เรียกว่าเป็นขวัญใจนักชิมมายาวนานกว่า 23 ปี สำหรับ “ข้าวต้มเจ้าพระยา” หรือ “ข้าวต้มบุฟเฟ่ต์” แห่งโรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ผู้บุกเบิกข้าวต้มบุฟเฟ่ต์มื้อค่ำแห่งแรกบนถนนรัชดาภิเษก ด้วยความอร่อยไม่เป็นสองรองใครและความหลากหลายของเมนูเด็ดกว่า 50 รายการ ที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้ชิม พร้อมทั้งเมนูพิเศษใหม่ๆ ที่ “เชฟทร-สุนทร ศรีหาบุตร” เชฟใหญ่ประจำห้องอาหารคอยคิดค้นและสร้างสรรค์ออกมาเอาใจนักชิมอยู่เสมอ         ที่สำคัญตอนนี้ข้าวต้มบุฟเฟ่ต์ย้ายมาอยู่บริเวณ ชั้น G ของอาคารโรงแรมที่มีพื้นที่กว้างขวางนั่งสบายมากยิ่งขึ้น โดยมีทั้งโซนริมกระจกใสให้ชมวิวทิวทัศน์ภายนอกและโซนใกล้ไลน์บุฟเฟ่ต์ซึ่งทั้ง 2 โซนนี้รองรับลูกค้าได้กว่า 150 ที่นั่ง เลยทีเดียว         เมื่อมาถึงและเลือกที่นั่งเหมาะๆ เราแนะนำให้เริ่มจากโซนข้าวต้ม โดยข้าวต้มของที่นี่นั้นอร่อยไม่ธรรมดา โดยเฉพาะข้าวต้มผสมเผือกและข้าวต้มผสมมัน ที่ต้มเผือกและมันพร้อมกับข้าวหอมมะลิ โดยเชฟแอบกระซิบว่ามีเคล็ดลับอยู่ที่การใส่ข้าวเหนียวเล็กน้อย เพิ่มความหอมอร่อยนุ่มหนึบ     มาต่อกันที่ไลน์เมนูร้อนที่มีจานเด็ดยอดนิยม อาทิ ปลาตะเพียนต้มเค็ม สูตรเด็ดใส่เต้าเจี้ยวเพิ่มรสชาติ ไลน์พะโล้ที่มีทั้งเป็ดพะโล้ (ที่เนื้อนุ่มอร่อยไม่เหนียวเลย) ไส้พะโล้ และเลือดหมูพะโล้ รวมทั้งคากิตุ๋นเครื่องยาจีนจนนุ่มเปื่อย หน่อไม้จีน จับฉ่าย ผัดหนำเลี้ยบหมูสับ และหอยลายผัดน้ำพริกเผา               ส่วนใครชอบความแซ่บให้ตรงไปที่โซนเมนูยำ นอกจากเมนูอร่อยเลื่องลืออย่าง กั้งดอง ที่ใช้กั้งสดตัวโตดองพริกไทยสูตรเฉพาะของที่นี่แล้ว เรายังไม่อยากให้พลาดยำหอยแครงและยำกุ้งแห้งที่แซ่บจัดจ้านไม่แพ้กัน         แต่ถ้ากลัวจะเผ็ดเกินไป อย่าลืมตักเมนูอาหารแห้งและเมนูกินเล่นที่มีมากมายจนแทบเลือกไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นไข่เยี่ยวม้า ไข่เค็ม ปลากรอบ กุ้งหวาน ผักกาดหวาน หนำเลี้ยบ ปลาเค็ม ใบปอ กานาฉ่าย ไปจนถึงหมูแผ่นและกุนเชียงทอด       สำหรับสายเฮลท์ตี้ต้องถูกใจไลน์ผักสดนานาชนิด อาทิ ผักบุ้ง ผักแขนงคะน้า เห็ดเข็มทอง กุยช่ายขาว บร็อกโคลี ยอดฟักแม้ว ฯลฯ ที่ให้เราเลือกครีเอตเป็นผักผักต่างๆ พร้อมเลือกส่วนผสมเพิ่มเติม เช่น เต้าหู้ไข่ หมูกรอบ กุ้ง ปลาเค็ม หรือจะผัดผักรวมมิตรก็ได้ตามใจชอบ       ยังไม่หมดแค่นี้ ใครยังไม่อิ่มกับข้าวต้ม ที่นี่ยังมีสเตชั่นความอร่อยทั้งเป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ (ที่หาไม่ได้ที่บุฟเฟ่ต์ข้าวต้มที่อื่น) ขาหมู ราดหน้า ส้มตำ และก๋วยเตี๋ยวต่างๆ ที่หมุนเวียนไม่ซ้ำกันตลอด 7 วัน แต่ที่พลาดไม่ได้คือเมนูพิเศษในช่วงนี้อย่าง หอยทอด แป้งกรอบนอกนุ่มใน ทอดร้อนๆ ตามสั่ง นอกจากนี้ในแต่ละโต๊ะที่นั่งยังมีการ์ดเมนูอาหารจานเดียวให้สั่งกันเพิ่มอีก อาทิ เส้นหมี่ผัดผักกระเฉดกุ้ง ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ผัดซีอิ๊ว และไข่เจียว                 แล้วอย่าลืมเผื่อท้องไว้สำหรับของหวานแสนอร่อย ทั้งบัวลอยน้ำขิงนุ่มหนึบ เต้าฮวยหอมกรุ่น และโรตีกรอบ ทอดร้อนๆ ตามสั่ง แป้งโรตีกรอบมาก กินเพลินสุดๆ แถมยังเลือกทอปปิงได้หลากหลาย ทั้งแยม นมข้นหวาน กล้วยหอม และลูกเกด หรือจะล้างปากด้วยผลไม้ก็มีให้เลือกมากมาย อาทิ แตงโม แคนตาลูป แก้วมังกร สับปะรด มะละกอ ฯลฯ       ใครอยากอิ่มจัดเต็มกันแบบยาวๆ ไปได้เลยที่ชั้น G โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถนนรัชดาภิเษก อร่อยกันได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 17.00 – 24.00 น. ในราคาเพียง 499 บาท (สุทธิ) / ท่าน เท่านั้น (กินได้ไม่จำกัดเวลา) แถมช่วงนี้ยังมีโปรโมชั่นอร่อยสุดคุ้ม “มา 4 ท่าน ลด 20 เปอร์เซ็นต์” อีกด้วย   สำรองที่นั่ง พร้อมสอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2290-0125 หรือ FB : Chaophya Park Hotel (BKK)

เอาล่ะ เลิกเถียงกันว่าโรมแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ปิดหรือยังไม่ปิดกันก่อน เพราะเรามาคอนเฟิร์มตรงนี้ว่า โรงแรมดุสิธานี กรุงเทพฯ จะเปิดให้บริการตามปกติไปจนถึงเดือนมกราคม 2562 และที่สำคัญ จากนี้ทุกเดือนจะมีโปรโมชั่นเด็ดๆ ทยอยเปิดตัวให้ลูกค้าทั้งขาประจำและไม่ประจำได้มาใช้บริการกันอีกด้วย     อย่างที่ ห้องอาหารเบญจรงค์ และเทอร์เรส ได้แปลงโฉมเป็นบุฟเฟต์สุดพรีเมี่ยมทุกวันเสาร์ – อาทิตย์ ในคอนเซ็ปต์ “Beyond Boundaries” เพียงบรรยากาศก็ต่างจากบุฟเฟต์ที่อื่น ด้วยจำนวนโต๊ะไม่มาก ทำให้ไม่พลุกพล่าน ไม่ต้องรออาหารจนลืม และวิวสวยๆ ที่เราคุ้นเคยกันดีกับกระจกใสบานใหญ่ที่เปิดให้เห็นลานน้ำตก และ Live Band ขับกล่อมเพลงเพราะๆ แถมยังไม่ต้องเร่งรีบเพราะเปิดให้บริการยาวไปถึง 17.00น. เรียกว่าเป็นบรรยากาศบุฟเฟต์ที่ชิล สโลว์ไลฟ์ และผ่อนคลายอย่างแท้จริง       ด้านไลน์อาหารต้องบอกว่า “พรีเมียม” จริง ไม่ได้ใส่มาลอยๆ เริ่มด้วย Amuse Bouche (อามูซ บุช) หรือจานเรียกน้ำย่อยที่ใหญ่ที่สุดที่เราเคยเห็น เป็นแซลมอนสดวางบนหินร้อนครอบด้วยฝาแก้ว ซึ่งสามารถเลือกระดับความสุกได้ ถ้าชอบแบบกึ่งสุกก็เปิดฝาเร็ว ถ้าชอบสุกมากก็เปิดช้าหน่อย ต่อด้วย Seafood On Ice ที่ต้อนรับเราด้วยล็อบสเตอร์ทั้งตัว กุ้ง กั้ง กรรเชียงปู และหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ กับน้ำจิ้มหลากหลายรวมทั้งน้ำจิ้มซีฟู้ดสไตล์ไทยๆ ที่ขาดไมได้       ต่อมามุมอาหารเรียกน้ำย่อยที่มีทั้งมุมหอยนางรม ซึ่งเชฟจะแกะเสิร์ฟกันสดๆ มีหอยนางรม 3 สายพันธุ์ทั้งไอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย เลือกซอสได้ทั้งแบบไทยแบบเทศ มุมซูชิและซาชิมิ ที่ใช้เนื้อปลาชั้นดี ไม่ผ่านการแช่แข็ง ทั้งอาคามิ ฮามาจิ แซลมอน ชิมะอาจิ หมึกยักษ์ อูนิ หรือจะให้เชฟทำเป็นโรลต่างๆ ก็ได้ ตามด้วยมุมสลัดผักออร์แกนิคสำหรับคนรักสุขภาพ และของว่างจานร้อนอย่างแฮมอบ และแซลมอนอบ         ไฮไลท์ของเราอยู่ที่มุมกริลล์ที่เราจะได้ออกไปเลือกวัตถุดิบสดๆ บริเวณเทอร์เรส มีทั้งกุ้งแม่น้ำ หอยเชลล์สดจากสกอตแลนด์ หอยเรเซอร์แคลม หอยแมลงภู่ หมึก ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลากะพง ปลาทูน่า ซึ่งเลือกแล้วก็มานั่งรอชิลๆ ที่โต๊ะได้เลย         จานหลักก็ชวนให้ว้าวมาก เพราะเราสามารถเลือกสั่ง “ชุดติ่มซำ” จากห้องอาหารจีนในตำนาน May Flower มาทานที่นี่ได้ด้วย ส่วนจานหลักอื่นๆ Executive Chef ฟิลลิปส์ เคลเลอร์ ก็คัดสรรมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นตับเป็ดย่างเสิร์ฟกับชัตนีย์มะเดื่อ (Pan-fried Duck Liver with Fig Chutney and Raisin sauce) เสิร์ฟมา 2 ชิ้นใหญ่ๆ หรือ ซี่โครงแกะนิวซีแลนด์ย่าง (Pan-fried New Zealand Rack of Lamb with Mustard sides) หรือ สเต็กเนื้อยูเอสริบอายซอสไวน์แดง (US Rib Eye with Red Wine sauce)  หรือ ล็อบสเตอร์ เทอร์มิดอร์ (Oven-baked Lobster Thermidor) สำหรับจานอาหารไทยก็มีให้เลือก อาทิ กุ้งแม่น้ำทอดซอสกระเทียมพริกไทย แกงเผ็ดเป็ดย่าง และแกงเขียวหวานเนื้อชอร์ตริบส์สโลว์คุกตำรับเบญจรงค์           ขยับมาที่ไลน์ขนมหวานกันดีกว่า ก่อนที่จะต้องกลิ้งไป เพราะมีห้องพิเศษเฉพาะสำหรับไลน์นี้เลยทีเดียว ซึ่งเต็มไปด้วยขนมหวานนานาชนิดทั้งเค้ก แชมเปญเจลลี่ ทาร์ตสตรอว์เบอร์รี ทีรามิสุชาเขียว ฯลฯ และมีขนมไทยด้วยนะ อย่างข้าวเหนียวมะม่วง ขนมใส่ไส้ ลูกชุบ ตะโก้ ฯลฯ และถ้าใครยังไหว ก็สามารถปิดท้ายด้วยชีสบอร์ดกับชาหรือกาแฟร้อนๆ สักถ้วยหนึ่ง และถ้าคุณนั่งยาวไปจนถึง 17.00 น. แล้วล่ะก็ จะได้รับเครื่องดื่มฟรี 1 ดริงก์พร้อมคานาเป้ให้นั่งชิลต่อไปได้อีกจนถึง 19.00น. กันเลย         ด้วยเมนูอาหารและบริการระดับนี้ ราคาก็จัดว่าสมเหตุสมผล อยู่ที่ 2,900++ เสิร์ฟกับซอฟต์ดริงก์และน้ำผลไม้ และขยับมาที่ 3,600++ บาท โดยสามารถสั่งเบียร์ ไวน์ และสปาร์คลิ่งไวน์เพิ่มได้ และที่ 4,900++ บาท จะสามารถเลือกเครื่องดื่มทั้งหมด รวมทั้ง Taittinger Champagne ได้ แน่นอนว่าฟรีโฟลว์   มาอิ่มอร่อยแบบสโลว์ไลฟ์ Beyond Boundaries กันได้ทุกวันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 11.30 – 17.00น. ช่วงนี้มีโปรโมชั่นพิเศษ “The Triple Double” มา 3 ท่าน จ่ายเพียง 2 ท่าน ถึง 31 กรกฎาคม 2561 นี้

เดี๋ยวนี้จะกินบุฟเฟ่ต์ทั้งทีต้องไม่ธรรมดา เพราะที่โรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพฯ และแบรนด์เลอ เมอริเดียนทั่วโลก จัดคอนเซปต์ใหม่เป็นบุฟเฟ่ต์ที่ผสมไลฟ์สไตล์การมีความสุขกับการใช้ชีวิต     ที่ห้องอาหารเลเทส เรซิพี อาหารที่นี่ได้รับแรงบันดาลใจจากแถบทะเลเมดิเตอเรเนียน โดยเฉพาะอาหารที่มีความโดดเด่นจากแถบเมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส จนถึงบริเวณเมืองพอตโตฟิโน่ ประเทศอิตาลี       G&C ไปมาแล้วขอบอกว่าห้ามพลาด เริ่มตั้งแต่มุมอาหารทะเลออนไอซ์พร้อมน้ำจิ้มหลากหลาย พาสต้าสเตชั่นมีให้เลือกทั้งเส้นและซอสเชฟปรุงใหม่ร้อนๆ มุมอาหารย่างหอมๆ พิซซ่าอบร้อน รวมทั้งอาหารจานหลักแบบสั่งได้ไม่อั้น อาทิ ซุปทะเล เป็ดกงฟี แก้มวัวตุ๋นซอสทรัฟเฟิล ฯลฯ หากเลี่ยนอาหารฝรั่งก็พุ่งไปที่มุมส้มตำที่สั่งให้เชฟทำแบบแซ่บถูกใจเราได้เลย           สุดท้ายอย่าลืมเผื่อท้องไว้สำหรับของหวานนานาชนิด และแพคเกจเครื่องดื่มที่มีให้เลือกตามชอบ จัดเต็มสมเป็นวันหยุดไปเลย           ข้อมูล มื้อกลางวัน (วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 12:00-14:30 น.) ราคา 900 บาท มื้อค่ำ (วันพฤหัสบดี - วันเสาร์ เวลา 18:00-21.30 น.) ราคา 1,100 บาท มื้อบรันช์วันอาทิตย์ (เวลา 12:30-16:30 น.) ราคา 1,700 บาท *ราคาสุทธิต่อท่าน และรวมเครื่องดื่มแบบไม่อั้น)

มื้อเย็นวันเสาร์เป็นเวลาที่เราจะได้เม้าท์มอยกับเพื่อนแบบไม่ต้องรีบร้อน ดังนั้นบุฟเฟ่ต์ที่รวมอาหารนานาชาติจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุด     ห้องอาหารวิวดีบนชั้น 24 อัพแอนด์อะบัฟ ที่โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ จัดเต็มจัดใหญ่ รวมเมนูอาหารไว้มากมาย อันดับแรกต้องมุ่งไปที่ซีฟู้ดหลากหลายออนไอซ์แบบไม่อั้น ได้แก่ หอยนางรมหลายสายพันธุ์จากต่างประเทศ ตัวใหญ่เนื้อหวานปนเค็มนิดๆ รวมทั้งกั้ง กุ้ง ปูสดเนื้อแน่น กินกับน้ำจิ้มทั้งสไตล์ไทยรสจัดจ้าน หรือจะบีบเลมอนสวยๆ ก็ได้             เริ่มเรียกน้ำย่อยต่อด้วยชีสนานาชนิดและโคลคัทนำเข้า มุมนี้เข้ากับเครื่องดื่มมากๆ หรือจะแก้เลี่ยนด้วยส้มตำ ที่เชฟทำให้ใหม่สดตามสั่งจานต่อจานเลย รีเควสได้ด้วยว่าจะเผ็ดเบอร์ไหน     มุมอาหารญี่ปุ่นก็มีนะ ทั้งมากิโรล นิกิริ หรือจะให้เชฟแล่ซาชิมิสดๆ เนื้อหนาเต็มคำ จัดวางมาสวยงามสมชื่อโรงแรมญี่ปุ่นก็ได้     คุยสักพักเริ่มหิวก็ต้องต่อด้วยอาหารจานหลักหนักท้องอย่างอาหารไทยสักหน่อย มีให้เลือกหลายรายการ ทั้งน้ำพริก ยำ พล่า ลาบ แกง มาครบ         ที่นี่ยังมีฟัวกราส์รวมอยู่ในบุฟเฟ่ต์ด้วยนะ ส่วนใครที่เป็นสายเนื้อควรลองเนื้อวัวอบพร้อมเครื่องเคียง หรือเนื้อปลาอบสำหรับสายสุขภาพก็มีเช่นกัน หรือจะสั่งพาสต้าที่ปรุงแบบร้อนๆ จานต่อจาน ให้อิ่มเต็มที่ไปเลย         สุดท้ายอย่างลืมเผื่อท้องให้ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมหวาน เบเกอรีและผลไม้ที่มีให้เลือกอย่างจุใจด้วยนะ        

หากพูดถึงร้านอาหารญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมสำหรับหนุ่มสาวชาวออฟฟิศแล้ว ร้านอาหารสไตล์อิซากายะคืออีกหนึ่งสถานที่ผ่อนคลายชั้นยอดก็ว่าได้ เพราะนอกจากร้านจะออกแบบมาเพื่อการกิน(กับแกล้ม)และนั่งดื่มโดยเฉพาะ แต่ละร้านยังเพิ่มกิมมิคต่างๆ ลงไปในอาหารรวมถึงโปรโมชันบุฟเฟ่ต์เครื่องดื่มที่สายดริ้งค์ห้ามพลาดเด็ดขาด ร่วมด้วยบรรยากาศการตกแต่งให้อารมณ์สนุกสนานและการเปิดเพลงที่ฟังแล้วชวนครึกครื้น เรียกว่าปลุกพลังในตัวเราครบทั้งรูป รส กลิ่น และเสียงเลยทีเดียว     เช่นเดียวกับที่ร้าน Katsuo Izakaya โดยคุณต่อและหุ้นส่วนตั้งใจทำให้ทุกคนที่มาหลุดออกจากความเครียดในที่ทำงาน พร้อมนั่งกินอาหารปิ้งย่างสูตรที่ร้านแกล้มกับเครื่องดื่มเย็นๆ อย่างเบียร์สดอาซาฮี Highball Glass (เหล้า Suntory ผสมเลมอนและโซดา) และ Chu Hai (เหล้าโชจูผสมโซดาและไซรัปผลไม้) จะดื่มเป็นแก้วหรือจะเลือกแบบบุฟเฟ่ต์ราคาย่อมเยา ดื่มได้ไม่อั้นภายในเวลา 2 ชั่วโมงก็ได้เหมือนกัน     ส่วนอาหารนอกจากกับแกล้มอย่างของทอด ของย่าง สลัด และยำ คุณต่อยังเพิ่มเมนูเข้ามาให้เรากินอิ่มครบจบในที่เดียว อย่างข้าวหน้าต่างๆ อาหารจานเส้น สเต็ก ซูชิ และหม้อไฟ ที่เป็นไฮไลต์เลยคือ สุกี้ยากี้หมู น้ำซุปสีดำสูตรเฉพาะที่ร้าน หวานกำลังเหมาะ เข้ากับสันคอหมูสไลด์เนื้อนุ่ม เต้าหู้ เส้นบุกเคี้ยวกรุบ รวมถึงผักและเห็ดนานาชนิด     ต่อด้วย แซลมอนนิกิริสไปร์ซี่ เนื้อแซลมอนส่วนท้องเผาไฟอ่อนๆ หอมฉุย วางบนข้าวซูชิแล้วราดสไปร์ซี่ซอสรสหวานๆ เผ็ดๆ เพิ่มความอร่อยอีกขั้นด้วยไข่กุ้งเคี้ยวกรุบ แต่ถ้าใครชอบกินเส้นต้องลอง ยากิโซบะเบคอน เส้นยากิโซบะนุ่มหนึบเข้ากันกับซอสที่เคลือบมาบางๆ ผัดไม่มัน หอมกลิ่นเบคอน เสิร์ฟพร้อมไข่ดาว 1 ฟอง นอกจากนี้คนที่เป็นมีทเลิฟเวอร์ห้ามพลาดเลยก็คือ สเต็กเนื้อออสเตเลีย หั่นลูกเต๋า ย่างมาแบบมีเดียมแรร์ ด้านนอกสุกหอม ด้านในฉุ่มช่ำ ราดซอสสูตรเด็ดรสเค็มหวาน โรยต้นหอมอีกนิดหน่อย         เท่านี้ก็เหมาะกับการนั่งผ่อนคลายยาวๆ แล้ว    

คนรักอาหารญี่ปุ่นโดยเฉพาะสายบุฟเฟ่ต์ที่เน้นความอร่อยหลากหลายในราคาคุ้มค่า เราอยากชวนให้มาลองบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นที่ “โมริ กริลล์” ห้องอาหารญี่ปุ่นบนชั้น 2 ของโรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ซึ่งตอนนี้เปิดโซนใหม่เอาใจนักชิมกับ “BBQ Izakaya Buffet Dinner” ที่มาพร้อมเมนูปิ้งย่างมากมายเสิร์ฟร้อนๆ รวมทั้งซีฟู้ดสดใหม่นานาชนิดให้เลือกชิมกันแบบไม่อั้น     ด้วยบรรยากาศการตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นร่วมสมัยในพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง สะดวกสบาย โดยมีทั้งโซนนั่งกินอาหารแบบเปิดกว้างที่รองรับเหล่านักชิมได้ถึง 115 ที่นั่ง และโซน Private Room ห้องไพรเวตที่มาพร้อมจอโทรทัศน์ LED ที่ให้ความเป็นส่วนตัวอีก 5 ห้อง จึงให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่อึดอัด เหมาะกับการสังสรรค์กับครอบครัวและเพื่อนฝูง       เลือกที่นั่งมุมเหมาะๆ กันแล้ว ก็ถึงเวลาไปสำรวจไลน์บุฟเฟ่ต์ เราขอเริ่มจากโซนใหม่ BBQ Izakaya Buffet Dinner ที่เอาใจสายปิ้งย่างกับเมนูบาร์บีคิว ทั้งเนื้อ หมู ไก่ แกะ และซีฟู้ด อาทิ แซลมอน ปลาหมึก ที่เราสามารถเลือกหยิบได้ตามใจ โดยมีเชฟผู้เชี่ยวชาญพร้อมปรุงเสิร์ฟกันสดๆ ส่วนใครชอบแนวกระทะร้อน เขยิบไปด้านข้างเป็นโซน Teppanyaki - BBQ Counter ที่มีไฮไลต์อย่างกุ้งแม่น้ำ แซลมอน เห็ดออรินจิ เห็ดชิตาเกะ และเบคอนพันเห็ดเข็มทอง ชอบแบบไหนก็เลือกใส่จานยื่นให้เชฟปรุงกันได้เลย           สำหรับคออาหารทะเลห้ามพลาดซีฟู้ดนานาชนิด ที่เชฟเอ็ดดี้ – ยุคิยะซุ ทะคะมะ เชฟใหญ่ชาวญี่ปุ่นประจำห้องอาหารคัดสรรมาอย่างดี โดยเฉพาะพระเอกอย่างปูอลาสก้า เนื้อสดหวานที่กินได้ไม่อั้น รวมทั้งกั้งหิน กุ้งแม่น้ำ หอยนางรม หอยแมลงภู่ และปลาหมึกที่พร้อมให้อร่อยกันแบบสดใหม่ ส่วนใครเป็นสาวกปลาดิบต้องตรงไปที่โซน Sushi – Sashimi Counter ที่นอกจากแซลมอนชิ้นหนา ยังมีทั้งทูน่า ทาโกะ (ปลาหมึกยักษ์) ซาบะ  และปูอัด รวมทั้งข้าวปั้นหน้าต่างๆ อาทิ แคลิฟอร์เนียโรล ให้ชิมกันอย่างจุใจ               หากยังไม่อิ่ม โมริ กริลล์ยังมีโซนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นมุมชาบุชาบุ ที่เราสามารถเลือกเนื้อสัตว์ น้ำซุปและผักต่างๆ ให้เชฟปรุงได้เลย มุมของทอดที่มีทั้งเทมปุระ เกี๊ยวซ่า และมุมเมนูอาหารญี่ปุ่นปรุงสำเร็จที่หมุนเวียนเมนูให้ชิมกันแบบไม่มีเบื่อ แล้วอย่าลืมเก็บท้องไว้เผื่อโซน Dessert Counter ที่เต็มไปด้วยเมนูของหวานละลานตา ทั้งเค้กนานาชนิด ไอศกรีม น้ำแข็งไส และผลไม้ต่างๆ เป็นการปิดท้ายมื้ออร่อยนี้อย่างสมบูรณ์แบบ           ที่สำคัญตอนนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับมื้อค่ำ ให้อร่อยคุ้มค่าในราคาเพียง 650 บาท (สุทธิ) ตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคมนี้ เท่านั้น

เรียกว่าเป็นบุฟเฟ่ต์สำหรับคนรักชีสตัวจริง สำหรับ “King Grill” ร้านปิ้งย่างบาร์บีคิวชีสสไตล์เกาหลีที่หยิบเมนูเด็ดจากแดนกิมจิมาผสานกับความอร่อยหลากหลายในแบบไทยๆ ได้อย่างลงตัว ที่สำคัญยังคัดสรรแต่วัตถุดิบระดับพรีเมียมทั้งเนื้อ หมู ซีฟู้ด ไปจนถึงผักสดนานาชนิด รวมทั้งซอสที่มีให้เลือกชิมหลากหลายให้เปลี่ยนรสชาติได้แบบไม่จำเจ     สำหรับไฮไลต์ของคิงกริลล์อยู่ที่ “ชีส” คุณภาพดีเข้มข้นหอมมันเข้ากับทุกเมนู แต่หากละลานตาจนเลือกไม่ถูก เราแนะนำให้เริ่มด้วยจานเด่น อาทิ เนื้อคาลบีและเนื้อบุลโกกิสูตรเด็ดที่ร้านหมักเอง เนื้อสันคอออสเตรเลีย เนื้อและหมูสามชั้น         ส่วนคนรักซีฟู้ดก็ต้องบอกว่าถูกใจแน่นอน เพราะที่นี่คัดสรรแต่วัตถุดิบคุณภาพส่งตรงจากทะเล ไม่ว่าจะเป็น กุ้งแม่น้ำ หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ และแซลมอน ซึ่งแต่ละอย่างทั้งสดและหั่นเสิร์ฟแบบชิ้นโตสะใจ จะกินแบบจุ่มชีส กินกับไข่ตุ๋นและข้าวโพดคลุก หรือจะห่อผักพร้อมกิมจิก็อร่อยได้ตามใจ ที่สำคัญน้ำจิ้มของคิงกริลล์ยังมีให้เลือกอร่อยแบบละลานตา อาทิ น้ำจิ้มซีฟู้ดสุดแซ่บ น้ำจิ้มสุกี้หวานเปรี้ยวเผ็ด น้ำจิ้มแจ่วรสจัดจ้าน และน้ำจิ้มปิ้งย่าง ซึ่งทั้งหมดมาพร้อมพริก กระเทียม และน้ำมะนาวให้ปรุงตามชอบอีกด้วย           แต่หากอยากอิ่มแบบเบาๆ ลองสั่งเป็นชุดปิ้งย่างขนาดกำลังดี หรืออาหารจานเดียวอย่างหม้อไฟเกาหลี จาจังเมียน และซุปกิมจิที่เหมาะกับมื้อกลางวันก็ฟินไม่แพ้กัน   สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย   

ร้านอาหารเช้าสไตล์ All Day Breakfast ของโรงแรมสุดเก๋ K Maison Boutique Hotel ที่คนรักอาหารเช้าเป็นต้องถูกใจ ทั้งบรรยากาศโทนสีสบายตาน่านั่งและกลิ่นหอมจากครัวเปิดกลางร้านที่บรรจงสร้างสรรค์อาหารโฮมเมดอร่อยไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะเฟรนช์โทสต์กรอบนอกนุ่มในที่ใช้ขนมปังบริออชสูตรเด็ดของครอบครัว ส่วนใครอยากเริ่มต้นมื้อเช้าแบบจัดเต็มกับบุฟเฟต์ราคาเบาๆ อร่อยกันได้ตั้งแต่ 06.30-10.30 น.       เมนูแนะนำ The Ultimate French Toast เฟรนช์โทสต์ชิ้นโตไส้กล้วยและครีมอัลมอนด์ ตัดรสหวานด้วยเบคอนกรอบและเม็ดมะม่วงหิมพานต์   Queen of Benny ความลงตัวของโพชเอ้ก แซลมอนรมควัน และซอสฮอลลันเดสหอมกลิ่นทรัฟเฟิล เสิร์ฟพร้อมแพนเค้กมันฝรั่ง   Truffle Aglio e Olio เส้นแองเจิลแฮร์ผัดกับเบคอน กระเทียม และน้ำมันมะกอกกลิ่นทรัฟเฟิล   Crunchy Black Truffle Pudding ดาร์กช็อกโกแลตเข้มข้นหอมกลิ่นทรัฟเฟิล เพิ่มความอร่อยด้วยพุดดิงนมและคุกกี้ช็อกโกแลต

ใครเป็นแฟนพันธุ์แท้บุฟเฟต์เค้กของที่นี่ก่อนปิดปรับปรุง ตอนนี้พร้อมเปิดบริการให้เรากลับมาทะลายความผอมอีกครั้งด้วยบุฟเฟต์เค้กและเบเกอรี่สไตล์ฝรั่งเศสกว่า 20 ชนิด จากการครีเอตของเชฟเมืองน้ำหอม รับรองว่าเลือกกินได้หนำใจในราคา 333 บาท และชุดน้ำชายามบ่ายราคา 249 บาท รวมไอศกรีมและเครื่องดื่ม กินได้ไม่จำกัดชั่วโมง! แต่เลือกน้อยกว่า ส่วนใครอยากซื้อเค้กกลับแนะนำ 18.00 น. เป็นต้นไป เบเกอรี่ทุกชิ้นลด 50 เปอร์เซ็นต์นะจ๊ะ       เมนูแนะนำ คีชผักโขม หอมเนยและชีสรสมันเข้ากันกับแป้งพายนุ่มบาง     ทาร์ตผลไม้ แป้งทาร์ตกรอบหอมกินกับผลไม้เย็นฉ่ำ   เค้กดาร์กช็อกโกแลต เค้กช็อกโกแลตเนื้อนุ่มแน่นเคลือบดาร์กช็อกโกแลตรสหวานปนขม   Cronut หน้าตาและรสชาติคล้ายกับโดนัทแต่ใช้แป้งครัวซองต์ทอดสอดไส้ด้วยครีมวานิลลา ครีมเลมอน ฯลฯ     

Cheese Owl ร้านบุฟเฟต์หม้อไฟเกาหลีสำหรับคนรักชีส นอกจากมีมาสคอตเป็นอปป้านกฮูกแล้ว คำว่า Owl ยังพ้องเสียงกับคำว่า Hour ในภาษาอังกฤษอีกด้วย ให้รู้กันไปเลยว่าที่นี่เป็นสวรรค์สำหรับสาวกชีสโดยแท้ ทีเด็ดต้องยกให้น้ำซุปรสกลมกล่อม เลือกได้ทั้งซุปใสและซุปสไปซี่สุดแซ่บให้คีบเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว และซีฟู้ดลงไปแกว่งไกวให้พอสุก จากนั้นจุ่มชีสอุ่นๆ ยืดๆ ก่อนส่งต่อเข้าปาก ปิดท้ายด้วยของหวานสัญชาติเกาหลีอย่างบิงซูที่สั่งได้แบบไม่อั้นเลยทีเดียว     เมนูแนะนำ ชุดหม้อไฟเกาหลี คัดวัตถุดิบมาอย่างดี เนื้อริบอาย คุโรบูตะสันคอ คุโรบูตะสันนอก เนื้อลายออสเตรเลีย แซลมอน หอยเชลล์ ฯลฯ จิ้มน้ำจิ้มเกาหลีหรือน้ำจิ้มซีฟู้ดก็เข้ากัน   บิบิมบับ ข้าวยำเกาหลีไซส์มินิ คลุกเคล้าให้เข้ากันก่อนกิน เสริมความอร่อยด้วยกิมจิรสเปรี้ยว   ต๊อกโบกกี แป้งต๊อกเหนียวนุ่มผัดกับซอสโคชูจังรสชาติสุดเข้มข้น   ไก่ฮอตแอนด์สไปซี่ ไก่ทอดหนังกรอบเนื้อนุ่ม เคลือบด้วยซอสรสเผ็ดหวาน 

เรียกได้ว่าต่อคิวยาวมากกับร้านใหม่ของเชฟแมนที่เปิดให้บริการแบบบุฟเฟต์ Man Kitchen by Chef Man ที่ขนเมนูฮิตดาวเด่นของร้านมาให้กินแบบไม่อั้น การันตีความอร่อยด้วยสูตรอาหารและฝีมือหัวหน้าเชฟคนเดียวกันกับร้านเชฟแมน เพียงทำให้มีขนาดเล็กลงเพื่อให้ชิมได้หลากหลาย ทั้งซาลาเปาไส้ไหล ติ่มซำเป็ดปักกิ่งและหมูแดง และห้ามพลาดกับผัดตามสั่งที่เลือกผักและเนื้อสัตว์ได้ตามชอบ เช่น ผักปวยเล้งผัดกระเทียม หากจ่ายเพิ่มอีก 300 บาท จะได้เมนูพิเศษอย่างซุปหูฉลามเนื้อปูน้ำแดงและบะหมี่กระเพาะปลาสดราดซอสเป๋าฮื้อ       เมนูแนะนำ เป็ดปักกิ่ง เป็ดเนื้อนุ่มหนังอร่อยเสิร์ฟพร้อมกับแป้ง แตงกวา ต้นหอมและซอส   ซาลาเปาไส้ไหล เมนูสร้างชื่อให้เชฟแมน ลูกเล็กกำลังดีแป้งนุ่มไส้เค็มๆ หวานๆ  และห้ามพลาดซาลาเปาทุเรียนกลิ่นหอมละมุน   ฟองเต้าหู้ทอด กรอบนอกนุ่มใน ไส้กุ้งเต็มปากเต็มคำ   หมูแดงและหมูกรอบ หมูแดงเนื้อนุ่มหอมอบมาอย่างพอดีและหมูกรอบที่หนังกรอบอร่อยห้ามพลาด

แซลมอนเลิฟเวอร์ต้องฟินกับสารพันเมนูแซลมอนกว่า 60 ชนิด ที่ Neta Fish & Meat ร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์บุฟเฟต์ของนักร้องหนุ่มสุดเนี้ยบ เตชินท์ ชยุติ เราขอให้ลืมภาพบุฟเฟต์แซลมอนแบบเดิมๆ ไปได้เลย เพราะที่นี่ไม่มีไลน์อาหารวางเรียงรายรอให้เลือก แต่จะปรุงอาหารตามสั่งเท่านั้นเพื่อความสดและอร่อย นอกจากจะมีแซลมอนเป็นตัวแทนของปลาแล้ว ยังมีเนื้อวากิวและอาหารจานร้อนอีกมากมายให้คนรักเนื้อได้อร่อยกันอีกด้วย        เมนูแนะนำ Salmon Sashimi แซลมอนพรีเมียมนำเข้าจากนอร์เวย์ เสิร์ฟชิ้นใหญ่หนาให้กินอย่างจุใจ   Salmon Seafood Sauce แซลมอนแช่น้ำปลาและราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบไทยๆ    Yakitori ชุดเสียบไม้ย่างที่มีทั้งแซลมอน หมูสามชั้น ไก่ กุ้ง เบคอนพันเห็ดเข็มทอง และผักนานาชนิด   Wagyu Sushi ซูชิหน้าเนื้อวากิวชิ้นโตราดซอสสไปซี่และซอสเทอริยากิ 

สุกียากี้ ชาบุ บิงซูไม่อั้น! คือคอนเซ็ปต์ของร้านสล็อธ นอกจากยั่วใจเราด้วยชาบุน้ำซุปใสรสกลมกล่อมและสุกียากี้น้ำดำสไตล์คันไซที่ให้รสชาติหวานเค็มตามแบบฉบับญี่ปุ่นแล้ว ราคาและวัตถุดิบของที่นี่ก็ดีต่อใจ บุฟเฟต์ 495 บาทไม่บวกเพิ่ม มีไฮไลต์ห้ามพลาดเป็นเนื้อวัวออสเตรเลีย Dry Aged นุ่มหอม พ่วงหมูดำคุโรบูตะจากญี่ปุ่น ก่อนอิ่มยังมีบิงซูผลไม้ตามฤดูกาลไว้ปิดท้าย ส่วนใครไม่อยากจัดหนักก็มีเซ็ตธรรมดา 395 บาทที่จัดเต็มด้วยวัตถุดิบหลากหลายเข้ากันกับน้ำจิ้มสูตรเฉพาะ (พอนสึ งา สุกี้ไทย) ให้เลือกจิ้มได้ตามชอบ       เมนูแนะนำ เนื้อวัวออสเตรเลียส่วนสะโพกและสันคอ ผ่านการบ่มนาน 30 วัน กินแล้วนุ่มลิ้น   หมูดำคุโรบูตะ นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น หมูเนื้อนุ่มละลายในปาก เข้ากันกับน้ำซุปหอมกรุ่น   บิงซู เกล็ดน้ำแข็งปุยนุ่มเนียนละเอียด ราดซอสหอมหวานแล้วเพิ่มความชื่นใจด้วยผลไม้ตามฤดูกาล  

ชายจุกของสารภาพว่าทุกวันอาทิตย์ชายแทบไม่ได้อยู่ติดบ้านเลย ก็ทำยังไงได้ก็ชายเป็นคนติดบรั้นช์ ว่างไม่ได้เป็นต้องออกไปกินอาหารมื้อสายวันอาทิตย์เป็นประจำ วันนี้แวะมาใกล้บ้านหน่อยที่ Next 2 Café โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ             เน็กซ์ทู คาเฟ่ เรียกมื้อสายวันอาทิตย์ของตัวเองว่า The Brunch ซึ่งชายว่าจุดเด่นอยู่ที่วิวริมแน่น้ำเจ้าพระยากับเสียงเพลงแจ๊ซจากวงดนตรีทรีโอ้นี่แหละ แถมยังเอาใจเด็กๆ ด้วยตัวตลกและมายากล ซึ่งชายว่าเหมาะสำหรับใช้เวลากับครอบครัวได้ดี               แน่นอนว่าที่นี่ก็มีไฮไลต์ที่ไม่แตกต่างจากบรันช์อื่นๆ อย่างซีฟู้ดออนไอซ์ อาทิ กุ้งล็อบสเตอร์จากรัฐเมนน์ ขาปูอะลาสก้า หอยนางรมสด กุ้ง ปู ก้ามล็อบสเตอร์ แต่ความต่างอยู่ที่เตาเทปันยากิทรงกลมริมน้ำที่สามารถนำเอาซีฟู้ดออนไอซ์ไปปรุงร้อนได้ ชายก็เช่นกันที่ไม่ค่อยถูกโรคกับซีฟู้ดเย็นๆ การปรุงร้อนจึงเป็นอะไรที่ฟินดี เตาเทปันยากินี้ยังเป็นที่ปรุงเมนูอาหารบาร์บีคิวอย่างปลาหมึก ซี่โครงแกะ กุ้ง สะเต๊ะ ปลาห่อใบตอง หรือแม้แต่ฟัวกราส์ที่ปรุงร้อนใหม่ๆ จากเตา           นอกจากนั้นยังเพิ่มมุมชีสขึ้นมาให้ต่างจากบุฟเฟ่ต์มื้อปกติ รวมถึงมุมของเบอร์เกอร์วากิวและฮอตดอก แต่ที่เราไม่อยากให้พลาดก็คือมุมอาหารอินเดียที่ปรุงร้อนๆ จากเตาทันดูร์ เรียกว่าเป็นอาหารอินเดียที่รสชาติดีไม่แพ้ร้านอาหารอินเดียแท้ๆ                ของหวานก็เป็นอีกสิ่งที่ห้ามพลาด ด้วยไอเท็มละลานตา โดยเฉพาะไอศกรีมโฮมเมด 12 รสชาติ และช็อกโกแลตทรัฟเฟิลที่ส่งตรงจากห้องช็อกโกแลต เรียกว่าใครแวะมาจะกินเฉพาะมุมของหวานก็คุ้มค่าแล้ว คิดซะว่าเป็นบุฟเฟ่ต์ของหวานก็ยังได้                   แถมมุมกิจกรรมของเด็กก็จริงจังเรียกว่าพ่อแม่กินข้าวได้สบายๆ เพราะมีทั้งศิลปะพับกระดาษโอริกามิ ปั้นดินเหนียว วาดภาพด้วยทราย ทำคุกกี้ ทำเยลลี่ และทำหุ่นมือ เรียกว่าฝึกทักษะของเด็กๆ ได้ดีเลยแหละ

ใครอยากสัมผัสกับมื้อสายวันอาทิตย์สไตล์นิวยอร์กเกอร์ไม่ควรพลาดมื้อสายของห้องอาหาร VIU โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ ที่เขาบอกมาเลยว่าเหมือนไปกินถึงนิวยอร์ก     ว่าแต่แบบไหนคือมื้อสายแบบนิวยอร์กเกอร์ นิวยอร์กเกอร์มักจะดื่ม Bloody Mary หรือไม่ก็ Martini เพื่อถอนจากอาการเมาค้างหลังจากดื่มมาตลอดคืนวันเสาร์ ซึ่งว่ากันว่าบลัดดี้แมรี่นี่แหละชะงัดนักแหละ แถมที่นี่ก็ได้ชื่อว่ามีบลัดดี้แมรี่ให้เลือกเยอะมาก ถ้าดั้งเดิมเลยก็มีเพียงวอดก้าและน้ำมะเขือเทศ แต่ถ้าเป็น Red Snapper ของทางเดอะ เซนต์ รีจิส นิวยอร์ก เพิ่มเอาซอสเปรี้ยว ทาบาสโก้ พริกไทย คาเยนน์ และเซเลรี หรือจะลองสูตรของเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ Siam Mary ที่มีพริก วาซาบิ ตะไคร้ เข้ามาด้วย นอกจากนี้ยังมีสูตรของเม็กซิโก ญี่ปุ่น และสเปนเป็นทางเลือก แต่ถ้าไม่ชอบน้ำมะเขือเทศแนะนำ VIU Signature Martini มีให้เลือกทั้งคลาสสิกและกลิ่นอายไทย แต่ถ้าบลัดดี้แมรี่และมาร์ตินี่ไม่ใช่ทางเลือกที่นี่ก็มีแชมเปญของ Veuve Clicquot มาช่วยเริ่มต้นมื้อสายได้ดีไม่แพ้กัน     แน่นอนว่าบุฟเฟต์บรันช์ทางเลือกของอาหารก็ดูเหมือนไม่ต่างกันมาก ซีฟู้ดออนไอซ์ ซูชิ ซาซิมิ เนื้ออบต่างๆ และของหวาน อันนี้ไม่ต้องพูดถึงตามมาตรฐาน แต่ที่เก๋น่าจะเป็นเมนคอร์สที่สั่งได้จากโต๊ะแบบไม่อั้น แบ่งเป็น From The Grill, Thai Kitchen และ Western Kitchen       From The Grill  อาทิ Lamb cutlet, pesto potato puree, mint jus เนื้อแกะกับซอสมินต์ ส่วนล็อบสเตอร์ปรุงได้ 2 แบบ Grilled Boston lobster, spicy seafood sauce ล็อบสเตอร์กับน้ำจิ้มซีฟู๊ด และจานคลาสสิกอย่าง Grilled Boston lobster thermidor ส่วนซี่โครงหมูมาแบบนุ่มๆ ติดรสหวาน Barbecue pork ribs, honey barbecue sauce และ Salmon filet, lime, pepper, mango salsa ปลาแซลมอนกับซัลซ่ามะม่วง       Thai Kitchen อาทิ Wagyu beef massaman แกงมัสมั่นวากิว Pork belly green curry แกงเขียวหวานหมูสามชั้น Steamed fish, ginger, soy sauce ปลานึ่งซีอิ๊ว และ Pad Thai with prawns, tamarind sauce ผัดไทยกุ้งสด   และ Western Kitchen อาทิ Pan fried foie gras, passion fruit butter and brioche ฟัวกราส์กับซอสเสาวรส Duck leg confit, puy lentils, prunes กงฟีเป็ดกับถั่วเลนทิล Smoked salmon eggs benedict, hollandaise sauce ไข่เบเนดิกต์กับแซลมอนรมควัน และ Fettucine beef Bolognese เฟตตูชินี่โบลองเนส                 ส่วนเมนูอาหารพิเศษชื่อว่า Chefs Brunch Premium Selection มีค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่ก็ควรค่าต่อการกิน อาทิ Lobster and smoked salmon benedict ราคา 1,200 บาท ++ Caviar omelet-30gm royal baeri caviar ราคา 3,500 บาท ++ Mushroom and black truffle pizza, parmesan ราคา 790 บาท ++ และ Beef tenderloin rossini sliders, truffle mayonnaise ราคา 1,500 บาท ++             ก่อนปิดท้ายที่ของหวานซึ่งมาแบบเต็มตู้ทั้งไอศกรีม เค้ก หรือแม้แต่ชีส ที่ทั้งหมดกินได้ไม่อั้น     

เราได้ยินชื่อเสียงของบุฟเฟ่ต์จากห้องอาหารโคโลเนด โรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ มานานแล้ว วันนี้เป็นโอกาสดีที่ G&C จะได้มาลองชิมกัน   ห้องอาหารโคโลเนดเป็นห้องอาหารที่คู่กับโรงแรมมายาวนาน ที่นี่บริการบุฟเฟ่ต์ทั้งมื้อเช้า กลางวันและเย็น รวมทั้งซันเดย์บรั้นช์อีกด้วย ครั้งนี้เรามาลองชิมมื้อเย็นที่แม้จะเป็นบุฟเฟ่ต์แต่ก็มีอาหารปรุงร้อนให้เลือกสั่งแบบไม่อั้นด้วยเช่นกัน         มาถึงที่นี่จะเดินไปตักซีฟู้ดเย็นและอาหารอื่นๆ ตามธรรมเนียมก็ได้ แต่เราเลือกที่จะนั่งสวยๆ เปิดเมนูที่เชฟจัดให้แล้วเริ่มสั่ง Seared Foie Gras ตับห่านย่างกับซอสมัลเบอร์รี่บัลซามิครสเปรี้ยวหวานและผักร็อกเก็ต ตับห่านย่างมาดีทีเดียว ผิวนอกตึงเป็นสีน้ำตาลคาราเมลเนื้อในนุ่มชุ่มลิ้น     ต่อด้วยเมนูซีฟู้ดที่ทุกคนชอบอย่าง Hokkaido Scallop หอยเชลล์ฮอกไกโดตัวอวบใหญ่ย่างกระทะให้สุกกำลังดี เสิร์ฟมาพร้อมกับผักโขมเบบี้ผัดใส่ทรัฟเฟิลหอมๆ     มาถึงจานเนื้อกันบ้างมีทั้ง Vaccinara Short Rib ชอตริบกับโพเลนตาบดและเซเลอรี จานนี้เนื้อนุ่มอร่อยชุ่มฉ่ำ ส่วนใครชอบเนื้อแกะให้ลองสั่ง Chimichurri Lamb Chop ซี่โครงแกะย่างเสิร์ฟกับซอสชิมิชูริสีเขียว ซอสสไตล์อาร์เจนติน่าทำจากสมุนไพรอย่างพาร์สลีย์สับกับกระเทียมใส่น้ำมันและน้ำส้มสายชู       และจานสุดท้ายสำหรับเมนูเนื้อคือ Argentine Beef Tenderloin เนื้อสันในจากอาร์เจนติน่าราดซอสไวน์แดงฉ่ำๆ กินกับมันฝรั่งและผักเบบี้คอสย่าง ใครไม่ชอบกินซีฟู้ดเย็น ก็มีเมนูอื่นที่สั่งได้เช่น Poached Rock Lobster กั้งหินขนาดกำลังพอดีโพชมาแบบเนื้อนุ่ม ราดซอสมายองเนสใส่สมุนไพรและขิง ส่วนอาหารไทยก็มีให้เลือก เช่น Lobster Butter Phad Thai ผัดไทยกุ้งแม่น้ำ และ Bamboo Sword Fish ปลาดาบอบสมุนไพร         แค่สั่งตามเมนูก็ทำเอาเราอิ่มไปเลย อย่าลืมเผื่อท้องไว้สำหรับซีฟู้ดออนไอซ์ ซูชิและซาชิมิ ขนมหวานและเมนูพิเศษที่เชฟจะออกมาปรุงสดๆ โชว์ให้เราดูด้วยล่ะ        

จั่วหัวไว้แบบนี้อย่าเพิ่งตกใจ หญิงใหญ่แค่อยากชวนให้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง นึกถึงความรู้สึกแรกที่ได้อ่านนิทานเรื่องพิน็อคคิโอที่ถูกปลาวาฬยักษ์กลืนลงไปในท้อง แต่ด้วยความฉลาดเจ้าหุ่นไม้ลงมือจุดไฟให้เกิดควัน ปลาวาฬจึงจามฮัดชิ้วเอาพิน็อคคิโอและพ่อออกมา  นี่เป็นคอนเซ็ปต์สุดสนุกของร้านซีฟู้ดน้องใหม่ Burn Whale สยามสแควร์ซอย 2 ของคู่รัก คุณนิว-ธนกร และคุณชิ-ชลธิชา ที่จำลองภายในร้านให้เป็นเรือ ตั้งแต่บันไดวน รวมถึงกิมมิคเป็นฝูงปลา ผ้าใบ สมอเรือ แห ส่วนที่บอกว่าเป็นพุงปลาวาฬก็เพราะร้านนี้มีกุ้ง หอย ปู ปลาให้เลือกสั่งแบบไม่อั้น (เหมือนปลาวาฬที่ซัดสัตว์ทะเลซะเต็มพุง) เลือกได้ทั้งเมนูอะลาคาร์ตและแบบบุฟเฟต์ แนะนำว่าสั่งบุฟเฟต์คุ้มกว่า 599 บาท กินได้ 1 ชั่วโมงครึ่ง จัดเต็มทั้งกุ้งก้ามกราม กุ้งขาว ปูม้า ปูทะเล กั้งกระดาน หมึกกระดอง หมึกหอม หมึกสาย หอยแครง หอยหวาน ฯลฯ ซึ่งทางร้านจะปิ้งมาให้เรียบร้อยพร้อมกิน มีซีฟู้ดให้เลือกหนำใจขนาดนี้ แอบถามคุณนิวถึงได้รู้ว่าที่บ้านของคุณชิ ทำธุรกิจเกี่ยวกับประมงอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี อาหารทะเลจึงส่งตรงจากบ้านแบบรับประกันความสด หญิงใหญ่สายโหยอยู่เป็นทุนเดิมจึงสั่งมาชุดใหญ่อย่างที่เห็น และขอให้คะแนนกั้งกระดานร้านนี้ชนะไปสวยๆ เพราะไซส์ใหญ่ เนื้อแน่นหวานอร่อย ไม่ใช่กั้งจิ๋วเนื้อหด (บางครั้งก็คิดว่านั่นกั้งหรือกุ้ง) ส่วนน้ำจิ้มก็ตำเองทุกวัน ที่นี่จะมีรสหวานนำนิดหน่อยตามสไตล์คนเพชรฯ จิ้มกับซีฟู้ดได้ฟีลไปอีกแบบ อีกเมนูแนะนำคือของกินเล่นอย่างปูนิ่มทอด กรอบอร่อย ไม่อมน้ำมัน และหอยนางรมสด เสิร์ฟเย็นเจี๊ยบ พร้อมน้ำพริกเผาและหอมเจียว ใครจะมาลองชิม ขอกระซิบไว้ว่าที่ร้านมีที่นั่งค่อนข้างจำกัด ควรโทรมาสำรองโต๊ะล่วงหน้าจะได้นั่งกินได้ฟินๆ  จะได้รู้ว่าอร่อยจนต้องเผาปลาวาฬนั้นเป็นอย่างไร