เพียงไม่กี่ก้าวจาก BTS ทองหล่อ เป็นที่ตั้งของร้าน Shokupan ร้านสีน้ำเงินไซส์มินิที่แค่เห็นชื่อก็รู้ทันทีว่าร้านนี้มีโชกุปังเป็นพระเอก ซึ่งเป็นสูตรที่เจ้าของร้านเรียนกับร้านโชกุปังชื่อดังของญี่ปุ่น ก่อนจะมาเปิดร้านของตัวเองในช่วงที่โชกุปังยังไม่เป็นที่รู้จักในบ้านเรามากนัก เลยนำชื่อขนมปังมาตั้งเป็นชื่อร้านเสียเลย ส่วนผสมหลักๆ ของโชกุปังที่ร้านคือแป้งญี่ปุ่น นม น้ำตาล ซึ่งกว่าจะได้โชกุปัง 1 โลฟใช้เวลาในการทำราว 4 ชั่วโมง เราอยากให้ทุกคนได้ลอง Shokupan Original เนื้อเหนียวนุ่มและมีความฟูยืดจากวัตถุดิบนำเข้า บวกกับอุณหภูมิน้ำ อุณหภูมิห้อง และอุณหภูมิของเตาที่พอเหมาะพอดี กินเปล่าๆ ก็อร่อย หรือจะเพิ่มรสชาติด้วยแยมผลไม้โฮมเมดของทางร้านก็เข้ากันดี อีกรสที่เราชอบมากคือ Choco & Banana ที่มีเนื้อกล้วยหอมจากฟาร์มออร์แกนิกของไทยที่ส่งออกไปต่างประเทศ หั่นเป็นชิ้นๆ ให้ได้เคี้ยว รสหอมหวานตามธรรมชาติ ผสมกับช็อกโกแลตรสเข้มข้น  ส่วนคนที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพแนะนำ Whole Wheat ที่ใช้จากแป้งโฮลวีตนำเข้าเช่นกัน กินง่ายไม่ฝืดคอ แถมยังใส่ธัญพืช 6 ชนิด มีประโยชน์แล้วยังเคี้ยวเพลินอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีโชกุปังรส Cranberry & Mix Seeds, Butter & Snowman, Truffle รวมถึงไส้พิเศษอย่าง Ham & Olive ที่มีขายทุกวันศุกร์ กระซิบอีกนิดว่าที่ร้านยังมีขนมปังสไตล์ญี่ปุ่นให้เลือกอีกหลายแบบ  อาทิ ขนมปังไส้แกงกะหรี่ ที่ใช้การอบแทนการทอด ขนมปังไส้ครีม ขนมปังไส้ช็อกโกแลต ขนมปังไส้มันม่วง และ เมลอนปัง ก่อนกลับอย่าลืมซื้อแยมผลไม้โฮมเมดติดไม้ติดมือไปด้วยนะ

ช่างเป็นการพบกันที่ชวนให้หัวใจพองโต เมื่อ Sretsis Parlour ห้องน้ำชาสุดแฟนตาซีของ Sretsis แบรนด์เสื้อผ้าคาแรกเตอร์โดดเด่นของ 3 สาวพี่น้อง คุณอิ๊บ คุณเอ๋ย คุณแอ้ ชวน After You Dessert Café ร้านขนมหวานร้านโปรดของหลายคนเนรมิตพื้นที่บนชั้น 2 เซ็นทรัล เอ็มบาสซีให้กลายเป็น Sretsis Parlour Pop-up ป๊อปอัพคาเฟ่ในสวนจำลองบรรยากาศรื่นรมย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากลายพิมพ์ Sretsis Labyrinth โดยมีคุณ LUDO สัตว์ในจินตนาการยืนรอต้อนรับทุกคนอยู่ เมนูที่เสิร์ฟที่นี่จึงเป็นเมนูคลาสสิกของ After You ที่เพิ่มความแฟนตาซีด้วยการแตกแต่ง รวมถึงเสิร์ฟในแก้ว ถ้วย จาน ลายสวยจากสเรทซิส เทเบิล ได้แรงบันดาลใจมาจากลายพิมพ์ไอคอนิก Sretsis Labyrinthรวมถึงเมนูสุดพิเศษที่มีเฉพาะที่นี่เท่านั้น อาทิ LUDO CHOCOLATE CHIP COOKIE ช็อคโกแลตชิปคุกกี้ของ After You ราดด้วยช็อกโกแลตซอสแล้วตกแต่งด้วยไวต์ช็อกโกแลตให้เป็นหน้าของคุณ LUDO (ที่น่าเอ็นดูจนไม่กล้าตัก) Caramel Custard คัสตาร์ดเนื้อนุ่มเด้ง ราดด้วยซอสคาราเมลหอมหวาน เสิร์ฟบนจานลายสวยที่เพิ่มความรื่นรมย์ได้เป็นอย่างดี KENNY BISCOFF PARFAIT ไอศกรีมพาเฟต์รสนวลเนียนหอมหวาน ท็อปด้วย Lotus Biscoff บิสกิต แล้วประดับด้วยคัตเอาต์คาแรกเตอร์จาก Sretsis รวมถึง ZEN MOUSSE CAKE เค้กช็อคโกแลตลาวาสุดเข้มข้นที่สายหวานห้ามพลาด ก่อนกลับอย่าลืมชอปปิงของตกแต่งบ้านคอลเลคชั่นใหม่ของ Sretsis Parlour ที่มาโทนสีเขียวมอสกรีนซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อน ทั้งแก้วน้ำ ถ้วยชามเซรามิก ติดไม้ติดมือไปด้วยนะ

ใครปลื้มขนมโฮมเมดฝีมือ คุณแพร-ดวงกมล เวปุลละ วาเกนเซ่น ตอนนี้คุณแพรกลับมาเปิดห้องครัวสุดรักของเธออีกครั้ง พร้อมด้วยขนมเค้กโฮมเมดรสชาติละมุนละไมกว่า 10 รสชาติที่หมุนเวียนไปในแต่ละเดือน อาทิ Lemon Blueberry , Chocolate & Salted Caramel Truffle , เค้กชาเย็น ฯลฯ ซึ่งล้วนทำจากวัตถุดิบคัดสรรเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเนย Lurpak เนยพรีเมียมจากประเทศเดนมาร์ก ไข่ Cage Free ปลอดสารเคมีและฮอร์โมนจาก KTF กลับมาครั้งนี้ คุณแพรมาพร้อมเค้กรสใหม่ Strawberry Lover ความลงตัวของเค้กช็อกโกแลต คัสตาร์ดครีมหวานน้อย และสตรอว์เบอร์รี่ลูกโต มาพร้อมการ์ดและกล่องลวดลายสวยเก๋ ออกแบบโดยคุณยูน ปัณพัท ศิลปินไทยที่ดังในระดับโลก นอกจากเค้กแล้ว คุณแพรยังมีขนมปังยีสต์สดอบใหม่จาก Imm’s Oven ที่มีทั้ง Baguette ขนมปังฝรั่งเศสเปลือกด้านนอกกรอบ เนื้อด้านในนุ่มหนึบ และ Sourdough ซาวร์โดจากยีสต์ธรรมชาติที่เหนียวนุ่ม รสเปรี้ยวนิดๆ กำลังอร่อย จับคู่กับ Truffle Pate’ สุดยอดไอเท็มฮิตของคุณแพร เนื้อเนียนละลายในปาก แค่เปิดฝาขวดก็ได้กลิ่นหอมจรุงของทรัฟเฟิลลอยมาเตะจมูก เหมาะกับมื้อเช้าอันรื่นรมย์   สั่งขนมผ่าน Line @praeskitchen และ Line @immsoven มีบริการส่งต่างจังหวัดด้วยรถห้องเย็น รายละเอียดเพิ่มเติม FB : Praeskitchen, IG : Praeskitchen และ FB : Immsoven, IG : Imm.Oven

เมื่อ “BEARHOUSE” ร้านขนมและชานม “ไข่มุกโมจิ” เจ้าแรกของเมืองไทย ได้ฤกษ์เปิดสาขาที่ไอคอนสยาม (บริเวณชั้น 5) สายหวานตัวจริงอย่างเราจะพลาดไปเยือนได้อย่างไร ฟินกับชาคุณภาพกับไข่มุกโมจิข้าวไทย ความภาคภูมิใจของคุณชาน-คุณกานต์ เจ้าของร้าน ที่มีจุดเด่นตรงทำสดใหม่วันต่อวัน ปราศจากสารกันบูด และให้สัมผัสหนึบหนับที่ทำเอาสาวกชานมไข่มุกติดใจกันทุกราย เริ่มชิมจาก โมจิโรลนมฮอกไกโด โรลโมจิข้าวไทยเหนียวนุ่ม เคล้าครีมสดรสนมฮอกไกโก รสหวานมันกินอร่อย แต่สำหรับใครที่เป็นช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ต้องนี่ โมจิโรลช็อกโกแลต เปลี่ยนจากรสนมหอมมันมาเป็นรสช็อกโกแลตรสเข้มก็ฟินได้ไม่แพ้กัน จิบคู่เครื่องดื่มชื่นใจที่คราวนี้เราสั่ง ‘Fruit Tea Series’ ซีรีส์ชาผลไม้ เมนูใหม่แกะกล่องจากทางร้าน แก้วแรกเป็น ชาเนื้อส้มนุ่มชีส ชาส้มยูซุหอมๆ รสเปรี้ยวอมหวาน เข้ากันดีกับชีสรสครีมมี มีความหวานเล็กๆ ไม่เลี่ยนแต่อย่างใด ต่อด้วย ชาเสาวรสมะม่วงนุ่มชีส ได้ความเปรี้ยวสดชื่นของเสาวรส ผสมความหวานฉ่ำของผลไม้ฤดูร้อนอย่าง มะม่วง ท็อปด้วยชีสเนื้อเนียนสุดฟิน ชาพีชลิ้นจี่นุ่มชีส ก็เข้าที ชาพีชรสหอมหวาน ไปด้วยกันได้ดีกับชีสเนื้อละมุนหอมมัน จิบเพลินๆ ยังมี ชาหอมนุ่มชีส ชาเขียวไลท์ๆ สดชื่น มิ๊กซ์กับความมันนัวของชีสที่เรารัก สุดท้ายเป็น ชาดำนุ่มชีส เมนูคลาสสิกที่ได้ใจสายหวานตลอดกาล ได้รสเข้มพอเหมาะจากชาดำชั้นดี ตัดกับรสหวานมันของชาชีสนุ่มๆ

“CRAZE MAMA” ร้านอาหารไทยเปิดใหม่ในไอคอนสยาม ที่นำ ‘มาม่า’ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขวัญใจสายฟู้ดตลอดกาล มารังสรรค์เป็นจานอร่อยรสแซ่บ ในบรรยากาศโรงงานมาม่าขนาดใหญ่ ทั้งสีแดงอมส้มร้อนแรงเสมือนน้ำซุปของมาม่าต้มยำ โคมไฟถ้วยมาม่าเก่ไก๋ส่องสว่าง และหมอนอิงมาม่ารสสุดป็อปต่างๆ ที่ฟู้ดดี้เห็นแล้วต้องร้องคิวท์! เรียกน้ำย่อยกันก่อนกับ กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา สัมผัสกรุบกรอบคลุกเคล้ากับน้ำปลาหอมๆ ได้รสเค็มกลมกล่อม ตามด้วยเมนูขายดี แตงโมน้ำตก แตงโมรสหวานฉ่ำ ราดซอสน้ำตกรสเข้มข้น ได้กลิ่นหอมๆ ของข้าวคั่วเต็มเปา กุ้งฟุต นี่เป็นเมนูเหมาะสำหรับคนรักกุ้งโดยแท้ ตัวเนื้อหวานเสียบไม้ ย่างให้หอมจนได้เนื้อฉ่ำใน ราดซอสสูตรเฉพาะรสหวานได้ที่ มาม่าซอตหอยแมลงภู่ มาม่าต้มยำที่เรารัก ผัดพร้อมเครื่องเคราผัดฉ่ารสเด็ดดวง มีพระเอกของจานคือหอยแมลงภู่ตัวอวบอ้วน พลาดไม่ได้กับ ต้มยำทะเลหม้อไฟ ซีฟู้ดสดเด้งละลานตาเสมือนขนทะเลขึ้นบก อาทิ ปลาหมึกหนึบหนับ กุ้งตัวอวบ หอยแมลงภู่เนื้อหวาน อยู่ในน้ำซุปต้มยำรสเผ็ดกำลังดี พร้อมสาวเส้นมาม่าเหนียวนุ่มเพลินๆ ไจแอ้น ทะเลถัง เครื่องเคราทะเลต่างๆ อย่าง กุ้งตัวโต  มิ๊กซ์กับซอสสไปซี่รสเค็มเผ็ดกำลังดี เครื่องดื่มแนะนำ แตงโมปั่น สีสวย รสหวานชื่นใจ และ อัญชันมะนาว รสเปรี้ยวอมหวาน ดับร้อนได้ดี ตอนเย็นทางร้านมีเสิร์ฟค็อกเทลด้วยนะ

ลึกไปจากปากซอยปรีดี พนมยงค์ 31 ไปไม่เท่าไร อาคารพาณิชย์แถวหนึ่งเก่าริมถนนที่คึกครื้นตลอดทั้งวันได้กลายเป็นจุดเช็กอินแห่งใหม่ในย่าน ถ.สุขุมวิท 71 ที่ต้องยอมรับจริง ๆ ว่ากำลังเป็นย่านที่เติบโตและมีสีสันขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยร้านอาหารและคาเฟ่มากหน้าหลายตา ซึ่ง No Tuesday in Pridi ก็นับว่าเป็นหนึ่งในนั้น No Tuesday in Pridi เป็นชื่อที่ชัดเจนราวกับตะโกนออกมาเลยว่าร้านนี้ ไม่เปิดในวันอังคาร เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากจะแวะเวียนมา ก็อย่าลืมเช็กวันเวลากันให้ดี ๆ ภายใต้ชายคาของอาคารเก่า ร่องรอยแห่งวันวานนั้นอบอวลไปทุก ๆ มุม ไม่ว่าจะเป็นพื้นหินขัด ราวระเบียงเหล็กดัด และโครงสร้างดั้งเดิมของเพดานสูงและชั้นลอย แต่ในขณะเดียวกันก็สอดแทรกไปด้วยกลิ่นอายของความร่วมสมัย จากบาร์เครื่องดื่มและเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะหรือเก้าอี้ มีบรรยากาศสบาย ๆ เหมือนนั่งดื่มกาแฟที่บ้าน อาหารและเครื่องดื่มของ No Tuesday in Pridi นั้นเรียบง่ายแต่แฝงด้วยความแปลกใหม่ กินมื้อเช้าก็ได้หรือมื้อสายก็ดีอย่างเช่น French Toast โชคุปังเนื้อนุ่มเคลือบไข่และน้ำตาลทรายแดงโทสต์จนผิวนอกกรอบ ราดเมเปิ้ลไซรัป ท็อปด้วยครีมชีส แต่ถ้าอยากได้ความอิ่มท้องกว่านี้ ก็มี Before Lunch ที่ใช้โชคุปังแบบเดียวกัน มาพร้อมครีมชีสและเมเปิ้ลไซรัปเหมือนกัน แต่ที่แถมมาคือ เบคอน ที่ทำให้จานนี้กลายเป็นของคาวที่กินรองท้องก่อนมื้อกลางวันได้อย่างดีเยี่ยม เครื่องดื่มของร้านที่แปลกใหม่ไม่แพ้กัน ล้วนได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งที่หุ้นส่วนร้านชื่นชอบ จับโน่นผสมนี่จนกลายเป็นซิกเนเจอร์ที่ไม่เหมือนใคร เช่น Cinnoffee กาแฟลาเต้เบลนด์โคลอมเบียที่มาพร้อมกับเทสต์โน๊ตของแอลกออล์และกล้วย เมื่อนำมาจับคู่กับซินนามอนหรืออบเชย พอดื่มแล้วจะให้รสชาติคล้ายกับกินบานอฟฟี่ มีความครีมมี่เล็ก ๆ Maprow Dirty กาแฟเดอร์ตี้ที่ไม่ธรรมดา เพราะเพิ่มความพิเศษมาด้วยไซรัปมะพร้าว ทำให้ตัวนมที่เย็นและเข้มข้นอยู่แล้วมีความานัวเพิ่มเข้าไปอีกเหมือนได้รสชาติของกะทิ อีกแก้วหนึ่งคือ Thai Tea ชาไทยที่ร้านตั้งใจเบลนด์ตัวชาให้มีรสชาติเข้มข้น ไม่หวานมาก แล้วท็อปด้วยครีมเพื่อให้มีความหอมมัน หรือถ้าใครอยากได้เครื่องดื่มซ่า ๆ มาเบรก ที่ร้านก็มี Lamon Fizzy น้ำมะนาวโซดาเย็นสดชื่นเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ไม่ควรพลาดด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะ No Tuesday in Pridi แต่มาแล้ว Happy Everyday (ที่เปิด) แน่นอน

Tag:

KanVale (กานเวลา) คราฟต์ช็อกโกแลตแบรนด์ไทยแท้จากเชียงใหม่ เดินทางมาเปิดสาขาแรกในกรุงเทพฯ ที่ศูนย์ฯ สิริกิติ์ ไม่ต้องรอไปกินที่เชียงใหม่แล้ว! ภายในสาขาใหม่ของกานเวลานี้ มาพร้อมกับซอฟต์เสิร์ฟ ที่รังสรรค์จากดาร์กช็อกโกแลต 70% ไม่เข้มเกินไปและไม่หวานจนเกินไป เป็นเมนูพิเศษสร้างสรรค์เพื่อคนกรุงเทพฯ โดยเฉพาะ ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือเมนูเครื่องดื่มช็อกโกแลต ที่มีตัวเลือกของช็อกโกแลตทั้งร้อน-เย็น ให้เลือกถึง 3 ตัวกันคือ "Thailand Origin" การผสมผสานระหว่างโกโก้จากเชียงใหม่และประจวบคีรีขันธ์ ผ่านการหมัก 6 วันจนได้รสชาติของอัลมอนด์และองุ่นแห้ง "Chiang Mai Origin" ทำจากเมล็ดโกโก้ที่ปลูกใน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ให้รสชาติของผลไม้เมืองร้อน สอดแทรกด้วยรสเปรี้ยว และ "Klong Loi Origin" จากต้นโกโก้ในหมู่บ้านคลองลอย อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีกลิ่นอายของซินนามอน คาราเมล มะพร้าวคั่ว และผลไม้สีแดงโดดเด่น นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มจากชาโกโก้ มาเพิ่มความสดชื่นด้วยอีกหลากหลายเมนู และแน่นอนว่ารอบ ๆ ร้าน ก็มีผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตมาอวดโฉมกันอย่างละลานตา รวมทั้งช็อกโกแลตบาร์ที่เพิ่งได้รับรางวัลการันตีในระดับนานาชาติมาสด ๆ ร้อน ๆ อย่าง "กึ๊ดเติง" ช็อกโกแลตนมรสแกงฮังเล "แอ่วดอย" ซีตรัสช็อกโกแลตนมผสมของสมุนไพรท้องถิ่นภาคเหนือ และ "Honey Milk Chocolate with Riceberry cracker" ช็อกโกแลตที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมจากน้ำผึ้ง คนรักช็อกโกแลตไม่ผิดหวังแน่นอน            

ท่ามกลางความคึกครื้นในยามราตรีบนถนนเยาวราช อาคารพาณิชย์ขนาด 5 ชั้นสูงตระหง่าน ณ หัวมุมที่ตัดระหว่างถนนเยาวราชและถนนมังกร ได้เปลี่ยนจากร้านขายทองเดิมเป็นอาคารโฉมใหม่พร้อมชื่อและป้ายเก๋ ๆ ว่า ‘โกลด์สมิท’ เมื่อเลื่อนสายตาลงมาจากป้ายโกลด์สมิทเพียงนิดเดียวก็จะเห็นป้ายไฟเขียนว่า Chop Chop Cook Shop เป็นตัวอักษรสีแดงเปล่งประกายแข่งกับแสงไฟทุกดวงบนนถนนเยาวราช ที่นี่คือร้านอาหารแห่งใหม่คอนเซปต์จัดจ้านภายใต้การสร้างสรรค์ของเชฟเดวิด ทอมป์สัน ชวนย้อนเวลาหาอดีตกับร้านอาหารสไตล์กุ๊กช็อป เสิร์ฟอาหารทุกสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นตะวันตก จีน หรือไทย ยุคทองของร้านกุ๊กช็อปนั้นเคยมีอยู่จริงในหน้าประวัติศาสตร์ช่วงปี ค.ศ. 1930 – 1970 ของกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะตามย่านชุมชนจีนเช่นเยาวราช คนทำอาหารมักจะเป็นคนจีนไหหลำ เอกลักษณ์ของกุ๊กช็อปเลยออกมาเป็นอาหารตะวันตกสไตล์จีนปนไทยตามใจคนกิน และจะเสิร์ฟเป็นคอร์สแบบตะวันตก แยกจานใครจานมัน ไม่ได้แชร์กันอย่างอาหารไทย กุ๊กช็อปในสไตล์ของ Chop Chop Cook Shop ถอดเอากลิ่นอายจีนของเยาวราชมาใส่ไว้ในร้านอย่างเต็มพิกัด ทั้งหลอดไฟนีออนตัวอักษรภาษาจีน รูปวาดมังกรบนบานกระจก ผนังที่เต็มไปด้วยสร้อยคอทองคำ แม้แต่พนักงานในร้านก็ยังใส่เครื่องประดับทองคำไปทั้งตัว แต่ในขณะเดียวกันบรรยากาศรอบ ๆ ก็ยังแฝงไปด้วยภาพของร้านไดเนอร์แบบอเมริกันและสีสันแบบป๊อบอาร์ตที่ลงตัวอย่างน่าทึ่ง ในเมื่อเชฟเดวิด ทอมป์สันเอาคอนเซปต์ของกุ๊กช็อปมาเล่นอย่างจริงจัง เมนูในร้านจึงให้กลิ่นอายของตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็สอดแทรกส่วนผสมและวัตถุดิบบางอย่างที่กินแล้วถูกปากคนเอเชียแบบเรา ๆ สำหรับ Starters นั้นให้รสชาติออกไปทางตะวันตกเสียส่วนใหญ่ เริ่มต้นด้วยเมนูที่ใช้ซอสแมรี่โรสสไตล์อังกฤษแท้ ๆ แบบดั้งเดิมเลยคือ Crab Marie Rose ซึ่งเป็นซอสที่มักจะเสิร์ฟกับกุ้ง แต่ที่ Chop Chop Cook Shop ปรับใหม่เป็นเนื้อปูม้า มาพร้อมกับจานเคียงเป็นขนมปังนมญี่ปุ่น เนื้อเหนียวนุ่มพร้อมกับเนย ต่อมาเป็นการจับคู่ระหว่าง Devil on Horseback และ Angel on Horseback ซึ่งเป็นจานรวมเมนูเก่าแก่ระกับร้อยปีจากอังกฤษเช่นกัน เมนูได้ชื่อว่า Devil นั้นมาในรูปลักษณ์ที่ดำทะมึนสมชื่อนั้นทำจากลูกพรุนพันเบค่อน ส่วนด้านในสอดไส้ด้วยตับไก่และอัลมอนด์ ส่วน Angel นั้นเป็นหอยนางรมพันโพรชุตโต้ย่างเนยสมุนไพร ฝั่งอาหารจานหลักนั้นค่อนข้างสร้างความแตกต่างไปจากจานเรียกน้ำย่อยไม่น้อย ด้วยส่วนผสมสไตล์เอเชียนหลาย ๆ อย่างที่ใส่มาในจานอย่างโดดเด่น เช่น Butter Prawn กุ้งแม่น้ำสดใหม่ราดซอสเนย เครื่องเทศ และพริกเสฉวน Debal Curried Sausage เป็นจานที่รวมทั้งอาหารอังกฤษดั้งเดิม อาหารโปรตุกีส และอาหารมาเลเซียเข้าไว้ด้วยกัน ออกมาเป็นไส้กรอกในซอสเกรวี่หัวหอมที่และเครื่องเทศ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแกงกะหรี่แบบมะละกา ประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ยังจับคู่มากับ Side Dish อย่าง Chop Chop Mash มั่นฝรั่งบดสไตล์จีน ใส่หอมแดง หัวไชเท้า รวมทั้งเครื่องพะโล้ บดในครกจนเนื้อเหนียวก่อนจะนำไปผัดในกระทะอีกทีเพื่อให้กลิ่นหอม และอีกจานคือ Sugar Snap Pea Salad สลัดถั่วลันเตาหวาน คลุกเคล้ามาในน้ำสลัดบัตเตอร์มิลก์ เพิ่มความเผ็ดร้อนแบบไทยเข้าไปนิดหน่อยด้วยพริกหนุ่มย่าง ขนมหวานปิดท้ายมื้ออาหารนั้นน่าสนใจไม่แพ้ของคาว ไม่ว่าจะเป็น Beehive Sponge with Banana Custard สปอนจ์เค้กคาราเมลและกล้วยเนื้อหนึบ ราดซอสคัสตาร์ดรัมเรซิน หรือ Ginger Milk Curd with Macadamia Tuile ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกินเต้าฮวยน้ำขิง แต่ตัวคัสตาร์ดนั้นทำมาจากนมแพะสดและใส่น้ำขิง ท็อปบนแก้วด้วยตุอีล หรือขนมเบื้องแมคคาเดเมียบางกรอบ ส่วนเครื่องดื่ม Chop Chop Spiced Coffee & Tea ปิ๊งไอเดียมาจากเครื่องดื่มตามคาเฟ่ในฮ่องกง เป็นชาผสมกับกาแฟสดใส่นมในแบบฉบับหวานน้อย โดยใช้ชาและกาแฟที่คัดสรรส่งตรงมาจาก จ.เชียงใหม่ ส่วนชั้นที่ 2 ของอาคารโกลด์สมิทนั้นเป็นที่ตั้งของบาร์ชื่อเดียวกัน ประดับประดาสไตล์จีนเข้ากับย่านเยาวราช แต่ที่พิเศษสุด ๆ คือการจับมือกับแบรนด์ผ้าไหมไทย จิม ทอมป์สัน ในการออกแบบลวดลายเบาะเก้าอี้ โซฟา ไปจนถึงลวดลายบนฝาผนัง ไปด้วยกันได้ดีกับโคมไฟสไตล์จีน สร้างบรรยากาศชวนเคลิบเคลิ้มไปกับเครื่องดื่มอย่างไม่รู้เบื่อ เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของโกลด์สมิทบาร์นั้นมีให้เลือกจากเมนูหลายหน้าเลยทีเดียว แต่ที่แนะนำว่าต้องลองก็คือแก้วที่ชื่อว่า Goldsmith ตามชื่อของอาคารและบาร์แห่งนี้  ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างวอดก้าญี่ปุ่น เหล้าแบล็กเบอร์รี่ และเหล้าสมุนไพร ไซรัปปีโนต์ นัวร์-ชิตาเกะ บลูเบอร์รี่  และเลมอน ให้รสชาติของผลไม้และสมุนไพรชัดเจน แถมยังมีอูมามิด้วย High Tea In The High Tower เป็นแก้วที่มีปริมาณแอลกอฮอล์แบบเบา ๆ จากส่วนผสมของสาเก เหล้าบ๊วย ชาอู่หลง โรสแมรี ที่ให้รสชาติดื่มง่าย หอมกลิ่นดอกไม้ และให้ความสดชื่นได้ดีทีเดียว Kirb Stomp ม็อกเทลรสชาติเปรี้ยวอมหวานแบบผลไม้ทรอปิคัล จากมะม่วง ชบา เกรนาดีน โทนิค และน้ำเกลือ เป็นมุมใหม่ที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศสนุกสนานและคึกครื้นของเยาวราช และในขณะเดียวกันก็เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้วยเมนูอาหารสไตล์กุ๊กช็อปที่เราอาจจะหลงลืมไปแล้ว

สายกินบุฟเฟ่ต์ต้องไม่พลาด “PIZZA, PASTA AND MORE” มื้ออร่อยกับอาหารนานาชาติแบบไม่อั้น (All you can eat) ที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมชวนหิวไม่เบา ณ ห้องอาหารเลเทส เรซิพี โรงแรม เลอ เมอริเดียน กรุงเทพ ในบรรยากาศโอ่โถง โปร่งสบายตา ภายในห้องอาหารแบ่งพื้นที่ไลน์บุฟเฟ่ต์ และโต๊ะอาหารแยกเป็นสัดส่วน รองรับทั้งกลุ่มลูกค้าขนาดเล็ก และการสังสรรค์ในกลุ่มเพื่อนฝูงขนาดใหญ่ได้อย่างครบครัน เริ่มต้นเบาๆ กับสลัดบาร์ ที่มีผักสดกรอบหลากชนิดพร้อมเดรสซิง หรือจะเลือกหยิบขวดแก้วพอร์ชันขนาดกำลังดีที่มีทั้ง Poached Chicken and Mango, Steamed Asparagus and Parma Ham, Smoked Beetroots หรือ Nicoise Seared Tuna ก็ล้วนเรียกความสดชื่น ก่อนจะขยับไปสเตชันติดกัน สเตชันทาร์ทาร์ ที่พร้อมให้เลือกส่วนผสมทาร์ทาร์ในแบบของตัวเองได้ หรือจะเลือกแบบปรุงสำเร็จเชฟก็พร้อมจัดให้ แนะนำให้สั่งทาร์ทาร์เนื้อ รสชาติถูกใจจนต้องขออีกจาน หากใครไม่นิยมเนื้อก็มีทาร์ทาร์ปลาแซลมอน ทาร์ทาร์ปลากระพง และทาร์ทาร์ทูน่า ที่เลือกใช้ไข่ออร์แกนิก ปรุงได้รสชาติดีไม่น้อยหน้ากัน แล้วตามต่อด้วยโคลด์คัตหลากหลายชนิด ที่มาพร้อมชีส และเครื่องเคียงมากมาย อีกสเตชันที่ดึงดูดใจไม่น้อยคือ สเตชันพาสต้า แค่ยืนมองเชฟปรุงพาสต้าร้อนๆ ตามออร์เดอร์ก็อยากจะสั่งทุกรายการ ซึ่งในแต่ละวันจะสลับหมุนเวียนเมนูให้ลิ้มลองแตกต่างกันไป อาทิ คาเปลินีกุ้งลายเสือ, ลิงกวินีฉุ่ฉี่ปูทะเลสไตล์ไทย, เฟตตูชินีกับซอสเห็ดทรัฟเฟิลดำ และเฟตตูชินีโบโลเนสซอสเซส แนะนำว่าต้องชิมให้ครบทุกเมนูเพราะเข้มข้นอร่อยถึงเครื่องทุกจาน ติดกันเป็น พิซซ่าโฮมเมดอบร้อนกลิ่นหอมโชยมาก่อน เลือกได้ทั้งหน้ามาร์เกอริต้า หน้าดิอาโวลา หน้าแซลมอน หน้าซีฟู้ดสไตล์ไทย และอีกมากมาย อีกมุมที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง Friggitoria ของทอดฉบับดั้งเดิมของอิตาลี ที่เชฟปรุงมาขนาดพอดีคำตามสั่ง อาทิ หอยนางรมอบ ปูนิ่มทอด ซิซิเลียน อารันชินี ข้าวผสมเนื้อสับทอด คาลามารี และหอยแมลงภู่ชุบแป้งทอด ที่จะหมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละวัน ขณะที่เมนคอร์ส From Chef’s Pan ก็สลับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเช่นกัน อาทิ กราแตงปูอะลาสก้ากับมันฝรั่งและเนยกรุยแยร์ ซี่โครงแกะย่างกับโหระพาไทยและกระเทียม หอยแมลงภู่เดนมาร์กนึ่งกับซอยเนยไวน์ขาว หมูกรอบแบบไทย และอกเป็ดเคลือบซอส เป็นต้น ปิดมื้อให้เต็มอิ่มกับของหวานและผลไม้หลากหลาย อาทิ เค้กซ็อกโกแลตลาวา ทีรามิสุ เครมบูเล่ บูลเบอร์รีชีสเค้ก มินิพัฟโลวา ของหวานขนาดมินิ ไอศกรีม พร้อมผลไม้มากมาย พิซซา พาสต้า แอนด์ มอร์ พร้อมน้ำเปล่า พร้อมให้บริการในราคาเพียง 722++ ต่อท่าน สำหรับอาหารค่ำ ทุกวันพุธ - วันเสาร์ ระหว่างเวลา 18:00 น. - 22:00 น. สำหรับอาหารกลางวัน ทุกวันอาทิตย์ ระหว่างเวลา 12:00 น. – 15:00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และสำรองที่นั่งล่วงหน้า โทร 02 232 8888 หรืออีเมล service.lmbkk@lemeridien.com เว็บไซต์ : www.lemeridienbangkoksurawong.com เฟซบุ๊ก : Le Méridien Bangkok ไลน์ : @lemeridienbangkok

ด่ำดิ่งสู่โลกใต้น้ำที่ Kaijin ร้านโอมากาเสะที่เป็นเหมือนห้องลับในร้าน Vapor หมู่บ้านนิชดาธานีที่คุณตั้ม ณฐกร แจ้งเร็ว เจ้าของร้านได้แรงบันดาลใจจากท้องทะเลไทยที่อุดมไปด้วยปลารสชาติดีไม่แพ้ที่อื่น   Kaijin หมายถึงเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ผูกโยงกับคอนเซ็ปต์ร้านที่ว่ามื้อนี้จะได้กินอะไร ปล่อยให้ทะเลเป็นผู้กำหนด วัตถุดิบในแต่ละวันขึ้นจึงอยู่กับปลาที่เจ้าตัวออกเรือไปตกได้และปลาที่ได้จากกลุ่มชาวประมงจากหลายจังหวัดซึ่งคุณตั้มได้ลงถ่ายทอดวิธีปลิดชีพปลาแบบอิเคะจิเมะ ก่อนส่งตรงมาถึงที่ร้าน ผ่านการหมักบ่มแบบที่เจ้าตัวถนัด คอร์สโอมากาเสะปลาไทยของที่นี่จึงน่ามาลองเป็นอย่างยิ่ง ความสนุกของการมาที่นี่คือเรื่องงานดีไซน์ คุณตั้มตั้งใจเซ็ตไลท์ติ้งในร้านให้เหมือนแสงรำไรใต้ท้องทะเล เพดานทำเป็นลวดลายเกลียวคลื่น ส่วนโลโก้ของร้านมาจากศิลปะจากกองทรายที่ปลาปักเป้าสายพันธุ์ฟุกุตัวผู้ใช้เวลา 7 วันค่อยๆ สร้างเพื่อหาคู่และจะโดนน้ำทะเลซัดหายไปในที่สุด เราได้ลอง Sashimi Platter ปลาดิบรวมที่มีทั้งปลาสละเนื้อสีชมพู เด้งสู้ฟัน ข้างๆ กันปลากุเลา เชฟนำมาสะดุ้งด้วยน้ำสต๊อกปลาแห้งเพื่อให้หนังสุกนิดๆ จากนั้นแล่เสิร์ฟโดยเนื้อยังคงความสดอยู่ และปลาอินทรีย์ที่นำไปชิเมะ (ดองด้วยน้ำส้มสายชู) จนได้รสเปรี้ยวสดชื่น จากนั้นนำมาอะบุริหรือเผาที่หนังให้กลิ่นหอม กินคู่เครื่องเคียงอย่างมะระดอง ที่ดองนานกว่า 60 วัน กินแล้วจะเหลือเพียงรสขมบางๆ และโชยุปรุงพิเศษ Ceviche ทางร้านชูวัตถุดิบเป็นปลาช่อนทะเลที่มีเนื้อชมพู กรอบเด้งสู้ฟัน ส่วนน้ำสลัดทำจากน้ำส้มขาวของญี่ปุ่น บ่มไว้ 1 คืนกับหอมหัวใหญ่ที่ผัดจนเป็นสีน้ำตาลเพื่อให้ได้รสอูมามิ จากนั้นปรุงด้วยเกลือ น้ำเลมอน เคียงด้วยมันยามะฮิโมะ มะเขือเทศเชอร์รี่กงฟีต์ และอะโวคาโด้เบิร์นเพิ่มความมัน และชิปส์มันหวาน ส่วนกรานิต้าได้จากน้ำสลัดในจานนั่นเอง ปิดท้ายด้วยหอยมะระตุ๋นเสิร์ฟกับ Risso Pasta (เส้นพาสต้าที่ทำเลียนแบบเม็ดข้าวริซอตโต) เชฟนำริสโซ่ไปผัดกับตับของอาวาบิ (หอยเป๋าฮื้อ) และตับของหอยมะระจนได้ครีมซอสรสเข้มข้นและหอมจรุง ท็อปด้วยหอยตุ๋นสไลซ์บาง เนื้อหอยนุ่มละมุน ได้รสเค็มอ่อนๆ จากอิคุระ

Tag:

สุดสัปดาห์นี้ใครมีแพลนแวะไปเดินเล่นที่ Harajuku Thailand ย่านสุวินทวงศ์ อย่าพลาดเซมเบ้ปลาหมึกแผ่นโตๆ ที่ Gusto Senbei Halal ร้านเซมเบ้ (ข้าวเกรียบแผ่นใหญ่สไตล์ญี่ปุ่น) ที่เข้ากับบรรยากาศของ Harajuku Thailand อย่างที่สุด แป้งของที่ร้านมีให้เลือก 2 แบบทั้งแป้งออริจินัลรสชาติกลมกล่อม และแป้งบาร์บีคิวที่เพิ่มรสเผ็ดเล็กๆ ให้เรากินได้สนุกขึ้น อีกทั้งยังเป็นเซมเบ้แบบฮาลาลอีกด้วยนะ มาถึงที่ร้านทั้งทีต้องลองเมนูสุดป๊อปอย่างเซมเบ้ปลาหมึกแป้ง BBQ ที่เราเพลินกับขั้นตอนการทำมากๆ เริ่มจากวนแป้งให้เป็นแผ่นบางๆ บนเตาที่สั่งทำพิเศษ จากนั้นวางปลาหมึกสายไซส์ใหญ่ทั้งตัวลงตัวลงไป แล้วบีบอัดด้วยความร้อนประมาณ 4 นาที เราก็จะกินได้เซมเบ้แผ่นใหญ่ (กว่าหน้าเรา) ที่ทั้งกรอบ บางและหอมยั่วน้ำลาย นอกจากนี้ยังมีเซมเบ้ปูนิ่มแป้งออริจินัลที่ตัวแป้งหอมจากดาชิ หรือใครชอบ 2 รสในแผ่นเดียวก็สั่งเซมเบ้โนริ+ไก่หยองรสหวานๆ เค็มๆ เข้ากันดี รวมถึงเซมเบ้เนื้อแองกัสสำหรับคนที่ชอบกินเนื้อเป็นพิเศษก็มีให้ลองที่นี่ ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มแบบชงสดอัดกระป๋องรสซาบซ่าอย่าง Blue Hawaii Soda และ Honey Lemon Soda ช่วยคลายร้อนยามบ่ายได้ดีทีเดียว

Baked by Apple ร้านกะหรี่ปั๊บทรัฟเฟิลพรีเมียมเจ้าแรกในไทย ที่ผสานความอร่อยด้วยเนื้อแป้งบางกรอบสูตรเฉพาะของร้านผนวกกับความหอมอร่อยของทรัฟเฟิลไว้ได้อย่างลงตัว จุดเด่นที่ทำให้ใครหลายคนต้องร้องว้าว! อยู่ที่กะหรี่ปั๊บไส้แน่นจากวัตถุดิบคุณภาพ เนื้อแป้งบางกรอบ ชิ้นพอดีอิ่ม และความหอมของกลิ่นของทรัฟเฟิลที่อบอวลในปาก ห้ามพลาดเมนูอร่อยติดท็อปทุกออเดอร์! Chicken Truffle ไส้ไก่ทรัฟเฟิล เป็นไส้รุ่นบุกเบิกของ Baked by Apple ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ก็ยังคงเป็นรสชาติขายดี ด้วยเนื้อแป้งบางกรอบสูตรเฉพาะของร้าน ด้านในอัดด้วยด้วยไส้ไก่ออร์แกนิกผสมผสานกับความหอมอร่อยของทรัฟเฟิลจากอิตาลี Beef Truffle ไส้เนื้อทรัฟเฟิล ทางร้านใช้เนื้อวากิวดรายเอจ 30 วัน ทำให้เนื้อที่ได้มีความนุ่ม และให้กลิ่นหอมพร้อมรสชาติที่เข้มข้นกว่าเดิม ผนวกกับทรัฟเฟิลยิ่งทวีความอร่อยไปอีกขั้น และ Mushroom Truffle ไส้เห็ดทรัฟเฟิล รสชาติขายดีตลอดกาล หอมนวลด้วยกลิ่นของทรัฟเฟิลเกรดพรีเมียมจากแหล่งที่ดีที่สุดของอิตาลี เมื่อกัดจะรู้สึกถึงความกรอบของแป้งที่มาพร้อมเห็ดให้เคี้ยวได้อย่างเพลิดเพลินตั้งแต่คำแรกจนหมดชิ้น อีกทั้งยังเป็นรสชาติที่คนกินมังสวิรัติก็รับประทานได้ นอกจากนี้ทางร้านยังขยายความอร่อยด้วยเมนูใหม่อย่าง Golden Coconut Cake เค้กมะพร้าวทองคำ เนื้อเค้กหวานหอมนุ่มละมุน แต่งหน้าเค้กด้วยทองคำบริสุทธิ์ 99.99% ที่สามารถรับประทานได้ ส่วนเลเยอร์ของชิ้นเค้ก ตัดออกมาอย่างสวยงาม โชว์ชั้นเนื้อมะพร้าวอ่อนแทรกกับครีมเนื้อเนียน เย้ายวนชวนรับประทานไม่น้อย ให้รสไม่หวานมาก รับรองถูกใจสายเฮลท์ตี้ Premium Coconut Water น้ำมะพร้าวคุณภาพดี ที่ทางร้านตั้งใจคัดสรรมะพร้าวจากฟาร์มที่ดีที่สุดในเมืองไทย เพื่อรังสรรค์น้ำมะพร้าวแท้ 100% ปราศจากการปรุงแต่ง มีรสหวานหอมสดชื่นจากธรรมชาติโดยตรง มาพร้อมเนื้อชิ้นใหญ่ให้เคี้ยวอย่างจุใจ ยิ่งกินคู่กับกะหรี่ปั๊บช่วยเสริมรสชาติให้อร่อยขึ้นเป็นกอง สอบถาม/สั่งซื้อได้ที่ Line : @bakedbyapple App Delivery : GrabFood, Lineman, Line Shopping และ Lazada สาขาเอ็มควอเทียร์ โทร. 098-903-6611 สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ โทร. 098-903-664 สาขาบางนา โทร. 086-388-4039

หลังจากที่ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม (The Emporium) ปรับโฉมใหม่อย่างไฉไล พร้อมเป็นเดสติเนชั่นชั้นนำด้านไลฟ์สไตล์ระดับโลก นอกจากช็อปสินค้าแบรนด์เนมสุดหรูที่กำลังทยอยเปิดตัวกันอย่างต่อเนื่องแล้ว หากช้อปปิ้งมาเหนื่อยๆ ที่นี่ก็มี Sava Modern THAI Flavour (ซาว่า โมเดิร์น ไทย เฟลเวอร์) ร้านอาหารไทยโมเดิร์นของแฟชั่นดีไซเนอร์แถวหน้าของเมืองไทย คุณหมู - พลพัฒน์ อัศวะประภา แห่ง ASAVA Group และหุ้นส่วน ซึ่งเป็นดั่งส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสายฟูดดี้และสายแฟชั่น ให้เหล่านักช้อปวางใจแวะมาฝากท้องได้ทุกเมื่อ และเพื่อให้ตอบรับนักช้อปได้ทุกเวลาตั้งแต่ห้างเปิดจนห้างปิด ทางร้านจึงเปิดตัว Supreme Dinner Menu รวมเมนูสุดอลังการในคอนเซ็ปต์ “Surf & Turf” ที่ชูความสดใหม่ของวัตถุดิบสุดพรีเมียมทั้งซีฟู้ดและเนื้อสัตว์แบบเน้นๆ มาในพอร์ชั่นใหญ่ที่เหมาะสำหรับให้แชร์กันได้อย่างเพลิดเพลิน คุณดวง - นีรนาท เผ่าสวัสดิ์ หนึ่งใน 4 หุ้นส่วนของร้าน Sava เล่าให้เราฟังถึงที่มาของเมนูดินเนอร์ชุดใหม่นี้ว่าเป็นการคิดออกแบบเมนูใหม่ขึ้นทั้งหมด เนื่องจากทางร้านเริ่มมีฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะที่เป็นชาวต่างชาติก็เติบโตขึ้นมาก จึงคิดทำดินเนอร์เมนูซึ่งตอบโจทย์เทรนด์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่นิยมกินอาหารที่มีสัดส่วนของโปรตีนที่มากขึ้นและลดคาร์บให้น้อยลง ด้านวัตถุดิบสำหรับดินเนอร์เมนูก็จะมีความพรีเมียมมากขึ้น ให้เหมาะกับช่วงเวลาเย็นที่ลูกค้าไม่ต้องเร่งรีบและสามารถผ่อนคลายอารมณ์ไปกับมื้ออาหารดีๆ ในรสชาติความเป็นไทยดั้งเดิมที่อร่อยถูกปากได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ลืมที่จะยกระดับในการนำเสนอให้ละเมียดละไมยิ่งขึ้นในแบบของ Sava Supreme Dinner Menu ได้รับการตอบรับอย่างดีตั้งแต่เปิดตัวมา ด้วยรสชาติที่ถึงเครื่องแบบอาหารไทยต้นตำรับ ผนวกกับภาพลักษณ์ที่ดูทันสมัยและน่ากิน อาทิ สเต็กเนื้อริบอายซอสพะแนง หรือ ซี่โครงแกะซอสพะแนง ไม่ว่าจะสั่งเนื้อหรือแกะก็จะได้เนื้อชิ้นใหญ่ เราแนะนำให้เลือกสั่งแบบแรร์ เมื่อเสิร์ฟมาบนจานร้อนที่จุดไฟเพื่อรักษาอุณหภูมิของอาหารแล้วจะสุกขึ้นมาอีกนิดหน่อย จานนี้เป็นเมนูยอดนิยมทั้งกับลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ ตอบรับกระแสของ “พะแนง” ที่กำลังมาแรงเพราะเพิ่งได้รับการจัดอันดับเป็นสตูที่ดีที่สุดในโลกโดยเว็บไซต์อาหาร TasteAtlas ในปี 2566 นี้ อีกหนึ่งจานยอดนิยมสำหรับคนที่ไม่กินเนื้อแดงต้อง แซลมอนครีมซอสกระเทียม ซึ่งเสิร์ฟมาบนจานอุ่นร้อนเช่นกัน แซลมอนชิ้นหนาสวย ด้านนอกสุกกรอบกำลังดีส่วนด้านในห่อหุ้มเนื้อที่นุ่มชุ่มฉ่ำเอาไว้ เข้ากันกับครีมซอสเค็มๆ มันๆ เป็นจานที่ถูกปากทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยทีเดียว ตามด้วยอีกจานไฮไลต์ที่แค่เห็นไซส์ก็อลังการแล้ว ปาเอญ่ากุ้งแม่น้ำ เสิร์ฟมาบนถาดขนาดใหญ่ (เมนูนี้มีขนาดให้เลือก 2 ไซส์) เป็นจานที่มีแรงบันดาลใจมากจากเมนูขึ้นชื่อของสเปนแต่นำมาสอดแทรกรสชาติแบบไทยลงไป ตัวข้าวอบผสมผสานเนื้อกุ้งและหมึกชิ้นโต เพิ่มรสชาติด้วยมันกุ้งนำลงไปผัดเคลือบข้าวจนมันอร่อยในทุกคำ และพริกเพิ่มความเผ็ดร้อน ทอปด้วยกุ้งแม่น้ำอบตัวโตที่ไม่ได้ผ่านการแช่แข็ง มันกุ้งจึงฉ่ำเยิ้มชวนกิน ก่อนกินให้ตักมันกุ้งมาคลุกเคล้ากับข้าวอีกครั้ง ตามด้วยบีบน้ำเลมอนดึงรสสดชื่น ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ด เป็นจานที่อร่อยชวนฟินมาก หากยังไม่อิ่ม ต้องตบท้ายด้วยเมนูที่เรียกว่าเป็นจานอร่อยสามัญประจำทุกโต๊ะ ไข่เจียวปู ฟูๆ หนาๆ ทอปด้วยกรรเชียงปูเน้นๆ กินกับซอสพริก หรือ กุ้งแม่น้ำทอดเกลือ ที่ใช้กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่สดใหม่เนื้อแน่น เสิร์ฟแบบเน้นทั้งปริมาณและคุณภาพเลยทีเดียว Supreme Dinner menu พร้อมให้บริการทุกวัน ในวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 17:00น. เป็นต้นไป และวันเสาร์-อาทิตย์ ตลอดทั้งวัน นอกจากเมนูมื้อเย็นที่จัดมาอย่างเต็มอิ่มแล้ว ในช่วงบ่ายทางร้านยังให้บริการชุดน้ำชายามบ่ายสุดพิเศษ SAVA Afternoon Tea with Noritake ที่ร่วมกับแบรนด์เครื่องพอร์ซเลนชั้นนำจากญี่ปุ่น เสิร์ฟอาหารว่างคาวและของหวานรสชาติไทยในชุดภาชนะคอลเล็คชั่นใหม่ “Carnivale” ที่สวยสดใสในโทนสีพาสเทลอีกด้วย ขอกระซิบว่าของหวานจานปิดท้ายชุดน้ำชาอย่าง โทสต์บริยอชราดซอสชาไทย และ มะพร้าวสาคูเมลอนพาร์เฟต์ เป็นทีเด็ดที่ไม่ควรพลาด (ราคา 1,250++ สำหรับ 2 ท่าน) ชุดน้ำชายามบ่ายให้บริการตั้งแต่เวลา 14:00-17:00น. อิ่มอร่อยเอาใจสายฟู้ดแล้ว ต้องพูดถึงดีไซน์ร้านที่น่าจะถูกใจสายแฟชั่นกันบ้าง กับการตกแต่งร้านในโทนสีขาวและน้ำเงินดึงดูดสายตา ผสานกับลวดลาย Chinoiserie (ชินัวเซอรี) ออกแบบโดยอิลลัสเตรเตอร์ชื่อดัง คุณโอ-ธีรวัฒน์ เฑียรฆประสิทธิ์ ที่ซ่อนกิมมิกเป็นเหล่าสัตว์ในปีนักษัตรของหุ้นส่วนทั้ง 4 เอาไว้ ภายในร้านยังแบ่งพื้นที่เป็นโซนที่นั่งด้านในที่ให้ความสงบเป็นส่วนตัว กับโซนด้านนอกที่ให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาในแบบคาเฟ่ ตอบโจทย์ความเป็น all-day dining ให้ลูกค้าแวะเวียนมาได้ตลอดทั้งวัน

ชวนชาวแก๊งมาแฮงก์เอาต์ที่ ANJU Korean Rooftop Bar” รูฟท็อปสไตล์เกาหลีแห่งแรกของเมืองไทย บนชั้น 31 ของโรงแรมสินธร มิดทาวน์ กรุงเทพฯ, วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น เพลิดเพลินกับมู้ดแอนด์โทนกลิ่นอายเคป๊อปเต็มพิกัด ทั้งแสงไฟนีออนสีม่วงสาดส่อง เฟอร์นิเจอร์ไม้สีดำขลับ เสียงเพลงมันส์ๆ จากบูธดีเจ และวิวตึกสูงสุดปังใจกลางเมือง ดูแล้วช่างเหมือนบรรยากาศย่านกังนัมในยามค่ำคืนเสียนี่กระไร พร้อมให้คุณอร่อยกับ ‘ANJU (อันจู)’ กับแกล้มรสต้นตำรับสไตล์ Seoul Food ฝีมือทีมเชฟชาวเกาหลีที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ จิบคู่เครื่องดื่มที่ได้แรงบันดาลใจจากจานอร่อยเกาหลียอดนิยม โดยคุณเบญญาภา กองรัมย์ ผู้จัดการฝ่ายเครื่องดื่มและบาร์ประจำโรงแรมฯ ดีกรีแชมเปียนการแข่งขัน Bacardi Legacy Cocktail Competition กันเลยทีเดียว จานแรกเราสั่งเป็น Korean Seafood Pancakes พาจอน หรือพิซซาสไตล์เกาหลี เสิร์ฟมาร้อนๆ ภายในสอดไส้ซีฟู้ดสดเด้งที่เรารัก กินกับน้ำจิ้มสูตรเฉพาะรสเปรี้ยวละมุน หอมกลิ่นน้ำมันงา Sweet & Spicy Fried Boneless Chicken ไก่ไม่มีกระดูกทอดร้อนจี๋ หนังกรอบโดนใจ เนื้อในนุ่มชุ่มฉ่ำ เข้ากันดีกับซอสกังจองรสเปรี้ยวหวาน ผสานความเผ็ดนิดๆ สายฟู้ดห้ามพลาด Spicy Sea Snails with Wheat Noodles เมนูซิกเนเจอร์ประจำร้าน หอยทากทะเลตัวอวบอ้วน ให้สัมผัสนุ่มหนึบเคล้าซอสเผ็ดรสเข้มข้น เสิร์ฟเคียงบะหมี่สไตล์เกาหลีเนื้อนุ่มอร่อย เด็กอ้วนต้องเลิฟ Boiled Pork Belly หมูสามชั้นต้มเนื้อนุ่ม ห่อผักสดกรุบกรอบ เติมความเผ็ดร้อนด้วยพริกสด ราดน้ำจิ้มสูตรลับรสหวาน Korean Mixed Rice with Vegetables บิบิมบับเสิร์ฟในชามหินร้อนๆ ได้ความมันนัวของไข่แดงคุณภาพ และรสหวานกลมกล่อมของน้ำจิ้ม Seafood Noodles เส้นรามยอนหนานุ่ม ซดพร้อมน้ำแกงรสเผ็ดร้อนพอเหมาะ ท็อปด้วยเครื่องเคราทะเลอย่าง หอยแมลงภู่ตัวอ้วน ปูเนื้อหวาน ปลาหมึกชิ้นใหญ่ และกุ้งตัวโต ของหวานต้อง Sweet Korean Pancakes แพนเค้กสไตล์เกาหลีโฮมเมดกรอบนอกนุ่มใน สอดไส้ถั่วแดงกวนรสหวานฉ่ำ เข้ากันดีกับไอศกรีมมัตฉะชื่นใจ ปิดท้ายด้วยดริ้งก์ดาวเด่นอย่าง Beon-De-Gi ค็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจจาก ‘พอนเดกี’ เมนูดักแด้สไตล์เกาหลี ได้ดีกรีร้อนแรงจากโซจูพรีเมี่ยม และความเปรี้ยวสดชื่นของน้ำส้มยูซุ Yak – Gwa ค็อกเทลที่เป็นการรวมตัวกันของสาเกสัญชาติเกาหลี และน้ำข้าวกล้อง กินคู่ขนมยักกวากรุบกรอบ และ Ggul – Tteok รสหวานละมุนที่ได้จากโซจูกลิ่นน้ำผึ้งมะนาว ผสานเหล้ารสพีชและราสป์เบอร์รี สปาร์กลิงสาเก ด้านล่างเป็นคาเวียร์รสส้มสดชื่น จิบแล้วก็ไปแดนซ์ให้กระจาย

เติมความหวานเย็นฉ่ำใจด้วย ไอศกรีมวีแกนจาก Happy Addey (แฮปปี้ แอดดี้) แบรนด์ไอศกรีมขวัญใจสายเฮลท์ตี้ ผลิตจาก นมอัลมอนด์ และ นมพิสตาชิโอคั้นสด การันตีความอร่อยระดับพรีเมียมโดย 137 degrees ผู้ผลิตนมอัลมอนด์เจ้าแรกในไทย แม้ไม่มีส่วนผสมของนมวัวและน้ำตาลทราย แต่คุณภาพที่ได้บอกเลยว่าเอาอยู่! เรียกได้ว่าเป็นทางเลือกใหม่สำหรับชาววีแกน ผู้ที่กินเจ หรือแม้แต่ผู้ที่แพ้นมวัวก็สามารถรับประทานได้ ให้ทั้งประโยชน์และความอร่อย จุดเด่นอยู่ที่รสสัมผัสของเนื้อไอศกรีมที่ผสานเข้ากับรสชาติสุดครีเอต โดยมีให้เลือกถึง 14 รสด้วยกัน ทั้งขนาด 80 กรัม (89 บาท/ถ้วย) และ 350 กรัม (299 บาท/ถ้วย) อีกทั้งยัง ขอแนะนำ Butter Croissant รสชาติใหม่ที่หอมอบอวลด้วยกลิ่นของเนยสด เข้ากันได้ดีกับเนื้อครัวซองต์ที่ใส่มาให้เคี้ยว Peach Lime Gelato ได้รสเปรี้ยวหวานกำลังดี หอมกลิ่นพีช คนรักชาเขียวต้องชอบ Matcha Green Tea มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ได้รสชาติที่เข้มข้นและขมปลายเล็กน้อย Cookie & Cream เนื้อไอศกรีมสีฟ้าสวย มีความหอมหวานมันกำลังดี Vanilla รสที่ยืนหนึ่งตลอดกาล ให้รสหวานและหอมนวลจากฝักวานิลาแท้ๆ สาวกช็อกโกแลตต้องลอง Extreme Dark Chocolate ไอศกรีมเนื้อเนียนแต่แฝงไปด้วยรสเข้มข้นถึงใจ มาพร้อมบราวนี่ให้เคี้ยวเพลินๆ Dark Chocolate เข้มข้นไม่แพ้กัน มีเท็กซ์เจอร์กรุบๆ ของช็อกโกแลตด้วย White Chocolate Malt เป็นรสชาติที่อร่อยแบบดับเบิลมีทั้งไวต์มอลต์และไวต์ช็อกโกแลตผสานกันอย่างลงตัว Banoffee with Banana Chunks หอมนวลด้วยคาราเมลและกล้วยหอม รสเค็มมันนิดๆ และ Cheesecake with Strawberry หอมละมุนด้วยรสชีสเค้กเข้มข้น ตัดกับความเปรี้ยวอมหวานของสตรอว์เบอร์รี หาซื้อได้ที่ : Tops, Gourmet Market และ Foodland ได้ทุกสาขา สั่งผ่าน Delivery : GrabFood. Lineman, FoodPanda และ Robinhood

ชวนคนรักชาบูมาใช้เวลากับความสุขตรงหน้า Shabu Nashi ร้านชาบูสไตล์ญี่ปุ่นเปิดใหม่ ที่จะพาทุกคนไปสัมผัสประสบการณ์การกินชาบูอันเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยเสน่ห์ที่ชวนให้หลงใหลที่ ศูนย์การค้า เอราวัณ แบงค็อก โดยทาง Shabu Nashi ตั้งใจเสิร์ฟความสุขในบรรยากาศการจำลองบ้านในประเทศญี่ปุ่น พร้อมให้ความสำคัญกับงานดีไซน์เน้นใช้วัสดุธรรมชาติ ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่มากด้วยฟังก์ชัน ภายในร้านอบอวลไปด้วยความหอมกรุ่นของน้ำซุป มีที่นั่งให้เลือกมากมายทั้งโซนหน้าเคาน์เตอร์บาร์ และที่นั่งรอบตัวร้าน ให้ทุกคนได้อิ่มจุกๆ กับหม้อส่วนตัวตรงหน้า เนื่องจากคำว่า Nashi (นา-ชิ) แปลว่า ‘ไม่มี’ ในภาษาญี่ปุ่น ทางร้านจึงเน้นความเรียบง่าย เลือกเสิร์ฟน้ำซุปใสเพียงแบบเดียวเท่านั้น แต่อัดแน่นด้วยคุณภาพผ่านรสชาติและรสสัมผัสที่ผ่านการเคี่ยวอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้น้ำซุปรสกลมกล่อมที่จะช่วยขับเน้นรสชาติของเนื้อได้เป็นอย่างดี   ส่วนเสน่ห์ที่ว่าจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากน้ำซุปรสกลมกล่อม น้ำจิ้มสูตรพิเศษ และวัตถุดิบคุณภาพ องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เราทุกคนหลงใหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเนื้อระดับพรีเมียมส่วนริบอาย ที่ทางร้านเน้นเสิร์ฟเนื้อสไลซ์ชิ้นใหญ่โชว์ลายมันแทรก มีให้เลือกอิ่ม 4 ชนิด เสิร์ฟพร้อมชุดผัก และอาหารเรียกน้ำย่อยอย่าง สลัดผักคอสสด และ ไข่นกกระทายางมะตูม ราดซอสสูตรพิเศษ มื้อนี้เราเลือก Premium Local Beef เนื้อริบอายจากแหล่งผลิตเนื้อวัวสายพันธุ์ไทยที่ดีที่สุดในประเทศ เสน่ห์อยู่ที่รสชาติของเนื้อแดง มีความเข้มข้นอร่อยลงตัว เพิ่มมิติของรสชาติด้วยน้ำจิ้มสูตรโฮมเมด 2 สไตล์ อย่าง 'พอนสึ' ได้ความหอมของยูซุชัดเจน รสเปรี้ยวสดชื่นช่วยตัดเลี่ยน และ ‘น้ำจิ้มงา' เนื้อเนียน ให้รสหวานหอม ช่วยชูรสให้เนื้อได้ดีทีเดียว ต่อด้วย Kuroge Wagyu ชุดเนื้อวัวสายพันธุ์ผสมระหว่างวากิวและแองกัส เป็นเนื้อแดงจากจังหวัดอิวาเตะของญี่ปุ่น หรือที่เรียกกันว่า Wagyu F1 เนื้อชิ้นใหญ่พิเศษมีมันแทรก ให้รสสัมผัสที่นุ่มละลายในปาก สำหรับใครที่ไม่กินเนื้อทางร้านยังมี เนื้อหมูส่วนสันนอก ที่ติดกับสามชั้นคอยบริการ และนอกจากนี้ยังเพิ่มความอิ่มท้องด้วยอุด้งเส้นสดหรือข้าวญี่ปุ่นก็ได้เช่นกัน ตบท้ายด้วย กรานิตาผลไม้ มีให้เลือกทั้งรสมะม่วงและลิ้นจี่ ช่วยให้ความสดชื่นก่อนเดินออกจากร้าน

ยกให้เป็นร้านหม่าล่าหม้อไฟสไตล์เสฉวนที่ใหญ่และยูนีคที่สุดย่านพระราม 3 สำหรับ MJ Hotpot โดดเด่นด้วยการตกแต่งร้านที่มาพร้อมกับวิวสวนสีเขียวและลำธาร บรรยากาศดีเหมือนอยู่ต่างจังหวัด เหมาะกับการแวะมาอิ่มอร่อยและรีชาร์จความสุขไปพร้อมๆกัน ภายในแบ่งออกเป็น 2 ชั้น โดยออกแบบมาให้มีลักษณะเหมือนกับคาเฟ่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี อีกทั้งยังเลือกใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อน ช่วยเสริมความอบอุ่น โปร่งโล่งสบายตา ฉีกทุกกฎของการเป็นร้านหม่าล่าหม้อไฟที่เคยพบเห็น ที่นี่เน้นเสิร์ฟเป็นวัตถุดิบคุณภาพดีตั้งแต่ราคาเบาๆ เข้าถึงง่าย ไปจนถึงวัตถุดิบเกรดพรีเมียม อาทิ เนื้อสันใน สันนอกวากิวญี่ปุ่น A5 เนื้อวากิวออสเตรเลีย เนื้อแกะออสเตรเลีย เนื้อโคขุนของไทย ซึ่งหากใครไม่รับประทานเนื้อวัวทางร้านยังมี สันคอหมูคุโรบุตะ ไส้เป็ด ซี่โครงหมูหม่าล่า ไก่หมักงา ตลอดจนซีฟู้ดอย่าง กุ้งบดคาเวียร์ เนื้อปลาวัวจากทะเลจีนใต้ โฮตาเตะ หอยนางรม และเมนูสุดพิเศษอีกมากมาย ที่เมื่อกินกับน้ำซุปรสเข้มข้นทั้ง 4 รสชาติรับรองว่าไม่ผิดหวัง นอกจากนี้ทางร้านยังมีบาร์เครื่องดื่มที่จัดเต็มทั้งชา กาแฟ น้ำผลไม้ ม็อคเทล ค็อกเทล ให้สายชิลได้นั่งเอ็นจอยกันไปยาวๆ ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

‘Big Mark Burger’ ร้านเบอร์เกอร์น้องใหม่ในเครือเดียวกับ “กะเพราเผ็ดมาร์ค” อันโด่งดัง ที่เปิดขายในรูปแบบเดลิเวอรี่และงานอีเวนต์มาสักพักใหญ่ จนได้เวลาเปิดหน้าร้านให้ตามไปเช็คอินกันที่ซอยสุขุมวิท 28 จุดเด่นคือตัวร้านขนาดใหญ่ 2 ชั้นสีแดงขาวที่มีมาสคอตรูปน้องเบอร์เกอร์สุดเก๋ ชวนให้อยากเดินเข้าไปสัมผัสความน่ารักสดใสด้านในเลยล่ะ โดยตัวเบอร์เกอร์ของทางร้านจะมาพร้อมความเข้มข้นของเนื้อที่ผ่านการหมักและปรุงรสอย่างพิถีพิถันจนได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ กินคู่กับขนมปังโฮมเมดและซอสพริกศรีราชามะเขือเทศสูตรเด็ดของร้าน เราเลือกเป็น BigMark Burger Beef Set (319.-) เซ็ตเบอร์เกอร์เนื้อวัวแบล็กแองกัสนำเข้าจากออสเตรเลีย ที่หมักด้วยซอสรสเข้มข้นก่อนนำไปดรายเอจไว้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ตัวเนื้อย่างมาสุกฉ่ำกำลังดี พร้อมด้วยเบคอนกรอบ ผักกาด มะเขือเทศ และชีส เข้ากับขนมปังกรอบนอกด้านในนุ่ม โดยสามารถเลือกจับคู่เฟรนช์ฟรายส์หรือแฮชบราวน์ได้ตามความชอบ มาพร้อมเครื่องดื่มรีฟีลที่เติมได้ไม่อั้น อิ่มอร่อยคุ้มราคาแน่นอน

Inka” ร้านอาหารไทย (Creative Thai Food) ในเครือนารา ไทย คูซีน ตั้งอยู่ใน Central Embassy (BTS เพลินจิต) ที่มาในคอนเซ็ปต์ Progressive - Ethnic – Bangkokian เสิร์ฟอาหารไทยรสต้นตำรับสูตรอร่อยของนารากว่า 18 ปีในแบบฉบับคนกรุงฯ ที่ทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมให้คุณเอ็นจอยกับบรรยากาศบีชคลับสุดชิล ละม้ายคล้ายอยู่ในรีสอร์ทริมทะเลสวย เฟอร์นิเจอร์ไม้เข้ากันกับเครื่องสานผลงานของศิลปินไทย บวกกับต้นไม้กระถางสีเขียวยิ่งเสริมบรรยากาศให้มีชีวิตชีวามากขึ้น ต้อนรับด้วย Amuse Bouche ชวนชิมแล้วเริ่มสั่งอาหารกันเลย จานแรกของเราคือ ยำเนื้อเทนเดอร์ลอยน์ เนื้อสันในเคี้ยวเพลิน ย่างในระดับความสุกมีเดียมแรร์ฉ่ำลิ้น เสิร์ฟพร้อมน้ำยำสไตล์ไทยรสจัดจ้าน ตามด้วย ปอเปี๊ยะสดดอกไม้และคอหมูย่าง แป้งปอเปี๊ยะบางกริบ ห่อดอกไม้กินได้นานาพันธุ์ เข้ากันดีกับน้ำจิ้มสูตรเฉพาะรสหอมมัน ต่อด้วย สลัดกะหล่ำดาวคอหมูย่าง หนึ่งในเมนูเด็ดดวงของทางร้าน กะหล่ำดาวหอมกลิ่นกระทะ คลุกเคล้ากับน้ำยำครบรส และคอหมูย่างเนื้อนุ่มสู้ฟัน โรยข้าวคั่วหอมๆ ซี่โครงหมูกอและ ซี่โครงหมูชิ้นโตๆ น่าอร่อย หมักซอสกอและในแบบฉบับของทางใต้รสเข้มข้น ก่อนนำไปซูวีนานถึง 1 วันจนได้เนื้อนุ่มร่อน เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอดร้อน  และน้ำยำรสเด็ด ซดน้ำซุปร้อนๆ กับ ต้มยำมะพร้าวเผาและกุ้งแม่น้ำ กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ๆ เนื้อหวาน อยู่ในน้ำแกงต้มยำรสเปรี้ยวละมุน ได้ความหอมของน้ำมะพร้าวเตะจมูก ผัดไทกุ้งแม่น้ำ เส้นจันท์เหนียวนุ่ม ผัดพร้อมน้ำมะขามเปียกรสกลมกล่อม ห่อไข่น่าอร่อยเป็นที่สุด เสิร์ฟเคียงกุ้งแม่น้ำย่างร้อนจี๋เนื้อสดเด้ง ของหวานเราลองสั่ง ฝรั่งเเช่บ๊วยกรานิต้า น้ำแข็งใสสไตล์อิตาเลียนรสฝรั่งแช่บ๊วยรสหวานเค็ม กินคู่พริกเกลือบ๊วยรสเปรี้ยวอมหวานเข้ากัน และ กล้วยปิ้งคาราเมลซีซอลท์โรยครัมเบิ้ลและวิปครีม กล้วยปิ้งที่เรารัก ราดซอสคาลาเมลรสเค็มหวาน เข้ากันกับวิปครีมเนื้อนุ่มปุกปุย เครื่องดื่มเราแนะนำ The Happy Cloud น้ำตาลสดรสหวานละมุน ผสมกะทิชั้นดี ไซรัปอัญชันสีฟ้าสวย และน้ำมะนาว ตกแต่งด้วยสายไหมฟูๆ สุดน่ารัก ปิดท้ายด้วย The Glitter Sea Breeze น้ำมะม่วงเบารสเปรี้ยวสดชื่น และน้ำขิงเผ็ดซ่า มิ๊กซ์ผงกลิตเตอร์ฟู้ดเกรดวิบวับ อลังการจนไม่กล้าลิ้มลอง

ท่ามกลางทำเลดีๆ ที่พ่วงมาด้วยความมีชีวิตชีวาในย่านศาลาแดง Bitterman Restaurant ร้านอาหารสไตล์แคชชวลไดนิงสุดชิคที่แฝงไปด้วยความอบอุ่น เป็นจุดพักพิงกายและอิ่มท้องได้ในเวลาเดียวกันของชาวศาลาแดงซอย 1 มาเป็นเวลากว่า 10 ปี พร้อมนำเสนอเมนูโฮมเมดเลิศรสที่รังสรรค์อย่างพิถีพิถันเหมือนทำให้คนในครอบครัวกิน ร้านสวยแห่งนี้มาในคอนเซ็ปต์ Social Dining ที่อยากให้ทุกคนมาสัมผัสบรรยากาศของบ้านเพื่อน ต้อนรับด้วยความเป็นกันเองและเข้าถึงง่าย แต่ยังคงความเป็น Professional เสิร์ฟอาหารหลากสัญชาติ แต่ใช้เทคนิคสมัยใหม่ นำเสนอออกมาในรูปแบบโมเดิร์นเวสเทิร์นคอมฟอร์ตฟู้ด จับคู่กับเครื่องดื่มแก้วโปรดก็ฟินไม่น้อย และเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 10 ปี ทางร้านได้รีโนเวตภายในใหม่ตกแต่งสไตล์ Industrial loft เน้นโชว์โครงสร้างสถาปัตยกรรมเดิม เพิ่มลูกเล่นด้วยสีสันจากงานอาร์ตและเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวให้ดูทันสมัยและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น เสริมความสดชื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ปกคลุมชายคาบ้านหลังนี้ไว้ได้อย่างร่มรื่น ทุกเมนูเน้นใช้วัตถุดิบคุณภาพที่คัดสรรมาจากแหล่งที่ดีที่สุดตามท้องถิ่นในแถบเอเชีย เสิร์ฟพอชชันใหญ่สามารถแชริงกันได้ เริ่มต้นมื้อนี้ด้วย Seasonal Burrata ชีสบูร์ราตาสดราดซอสเพสโตอัลมอนด์ ได้ความครีมมี่ตัดกับรสหวานขององุ่นไชน์มัสแคตย่างและลูกฟิกดอง กินกับขนมปัง อร่อยทีเดียว ต่อด้วย Spanish Clams & Chorizo หอยมะนิลาและหอยแมลงภู่ดัชต์นึ่ง คลุกเคล้าซอสโชริโซในไวน์ขาว ได้รสเค็มและเปรี้ยวเล็กน้อยจากเลมอน ช่วยเปิดต่อมรับรสได้ดี เมนูเส้นห้ามพลาดคือ Seared Tuna Tataki ทูน่าย่างคัตสึโอะมิริน หอมกลิ่นสโมก กินคู่ถั่วแระญี่ปุ่น แรดิช และหัวหอม เสริมรสด้วยซอสพอนสึรสเปรี้ยว ปิดท้ายด้วย Cinnamon Toast ขนมปังบริออชที่ร้านทำเอง เนื้อกรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นเนย ตัดรสชาติด้วยเบอร์รีสดกับไอศกรีมวานิลลา หวานกำลังพอดี และ Heart of Glass เบสเป็นจิน ได้กลิ่นของขิงและใบโหระพา มีรสหวานของน้ำผึ้งตัดกับความเปรี้ยวของน้ำมะนาวสด อร่อยลงตัว พร้อมเพิ่มเติมความสนุกด้วยดนตรีสดทุกวันพฤหัสบดี – เสาร์ เวลา 19.00 – 22.00 น. และวันอาทิตย์ เวลา 12.00 – 15.00 น. สามารถติดตามวงดนตรีและข่าวสารอื่นๆ ได้ทางเพจ Facebook : Bitterman Restaurant

Tag: