน้อยด้วยเลมอนซีก Gyokai Tonkotsu Ramen เส้นราเมนโฮมเมดที่ทำจากแป้งโฮลวีตให้สัมผัสเหนียวนุ่ม เข้าคู่น้ำซุปใสรสกลมกล่อมที่มีเบสมาจากน้ำซุปหมูและไก่ เพิ่มความหอมด้วยปลาแห้งจากกรุงโตเกียว เพิ่มความฟินด้วยหน่อไม้กรุบกรอบที่ผ่านการหมักและนำไปผัดแบบจีน สันคอหมูซูวีด์เนื้อฉ่ำรมควันฟาง คอหมูย่างตุ๋น และไข่ต้มหมักโชยุ ปิดท้ายด้วยพระเอกของร้าน Ika Sumi Tsukemen เส้นราเมนแบบหนาให้สัมผัสนุ่มแน่น กินอร่อย ท็อปด้วยเครื่องเคราต่างๆ เสิร์ฟคู่น้ำซุปหมึกดำรสเข้มข้น ที่มีส่วนผสมของซุปหมูเคี่ยวอย่างดี และคาราวานซีฟู้ดรสหวานธรรมชาติ   ของหวานที่ร้านมีไอศกรีมนะ

อีกหนึ่งหมุดหมายของคนรักเนื้อ Yakiniku Great Bangkok ร้านยากินิกุโอมาเสะเนื้อชื่อดังจากญี่ปุ่น ที่หลังจากประสบความสำเร็จในฮ่องกงและมาเลเซีย ก็ถึงคราวมากระตุ้นต่อมความอร่อยของชาวกรุงเทพย่านสุขุมวิท ด้วยเนื้อพรีเมียมมาร์เบิลสกอร์ระดับ 10-11-12 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดผ่านการประมูลจากประเทศญี่ปุ่น ภายในร้านสีดำสุดโมเดิร์นได้ความไพรเวตอย่างแท้จริง ภายในคอร์สจะมีการไล่ระดับรสชาติเนื้อไปตามสเต็ป สลับด้วยเมนูอื่นๆ ที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน สำหรับคอร์สใหญ่ Great Omakase แบ่งเป็น 16 คอร์ส ที่เสิร์ฟเนื้อด้วยกัน 8 ส่วน ผสานกับอาหารทะเลสดใหม่ และผักหลากชนิดตามฤดูกาล อาทิ Wakyu Tartare Truffle สตาร์ตเตอร์ชวนว้าว ที่นำเนื้อสับมาจับคู่กับบาร์แกต ชีสและน้ำมันทรัฟเฟิล หอมละมุนเริ่มต้นมื้อได้ดีสุดๆ Yaki Sashi with Bubble Soy Sauce เนื้อใบพายส่วนบนสไลด์เป็นแผ่นบางย่าง 7 วิเพียงด้านเดียว เสิร์ฟคู่วาซาบิสด และบับเบิ้ลซอยซอสที่ทำจากไข่ขาวกับโชยุ Chateaubriand and Uni with Rice เนื้อชาโตบริยองด์ย่างแบบมีเดียมแรร์ที่ผ่านการแร็ป 5 นาทีเพื่อเก็บความชุ่มฉ่ำ วางบนข้าวญี่ปุ่นท็อปด้วยบาฟุนอูนิราดซอสเนยกระเทียม Tsukune Hamburg เนื้อวากิวส่วนขาหน้าที่เสิรฟ์มาในรูปแบบแฮมเบิร์กย่างให้สุกระดับมีเดียมแรร์กินพร้อมสวีทซอยซอส และไข่แดง นอกจากนี้ยังมี โซเมนเย็น เสิร์ฟคู่กับน้ำซุปปลาย่าง และของหวานสำหรับล้างปากอย่าง Monaka ที่จะได้สัมผัสกรุบกรอบจากแป้งซากุระวาฟเฟิลด้านนอก ภายในหนึบหนับด้วยแป้งโมจิ ไอศกรีมนมฮอกไกโด และถั่วแดง อิ่มอร่อยทั้งคาวหวานชวนประทับใจ

ชวนคนรักอาหารญี่ปุ่นไปชิม “Sushi Kuuya” โอมากาเสะเปิดใหม่ในโครงการ Vivre Langsuan (BTS ชิดลม) ของเชฟโกจิ โคบายาชิ เชฟหนุ่มไฟแรงชาวญี่ปุ่นที่เปี่ยมประสบการณ์การทำซูชิกว่า 15 ปีจากประเทศสหรัฐอเมริกา ดินแดนอาทิตย์อุทัย และโรงแรมห้าดาวใจกลางกรุงเทพฯ ก่อนมาเปิดร้านเป็นของตนเอง ในส่วนของชื่อร้านคำว่า ‘Kuuya’ ในชื่อร้านเป็นภาษาแสลงของย่านฮากาตะแปลว่า ‘Let’s eat’ ซึ่งพ่อของเชฟเป็นคนตั้งให้ จุดเด่นของ Sushi Kuuya แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องวัตถุดิบที่เชฟสั่งตรงมาจากเกาะฮอกไกโด และสัมผัสแน่นนุ่มหนึบของข้าวสูตรพิเศษ ที่เชฟใช้ข้าว 3 สายพันธุ์จากเมืองฮอกไกโดและจังหวัดมิยากิ หุงกับน้ำส้มสายชูแดงรสกลมกล่อมใน ‘Hagama’ หม้อหุงข้าวดั้งเดิมของญี่ปุ่น เสิร์ฟในบรรยากาศเรียบง่ายและให้ความส่วนตัว ด้วยโทนสีขาวนวลสบายตาและเคาน์เตอร์บาร์ไม้สีน้ำตาลอ่อนสำหรับ 8 ที่นั่ง เปิดต่อมรับรสด้วย Sashimi – Akami เนื้อส่วนกลางลำตัวของทูน่าจากเกาะฮอกไกโด ให้สัมผัสนุ่มฉ่ำ ราดซอสมิโซะโฮมเมด เสิร์ฟเคียง Tsubugai หรือหอยสังข์ญี่ปุ่นเนื้อหนึบ ท็อปด้วยซอสอุเมะรสเปรี้ยวเล็กๆ และ Hakkaku ปลามังกรญี่ปุ่นเนื้อนุ่ม ไร้กลิ่นคาว ต่อด้วย Megai Awabi หอยเป๋าฮื้อจากเกาะฮอกไกโดอีกเช่นเคย ที่เชฟคุกอย่างดีจนได้เนื้อแน่นหนึบ กินพร้อมซอสสูตรเด็ดรสครีมมีที่ทำจากตับของหอยเป๋าฮื้อ Ikageso หนวดปลาเทมปุระทอดร้อนจี๋ ห่อด้วยสาหร่ายหอมๆ กินเพลิน ก่อนเสิร์ฟเชฟโรยด้วยเกลือทะเล และบีบมะนาวซีกเล็กน้อย มาถึงคิวของนิกิริซูชิที่หลายคนรอคอยกันบ้าง คำแรกเป็น Yari Ika ปลาหมึกกล้วยญี่ปุ่นเนื้อนุ่มๆ บวกความหนึบเล็กๆ เคล้าไข่หอยเม่นพรีเมี่ยมรสเค็มกลมกล่อม คำนี้ที่รอคอย Kegani ปูขนเนื้อหวานที่ส่งตรงมาจากเกาะฮอกไกโด เข้ากันดีกับข้าวญี่ปุ่นผสมอูนิรสเค็มละมุน โรยหน้าด้วยไข่ปลาแซลมอนที่สายฟู้ดชอบ Kohada ปลาตะเพียนญี่ปุ่นเนื้อสดหากินยาก ออนท็อปด้วยขิงเผ็ดซ่า Hamaguri เพลินพลินกับสัมผัสนุ่มลิ้นเคี้ยวเพลินของหอยตลับลายตัวอวบๆ ตามด้วย Tamagoyaki ไข่หวานสูตรพิเศษเนื้อแน่นที่ทำจากมันภูเขาญี่ปุ่น ปลา กุ้ง อร่อยอย่าบอกใคร ตบท้ายด้วยซุปมิโซะและชาร้อนๆ สักแก้วก็เป็นอันเสร็จสิ้น

คำว่า Nikaku ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง ‘นกกระเรียนคู่’ เป็นสัตว์มงคลของชาวญี่ปุ่นที่หมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองอันยั่งยืน เหมือนเจ้าของร้านอย่าง เชฟเซตสึโอะ ฟูนาฮาชิ (Setsuo Funahashi) เชฟซูชิผู้เป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูล และภรรยาสาว เชฟคาซูมิ ฟูนาฮาชิ (Kazumi Funahashi) เชฟขนมหวานผู้ร่ำเรียนศิลปะการทำขนมญี่ปุ่น (วากาชิ) จากคุณแม่ของเธออย่างช่ำชอง   Nikaku เป็นร้านโอมากาเสะชื่อดังในตำนานแห่งเมืองคิตะคิวชู ที่เปิดมาแล้วกว่า 60 ปี (จนถึงปัจจุบัน) ให้สายฟู้ดเอ็นจอยกับซูชิเอโดมาเอะ ที่เน้นความสดใหม่ของวัตถุดิบจากช่องแคบคัมมง และทะเลรอบๆ เกาะคิวชู ผ่านการปรุงด้วย ‘เอนไบ’ รสนุ่มนวลและกลมกล่อมอันเกิดจากความสมดุลของเกลือและน้ำส้มสายชู และผ่านการปั้นจากเชฟเซตสึโอะ โดยเขาใช้เทคนิคเก่าแก่ Honte-gaeshi ที่สืบทอดกันมานานกว่า 200 ปี แพร์ริ่งไปกับชาชั้นดี 7 ชนิด จากจังหวัดต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ที่ทุกแก้วล้วนชงกับน้ำแร่เลอค่า ฟู้ดดี้คนไหนอยากลิ้มลองให้ปักหมุดที่ Nikaku Bangkok” ที่ตั้งอยู่ใน W Bangkok ได้เลย ดื่มด่ำกับบรรยากาศหรูหรา ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทันสมัย และความเป็นส่วนตัว (สามารถรองรับลูกค้าได้รอบละ 10-12 ที่นั่ง)    คำแรกเป็น Nidako ปลาหมึกยักษ์เนื้อเหนียวนุ่มจากช่องแคบคัมมง ราดซอสน้ำส้มสายชูสีแดงผสมซีอิ๊วรสกลมกล่อม ที่มีทั้งเปรี้ยว เค็ม และหวานนิดๆ สโมคกลิ่นดอกซากุระหอมฟุ้ง ถือเป็นการเปิดต่อมลิ้มรสได้ดี แพร์ริ่ง Sonogi Tea มัตฉะชั้นดีจากจังหวัดนางาซากิ ผสมน้ำโซดาซาบซ่า   ตามด้วย Madai ปลากระพงแดงเนื้อหวาน ที่เชฟใช้เทคนิคการเก็บปลาให้ยังคงสดใหม่ เข้าคู่กับวาซาบิขูดสด Sawara ปลาซาวาระหรือปลาอินทรีย์ญี่ปุ่น สัญลักษณ์แห่งฤดูใบไม้ผลิ โดยทางร้านจะใช้ปลาที่จับได้โดยเบ็ดเดี่ยวเท่านั้น เพราะเนื้อจะชุ่มฉ่ำมากกว่า Chawanmushi ไข่ตุ๋นสไตล์ญี่ปุ่นเนื้อเด้งที่หลายคนเลิฟ แต่ครั้งนี้พิเศษหน่อยเพราะเชฟตุ๋นแบบเย็น จิบคู่ Oolong Tea ชาอู่หลงกลิ่นหอมแห่งซัตสึมะเซ็นได เคล้าขิงขูดรสเผ็ดซ่า หนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวอาทิตย์อุทัย Kuruma-ebi กุ้งลายเสือญี่ปุ่นที่ส่งตรงมาจากเกาะคิวชู เนื้อสดหวานตามธรรมชาติ เสริมรสให้ลงตัวด้วยมิโซะโฮมเมด Maguro ปลาทูน่าครีบสีน้ำเงิน ที่ทางร้านนำเข้าจากทะเลแถบนางาซากิแห่งประเทศญี่ปุ่น เนื้อสดรสหวาน สมแล้วที่ได้ฉายา ‘ราชาแห่งปลาทั้งมวล’ Sasa Kare ปลาคะเรเนื้อบางผิวขาว นำไปย่างฟางจนหอม ก่อนเสิร์ฟโรยเกลือเล็กน้อย Anago Nigiri ปลาไหลทะเลญี่ปุ่นเนื้ออ่อนนุ่ม เพิ่มรสอูมามิด้วยเกลือเล็กน้อย Ika ซูชิปั้นสดหน้าปลาหมึกอิกะ เนื้อหนึบนุ่มกำลังกิน คำที่แสนเลอค่า Yaito Katsuo ปลาโอคุณภาพจากหมู่เกาะโกโต นางาซากิ ที่รมควันด้วยฟางกลิ่นหอม Ikura Hirasu ลูกปลาซาดีนน่าลิ้มลอง ผสมซอสดาชิรสนุ่มนวล โรยหน้าด้วยไข่ปลาแซลมอนล้นๆ   ต่อด้วย Uni อูนิสดตามฤดูกาลจากเมืองฮอกไกโด รสหวานกินเพลิน Otoro เนื้อนุ่มแทบละลายในปาก Ma Saba ปลาซะบะเสิร์ฟแบบสด วัตถุดิบขึ้นชื่อจากเมืองนางาซากิ Kaki Sakamushi หอยรางรมตัวอวบแห่งจังหวัดยามากุจิ นึ่งกับสาเกชั้นดีจนทำให้ได้รสหวานผสานกับเนื้อสัมผัสหนึบนิดๆ Tuna Berry ซูชิโรลทูน่าเนื้อฉ่ำ ที่ทางร้านใช้ซากะโนริ (สาหร่าย) ที่ดีที่สุดจากทะเลอาริอาเกะ ไปต่อกันกับ Tamago แสนอิ่มเอม ตัวไข่เนื้อนิ่ม มิ๊กซ์ไปกับน้ำซุปดาชิรสหวานเค็ม แพร์ริ่ง Hoshino Mura Hon Gyokuro ชาเขียวเกียวคุโระที่มีคุณภาพสูงสุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งที่ปลูกจากหมู่บ้านโฮชิโนะ ให้รสหวานสลับกับความอูมามิ ก่อนเอ็นจอยขนมหวานของเชฟคาซูมิ Mizuyoukan วุ้นสไตล์ญี่ปุ่นตามฤดูกาล ครั้งนี้เชฟใช้ส้มแมนดารินรสสดชื่น เข้าคู่กับวุ้นถั่วแกงกวนรสหวานฉ่ำ Longan Pudding ฐานล่างเป็นพุดดิงน้ำเต้าหู้ครีมมี ไปด้วยกันได้กับพุดดิงลำไยรสหวานหอม ตัดด้วยกะทิเค็มมันเล็กน้อย   ยังมีของหวานไฮไลต์อย่าง Flourless Japanese Chocolate Cake เค้กช็อกโกแลตไร้แป้งสไตล์โฮมเมด เนื้อแน่นรสเข้มข้นนี้ปราศจากนม เนย ไข่ จิบคู่ Kitsuki Black Tea ชาดำนุ่มลึกที่อบอวลไปด้วยกลิ่นกุหลาบ นี้มาจากจังหวัดโออิตะ

ชวนมาเปิดประสบการณ์ใหม่ของการกินอาหารสไตล์ญี่ปุ่นในแบบฉบับของซูชิแฮนด์โรลล์ หรือซูชิที่ม้วนและห่อสาหร่ายด้วยมือแล้วเสิร์ฟให้กินกันสด ๆ ที่ Kanori Hand Roll Bar ซอยสุขุมวิท 49 Kanori Hand Roll Bar มาพร้อมกับบรรยากาศภายนอกแสนร่มรื่นเป็นสีเขียวสบายตาด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ส่วนภายในนั้นเรียบง่าย มีเพียงบาร์สูง ทำหน้าที่เป็นทั้งที่ปรุง ที่เสิร์ฟ และที่กิน แบบ 3 in 1 เมนูซูชิแฮนด์โรลล์ของที่นี่มาในแบบฉบับของคอร์สเมนู ที่มีให้เลือกในหลากหลากราคาและจำนวนคำ ตั้งแต่ 4 คำไปจนถึง 7 คำ แถมยังสามารถอัปเกรดเมนูพรีเมียมแฮนด์โรลล์อย่าง Lobster Bomb โรลล์ล็อบสเตอร์ และ Uni ไข่หอยเม่น เพิ่มความจุใจได้อีกด้วย เพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่เต็มอิ่มที่สุด คอร์สเมนูจำนวน 7 คำ จึงเป็นตัวเลือกที่น่าลองที่สุด โดยเริ่มต้นคำแรกด้วย Blue Crab โรลล์เนื้อปูม้า (ปูสีฟ้า) มาแน่นเต็มคำพร้อมด้วยอะโวคาโดและไข่กุ้ง ทางร้านแนะนำว่าเมื่อเสิร์ฟแล้วให้รีบกินทันที ก่อนที่สาหร่ายจะหมดความกรอบ จากนั้นมาต่อกับคำที่สอง Hotate (Yuzukosho) หอยเชลล์ฮอกไกโดสด ๆ ทาซอสพริกผสมส้มยูซุ ให้กลิ่นหอมและความเผ็ดแทรกมาเล็ก ๆ น้อย ๆ คำที่ 3 เอาใจคนรักแซลมอนด้วย Salmon Bomb ที่อัดมาทั้งแซลมอนสด อะโวคาโด ไข่กุ้ง และซอสปูสุดกลมกล่อม ตามมาด้วย Botan Ebi โรลล์กุ้งโบตั๋นตัวใหญ่เนื้อหวาน และ Akami Tsuke โรลล์เนื้อปลาทูน่าส่วนอากามิสีแดงสด ผ่านการหมักจนได้รสชาติเข้มข้น ปิดท้ายด้วย Negitoro โรลล์ทูน่าสับโรยต้นหอม และ Tamago โรลล์ไข่หวานที่จับคู่มากับอะโวคาโดและไข่กุ้ง บอกเลยว่าคนรักปลาดิบจะไม่ผิดหวัง

เมื่อพูดถึง Sousaku” แฟนคลับอาหารญี่ปุ่นยกนิ้วให้เลย เพราะเป็นร้านซูชิและสุกียากี้สไตล์คันไซที่ได้ใจสายฟู้ดมานานกว่า 10 ปี ด้วยการใช้วัตถุดิบคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก ผ่านฝีมือเชฟที่ถูกเทรนด์จากเชฟญี่ปุ่นโดยตรง ซึ่งครั้งนี้เราแวะมากินที่สาขาอารีย์ ตัวร้านจำลองเป็นบ้านญี่ปุ่นโบราณ 2 ชั้น ที่สร้างและตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ ทั้งปูนผสมหญ้า ผนังไม้ไผ่เงางามและเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น สบายๆ เหมือนกินมื้ออร่อยในบ้านเพื่อน สายเนื้อห้ามพลาด Gyu (Beef) Signature Set เซ็ตเนื้อสัญชาติออสเตรเลียสำหรับสุกียากี้ ที่ประกอบด้วย เนื้อริบอายชุ่มฉ่ำ เนื้อสันคอ ที่นำไปทำเมนูไหนก็อร่อย เนื้อบริเวณไหล่ อุดมไปด้วยไขมันเยอะ (เด็กอ้วนฟิน) เหมาะมากสำหรับปิ้งย่าง ชุดผัดสดและไข่ไก่ ส่วนใครไม่กินเนื้อจะสั่งเป็นเซ็ตหมู หรือจานอะลาคาร์ตอย่าง Pork belly หมูสามชั้นคูโรบุตะชิ้นใหญ่ๆ มีไขมันแทรกทำให้เนื้อสัมผัสนุ่ม กินอร่อย เข้าคู่น้ำจิ้มพอนซึรสเปรี้ยวพอเหมาะ   ตามด้วยเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Kanimiso Kamameshi ข้าวมันปูอบหม้อดิน ที่ฐานล่างเป็นไข่กุ้งกรุบๆ เคี้ยวเพลิน เคล้าข้าวญี่ปุ่น ก่อนท็อปด้วยปูหิมะเนื้อหวาน และไข่ปลาแซลมอนรสเค็มกลมกล่อม คนรักซูชิอย่าลืมสั่ง Sousaku Edomae Sushi Style ข้าวญี่ปุ่นหุงน้ำส้มสายชูหมักไวน์แดง ปั้นเป็นซูชิหน้าต่างๆ อาทิ แซลมอน ที่คุ้นเคย โอโทโร่ เนื้อนุ่ม ฮามาจิ ปลาหางเหลือง ทามาโกะ (ไข่หวานญี่ปุ่น) ปลาไหล อาคามิ ชิมา อาจิ หรือปลาทูญี่ปุ่นยักษ์ และอิคุระ

Tenko Omakase (เท็นโกะ โอมากาเสะ) ปรับเปลี่ยนสไตล์การนำเสนอโอมากาเสะแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม เป็นโฉมใหม่ในสไตล์ที่เรียกว่า คัปโปะ (Kappo) เพิ่มลูกเล่นของอาหารให้แปลกใหม่กว่าเดิมในปี 2023 นี้ ภายใต้หัวเรือคนใหม่ เชฟไดสุเกะ นิชิมูระ ผู้สั่งสมประสบการณ์ในการทำอาหารแนวคัปโปะและไคเซกิมากว่า 20 ปี คัปโปะโอมากาเสะแบบฉบับของเท็นโกะภายใต้การนำของเชฟไดสุเกะ นำเสนอรสชาติเข้มข้นในแบบที่คนไทยชื่นชอบ “คนไทยยังชื่นชอบการกินซูชิคำเล็ก ๆ ผมปรับขนาดซูชิให้เล็กลงแล้วทดแทนด้วยเมนูที่หลากหลายมากขึ้น” เชฟไดสุเกะบอก ส่วนที่สร้างความตื่นเต้นในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนและเป็นสิ่งที่เชฟไดสุเกะภูมิใจนำเสนอนั้นก็คือ จานเรียกน้ำย่อยแบบคัปโปะ ซึ่งจะประกอบไปด้วย ซุปสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม ซาชิมิ และเมนูเซ็ต ภายใต้รูปร่างหน้าตาแบบร่วมสมัย และมีส่วนประกอบของผักมากกว่าคอร์สโอมากาเสะที่เราคุ้นเคย เช่น Colinky Pumpkin with Soymilk Cold Soup ซุปฟักทองและนมถั่วเหลืองเย็น รสชาตินุ่มนวลกลมกล่อม Sesame tofu with Seaurchin, Caviar, Cucumber, Kinzanji miso โมจิงาดำเสิร์ฟพร้อมอูนิ คาร์เวียร์ และคินซันมิโสะ ได้เนื้อสัมผัสที่หลากหลาย และเป็นรสชาติที่ผสมผสานกันแล้วลงตัวอย่างน่าทึ่ง Ankimo Toast with Sibazuke pickles and Spring onion ตับปลาอังกิโมะ หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อปลามังค์ฟิช เชฟนำมาผสมผสานกับมิโสะจากเกียวโต ให้ทั้งความหอมมันและรสชาติที่เข้มข้น สมกับที่ได้ชื่อว่าฟัวกราส์แห่งท้องทะเล วางมาบนโทสต์และท็อปด้วยผักดอง Monaka with Smoked Stingray fin Tartar Japanese Tomato, Avocado, Red sorrel ขนมโมนากะ แป้งกรอบคล้ายเวเฟอร์ ทำมาจากแป้งโมจิมาในทรงคล้ายกับจานขนาดจิ๋ว ด้านในเป็นทาร์ทาร์มะเขือเทศ อะโวคาโด และครีบปลากระเบนรมควัน Chawanmushi with Foie gras ไข่ตุ๋นแบบญี่ปุ่นเนื้อเนียนนุ่ม มาพร้อมกับฟัวกราส์ในน้ำซุปโบนิโต และก่อนที่จะเข้าสู่คอร์สนิกิริซูชิ เชฟได้เสิร์ฟ Sashimi with Organic Vegetables Salad Zucchini, Water melon, Hasuimo, Mizunasu egg plant, Sour jelly , Sour egg yolk sauce ซาชิมิส่วนท้องทูน่า มาพร้อมซอสไข่แดง ซูกินีสด มะเขือม่วงสด ต้นบอน แตงโม และมันหวาน ท็อปด้วยเดรสซิ่งสีเหลืองในรูปแบบของเจลลี เป็นจานสลัดที่มอบความสดชื่นได้ดีทีเดียว สำหรับนิกิริซูชิของ Tenko Omakase ภายใต้การนำของเชฟไดสุเกะนั้น ประกอบไปด้วย Shime Saba ปลาซาบะดองน้ำส้มสายชู โดยระหว่างตัวข้าวและเนื้อปลานั้นได้สอดไส้ด้วยใบชิโสะ และท็อปด้วยต้นหอมจิ๋ว ขิง และพริกป่น รวมกันแล้วเป็นคำที่เต็มไปด้วยรสชาติอันหลากหลายและเข้ากันได้อย่างดี แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนเมนูไปไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ซูชิกับปลาแบบคลาสสิกก็ยังคงอยู่ เช่น Buri zuke ซูชิปลาฮามาจิ, Akamutsu ซูชิปลากะพง, Uni ซูชิไข่หอยเม่น, Ezo Awabi ซูชิหอยเป๋าฮื้อกับซอสตับ และ Kamasu ซูชิปลาบาราคูด้า การนำเสนอโอมากะเสะในรูปแบบใหม่ของเชฟไดสุเกะยังไปต่อกันที่ Deep fried Amadai, Gingko, Shaved dry seaweed, dry Plum ปลาอามะไดหรือปลาไท่หวานทอดจนเกร็ดกรอบ เสิร์ฟพร้อมแปะก๊วย สาหร่ายแห้ง และบ๊วยแห้ง โดยมีส้มจี๊ดวางคู่มาให้เราบีบเพิ่มรสชาติและความหอมแบบซีตรัส จากนั้นเป็นเมนูเส้นชื่อว่า Waterfall Somen Noodle ที่นำเสนอมาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ จับคู่มากับอกเป็ดซูวี เพิ่มความเผ็ดและหอมชื่นใจด้วยยูซุเปปเปอร์ ปิดท้ายด้วย Tamagoyaki เค้กไข่ทามาโกะยากิเนื้อนุ่มเด้ง ส่งกลิ่นหอมอบอวลในปาก และของหวาน Houjicha with Hokkaido milk pudding and Fig, Awayuki salt พุดดิ้งโฮจิฉะและนมฮอกไกโดราดซอสบราวน์ชูการ์ กินคู่กับผลฟิกสดและโรยด้วยเกลืออะวายูกิ (เกลือหิมะ) ของญี่ปุ่น “เราจะเปลี่ยนวัตถุดิบไปเรื่อย ๆ ตามวัฒนธรรมการกินของญี่ปุ่น ที่จะเปลี่ยนตลอด 4 ฤดูกาล เพราะฉะนั้นคนกินจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่และมีความสุขในทุก ๆ ครั้งที่มาหาเรา” เชฟไดสุเกะพูดทิ้งท้าย

ซูชิโคเกะ (Sushi Koge) ร้านโอมากาเสะแห่งใหม่ย่านอารีย์ที่จะพาทุกคนรื่นรมย์ไปกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตั้งแต่สวนญี่ปุ่นจำลองหน้าร้าน การตกแต่งด้านในตั้งใจให้รู้สึกเหมือนได้เดินเข้ามาในบ้านขุนนางญี่ปุ่น ซึ่งเราจะเพลินตาเพลินใจไปกับงานดีไซน์ ทั้งโทนสีที่ใช้ พื้นไม้ โคมไฟ รวมถึงภาชนะที่เป็นงานคราฟต์ ช่วยเพิ่มความสุนทรีย์ให้ทุกคำ โอมากาเสะของที่ร้านเป็นแบบเอโดะมาเอะ ดูแลโดยเชฟชาวไทยผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการและร่วมงานกับเชฟญี่ปุ่นมานานกว่า10 ปี เราได้ลองคอร์ส Koge 15 คอร์สจากวัตถุดิบที่ดีที่สุด เปิดต่อมรับรสด้วย Junsai To Tomato มะเขือเทศบิจินดองรสเปรี้ยวสดชื่นช่วย กินพร้อมจุนไซหรือยอดบัวที่มีคอลลาเจนตามธรรมชาติ ยกขึ้นดื่มแล้วนุ่มลื่นคอ Sashimi of  the day ปลาดิบที่เชฟคัดสรรให้ในแต่ละวัน Kushiyaki ของย่างเสียบไม้ 3 แบบ ชิ้นบนเป็นหนวดปลาหมึกย่างเนื้อสัมผัสหนึบหนับแต่นุ่ม ตรงกลางคือลูกหอยเชลล์ย่าง แล้วจบด้วยเนื้อวากิว A5 ที่นุ่มฉ่ำ Hotate Isobe Yaki โฮตาเตะตัวอวบเต็มคำจากฮอกไกโดย่าง ห่อด้วยสาหร่ายย่างกลิ่นหอมและกรุบกรอบ Ebi Karage กุ้งหวานเนื้อสีชมพู ส่วนหัวเชฟทอดจนกรอบ ส่วนเนื้อนำไปทำเป็นลูกชิ้นกุ้ง บีบมะนาวชูรสชาติก่อนกิน อีกหนึ่งคำเด่นคือ Aori Ika ปลาหมึกหอมญี่ปุ่นหั่นเป็นเส้นเล็กๆ วางบนข้าว กินแล้วจะได้รสหวานของปลาหมึก ตามด้วยกลิ่นของผิวยูซุด้านบน ส่วนปลาเราได้ชิมทั้ง Aji ปลาหนังสีเงินเนื้อแน่นและมันจากจังหวัดนางาซากิ Kinmedai คินเมไดตาสีทองจากจังหวัดชิบะ และ Akami ส่วนเนื้อแดงของฮอนมากุโระจากจังหวัดมิเอะที่ผ่านการเอจไว้ 1 สัปดาห์แล้วสึเกะ (ดอง) กับโชยุจนรสชาติของปลาเข้มข้น ตามด้วย Mini Don ดงบุริไซส์มินิที่มีทั้งทูน่า ปลาบุรี อิคุระ และไชเท้าดองเสริมรส แล้วตามด้วย Tamago Castella ไข่หวานรสละมุน จบท้ายมื้อด้วยไอศกรีมวานิลลาเสิร์ฟพร้อมวาราบิโมจิและถั่วแดงกวน

'เพราะอาหารสามารถแต่งเติมจินตนาการได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด' ด้วยแรงบันดาลใจนี้จึงเกิดเป็นแนวคิดหลักของร้าน ผลักดันให้ Origami ร้านอาหารญี่ปุ่นฟิวชันเปิดตัวสู่สายตาชาวโลก มาพร้อมคอนเซ็ปต์ 'Savor the Taste of Endless Possibilities' ที่อยากให้ทุกคนได้ลิ้มลองรสชาติแห่งความเป็นไปได้ไม่รู้จบ เช่นเดียวกับชื่อร้าน Origami ที่แปลว่า การพับกระดาษในภาษาญี่ปุ่น เพราะทุกคนสามารถพับกระดาษให้ออกมาเป็นรูปร่างอะไรก็ได้ เพียงใช้แค่ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการเท่านั้น ภายในร้านจึงได้เตรียมกระดาษ พร้อมคำแนะนำสำหรับการพับไว้ให้บนโต๊ะ เพื่อให้เพื่อนๆ ทุกคนฝึกจินตนาการได้อย่างเพลิดเพลิน ในบรรยากาศแสนอบอุ่นของการจำลองบ้านชาวญี่ปุ่นด้วยวัสดุธรรมชาติ และโทนสีเย็นตาสบายใจ เพิ่มความโมเดิร์นด้วยการตกแต่งสไตล์ French Garden เสริมด้วยงานพับรูปสัตว์ต่างๆ ตั้งโชว์ทั่วทุกมุมห้อง ดูน่ารัก และชวนผ่อนคลายไม่น้อย สำหรับเมนูจะเน้นเป็นอาหารญี่ปุ่นฟิวชัน รังสรรค์รสชาติด้วยความสนุกสนานโดยเชฟมากฝีมือ ที่ตั้งใจบรรจงปรุงแต่งอาหารญี่ปุ่นให้แตกต่างไปจากเดิม ด้วยการหยิบจับวัตถุดิบมาผสมผสาน พร้อมเชื่อมโยงรสชาติของวัฒนธรรมอาหารหลากสัญชาติเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว แต่ละเมนูของที่นี่จึงมีมิติรสชาติที่แปลกใหม่แบบไม่รู้จบตามแบบฉบับของ Origami อีกทั้งยังพาเจริญอาหารได้ดีทีเดียว เริ่มต้นที่ Grilled Ginger Chicken Teriyaki with Asian Coleslaw, Somtum Dressing สลัดผักที่เคียงมาด้วยไก่เทอริยากิ ราดน้ำส้มตำรสเปรี้ยวอมหวาน และเผ็ดเล็กน้อย ต่อด้วย Quesadilla Shrimp with Spicy Mentaiko Sauce พิซซาสไตล์เม็กซิกัน ด้านในสอดไส้กุ้งผัดกับหัวหอม และพริก 3 สี ได้กลิ่นหอมของปาปริกา มีความหอมมันจากเชดดาร์ชีสและมอซซาเรลลาชีส Linguine Truffle with Wagyu Beef Tataki พาสตาผัดทรัฟเฟิล เข้ากันได้ดีกับเนื้อย่างแบบทาทากิ เสิร์ฟในระดับมีเดียมแรร์ อร่อยลงตัว ถัดมาคือ Salmon Lover Set เซ็ตของคนรักแซลมอน เสิร์ฟ 5 รูปแบบทั้งอะบุริ โรล ยำตะไคร้ ซาชิมิดิบและเบิร์นไฟเล็กน้อย ปิดท้ายด้วย Mizu Shingen Mochi โมจิเนื้อใส มีความนุ่มและเด้ง เสิร์ฟเย็นๆ ให้กินคู่ครัมเบิลถั่วตัดรสหวานกำลังพอดี ส่วนเครื่องดื่มแนะนำเป็น Wabi Yuzu ค็อกเทลยูซุ มีกลิ่นหอมของสับปะรด รู้สึกได้ถึงความเผ็ดที่ปลายลิ้นจากวาซาบิ และ Hana Yoru ค็อกเทลรสละมุน หอมกลิ่นซากุระผสมมะลิ เป็นรสชาติที่ชวนให้หลงใหลได้ไม่น้อย

สมกับเป็นเมืองที่จำลองความเป็นญี่ปุ่นเอาไว้ได้ทั้งบรรยากาศและร้านอาหาร เพราะที่ Harajuku Thailand สุวินทวงศ์ มีร้าน Tonkotsu Kazan ร้านราเมนสุดเจ๋งจากจังหวัดโอซากาที่เปิดตั้งแต่ ค.ศ.1966 มาเปิดสาขาที่นี่ด้วย ไฮไลต์ของร้านนี้คือ ‘ราเมนภูเขาไฟ’ ราเมนเส้นสดในชามหินกระทะร้อนอันเป็นเอกลักษณ์ เวลาเสิร์ฟจะครอบด้วยฝาสีแดงทรงสูง ไอระอุจากน้ำซุปร้อนๆ ในชามหินจะพวยพุ่งขึ้นด้านบน อดใจรอประมาณ 1 นาที เส้นราเมนและเครื่องในชามจะร้อนได้ที่ กินเส้นหมดแล้วเติมข้าวลงไปในน้ำซุปเป็นการปิดท้าย เราแนะนำ Kazan Karamiso เส้นใหญ่เหนียวนุ่มในน้ำซุปกระดูกหมูรสเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นแบบเผ็ด กลิ่นหอมและเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมข้าวสวย ส่วนใครชอบความอลังการอย่าพลาด คะซังสุกี้ยากี้หมู น้ำซุปหวานและกลมกล่อมจากผักและเนื้อหมูสามชั้นที่วางเรียงทรงสูงเหมือนภูเขา รอให้น้ำซุปเดือดปุดแล้วสาวเส้น เข้าปากได้เพลินๆ ปิดท้ายด้วย Chashu Shoyu Ramen ราเมนที่มีทีเด็ดเป็นหมูชาชูชิ้นนุ่มที่ผ่านการตุ๋นในซอสสูตรลับของทางร้านจนฉ่ำจนแทบจะละลายในปาก ส่วนน้ำซุปก็ดีงาม ซดได้จนหยดสุดท้าย

ด่ำดิ่งสู่โลกใต้น้ำที่ Kaijin ร้านโอมากาเสะที่เป็นเหมือนห้องลับในร้าน Vapor หมู่บ้านนิชดาธานีที่คุณตั้ม ณฐกร แจ้งเร็ว เจ้าของร้านได้แรงบันดาลใจจากท้องทะเลไทยที่อุดมไปด้วยปลารสชาติดีไม่แพ้ที่อื่น   Kaijin หมายถึงเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ผูกโยงกับคอนเซ็ปต์ร้านที่ว่ามื้อนี้จะได้กินอะไร ปล่อยให้ทะเลเป็นผู้กำหนด วัตถุดิบในแต่ละวันขึ้นจึงอยู่กับปลาที่เจ้าตัวออกเรือไปตกได้และปลาที่ได้จากกลุ่มชาวประมงจากหลายจังหวัดซึ่งคุณตั้มได้ลงถ่ายทอดวิธีปลิดชีพปลาแบบอิเคะจิเมะ ก่อนส่งตรงมาถึงที่ร้าน ผ่านการหมักบ่มแบบที่เจ้าตัวถนัด คอร์สโอมากาเสะปลาไทยของที่นี่จึงน่ามาลองเป็นอย่างยิ่ง ความสนุกของการมาที่นี่คือเรื่องงานดีไซน์ คุณตั้มตั้งใจเซ็ตไลท์ติ้งในร้านให้เหมือนแสงรำไรใต้ท้องทะเล เพดานทำเป็นลวดลายเกลียวคลื่น ส่วนโลโก้ของร้านมาจากศิลปะจากกองทรายที่ปลาปักเป้าสายพันธุ์ฟุกุตัวผู้ใช้เวลา 7 วันค่อยๆ สร้างเพื่อหาคู่และจะโดนน้ำทะเลซัดหายไปในที่สุด เราได้ลอง Sashimi Platter ปลาดิบรวมที่มีทั้งปลาสละเนื้อสีชมพู เด้งสู้ฟัน ข้างๆ กันปลากุเลา เชฟนำมาสะดุ้งด้วยน้ำสต๊อกปลาแห้งเพื่อให้หนังสุกนิดๆ จากนั้นแล่เสิร์ฟโดยเนื้อยังคงความสดอยู่ และปลาอินทรีย์ที่นำไปชิเมะ (ดองด้วยน้ำส้มสายชู) จนได้รสเปรี้ยวสดชื่น จากนั้นนำมาอะบุริหรือเผาที่หนังให้กลิ่นหอม กินคู่เครื่องเคียงอย่างมะระดอง ที่ดองนานกว่า 60 วัน กินแล้วจะเหลือเพียงรสขมบางๆ และโชยุปรุงพิเศษ Ceviche ทางร้านชูวัตถุดิบเป็นปลาช่อนทะเลที่มีเนื้อชมพู กรอบเด้งสู้ฟัน ส่วนน้ำสลัดทำจากน้ำส้มขาวของญี่ปุ่น บ่มไว้ 1 คืนกับหอมหัวใหญ่ที่ผัดจนเป็นสีน้ำตาลเพื่อให้ได้รสอูมามิ จากนั้นปรุงด้วยเกลือ น้ำเลมอน เคียงด้วยมันยามะฮิโมะ มะเขือเทศเชอร์รี่กงฟีต์ และอะโวคาโด้เบิร์นเพิ่มความมัน และชิปส์มันหวาน ส่วนกรานิต้าได้จากน้ำสลัดในจานนั่นเอง ปิดท้ายด้วยหอยมะระตุ๋นเสิร์ฟกับ Risso Pasta (เส้นพาสต้าที่ทำเลียนแบบเม็ดข้าวริซอตโต) เชฟนำริสโซ่ไปผัดกับตับของอาวาบิ (หอยเป๋าฮื้อ) และตับของหอยมะระจนได้ครีมซอสรสเข้มข้นและหอมจรุง ท็อปด้วยหอยตุ๋นสไลซ์บาง เนื้อหอยนุ่มละมุน ได้รสเค็มอ่อนๆ จากอิคุระ

 Kensho Omakase ร้านโอมากาเสะกึ่งอาร์ตแกลเลอรีที่ตั้งอยู่ในโครงการ K Village ซอยสุขุมวิท 26 เป็นการรวมตัวจากกลุ่มเพื่อนทั้งหมด 7 คน สู่เจ้าของร้านโอมากาเสะสุดเก๋ที่มีแพชชันในการตระเวนหาของอร่อยจนอยากลองเปิดร้านอาหารเล็กๆ เป็นของตัวเอง มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ Omakase & Gallery Arts เป็นการกินโอมากาเสะที่แตกต่างออกไปจากเดิม เพิ่มเติมคือนั่งชมผลงานภาพวาดแคนวาสที่ได้แรงบันดาลใจจากเมนูอาหารสู่ภาพวาดจนเกือบทำให้น้ำลายสอ บรรยากาศสุดโมเดิร์นดีไซน์มินิมอลสีขาวครีมดูเรียบหรู แฝงด้วยเอกลักษณ์อันสวยงามและน่ารักของญี่ปุ่น มีเคาน์เตอร์บาร์ประดับด้วยกระเป๋าและแจกันจากแบรนด์หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) วางเรียงกันแบบมีสไตล์ สำหรับเมนูเป็นการผสมผสานระหว่างเอโดะและสมัยใหม่เข้าด้วยกัน ผ่านการรังสรรค์โดยเชฟคนไทยมากฝีมือ บรรจงปรุงในแต่ละคำอย่างประณีตและพิถีพิถัน ตั้งแต่คัดสรรวัตถุดิบเกรดพรีเมียมส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่นแบบวันต่อวัน รังสรรค์ออกมาเป็นทั้ง 16 คอร์สเมนู อาทิ Ankimo Toast ตับปลามังก์ฟิชบดจนเนื้อเนียน เสิร์ฟบนโทสต์ขนมปังญี่ปุ่นหอมๆ รสครีมมี่  ต่อด้วย Chutoro แฟนๆ ชูโทโร่ไม่ควรพลาด ส่วนที่ดีที่สุดของปลาทูน่าวางบนข้าวปรุงรส ท็อปด้วยเห็ดทรัฟเฟิลจากประเทศอิตาลีเกรดสูงสุด ที่เชฟขูดแบบพูนๆ ทั้งกลิ่นหอมของเห็ดทรัฟเฟิลและความนุ่มของเนื้อปลาผสมผสานรสชาติเข้ากันได้อย่างลงตัวและ Akami Tsuke ปลาทูน่าเนื้อแดงฉ่ำ หั่นมาเนื้อหนากำลังดี เคลือบด้วยซอสสูตรพิเศษของทางร้าน รสชาติหวานและเค็มลงตัว สัมผัสได้ถึงความสดของปลา ซิกเนเจอร์ที่มาแล้วห้ามพลาดที่ต้องสั่งเพิ่มกับ Uni Toast บอกเลยว่าถูกใจสาวกที่ชื่นชอบอุนิ โทสต์ขนมปังกรอบนอกนุ่มใน ท็อปด้วยเลอยอร์โอโทโร่ย่างสุกเนื้อชุ่มฉ่ำ ท็อปด้วยอุนิบาฟุนและคาเวียร์แบบพูนๆ ซึ่งเกรดอุนิท็อปสุดขนาด 800 กรัม บรรจุในกล่องเรือหรือเกวียนซึ่งจะเห็นได้น้อยในร้านอาหารญี่ปุ่น แสดงถึงความพรีเมียมที่ต้องแย่งชิงจนกว่าจะได้มา เพิ่มความพิเศษด้วยการเสิร์ฟในจานสุดน่ารักจากแบรนด์หลุยส์ วิตตอง ปิดท้ายด้วย Yuzu Honey Pearl เครื่องดื่มที่มีลูกเล่นสามารถเปลี่ยนสีได้ รสเปรี้ยวหวานสดชื่น และมีไข่มุกให้เคี้ยวหนึบๆ